ไม่เคยเกิดมาคู่กัน แต่พออยู่บนเทวโลกจะมีคู่ครองเป็นคนนี้ได้ไหม ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Sir-Pai, 25 สิงหาคม 2013.

  1. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    นางฟ้าที่มีเทพบุตร เทพธิดาเป็นบริวารมากมายก็มีครับ
    เช่น รัชชุมาลาเทพธิดา

    พระมหาโมคคัลลานเถระถามนางเทพธิดาตนหนึ่งว่า

    ดูกรนางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก กรีดกรายร่ายรำอยู่ในวิมาน
    อันกึกก้องไปด้วยเสียงเพลงขับทิพย์ เมื่อท่านเยื้องย่างฟ้อนรำอยู่ เสียง
    ทิพย์อันไพเราะน่าฟังดังจับใจ ย่อมเปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วน
    ทั้งกลิ่นทิพย์หอมระรื่นน่าชื่นใจ ย่อมฟุ้งขจรออกจากอวัยวะน้อยใหญ่
    ของท่านทุกส่วน เมื่อท่านไหวกายกลับกลอกไปมา เสียงของเครื่อง
    ประดับที่ท่านประดับบนช้องผม ย่อมเปล่งเสียงไพเราะกังวานปานดนตรี
    เครื่อง ๕ และเสียงมงกุฎของท่านที่ถูกลมรำเพยพัด ย่อมเปล่งเสียงดัง
    เสนาะ ดุจดนตรีเครื่อง ๕ แม้พวงดอกไม้บนเศียรเกล้าของท่าน ก็มีกลิ่น
    หอมระรื่นน่าชื่นใจ หอมตลบไปทั่วทุกทิศ ประดุจดอกอุโลกฉะนั้น
    ท่านย่อมสูดดมกลิ่นอันหอมระรื่น ทั้งได้เห็นรูปอันเป็นทิพย์ ดูกรนาง
    เทพธิดา อาตมาถามท่านแล้ว ขอท่านจงบอก นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร?


    นางเทพธิดานั้นตอบว่า

    เมื่อชาติก่อน ดิฉันเป็นหญิงรับใช้ของพราหมณ์อยู่ในบ้านคยา เป็นคนมี
    บุญน้อย ต่ำทราม ชนทั้งหลายเรียกดิฉันว่ารัชชุมาลา ดิฉันถูกเจ้านาย
    ลงโทษด้วยการด่าว่าเฆี่ยนตี และขู่เข็ญอย่างหนัก จึงทำเป็นถือเอาหม้อน้ำออก
    จากบ้านเพื่อตักน้ำแล้ววางหม้อน้ำไว้เสียข้างทางบ่ายหน้าสู่ป่าชัฏ ด้วยตั้ง
    ใจว่า เราจักตายเสียในที่นี้แหละ ชีวิตเราหาประโยชน์อะไร
    มิได้เลย ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงปีนขึ้นต้นไม้ ผูกเชือกให้เป็นบ่วงรัดคออย่างแน่น
    ด้วยคิดว่าจะโดดลงไปให้ตาย เราเหลียวไปดูรอบทิศ
    ด้วยเกรงว่า จะมีผู้ใดมาแอบดูอยู่บ้าง
    กลับได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นปราชญ์
    ผู้ทรงเกื้อกูลแก่โลกทั้งปวง ผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ กำลังประทับ
    นั่งเข้าณานอยู่ที่โคนไม้ ดิฉันนั้นเกิดความสังเวช โลมชาติชูชันไม่เคยมี
    มาแต่ก่อน ด้วยคิดว่า ใครหนอจะเป็นมนุษย์หรือเทวดามานั่งอยู่ เพราะ
    ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ควรเลื่อมใส ผู้พ้นจากรกชัฎคือกิเลส
    ใจของดิฉันก็เกิดความเลื่อมใสเพราะคิดว่าท่านผู้สำรวมอินทรีย์
    ยินดีณาน มีใจคงที่เช่นนี้ คงไม่ใช่ผู้อื่น
    จักเป็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลกทั้งปวง
    ...การได้พบเห็นพระพุทธเจ้าเช่นนี้เป็นการยาก
    ขณะที่ดิฉันกำลังคิดอยู่อย่างนี้

