คลังเรื่องเด่น
-
ทำเหมือนพระพุทธรูป : หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
...
มีเหตุอย่างไรไม่ทราบ
วันหนึ่ง "หลวงปู่สิม" ท่านเทศน์เสียงเข้มข้นว่า
"หลวงปู่น่ะเลียนแบบพระพุทธรูปและหลวงปู่ทำได้จริง
พระพุทธรูปน่ะ..ใครจะติจะฉิน ท่านก็นิ่งได้
หลวงปู่น่ะเลียนแบบพระพุทธรูปและหลวงปู่ทำได้จริง"
อีกโอกาสหนึ่งเมื่อมีพระอาคันตุกะ
ขึ้นไปกราบนมัสการองค์หลวงปู่ที่ถ้ำผาปล่อง
แม้เป็นพระนวกะก็กล้าหาญชาญชัย
ถึงกับพูดจาในทำนองติเตียนหลวงปู่ด้วยเรื่องต่างๆ
โดยไม่กลัวบาปกรรมเลย
หลวงปู่นั่งฟังด้วยอาการสงบ "วางเฉยเหมือนแผ่นดิน"
อย่างที่ท่านสอนลูกศิษย์จนติดหู
จนกระทั่งได้โอกาสท่านจึงย้อนถามด้วยเสียงเรียบๆว่า
"อย่างหลวงปู่นี่..ต้องให้ท่านสอนด้วยรึ"
...
วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งเป็นวันครบรอบ
วันมรณภาพของ "หลวงปู่บุดดา ถาวโร"
หลวงปู่หลวง กตปุญฺโญ พระเถระซึ่งเป็นญาติ
และคุ้นเคยกับหลวงปู่สิมเป็นอย่างดี
ได้รับนิมนต์ไปแสดงธรรม ท่านได้พูดถึงหลวงปู่สิมไว้ว่า
หลวงปู่บุดดาก็เคารพหลวงปู่สิมเหมือนกัน
ว่าหลวงปู่สิมนั้นเป็น 'พระเจ้าทอง' ว่าอย่างนี้
คำว่า... -
การพิจารณากาย..หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
..การที่ใช้การค้นคว้า เรียกว่า “ปัญญา”
การนึกคิดปรุงแต่งของร่างกายของเรา
นึกคิดถึงอันใดก็แล้วแต่ สิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบใจ
ก็เอามาพิจารณา เป็นแก้วแหวนเงินทองข้าวของที่รัก
ที่ชอบใจอันใดอันหนึ่งก็เอามาพิจารณา
ว่าอันนั้นเมื่อเราตายแล้วเป็นของเราหรือเปล่า
แล้วสิ่งนั้นเขาว่าเป็นของของเราหรือ
หรือเราไปยึดเขา ก็ดูหัวใจเรา
ที่เอื้อมไปพิจารณาอย่างนั้นด้วย อันนั้นเขาว่าอะไร
ใจเรานี้ต่างหากเป็นคนไปว่า เป็นของของเรา
ของสวยของงามใครมาลักมาเอาไปไม่ได้
นี่...มันก็ต้องดูตัวนี้อีกทีหนึ่ง
มองดูหัวใจที่มันคิดไปอย่างนั้น นี่...ต้องพิจารณาอย่างนี้
พิจารณาลงไปอย่างนั้นแล้ว เมื่อพิจารณาแล้ว
เราก็มาหยุดใจ ให้เป็นปกติ ไอ้ใจที่เป็นปกตินี้
มันไม่มีว่าอะไรนี่ มันมีแต่หน้าที่แต่ “รู้” อยู่อย่างเดียวเท่านั้น
อยู่กับความปกติของใจ
นี่...เพราะฉะนั้นจึงต้องค้นคิด พิจารณา
การพิจารณาเป็นบาทสำคัญ แต่ว่า การพิจารณาอย่างนี้
คนไม่ค่อยชอบ เพราะมันต้องคิด ต้องนึก ต้องปรุง
ยิ่งปรุงในร่างกายเท่าไร พิจารณาร่างกายเท่าไร
ใจนั้นยิ่งสงบ เยือกเย็นลงเป็นลำดับ
เมื่อใจได้พิจารณาถึงกาย พิจารณาตั้งแต่หัว
มีตา มีหู มีจมูก มีปาก... -
อานิสงส์สร้างเจดีย์บรรจุกระดูกพ่อแม่ โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
อานิสงส์สร้างเจดีย์บรรจุกระดูกพ่อแม่
หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม :- “สร้างเจดีย์ไว้ในพระพุทธศาสนา
แล้วเอากระดูกพ่อกระดูกแม่บรรจุไว้ ถามว่า
พ่อแม่จะมีอานิสงส์หรือไม่ และผู้สร้าง
จะมีอานิสงส์อย่างไรครับ…?”
หลวงพ่อ :- “พ่อแม่มีอานิสงส์หรือไม่…
ผู้สร้างมีอานิสงส์หรือไม่ …ยังไม่ตอบ
แต่ขอตอบว่าพระมีอานิสงส์”
ผู้ถาม :- “พระได้ยังไงครับ…?”
หลวงพ่อ :- “บังสกุลทุกปี อนิจจา วะตะ สังขารา…”
ผู้ถาม :- “อ๋อ…” (หัวเราะ)
หลวงพ่อ :- “ทำไมล่ะ พ่อแม่จะมีอานิสงส์หรือไม่…
อยู่ที่ลูกว่าอุทิศส่วนกุศลให้หรือเปล่า…แล้วก็
ท่านมีโอกาสโมทนาหรือเปล่า…เราก็ทราบอยู่แล้ว
ถ้าให้แล้วไม่มีโอกาสโมทนา ก็ไม่ได้ ลูกได้แน่
ได้ ๒ ชั้น สร้างเจดีย์ไว้ในเขตวัด ก็เป็นพุทธบูชา
ธรรมบูชา สังฆบูชา เอากระดูกพ่อแม่ไปตั้งในนั้น
เป็นกตัญญูกตเวที
พระพุทธเจ้าว่ายังไง “นิมิตตัง สาธุรูปานัง
กตัญญูกตเวทิตา” ผู้ที่มีความกตัญญูรู้คุณ
แก่ท่านผู้มีอุปการะแล้ว และตอบสนองคุณท่าน
เรากล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นคนดี
นี่ว่าภาษาไทยนะ เขามีอานิสงส์ ๒-๓ ชั้น พอถึงปี
ถึงเวลาสงกรานต์ เขานิมนต์พระมาบังสกุล... -
คู่บารมีพุทธภูมิ (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม)
หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม :- “ลูกทำบุญทุกอย่างที่วัดท่าซุง โดยลูกกระทำคนละครึ่งกับผู้ปรารถนาพุทธภูมิ…”
หลวงพ่อ :- “เอาละ…หัวมงกุฎท้ายมังกรละทีนี้!”
