ไขข้อข้องใจ ภพภูมิศาสนา และอีกไม่กีีปีนี้จะเปลี่ยนยุคแล้วจริงง อะ!! T^T มาดูแผนที่ประเทศไทยแบบใหม่กัล หุหุ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย sassyblue, 11 กรกฎาคม 2009.

  1. sassyblue

    sassyblue Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +52
    แบบว่า สมาธิอยู่ จิตเดิมแท้ก็ตื่นขึ้นมาทันใด ว่าก่อนที่เราจะออกจากบ้านไปถูกรถชนตาย ลืมเสียบปลั๊กเตารีดทิ้งไว้ T^T ประมาณนี้นะหรอ คระ ^w^
     
  2. ถังน้ำ

    ถังน้ำ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +3
    อ่าคิดมากเน้ออออ sassyblueอิอิ คุยในMละกาน ^^
     
  3. roongruang

    roongruang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +16
    ชาวอนุตรธรรมส่วนใหญ่ก็คนพุทธ เราก็นับถือพระพุทธเจ้า นับถือศาสนาพุทธเหมือนกันแต่เราต้องแยกให้ออกว่าธรรมะกับศาสนาต่างกันอย่างไร เกื้อกูลกันอย่างไร

    ส่วนการนั่งสมาธิมีครับ แต่นั่งแบบสำรวมจิต เมื่อเข้าสู่จิตเดิมแท้แล้ว นิ่งแล้ว พระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ในทุกศาสนาล้วนอยู่ในตัวเราเองครับ เพราะจิตเราคือพุทธ ทุกคนคือพุทธะ จิตนิ่งแล้วแก้ปัญหาได้ทุกอย่างครับ แต่ชาวอนุตรธรรมไม่เน้นการนั่งสมาธิกรรมฐาน เพราะทั่วไปนั่งเพื่อหาทางออก ทางนิพพาน แต่ผู้ที่ได้รับแล้วก็คือผู้ที่เจอทางออกแล้วรู้ธรรมจักษุแล้วจึงไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิกำหนดจิตที่นั่นที่นี่เพื่อค้นหา แต่เน้นเจริญสติ มีธรรมะในการใช้ชีวิตทุกขณะจิต เจริญปณิธานให้มรรคผลสมบูรณ์ เพื่อได้สำเร็จสู่ทางแห่งนิพพาน เพราะปณิธานไม่เจริญแล้วมรรคผลก็ไม่มียากที่จะกลับคืนนิพพาน จึงออกฉุดช่วยเวไนยชนเพราะทุกคนมาจากที่เดียวกัน เป็นคนคนเดียวกัน ดังนั้นทุกศาสนาที่มีธรรมะสัจธรรมที่แท้จริง ครอบคลุมเกี่ยวข้องใน 84,000 พระธรรมขันธ์จึงไม่ควรแบ่งแยกกันรังเกียจกันแต่ควรร่วมมือกันเพื่อช่วยเวไนยชนให้เจริญไปด้วยกันเถิด ผู้เจริญปัญญาโปรดพิจารณาด้วยเถิด สาธุ
     
  4. roongruang

    roongruang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +16
  5. ถังน้ำ

    ถังน้ำ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +3
    อ่าคิดมากเน้ออออ sassyblueอิอิ คุยในMละกาน ^^
     
  6. namaste

    namaste Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +55
    ธรรมดาของท่านที่เป็นโอปปาติกะนะคะ ที่จะรู้วาระจิตของคนเรา
    เพราะปกติท่านก็สื่อสารกันโดยจิตอยู่แล้วน่ะค่ะ

    ในนี้ก็มีหลายท่านค่ะที่สามารถสื่อสารกับภพภูมิอื่นได้ (คงไม่ต้องแนะนำหรอกเน๊อะ)

    แต่ภพภูมิอื่น ก็มีมิจฉาทิฏิิอยู่นะคะ ขนาดเจริญสมาธิสูงระดับพรหมยังมีมิจฉาทิฐิได้เลยค่ะ

    เอาเถิดค่ะ ชอบแบบไหน ก็ปฏิบัติไปตามนั้นค่ะ
    สำหรับพุทธศาสนาแล้วเรื่องการรู้วาระจิตของคนเนี่ยไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของเทพ
    คนธรรมดาๆที่ปฏิบัติจนมีอภิญญา ก็สามารถรู้วาระจิต ดูกรรมเก่าได้ ลอยได้ คุยกับเทวดา ฯลฯ

