+++Premium พระเครื่องราคาพิเศษ(ปิดกระทู้ชั่วคราว)

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย dekdelta2, 13 กันยายน 2009.

  1. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 525 เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่จันดี วัดเพลงวิปัสสนา(ป่าหินเกิ้งวิปัสสนา)

    ออกปี 2517 ท่านเป็นศิษย์สายพระอาจารย์มั่น ที่อัฐิธาตุเป็นพระธาตุอีกรูปหนึ่ง

    ให้บูชา 200 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0085.jpg
      scan0085.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.6 KB
      เปิดดู:
      143
    • scan0086.jpg
      scan0086.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.9 KB
      เปิดดู:
      128
  2. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 526 เหรียญใบโพธิ์ ครูบาสุรินทร์ วัดศรีเตี้ย

    พระครูวิมลศรีลาภรณ์ (ครูบาสุรินทร์ สุรินโท)

    เดิมเมื่อยังเป็น ฆราวาสมีชื่อว่าเด็กชายสุจา เสมอใจ เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2441 ตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำเดือนเกี๋ยงเมือง ปีเส็ด จุลศักราช 1260
    ณ บ้านศรีเตี้ย แขวงป่าซาง เมืองลำพูน มณฑลพายัพ

    บิดา ชื่อ พ่อทิพย์ มารดาชื่อ แม่จันตา มีพี่น้องร่วมครรภ์เดียวกัน 7 คน เด็กชายสุจาเป็นคนที่ 5 มีพี่ชาย 3 คน พี่สาว 1 คน และมีน้องสาว 2 คน

    เมื่อ ยังเป็นเด็กชายสุจา ท่านมีสุขภาพสมบูรณ์ และมีความจำเป็นเลิศ ตอนอายุ 7 – 8 ขวบ ได้ออกเลี้ยงควายตามประสาลูกชาวนา ฝูงควายในท้องทุ่งจำนวนมาก ท่านสามารถแยกแยะออกและบอกได้ว่าควายตัวใดมีใครเป็นเจ้าของ และควายตัวใดเป็นลูกของแม่ควายตัวไหนด้วย ข่าว นี้ทราบถึงครูบาตุ้ย ญาณวิชโย เจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย ท่านครูบาคิดเห็นว่า เด็กน้อยสุจานี้เติบโตขึ้นจะเป็นบุรุษที่จะช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาได้ จึง เรียกหาตัวและชักชวนให้เข้าวัด เป็นเด็กวัดศรีเตี้ยเมื่ออายุได้ 9 ขวบตั้งแต่นั้นมา เด็กชายสุจาได้เล่าเรียนอักขระล้านนา (ตั๋วเมือง) จนสามารถจำและอ่านพระธรรมคัมภีร์ต่างๆ ได้ดี

    เมื่ออายุครบ 13 ปี ในปี พ.ศ.2453 ก็ได้บรรพชาในสำนักครูบาตุ้ย ญาณวิชโย วัดศรีเตี้ย สามเณรสุจาตั้งใจอุตสาหะพากเพียรท่องจำ และทำความเข้าใจ สามเณรสิกขา เสขิยวัตร และปฏิบัติเคร่งในศีลสามเณร 10 ประการ ทั้งท่องจำสวดมนต์สิบสองตำนานได้ด้วย

    ครูบาตุ้ย ญาณวิชโย เจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย มีความคิดเห็นว่าสามเณรสุจาสนใจในการเล่าเรียน และพากเพียรปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐาน จึงส่งเสริมเสริมศิษย์โปรดให้ไปเรียนในสำนักครูบาไชยลังกา วัดศรีชุมผามงัว เมืองลำพูน ซึ่ง สามเณรสุจาก็ได้เรียนภาษาสยาม จากครูบาอาจารย์ในสำนักเรียนนี้ และได้ร่ำเรียนมูลกัจจายนะ สัททาสนธิ อันเป็นหลักสูตรภาษาบาลีระบบการศึกษาล้านนาในอดีตด้วย แต่การเรียนภาษาสยาม และบาลีมูลกัจจายนะของสามเณรไม่ก้าวหน้า เพราะท่านสนใจวิชชาวิปัสสนามากกว่า ท่าน จึงลาออกจากสำนักครูบาไชยลังกา ไปศึกษาเล่าเรียนวิชชาวิปัสสนากัมมัฏฐาน ในสำนักครูบากันธา คนธวํโส วัดต้นผึ้ง แขวงป่าซาง เมืองลำพูน

    ถึง ปี พ.ศ.2462 สามเณรสุจาอายุได้ 21 ปี ครบปีบวชเป็นพระภิกษุ ท่านก็กลับมาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดศรีเตี้ย ตำบลบ้านโฮ่ง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน (ตำบลบ้านโฮ่งได้ยกฐานะเป็นอำเภอบ้านโฮ่ง เมื่อ พ.ศ.2499) ครูบาตุ้ย ญาณวิชโย เจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย เป็นพระอุปัชฌายะ พระอธิการคำ คมภีโร วัดร้องธาร อำเภอป่าซาง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการกันธา คนธวํโส วัดต้นผึ้ง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้นามฉายาที่พระอุปัชฌาอาจารย์ตั้งให้ว่า พระภิกษุสุรินทร์ สุรินโท

    เมื่อ บวชอยู่ได้ 5 พรรษา ท่านก็ได้นิสสัยมุตตกะ จึงได้พร้อมกับกัลยาณมิตรขอท่าน ได้แก่ พระปันแก้ว รตนปญโญ (ครูบาปันแก้ว วัดปทุมสราราม) พระพรหมมา พรหมจกโก (ครูบาพรหมจักร วักพระบาทตากผ้า) พระจันโต กาวิชโย (ครูบากาวิชัย วัดวังสะแกง) พระคำ คนธิโย (ครูบากันธิยะ วัดดงหลวง) และพระอุ่นเรือน สิริวิชโย (ครูบาอุ่นเรือน วัดสันเจดีย์ริมปิง) เป็นสหธรรมมิกภิกขุปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ธุดงควัตร ออกจาริกไปบำเพ็ญเพียรและ อนุสาสน์สั่งสอนหลักการปฏิบัติ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแก่พุทธบริษัทในแขวงต่างๆ ของเมืองลำพูน และหัวเมืองใกล้เคียงเป็นเวลา 3 ปี

    ถึงปี พ.ศ.2470 เมื่อครูบาตุ้ย ญาณวิชโย เจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย ถึงแก่มรณภาพ ในปีที่พระสุรินทร์ สุรินโท มีอายุได้ 29 ปี 8 พรรษา ท่าน ก็ทำหน้าที่ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย และได้จัดงานทำบุญถวายเพลิงศพครูบาตุ้ย ญาณวิชโย พระอุปัชฌายะ เสร็จสิ้นในปี พ.ศ.2474 แล้วเจ้าคณะเมืองลำพูน กับผู้สำเร็จราชการเมืองลำพูน ได้ออกตราตั้งให้พระสุรินทร์ สุรินโท ดำรงสมณศักดิ์ที่ พระอธิการสุรินทร์ สุรินโท ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย ให้มีหน้าที่เจ้าอาวาสตามมาตรา 13 และมีอำนาจปกครองวัดตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองสงฆ์ ร.ศ.121 และ ท่านก็สืบทอดแบบอย่างขนบธรรมเนียมปกครองวัดตามอย่างครูบาตุ้ย ญาณวิชโย ผู้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านด้วย ตลอดเวลาที่เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ยก็สั่งสอนพระภิกษุสามเณร เน้นหนักอบรมทางวิปัสสนาธุระ และสั่งสอนอบรมศรัทธาชาวพุทธของวัด ทางสมถกัมมัฏฐานพอเป็นทางสงบใจ ทั้ง เป็นผู้อำนวยการทางคันถธุระแผนกปริยัติธรรมนักธรรมและบาลี ส่วนด้านสาธารณูปการท่านเพียงแต่บูรณะปฏิสังขรณ์และก่อสร้างเสนาสนะสงฆ์ สถานพุทธาวาสที่สำคัญและจำเป็นเท่านั้น เพราะอัธยาศัยของท่าน เป็นพระสมณที่ดำรงตนสมถะเรียบง่าย ฉันน้อย ใช้น้อย แต่ทำประโยชน์ใหญ่

    ครู บาสุรินทร์ สุรินทเถระ ได้อุทิศตนบูชาพระพุทธศาสนา โดยมั่นอบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์และศรัทธาชาวพุทธให้ดำรงตนในศีลธรรมคำสั่ง สอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เป็นศาสนิกชนที่ดีของพระศาสนา เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ ท่านเทศนาสั่งสอนปลูกฝังความรักซึ่งกันและกัน ในยามตกทุกข์ได้ยาก เจ็บไข้ได้ป่วย ยามแก่เฒ่าชรา และให้รักกันแม้จะมีใส่ร้ายยุแหย่ให้แตกสามัคคีก็ไม่มีแหนงหน่ายกัน ความรักอันนี้เป็นรากฐานศิลา แห่งเมตตาของมนุษย์ อันภาระพระพุทธศาสนาทั้งสองประการที่ท่านได้กระทำบำเพ็ญมาถึงขีดจรรโลงพระพุทธศาสนา เป็นผลให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่สืบต่อจิระฐิติกาล ทราบถึงพระคณาธิการฝ่ายปกครองคณะสงฆ์ระดับแขวง เมือง มณฑล ฉะนั้นในปี พ.ศ.2481 ขณะที่ท่านสุรินทร์อายุได้ 40 ปี 19 พรรษา จึง ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูสมณศักดิ์ชั้นประทวน (จปร.) นามว่า พระครูสุรินทร์ สุรินโท และพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี เจ้าคณะมลฑลพายัพ ได้นำพัดยศประทวน (จปร.) มามอบให้ท่านท่ามกลางสังฆสันนิบาต ณ พระวิหารหลวงวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ซึ่ง พร้อมกับนำ พระมหาสำรี (อมร) (พระสุเมธมังคลาจารย์) มาเป็นพระคณาจารย์ประจำสำนักเรียนเมืองลำพูน กาลเวลาล่วงไปอีก 40 ปี ถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา
    พระบาทสมเด็จฯพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า รัชกาลที่ 9 แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2521 พระครูสุรินทร์ สุรินโท ก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พระครูสัญญาบัตรพัดยศชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาที่ พระครูวิมลศรีลาภรณ์ ในขณะที่ครูบามีอายุได้ 80 ปี 59 พรรษา