ผู้ถาม :- “ขอต่อนะครับ โดยอธิษฐานให้ลูกเป็นคู่บารมีของเขาตลอดไปจนกว่าจะสำเร็จพระโพธิญาณ ลูกอธิษฐานว่า ถ้าไปนิพพานชาตินี้ไม่ได้ ก็จะขอเป็นคู่ส่งเสริมการสร้างบารมีให้เขาได้สำเร็จ ลูกถามว่า ข้อ ๑ ลูกจะไปนิพพานชาตินี้ได้ไหม โดยที่ฝ่ายชายไม่ยอมลาจากพุทธภูมิ?”
หลวงพ่อ :- “ก็อีท่านั้นมันไปแล้ว เราต้องตัดสินใจให้แน่นอนว่า เราไม่ต้องการปราถนาร่วมกับพุทธภูมิ เราจะไปนิพพานตรง ไอ้ไปแบ่งครึ่งแบบนั้นไปแน่ เพราะกำลังพุทธภูมิเขาแรง”
ผู้ถาม :- “ถ้าอย่างนั้นถ้าไปต้องตัด…”
หลวงพ่อ :- “ต้องตัดเลย บอกฉันไม่ต้องการติดตามใครทั้งนั้น ฉันจะไปนิพพานชาตินี้ ต้องตัดแบบนั้นนะ”
ผู้ถาม :- “ข้อ ๒ ถ้าไปไม่ได้ ลูกจะต้องทำอย่างไร จึงจะช่วยเขาสร้างบารมีให้สำเร็จพระโพธิญาณเจ้าคะ?”
หลวงพ่อ :- “ไม่เป็นไร เป็นเมียเขาเรื่อยไป หมดเรื่องหมดราว…(หัวเราะ) ปัดโธ๋เอ๋ย…ไปถามงั้นได้ ก็ช่วยไม่ใช่เหรอ…ไม่น่าจะถาม ก็สุดแล้วแต่วาระแต่ละชาติจะต้องทำอะไร... -
คนที่กำลังใจต่างกันสามารถคบหาสนิทสนมกันได้ไหม !?
ถาม : คนที่กำลังใจต่างกันสามารถคบหาสนิทสนมกันได้ไหมครับ หรือว่าไปไม่รอด ?
ตอบ : ไปกันไม่ได้หรอก
ถาม : คือต้องเปลี่ยนคนคบใหม่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ถึงเวลาก็เป็นไปเองแหละ ถึงเวลาไปกันไม่ได้ก็ต้องต่างคนต่างไป อย่างสมัยนี้เห็นแต่งงานกันเยอะแยะ แล้วท้ายสุดก็บอกว่าไปกันไม่ได้ โดยเฉพาะพวกดารา แล้วทำไมถึงไม่ดูให้ดีตั้งแต่แรก
ถาม : เกี่ยวกับเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา จาคะด้วยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช้คำว่า "กำลังใจต่างกัน" ก็จบเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปดูว่าต่างกันเพราะอะไร จะใช้คำว่าระดับความดีต่างกันก็แรงเกินไป
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗
โดย พระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สฺธมฺมปญฺโญ),ดร.. -
ปรารถนาจะไปพระนิพพานชาตินี้ แต่ยังจีบสาวอยู่จะได้ไปพระนิพพานไหม ?
ถาม : ผมปรารถนาไปพระนิพพานในชาตินี้ แต่ผมก็ยังไปจีบผู้หญิงอยู่ โดยเลือกผู้หญิงที่เข้าวัดเหมือนผม เราจะได้ปฏิบัติธรรมด้วยกันอยากทราบว่า ถ้าผมยังคิดแบบนี้อยู่
โอกาสที่จะได้ไปพระนิพพานในชาตินี้จะริบหรี่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ริบหรี่หรอก เกือบจะเป็นศูนย์..! เห็นทำอย่างนี้มาเจ๊งมาหลายคู่แล้ว เอกายโน อะยัง ภิกขเว ทางนี้เป็นหนทางของบุคคลเดียว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา
เป็นทางที่จะนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์ได้ โสกะปริเทวานัง สะมะติกกะมายะ สามารถก้าวล่วงซึ่งความทุกข์โศกร่ำไรได้ ทุกขะโทมมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ
สามารถทำให้ความทุกข์และโทมนัสตกล่วงไปได้ ท่านไม่ได้บอกให้ไปสองคน
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗
โดย พระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สฺธมฺมปญฺโญ),ดร.
