วิสัยของพระอริยบุคคล กับ ปุถุชน จะต่างกันมากหรือน้อย อย่างไร?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นิพพิชฌน์55, 18 เมษายน 2016.

  1. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    สาระสำคัญคือ ในการกำหนดร่างจำลอง ...คิดเที่ยวแรก
    ในการกำหนดสติออกไปอยู่ที่ร่าง จำลอง....คิดเที่ยงที่สอง
    แล้วกำหนดให้ร่างจำลองดูร่างจริง เหมือนดูละครใบ้ของตัวเอง...คิดเที่ยวสาม

    ....
    การถอยกลับ
    กำหนดถอนสายตาที่ดูร่างจริงมาที่ร่างจำลองก่อน...เที่ยวสี่
    กำหนดร่างจำลองถอยกลับมาที่ร่างจริง...เที่ยวที่ห้า

    เรารู้ตัวว่า ทำแแบนี้ ทั้งวัน แม้จะนอน..ก็ยังดูร่างจริงนอน....จนหลับ ถ้าเจ๋งจริง จะเห็นด้วยว่า ร่างจริงมันหลับได้ไม่ได้....เจ๋งจริง จะรู้ว่าตนเองฝัน รู้ตัวเองในฝัน เล่นกับฝันของตัวเอง
     
  2. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    สาระสำคัญ ในการฝึกแยกจิต ดูกายตนเองก็คือ...อะไรที่คิด....อะไที่รู้ (ตามรู้ทันในที่คิดหรือไม่ ตามช้ากว่า ตามทันได้ หรือ ไปรอรู้ก่อนที่จะคิดเสียอีก)..นี่คือ ความคิดจะแยกจากตัวที่รู้ นั่นเอง หรือตัวที่รู้จะแยกจากตัวที่คิดนั่นเอง...ถ้าฝึกประจำ จะเห็นเป็นรูปร่าง เป็นเจตสิก เป็นเงา เป็นสายใย เชื่อมกันเลยนะครับ

    แล้วค่อยเอาตัวรู้ที่ คล่องแคล่อว ว่องไว แยกอิสระ มาดู จิต ดูความคิด อีกที ว่า ความคิด มันเกิดมาจากไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2016
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เมื่อตัวสติรู้ มันแยกออกมาจากความคิด ได้ชัดเจน จากที่เคยเป็น ตัวเดียวกัน จากที่เคยเป็นเงา ตามตัวกันตลอดมา....จนแยก โยก ตีตัวออกจากกัน ...

    ขั้นตอนต่อไปเอาสติรู้ดูความคิด ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป..(ดูตั้งแต่ต้นจนจบ หรือมันจะคิดไม่จบก็ช่าง สติรู้ดูความคิด ให้ตลอด เหมือนดูน้ำไหลผ่านท่อ จนกว่า จะเห็นต้นกำเนิดของความคิด จนไปเห็นตัวที่คิด....เห็นตัวที่คิดแล้วก็ยังต้องดูต่อไป...จนตัวที่คิดมัน รู้ ด้วยเหมือนกันว่า....มีสติกำลังรู้เห็นทุกการกระทำของมัน(แต่ก่อนมันลั้ลลา คิดอะไรก็คิดเพราะ มันคิดว่ามันเป็นใหญ่...มันคิดว่าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใคร เห็นตัวจริงของมันได้..
    แต่เมื่อถึงวินาทีที่มัน รู้ตัวว่า มีคน(สติรู้)รู้ทันมันเห็นมันแล้ว)...มันจะสะดุ้ง เหมือนโจรถูกกับดัก ถูกจับได้เลยล่ะ...แต่ก็ยังต้องดูต่อไป..จนกว่าจะ เอ่ยปากลากันและกันนั่นแหล่ะ

    แบบว่าคนเรา ตอนที่ทุกข์เพราะ ความคิด ห้ามความคิดอกุศลของตนเองไม่ได้ ก็ได้แต่ อ้างว่า...จิตมันเป็นอะไรที่ควบคุมไม่ได้ อ้างว่า รู้ไม่ทันหรอกความคิด มันเกิดดับเป็นแสนๆๆล้านๆๆ.....อันนี้ พับตำรา ไปเลย เอาไปเผาทิ้งให้หมดเลย มันเชยแล้ว
     
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    นี่คือขั้นตอนของ การเอาจิต(สติรู้)ดูจิต(ความคิด )ของจริง