    พระครูวิมลศรีลาภรณ์ เป็นพระเถระที่มีความเจริญพร้อมด้วยชนมายุ ด้วยคุณธรรม ความรู้ ความสามารถเป็นเถรัตตัญญู
    ทรงไว้ซึ่งศีลาธุคุณ สมาธิคุณ และวิปัสสนาคุณ รอบรู้แตกฉานในกิจพระศาสนา แบบแผนประเพณี เปี่ยมด้วยเมตตาพรหมวิหาร จึง มีกิตติศัพท์ปรากฏไกล เป็นครูฐานิยบุคคลที่พึ่งที่เคารพของอเนกศิษย์ศรัทธาสาธุชนทั่วไป ทั้งในจังหวัดลำพูนและต่างจังหวัดทั่วประเทศ

    พระครูวิมลศรีลาภรณ์ได้มรณภาพลงตามสภาพหลักธรรมสังขารอันปรุงแต่งด้วยโรคชราเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2532 เวลา 01.40 น. ณ วัดศรีเตี้ย และได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุฌาปนสถานชั่วคราว สนามสุรินโท วัดศรีเตี้ย อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน มีนายสว่าง อินทรนาค ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนเป็นประธานในพิธี บนเส้นทางชีวิตของท่านครูบาสุรินทร์ สุรินโท นั้น เป็นบัณฑิตในธรรมย่อมกล่าวได้อย่างไม่เคอะเขินว่า เป็นสายสัมมาอริยมรรค คือมัชฌิมปฏิปทา ไม่หละหลวมหย่อนยาน ไม่เคร่งตึงเครียด และคำอุศาสน์สั่งสอนของครูบามีอรรถเหมือนหนึ่งท่านเรียนจนจบพระไตรปิฎก เป็นอนุศาสนีปาริหาริยะโดยแท้ ดียิ่งกว่าของขลังศักดิ์สิทธิ์ เพราะคำสั่งสอนนั้นออกฤิทธิ์ได้จริง สมคารที่ศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนทั่วไป จดจำนำไปศึกษาปฏิบัติตามแนวทาง เป็นพลเมืองดีของชาติ มีความรักสมัครสมานเกื้อกูลกันและกัน เสมือนหนึ่งญาติมิตรครอบครัวใหญ่ของศรัทธาสาธุชนทั่วไป ถึง แม้ท่านครูบาสุรินทร์ สุรินโท จะจากไปตามสัจจธรรมสังขารของร่างกายของท่าน แตกดับสูญ แต่บุญคุณความดีปฏิปทาจริยาวัตรที่ดีงามของท่านยังปรากฏอยู่คู่โลกนี้สืบต่อ ไปตลอดกัลปวสานฯ


    ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ ที่บริสุทธิ์ผุดผ่องมากๆ ครับ. ท่านเป็นสหธรรมิก กับ พระอริยสงฆ์ เช่น พระปันแก้ว รตนปญโญ (ครูบาปันแก้ว วัดปทุมสราราม)พระพรหมมา พรหมจกโก (ครูบาพรหมจักร วัดพระบาทตากผ้า)พระ จันโต กาวิชโย (ครูบากาวิชัย วัดวังสะแกง) พระคำ คนธิโย (ครูบากันธิยะ วัดดงหลวง) และพระอุ่นเรือน สิริวิชโย (ครูบาอุ่นเรือน วัดสันเจดีย์ริมปิง) โดย ทุกท่านๆ เป็นสหธรรมมิกภิกขุปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ธุดงค -วัตร ออกจาริกไปบำเพ็ญเพียร และอนุสาสน์สั่งสอนหลักการปฏิบัติ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแก่พุทธบริษัทในแขวงต่างๆ ของเมืองลำพูน และหัวเมืองใกล้เคียงเป็นเวลา 3 ปี

    ถึงปี พ.ศ.2470 เมื่อครูบาตุ้ย ญาณวิชโย เจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย ถึงแก่มรณภาพ ในปีที่พระสุรินทร์ สุรินโท มีอายุได้ 29 ปี 8 พรรษา ท่านก็ทำหน้าที่ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย และได้จัดงานทำบุญถวายเพลิงศพครูบาตุ้ย ญาณวิชโย พระอุปัชฌายะ เสร็จสิ้นในปี พ.ศ.2474 แล้ว เจ้าคณะเมืองลำพูน กับผู้สำเร็จราชการเมืองลำพูน ได้ออกตราตั้งให้พระสุรินทร์ สุรินโท ดำรงสมณศักดิ์ที่ พระอธิการสุรินทร์ สุรินโท ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย ให้มีหน้าที่เจ้าอาวาสตามมาตรา 13 และมีอำนาจปกครองวัดตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองสงฆ์ ร.ศ.121 และท่านก็สืบทอดแบบอย่างขนบธรรมเนียมปกครองวัดตามอย่างครูบาตุ้ย ญาณวิชโย ผู้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านด้วย ตลอดเวลาที่เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย ก็สั่งสอนพระภิกษุสามเณร เน้นหนักอบรมทางวิปัสสนาธุระ และสั่งสอนอบรมศรัทธาชาวพุทธของวัด ทางสมถกัมมัฏฐานพอเป็นทางสงบใจ ทั้งเป็นผู้อำนวยการทางคันถธุระแผนกปริยัติธรรมนักธรรมและบาลี ส่วนด้านสาธารณูปการท่านเพียงแต่บูรณะปฏิสังขรณ์และก่อสร้างเสนาสนะสงฆ์ สถานพุทธาวาสที่สำคัญและจำเป็นเท่านั้น เพราะอัธยาศัยของท่าน เป็นพระสมณที่ดำรงตนสมถะเรียบง่าย ฉันน้อย ใช้น้อย แต่ทำประโยชน์ใหญ่

    ครู บาสุรินทร์ สุรินทเถระ ได้อุทิศตนบูชาพระพุทธศาสนา โดยมั่นอบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์และศรัทธาชาวพุทธให้ดำรงตนในศีลธรรมคำสั่ง สอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เป็นศาสนิกชนที่ดีของพระศาสนา เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ ท่านเทศนาสั่งสอนปลูกฝังความรักซึ่งกันและกัน ในยามตกทุกข์ได้ยาก เจ็บไข้ได้ป่วย ยามแก่เฒ่าชรา และให้รักกันแม้จะมีใส่ร้ายยุแหย่ให้แตกสามัคคีก็ไม่มีแหนงหน่ายกัน ความรักอันนี้เป็นรากฐานศิลา แห่งเมตตาของมนุษย์ อันภาระพระพุทธศาสนาทั้งสองประการที่ท่านได้กระทำบำเพ็ญมาถึงขีดจรรโลงพระ พุทธศาสนา เป็นผลให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่สืบต่อจิระฐิติกาล.


    ...................................................................................


    ผู้เข้มขลังน้ำมันกันภัย พระครูวิมลสีลาภรณ์ (ครูบาสุรินทร์ สุรินโท)
    วัดหลวงศรีเตี้ย ต.ศรีเตี้ย อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน

    โดย รณธรรม ธาราพันธุ์

    กระบวนวัตถุมงคลที่มีอภินิหารนอกเหนือไปจากคงกระพันกันเขี้ยวงา แคล้วคลาด เมตตา มหาอุด ซึ่งเป็นฤทธิ์ระดับ ‘มาตรฐาน’ นั้นดูจะหาได้ยาก อภินิหารดังกล่าว เช่น เฝ้าบ้านให้เห็นเป็นตัวตน มีเสียงร้องเตือนได้ ฯลฯ เป็นของมีฤทธิ์เกิน ‘มาตรฐาน’ ด้วยสิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนวิชาเฉพาะในแต่ละสำนัก และต้องเป็นบารมีของแต่ละองค์ที่จะทำได้หรือไม่อีกด้วย

    หากของขลังที่ ‘ขลัง’ แปลกไปจากหมู่เพื่อนเขาก็มีอยู่ อาทิ เข็มทองของสำนักวัดหุบมะกล่ำ ต.บ้านเลือก อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ที่เมื่อฝังเข้าสู่ร่างกายแล้วอภินิหารชนิด ‘มาตรฐาน’ ย่อมมีแน่นอน ทว่าที่เหนือกว่านั้นคือสามารถ ‘วิ่ง’ หรือ ‘สั่น’ เพื่อเตือนภัยล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุได้ราว 3-7 วัน

    ถ้าเข็มเคลื่อนที่หรือสั่นแล้วเป็นอันมั่นใจได้ว่าภัยกำลังมาถึงตัว หลวงพ่อท่านก็สั่งว่าให้อยู่กับบ้านอย่าไปไหนอย่างน้อย 3 วัน และไม่ใช่อยู่เฉย ๆ แต่ต้องสมาทานศีล สวดมนต์ เจริญภาวนาให้มาก ๆ เพื่อเคราะห์หนักจะได้กลายเป็นเบา เรื่องร้ายจะกลายเป็นดี

    คนที่ฝืนเจอมานักต่อนัก

    ผมเองยังโดน !