. -
อานิสงส์ การทำบุญโดยเสด็จพระราชกุศล
บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
19 มีนาคม ·
อานิสงส์ของการทำบุญโดยเสด็จพระราชกุศล
โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
ท่าน สาธุชนพุธบริษัททั้งหลาย ที่เป็นศิษย์หรือไม่ใช่ลูกศิษย์ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ป่วยมาก มีอาการเพลียเป็นพิเศษ นั่งที่ไหนก็อยากจะหลับ พอดีเป็นวันพระแรม ๘ ค่ำเดือน ๘ จะลงศาลาก็คงไม่ไหว เทศน์ก็เทศน์ไม่ไหว จะเดินก็เดินไม่ไหว ความตายมันคลานเข้ามาเต็มที ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ที่พระพุทธเจ้าเทศน์กับเปสการีท่องไว้ทุกวัน จำไว้ทุกวัน มีความรู้สึกกว่า ไม่ช้าชีวิตนี้มันก็ต้องตายถ้าความตายมันเข้ามาถึง บรรดาท่านทั้งหลาย สิ่งที่ต้องการนั้นคือพระนิพพาน ใครเข้าหาว่า บ้าๆ บวมๆ ก็ตามใจ บางท่านบอกว่า พระนิพพานสูญ ตามตำราต่างๆ ก็บอกว่ามีสภาพสูญ แต่ทว่าเมื่อปี ๒๕๐๐ ปีนั้นป่วยมาก ต้องเข้าโรงพยาบาลวันแรก มีการอืดเสียดหนัก ตอนหัวค่ำ วันที่สอง ก็มีอาการอืดเสียดหนักตอนหัวค่ำ พอวันที่สาม จึงสั่งจ่าพยาบาล ให้ไขเตียงให้นั่งได้ เตรียมตัวว่าวันนี้ ถ้าจะขอตาย ก็ตายด้วยสมาธิ และวิปัสสนาญาณเวลา๑ทุ่ม
ก็เริ่ม ทำสมาธิ คิดว่าประมาณ ๒ ทุ่ม ทุกวัน ๒วันมาแล้ว แต่ว่าวัน นี้แปลก... -
เจริญพรหมวิหาร4 ควบคุมอำนาจกสิณ
เรื่องอดีตชาติของหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ผู้ชำนาญกสิณไฟ จนหลวงปู่ชอบ ฐานสโม สอนให้เจริญเมตตา จึงก่อเกิดความร่มเย็นเผื่อแผ่มาถึงศิษยานุศิษย์จนถึงปัจจุบันนี้ ขอขอบพระคุณเรื่องราวดีดีจากพ่อแม่ครูจารย์อย่างนี้ โพสต์โดย พี่กล้วย วีระศักดิ์ โพธิสัตย์ สาธุครับผม
วันนี้เป็นวันครบรอบอายุ ๘๐ ปี ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญวิเวก บ.ปง ต.อินทขีล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ หรือที่ลูกศิษย์ขององค์ท่านในปัจจุบันจะเรียกท่านว่าหลวงปู่เปลี่ยน โดยส่วนตัวผู้เขียนมีความคุ้นเคยกันกับท่านอาจารย์เปลี่ยนมาก่อนตั้งแต่สมัยอยู่ปฏิบัติกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ จึงนิยมติดปากเรียกท่านว่าพระอาจารย์เปลี่ยน ในการเขียนจึงขอเอ่ยนามขององค์ท่านว่าพระอาจารย์เปลี่ยน เพราะคำนี้เป็นคำที่สนิทใจตนเองมาตั้งแต่แรกที่รู้จักกันกับท่าน..
เรื่อง อดีตชาติของท่านพระอาจารย์เปลี่ยนที่เขาวังเพชรบุรี
ปี ๒๕๔๖ ผู้เขียนเข้ามาพักที่วัดป่าเชิงเลนหลังมูลนิธิหลวงปู่มั่น ได้พบกับท่านพระอาจารย์เปลี่ยนอีกครั้งที่นี่ ท่านอาจารย์พัลลภเจ้าอาวาสวัดป่าเชิงเลนศิษย์ผู้พี่ชวนไปสรงน้ำท่านพระอาจารย์เปลี่ยนด้วยกัน... -
หลวงพ่ออุตตมะ กล่าวเรื่องกสิณ
***หลวงพ่ออุตตมะกล่าวถึงเรื่องกสิณ***
..
เราต้องเพ่งกสินจนกว่ากสิณจะปรากฏขึ้นมา
แล้วเราก็รวมกสิณจับจิตทั้งหมดให้มาอยู่ในดวงกสิณ
เราไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะจิตเราอยู่ในดวงกสิณ เป็นสมาธิเป็นกุศลจิตอย่างเดียว ด้วยอานุภาพของกสิณ
..
กสิณเราก็จะแข็งขึ้นๆ เราก็พยายามไปทุกวันทุกเวลาให้กสิณเราแข็งขึ้น ไม่ให้แตกออกไป เราจับไว้ด้วยสมาธิ
แล้วเราก็รวมอารมณ์ทั้งหลาย
จิตทั้งหลายทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าปรารถนา)
และอนิฏฐารมณ์ (อารมณ์อันไม่น่าปรารถนา) ให้มาอยู่ในกสิณ
เราก็จะแยกจิตเหล่านี้ที่ไม่ดีต่างๆ
เราจะดับจิตที่ไม่ดีต่างๆ ลงไป ด้วยอานุภาพของกสิณ
..
กสิณนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ หรือเป็นฤาษีเขาก็ปฏิบัติกัน
กสิณนี้เป็นสมถะ เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดเราต้องจับกสิน ๑๐ ประการให้ได้
เมื่อกสินปรากฏแล้ว เราก็ดึงกรรมฐานอย่างอื่นเข้ามา เช่น
กายคตาสติ , อานาปานสติ เราก็รวมให้มาอยู่ในกสิณ
...
แต่กสิณนี้ทำได้ยากเหลือเกินที่จะทำให้ดวงกสิณปรากฏขึ้นมาเป็นดวงแก้วขึ้นมาให้อยู่ในตัวเรา
เราต้องอุตสาหะพยายามกันมากเหลือเกิน
ต้องทำกันเป็นปีๆ ไม่ใช่แค่เดือนสองเดือน
จากหนังสือ ๘๔ปี... -
...ข้อคิดจากหลวงพ่อจรัญ (สิงห์บุรี).....
...มีโอกาสได้แวะเข้าไปวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี (ความจริงผมแวะเข้าไปบ่อยนับครั้งไม่ถ้วนเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีใครรู้จักผมเท่านั้นเอง)...จึงถือโอกาส ถ่ายภาพสุภาษิต ข้อคิดต่าง ๆ ที่ติดอยู่ตามต้นไม้ภายในวัดเกือบทุกต้นที่เห็น มาลง Internet ให้ได้อ่านกันสำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสได้แวะไป (เอามาลงให้ดูบางส่วนเท่านั้นนะครับ)... -
หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน บทที่ ๑๖ คาถามหาเสน่ห์
หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน บทที่ ๑๖ คาถามหาเสน่ห์
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๑๖
สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๑๖ สำหรับตอนที่ ๑๖ นี้
ก่อนจะพูดเรื่องอื่นก็ขอเตือนกันไว้ก่อน
ว่ารายการนี้เป็นรายการ "หนีนรก" ตอนที่ ๑๕ หนีสิมพลีนรก
แต่ตอนที่ ๑๖ นี้ หนีทุกขุม ทั้งนี้เพราะอะไร?
