3 ม.ค. 56 โค้งสุดท้าย

ไม่เป็นไร รอ ผ่านวันที่ 3 มกราคม 56 ไปก่อน ถ้าถึงเวลานั้น คุณหรือใครจะเชื่อมั่นกันอยู่ ก็ไม่รู้จะว่ายังไง แต่คิดว่า นั่น ไม่ใช่ความเชื่อแล้ว น่าจะเรียกว่า ความหลง แบบไม่ลืมหูลืมตา ที่เขาเรียกว่า หลงจนโงหัวไม่ขึ้น

 

มีอย่างนั้นด้วยหรือ ถ้ารู้ว่าเป็นใคร บอกให้หน่อยนะ จะได้ตามไปถลก เอ้ย ไปชม

 

คาดว่ากำลังทำทางเบี่ยงอยู่

 

งานนี้มี Drift กันกระจาย แหกโค้งตายคาที่หลายสิบศพ

 

บางคนเค้าสร้างเรื่องราวโหนกับกระแสภัยพิบัติ ให้คนอื่นกลัว
เพราะเมื่อใดหากคนเข้าไปติดกับดักของความกลัวแล้ว มักขาดสัมปชัญญะกับเหตุผลไปชั่วขณะนึง
...สุดท้ายก้ออาจจะเสียเงินได้นะเออ ;aa41

ดูเพิ่มเติมจาก >> PANTIP.COM : NE13062782
Comment ที่ 7-8, 51-53
<ภาพตัวอย่าง>

 

ว่าแล้วทำไมมันแปลกๆ มีเบื้องหลังระยำเช่นนี้นี่เอง

 

เรื่องนี้ น่าจะได้ลงนิตยสาร"แปลก"นะคะ

 

บางเรื่องราวอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดกันก็ได้นะครับ ทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะมองมาจากด้านใด มีทั้งคุณและโทษ หากมีความเห็นต่าง ก็ขัดแย้ง หากมีความเห็นคล้อง ก็คล้อยตามเป็นธรรมดาเสมอ จงอย่าว่าผู้อื่นๆจากจุดที่เรายืนอยู่ ให้มองผู้อื่นจากจุดที่เขายืนอยู่ด้วย ก็จะพบความจริงและเจตนาครับ

 

คุณ mzbot พูดถูกค่ะ เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ก็เพราะว่าเขามองคนละมุมไงคะ
ถึงได้มองเห็นความจริงที่ไม่ใช่ภาพลวงตา คนที่มองอะไรอยู่มุมเดียว ลองถอย ๆ ออกมาหน่อยก็ได้ บางครั้งการอยู่ไกลก็ย่อมมองเห็นภาพที่กว้างและชัดเจนขึ้น

 

เห็นด้วยตามที่คุณ mzbot และ คุณอธิฎฐาน ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจ
เรื่องราวทุกอย่างมักจะมีสองด้านเสมอ

และขอเพิ่มเติมว่า.. อาจมีมากกว่าสอง
คือ มีสีขาว-สีดำ.. ทั้งในสีขาวอาจมีสีดำ และในสีดำก็อาจมีสีขาวปนอยู่
..โลกที่เห็นที่เรารู้จัก ก็มีหลายแง่มุมและเฉดสี
เช่นเดียวกันกับ คุณ - โทษ และ ความสลับซับซ้อนของกิเลสในใจคน

แต่ทั้งหลายล้วนขึ้นอยู่กับ 'เจตนา' แรงจูงใจ ในทางพุทธศาสนา สื่อหมายถึง 'กรรม'

โลกไม่มีอะไรแน่นอน เหมือนถนนบางสาย ที่ไม่มีใครรู้ว่าข้างหน้ามีทั้งโค้งให้ดริ๊ฟ และหลุมให้หลบที่ตรงไหนบ้าง

 