    เพียงแต่คนเค้าไม่เอามาพูดกันน่ะค่ะ มันไม่ใช่ประเด็นในพุทธศาสนาน่ะค่ะ ^_^
     
  7. roongruang

    roongruang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +16
    ครับ อภิญญานั้นเป็นเรื่องที่มีจริงแต่ไม่ใช่ทางที่จะไปนิพพาน

    หลายท่านนั่งสมาธิเพื่อให้เห็นนรก สวรรค์ มีตาทิพย์ ได้อภิญญา แต่ตัวเราล่ะ ใจเราล่ะ ได้เห็นหรือยัง ขัดเกลา อาสวกิเลสออกหรือยัง


    ขอผู้เจริญธรรมและปัญญาโปรดพิจารณษด้วยเถิด สาธุ
     
  8. roongruang

    roongruang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +16
  9. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +283
    ขอถามท่านว่า
    ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรมสำหรับคนรุ่นก่อนนะสิครับ
    ทำไมท่านไม่ให้หนทางง่ายๆไว้ตั้งแต่สมัยก่อนเลยละครับ ในเมื่อท่านเมตตาในทุกสรรพสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวกับท่าน
    ทำไมเมื่อก่อนต้องสะสมบารมียาวนานหลายกัปหลายกัลป์เพื่อบรรลุ
    และในเมื่อทุกสรรพสิ่งเป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นธรรมชาติ แสดงว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ธรรมชาตินั้นสร้างขึ้นมา ท่านที่เมตตาทำไมสร้างภัยเพื่อทำลายสรรพสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวกับท่านด้วยละครับ
     
  10. sassyblue

    sassyblue Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +52
    ทำอย่างไนได้อย่างนั้นท่านก็ไม่สามารถยั้งสิ่งที่มนุษทำได้เหมือนกัลทุกอย่างต้องยุติธรรม เป็นสิ่งที่ถูกแล้วที่เราควรได้รับผลจากการกระทำของตนถ้าไม่ปล่อยให้เกิดเลยคนก็ได้ใจทำเลวไม่หยุด
     
  11. roongruang

    roongruang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +16
    ขอถามท่านว่า
    ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรมสำหรับคนรุ่นก่อนนะสิครับ
    ทำไมท่านไม่ให้หนทางง่ายๆไว้ตั้งแต่สมัยก่อนเลยละครับ ในเมื่อท่านเมตตาในทุกสรรพสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวกับท่าน
    ทำไมเมื่อก่อนต้องสะสมบารมียาวนานหลายกัปหลายกัลป์เพื่อบรรลุ
    และในเมื่อทุกสรรพสิ่งเป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นธรรมชาติ แสดงว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ธรรมชาตินั้นสร้างขึ้นมา ท่านที่เมตตาทำไมสร้างภัยเพื่อทำลายสรรพสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวกับท่านด้วยละ ครับ