    แหวนแขน ของ หลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดโฆสิตาราม ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ก็ใช่ย่อย เมื่อนำมาอาราธนาและสวมแขน วันดีคืนร้ายเกิดแหวนแขนรัดติ้วคับแน่นขึ้นมา หรือมีอาการรัดแล้วคลายเป็นระยะ ๆ ล่ะก็ จงเตรียมตัวให้ดีเถิด ท่านว่าอันตรายใหญ่หลวงกำลังจะเกิดแก่เรา

    ส่วนตุ๊กแกหลวงพ่อครื้น วัดสังโฆ หรือ ตัว พ.พาน ของหลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ แม้จะร้องได้ก็จริง แต่ก็เป็นไปทางโชคลาภ มหานิยม มิใช่เตือนเพื่อกันภัยแต่อย่างใด

    ยังมีอีกหนึ่งสำนักที่ของขลังในท่านขลังจริงอย่างไม่ลังเลจะสรรเสริญ เพราะประสบการณ์ที่ยาวนานและเชื่อถือได้ ทำให้ท่านมีชื่อเสียงและมีคนเสาะหาวัตถุมงคลของท่านมิใช่น้อย

    ท่านชื่อครูบาสุรินทร์

    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->

    [​IMG]
    <!-- krubasurin.jpg [ 259.09 KiB | เปิดดู 1042 ครั้ง ] -->



    ครูบาสุรินทร์มีชื่อเดิมว่า สุจา เกิดในสกุล เสมอใจ เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2441 ที่บ้านศรีเตี้ย อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน ท่านอุปสมบทเมื่ออายุได้ 21 ปี ที่วัดหลวงศรีเตี้ย โดยมีพระอธิการญาวิไชย สิริวิชโย เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์คำ คัมภีโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์คันธา คันธวังโส เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    เมื่อบวชแล้วท่านได้ศึกษาทั้งปริยัติธรรมและการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน โดยได้ออกธุดงค์ร่วมกับ ครูบาพรหมา พรหมจักโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ครูบาคำ คันธิโย วัดบ้านดง และ ครูบาเฮือน สิริวิชโย วัดสันเจดีย์ริมปิง

    กระทั่งท่านบรรลุในศาสตร์ต่าง ๆ เจนจบ ก็ได้รับอาราธนามาเป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงศรีเตี้ยเมื่อปี พ.ศ. 2474 จนถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2532 สิริอายุได้ 91 ปี

    ครูบาสุรินทร์นับได้ว่าเป็นผู้แตกฉานในพระเวทย์วิทยาคุณอย่างเอกอุ เครื่องมงคลที่ท่านสร้างขึ้นนั้นล้วนแต่มีอภินิหารแก่ผู้นำไปบูชาอย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็น เหรียญ ตะกรุด ผ้ายันต์ แต่ที่ถือเป็นสุดยอดของท่านคือ

    น้ำมันงาดำ
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->

    [​IMG]
    <!-- ansPic_235630_2.jpg [ 129.87 KiB | เปิดดู 1035 ครั้ง ] -->



    น้ำมันงาดำของหลวงปู่ครูบาสุรินทร์นั้นท่านได้เล่าเรียนมาจากองค์อาจารย์คือ ท่านครูบาถาวรเถระ ผู้เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงศรีเตี้ย อันน้ำมันงาดำนี้หากสร้างได้ถูกต้องตามตำรา จะมีอิทธิฤทธิ์นานัปการอย่างที่เรียกว่าฝอยท่วมหลังช้างทีเดียว ใช้ได้ทั้งอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ค้าขายดี ทากันและแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ฟกช้ำดำเขียว กระดูกแตกหักก็ทาเพื่อต่อได้ มีบาดแผลแล้วทาก็จะสมานติดกันในเวลาอันรวดเร็ว ผีเข้าเจ้าสิงก็ป้ายเข้าไปผีจะรีบหลีกลี้ในทันใด เป็นโรคกระเพาะให้กลืนกินเข้าไปจะรักษาแผลในกระเพาะและลำไส้ได้อย่างวิเศษ ฯลฯ และเหนืออื่นใดคือ

    เดือดได้ ?!

    เดือดได้จริง ๆ เมื่อผู้ครอบครองนำไปเก็บรักษาไว้ยังที่สูงในตำแหน่งอันสมควร เช่น บนหัวนอน แล้วมีการสวดมนต์ไหว้พระเป็นนิจสิน หากมีภัยถึงตัวหรือจะเกิดอันตรายจาก มนุษย์ อมนุษย์ ภัยธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ร้าย แม้แต่อันตรายจากโรคภัยไข้เจ็บในตัว น้ำมันงามหาวิเศษนี้ก็จะเกิดอาการเดือดเป็นฟองขึ้นในขวดได้เองอย่างมหัศจรรย์ที่สุด เดือดปุด ๆ ให้เห็นก็มี เป็นฟองขึ้นเองอย่างฟองสบู่ก็มี มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่คน หากไม่ว่าจะเป็นอย่างใดนั้นก็คือให้เตรียมรับมือจงหนัก

    คุณทวี เย็นฉ่ำ หรือ เจดีย์ทอง นักเขียนชื่อดังได้เคยเล่าให้ผมฟังอย่างออกรสถึงวาระหนึ่งที่เดินทางไปกราบศพครูบาพรหมา พรหมจักโก ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ตอนขากลับได้แวะไปนมัสการครูบาสุรินทร์ สุรินโท ถึงวัดหลวงศรีเตี้ย ซึ่งขณะนั้นครูบาสุรินทร์กำลังจะประกอบพิธีหุงน้ำมันงาดำอยู่พอดี

    ในวันงานนั้นมีพระเถรานุเถระมาร่วมพุทธาภิเษกมิใช่น้อย ที่แน่ ๆ ก็มี ครูบาหล้า จันโทภาโส วัดป่าตึง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ครูบาธรรมชัย ธัมมชโย วัดทุ่งหลวง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน เป็นต้น

    โดยพระเถระนั่งปรกอยู่ในวิหารหลวง มีการตั้งราชวัติ ฉัตร ธง โยงสายสิญจน์ลงมาอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ภายนอกวิหารตั้งกระทะใบบัวขนาดใหญ่ถึง 9 ใบ ทุกใบกำลังเคี่ยวน้ำมันงาดำควันโขมง และรอบบริเวณก็ตั้งราชวัติ ฉัตร ธง เช่นเดียวกัน กั้นสายสิญจน์เป็นปริมณฑลห้ามสตรีเพศเข้าโดยเด็ดขาด

    เป็นที่น่าสังเกตว่ามีธรรมาสน์หนึ่งปูเบาะและผ้ารองนั่งไว้เป็นอย่างดี มีพานวางสายสิญจน์โยงออกมาอย่างเรียบร้อย และตั้งอยู่ในตำแหน่งประธาน คะเนว่าน่าจะจัดเตรียมไว้ให้พระเถระผู้ใหญ่ หากเริ่มพิธีไปโขแล้วก็ยังไม่เห็นมีใครมา

    ไม่นานใครหลายคนก็เริ่มสังเกตโดยเฉพาะพวกมีกล้อง ว่ายกกล้องประทับเล็งไปธรรมาสน์นั้นคราวใด มักได้เห็นเงาคนนั่งอยู่บนนั้นบ่อยครั้ง ต่อมาเมื่อเพ่งหนักเข้าคราวนี้ก็เห็นกันด้วยตาเปล่าหลายคนทีเดียว

    เงาดำดังกล่าวมีลักษณะที่ชัดเจนว่าศีรษะโล้น ห่มและพาดผ้าอย่างสังฆาฏิ รูปร่างเป็นคนท่าทางอ้วนใหญ่ไม่น้อย จากลักษณะที่พบเดาได้ว่าน่าจะเป็นพระมากกว่าโยม ทุกคนที่เห็นเก็บความอัศจรรย์ใจไว้ไม่อยู่เล่าขานกันปากต่อปากอย่างรวดเร็ว

    ขณะที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้นก็เกิดเหตุประหลาดที่นอกวิหารกระทะน้ำมันงาดำทั้ง 9 ใบ ค่อย ๆ ทยอยระเบิดทีละใบ... ทีละใบ... สร้างความแตกตื่นและฉงนใจให้พระภิกษุและประชาชนที่มาร่วมพิธีเป็นอย่างยิ่ง กระทะระเบิดไปเรื่อยจนเหลือใบสุดท้ายทุกคนที่ลุ้นตัวโก่งก็โล่งใจเพราะเหตุประหลาดยุติลงแต่เพียงแค่นั้น กระทะใบสุดท้ายยังอยู่ดีและดำเนินการเคี่ยวพร้อมปลุกเสกไปได้ตลอดรอดฝั่งจนจบพิธีโดยสมบูรณ์

    เหตุการณ์ทั้งหมดสร้างความอัศจรรย์และเสียงวิจารณ์อยู่ไม่น้อย ใครหลายคนอดสงสัยไม่ได้จึงกรูเกรียวกันเข้าไปกราบเรียนถามหลวงปู่ครูบาสุรินทร์ว่าเงาดำที่เห็นคืออะไรและทำไมกระทะจึงระเบิดได้

    หลวงปู่ท่านตอบขรึม ๆ ว่า เงาดำที่เห็นนั้นคือครูบาถาวรเถระปฐมเจ้าอาวาสวัดหลวงศรีเตี้ยผู้เป็นเจ้าของวิชาหุงน้ำมันงาดำนี้ และธรรมาสน์อาสนะนั้นท่านก็ได้จัดถวายไว้ให้ครูบาถาวรผู้เป็นบูรพาจารย์ เพราะได้อาราธนาท่านลงมาร่วมพิธีด้วย

    ซึ่งท่านก็มาจริง ๆ

    และที่น้ำมันระเบิดจนเสียหายใช้การไม่ได้นั้น ครูบาถาวรท่านบอกว่า ท่านเป็นผู้ระเบิดทิ้งเอง เพราะหากทำมากก็จะเป็นการช่วยคนมากเกินไป เพราะคนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีศีลมีธรรม ช่วยเขาแล้วเมื่อเขารอดตัวพ้นภัย เขาก็จะไปทำไม่ดีขึ้นอีก ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม ท่านประสงค์ให้น้ำมันวิเศษนี้สงเคราะห์แก่คนดีมีศีลธรรมเท่านั้น

    เป็นสุดยอดเหตุผลโดยแท้

    เมื่อได้รู้เหตุผลแล้ววัตถุมงคลในพิธีก็ถูกบูชาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะน้ำมันงาดำที่ทำยากเย็นแสนเข็ญที่สุด และถือเป็นเอกลักษณ์ของวัดหลวงศรีเตี้ยกับครูบาสุรินทร์โดยปริยาย

    อานุภาพของน้ำมันงาดำนี้คุณทวี เย็นฉ่ำ ได้เคยประสบกับตนเองเมื่อมีพระภิกษุรูปหนึ่งอาพาธอยู่โรงพยาบาล และคุณทวีได้มอบน้ำมันงาดำนี้ให้ไว้บูชาที่หัวเตียง ปรากฏว่าบูชาไประยะหนึ่งน้ำมันก็เดือดเป็นฟองขึ้น ท่านเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะท่านก็อาพาธอยู่แล้ว อยู่มาไม่นานท่านก็ถึงแก่มรณภาพ

    ทหารหาญของไทยรายหนึ่งชื่อ สิบเอกเจริญ ทิพย์กาญจนกุล เป็นทหารชุดปฏิบัติการที่สมรภูมิร่มเกล้า พิษณุโลก เมื่อปี พ.ศ. 2532 ก่อนไปรบได้มากราบนมัสการครูบาสุรินทร์เพื่อขอพรและบูชาวัตถุมงคลไปหลายอย่างที่ขาดไม่ได้คือน้ำมันงาดำ