    พระตถาคตเจ้าพระองค์นั้น ได้ตรัสเรียกดิฉันด้วยพระวาจาอันอ่อนหวานว่า
    ดูกรนางรัชชุมาลา ดังนี้แล้ว มีพระดำรัสสืบต่อไปว่า
    ท่านจงถึงตถาคตเป็นที่พึ่งเถิด


    ดิฉันได้สดับพระวาจาอันปราศจากโทษ ประกอบด้วยประโยชน์บริสุทธิ์สะอาด เป็นพระวาจาละเอียดอ่อนหวาน ไพเราะน่าฟัง สามารถบรรเทาความโศกเศร้าทั้งปวงเสียได้นั้น จึงเข้าไปเฝ้าตามรับสั่ง พระตถาคตเจ้าผู้ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลกทุกหมู่เหล่าทรงทราบว่า ดิฉันมีจิตอ่อนเลื่อมใส มีใจบริสุทธิ์แล้ว

    จึงตรัสสอนดิฉันต่อไปว่า
    นี้ทุกข์ นี้เป็นแดนเกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์
    เป็นทางหยั่งลงสู่อมตธรรม


    ดิฉันตั้งอยู่ในพระโอวาทของพระตถาคต
    ผู้ทรงพระมหากรุณา ฉลาดในเทศนาสั่งสอนสัตว์ จึงได้บรรลุถึงทาง
    นิพพานเป็นธรรมอันไม่ตาย(นางบรรลุโสดาบัน) สงบระงับ ไม่มีจุติต่อไป ดิฉันเป็นผู้มีความภักดีมั่น ไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยด้วยความเชื่อมั่นเป็นรากฐาน เพราะเห็นว่า พระผู้มีพระภาคเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ พระธรรม
    อันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติ
    ชอบ จึงถวายตัวเป็นสาวิกาผู้เกิดแต่พระอุระของพระพุทธเจ้า

    บัดนี้ ดิฉันรื่นเริงบันเทิงอยู่เป็นผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ ทัดทรงทิพย์มาลา ดื่มน้ำผึ้งทิพย์อันมีรสหวานสนิท มีนางฟ้าหกหมื่นบรรเลงดนตรี กระทำความปลาบปลื้มให้แก่ดิฉัน นางเทพอัปสร มีชื่อต่างๆ กัน คือ อาฬัมพา คัครา ภีมา
    สาธุวาที สังสยา โบกขรา สุผัสสา วีณา โมกขา นันทา สุนันทา
    โสณทินนา สุจิมหิตา อาลัมพุสา มิสสเกสี ปุณฑริกา เอณิปัสสา
    สุปัสสา สุภัททา มุทุกาวที เหล่านี้และเหล่าอื่น ล้วนประเสริฐกว่า
    นางเทพอัปสรทั้งหลาย ในทางบำเรอ ให้ปลาบปลื้ม นางเทพธิดา
    เหล่านั้น เมื่อถึงเวลา จะเข้ามาใกล้ชิด แล้วกล่าวประเล้าประลมดิฉัน
    ว่า เอาเถอะ พวกดิฉันจะฟ้อนรำ ขับร้อง บำเรอท่านให้รื่นรมย์ทีเดียว
    ก็เทพอุทยานชื่อว่านันทวัน อันหาความโศกเศร้ามิได้ มีแต่ความรื่นเริง
    บันเทิงใจ นับว่าเป็นเทพอุทยานอันใหญ่ยิ่งของเทวดาชาวไตรทศนี้ ไม่
    เป็นที่อยู่ของผู้ไม่ได้ทำบุญไว้ แต่เป็นที่อยู่ของผู้ทำบุญไว้เท่านั้น ความ
    ผาสุกย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ได้ทำบุญไว้ ทั้งในโลกนี้และโลกอื่น แต่ย่อมมี
    แก่ผู้ทำบุญไว้ ทั้งในโลกนี้และโลกอื่น นรชนผู้ปรารถนาจะอยู่กับเทวดา
    เหล่านั้น ควรทำกุศลไว้ให้มาก เพราะผู้ทำบุญไว้แล้ว ย่อมเพรียบพร้อม
    ด้วยโภคสมบัติบันเทิงใจอยู่ในสวรรค์ ทานบดีทั้งหลายได้กระทำสักการะ
    บูชาในพระตถาคตเจ้าแล้ว ย่อมบันเทิงใจอยู่ในสวรรค์ พระตถาคตเจ้าเหล่านั้นเป็นทักขิไณยบุคคล และเป็นบ่อเกิดแห่งบุญของมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมเสด็จอุบัติขึ้น เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์เป็นอันมากหนอ.