    จากวันแรกที่เริ่มแยกจิต กำหนดร่างจำลอง...คือวันเริ่มตั้น ฝึกจน ถึงวันที่สติรู้ โบกมือลากับตัวใจที่คิด นี่คือวันสุดท้าย ของขั้นตอน ดูกาย ดูเวทนา ดูจิต....ยังไม่ถึงดูธรรมนะ
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ม่ายฉ่าย จีฮับ

    ถ้า แยกจิก กะ คางคิด เป็น คนละ ธรรม ได้แล้ว

    ไม่ต้องไปใส่ใจ คางคิด

    ให้ใส่ใจว่า มันมีอะไรเป็น เหตุ คางคิด จึงเกิด

    แรกๆ คนถนัดกาย ก็จะเห็นไปว่า เพราะ การปรากฏของกาย ความคิดจึงเกิด
    เช่น คนทรงฌาณ เห็น ลมหายใจปรากฏในจิต หลังจากนั้น ความคิดก็ผุดขึ้น

    แต่ถ้า พิจารณาอยู่อย่างนั้น ทนต่อการพิสูจน์ ว่า จริงเหรอ "ลมเกิด ความคิดเกิด"
    มันจะหงายหลังตึง เลย เพราะ " ธรรมารมณ์ " หรือ จิตรำพึง หรือ อะไรก็แล้ว
    แต่ ไม่ใช่ออกมาจาก กาย ไส้ติ่ง

    มันออกมาจาก " นามธรรม " บางอย่าง ที่เป็น ตัวโง่ พระท่านเรียกว่า จิตอวิชชา ต่างหาก


    ดูกาย เพื่อทวนไปเห็น จิตโง่(จิตอวิชชา)
    ดูจิต เพื่อไปเห็น กาย(สักกายสมุทัย)
    ดูเวทนา เพื่อไปเห็น กายกับจิตมันโง่ทั้งสองฝาก พรากทั้งรูปทั้งนาม(อุภโตภาค)



    ดูธรรม เพื่อเห็น ภูเขาสองลูกและลำธาร ฮิวววววววววววววววววววววส์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2016
  6. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    การดูกาย เห็นกาย เห็นการทำงานของผัสสะกายตลอดจนเห็น เวทนากาย และเห็นเวทนาใจที่ปรุง (พอใจไม่พอใจ) จน วางกายไป วางเวทนาไป ได้ จนสติเห็นความคิด ดูความคิด ( ตอนที่ดูความคิดเนี่ย ก็ยังแยกสติออกนอกกายดูกายทั้งหมดเหมือนเดิมนะ แต่งานของสติ มันจะวิ่งไปดูความคิด เลย เพราะ ผ่านการ วางกาย วางเวทนากายมาแล้ว

    ทั้งหมดจากเริ่มแยกสติดูกายจน วางใจที่คิด เท่าที่ตนเองฝึกมาน่าจะใช้เวลาอยู่ 4ปีนะ
     
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เออ....ที่เล่ามานี้ ก็บอกแล้วไงว่า แค่ วางกาย วางเวทนา วางความคิดของใจ วางใจ

    ขั้นที่สี่ คือ ตัวสติรู้ ตัวจิตวิญญาณที่เอามาเป็นผู้รู้ผู้ดูเนี่ย ..ขั้นดูธรรม ยังไม่ได้เอามาพูดเลย.....อย่าสู่รู้ดิ
     
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    สภาวะที่เล่ามานี้ เหมือนฝึกแบบเดินจงกรม นั่นเอง ฝึกทั้งวัน ดูได้ตลอด

    ถ้าสามารถวาง กาย เวทนา ใจ ความคิด ได้...ก็เหมือนกับกับ คนที่นั่งสมาธิแล้ว เหลือจิตรู้เด่นดวงเดียว ในแดน ที่ว่างอันมีแสงสว่างตราค้างคาว นั่นเอง

    แต่ของเรา ถ้าวางกายเวทนาใจได้ มันคือฌาณคือญาณที่ไม่มีวันเสื่อม ...แม้ลืมตาก็อยู้ในสภาวะนั้น ไม่ต้องทรง ไม่ต้องเข้าต้องออก ไม่ต้องหาที่นั่งสมาธิ...เนี่ย เราต่างจาก พวกที่นั่งสมาธิ....แบบนี้นี่เอง
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ฮี้ ฮี้ ฮี้

    เชื่อเป่าฮับ ถ้า น้าวงกลมจุก ไป รายงานการภาวนา กับ พระ ท่านแบบนี้


    พระท่านจะแย็บถามว่า " ไหน กิเลส "