    ก่อนออกปฏิบัติการ ส.อ.เจริญจะอาราธนาน้ำมันงาดำขอให้ปกป้องคุ้มครองทุกครั้ง จากนั้นก็จะกินเท่าเมล็ดพุทราและทายังจุดต่าง ๆ ในร่างกายตามที่หลวงปู่สั่ง

    วันหนึ่งกองกำลังของ ส.อ.เจริญได้ปะทะกับพวกทหารลาวแดงอย่างจัง พวกมันโจมตีด้วยการปาระเบิดสังหารเข้าใส่ ส.อ.เจริญอยู่ใกล้จุดที่ลูกระเบิดตกที่สุดจึงหลบไม่ทัน โดนผลงานลาวแดงเข้าเต็ม ๆ เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายก็รีบทำการสำรวจตัวเองก่อน ปรากฏว่าไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ทำให้ผู้หมู่มีขวัญและกำลังใจเพิ่มขึ้นเป็นกอง นึกเชื่อมั่นในน้ำมันงาดำและครูบาสุรินทร์อีกเป็นเท่าทวีคูณ ครั้นหันไปดูเพื่อนร่วมชะตากรรมก็พบว่าทหารบางนายเสียชีวิตคาที่ด้วยอานุภาพระเบิด หลายคนบาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้างทั่วกัน มีแต่ ส.อ.เจริญเพียงคนเดียวที่ไม่มีอาการบาดเจ็บเลย

    ครั้นเหตุการณ์ศึกร่มเกล้าผ่านไป ส.อ.เจริญก็ตรงแน่วมากราบหลวงปู่ครูบาสุรินทร์ถึงวัดหลวงศรีเตี้ยด้วยความเคารพอย่างที่สุด อะไรที่ว่าดีของหลวงปู่เป็นอันว่าผู้หมู่เก็บหมดด้วยนับถือสุดหัวใจ

    อภินิหารของตะกรุดก็มีมาก ที่สร้างชื่อให้ท่านที่สุดเห็นจะเป็นตะกรุดโทนและตะกรุดจำปาสี่ต้น ปกติตะกรุดจำปาสี่ต้นวัดไหน ๆ ทางภาคเหนือเขาก็สร้างกันและจะมีสี่ดอกตามอักขระยันต์ที่บังคับไว้ แต่จำปาสี่ต้นของครูบาสุรินทร์จะมี 5 ดอก 4 ดอกแรกจะอยู่รวมเป็นกลุ่มตามแบบดั้งเดิมแต่ดอกที่ 5 นี้จะอยู่เดี่ยวข้างบนสุด

    ท่านบอกว่าดอกเดี่ยว ๆ นั้นคือ ‘ตะกรุดพระสิวลี’ เพราะท่านต้องการให้ลูกหลานมิได้มีแต่ความแคล้วคลาดปลอดภัย เมตตามหานิยมเพียงอย่างเดียว แต่ท่านต้องการให้มีโชคมีลาภ จะทำงานทำการค้าขายสิ่งใดก็ให้เป็นเงินเป็นทองร่ำรวยทั่วหน้ากัน จึงถือได้ว่าเป็นตะกรุดจำปาสี่ต้นสำนักเดียวที่แตกกิ่งออกมาเป็น ‘จำปาสี่บวกหนึ่ง’

    เหรียญรูปเหมือนของท่านดูเหมือนจะมีเพียง 4 รุ่นที่สืบค้นได้เป็นหลักเป็นฐาน แต่รุ่นที่น่าสนใจที่สุดคงต้องยกให้เหรียญรุ่น 2 เพราะรุ่นนี้มีจำนวนสร้างราว ๆ 3,000 เหรียญเห็นจะได้

    และที่สุดยอดเหนืออื่นใดคือครูบาสุรินทร์ท่านใส่ใจกับเหรียญนี้มาก ด้วยการจัดเตรียมบาตรไว้สองใบ ใบหนึ่งใส่เหรียญที่ศิษย์นำมาถวายจนหมด แล้วท่านก็จะหยิบมาทีละเหรียญ เรียกสูตร เรียกนาม ปลุกเสกอักขระเลขยันต์บนเหรียญอันเป็นยันต์ที่ท่านเป็นผู้กำหนดเองไปเรื่อย ๆ

    เมื่อเรียกสูตรปลุกเสกเหรียญในมือจนมั่นใจแล้วท่านก็จะวางลงในบาตรอีกใบที่เตรียมไว้ แล้วก็หยิบเหรียญใหม่ขึ้นมาเสกด้วยวิธีการเดียวกันนี้อีก ทีละเหรียญ... ทีละเหรียญ...

    จนในที่สุดเหรียญอันสุดท้ายก็จะย้ายจากบาตรหนึ่งไปสู่อีกบาตรหนึ่ง จากนั้นท่านก็จะทำการปลุกเสกรวมอีกคำรบหนึ่งจึงเป็นอันว่าเสร็จพิธี

    สุดยอดไหม ?

    พิถีพิถันปานนี้ ไม่หา ไม่สน ผมก็ไม่รู้จะแนะนำอย่างไรแล้ว ครูบาสุรินทร์เป็นพระภาคเหนือเพียงองค์เดียวในสายตาผม ที่มองว่าท่านเป็นมหาเถระผู้แตกฉานในวิทยาคุณอย่างแท้จริง ท่านเก่งและเคร่งในวิชาอย่างน่าศรัทธายิ่ง

    เหรียญทั้ง 4 รุ่นเป็นของที่ยังพอหาได้ แต่ตะกรุดและน้ำมันงาดำเป็นอะไรที่ดูค่อนข้างยาก หากไม่ใช่จากคนที่เชื่อถือได้แล้วล่ะก็ อย่าได้คิดหามาบูชาเลยครับ ผมกลัวท่านผู้อ่านจะไปเจอ ‘ตะกรูด’ กับ‘น้ำมันกุ๊ก’ เข้าล่ะสิ

    หมายเหตุ – ขอขอบคุณคุณอาทวี เย็นฉ่ำ และ คุณสุธันย์ สุนทรเสวี ที่กรุณาเอื้อเฟื้อข้อมูลและวัตถุมงคลของหลวงปู่ครูบาสุรินทร์ครับ

    ขอบคุณข้อมูลจากเว็บนวรัตน์


    ให้บูชา 330 บาท (อันนี้ราคาได้กรุงเทพฯนะครับ ถ้าเชียงใหม่ยากมาก)

    เอาเป็นว่าท่านเป็นอาจารย์ของหลวงปู่ศรี เชียงราย ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของครูบาบุญชุ่ม
    สหธรรมิกของท่าน เช่น หลวงปู่ครูบาพรหมมา พรหมจักโก ครูบาอินทจักร ครูบากองแก้ว วัดต้นยางหลวง หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง ฯลฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0083.jpg
      scan0083.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.3 KB
      เปิดดู:
      143
    • scan0084.jpg
      scan0084.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79 KB
      เปิดดู:
      75
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2010
  3. นะจักรวาล

    นะจักรวาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,911
    ค่าพลัง:
    +8,327
    ปู่คำน้อย มีรูปเหมือนท่านรึป่าวครับ
     