    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 สิงหาคม 2013
  2. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154



    อธิฐานครับ

    พระพุทธเจ้าในพระชาติหนึ่ง ร่วมตักบาตรพระปัจเจก

    ท่านชอบพี่สะใภ้ พี่สะใภ้อธิฐานหนี แต่พระองค์อธิฐานตาม

    ในชาติหนึ่งที่เป็นกษัตริย์ ก็สมดังปองหมายครับ

    ว่าแต่กรรมฐานไปถึงไหนแล้ครับ มามุ่นกับกามาวจร

    มากระวังน๊ะ จาลุ่มๆดอนๆ.
     
  3. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    กรรมฐานของผมบอกตามตรงครับ เมื่อก่อนมีสมาธิดี แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้นั่งมานานแล้วครับ แต่ยังเข้ามาสมาธิบริกรรม พุท-โธ ได้ เมื่อทำบริกรรมแล้ว ใจก็เป็นสุขครับ เป็นกุศล เวลาไปไหนมาไหนขึ้นรถเมล์ก็จิตกุศลได้เพราะบริกรรมนี่แหละครับ แต่พัฒนาเกินกว่านี้ไม่ได้แล้ว คงอาจเพราะไม่มีเวลาฝึกตอนนี้เรียนอยู่ด้วยน่ะครับ ถ้ามีคำแนะนำก็บอกบ้างนะครับ
     
  4. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    อริยาบทไหน...เวลาใดจนถึงหลับ

    เอาสติไว้กับตัวฝึกรู้ตัวอยู่กับปัจจุบันขณะไปเรื่อยๆครับ.
     
  5. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ตามที่ผมเข้าใจสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไปต้องบรรลุโสดาบันหรือได้ฌาณ4 ไม่ใช่หรอครับ ผมบอกตามตรงทำไม่ได้เลยจริงๆ แต่ผมรักษาศีล 5 เป็นปกติ ไม่สงสัยในพระรัตนตรัย และไม่กลัวตายนะ แบบนี้บรรลุโสดาบันแบบที่เขาบอกป่าวหว่า ?

    ดุสิตก็ดีนะ ได้ไปกราบพระโพธิสัตว์องค์ต่างๆและโดยเฉพาะพระศรีอาริย์ด้วยครับ


    อนุโมทนาขอรับ ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2013
  6. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    มีศีล 5 แล้ว

    ก็เพิ่ม กุศลกรรมบท 10 ไปเลยครับท่าน

    เดินต่อกันอีกนิด อย่าเพิ่งหยุดครับ
     
  7. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    มีแล้วครับพี่ hastin
    และก็รักษาศีล 8 วันพระนานๆครั้ง
    กับไม่ทำอกุศลกรรมบถ 10 ครับ

    แบบนี้ไปดุสิตได้หรอฮับ ??
     
  8. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    เรื่องนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าไปชั้นไหน

    แต่ กุศลกรรมบท 10 เหมือนให้เราเพิ่มการสำรวม กาย วาจา ใจ เพิ่มขึ้นอีก

    และเพิ่ม พรหมวิหาร 4 ครับ ถ้ามีฌานเพิ่มไปอีก อาจจะเลยเหมือนกันนะเนี่ย
     
  9. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ไม่มีเวลานั่งสมาธิเลยครับ คงยากครับ
     
  10. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ผมก็ไม่ค่อยมีเหมือนกันครับ 555

    เพื่อนผมถามว่าเอาเวลาที่ไหนปฎิบัติธรรม

    ผมตอบว่า ก็ตั้งแต่ตื่นจนหลับอ่ะ ทำอะไรได้ทำหมด(ถ่้ามีสตินะ บางวันก็ไม่ค่อยมีสติเหมือนกัน 555)