พอไม่เิกิดอะไรก็คงมาอ้างกันแบบเดิม ๆ ช่วยเลื่อนให้ไปแล้ว เห็นมีบางคนเริ่มหาทางออกหล่ะ เริ่มมีมาบอกว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์กำลังประชุมกันอยู่ เพื่อช่วยเหลือ ... จำไม่ได้ว่าอ่านเจอที่ไหน

พอไม่เกิด ก็คงจะเอาอันนี้แหละมาอ้าง ง่ายดี ... แล้วก็เนียนต่อไปเรื่องใหม่อีก :boo::boo::boo::boo::boo:

 

ทางเดินที่มี 2 ทาง หากเลือกทางใดทางหนึ่งแล้ว เราไม่มีโอกาสที่จะรู้ได้ว่าอีกทางเป็นเช่นไร เมื่อพบว่าทางปัจจุบันที่เลือกเดินเต็มไปด้วยอุปสรรค์ก็นึกเสียดายว่าน่าจะเลือกอีกทาง แต่หากพบว่าทางปัจจุบันที่เลือกเดิน แสนสะดวกสบาย ก็ยังไม่วายที่จะนึกดีใจ ดีนะที่ไม่ได้เลือกเดินอีกทาง หารู้ไม่ว่า ไม่แน่อีกทางที่ไม่ได้เลือกอาจจะสบายมากกว่านี้ก็เป็นได้ เช่นเดียวกันกับภัยพิบัติต่างๆที่อาจจะเกิดหรือไม่เกิด ก็คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ที่มาเตือน ไม่ต้องไปติเตียนท่านเหล่านั้นหรอกนะครับ เหมือนหลายๆกระทู้ เช่นในเว็บพันทิป PANTIP.COM : NE13062782 เป็นต้น ดีแล้วที่ท่านได้ออกมาเตือน เหตุเพราะว่ามันไม่เกิดอาจจะมีปัจจัยอื่นๆ ที่เราๆท่านๆเองก็ไม่อาจจะรู้ เช่นการเอาผ้าไปตาก ท่านหารู้ไม่ว่าผ้ามันแห้งได้เพราะลมหรือเพราะแดด พอผ้าไม่แห้งท่านก็โทษลมหรือแดด แต่ไม่ได้โทษตัวของท่านเองว่าเอาผ้าไปตกถูกที่หรือเปล่า เช่นเดียวกันกับผู้ที่ออกมาเตือนทั้งหลายด้วยเหตุที่มันยังไม่เกิด ท่านก็พอกันออกมาติเตียนผู้อื่นๆ ด้วยหารู้ไม่ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่เปลี่ยนไป จงเตรียมความพร้อมทั้งกายใจ ระลึกถึงหลักมรณะสติ ให้มากๆ ความตายนั้นอยู่กับเราทุกลมหายใจเสมอ

 