เพราะว่าเป็นเรื่องของวาจาที่ต้องพูด
แต่ก่อนจะพูดถึงวาจาก็บอกลีลาการหนีนรกกันก่อน
การหนีนรกขอถือตามแบบฉบับขององค์สมเด็จพระชินวร
คือ พระพุทธเจ้า ที่ตรัสว่า
"ถ้าบุคคลใดละสังโยชน์ ๓ ประการได้
หรือว่าตัดสังโยชน์ ๓ ประการได้
ท่านผู้นั้นบาปเก่าทั้งหมดตามไม่ทัน ไม่สามารถลงโทษได้
แล้วก็ท่านผู้นั้นจะไม่มีการตกนรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย
เป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่อไปอีกทุกชาติที่เกิด
จะเกิดเมื่อไร จะตายเมื่อไรก็ตาม จะวนเวียนแต่เฉพาะเป็นมนุษย์
เทวดากับพรหม และต่อไปถ้ามีกำลังเต็มก็ไปนิพพาน"
การตัดสังโยชน์ ๓ ประการ ก็ขอบอกกันแบบง่ายๆ ย่อๆ
พูดมากก็ฟังยาก วิธีตัดง่ายๆ ก็คือ
๑. ให้มีความรู้สึกเสมอว่าชีวิตนี้มันต้องตาย
เราไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ... -
หลวงพ่อวัดปากน้ำ กับ อภิญญาชนในคราบขอทาน
“หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ โปรดขอทานชรา”
*********************************************
ในสมัยที่ หลวงพ่อสด จนทฺสโร หรือ พระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีชื่อเสียงและกิตติคุณไพศาลยิ่ง ด้วยเป็นผู้ค้นพบวิชาพระธรรมกาย และได้เผยแผ่วิชานี้
จนมีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา พากันมาขอเรียนวิชาธรรมกายนี้ จนแน่นขนัดบริเวณวัดทุกเมื่อเชื่อวัน
อีกทั้งมีศิษย์ที่เป็นโยมอุปฐากวัด ทั้งที่เป็นข้าราชการระดับสูง ทั้งขุนทหาร ตำรวจ และข้าราชการศาลยุติธรรม เจ้าสัว มหาเศรษฐี ตลอดจนผู้มีหน้า มีตาในวงสังคมชั้นสูงอีกจำนวนมาก มากราบฝากตัวเป็นศิษย์
วัดปากน้ำ ณ เวลานั้น จึงคราคร่ำ แน่นเนืองไปด้วยผู้คน ราวกับวัดมีงานรื่นเริงอยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำ ฉันเพลเสร็จ และบอกกรรมฐานให้กับผู้ต้องการขึ้นวิชาธรรมกายปราบมาร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็ถึงเวลาที่ท่านรับแขก คือสงเคราะห์ญาติโยม เมื่อหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ ณ ที่ใด ที่นั้นย่อมเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งที่เป็นโยมวัด โยมอุปฐาก แขกผู้มาเยือน ตลอดจนชาวบ้าน พากันเบียดเสียดเพื่อรอชมบารมีท่านไม่ห่างตา
ที่เชิงบันไดขึ้นศาลาใหญ่... -
เพ่งพินิจ "..ความตาย.."(มรณานุสสติ)
วันหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า
-พระพุทธเจ้า...อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง
-พระอานนท์กราบทูลตอบว่า....ระลึกถึงความตายวันละ ๗ ครั้งพระเจ้าข้า
-พระพุทธเจ้าตรัสว่า....ยังห่างมากอานนท์ ตถาคตระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก
--------------------------------------------------------------------------------------------
การนึกถึงดังกล่าวเป็นการทำสมถะสมาธิอย่างหนึ่ง
... ในทางปฏิบัติคือการเห็นธาตุขันธ์หรือสภาวะธรรมมันทำงาน เกิด-ดับ (ไตรลักษณ์)ทุกขณะจิตในปัจจุบันขณะ ไม่ใช่แค่นึกถึงร่างกายหรือคิดถึงความตาย แต่เป็นการเห็นด้วยปัญญาต่อหน้าต่อตาในขณะนั้นๆ
ถ้าเจริญสติปัญญาจนเกิดปัญญาแท้ จะเห็นธาตุขันธ์หรือสภาวะธรรมมันเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-และดับไปตลอดสาย ทางปริยัติเรียกว่า อุทยัพพยญาณ เป็นญาณที่ ๔ ของปัญญา ๑๖ ขั้น (โสฬสญาณ)
และเมื่อเจริญสติปัญาจนพัฒนาขึ้นแล้วจะเห็นแต่การดับ(ตาย)ฝ่ายเดียว
จิตที่มีปัญญาจะเห็นสภาวะธรรมเป็นปัจจุบัน
ปัญญาว่องไวจนสัญญายังไม่ทันแปลหรือตีค่า ว่าสิ่งสิ่งนั้นคืออะไร
ปัญญาระลึกรู้โดยอัตโนมัติ
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าพระอานนท์ ระลึกได้น้อยมาก... -