    ตื่น ก็ มรณานุสสติ ระหว่างวันก็ พุทธานุสสติ

    ทำงานไป ว่างก็นับลมหายใจเล่นไป ว่างมากหน่อย ครึ่งกำลังไปกราบพระ

    แล้วก็ เพิ่มกุศลกรรมบท 10 ไป เพื่อคอยควบคุม กาย วาจา ใจ อีกนิด

    เพราะว่า กุศลกรรมบท 10 ไม่ต้องนั้งสมาธิ ก็ปฎิบัติได้ครับท่าน

    ทำไปเรื่อยๆ ไม่เครียด พอสบาย ก็เพิ่มทีละนิด
     
  11. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    น้องไผ่ น่าจะบำเพ็ญบุญไว้พร้อมเพรียงดีมากจึงได้มีจิตมั่นคงมั่นใจแน่นหนักที่จะไปปรากฏในสวรรค์...เมื่อน้องมีบุญมาก แม้ความประสงค์ที่ตนหวัง ย่อมสำเร็จได้แน่..เพราะผู้มีบุญรองรับมาก สามารถเลือกคติที่ปรารถนาได้ ดุจเศรษฐีมหาศาลที่สามารถซื้อตั๋วยานพาหนะเพื่อนำตนไปอยู่อาศัยในแถบถิ่นที่ตนต้องการได้ฉันนั้น...

    เรื่องเคยมีมาแล้ว ดังนี้...

    สมัยพุทธกาลครั้งนั้น ในเมืองสาวัตถี ได้มีอุบาสกผู้ปฏิบัติธรรมประมาณ ๕๐๐ คน บรรดาอุบาสกเหล่านั้น แต่ละคน จะมีอุบาสกเป็นบริวารคนละ ๕๐๐ คน อุบาสกที่เป็นหัวหน้าแห่งอุบาสกเหล่านั้นมีบุตร ๗ คน ธิดา ๗ คน บรรดาบุตรและธิดาเหล่านั้น ซึ่งแต่ละคน เป็นเจ้าภาพสลากยาคู สลากภัต ปักขิกภัต สังฆภัต อุโปสถิกภัต อาคันตุกภัต วัสสาวาสิกภัต อย่างละที่ ชนแม้เหล่านั้น ได้เป็นผู้ชื่อว่า อนุชาตบุตร ด้วยกันทั้งหมดทีเดียว (เป็นอันว่า) สลากยาคูเป็นต้น ๑ ที่ คือ ของบุตร ๑๔ คน ของภรรยาหนึ่ง ของอุบาสกหนึ่ง ย่อมเป็นไปด้วยประการฉะนี้ เขาพร้อมทั้งบุตรและภรรยา ได้เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม มีความยินดีในอันจำแนกทาน ด้วยประการฉะนี้ ต่อมาในกาลอื่น โรคเกิดขึ้นแก่เขา อายุสังขารเสื่อมรอบแล้ว

    เขาใคร่จะสดับธรรม จึงส่งคนไปสู่สำนักพระศาสดา แล้วกราบทูลว่า "ขอพระองค์ได้โปรดส่งภิกษุ ๘ รูป หรือ ๑๖ รูป ประทาน แก่ข้าพระองค์เถิด"

    พระศาสดา ทรงส่งภิกษุทั้งหลายไป ภิกษุเหล่านั้นไปแล้วนั่งบนอาสนะที่ตบแต่งไว้ ล้อมเตียงของเขา อันเขากล่าวว่า "ท่านผู้เจริญการเห็นพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จักเป็นของอันกระผมได้โดยยาก กระผมเป็นผู้ทุพพลภาพ ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จงสาธยายพระสูตรๆ หนึ่งโปรดกระผมเถิด"

    จึงถามว่า "ท่านประสงค์จะฟังสูตรไหน ? อุบาสก"
    เมื่อเขาเรียนว่า "สติปัฏฐานสูตร ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ทรงละแล้ว" จึงเริ่มสวดพระสูตรว่า "เอกายโน อย ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตาน วิสุทฺธิยา" เป็นต้น (ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางไปอย่างเอก เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย)


    ขณะ นั้น รถ ๖ คัน ประดับด้วยอลังการทุกอย่าง เทียมด้วยม้าสินธพพันตัว ใหญ่ประมาณได้ ๑๕๐ โยชน์ มาจาก เทวโลก ๖ ชั้นเทวดายืนอยู่บนรถเหล่านั้นต่างก็เชื้อเชิญว่า "ข้าพเจ้า จักนำไปยังเทวโลกของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักนำไปยังเทวโลกของข้าพเจ้า ท่านผู้เจริญ ขอจงเกิดในที่นี้ เพื่อความยินดีในเทวโลกของข้าพเจ้า เหมือนคนทำลาย ภาชนะดินแล้วถือเอาภาชนะทองคำ"