  4. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 527 เหรียญแจกทานหลวงปู่ธรรมรังสี วัดพระพุทธบาทพนมดิน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD height=41><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=center><TD style="PADDING-TOP: 11px" width="92%" background=http://www.buddhawax.com/images/bg_title_02.jpg>ประวัิติ หลวงปู่ธรรมรังษี วัดพระพุทธบาทพนมด </TD><TD vAlign=top align=left width="2%">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=7></TD></TR><TR><TD style="PADDING-LEFT: 15px">[​IMG]
    ในแถบจังหวัดสุรินทร์ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีพระสงฆ์จากประเทศเขมรรูปหนึ่งที่ได้ลี้ภัยสงครามเมื่อปี พศ.2517 ซึ่งประเทศกัมพูชาเกิดสงครามสู้รบกันอย่างรุนแรง “พระมงคงรังษี” เป็นพระรูปหนึ่งจากประเทศเขมร
    พระมงคลรังษี” หรือที่บรรดาศิษยานุศิษย์ญาติโยมเรียกขานกันติดปากว่า “หลวงปู่ธรรมรังษี” มีนามเดิมว่า นายสุวัฒน์ ฉิง เกิดเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2462 ณ ต.เกีย อ.โมงฤษี จ.พระตะบอง ประเทศกัมพูชา
    เมื่อปฐมวัยได้ศึกษาจนจบการศึกษาภาค บังคับ(เทียบเท่าชั้น ป.4 ของไทย) เมื่ออายุได้ 14 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร 1 พรรษา แล้วลาสิกขาออกมาช่วยบิดา-มารดา ทำงานจนอายุครบ 20 ปีบริบุรณ์ จึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 3 พค.2481 ณ วัดเวฬุวนาราม ต.เกีย อ.โมงฤษี จ.พระตะบอง
    หลวงปู่ธรรมรังษี” เป็นพระที่มีใจใฝ่ปฏิบัติสมาธิภาวนา และกรรมฐาน ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานควบคู่กับการศึกษาพระเวทวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์ หลายรูปในประเทศกัมพูชา พร้อมทั้งบเดินทางเข้ามาศึกษาภาษาไทย ณ วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ จนสามารถอ่านเขียน พูดภาษาไทยได้เป็นอย่างดี
    ในปี พ.ศ.2517 เกิดการสู้รบในเขมรจึงได้ตัดสินใจเดินทางเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จากด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ เข้าสู่กรุงเทพมหานคร ได้พำนึกอยู่กับพระอาจารย์วิโรจน์ รองเจ้าอาวาสวัดราชสิงขร และเป็นสหธรรมิกกันมาก่อนหน้านี้ พระอาจารย์วิโรจน์ เห็นว่าหลวงปู่ธรรมรังษี สนใจด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน จึงได้นำมาจำพรรษาที่วัดเพลงวิปัสสนา เขตบางกอกน้อย ทำให้ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติเพิ่มเติมจกาพื้นความรู้เดิมทั้งจากสำนักวัด เพลงฯ และสำนักวัดมหาธาตุฯ ทำให้ก้าวหน้าขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
    ในพรรษาถัด มาท่านจึงได้ปรารภกับสหธรรมิกรูปหนึ่งที่วัดเพลงฯ ว่า การปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาอยู่ในเมืองหลวงนั้นก้าวหน้าไปได้ช้า เพราะยังไม่สงบ สงัดเพียงพอ น่าจะมีสถานที่อื่นที่จะไปบำเพ็ญเพียรให้ประสบความสำเร็จได้ สหธรรมิกรูปนั้นจึงนำพาหลวงปู่จารึกสู่ชนบทบ้านเกิดที่อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ได้พบกับ “พระอาจารย์สิงห์ สุธัมโม” (พระครูภาวนาประสุต) เจ้าอาวาสวัดบ้านขี้เหล็ก ต.หนองบัวทอง อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของสาธุชนทั่วไปในละแวกนั้น
    เมื่อ ท่านได้กราบอาจารย์สิงห์ก็รู้สึกต้องในอัธยาศัยไมตรี จึงได้พำนักอยู่ ณ วัดบ้านหนองเหล็ก ตามคำชักชวน ช่วงเวลาแห่งการได้อยู่จำพรรษา ณ วัดบ้านหนองเหล็กนี้เอง ทำให้หลวงปู่ธรรมรังษี ได้มีโอกาสพบกับพระอาจารย์สายวิปัสสนาจากสำนักต่าง ๆ มากขึ้น ได้เปิดตัวให้เป็นที่รู้จักเลื่อมใสศรัทธาของสาธุชน และเป็นที่ยอมรับในหมู่พระสงฆ์ที่สนใจการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน
    พ. ศ.2521 ท่านได้รู้จักกับพระครูปลัดขาว ฐิตธมฺโม เจ้าอาวาสวัดบุญศรีมุนีกร กรุงเทพฯ จึงได้อารธนาให้หลวงปู่รรมรังษี ร่วมเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ในสำนักของท่าน ซึ่งรับฝึกปฏิบัติรรมให้กับพระภิกษุ สามเณร และคฤหัสถ์ผู้สนใจทั่วประเทศ
    หลวงปุ่ธรรมรังษี” เห็นเป็นโอกาสที่จะได้เผยแพร่แนวทางปกิบัติให้กว้างขวางได้มากยิ่งขึ้น จึงได้รับปากไปปฏิบัติภารกิจในช่วงที่มีการฝึกอบรมที่สำนักวัดบุญศรีมุนีกร และกลับมาจำพรรษาอยู่กับพระครูภาวนาประสุตในช่วงว่างจากการฝึกอบรม
    จึงถึงปีพ.ศ.2525 เจ้าคณะอำเภอคูเมือง ที่พยายามเสาะแสวงหาพระวิปัสสนาจารย์ เพื่อไปอบรมเผยแผ่ธรรมให้กับคณะสงฆ์ในอำเภอ
    คูเมือง เมืองได้มาพบกับหลวงปู่ธรรมรังษี ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้อาราธนาให้ท่านมาเป็นพระวิปัสสนาจารย์ดังกล่าว นับเป็นโอกาสดีและ
    ประจวบเหมาะอย่างยิ่ง ท่านพิจารณาเห็นว่าการปฏิบัติธรรมตามแนวทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน หากไม่มีการเผยแผ่ก็จะไม่สามารถสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนถาวรได้เลย เมื่อมีความคิดเห็นเช่นนี้ ท่านจึงตกปากรับคำอาราธนาของท่านเจ้าคณะอำเถอคูเมือง โดยได้มาพำนักประจำที่สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานของอำเภอคูเมือง ณ วัดบ้านปะเคียบ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์
    ต่อมาได้รับนิมนต์จากพระครูประภัศ ร์คณารักษ์(จันทร์ ปภัสสโร) อดีตเจ้าคณะอำเภอท่าตูม ให้มาพัฒนาวัดพระพุทธบาทพนมดิน ซึ่งเป็นวัดที่ท่านสร้างไว้เพื่อสถานที่ปฏิบัติรรม ด้วยบารมีธรรมอันแกร่งกล้า และด้วยเมตตาธรรมอันเปี่ยมล้นของท่าน สามารถทำให้วัดพระพุทธบาทพนมดิน ได้สำเร็จดังเจตนารมณ์ของคณะสงฆ์ ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนอำเภอท่าตูม ได้ดังที่หวังไว้
    ท่านได้ตัดสิน ใจอยู่พัฒนาบุกเบิกเป็นสำนักวิปัสสนากรรมฐาน สร้างศาลาการเปรียญ เสนาสนะและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติรรมจนเจริญรุ่งเรือง ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ท่านได้ปรับปรุงก่อสร้างกุฏิสงฆ์ หอสวดมนต์ พระอุโบสถ รั้วคอนกรีตรอบวัด ประตูวัด บูรณปฏิสังขรณ์อาคารอื่นๆ ทั้งของวัดและของส่วนราชการต่างๆ อีกมากมาย บริเวณวัดสะอาดเป็นระเบียบและดูร่มรื่นและสวยงาม
    ในวโรกาสที่สมเด็จพระ นางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา เมื่อวันที่ 12 สค.2547 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ “พระมงคลรังษี ” สร้างความปลาบปลื้มใจให้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาและผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาอย่าง มาก
    แล้ววันที่ทุกคนต้องเศร้าสลดในการจากไปของท่านก็มาถึง เมื่อเวลา 22.48 น. วันที่ 9 ตค. ที่ผ่านมา วงการสงฆ์ต้องสูญเสียพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกรูป ท่านละสังขารด้วยโรคชรา ที่รพ.วิชัยยุทธ ขณะเข้ามารักษาอาการอาพาธ สิริอายุ 87 ปี พรรษา 68 ขณะนี้สังขารของท่านตั้งสวดพระอภิธรรมอยู่ที่วัดพระพุทธบาทพนมดิน อ.ท่าตุม จ.สุรินทร์
    แม้สังขารของท่านจะดับขันธ์ไปแล้วก็ตามแต่ “พระมงคลรังษี” ยังคงส่องแสงรังสีรรมแห่งมงคลอยู่ในใจของผมและญาติโยมลูกศิษย์ลูกหาทั่ว ประเทศตลอดไป สาธุ!


    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    ...................................................................................


    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">หลวงปู่ธรรมรังษี กับ ผงพรายกุมารอันลือลั่น </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width="70%" colSpan=2>เขียนโดย ชินพร สุขสถิตย์ </TD></TR><TR><TD class=createdate vAlign=top colSpan=2>Wednesday, 12 December 2007 </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>[​IMG] เมื่อปี ๒๕๓๙ ผมไปทอดกฐินตกค้างที่ วัดเขาลอย อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โดยการขอของผู้ใหญ่บ้าน, กรรมการวัด และครูท้วมบ้านค่าย หรืออาจารย์เบ็ญจรงค์ บรรเริงเสนาะ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดเขาลอย เพราะปีนั้นไม่มีใครจองกฐินวัดเขาลอยเลย ถ้าใครเป็นเจ้าภาพรับกฐินตกค้างโบราณท่านว่าจะได้บุญมาก ผมก็รับปากโดยบอกบุญร่วมกับบรรดาศิษย์หลวงปู่ทิม มีเวลาไม่ถึงเดือนก็จะหมดฤดูทอดกฐิน การจะไปบอกบุญอีกก็คงจะยากเพราะงานบุญของหลวงปู่ทิมก็เพิ่งงจะเสร็จไปในวันนั้นเอง (๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๙) ทางวัดเขาลอยบอกไม่เป็นไร ได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น เพียงแต่ขอให้มีเจ้าภาพรับทอดกฐินก็พอ
    เวลานั้นผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิมกำลังดัง หลวงปู่ธรรมรังษีทำล็อกเก็ตรูปท่านขึ้นมา และยังให้ครูที่ อ.ท่าตูม มาขอผงพรายไปอุดหลังล็อกเก็ตของท่านและก็เฮี้ยนสมคำร่ำลือ ถึงกับเรียกชื่อล็อกเก็ตรุ่นนี้ของหลวงปู่ธรรมรังษีว่า “ล็อกเก็ตรุ่นมหาเศรษฐี” เพราะผู้มาบูชาล็อกเก็ตรุ่นนี้ไปถูกหวยรัฐบาลรางวัลที่ ๑ หนึ่งคน และยังมีอีก ๒ คน ก็ถูกรางวัลข้างเคียงไป เรียกว่างวดนั้นรางวัลที่ ๑ และข้างเคียงตกอยู่กับคนท่าตูมทั้งหมด ความเชื่อที่ว่าหลวงปู่ธรรมรังษีเป็นพระที่เก่งของด้านโชคลาภจึงสมจริง ผู้เฒ่าผู้เรืองอาคม อาจารย์เปล่ง บุญยืน ถึงกับปรารภกับผมว่า ล็อกเก็ตรุ่นนั้นท่านคงผสมว่านเครือให้ หรือ วัวละแกออย (ออกสำเนียงเขมรลิ้นรัว) ลงไปด้วย ว่านนี้หายากมากลักษณะเป็นเครือหรือเป็นเถาไต่ขึ้นตามหน้าผาจะมีมากที่ปราสาทเขาพระวิหาร เครือหรือตัวว่านจะมีตะปุ่มตะป่ำคล้ายผลยอ จึงเรียกกันว่า พระธาตุพระฉิม ดีทางโชคลาภ
    <TABLE align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    หลวงปู่ธรรมรังษี พระเถระผู้สงบเสงี่ยมเรียบร้อยแต่เรืองฤทธิ์ไม่ต่างจากเจ้าคุณนรฯ องค์ที่ ๒​