เรียงลำดับจิตตภาวนา ...หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"..อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาอยู่ที่จิตไม่อยู่ที่อื่น อย่างหลวงปู่มั่นท่านแสดง เรากราบราบทันทีเลย ไม่มีใครพูด ในตำราท่านก็ไม่บอก ท่านบอกไว้แต่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ไปเท่านั้น แต่ท่านอาจารย์มั่นท่านมาพูดว่า ฐีติภูตํ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเกิดขึ้นจาก ฐีติภูตํ คือจิตแท้ เกิดจากนี้ แต่ท่านเอานี้ออกไป เมื่อเปิดอันนี้แล้ว ฐีติภูตํ ก็จะบริสุทธิ์เอง ท่านว่างั้น เพราะอันนี้เป็นเครื่องปกปิดต่างหาก ท่านจึงพูดตั้งแต่อันนี้เป็นอวิชชาไปเลย ท่านว่างั้น เวลาพิจารณาก็เป็นอย่างนั้น
พิจารณาเข้าไปถึงนั้นแล้วหมุนเข้าไปหาจิต หมุนเข้าไปหาจิตแล้วมันก็พิจารณาทางจิตอีก สติปัญญานี้มีหลายขั้นนะ คำว่าสติปัญญาการพิจารณา ขั้นล้มลุกคลุกคลาน คือการภาวนาล้มลุกคลุกคลานดังที่เราฝึกเบื้องต้นใช้คำบริกรรม นี้เป็นอันหนึ่ง จากนั้นก็พิจารณาถึงสมาธิ ออกจากสมาธิแล้วเข้าเป็นปัญญา พิจารณาร่างกายนี้ก็เป็นปัญญาขั้นหนึ่ง พอพิจารณาร่างกายคล่องแคล่วว่องไวเข้าไป จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาเราก็เรียนในปริยัติตั้งแต่ก่อน งงเป็นไก่ตาแตกไม่รู้ แต่ก็ไม่ถือเป็นอารมณ์อะไรมากนัก
สุตมยปัญญา... -
ฝึกตัดร่างกายไว้ ตายเมื่อไรไปพระนิพพาน โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
ฝึกตัดร่างกายไว้ตายเมื่อไรไปพระนิพพาน
ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
ในเมื่อนึกถึงความตายได้ นึกถึงพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ได้ ทรงศิลได้ ก็ตั้งอารมณ์
ไว้โดยเฉพาะพระนิพพาน ให้มีความเข้าใจตาม
ความเป็นจริงว่าร่างกายของเรามีสภาพไม่เที่ยง
มันเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สลายตัวไปในที่สุด
ให้ถือว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกาย
เป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว ไม่ช้ามันก็ตาย
ถ้ามันตายเมื่อไร ขึ้นชื่อว่าร่างกายเลวๆ อย่างนี้
เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการนิพพานจุดเดียว
ถ้าคิดอย่างนี้ทุกวันนะ เวลาที่ป่วยหนักใกล้จะตาย
อารมณ์ทั้งหมดที่คิดวันละเล็กวันละน้อย มันจะ
รวมตัวเพื่อนิพพานโดยตรง จะวางเฉยทั้งหมด
การที่จะไปนิพพานได้จริงๆ อารมณ์จิตมันจะ
วางเฉยในทรัพย์สินต่างๆ ทั้งหมด ขณะที่เราป่วย
ไร่นาสาโทบ้านช่องทรัพย์สินต่างๆ มันก็เฉยเมย
ก็ไม่สนใจ จิตมันเฉยมีอารมณ์ทรงเกาะเฉพาะ
พระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ หรือพระธรรม พระสงฆ์
ด้วยก็ได้ตามใจชอบ แต่มันจะไม่สนใจใน
ทรัพย์สิน ไม่สนใจกับร่างกาย ถือว่าร่างกายมัน
จะตายก็เชิญตาย เราจะไปนิพพาน... -
"หลวงปู่ศรี มหาวีโร โปรดผีเปรต"
...สมัยหนึ่ง หลวงปู่ศรีท่านมาพักบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่ถ้ำพระ ในเขตบริเวณวัดถ้ำกวาง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น ชาวบ้านทั้งหลายต่างก็ดีใจและวิงวอนท่านว่า... "ท่านอาจารย์ โปรดช่วยเมตตาหน่อย
โปรดกรุณาปราบเปรตตัวดุร้าย ที่มักไปหลอกหลอน และก่อกวนชาวบ้านอยู่เสมอ ห้อยโหนบนต้นไม้ให้ชาวบ้านเห็นบ้าง เดินลากเท้าไปตามถนนบ้าง ทำให้ชาวบ้านกลัวกันจนขี้หดตดหาย"
ในตอนเย็นวันนั้นเอง หลวงปู่ศรี ท่านนั่งสมาธิพิจารณาธรรมบริเวณลานหินลาดใต้ต้นจำปา ไม่ห่างจากถ้ำพระมากนัก พิจารณาดูผีเปรตตัวนั้น ว่าพอจะแผ่เมตตาโปรดได้บ้างไหม อีกไม่นานก็มีเสียงค่อย ๆ ใกล้เข้ามา ๆ กลายเป็นสายลมพัดวูบ ๆผ่าน ต้นไม้แถบนั้นเสียงดังครืน ๆ ครืน ๆ ในที่สุดเปรตนั้นก็แสดงตนปรากฏในสมาธิธรรมของท่านอย่างประจักษ์ ประหนึ่งว่า "นั่งสนทนากันอย่างคนเราธรรมดา"
หลวงปู่ศรี ท่านได้ถามว่า "เจ้าชื่อว่าอะไร? ที่ต้องมาเกิดเป็นเปรต เสวยทุกขเวทนาอันร้ายกาจเห็นปานนี้ เพราะกรรมใด"
เปรตนั้นตอบว่า "ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ข้าพเจ้าชื่อว่า "บัก(นาย)พรหม" เป็นนามตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุที่เท้าข้างหนึ่งของข้าพเจ้าถูกไม้ทับจึงเป (แบน) คนทั้งหลาย... -
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์
ถาม: ......................................