    อุบาสก ไม่ปรารถนาจะให้เป็นอันตรายแก่การฟังธรรม จึงกล่าวว่า "ท่านทั้งหลาย จงรอก่อน จงรอก่อน" ภิกษุ ต่างหยุดนิ่ง ด้วยเข้าใจว่า อุบาสกพูดกับพวกเรา
    ลำดับนั้น บุตรและธิดา ของเขา คิดว่า "บิดาของพวกเราแต่ก่อน เป็นผู้ไม่อิ่มด้วยการฟังธรรม แต่บัดนี้ให้นิมนต์ภิกษุมาให้ทำสาธยายแล้ว กลับห้ามเสียเอง ชื่อว่าสัตว์ผู้ไม่กลัวต่อมรณะไม่มี" ดังนี้แล้ว ก็พากันร้องไห้

    พวก ภิกษุ ปรึกษากันว่า "บัดนี้ไม่เป็นโอกาสแล้ว" จึงลุกจากอาสนะหลีกไป อุบาสกยังเวลานิดหน่อยให้ล่วงไปแล้ว กลับได้สติถามลูกๆ ว่า "เพราะเหตุไร พวกเจ้าจึงคร่ำครวญกันเล่า ?"

    พวก บุตร จึงบอกว่า "พ่อ ก็พ่อให้นิมนต์ภิกษุมาแล้ว กำลังฟังธรรม อยู่ๆ ก็ห้ามเสียเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกผมจึงคิดว่า ชื่อว่าสัตว์ผู้ไม่กลัวต่อมรณะไม่มี ดังนี้ จึงคร่ำครวญ"


    อุบาสก “ก็พระคุณเจ้าทั้งหลาย ไปไหนเสีย ?”

    บุตร “พ่อ พระคุณเจ้าทั้งหลาย จึงพูดกันว่า ไม่เป็นโอกาส ลุกจากอาสนะหลีกไปแล้ว”

    อุบาสก “พ่อมิได้พูดกับพระผู้เป็นเจ้า”

    บุตร “ถ้าเช่นนั้น พ่อพูดกับใคร ?”

    อุบาสก “เทวดาประดับรถ ๖ คัน นำมาจากเทวโลก ๖ ชั้น พักอยู่ในอากาศ ต่างเปล่งเสียงว่า “ขอท่านจงยินดีในเทวโลกของข้าพเจ้า ขอท่านจงยินดีในเทวโลกของข้าพเจ้า' พ่อพูดกับเทวดาเหล่านั้นต่างหาก”

    บุตร “พ่อ รถที่ไหน ? พวกผมไม่เห็น”

    อุบาสก “ก็ดอกไม้ที่ร้อยเป็นพวงเพื่อพ่อมีไหม ?”

    บุตร “มี พ่อ”

    อุบาสก “เทวโลกชั้นไหน ? ควรเป็นที่รื่นรมย์”

    บุตร “ภพดุสิต อันเป็นที่ประทับอยู่ของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ของพระพุทธมารดา และของพระพุทธบิดา เป็นที่รื่นรมย์นะซิ พ่อ”

    อุบาสก “ถ้ากระนั้น พวกเจ้าจงเสี่ยงว่า ขอพวงดอกไม้ จงคล้องที่รถมาจากภพดุสิต ดังนี้แล้ว เหวี่ยงพวงดอกไม้ขึ้นไปเถอะ”

    บุตร เหล่านั้นได้เหวี่ยงขึ้นไปแล้ว พวงดอกไม้นั้น ได้คล้องที่แอกรถห้อยลงในอากาศ มหาชนเห็นแต่พวงดอกไม้นั้น หาเห็นรถไม่

    อุบาสก พูดว่า “เจ้าทั้งหลายเห็นพวงดอกไม้นั่นไหม ?”

    เมื่อ บุตร ตอบว่า “เห็นจ้ะ”

    อุบาสก จึงกล่าวว่า "พวงดอกไม้นั่น ห้อยที่รถซึ่งมาจากดุสิต เราจะไปสู่ภพดุสิต พวกเจ้าอย่าวิตกไปเลย พวกเจ้ามีความปรารถนาจะเกิดในสำนักเรา ก็จงทำบุญทั้งหลาย ตามทำนองที่เราทำแล้วเถิด" ดังนี้แล้ว ทำกาละ ดำรงอยู่บนรถที่มาจากภพดุสิต อัตภาพของเขาสูงประมาณ ๓ คาวุต ประดับด้วยอลังการหนักได้ ๖๐ เล่มเกวียน เกิดในทันใดนั่นเอง นางอัปสรพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว วิมานแก้วประมาณ ๒๕ โยชน์ปรากฏแล้ว


    พระศาสดา ตรัสถามภิกษุแม้เหล่านั้น ผู้มาถึงวิหารแล้วโดยลำดับว่า "ภิกษุทั้งหลาย อุบาสกได้ฟังธรรมเทศนาแล้วหรือ ?"

