วิสัยของพระอริยบุคคล กับ ปุถุชน จะต่างกันมากหรือน้อย อย่างไร?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นิพพิชฌน์55, 18 เมษายน 2016.

  1. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014




    หากไม่ได้ อยู่ร่วมกันมาก่อน
    จะไม่รู้เลยว่า ใครเป็นพระอริยะ

    หากได้สนทนา โดยไม่มุสาวาท ทั้งสองฝ่าย
    ก็พอเดาได้บ้าง

    พระพุทธเจ้า บอกว่า
    ไม่ควรสอนธรรมะ ให้แก่ผู้ที่ไม่ขอ
    ถึงขอแต่ไม่เคารพ ก็ไม่ควร
    จะกลายเป็นบาปเปล่าๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 เมษายน 2016
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ขอ อำไพ ฮับ

    ไม่ใช่ พระพุทธองค์กล่าวว่า " ไม่ควรสอนธรรม ให้แก่ผู้ไม่ขอ "

    พระพุทธองค์เน้นไปทาง " ให้แสดงธรรม ให้แก่ผู้มีอุปการะคุณ แก่ พุทธบริษัท "

    มันจะต่างกัน

    สมมติ คนที่ไม่เคย อุปการะ ไม่เคยให้ข้าว ปลา อาหาร แก่ พุทธบริษัท
    แล้วมานั่ง ขอ ฟังธรรมะ อันนี้ ...มันขาด ราก บางอย่าง ฟังธรรมให้
    ตายก็ไม่สามารถทำให้เขาบรรลุได้

    และ การวางจิตของ ผู้แสดงธรรม ก็จะผิด ไม่ใช่ การตอบแทนคุณ
    มันจะเป็นเรื่อง มิจฉาอาชีวะ ทันที หากการแสดงธรรมนั้น ไปแสดง
    ต่อผู้ที่ไม่เคยมี บุพกรรมบางประการ แก่บริษัทสี่ เรียกว่า ขวนขวาย
    นอกเขตสัมมาทิฏฐิ จัดเป็นภัยทำลายศาสนา ทันที


    ดังนั้น หากมีคนขอฟังธรรม แล้ว คนๆนั้น ไม่เคยทำบุญกับพุทธบริษัท
    สี่มาก่อน อันนี้ให้ เว้นขาด ถ้าไปแสดง ก็จะเป็นภัยแก่พุทธบริษัททั้งหมด

    ในเชิง จิตวิทยา เรียกว่า เขาเข้ามาตรวจสอบว่า เรามุ่งเอาศรัทธาเข้ารุกราน หรือเปล่า
    ถ้าใช่ ในลักษณะ จิตวิทยาความมั่นคงของรัฐ(สังคม บ้าน ฯ) จะถือว่า ไปมอมเมา หรือ ก่อกบฏ
    คิดปราบดาตนเป็น จ้าว .....( เอาศรัทธามอมเมา แล้วเรียก ทรัพย์ ลาภ สักการะ ทีหลัง )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2016
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อ่านจบแล้ว สรุปว่า....ผู้แสดงธรรม ที่มีเจตนาเอาค่าตอบแทน..ผิดหมด
    แล้วที่ไปกล่าวหาว่า คนมาขอฟังธรรม เขาเข้ามาเจตนาหาจุดอ่อน...ก็จะ เข้ากันเป๊ะ เลย

    สรุป ตุ๊บตั๊บตอนท้าย เลยกลายเป็น พวกไม่ มีเจตนาดีทั้งสองฝ่าย..
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อย่างกรณี อุปชีวก มีการยกเรื่อง แลบลิ้น ปลิ้นตา โดยเอา ประเพณีไทย ไปจับ
    ก็เลย สำคัญว่า อุปชีวก แสดงอาการไม่เคารพ

    ซึ่ง คนละเรื่อง ประเพณีอินเดีย บางหมู่ การแลบลิ้น ปลิ้นตา เป็นการแสดง
    ความเคารพ เลื่อมใส ชนิด จับเข่าคุยกัน สำคัญเป็น สหายสนิท ( ซึ่ง หาก
    ไปดู พวก อบอริจิน ของ ออสเตเรีย ก็จะเห็น พฤติกรรมนี้ ในทำนองนี้ได้ )