    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เมื่อผมทำเสือ ๕๐๐ ให้หลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกเพื่อแจกสมนาคุณงานทอดกฐินตกค้าง เพราะมีเวลาจำกัดจึงรีบทำ ถอดแบบเสือของวัดอื่นทำได้ ๕๕๐ ตัว เจาะก้นแล้วผมเอาผงพรายไปด้วย ไปผสมผงอุดก้นกันที่บ้านอาจารย์เปล่ง บุญยืน ท่านผู้เฒ่าเลยเอาว่านสำคัญๆ และ เครือให้ ซึ่งดีทางโชคลาภให้มาผสมด้วย แต่มีข้อแม้ว่าต้องเอาผงที่เหลือจากบรรจุเสือให้แกด้วย ผมผสมผงพรายกุมาร,น้ำเสือ,และเศษกรามช้างน้ำของหลวงปู่ทิมลงไป ได้ถึง ๒ ขวดเนสกาแฟกว่า เมื่อบรรจุในเสือแล้วยังหรืออีกขวดครึ่ง เป็นผงที่ผสมแล้วล้วนๆ ถวายให้หลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกแล้วจะให้อาจารย์เปล่ง ๑ ใน ๒ ของครึ่งขวดแกไม่ยอมขอเอาไปหมดทั้งครึ่งขวด พร้อมเสือ ๕๐๐ หลังเสกเสร็จ อีก ๒๑ ตัว
    เมื่อหลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกเสร็จ รุ่งขึ้นก่อนจะกลับผมก็ไปรับเสือมา ท่านถามเสือกี่ตัว ผมบอก ๕๒๙ ตัว (เพราะอาจารย์เปล่งขอไป ๒๑ ตัว) ท่านบอกดี (งวดนั้นหวยออก ๕๒๙ จังๆ) แล้วท่านหยิบเสือที่ถวายท่านไว้ ๒๐๐ ตัวมาพิจารณาดูผง ท่านพูดว่า ผงของเขาดีจริงๆ พลังแรงดี ปลุกเสกแล้วสำเร็จเร็วดีเรียกรูปเรียกนามได้ง่าย ท่านบอกว่าใช้เฝ้าบ้านได้ใช้ไปช่วยหากินได้ นอกเหนือไปจากแคล้วคลาดคงกะพัน และมหาอำนาจ ผมเอาออกให้บูชาตัวละ ๓๐๐ บาท เพื่อเอาเงินไปทอดกฐินตกค้าง แต่ถ้าใครใส่ซองทำบุญต่ำกว่า ๓๐๐ บาท ผมก็จะให้ปรกสดุ้งกลับร้ายกลายเป็นดี เนื้อทองแดงบ้าง เนื้อเงินบ้าง ตามปัจจัยที่ร่วมทำบุญมา ครั้งนั้นได้เงินทอดกฐินถึงหนึ่งแสนสองหมื่นบาทเศษเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทางวัดเขาลอยดีใจมาก ตอนกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลผมนึกถึงหลวงปู่ธรรมรังษีด้วย เพราะท่านสร้างเสือและปรกมะขามให้
    <TABLE align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    เสือ ๕๐๐ หลวงปู่ธรรมรังษี ปี ๒๕๓๙ ใช้เฝ้าบ้าน ช่วยหากินได้​





    </TD><TD>[​IMG]
    เสือมหาเศรษฐี ๓ ตัวพ่อ แม่ ลูก ปี ๒๕๔๑ ..มีให้บูชาไม่มากชุดละ ๓,๐๐๐ บาท​






    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    พอวันอาทิตย์ถัดไปผมไปหาท่านที่วัดพระพุทธบาทเขาพนมดิน อ.ท่าตูม ทันทีที่ผมเข้าไปกราบท่าน ท่านถามผมว่าวัดเขาลอยอยู่ที่ไหน ไม่ทราบว่าท่านรู้ได้อย่างไร เพราะผมเพียงแต่บอกว่าจะเอาเสือและปรกมะขามไปแจกงานทอดกฐินเท่านั้นเอง ไม่ได้บอกว่าวัดอะไร และอยู่ที่ไหน ท่านบอกผมว่าเสือที่ถวายท่านไว้แรงจริงๆ คนใช้ได้ผลเร็วดี และที่ท่านหมดแล้วให้ผมทำใหม่ ผมจึงทำเป็นราชสีห์ทั้งเนื้อเงินของนี่เรียกว่าพญาไกรสรณ์ราชสีห์ และเสือมหาเศรษฐี ๓ ตัว พ่อ แม่ ลูก ท่านบอกว่าเอาไปใช้ติดบ้านติดเรือนแล้วจะได้อยู่เย็นเป็นสุขกันทั้งบ้านทั้งครอบครัว
    พอดีกับระยะนั้นกุมารทองของวัดต่างๆ กำลังดังและเป็นที่นิยมกันมาก ผมเลยขอท่านสร้างกุมารทองขึ้น แต่ทำตามแบบทรงของหลวงปู่ทิมในท่าดูดรก เพื่อให้เข้ากับเคล็ดว่า กินไม่รู้จบ ผู้เอาไปเลี้ยงจะได้มีโชคลาภมีเงินมีทองมาอย่างไม่รู้จบเรียกว่า ปิดตานางพราย หรือกุมารดูดรก โดยสร้างเป็นเนื้อนวโลหะ,และเนื้อทองสัมฤทธิ์ เมื่อกุมารดูดรกออกให้บูชาตัวละ ๓๐๐ บาท (ทองสัมฤทธิ์) ก็ไม่เดินเท่าที่ควร แต่ด้วยพลังจิตและพลังอาคมของหลวงปู่ธรรมรังษี บวกกับผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม ทำให้ผู้เอาไปใช้ประจักษ์ในพลานุภาพทันตาเห็น ไม่นานกุมารดูดรกก็หมด กรรมการวัดพุทธบาทเขาพนมดินบางคนเคยว่าผมกับหลวงปู่ธรรมรังษีว่าเอาเดรฉานวิชามาให้ท่านเสก แต่หลวงปู่ธรรมรังษีบอกว่า ไม่ใช่ของเลวร้าย มันวิชาการทางจิต คนนั้นเลยเงียบไป ต่อมาเมื่อปิดตานางพราย หรือกุมารดูดรกดังขึ้น และที่วัดก็หมด เมื่อผมไปที่วัดก็มีผู้มาขอผมหลายรายรวมถึงกรรมการผู้นั้นด้วย ทั้งกรรมการวัดที่ดูแลตู้วัตถุมงคล ยังขอให้ผมหาให้ ๕ ตน เพราะมีใบสั่งบูชามาจากอเมริกา แกบอกว่าดังไปถึงอเมริกา ญี่ปุ่น และเยอรมัน
    <TABLE align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    ต้นแบบปิดตานางพราย หรือกุมารดูดรก หลวงปู่ธรรมรังษี สร้างขึ้นตามแบบของหลวงปู่ทิมที่นำผงทั้งแม่ทั้งลูกมารวมกันสร้าง เรียกชื่อแม่ว่า ปิดตานางพราย หรือเรียกชื่อลูกว่า กุมารดูดรก ดูดรกคือกินหรือดูดตลอดเวลาที่อยู่ในท้องแม่เป็นเคล็ดว่า กินไม่รู้จบ ​






    </TD><TD>[​IMG]
    ต้นแบบปิดตานางพราย หรือกุมารดูดรก หลวงปู่ธรรมรังษี ​






    </TD><TD>[​IMG]
    ด้านหลังต้นแบบปิดตานางพราย หรือกุมารดูดรก​






    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]
    ปิดตานางพราย หรือกุมารดูดรกเนื้อทองสัมฤทธิ์หลวงปู่ธรรมรังษี ทำตามเคล็ดหลวงปู่ทิม สร้างด้วยเนื้อนวโลหะและเนื้อทองสัมฤทธิ์ อุดผงพรายกุมารผสมสีผึ้งผีอีส้ม​






    </TD><TD>[​IMG]
    ปิดตานางพราย หรือกุมารดูดรก ก่อประสบการณ์มากมายทำให้มีผู้มาเช่าบูชาจนหมด ...กินไม่รู้จบ...ใช้เฝ้าบ้านเฝ้าสวนหายห่วง​






    </TD><TD>[​IMG]
    ด้านหลังปิดตานางพราย หรือกุมารดูดรก หลวงปู่ธรรมรังษี​






    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ที่ญี่ปุ่นโทรมาเล่าว่า นักเลงยากูซ่าซึ่งไปเก็บค่าคุ้มครองจากหญิงไทยที่ไปทำงานบริการอยู่ที่ญี่ปุ่น ถึงกับโดดลงจากเตียงนอน บอกมีเด็กผมจุกนุ่งแดงห่มแดงขึ้นมาทับที่หน้าอกคนเล่าบอกว่า เจ้ายากูซ่าคนนี้อาทิตย์หนึ่งจะมาเก็บค่าคุ้มครองจากหญิงไทยชุดนั้นเป็นประจำทุกอาทิตย์ และมันจะถือโอกาสขึ้นมานอนบนเตียงของหญิงคนที่โทรมาเล่า มันไม่นับถือพระที่หญิงไทยสั่งเช่าบูชามาจากเมืองไทย มันมักจะเอาเท้าพาดไปทางหัวนอนที่มีพระอยู่เป็นประจำที่มาหา หญิงไทยคนนั้น ก็เลยเปรยๆ บอกกุมารในใจว่า พ่อกุมารแสดงฤทธิ์ให้อ้ายยากูซ่ามันเห็นสักที เท่านั้นเองยากูซ่าโดดลงจากเตียงด้วยสีหน้าตกใจ บอกมีเด็กนุ่งแดงห่มแดงมานั่งทับอกมัน
    อานุภาพวัตถุมงคลหลวงปู่ธรรมรังษีที่ผสมผงพรายกุมารนั้นมีมาก โดยเฉพาะโชคลาภ เมื่อผมเอาเสือ ๕๐๐ บรรจุผงกรามช้างน้ำ ออกให้บูชาองค์ละ ๓๐๐ บาท เพื่อหาเงินไปทอดกฐินตกค้างวัดเขาลอย คุณอานนท์ เจ้าของร้านลูกชิ้นปลา ปากทางเข้ามหาลัยราชภัฎจันทร์เกษม ทำบุญบูชาไป ๓ ตัวแล้วถือไปคาบเลข ๐ - ๑๐ จำนวน ๓ กล่อง เลขหลุดออกมา ๓ ตัว เลขท้ายออกตรงๆ มีโชคถึง ๑๔๐,๐๐๐ บาท เลขไปตามเก็บเสือ ๕๐๐ อีกเป็นฝูง ได้ไปถึง ๓๐ กว่าตัว
    ดร.พิพัฒน์ หัวหน้าจิตวิทยาเด็กวัยรุ่น ศิษย์เอกที่ฝึกพลังจิตกับหลวงพ่อเจ็ก วัดระนาม สิงหบุรี เอาไปตรวจทางพลังจิต บอกว่า แสงพลังเท่ากับเสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย ที่มีราคาเป็นแสนบาท ดร.พิพัฒน์ถึงกับมาขอบูชาเสือหลวงปู่ธรรมรังษี ๑๐๐ ตัว แต่เสือ ๕๐๐ หมด พอจะหาให้ได้ ๕๐ ตัว
    <TABLE align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    ปิดตานางพราย หรือกุมารดูดรก หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด บุรีรัมย์ ซึ่งเก่งพอๆกับหลวงปู่ธรรมรังษี สร้างเพียงเนื้อเดียวคือทองแดงบาดาล อุดผงพรายผสมสีผึ้ง ยังมีให้บูชาตนละ ๕๐๐ บาทเพื่อนำปัจจัยไปใช้ในกิจกรรมของหน่วยช่วยเหลือประชาชนเคลื่อนที่ที่มาบตาพุด จ.ระยอง​