    ภิกษุ “ฟังแล้ว พระเจ้าข้า แต่อุบาสกได้ห้ามเสียในระหว่างนั่นแลว่า ขอท่านจงรอก่อน ลำดับนั้น บุตรและธิดาของอุบาสกนั้น พากันคร่ำครวญกันใหญ่ พวกข้าพระองค์ปรึกษากันว่า บัดนี้ไม่เป็นโอกาส จึงลุกจากอาสนะออกมา”

    พระศาสดา “ภิกษุทั้งหลาย อุบาสกนั้นหาได้กล่าวกับพวกเธอไม่ ในตอนนั้น เหล่าเทวดาประดับรถ ๖ คัน นำมาจากเทวโลก ๖ ชั้น กำลังเชื้อเชิญอุบาสกอยู่นั้น ก็เพราะอุบาสกไม่ให้เป็นการขัดขวางการฟังธรรมของตน จึงกล่าวกับเทวดาเหล่านั้นต่างหาก

    ภิกษุ “อย่างนั้นหรือ ? พระเจ้าข้า”

    พระศาสดา “อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย”

    ภิกษุ “บัดนี้เขาเกิดแล้ว ณ ที่ไหน ?”

    พระศาสดา “ในภพดุสิต ภิกษุทั้งหลาย”

    ภิกษุ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสกนั้น ได้รับความชื่นชมยินดี ของมวลญาติมิตรในโลกนี้แล้ว พอได้ไปเกิดในสวรรค์ ก็ได้รับฐานะเป็นที่ชื่นชมยินดีของเหล่าเทวดานั่นอีกหรือ ?”

    พระศาสดา ตรัสว่า “อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย เพราะคนผู้ไม่ประมาทแล้วทั้งหลาย เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ย่อมรื่นเริงเปรมปรีดิ์อิ่มอกอิ่มใจในที่ทั้งปวงทีเดียว” ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า..


    อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ กตปุญฺโ อุภยตฺถ โมทติ
    โส โมทติ โส ปโมทติ ทิสฺวา กมฺมวิสุทฺธิมตฺตโน

    บุคคลผู้ทำบุญกุศลไว้มีประการต่างๆ มากมาย ย่อมรื่นเริงเปรมปรีดิ์ อิ่มอกอิ่มใจในโลกนี้ เพราะกุศลกรรมดี ทำให้มีความปลื้มใจว่า “กรรมชั่วเราไม่ได้ทำเลย กรรมดีเราทำแล้วหนอ” จึงได้รับการสรรเสริญ เป็นที่เคารพรักนับถือของคนทั่วไป พอละสังขารจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมรื่นเริงเปรมปรีดิ์ อิ่มอกอิ่มใจ เพราะวิบากผลแห่งกรรมดีส่งผลในโลกหน้า ได้ไปเกิดเป็นเทวดา มนุษย์ ชื่อว่า ย่อมรื่นเริงเปรมปรีดิ์อิ่มอกอิ่มใจ ในโลกทั้งสองนี้ แม้ธัมมิกอุบาสกนี้ ได้เห็นกรรมอันหมดจด คือ ความถึงพร้อมแห่งบุญกรรมของตนก่อนตาย ได้ความรื่นเริงเปรมปรีดิ์อิ่มอกอิ่มใจในโลกนี้ ครั้นตายในบัดนี้ ก็ได้รับความรื่นเริงเปรมปรีดิ์อิ่มอกอิ่มใจอย่างยิ่งในโลกหน้า คือ เป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดุสิต..


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2013
  12. ฮาทณัฐพล

    ฮาทณัฐพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +253
    แล้วเทวดาสามารถต่ออายุของตนได้หรือไม่ครับในยุคนี้
     
  13. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    การต่ออายุของเทวดาไม่ขึ้นกับยุคสมัย.. แต่ขึ้นอยู่กับกุศลที่สั่งสมครับ หากมีบุญมาก เหมาะสมกับการได้ไปภพภูมิที่ปรารถนา..บุญนั้นย่อมจัดแจงให้บุคคลสำเรจในสิ่งที่หวัง...