ตอบ: เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เราสัมผัสได้เองอยู่แล้ว เพราะความรู้สึกของเรามี แต่ว่าให้รับรู้ไว้เฉย ๆ อย่าไปยินดียินร้ายด้วย
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสรุปสั้น ๆ ว่า "อย่าติดในสุขและอย่ากังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ให้ได้ ถ้าวางเฉยในร่างกายนี้ยังไม่ได้ ก็ให้เบื่อร่างกายนี้ให้ได้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม" เรื่องอะไรที่จะขวนขวายแบกเพิ่มไม่ต้องไปหาแล้ว ทำเฉพาะหน้าให้ดีที่สุด แล้วก็ยอมรับกฎของกรรม
ท่านบอกว่าเป็นพระอรหันต์เขาเป็นกันแค่นี้ ไม่เอาเยอะหรอก การยอมรับกฎของกรรมทำยากที่สุด ถ้าคนปัญญาไม่ถึงก็จะยอมรับแบบโง่ ๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อชา ซึ่งเป็นพระด้วย พายุฝนตีหลังคากุฏิเปิงไป ท่านก็ปล่อยให้ฝนรั่ว ให้แดดเผาอยู่อย่างนั้น จนหลวงพ่อชาทนไม่ได้
เมื่อท่านไปถึงบอกว่า "คุณ..ซ่อมหลังคาเสียหน่อยสิ"
พระท่านบอกว่า "ผมปล่อยวางแล้วครับหลวงพ่อ"
หลวงพ่อชาท่านบอกว่า "ปล่อยวางแบบควายนะสิ ควายมันทนแดดทนฝนได้มากกว่าคุณอีก"
อะไรก็ตามถ้ายังสามารถแก้ไขด้วยกำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์... -
พระคาถาล้างกรรม หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
พระคาถาล้างกรรม หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
พระคาถานี้คุณยายฟื้น ข้างวัดบางนมโคท่านมักมาขึ้นพระกรรมฐานกับหลวงปู่ปาน เป็นประจำ วันหนึ่งมีชายสองคนมาคุมร่างแกไปถึงสำนักพระยายมราชเมื่อตรวจดูก็รู้ว่าเอามาผิดคน ท่านพระยายมราช จึงให้เอาไปส่งก่อนกลับท่านได้ฝากสองคาถานี้ให้นำมาถวายหลวงปุ่ปาน วัดบางนมโค คือ๑.คาถาล้างกรรม เพื่อที่ลูกหลานคนใดได้สวดบรรพบุรุษจะบรรเทากรรมหนักลง และ๒.บทกรวดน้ำ ที่สามารถกรวดให้แก่วิญญาณสัมภเวสีให้พ้นทุกข์ เมื่อคืนมายังเมืองมนุษย์คุณยายฟื้น ได้นำมาถวายหลวงปู่ปาน ซึ่งคาถานี้อยู่ในหนังสือเล่มเก่าของวัดบางนมโค ต่อมาคาถานี้ได้หายไปในการพิมพ์หนังสือใหม่ ผมมีต้นฉบับของเก่าเลยถ่ายมาลงเป็นวิทยาทานครับ
คาถาล้างกรรม
(ให้ตั้งนะโม 3 จบ)
*พุทโธ อะระหัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวัณโณ พุทโธ อะระหัง กัมมะโตเมตัง กัมมะภันทะนัง ชีวิตตังให้ไปจุติ ให้ทุกชีวิตทุกวิญาณจงไปผุดไปเกิด (3 จบ)
บทกรวดน้ำ
*อิมินา ปุญญกัมเมนะ ขอเดชเดชะกุศลผลบุญ ที่ข้าพเจ้าอุทิศไปให้คุณบิดามารดา ญาติกาทั้งหลาย สมณชีพราหมณ์ อีกทั้งเรือด ริ้น ลา พระอินทร์เจ้าฟ้า พระโคดม พระพรหมมีฤทธิ์ พระอาทิตย์ พระจันทร์... -
เสียงธรรม ตำนานวันสงกรานต์ โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
13 เมษายน 2558 วันปีใหม่ของไทย -
ติดวัตถุมงคลยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล
พระอาจารย์ กล่าวว่า "มีคนจำนวนหนึ่งไม่มากนัก แต่มักจะเป็นนักวิชาการมีชื่อเสียง เขาจะเน้นเอาธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า บุคคลมี ๔ ประเภท มีอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ และปทปรมะ ถ้าไปเอาประเภทธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียวเนยยะก็ตาย ศาสนาก็ไปไม่ได้
อย่างศาสนาของเรา นักวิชาการสร้างแผนภาพเป็นรูปสามเหลี่ยมปิรามิด ฐานล่างสุดมีขนาดใหญ่ ก็คือพวกที่ยังติดพิธีกรรม ในช่วงกลางก็เป็นพวกที่เริ่มเข้าหาศีล สมาธิ ในช่วงปลายเป็นพวกที่ปฏิบัติครบในไตรสิกขา ก็คือมีปัญญาร่วมด้วย ก็แปลว่าขึ้นไปก็เหลือนิดเดียว คราวนี้ในส่วนที่ว่ามา เคยบอกไว้หลายครั้งแล้วว่า ต่อให้คนพูดเอง เอาธรรมะบริสุทธิ์ไปให้ล้วนๆ ก็ไม่ทำหรอก แต่มักจะแสดงความเห็นให้ดูเก๋ เท่ ฉลาด
ถ้าเราไปดูบาหลีซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ของอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรอิสลามมากที่สุดในโลกถึง ๒๕๐ กว่าล้านคน บาหลีเป็นเกาะเล็กๆ นิดเดียว แต่เป็นฮินดู และความเป็นฮินดูเหนียวแน่นชนิดอิสลามแทรกไม่เข้า วันหนึ่งๆ มีการบวงสรวงบูชาพระเจ้า ๔ - ๕ รอบ เช้ายันค่ำ ต้องมานั่งเตรียมเครื่องบูชาไปถวายที่เทวาลัย... -
หลวงปู่ไดโนเสาร์ ตอบปัญหาธรรม ''บทเรียนราคาแพงของผู้ปรารถนาพระนิพพาน''
ต้องการนิพพานจริงหรือนิพพานหลอกตัวเอง