    อุปชีวกะ เคารพ พระศาสดาอย่างมาก ถึงกับ ตั้งชื่อให้พระพุทธองค์เพื่อ
    การระลึกถึงไม่ลืมเลือนว่า " อนันตชิน " ( บริกรรม พุทโธ คนแรกสุด แต่
    ไม่ใช้คำว่า พุทโธ ใช้คำว่า อนันตชิน บริกรรมในจิต จนอินทรีย์ของ อุปชีวก
    ผ่องใส ในพระสูตรระบุว่า บริกรรม จนเกิดฉับพลันรังศี จนนายพราณคนหนึ่ง
    ขอติดตามอุปฐาก )

    และ อุปชีวะ นี่ สุดท้าย กลับมาฟังธรรม แล้วได้ อนาคามี
    ( ซึ่ง ก็แปลกหน่อย ตรงที่ เหตุของการละได้ คือ มานะ ...มรรคผลที่ได้
    จึงไม่ควร อนาคามี ด้วยซ้ำ )



    ปล.ลิง : น้องๆ หนูๆ ที่ งง เรื่อง อุปชีวกะ ตกลง ปรามาส หรือ เลื่อมใสอย่างยิ่ง กันแน่
    อันนี้ น้องๆหนูๆ ต้อง ค้นคว้า หลายๆสำนวน หลายๆ พระสูตร .......หากอ่าน พระสูตร
    เดียว แล้ว ตื๊บ เลย ตัดสินเลย ประมาท นะฮับ ระวังจะเป็น โรคฝุ้งซ่านตั้งกระทู้ไม่เลิก
    เพราะ เผลอปรามาสพระอริยะ โดยไม่รู้ตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2016
  5. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ก็ มานะ มันมีหลายประเถท ของมานะ....ก็ดีแล้วที่ฟังแล้ว ถึงอนาคามีได้จริง

    ส่วนมาก คนสมัยนั้น เขาบวชใจ เป็นฤาษีชีพราหมณ์ ฝึกฤทธิ์กัน ไปทั่ว

    แบบว่า ฝึกฌาณเป็นพื้นฐานจากศาสนาอื่น มาก่อน

    จะเห็น่ว่า48000 พระธรรมนั้น ล้วนเป็น ปัญญาแก้ข้อสงสัย ให้กับผู้ฝึกกายฝึกจิต จากศาสนาอื่นมากกว่า ที่ จะเอา สติปัฏฐานสี่ มาถาม

    พระพุทธองค์ตอบเพื่อ แก้ความเข้าใจผิดของคนอื่น ให้เข้าใจถูก คือ ดึงเข้าสู่เส้นทางแห่งสัมมาทิฐิ ซะมากกว่า
     
  6. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014



    พระที่ไม่รู้ สอนสิ่งที่ไม่รู้
    แล้วใครจะรู้ตามละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 เมษายน 2016
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็รู้ตาม " ว่าไม่รู้ " เท่านั้นที่เกิด เท่านั้นที่ดับไป

    " รู้ว่า ไม่รู้ " สุดยอดการรู้ เป็น กิจในอริยสัจจ คือ รู้ว่านั่นทุกข
     
  8. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014



    พระที่รู้ สำเร็จ ปริญญา
    หากสอนความรู้ปริญญาแก่ อนุบาล
    ซ้ำ เด็กอนุบาล ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจ
    พระจะสอนได้ไหม
    แต่ถ้าสอนได้ เค้าจะรู้ตามได้ไหม

    สรุปคือ ไม่ถึงเวลา ไม่ควรกล่าวธรรมะชั้นอริยะ
    แม้ถึงเวลา แต่คนรับไม่คู่ควร ก็ไม่ควรกล่าวเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 เมษายน 2016
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    รู้ว่าไม่รู้ คือ อะไร

    หากไปแปลเป็น คำไทย ไม่รู้ คือ ไม่เคยปฏิบัติ ประจักษ์ ก็ ไปโน้นนนนนน

    แต่ถ้า ไม่รู้ เขาหมายถึง อวิชชา

    การรุ้ " อวิชชา " หรือ กำหนดรู้ จิตอวิชชา เนี่ยะ คือ สุดยอดการรู้ เป็นกิจ
    ในอริยสัจจ ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดา ....เรื่อยไป อนาคามี ก็ต้อง กำหนดรู้ อวิชชา
    ไปตลอดสาย หากยังไม่จบกิจ

    แต่พวก จานลาย พอได้ยินคำว่า " ไม่รู้ " สาดเอ้ยยยยยยยย ส ใส่เกือก แปลไปโน้นนนนน

    อาย หนา สันติ !!!
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ไม่รู้ล่ะ...รู้แต่ว่า นายนิวร ดูท่าจะเพี้ยนๆๆ:boo: หรือเป็นเพราะ อากาศร้อนไปนีสสสสนึง
     
