♥ มาแต่งกลอนแก้เหงากันนะ ♥

เพลงนิพพาน

 

13บทเพลงธรรมะ

 

เพลง แผ่เมตตา : พลพล

 

เพลง ศีล ๕ : พลพล

 

เพลงไหว้พระจุฬามณี

 

เพลงสรรเสริญ พระอรหันต์จี้กง

 

ธารณีหัวใจพระยูไล

 

บทเพลงสวดมนต์ทำนองสรภัญญะ - อภิมหามงคล 4

 

เพลินเพลงธรรมพักให้.................เบาคลาย
"ล้อเล่น"ท่านหลบสบาย..............หลีกเร้น
ไม่ถึงกับบวชกาย...................ปลงหน่าย เพลงฤา
จึงไม่อือออเฟ้น..........................คำเย้า อักษรา

มาเรื่อง"ฟาร์ม" "ความ"เอ่ยนั้น.......สำนวน
กระบิดปิดกระบวน.......................หยอกเย้า
ไร้ความแต่ฟาร์มทวน..................คำม่วน ความฟาร์ม
ท่านเล่นเดาตามเซ้า................ผิดกุ้ง ปลาหอย

 

โลกมุมมองจากห้วง...........ดวงดาว
เป็นจุดสว่างแพรวพราว......ฟากฟ้า
โลกว่าใหญ่ดูราว...............เศษอิฐ ดินผง
โกรธคับโลกเก่งท้า...........เปรียบเถ้า ธุลี

 

อั๊ยยะ...อิอิ

เพลงธรรมบันเลงคุณ.................นิ่งอยู่
คิดตริตรองฟังรู้.........................ผ่อนใจ
ท่านขุนบอกหยุดดู....................ค่อยเขียน โคลงนา
ยังวนเวียนชิดใกล้.....................ไป่เร้น หลบลี้...

 

อ้อ! เห็นเงียบนึกว่าซึ้ง...............หนีบวช
จึงหยุดกลอนโคลงอวด.............หลบเร้น
ที่บอกหยุดเพียงตรวจ...............เพลงพระ ธรรมนา
มิใช่หยุดท่านเว้น.....................ต่อแต้ม คำโคลง

 

สุภาทรท่านลี้ ...............อีกคน
มาหลบพักวุ่นวน...........จิตข้อง
เคยแวะกลับล่องหน......อนิจ-จาเฮย
เชิญเถิดเชิญมาร้อง......ตอบแก้ เป็นโคลง

 

มิได้หลบหลีกเล้น ร้างรา
รอคุณน้องล้อเล่นมา ยามว่าง
ถ้อยทีถ้อยร่างมา โต้ตอบกันเฮย
รวมทั้งท่านเทพลั้ลล้า รวมทีม ฮาเฮ

 

โอมเรียกออกมาแล้ว...........แต่งต่อ
ขุนร่ายคาถาส่อ..................สุดขลัง
พี่สุภาทรล้อ.......................เล่นคิด ถึงนา
มิให้รอนานยั้ง....................แล่นแย้ม ยิ้มเผย

 

มากันหมดครบแล้ว...........สองนาง
ขาดเทพลั้นล้าพราง.........ซ่อนเร้น
สงสัยแต่งโคลงคราง........หัวเราะ เฮฮา
จึงค่อยออกแขกทะเล้น.....ลั้นล้า เทพขำ

 

...................................................................................................................................


(ขอบคุณภาพจาก บทความให้กำลังใจ supatornผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต)

ทุนความดีสุขนั้น.................กำไร
ทรัพย์สิ่งนอกสู้ใน................ฤาได้
ความดีทรัพย์สุขใจ..............เอมอิ่ม ปิติ
ทรัพย์อื่นหมื่นนอกไซร้........สุขได้ เพียงกาย

วางวายดีอยู่ค้ำ..................โลกา
ให้คิดหวนคนึงครา..............ร่างไร้
ดียามอยู่เหตุพา..................สุขร่วม กำไร
คำขาดทุนนั้นไซร้...............บ่ได้ เกิดมี

การให้หวังประโยชน์ผู้.........รับนา
หวังชื่นสุขสมพา................เหตุให้
ให้พอเหมาะเวลา...............ตรงที่ ต้องการ
ให้ไม่เหมาะคนกาลได้........เช่นนี้ เสียของ

แม้ให้ไม่เหมาะเพราะด้วย....เหตุใด
แต่ปิติชื่นใจ.......................กลับได้
หวังเพียงอื่นชื่นใน..............ประโยชน์
เขาสุขเราสุขให้..................ชื่นนั้น ใจตน

 

(ขอบคุณภาพจาก บทความให้กำลังใจ supatornผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต)