    ดูกาย ไม่เห็นกิเลส ราคะ ปฏิฆะ พยาปาทะ
    ดูจิต ไม่เห็นตัณหา อุปทาน
    ดูเวทนา ไม่เห็นความสิ้นไปของ มโน มานะ ปิติ ชูใจ อุปกิเลส10
    ดูธรรม ไม่เห็นอวิชชาสวะ

    อย่ามาพูดว่า ภาวนา พระท่าน จะรู้ว่า ก๊อปปี้ มาเป็นโวหาร ใส่ปากเฉยๆ
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทั้งหมดที่ผมฝึกมา ท่านพระครูเทพโลกอุดร ท่านฝากมาให้ผมฝึก....พอฝึกถึงตอนนี้ได้ถึงตอนนี้....หลายๆคนก็ ดีใจด้วย อนุโมทนาด้วย...แต่ไม่ยอมรับ ในวิธีที่ผมฝึก ..นายนิวรณ์ ก็ไม่ยอมรับ ตาขันธุ์ ตาหลง ตาวิมุตติ สันโดษ ก็ไม่ยอมรับ....ที่ยอมรับ มี ท่านขุนพล กับนางผึ้งto2045....ยอมรับสองคนเท่านั้น

    ทีนี้ พอจบวางกายเวทนาจิตใจ แล้ว..สติรู้ มันเด่นดวงอยู่นอกกาย นอกโลก ลอยออกจากโลก คือ อยู่กับความว่าง ของจักรวาล แต่ ไม่อยู่กับโลก ไม่อยู่กับกาย

    มันยังไม่จบสิ...เพราะที่เหลือคือสติรู้ หรือจิตวิญญาณในขันธุ์5 ล้วนๆ

    จนมีพุทธะหนึ่ง สุบรรณกุล มาช่วยชี้ทาง ชำระ อวิชชา...อีก4 5 ปีมั้งครับ จนเข้าถึงอนัตตาธรรม
    ช่วงมาเรียนกับพุทธะหนึ่ง...เนี่ยแหล่ะ...แม้แต่ท่านขุนพล นางผึ้งto2045 ก็ไม่เข้าใจในตัวผม


    อย่าแต่ นิวรณ์เอง ยัง ยิ่งไม่เข้าใจ....เขาพากันสงสัยว่า ผมทิ้งธรรมะ ไปทำไม...พะนะ
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ใครที่มาถามแบบนี้ แสดงว่า เขาไม่ได้เข้าใจ กระดิกงิกๆๆ ในเรื่องของ วงจร สมุปกิจบาท(เขียนไงเนี่ย)....ที่ผมเล่ามา มันรู้เห็นทุกตัวแหล่ะ เข้าใจดีด้วย...

    คนที่ถามน่ะ...มันบื้อต่างหาก เหมือนที่นิวรณ์เคยถามผม หลายคนเคยถามผมว่า...ปัญญามันเป็นตัวยังไง นั่นแหล่ะ.....เหมือนกัน คนถามมันบื้อ..:boo:
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ผมไม่รายงานกับพระหรอก....เพราะผมเชื่อว่า น้อยพระ นัก ที่จะฝึกสติปัฏฐานสี่ มาแบบที่ผมฝึก คงฝึกนั่งหลับ หรือหนีโลก เข้าสู่ เอกกัคตารมณ์ เหมือนกันหมด....เพราะผมเที่ยวอ่านตำรา พระทุกองค์ ไม่เห็นมีใคร ดูกาย ดูเวทนา ดูจิต...มาเหมือนที่ผมฝึกมาเลย
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กั๊กๆๆๆๆ

    สำเร็จธรรม แล้ว ต้องเที่ยว วิ่งไปกล่าวธรรม เพื่อให้ ใครก็ไม่รุ๊ มายอมรับ รับรองผล



    เฉยระเบิด ระเบ้อ !!!!
     
  14. นิพพิชฌน์55

    นิพพิชฌน์55 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +31
    เห็นหลายท่านคุยกันสนุกเลยหวังว่าคงได้สาระกันเยอะนะครับ ...