โยม : หลวงปู่ครับ ทำไมผมยิ่งทำบุญ
ยิ่งปฏิบัติธรรม ยิ่งทำสมาธิก็เหมือน
ยิ่งทุกข์เหลือเกินครับ
ทั้งปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพ
ปัญหาการเงิน ไม่รู้อะไรประดังประเด
เข้ามาตลอดครับหลวงปู่
หลวงปู่ : เวลาคุณทำบุญ
เวลาคุณปฏิบัติ มันกระทบกับเงิน ทอง
หรือเวลาปกติ ของคุณหรือเปล่า
โยม : เปล่าครับผม
เวลาผมทำบุญผมก็ ไม่ได้ลำบาก
เงินทองก็เป็นส่วนเหลือจากการเก็บ
การดูแลครอบครัวแล้วการปฏิบัติของผม
ก็กระทำโดยไม่กระทบกระเทือนใคร
พ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมียก็อนุโมทนา
แต่มันก็มีปัญหาเรื่องอื่นๆเข้า มาไม่ขาด
หลวงปู่ : คุณ เวลาคุณปฏิบัติคุณก็
ต้องการพระนิพพานใช่หรือเปล่า
นิพพานก็ต้องหนีโลก ต้องเบื่อโลก
ถ้ามันไม่มีปัญหาเข้ามาคุณจะหนี
โลกได้อย่างไร ถ้าคุณยังหวังสุข
ในโลกนี้ นิพพานของคุณก็เป็น
นิพพานหลอกตัวเองหล่ะสิ
โลก เป็นโรงเรียน ที่ใหญ่ที่สุดปัญหาที่
เข้ามาคือ บทเรียน มารทั้งหลายคือครูของเรา
เมื่อคุณปฏิบัติ สูงๆขึ้นไปปัญหามันก็จะสูง
ขึ้นไปด้วย ปัญญาคุณแค่อนุบาล ปัญหา
มันก็อนุบาล บทเรียนก็อนุบาล
ครูก็ครูสอนอนุบาล
แต่เมื่อคุณเรียนปริญญา
ปัญญาระดับปริญญา... -
พบพระธาตุ..ในห่้องนอน หลังจากได้ยินเสียงสวดมนต์.ทุกคืน
ก่อนที่จะพบพระธาตุ.ได้ไปไหว้ หลวงพ่อพระนอนมาครับ.และก็เดินเล่นที่เมืองโบราณ.ซึ่งผมจะไปประจำ.หลังจากกลับมาบ้าน.,ช่วงกลางคืนจะได้ยินเสียงสวดมนต์แว่วๆครับ.ตอนแรกคิดว่าหูฟาด...ผมนอนฟังได้ยินเสียงสวดแบบเพราะมาก..หลังจากนั้นประมาณ.๓ วัน ผมปัดกวาดห้อง..และเจอ.อยู่ข้างเสาร์ในห้องครับ..พอสัมผัสจะนิ่มมือมากๆ..ซึ่งไม่เหมือนพวกเรซิ่น..เม็ดกันชื้นจะคนละแบบครับ..ใช้กล้องส่องดูจะมีการตกผลึกจากภายใน..เหมือนกับมีแสงเปล่งออกมาจาก.พระธาตุครับ.และเปลี่ยนสีสันเองได้ครับ..บางครั้งดูเข้มๆ..บางครั้งก็ดูใสๆ.ครับ.ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า..พระธาตุนี้มาได้ยังไง.. -
"ศีล เครื่องกลั่นกรองอย่างหยาบ" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
"ศีล เครื่องกลั่นกรองอย่างหยาบ"
"ศีล" จัดเป็นเครื่องมือสำหรับกลั่นกรองคนออกจากสัญชาตญาณของสัตว์ทั่วไปได้ ดีที่สุด
เพระว่า สัญชาตญาณของมนุษย์ สัตว์ทั้งหลาย ที่เกิดมาในโลกนี้ ย่อมมีความเห็นแก่ตัวเป็นมูลฐาน
แล้วก็อิจฉา ริษยา ฆ่าฟัน บั่นทอนกำลังของผู้อื่น
เพื่อจะยื้อแย่ง หยิบฉวย เอาเนื้อหนังแลทรัพย์สิ่งของ ของคนอื่นมาเป็นของตัว ไม่คิดถึงความชั่วช้าสามานย์
ในการกระทำอันเป็นบาปกรรมนั้นเลย
"ศีล" ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องกลั่นกรองอย่างหยาบ ก็ยังได้ชื่อว่า "ละบาปทางกายและวาจา"
ซึ่งปรากฏออกมาแก่สายตาของสามัญชนทั่วไป .. "
เทสภาษิต
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี -
พระอาจารย์เล็กสอนว่า "อย่าจำในสิ่งที่ไม่ดีที่คนอื่นทำกับเรา"
พระอาจารย์เล็ก สอนลูกศิษย์เสมอว่า
"อย่าจำในสิ่งที่ไม่ดีที่คนอื่นทำกับเรา
แต่ถ้าใครทำดีกับเราให้จำเอาไว้ และรอเวลาทดแทน"
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓
ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม -
ฌาน สมาธิ กัมมัฏฐาน ๔๐ โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
จงละอารมณ์ที่ยังมาไม่ถึงนั้นเสีย เพราะสิ่งที่ยังมาไม่ถึงก็เป็นอนาคต อารมณ์ที่ล่วงไปแล้วก็เป็นอดีตไป
อารมณ์ที่เกิดอยู่ในเดี๋ยวนี้ก็ไม่ควรยึดถือเอา ดังนี้”
เรื่องกัมมัฏฐาน ๔๐ นั้น ในตำราท่านไม่ได้แยกออกว่า อันนั้นเป็นอารมณ์ของฌาน อันนั้นเป็น อารมณ์ของสมาธิ หรือท่านแยกไว้แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นตำราก็เป็นได้ ฉะนั้น เทศนากัณฑ์นี้จะรวม กัมมัฏฐาน ๔๐ นั้นไว้เสียก่อนว่า กัมมัฏฐานใดควรเป็นอารมณ์ของฌาน และกัมมัฏฐานใดควรเป็น อารมณ์ของสมาธิ ต่อไปถ้ามีโอกาสจะเทศน์เรื่อง อัปปมัญญา ๔ อาหาเรปฏิกูล ๑ ธาตุววตฺถาน ๑ ให้ฟัง
กัมมัฏฐาน ๔๐ นั้น
พวกที่เป็นอารมณ์ของฌาน ได้แก่ กสิณ ๑๐ อสุภ ๑๐ อรูปฌาน ๔ รวมเป็น ๒๔
ส่วนพวกที่เป็นอารมณ์ของสมาธิ ได้แก่ อนุสสติ ๑๐ อัปปมัญญา ๔ อาหาเรปฏิกูล ๑ ธาตุววตฺถาน ๑ รวมเป็น ๑๖