ขออนุญาติร่วมแชร์ข้อมูล

จากประสบการณ์จริงๆที่ได้มีโอกาสไปกราบพระอาจารย์รัตน์ถึงเชียงใหม่เมื่อปีที่แล้ว ช่วงวันที่ 1 มกราคม 2554 พระอาจารย์เป็นพระที่มีแต่จิตเมตตามาก ไม่ได้มีความต้องการผลกำไรใดๆทั้งสิ้นเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ สาเหตุที่มีโอกาสขึ้นไปกราบท่านเพราะท่านเป็นพระอาจารย์นักประดิษฐ์ คิดค้นเครื่องทำให้ฝนตกเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการนำ้เพื่อทำการกสิกรรม ทำเครื่องไล่เมฆหมอกเพื่อช่วยให้เคลียร์สภาพอากาศโดยเฉพาะสำหรับสนามบินแม่ฮ่องสอน ท่านใช้อุปกรณ์ที่หาได้ตามพื้นบ้านทั่วไปเช่นสายยาง, โครงเหล็ก, motor, นำ้สะอาด และปิรามิด (อาจมีอย่างอื่นอีก จำได้ไม่หมด ทุกอย่างใช้งบประมาณแค่หลักหมื่น) พอเห็นอุปกรณ์ที่ท่านนำมาสร้างก็เลยอยากเสนอตัวเข้าไปช่วยทำให้ฟรีๆ เพราะเลี้ยงเด็กพม่าเก่งๆไว้เยอะและส่วนตัวก็ชอบสร้างอุปกรณ์หลายๆอย่างเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว
ตอนไปกราบท่าน ก็เสนอตัวอย่างที่คิดแต่ก็บอกว่าท่านมีคนทำได้ งบประมาณก็ไม่ได้มากมายอะไร ทำไปก็รอคนที่เดือดร้อนมาขอไปใช้ หมู่บ้านไหนติดต่อมาว่าอยากได้อะไรท่านก็จัดส่งไปให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่สิ่งที่เห็นในวันนั้นคือท่านเป็นห่วงมนุษย์เมื่อภัยพิบัติที่ใกล้จะมาถึง วันที่เจอท่านครั้งแรกที่สวนรักษ์ธรรม ท่านได้เริ่มสร้างโครงสร้างอะไรบางอย่างค่อนข้างใหญ่ในวัด เลยถามท่านว่าสร้างอะไรคะ ท่านบอกว่าสร้างสถานปฎิบัติธรรมใหม่เพื่อให้ญาติโยมเอาไว้ใช้ในการปฎิบัติ เลยถามท่านกลับว่าทำไมต้องสร้างใหญ่ขนาดนี้คะ ท่านตอบว่าถ้าถึงเวลาสถานที่แห่งนี้จะได้คอยช่วยเหลือคนจำนวนมากๆ อาคารสร้างอยู่บนเขาและชั้นล่างของอาคารท่านจะเตรียมเก็บเสบียงต่างๆเพื่อคนจำนวนมาก ข้างบนเอาไว้นั่งสวดมนต์ไว้พระและปฎิบัติธรรมกัน ส่วนเครื่องมือที่ท่านคิดค้นก็จะใช้พลังนำ้จากนำ้ตกเพื่อจะป้องกันภัยต่างๆที่จะเกิดขึ้น ตอนนั้นเห็นการสร้างตั้งแต่เสาเข็มเลย (เลยนึกภาพไม่ออก) ก็เลยถามพระอาจารย์ว่ามีคนช่วยท่านในการหาเงินมาทำบุญช่วยสร้างตึกนี้มั๊ยคะ จะช่วยส่งข่าวทางinternetเพื่อให้คนที่มีความศรัทธาช่วยกันทำบุญมั๊ยคะ ท่านบอกว่าท่านทำได้ก็มีญาติโยมลูกศิษย์มาช่วยๆกันทำ ค่าใช้จ่ายก็ไม่มากมาย ช่วยกันคนละไม้ละมือเดี๋ยวก็เสร็จ ไม่ต้องเอาไปลงinternetเดี๋ยวคนอื่นไม่เข้าใจก็เป็นการสร้างบาปกับคนเหล่านั้นเปล่าๆ ตอนนั้นก็นึกในใจว่าจะเสร็จจริงๆเหรอ เลยร่วมทำบุญการสร้างศาลาไปด้วย (อยากมาบอกบุญทางinternetก็ไม่กล้าก็เลยปล่อยเลยตามเลย)