  11. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014




    ตัวท่านเอง พึ่งกล่าวถึง บัวสี่เหล่า
    ผู้ที่เข้ามาอ่าน ก็มีทั้งสี่เหล่าเหมือนกัน
    โอกาสบรรลุธรรมย่อมมี แต่น้อยมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 เมษายน 2016
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ดริฟ แบบไม่เข้าเกียร์....ยังกล้าทำ

    เขาถามมาว่าพระที่ไม่รู้ สอนไปแล้วคนได้อะไร...กลับ เหยียบคันเร่งตอบแบบไม่เข้าเกียร์ว่า เป็นสุดยอดของอริยสัจ....ไปจำคนอื่นมาพูดอีกละ...อิอิ
     
  13. ศีลทำ

    ศีลทำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2016
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +6
    คนตาบอดสอนคนตาบอดว่าช้างเป็นยังไง มันจะรุ้ความจริงใหมว่าช้างเป็นยังไง? ในเมื่อมันบอดทั้งคู่ คนตาดีมองเห็นช้างสอนคนตาบอดว่าช้างเป็นยังไง สอนให้ตายคนตาบอดจะเห็นช้างใหม รู้จักช้างใหม? เด็กน้อยเฝ้าถามว่ากระต่ายบนดวงจันทร์สีอะไร ผู้ใหญ่เฝ้าบอกว่าบนดวงจ้นทร์ไม่มีกระต่าย เด็กมันจะเชื่อไหมก็มันเถียงว่ามันเห็นอยู่ตามจินตนาการของมัน ผู้ใหญ่จะบอกยังไง?
     
  14. นิพพิชฌน์55

    นิพพิชฌน์55 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +31

    กมฺมุนา วตฺตติโลโก ... (- -)
     
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    กำหนดรู้ อวิชชา......ถามหน่อย อวิชชาที่ให้กำหนดรู้ตลอดสายไปเนี่ย.... อวิชชาที่ว่า คือ อะไร ถ้าคือจิตอวิชชา แล้ว ไอ้ตัวจิตอวิชชาเนี่ย ต้องเริ่มกำหนดรู้ยังไง ตัวจิตอวิชชามันอยู่ ที่ไหน กำหนดมาดูได้อย่างไร

    อธิบายมา อย่าได้แค่ไปจำคนอื่น มาพูด....นะ คุณนิวรณ์ที่ชอบส่องแอบดูชาวบ้าน (อีแอบ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2016
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    และอีกอย่าง นายนิวรณ์ ไม่เคยใช้คำว่า กำหนดรู้ เอามาใชั มันพูดแต่ ดูจิตไปเนืองๆๆๆ

    สมัยที่ผม พูดว่า ให้กำหนด เอาจิต ไว้นอกกาย สร้างเป็นรูปร่างจำลองของตน แล้วกำหนดเอาตาไปไว้ที่ร่างจำลอง แล้วกำหนดให้ร่างจำลองมองดูที่ร่างจริงของตนเอง ในมุมมองที่มองเห็นจากร่างจำลอง คือดูกาย ดูเวทนา ดูจิต ดูธรรม.....นิวรณ์บอกว่า มันเป็นการเพ่งซ้อนการเพ่ง...ไร้สาระ ว่างั้น

    นิวรณ์ เคยสอนแต่ ระลึกรู้ดูจิตเกิดดับ อยู่เนืองๆ....โน่น..จนตกหน้าผาตาย เจอเหวลึก เลย

    มาตอนนี้ ยอมรับแล้ว ว่า มีนิสัยแอบส่องดูชาวบ้านเขาอาบน้ำ แอบดูชาวบ้านเขานอนกะเมีย

    ดูท่า นายนิวรณ์ อาจจะเป็นโรคจิต แอบส่องดู สมาชิก สาวๆ ไปทั่วเลย

    ปล.ลิง ให้ทุกคน ระวังตัวด้วยนะครับ....
     
  17. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    นิวรณ์ คือ อาย หนา สันติ (มันไม่กล้าด่าคนอื่นตรงๆ อ้ายหน้าส้นต....)
     