อนุสสติ ๑๐ ได้แสดงแล้ว ยังเหลือแต่ อัปปมัญญา ๔ อาหาเรปฏิกูล ๑ ธาตุววตฺถาน ๑ นี่แล เรื่องบัญญัติจำเป็นจะต้องจดจำหน่อย ความจำเรียกว่า สัญญา ถ้ามีสัญญาอยู่สมาธิก็จะไม่รวมลงได้ ถ้าสมาธิรวมได้แล้ว กัมมัฏฐาน ๔๐ เป็นอันว่าทำถูกต้องแล้ว ถึงอย่างไรบัญญัติก็ต้องเป็นบัญญัติ อยู่ดี ๆ นี่แหละ
ทีนี้จะอธิบายถึงเรื่อง... -
โลกียอภิญญา....การฝึกกสิณและอานุภาพของกสิณ
วันนี้ก็มาว่าเรื่องของการฝึกเกี่ยวกับ กสิณทั้ง ๑๐ ของเราต่อไป เมื่อวานได้กล่าวไปแล้วถึง วรรณกสิณทั้งสี่ สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว
เรื่องของกสิณนั้น แม้ว่าจะเป็นกรรมฐานที่หยาบ มีนิมิต มีสัมผัสได้ จับได้ ต้องได้ แต่ว่ามันลำบากด้วย
*การหานิมิตกสิณ* เพื่อที่จะใช้ในการเพ่งและพิจารณา
สำหรับวันนี้ก็จะกล่าวถึง ธาตุกสิณทั้งสี่ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ กสิณทั้งสี่กองนี้เริ่มจาก
ปฐวีกสิณ เราก็ต้องหานิมิตกสิณก่อน สมัยโบราณท่านบอกว่าให้ใช้ดินสีอรุณ คือสีเหลืองอมแดง เพื่อนำมาทำเป็นนิมิตกสิณ ต้องเอาดินมาละเลงบนผ้าสดึง แต่ว่าสมัยนี้ของเราถ้าทำอย่างนั้นได้ก็ดีแต่เนื่องจากว่าสมัยนี้บางทีการหา วัสดุมาทำมันยากอยู่สักนิดหนึ่ง เด็กรุ่นหลังๆ กระทั่งดินสีอรุณหรือดินขุยปูในลักษณะนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรยังไม่รู้จักเลย เราก็ใช้ดินทั่วๆไป อาจจะเอามานวดมาปั้นก็ได้ ปั้นให้เป็นรูปกลมๆ ขนาดที่เราชอบใจก็ได้ หรือว่าจะปั้นให้เป็นสี่เหลี่ยมก็ได้ หรือว่าจะทำเป็นนิมิตกสิณอย่างของคนโบราณคือละเลงลงบนผ้าที่กว้างเมตรสองคืบสี่นิ้วก็ได้หรือว่าจะปัดกวาดสถานที่ใดที่หนึ่งให้สะอาด... -
อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น( โดยสมเด็จองค์ปฐมฯ)
อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น
(โ ด ย ส ม เ ด็ จ อ ง ค์ ป ฐ ม)
ทรงเมตตาสอนไว้เมื่อ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๕ พิจารณาแล้วเห็นว่ามีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่อ่าน แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผล มีความสำคัญโดยย่อดังนี้
ในวันนี้ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม มองเห็นชายคนหนึ่งที่แพเลี้ยงปลาของวัด จับปลาสวายตัวใหญ่ (ปลาของวัดเชื่องมาก) ขึ้นมาจากน้ำ ปลาก็ดิ้นจนหลุดจากมือตกน้ำไป เขาก็จับปลาขึ้นมาใหม่ด้วยความสนุกสนาน ในครั้งนี้ปลาดิ้นแล้วตกลงที่พื้นกระดานของแพปลา แล้วจึงตกลงไปในน้ำเมื่อพวกเราเห็นการกระทำ (กรรม) ของเขา ก็เกิดอารมณ์ปฏิฆะ (ไม่พอใจ) พูดขึ้นว่า ”บ้า” อีกท่านหนึ่งพูดว่า “ทะลึ่ง” ซึ่งเป็นการคิดชั่ว พูดชั่ว (สอบตกในมโนกรรมและวจีกรรมทั้งคู่)
สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาตรัสสอนว่า (เพื่อสะดวกในการจดจำ แล้วนำไปปฏิบัติต่อ ขอเขียนเป็นข้อๆ) ดังนี้
๑. "เหตุที่จิตมีอุปาทาน ยึดเอากรรมของผู้อื่นมาใส่จิตของเรา จึงกล่าวเป็นวจีกรรมหลุดออกไป เพราะเหตุไม่รู้เท่าทันอารมณ์ของจิต ที่ยึดเอาอุปาทานนั้นๆ(บุรุษผู้สร้างกรรมกับปลา) ถ้าไม่ใช่อดีตกรรมส่งผลให้เขาทำกับปลา กล่าวคือ... -
"เมตตากรุณา ธรรมที่เคียงคู่กัน" (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
.
"เมตตากรุณา ธรรมที่เคียงคู่กัน"
" .. เมตตา ที่แท้จริงจะไม่เกิดโดดเดี่ยวเพียงหนึ่งเดียว
"กรุณา" ต้องมีควบคู่กับ "เมตตา" เสมอ
เมื่อปรารถนาให้เป็นสุข ก็ต้องช่วยให้พ้นทุกข์
แม้ธรรมสองประการนี้ไม่เกิดควบคู่กัน ก็เป็นธรรมที่ไม่เกิดแก่จิตใจจริง
เป็นเมตตาปลอม เป็นเมตตาเพียงที่วาจา
หลอกทั้งตนเองและหลอกทั้งผู้อื่นเท่านั้น การหลอกนี้เกิดขึ้นมิได้ว่างเว้น
จนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ตนกำลังหลอกตัวเองและหลอกผู้อื่นด้วย
หลอกให้เข้าใจว่ามีเมตตา ซึ่งเป็นคุณธรรมอันงาม เป็นที่นิยมชมชอบ
ธรรมสองประการนี้ไม่ได้เกิดที่ไหน แต่เกิดในจิตใจและจักปรากฏออกทางกาย
แม้ "เมตตาเกิดจริงกรุณาจักเกิดตามจริงด้วย" ยิ่งกว่านั้นธรรมสำคัญในสายเดียวกันนี้
ก็จะเกิดตามมาเช่นกันนั่นคือ "มุทิตา" ที่มีความหมายว่า ยินดีด้วยกับความสุขของผู้อื่น
ควรรู้จักธรรมทั้งสามนี้ให้ถูกจริงจะได้สามารถสร้างใจตนเอง
ให้งดงามยิ่งนักได้ด้วยธรรมสำคัญยิ่งนี้ .. "
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
หน้า 404 ของ 412