    ตราบใดตัณหายังไม่หมด ย่อมเหวี่ยงไปได้ทุกภพภูมิครับ
     
  14. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    เทพชั้นไหนๆหมดอายุขัย แต่อยากอยู่บนสวรรค์ต่อก็อธิษฐานอยู่ทีเ่ดิมได้หรอครับ ผมเข้าใจถูกไหมเอ่ย
     
  15. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    การอธิษฐานนั้นใครๆย่อมทำได้ แต่ผลจะได้สมกับที่หวังใหมนั้น มีเงื่อนไขหลักสำคัญคือบุญที่ทำไว้นั้นมีมากพอที่จะัรับรองผลตามที่อธิษฐานใหม ...เหตุกับผลต้องเหมาะสมควรกันด้วย นะครับ...

    เมื่อได้บุญเป็นเสบียงหนุนส่งให้ไปเกิดในสวรรค์ที่ตนปรารถนาแล้ว ระหว่างนั้น เสบียงที่มีย่อมร่อยหรอลดลง...ถ้าว่าบุญเก่ายังมีกำลัง ก็ย่อมได้เกิดในที่ต้องการอีกซ้ำๆได้ตามอธิษฐาน..

    ในปุถุชนนั้น เอาแน่อะไรไม่ได้.. เวลาไปอยู่สวรรค์เพลินไปกับกามจนบุญที่รองรับให้ได้อัตภาพในชั้นนั้นๆหมด เมื่อไม่ได้ทำกุศลเพิ่มเลย แม้จะอธิษฐานให้คอแตก ก็ไม่อาจไปสู่ที่ตนหวังได้เพราะเงื่อนไขหลักคือบุญ..พร่องไปแล้ว ..

    น้องไผ่อย่าเข้าใจว่าบุญนั้นหมดไม่เป็น...ทั้งบุญ บาปและสังขตธรรม(ธรรมที่เกิดจากปัจจัย )ทั้งหลาย ต่างตกอยู่ในสภาวะไตรลักษณ์เท่าเทียมกันคือ มีแล้วย่อมหมดไป..ถ้าไม่ขวนขวายทำต่อเนื่องเพิ่มเติมจะได้เสบียงบุญที่ใหนส่งให้อยู่ในที่นั้นได้อีกเล่าหากหมดวาระแล้ว?.
    .
     
  16. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    งั้นทำบุญๆๆๆยกกำลังกว่าเดิมดีกว่าครับ 55555+

    คนที่บรรลุโสดาบันหรือขึ้นไปแตกต่างกันอย่างไรหรอครับ พี่ดีๆ

    แล้วมีพี่คนนึงเขาถามคอมเม้นบนเขาถามตรงใจเหมือนกันที่บอกว่ามีคนใช้ พันองค์ หมื่นองค์ เขาอยู่ในฐานะคนใช้แล้วเลื่อนฐานะได้ไหมเช่น เป็นภรรยา
     
  17. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    น้องไผ่พึงทราบความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอริยะบุคคลนั้น มีมากราวฟ้ากับเหวทีเดียว..พระอริยะบุคคลนั้น "มีปรกติ" มีศีล และนิยมในกุศลทุกประเภท ถ้าเป็นทานก็ให้แบบหมดตัวยังได้ ..ส่วนปุถุชนนั้น บางครั้งก็ทำดี บางทีก็ทำชั่วเพราะกิเลสตัณหายังไม่ลดหายไปใหน ยังยึดถือ วิปลาส๑๐๐%..

    ดังนั้นท่านอริยะบุคคล จะไปเกิดที่ใหน แม้อธิษฐานย่อมสำเร็จด้วยดี

    แหมเรียกบริวารว่าเป็นคนใช้เลยดูหม่นหมองพิกล เรื่องที่จะเลื่อนขั้นไปทำหน้าที่อื่น ผมเองก็ไม่มีปัญญาทราบได้ เพราะที่เคยไปมาก็ลืมหมดแล้ว ทั้งสลับด้วยทัวร์ในนรกก็มากชาติ ที่ใหนจะจำอะไีรได้หมดเล่าครับ..

    น้องไผ่เร่งทำบุญดีกว่า จะได้ไปรู้เองเห็นเอง แล้วนำมาสงเคราะห์เล่าสู่กันฟังไว้ประดับความรู้นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...