    </TD><TD>[​IMG]
    ปิดตานางพราย หรือกุมารดูดรกหลวงปู่ผาด ใช้เฝ้าบ้านเฝ้ารถ ให้บูชาตนละ ๕๐๐ บาท​






    </TD><TD>[​IMG]
    ด้านหลังปิดตานางพราย หรือกุมารดูดรก หลวงปู่ผาด​






    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]
    ก้นก๊อก หรือ ลูกกรอกแช่น้ำมันหลวงพ่อฤทธิ์ วัดชลประทาน จ.บุรีรัมย์ มีให้บูชาตนละ ๕๐๐ บาท​






    </TD><TD>[​IMG]
    ด้านหลัง ก้นก๊อกหรือลูกกรอกแช่น้ำมัน ใช้พกคอยเตือนภัย​






    </TD><TD>[​IMG]
    ก้นก๊อก หรือลูกกรอก(แช่น้ำมันเหล็กไหลน้ำมันพราย)หลวงพ่อฤทธิ์ รัตนโชโต บุรีรัมย์...เตือนภัยล่วงหน้า ทำให้รอดจากเครื่องบินตกตายทั้งลำที่จ.สุราษฎธานีหลายปีก่อน ยังมีให้บูชาตนละ ๕๐๐ บาท​






    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เสือ ๕๐๐ รุ่นนี้ ผู้ใช้มักมีโชคลาภไปตามๆ กัน เหมือนที่ หลวงปู่ธรรมรังษีพูดไว้ว่า “ใช้เฝ้าบ้านได้ ช่วยหากินได้” คนทั้งรักทั้งเกรง เมื่อเสือ ๕๐๐ ออกใหม่ๆ คุณ ธนัท อรุณศรีโสภณ เจ้าของโรงงานทำขวดพลาสติกขนาดใหญ่ จ.กำแพงเพชร ถูก รปภ.สไตล์ ลาออกกันหมดทั้งชุด จึงมีความวิตกกังวลว่า โรงงานคงจะไม่ปลอดภัยเพราะเป็นช่วงที่โรงงานปิดหลายวัน จึงโทรมาปรึกษา ผมเลยบอกว่า ถ้าหายามเฝ้าไม่ได้ก็ลองเอาเสือ ๕๐๐ ของหลวงปู่ธรรมรังษีที่ทำบุญไปหลายตัว ลองใช้เฝ้าโรงงานดู เสี่ยธนัทก็อาราธนาเอาเสือ ๕๐๐ ใช้เฝ้าโรงงานดูและก็ได้ผล โรงงานปลอดภัยดี
    อีกรายที่เล่ามาโดยเขียนเป็นจดหมายถึงผม เป็นพ่อพิมพ์ของชาติ ซี ๗ โรงเรียนบ้านธารทิพย์บุ้งน้ำเตา จังหวัดเพชรบูรณ์ เขียนเล่าถึง ปิดตานางพราย (พ่อพรายกุมาร) หลวงปู่ธรรมรังษี จดหมายลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๐ คือ ๑๐ ปีที่แล้วหลังให้เช่าบูชาไปไม่นานว่า หลังจากบูชาปิดตานางพรายหรือกุมารดูดรกไปแล้ว ภรรยาทั้งสองคนก็เกิดรักใคร่สามัคคีกันดีอย่างเหลือเชื่อ ทั้งๆ ที่ก่อนนั้นภรรยาคนแรกจะคอยตามราวีภรรยาน้อยอย่างสุดโหด แต่ที่แปลกอีกเรื่องก็คือ จอดรถไว้ที่หน้าบ้านภรรยาน้อย ซึ่งย่านนั้นเป็นแดนเด็กติดยา เครื่องเสียงชั้นดีในรถก็ไม่ถูกงัดถูกขโมย เด็กย่านนั้นเล่าให้ภรรยาครูฟังในภายหลังว่า กำลังจะเข้าไปงัดรถแต่เห็นเด็กนุ่งแดงห่มแดงหัวขาดยืนเฝ้าอยู่ ถึงกับตกใจวิ่งหนีสุดชีวิตวิ่งทะลุชนเสาต้นหมากหัวโนไปหมด แม้แต่การตกเบ็ดหาปลาอธิษฐานขอ เพื่อเอาไปทำอาหารเลี้ยงครอบครัวก็หาปลาได้มากผิดปรกติ
    <TABLE align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    เหรียญหลวงปู่ธรรมรังษี รุ่นแรก ปี ๒๕๓๐ ​






    </TD><TD>[​IMG]
    ด้านหลัง​






    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]
    นาคปรกใบมะขาม หลวงปู่ธรรมรังษี ปางสะดุ้งกลับ สร้างพร้อมเสือ๕๐๐ ปี๒๕๓๙ ... กลับร้ายกลายเป็นดี รุ่นแรกหลังเรียบเนื้อเงิน ๒,๐๐๐ บาท, เนื้อทองแดงหลังเรียบ องค์ละ ๕๐๐ บาท รุ่นสองมียันต์ เนื้องทองแดงองค์ละ ๒๐๐ บาท​






    </TD><TD>[​IMG]
    ด้านหลัง ปรกสะดุ้งกลับรุ่นแรก ทั้งเนื้อเงิน,เนื้อทองแดงเป็นแบบหลังเรียบ, รุ่นสองจะมียันต์ดังรูป​






    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    หลวงปู่ธรรมรังษี เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อพยพมาอยู่ประเทศไทยสมัยสงครามกลางเมืองเขมร เมื่อสงครามสงบทางการเขมรนิมนต์กลับให้ไปเป็นพระสังฆราชเขมร ท่านกลับปฏิเสธ ก่อนตั้งรัฐบาลเขมรสำเร็จจนหยุดรบราฆ่าฟันกัน หลวงปู่ธรรมรังษีท่านสร้างพระพุทธรูปปางสะดุ้งกลับส่งไปไว้ตามจุดต่างๆในประเทศเขมร พอดีกับผมสร้างพระปรกใบมะขามแจกงานกฐินตกค้าง ช่างก็แกะเป็นพิมพ์สะดุ้งกลับอย่างไม่ได้ตั้งใจ เมื่อท่านปลุกเสกให้แล้วบอกว่า “กลับร้าย กลายเป็นดี” พร้อมกับชี้ให้ดูพระพุทธรูปปางสะดุ้งกลับที่ท่านสร้างไว้ถึง ๓๒ องค์ว่า "ดีๆ กลับร้ายกลายเป็นดี "
    เหรียญรุ่น ๑ (ปี ๒๕๓๐) ของหลวงปู่ธรรมรังษี เด็กหนุ่มบ้านลุงปุง ซึ่งมาเป็น รปภ.อยู่ที่อาคาร BBC พลัดตกร่องลิฟท์จากชั้นที่ ๙ ลงมาถึงชั้นที่ ๒ ... ไม่ตาย ไม่เป็นอะไรเลย เพียงร้องบอก "หลวงปู่ช่วยด้วย" เรื่องราวของหลวงปู่ธรรมรังษีพระผู้บริสุทธิ์กับผงพรายกุมารหลวงปู่ทิมยังมีอีกมาก

    หมายเหตุ ทางมูลนิธิหลวงปู่ทิม ยังพอมี ปิดตานางพราย(กุมารดูดรก)หลวงปู่ผาด ให้บูชาตนละ ๕๐๐ บาท, และก้นก๊อก(ลูกกรอก) เนื้อทองเหลืองแช่น้ำมัน หลวงพ่อฤทธิ์ ให้บูชาตนละ ๕๐๐ บาท , ปรกใบมะขามสะดุ้งกลับ(กลับร้ายกลายเป็นดี) แบบมียันต์ เนื้อทองแดงให้บูชาองค์ ๒๐๐ บาท,นวะ ๕๐๐บาท, และเนื้อเงิน ๑,๐๐๐ บาท , ปรกสะดุ้งกลับแบบหลังเรียบเสกพร้อมเสือ๕๐๐ รุ่นแรก เนื้อทองแดงบูชาองค์ละ ๕๐๐ บาท, เนื้อเงินหลังเรียบ ๒,๐๐๐ บาท (ปิดตานางพรายหลวงปู่ธรรมรังษีหมดตั้งแต่สร้างได้ไม่นาน ... พอจะมีวัตถุมงคลอย่างอื่นของหลวงปู่ธรรมรังษี สามารถดูได้ที่หน้า เช่าบูชา)


    </TD></TR></TBODY></TABLE>






    ให้บูชา 200 บาทครับ (เก่งขนาดที่เคยถูกนิมนต์ไปเป็นสมเด็จพระสังฆราชของเขมร )

    ปิดรายการให้คุณจรรยาพร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0091.jpg
      scan0091.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.8 KB
      เปิดดู:
      90
    • scan0092.jpg
      scan0092.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.1 KB
      เปิดดู:
      72
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2010
  5. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,974
    ค่าพลัง:
    +5,388
    ที่ 525 เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่จันดี วัดเพลงวิปัสสนา(ป่าหินเกิ้งวิปัสสนา)<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->ออกปี 2517 ท่านเป็นศิษย์สายพระอาจารย์มั่น ที่อัฐิธาตุเป็นพระธาตุอีกรูปหนึ่ง

    ให้บูชา 200 บาท<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    ขอจองครับ
     
  6. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 528 เหรียญหลวงพ่อม่น วัดเนินตามาก ปี 2533