คืนนั้นได้มีโอกาสนั่งทำวัตร ท่านสอนนั่งสมาธิและนั่งฟังท่านตอบปัญหาธรรมให้กับลูกศิษย์พร้อมทั้งแจกปิรามิดฟรี อยากเอาไปแจกญาติด้วยท่านก็ให้เอาไปไม่เก็บตังค์
อีกครั้งที่ได้มีโอกาสขึ้นเชียงใหม่ช่วงกลางปีก็เลยขึ้นไปที่สวนรักษ์ธรรมอีกรอบ งวดนี้ไม่เจอพระอาจารย์รัตน์ เห็นตึกขนาดใหญ่สร้างเกือบเสร็จ (ตกใจปนดีใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านทำได้จริงๆ ทำได้โดยที่ลูกศิษย์ ญาติโยมผู้ที่ศรัทธาช่วยกัน)
จากนั้นก็เจอท่านอีกที่วันที่ 9 ธันวาคม 2555 เป็นวันที่ท่านตั้งใจเตือนภัยอย่างไม่มีอะไรที่จะเก็บไว้ วันนั้นนั่งฟังก็ตกใจว่าทำไมท่านพูดทุกอย่างในที่สาธารณะขนาดนั้น (ปกติที่ท่านเป็นห่วงแต่จะพูดเฉพาะกับลูกศิษย์ ไม่เกิน 20-30คนเท่านั้น) งวดนี้ท่านตั้งใจมากหลังจากท่านสร้าง ท่านเตรียมของทุกอย่างไว้เอาไว้เรียบร้อย (เห็นในvideoที่ท่านนำมาฉายให้ดูวันงาน) แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับท่านต่อไปเนี๊ยะ พอท่านบอกว่าท่านออกมาพูดวันนี้เพราะท่านมีวิธีแก้ปัญหาให้ก็คือปิรามิดที่ท่านคิดค้นและทดลองกับลูกศิษย์จนมั่นใจว่าน่าจะช่วยคนได้ไม่มากก็น้อย ท่านจึงเสี่ยงออกมาเพื่อความอยู่รอดของเราๆท่านๆ
ถ้าวันนั้นพระอาจารย์นำปิรามิดมาแจกฟรีเหมือนที่วัด คงไม่มีใครมาว่าท่านในเน็ตอย่างทุกวันนี้ แต่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเพราะถ้าท่านมาแจกฟรีเราจะหยิบคนละกี่อัน (พ่อ แม่ พี่ น้อง แฟน ครอบครัวแฟน ครอบครัวหลาน ครอบครัวลุง ครอบครัวน้า เอ้อ!!เพื่อนๆที่ทำงานและครอบครัวเค๊าอีก) สรุปว่าเราคงเหมากันฟรี 1เข่งเพื่อไปแจกคนที่เรารักแล้ววันนั้นมีคนไปนั่งฟังท่านเตือนภัยกี่คน จะมีสักกี่คนที่ไม่คิดจะเอาปิรามิดเลยคะ แต่อีกมุมนึงคนที่นั่งทำในวัดมีใครบ้างเน้อ พระมีมากสุดเท่าไหร่ในวัดกันเน้อ ต้องทำนานแค่ไหนเพื่อให้พอกับความต้องการของคนล่ะ ถ้าตามหลักแล้วก็ผลิตเพื่อให้พอเพียงตามความต้องการของเราๆท่านๆต้องใช้โรงงาน แล้วนี่พระท่านต้องทำอย่างไรต่อ...
- สถานที่ก็เตรียมไว้ให้
- ปัจจัยต่างๆก็เตรียมไว้ให้
- วิธีแก้ปัญหาก็นำมาบอกกล่าวเพื่อให้ทุกคนเตรียมตัว
โดยประสบการณ์ที่ได้เจอมากับตัว เลยรู้สึกเศร้าจนอยากจะแชร์ให้มีคนรับทราบข้อเท็จจริงบ้าง ไม่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นไร แต่นี่ก็คือความจริงที่ท่านพระอาจารย์รัตน์ท่านทำมาเรื่อยๆคะ