    แวะมาสรุปกระทู้ เดี๋ยวเขาจะว่าปล่อยปละละเลย
    โดยสรุปจากที่อ่านและเข้าใจ คือ

    วิสัยของพระอริยบุคคลท่านจะไม่พูดมากเกินความจำเป็น
    วิสัยของปุถุชนที่หนาแน่นด้วยกิเลสจะหาแก่นสารไม่ได้ ... หรือว่าง่าย ๆ คือ จะพล่ามไปเรื่อยโดยไม่มีการยอมรับฟังใคร ๆ คงประมาณนี้ ไม่ได้ว่าให้ใครนะครับ แต่ถ้าเข้าใครก็ช่วยไม่ได้ (กิเลสผู้นั้นจะรับเองหรอก)


    ส่วนความรู้จะต่างกันมากหรือน้อยนั้นในหัวข้อกระทู้ บางคนก็ว่ามากกว่า บางคนก็ว่าน้อยกว่า ... สรุปแล้วปฏิบัติให้เป็นพระอริยบุคคลเองก็คงจะตอบตนเองได้เนอะ (^ ^) ส่วนผู้อื่นจะเข้าใจอย่างไรนั้นก็ยกให้เป็นวิจารณญาณของท่านนะครับ อย่าได้ซีเรียสถือว่าเป็นการแวะเวียนมาสนทนากัน (^_^)
     
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    พระที่ไหนๆๆ ก็จะพูดเหมือนกันว่า....อย่าพูดมาก ไปปฏิบัติ เดี๋ยวรู้เอง

    แต่ที่ผม เชื่อศรัทธา..มีหลวงปู่ฝั้น องค์เดียว ที่ แสดงธรรมได้ ง่ายๆ ตรงๆ ไม่รบกวนศาสดา

    ท่านกล่าวแค่ ใจที่สุข อยู่ที่ไหนก็สุข ใจที่ดี อยู่ที่ไหน ก็ดีหมด....อนุโมทนา
     
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เนี่ย มันก็คิดได้เพียงแค่นี้ แหล่ะ สำหรับ คนชื่อนิวรณ์...แล้วก็เอาตาทิพย์ไปส่องดูวิญญาณชาวบ้าน อาบน้ำ นอนกับสามีภรรยา ของชาวบ้าน ต่อไป...อิอิ
     
  17. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ส่วนหลวงปู่มั่น...ท่านก็พยายามทำหน้าที่ นำพาลูกศิษย์ของท่าน...เหมือนกิจของพุทธะ....แต่ ในตำรา กล่าวว่า ท่านลาพุทธะภูมิ....ก็ เพราะการสอนศิษย์ การช่วยคนอื่น การเข็ญภูเขาขึ้นครก มันหนักหนาสาหัส กว่าเอาตัวเองให้รอดคนเดียวเป็นไหนๆ.....แต่ก็นั่นแหล่ะ...ท่านเคยอธิฐาน มาแบบนั้น
     
  18. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    สาวกทุกคน ล้วนต้องการทำได้ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านทำ
    แต่ทั้งหมด วัดกันที่ ปัญญาของคนคนนั้น...พระพุทธะเปรียบดังแสงจากดวงอาทิตย์
    พระโพธิสัตว์เปรียบดั่งแสงแห่งจันทรา มี ขึ้น มีแรม แล้วแต่ อารมณ์
    พระอรหันต์เปรียบเหมือนแสงหิ่งห้อย ช่วยเหลือตัวเองให้รอด และคนที่ศรัทธาบ้าง
    ส่วน ต่ำกว่า พระอรหันต์ก็ เอาสวรรค์ เป็นที่ พักข้างทาง ไปก่อน
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ดวงอาทิตย์ให้ความเสมอภาค ส่องแสงตลอดเวลา ใครจะรับแบบไหนก็ จัดสรรกันเอง โลกหมุนรับทุกด้าน แต่ก็ ไม่เท่าเทียม เป็น กลางคือ มีมืดมีสว่าง ทั่วกัน..แต่ก็ยังไม่เท่าเทียม มีฤดูกาลต่างๆ อุณหภมิที่ต่างกัน...นั่นเพราะกรรมจัดสรร กรรมกำหนดชีวิตของแต่ละคน
    ดวงจันทร์ แม้อยากให้แสงสว่าง ในคืนที่มืดมิด..แก่ชนชาวโลก..แต่กฏ การมีตัวตนของดวงจันทร์ ก็ไช่ว่าจะทำตามใจตนได้...นั่นเพราะ แสงแห่งดวงจันทร์ ไม่ไช่แสงที่มีในตน....แต่อาศัย เจตนาแห่งเมตตาคือ ดวงใหญ่กว่าดาวอื่นๆ..เป็นแค่ทางผ่านของแสง แต่อยากกระจายแสงส่องโลกที่มืดให้สว่าง..สงเคราะสรรพสัตว์ เวลาที่โลกมืด แต่ก็ยัง ตามใจตนเองไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2016
  20. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    สาธุครับ อ่านที่คุณเขียนแล้วทุกตอนครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...