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD height=41><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=center><TD style="PADDING-TOP: 11px" width="92%" background=http://www.buddhawax.com/images/bg_title_02.jpg>ประวัติ หลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก </TD><TD vAlign=top align=left width="2%">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=7></TD></TR><TR><TD style="PADDING-LEFT: 15px">[​IMG]
    พระครูสุจิณธรรมวิมล (หลวงปู่ม่น) วัดเนินตามาก ชลบุรี
    พระครูสุจิณธรรมวิมล มีนามเดิมว่า ม่น นามสกุล วิญญาณ เกิดเมื่อวันเสาร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีจอ ตรงกับวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2453 โยมบิดาชื่อ มา โยมมารดาชื่อ แดง มีพี่น้องรวมกัน 3 คน คือ
    1.นางเทียม เอมเปีย
    2.หลวงปู่ม่น
    3.นางย้อย โบราณ
    ในวัยเยาว์ โยมบิดามารดา นำไปฝากเรียนกับพระที่วัดใกล้บ้าน ศึกษาอักขระสมัย เนื่องจากท่านเป็นผู้มีจิตใจ อ่อนโยน โอบอ้อมอารี สนใจใฝ่เรียน มีความพยายามและอดทนเป็นเยี่ยม ทำให้พระอาจารย์ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้อย่างเต็มกำลัง จนมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านอักษร การแพทย์แผนโบราณ และการช่าง
    เนื่องจากท่านเป็นบุตรชายคนเดียว จึงถือเป็นหลักของครอบครัว ขยันขันแข็ง ประกอบสัมมาอาชีพช่วยเหลือโยมบิดามารดาทำให้ครอบครัวมีฐานะมั่นคงในเวลาต่อ มา มีที่นาทำกินเป็นของตนเองจำนวนพอสมควร
    จนกระทั่งอายุได้ 29 ปี ท่านจึงได้ขอบรรพชาอุปสมบทในบวชพุทธศาสนา ในวันเสาร์ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 5 ตรงกับวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2481 ณ พัทธสีมาวัดโคกเพลาะ ตำบลโคกเพลาะ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี โดยมี พระครูสังวรศีลาจารย์ วัดหลวงพรหมาวาส ตำบลวัดหลวง อำเภอพนัสนิคม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพิพัฒน์ธรรมคุณ วัดโบสถ์ ตำบลวัดโบสถ์ อำเภอพนัสนิคม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระครูอาจารสุนทร วัดโคกเพลาะ ตำบลโคกเพลาะ อำเภอพนัสนิคม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า ธมฺมจิณฺโณ
    เมื่อได้อุปสมบทแล้ว ได้พำนักที่วัดโคกเพลาะระยะหนึ่ง จึงได้ย้ายไปจำพรรษา ที่วัดเนินตามาก เริ่มศึกษาเล่าเรียนคันธุระและวิปัสสนาธุระอย่างจริงจัง เคร่งครัด ประกอบคุณงามความดีตามความเหมาะสมของเพศสมณะท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในธรรม วินัยตั่งแต่เริ่มอุปสมบท ศึกษาปริยัติธรรม เข้าสอบนักธรรมชั้นตรี ชั้นโท ตามลำดับ มีความสามารถในการจำและสวดพระปาฏิโมกข์ได้ จนมาทำการค้นคว้าด้วยตนเอง ฝึกการปฏิบัติจิตและกัมมัฏฐาน เพื่อหลุดพ้นอย่างจริงจังเมื่ออุปสมบทได้ 5 พรรษา จึงได้ออกธุดงค์เพื่อหาประสบการณ์ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น พระพุทธบาท สระบุรี วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นต้น
    ท่านเล่าว่า ไปศึกษาวิชชาธรรมกายกับ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ (สมัยที่หลวงพ่อสดยังมีชีวิตอยู่) แต่เมื่อปฏิบัติได้ 7 วัน ท่านบอกว่าไม่ถูกกับจริต เลยขอลาไปที่อื่นต่อภายหลังท่านได้ฝากตนเป็นศิษย์ พระสมุห์บุญยิ่ง วิริโย ที่วัดเขาบางพระ อำเภอศรีราชา รับคำแนะนำสั่งสอนในการปฏิบัติอันเป็นไปด้วยธาตุและจริตเป็นหนึ่งเดียวกัน
    นอกจากนี้ยังได้ศึกษาด้านเวชกรรมจากพระสมุห์บุญยิ่งเพิ่มเติมจนมีความ เชี่ยวชาญต่อมา พระสมุห์บุญยิ่ง ได้ชักชวนหลวงปู่ม่นออกธุดงค์หาสถานที่ปฏิบัติวิเวก เป็นสัปปายะ จนได้พบถ้ำจักรพงศ์ บนเกาะสีชัง ทั้งอาจารย์และศิษย์จึงได้พำนักอยู่ ณ ที่นี้ จนหลวงปู่ม่นเกิดความก้าวหน้าทางจิตเป็นอย่างมาก
    ในปี พ.ศ. 2490 พระอธิการกี่ เจ้าอาวาสวัดเนินตามาก ได้ลาสิกขา ทางคณะสงฆ์ และอุบาสก อุบาสิกาได้มาอาราธนานิมนต์หลวงปู่ม่น กลับไปเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด สั่งสอนภิกษุ สามเณร และอุบาสก อุบาสิกาสืบต่อไปเมื่อหลวงปู่ม่นเป็นเจ้าอาวาส ได้ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ทำนุบำรุงวัดเนินตามากให้เจริญรุ่งเรือง สร้างถาวรวัตถุ เช่น อุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิ วิหาร ฯลฯ
    นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาท้องถิ่น ทำถนน ไฟฟ้า สร้างโรงเรียน ตั้งกองทุนมูลนิธิต่างๆ ให้การศึกษาแด่พระภิกษุ สามเณร สอนนักธรรม พระนวกะ ส่งเข้าสอบนักธรรมสนามหลวงทุกปีหลวงปู่ม่น เป็นที่เคารพศรัทธาของบรรดาศิษย์ เสียสละ สร้างคุณงามความดี ให้แก่พระพุทธศาสนาและท้องถิ่น เป็นที่ยอมรับของสาธุชนทั่วไป
    ในปี พ.ศ.2529 คณะสงฆ์ได้พิจารณาขอพระตรชั้นโทที่ พระครูสุจิณธรรมวิมล
    ในปี พ.ศ.2523 หลวงปู่ได้อาพาธด้วยโรคอัมพฤกษ์ เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลพนัสนิคม จนกระทั่งเกือบหายเป็นปกติ จึงกลับมาพักพื้นที่วัด
    จนกระทั่งในปี พ.ศ.2537 ท่านอาพาธหนักอีกครั้ง จนกระทั่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวช กรุงเทพฯ เป็นเวลาถึง 8 เดือน จึงสามารถกลับมาอยู่วัด
    หลังจากนั้น ท่านก็อาพาธเป็นๆหายๆ เข้าออกโรงพยาบาลสมิติเวช จนกระทั่งมรณภาพด้วยอาการสงบ ณ โรงพยาบาลสมิติเวช เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ.2541 เวลา 18.00 น. รวม สิริอายุได้ 88 ปี 5 เดือน 24 วัน พรรษาที่ 60ได้รับพระราชทานเพลิงศพ ในวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2549 เวลา 16.00 น. ณ วัดเนินตามาก ตำบลโคกเพลาะ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ให้บูชา 180 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0089.jpg
      scan0089.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.2 KB
      เปิดดู:
      97
    • scan0090.jpg
      scan0090.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.4 KB
      เปิดดู:
      106
  7. นว

    นว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +2,445
    ขอจอง รายการที่ 523 พระผงรูปเหมือน หลวงปูลี วัดป่าหัวตลุก
     
  8. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รับทราบการจองของทุกท่านนะครับ พอดีวันนี้ได้รูปถ่ายล็อกเกตหลวงปู่สรวง อมตะสงฆ์เหนือกาลเวลามา ที่สำคัญด้านหลัง มีสีผึ้ง ชิ้นส่วนเล็บ ตะกรุดที่ท่านจารมือ จีวร และที่สำคัญมีเกศางอกได้ถึง 5 เส้น เสียดายผมใจอ่อนโดนแบ่งไปแล้วครับ เป็นสมาชิกเว็บนี้แหละครับ
     
  9. นะจักรวาล

    นะจักรวาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,911
    ค่าพลัง:
    +8,327

    มีชิ้นเดียวหรือครับ รายการนี้น่าสน
     
  10. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948

    รายการนี้อยู่ที่ ลูกค้าประจำพี่แหละครับ
     
  11. นะจักรวาล

    นะจักรวาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,911
    ค่าพลัง:
    +8,327
    เร็วจริงๆๆ ล็อคเก็ตปู่สรวงผมก็มี อุดผง ฝังตะกรุด แต่ของคุณน่าสนใจกว่า 55
     
  12. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    มามุงอะไรกันครับ อิอิ วันนี้ลงพอแล้วครับ
    พรุ่งนี้มีอะไรบ้างเอ่ย ................ มีแจกลูกอม หลวงปู่ทิมวัดละหารไร่ครับ ติดตามนะครับ
     
  13. นะจักรวาล

    นะจักรวาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,911
    ค่าพลัง:
    +8,327
    ขอล่วงหน้าเลยได้ป่าว แหะ
     
  14. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 529 พระรัตนจักรเนื้อดินเผาหลวงปู่ชิ้น วัดญานเสน รุ่นแรก ปี 2500

    [​IMG]

    เป้นพระยุคต้นของหลวงปู่ครับ สร้างช่วงท่านพบกับท่านอาจารย์เสน

    ให้บูชา 900 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0078.jpg
      scan0078.jpg
      ขนาดไฟล์:
      101.4 KB
      เปิดดู:
      149
    • scan0079.jpg
      scan0079.jpg
      ขนาดไฟล์:
      96.3 KB
      เปิดดู:
      86
  15. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 530 พระทรงสิงห์หลวงพ่อผาด วัดดงตาล (ขอบารมีหลวงพ่อปานร่วมปลุกเสก)

    ให้บูชา 600 บาท ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0076.jpg
      scan0076.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.2 KB
      เปิดดู:
      201
    • scan0077.jpg
      scan0077.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.1 KB
      เปิดดู:
      78
  16. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,390
    ค่าพลัง:
    +19,716
    จองลูกอม หลวงปู่ทิมไว้ก่อนไม่เคยได้กะเขาเลย ของแจก ได้ป่าวน้องชาย 555
     
  17. ไวยวัฒน์

    ไวยวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +887
    น่าสนใจครับลูกอมหลวงปู่ทิม จองไว้ก่อนได้ก้จะดีครับ อิอิ
     
  18. มะขามป้อม

    มะขามป้อม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2008
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +1,547
    ขอจองรายการ 513 ครับ
     
  19. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,974
    ค่าพลัง:
    +5,388
    รายการที่ 529 พระรัตนจักรเนื้อดินเผาหลวงปู่ชิ้น วัดญานเสน รุ่นแรก ปี 2500<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]

    เป้นพระยุคต้นของหลวงปู่ครับ สร้างช่วงท่านพบกับท่านอาจารย์เสน

    ให้บูชา 900 บาท<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    ขอจองครับ
     
  20. somsakasat

    somsakasat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,908
    ขอจองรายการนี้ครับ โอนแล้วแจ้งให้ทราบครับ

    น่าจะไม่ทันคุณj999 ถ้ามีอีกขอจองด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...