เมตตาปราณีเกิดได้..............ปัญญา
ชีวิตพิจารณา.......................เหตุให้
เราเขาต่างกรรมมา...............จึงต่าง กันเฮย
ตามกฎกรรมทำไว้................ต่างสร้าง สนอง

ทุกข์เสวยวิบากร้อน.............เคยทำ
หยาบละเอียดชาติพันธุ์........แต่งสร้าง
ดีเลวประณีตกรรม................แตกต่าง นานา
เศร้าโศกาครารับอ้าง............รุ่มร้อน ทุกข์ผล

บ้างสุขชื่นครึกครื้น...............บางที
บ้างทุกข์ทบทวี...................ร่ำไห้
บ้างรวยล่ำซำมี....................มากทรัพย์ สินนา
บ้างอัตคัดยากไร้.................อดข้าว อาหาร

เมตตามองอื่นด้วย...............เข้าใจ
ผลเหตุดำเนินไป.................เช่นนั้น
ตามกรรมกฎทำใด...............ยากคาด เดาเฮย
เพียงช่วยเหลือตามภูมิชั้น....เพื่อร้าย บรรเทา

ปรานีเผื่อแผ่ให้....................รักกัน
เป็นเพื่อนทุกข์สุขฉัน............พี่น้อง
มีเหลือเผื่อแบ่งพลัน.............สดชื่น สังคม
สุขนิยมร่วมร้อง....................รื่นยิ้ม ฮาเฮ.

เมตตาเขามากไซร้...............ทุกข์ตน
ควรเมตตาตนยล..................ชื่นบ้าง
วางอุเบกขาดล....................เฉยนิ่ง ใจกลาง
ทุกข์สุขวางไม่ร้าง................สติพร้อม ปัญญา.

.................................................................................

ปรานี กับ ปราณี

เคยสับสนและสงสัยกันไหมครับ ว่า คำว่า “ปรานี” กับ “ปราณี” คำไหนกันแน่สะกดแบบไหนกันแน่ที่จะมีความหมายแปลว่า “เมตตา” คำตอบก็คือ “ปรานี” ที่ใช้ น.หนู ครับ ถ้าเป็น “ปราณี” ที่ใช้ ณ.เณร แปลว่า ผู้มีลมหายใจนะครับ มาจากคำว่า “ปราณ” ที่แปลว่า ลมหายใจ นั่นเองครับ รู้แบบนี้แล้วอยากเป็นแค่คนที่มีลมหายใจ หรือ เป็นคนที่มีความเมตตากรุณาก็เลือกเอานะครับ

เราจะพบเห็นคำทั้งสองนี้บ่อยมาก คำว่า ปรานี จะมีที่ใช้ในภาษาทั่วไป ส่วนคำว่า ปราณี มักจะพบว่าใช้เป็นชื่อคน

คำว่า ปรานี เป็นคำกริยา หมายถึง เอ็นดู เผื่อแผ่ นอกจากจะใช้เป็นคำกริยาธรรมดาแล้ว ยังใช้คู่กับคำอื่นอีก คือคำว่า เมตตา หรือ กรุณา ใช้คู่กันไปเป็น เมตตาปรานี หรือ กรุณาปรานี อย่างเช่นในกลอนพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ว่า อันความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่
ส่วนคำว่า ปราณี นั้นมาจากคำว่า ปราณ ซึ่งเป็นคำนาม หมายถึง ลมหายใจ, สัตว์มีชีวิต, ชีวิต, ใจ คนที่สิ้นลมหายใจ เรามักจะพูดว่า สิ้นลมปราณ เมื่อเติมสระอีเข้าไปเป็น ปราณี ก็หมายถึงผู้มีชีวิต สัตว์ คน คือเป็นผู้มีลมหายใจนั่นเอง
http://www.thailocalmeet.com/index.php?topic=22537.0

ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
ปรานี
[ปฺรา-นี] ก. เอ็นดู, เผื่อแผ่.

ปราณี
[n.] living things [syn.] สิ่งมีชีวิต,ผู้มีชีวิต,สัตว์,คน

 

ยักแย่ยัก ยันย่าง เยี่ยมเยียน
ตกแต่งเติม พากเพียร ตอบโต้
ค่อยแคะคํา คั้นเขียน ลงนา
ทําเอาใจเมื่อยล้า หมดแรง นั่งปลง

*อ๋อ ภาษาไทยพิมพ์ผิดความหมายนั่นเอง ปราณี ปรานี ปานี

 

คงคิดนิ่งควรไว้..............เป็นกลาง
ทุกสิ่งเกิดมีลาง..............ก่อเก่า
เห็นเหตุตัดตอวาง..........กรรมเกิด ทันนา
ปรานีมีคุณเร้า.............แบ่งให้ ทั่วกัน