  18. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทุกการกำหนด เขาเรียกว่าคิด เกิดเจตสิกขึ้น หนึ่งครั้ง
    การทรงอารมณ์นั้นให้อยู่ ช้าหรือ นาน ก็คือ จะคิดได้กำหนดอยู้ได้นานแค่ไหน ระยะเวลาคือ ความสงบที่รักษาเอาไว้ได้ คือฌาณ...
    ฌาณที่สั้นๆ กำหนดเวลาได้น้อยได้มาก ไม่ไช่สาระ จะเรียกว่าการคิดนั้น การทรงอารมณฺนั้น การรักษาสภาวะนั้น เป็นฌาณได้ก็ต่อเมื่อ ฌาณนั้นให้ผลคือญาณ(ปัญญา)กับผู้ทรงฌาณนั้น

    แต่ถ้าฌาณนั้น กำหนดมา รักษาสภาวะมา แต่ไม่ได้ผลอะไรคือ ล่มกลางทาง ล่มปลายทาง ไม่เกิดปัญญาอะไร เขาไม่เรียกว่าฌาณ...เรียกแค่ ทำความสงบ อยู่ในความสงบ โดยพิจารณาดู อะไรแล้ว ไม่เกิดผลปัญญาอะไร..นี่ไม่เรียกว่าฌาณ

    ดังนั้น แม้นจะนั่งสมาธมาร้อยปี แต่เมื่อพิจารณา วิปัสนาไม่เป็น ดูกาย ดูเวทนา ดูจิต แล้ว ปล่อยวาง ก่ย เวทนา จิต ไม่ได้เลย...นั่นคือ ได้แค่ทำสมาธิ ทำฌาณ แต่ไม่เกิดฌาณ ไม่เกิดญาณปัญญา
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ยกตัวอย่าง การคิด หรือการกำหนด ....ที่ผมกำหนด(คิดจินตนาการ) สร้างร่างจำลองตนเองในชุดขาว หันหน้าเข้าหาร่างจริง ร่างจำลองห่างไป สามเมตร....นี่คือคิด(คิดเป็นรูปเป็นร่าง) นี่คือความคิด
    แล้วกำหนดเอาสติที่อยู่ในร่างจริง ก็คือเหมือนความรู้สึก ผัสสะใจ สมมุติเป็นดวงตาย้ายไปที่ร่างจำลอง( แทนที่ในจิตเราจะเห็นมุมมองจากร่างจริง ก็เปลี่ยนไปอยู่ที่มุมมองของร่างจำลอง ในมุมมองที่มองเห็นร่างจริง มันเคลื่อนไหว ทำกิจกรรม) ข้อดีคือ ทุกกืรืยาท่าทางของกายจริงเห็นหมด(ไม่ต้องหลอกลวงจิตตัวเอง เพราะดูร่างจริงอยู่แล้ว)และได้รับรู้ทุก เวทนาของกาย ของร่างจริง แต่ จิตที่รับรู่มาถึงร่างจำลอง อาจเหลือเพียง สิบเปอร์เซน

    จากที่ผมอธิบายมา ใครทำได้ กายจะบา จิตจะเบา รู้เห็นความเป็นจริงของกาย และของเวทนากาย ทั้งหมด (พูดว่า...เห็นทั้งหมด ไม่ต้องไป แยกอวัยวะใดๆ นี่คือเห็นตามจริง)
     
  20. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทีนี้ สาระสำคัญ ก็คือ...การรู้ตัว ตาม ทุกอิริยาบททุกวินาที เป็นเช่นไร

    เวลาที่เราแยกจิตออกดูกาย เราก็รู้
    เวลาคนอื่นเข้ามาคุย ด้วย เราก็รู้
    เวลาที่เราอยากคุยกับคนอื่น เราก็ยุบร่างจำลองลงมารวมกับกาย ค่อยคุย ...เราก็รู้
    คุยกับคนอื่นอยู่ โดยมีจิตรวมกับกายเราก็รู้ ดูกายตนเองไปด้วย ดูเวทนาตนเองไปด้วย ดูตนเองกำลังคุยกับคนอื่นไปด้วย (คือรู้ตัวทั้งหมดว่าตนเองทำอะไรอยู่) จนคุยกันจบก็รู้
    เวลาที่คุยจบ เราก็แยกจิตออกไปเป็นร่างจำลองอีกครั้ง เราก็รู้ ดูกายอีกครั้งเราก็รู้ ถ้าจะเอาจิตเข้ามารวมกับกาย เมื่อไหร่ เพื่อไปกิน ไปนอน ไปห้องน้ำ...เราก็รู้


    เรารู้มันทั้งวันอยู่อย่างนี้....นี่..ทำได้มั้ยแบบนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...