เขียนไทยไม่ค่อยแข็งแรง ผิดพลาดประการใดอภัยด้วยคะ
แค่อยากแชร์สิ่งที่เห็นคะ

 

ภาพที่เห็นนี่ผมไม่รู้ว่ามันผิดกันตรงไหนครับ
ขั้นตอนการทำพิรามิดธรรมดา แล้วทำไมเอามาพูดกันเป็นตุเปันตะเสียดสีทำไมผมก็ไม่ทราบกันเนาะ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเองไม่ได้ พีระมิดมันจะเกิดขึ้นเองได้อย่างไรถ้าไม่มีคนทำ รึจะให้เครื่องจักรโรงงานเป็นผู้ผลิต หรือจะให้เอเลี่ยนผลิต หรือผิดหวังที่ไม่ได้มีการลงคาถาอาคมหรือไงครับ พีระมิดที่พระอาจารย์สร้างไม่ใช่เครื่องลางหรือของขลังนะครับ เป็นวัตถุทางธรรมชาติที่ประกอบด้วยสสาร เป็นกระบวนการอ้างอิงทางวิทยาศาตร์ไม่ใช่ทางจิตวิญญาณแค่อย่างเดียว เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่ออกจะแปลกเกินความรู้ของมนุษย์ในยุคนี้เท่านั้นเอง(รวมถึงคนโพสด้วย) ความรู้มนุษย์ในยุคนี้ ก็แค่รู้ตามๆกัน หลายคนเข้าก็เชื่อว่ามันจริง เช่นวิทยาศาสตร์บอกคุณว่ามีจักรวาล ถามหน่อยครับมีใครเคยเห็นจักรวาลจริงไหม แต่คุณก็ยังเชื่อว่ามีอยู่ แนะนำคนที่ชอบโพสโจมตีคนอื่นไปกินอาหารประเภทปลานะครับ จะได้บำรุงสมอง สำหรับผมเอง ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับใครทั้งนั้นครับ เพียงแต่เคารพในความหวังดีของทุกๆท่านที่ออกมาเตือนในฐานะเพื่อร่วมโลกครับ ดังนั้นผมไม่อยากให้กระทู้นี้เป็นที่พาดพิงถึงใคร อยากให้ร่วมกันเดือนภัยกันดีกว่าน่าจะมีประโยชน์มากกว่าครับ ภาพด้านบนนี้ แล้วมันแปลกตรงไหนกัน
ฝากให้คิดครับ (คนโพส สักแต่โพสบางทีก็ไม่ได้คิด แล้วดันมีแนวร่วมซะงั้น) งงจริงๆประเทศไทย

 

พระท่านบอกว่าให้ดูที่ตัวเองๆๆๆๆ อย่าไปดูคนอื่นเค้าๆๆๆ

หาไม่แล้วความชั่วของผู้อื่นมันจะปกปิดของตนเองซะหมด

ปล...ผมเตือนตัวเองครับไม่ได้ว่าใครนะ

 

โดนเลย 555 - -":boo:

 

เลิกอ้างโน้นอ้างนี่ได้แล้วมั้ง เอาความจริงมาพูดกัน เลิกเพ้อเจ้อกับนิทานหลอกเด็กที่แต่งมาเพื่อหลอกลวงคนได้แล้ว เอะอะอ้างคำสอนของพระพุทธเจ้า อ้างคำสอนพระสงฆ์องค์โน้นนี่ ได้แต่อ้าง แต่ทำไม่ได้ แล้วจะพล่อยไปเพื่อ???

"ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ของไม่จริง"

วาทะนี้ชี้ชัดไอที่มาพล่ามมั่วๆนี่มันของไม่จริงทั้งนั้น

 

ประโยคนี้ก็ใช้มั่วไม่ได้นะท่าน เขาใช้กับการฝึกสมาธิไม่ใช่รึท่าน มั่วไหม? ^^

 

ขณะนี้ สุรินทร์อากาศเริ่มหนาวแล้วครับ คาดว่าพรุ่งนี้ช่วงเช้าอากาศจะลดลงอีก 4-7 องศา หลังจากที่ร้อนมา 2 วัน และได้สัมผัสอากาศหนาวจริงเพียงแค่ 2-3 วัน

 

ทำไมต้องเลือกว่าต้องกับเรื่องโน้นนี่นั่นเท่านั้น ในเมื่อความหมายมันคือความหมายเดียวกัน อยากใช้ก็ใช้ใครจะทำไม ผมไม่ได้ไปใช้บนหัวคุณซักหน่อย หรือมันไปอยู่บนหัวคุณก็ขออภัย