    __________________________________________________________

    ในยุคเริ่มเกิดมนุษย์เป็นยุดเริ่มการพัฒนาจิตใจผู้คนดี สื่อตรงต่อฟ้า เมื่อละกายสังขารก็กลับบ้านเดิม หรือสามารถบรรลุธรรมได้ง่าย ภัยพิบัติก็น้อยเพราะผู้คนจิตใจดี แต่ยุคนี้เป็นยุคที่ศีลธรรมเสื่อมทรามภัยพิบัติเกิดมากมาย อีกทั้งผู้คนก็มีการสะสมหนี้กรรมมามากหลายชาติกว่าคนรุ่นก่อนๆ จิตมีอาสวะกิเลสบดบังมากกว่าคนสมัยก่อนมากเพราะจริตเดิมและกรรมเก่าที่สะสมบดบัง ดังนั้นยุคนี้เบื้องบนจึงได้ให้โอกาสในการรับรู้ก่อนเพื่อให้มนุษย์ได้ตระหนักถึงบุญวาระนี้และรีบบำเพ็ญเพราะกำหนดกาลยุคนี้คับขันมาก หากพลาดในกาลนี้ ต้องรอพระศรีอาริยเมตไตยมาตรัสรู้รวมทุกศาสนาเป็นเอกธรรมมรรคผลจึงได้มีโอกาสอีก เพราะเมื่อเกิดฟ้าและดินแล้วจึงมีโลก เมื่อถึงที่สุดโลกย่อมดับสูญ ก่อนโลกดับสูญ ต้องมีการเก็บดวงญาณก่อน ช่วงการเก็บดวงญาณก็คือพาดวงญาณเข้าสู่นิพพานให้มากที่สุด จากนั้นก็เก็บดินและฟ้าตามลำดับ หากยังตกค้างในเทวโลก มนุษย์โลก หรือยมโลก ก็จะถูกล้างกระดานหมดเหมือนข้าวที่เกี่ยวแล้วหากหล่นค้างในนาก็ถูกไถกลบ รอการสร้างฟ้าดินและโลกใหม่ จึงได้มาเกิด ดังนั้นยุคนี้จึงโปรดพร้อมกันถึงสามโลก (นรกพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ท่านโปรดอยู่และพระอรหันต์จี้กงผู้ผุกบุญสัมพันธ์กับคนมากมายทรงโปรดทั้งสามโลก) นี่คือสาเหตุที่ทำได้รับง่ายแต่บำเพ็ญให้กลับคืนนั้นยากนะครับ หลายคนมักคิดว่ารับแล้วนิพพานเลยผิดครับ หากมรรคผลไม่สมบูรณ์ จิตยังขัดเกลาไม่สะอาดต้องไปขัดเกลาต่อที่เบื้องบน หากไม่ผ่านก็ต้องมาบำเพ็ญใหม่ครับ สรุปก็คือเป็นกำหนดกาลครับ

    สำหรับภัยที่เกิดขึ้นมาไม่ใช่ท่านอยากสร้างมาทำลายหรอกครับ แต่เป็นเพราะเมื่อถึงกาลสะสางหนี้กรรมกันภัยก็จะมาครับ ภัยเกิดจากใจมนุษย์ ใจมนุษย์เสื่อมทราม ดังนั้นภัยจึงเกิดจากใจเรียกหาครับ แต่โลกนี้ยังมีมนุษย์ผู้ปฏิบัติธรรมและรากบุญดีอยู่ ท่านจึงโปรดให้รับรู้เพื่อการบำเพ็ญ รอดพ้นภัยพิบัติ เพื่อเป็นหน่อเนื้อพุทธางกูลในอนาคตกาลจวบจนพระศรีอาริยเมตไตยมาตรัสรู้อีกครั้งและนำดวงญาณกลับคืนโดยง่ายนั่นเอง เราจะสังเกตุเห็นว่าศีลธรรมทุกวันนี้เสื่อมอย่างชนิดที่กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมเสียแล้ว หากไม่มีภัยพิบัติและโรคภัยมาเก็บกวาดไปแล้ว อนาคตจะไม่เหลือนักปราชญ์เป็นแก่นสารแม้แต่คนเดียว เมื่อเป็นดังนี้ จึงถึงกำหนดกาลที่จะโปรดคนดี สรุปก็คือภัยพิบัติเกิดจากใจมนุษย์ที่เสื่อมทรามร้อนรนพรุ่งพล่านทำให้เกิดภัยพิบัติครับ ขอท่านอาวุโสผู้เจริญปัญญาทุกท่านโปรดพิจารณาด้วยเถิด สาธุ
     
  12. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    พุทธังสระณังคัจฉามิ ธรรมังสระณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ
     
  13. roongruang

    roongruang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +16
    ยินดีร่วมศึกษากับผู้อาวุโสทุกๆ ท่านครับ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และสิ่งดีๆ ต่อกัน ให้ธรรมะในสากลจักรวาล และในใจคนเบ่งบานครับ ขออุโมทนาสาธุกับทุกท่านที่เข้ามาศึกษาครับ
     
  14. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +283
    ขอบคุณท่านที่ให้คำตอบครับ

    ถือเป็นการถามตอบคำถามเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้นะครับ ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด

    ขอถามท่านต่อด้วยครับว่า
    ที่ท่านว่าเมื่อก่อนทุกสรรพสิ่งอยู่ในนิพพาน
    แล้วทำไม เหตุใดสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องมาใช้กรรมที่ภพภูมิอื่นทั้งที่นิพพานคือสิ่งที่กรรมไม่อาจเอื้อมถึง หรือ ถ้าสรรพสิ่งอยู่ในนิพพานอยู่แล้ว เหตุใดต้องลงมาพบกับความทุกข์ทั้งที่ตนอยู่ในนิพพานที่ไร้ทุกข์โดยแท้จริง
    ขอบคุณครับสำหรับคำตอบ
    อนุโมทนาต่อบุญที่ท่านตอบด้วย
     
  15. roongruang

    roongruang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +16
    ขอถามท่านต่อด้วยครับว่า
    ที่ท่านว่าเมื่อก่อนทุกสรรพสิ่งอยู่ในนิพพาน
    แล้วทำไม เหตุใดสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องมาใช้กรรมที่ภพภูมิอื่นทั้งที่นิพพานคือสิ่งที่ กรรมไม่อาจเอื้อมถึง หรือ ถ้าสรรพสิ่งอยู่ในนิพพานอยู่แล้ว เหตุใดต้องลงมาพบกับความทุกข์ทั้งที่ตนอยู่ในนิพพานที่ไร้ทุกข์โดยแท้จริง
    ขอบคุณครับสำหรับคำตอบ
    อนุโมทนาต่อบุญที่ท่านตอบด้วย
    ___________________________________________________________

    ขอท้าวความก่อนว่า ในมหาอนันตจักรวาลนี้ มีการเกิดดับมาหลายครั้ง องค์ธรรมเมื่อมีการสงบก็รวมเข้าไว้เป็นหนึ่ง ไร้รูปลักษณ์ ไร้ขอบเขต ไร้การปรุงแต่ง นิ่งสงบใส เหมือนไม่มีแต่มีอยู่ แต่เมื่อองค์ธรรมขยับก็จะก่อให้เกิดหนึ่ง สองและสาม ไปอีกมากมาย ก่อเกิดสรรพสิ่งขึ้นในมหาอนันตจักวาลนี้ เมื่อกาลแรกกำเนิดฟ้า ต่อมากำเนิดดิน เมื่อฟ้าใส ดินสงบ ฟ้าจึงลอยขึ้น ดินจึงตกลงมา ก่อเกิดดวงดาวและโลกขึ้น เมื่อเกิดสรรพสิ่งขึ้นในโลกครานั้นองค์ธรรมนี้ก็ได้แบ่งจิตญาณหรือพระภาคลงมาเกิดกายในโลกต่างๆ ในจักรวาล (ทุกดวงญาณจึงมีสภาวะความเป็นพุทธะเท่าเทียมกัน แต่ต่างกันด้วยอาสวะกิเลสที่บดบัง จึงสำเร็จมรรคผลไม่เท่ากัน มีปัญญาไม่เท่ากันนั่นเอง) เป็นพรหมมาสร้างและพัฒนาโลก ดูแลโลก มีรัศมีรอบกายเรืองรอง แต่เมื่อลงมาก็สามารถอิ่มทิพย์ได้ ไม่ต้องมีตะวัน จันทรา มองเห็นทุกสิ่งได้ด้วยแสงกายนี้ แต่เมื่อรับประทานง้วนดิน เกิดยึดติดในรสชาติเริ่มมีกิเลสกายทิพย์นี้ก็เริ่มหยาบ รัศมีกายก็หายไป จึงเกิดตะวันและดวงจันทราขึ้นในภายนั้น ต่อมาง้วนดินก็แปรสภาพเป็นเครือดิน จนถึงข้าวในภายหลัง เมื่อครั้งนั้นท่านเหล่านั้นก็ยังสามารถเจริญปัญญาสู่นิพพานได้โดยง่าย แต่เมื่อมีการแบ่งแยกเกิดชายและหญิง ท่านเหล่านั้นจึงได้เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กัน เกิดเป็นมนุษย์ที่เกิดจากชลาภุชะ (เกิดจากครรภ์) ครั้งแรกตั้งแต่มีการสร้างคน เมื่อมนุษย์มีการปฏิสัมพันธ์กัน ฟ้าจึงปิด(ประตูนิพพานปิด) และเริ่มการเวียนว่ายตายเกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน และก่อเกิดเทวโลกและยมโลกชั้นต่างๆ ขึ้นมาตามสภาวะจิตของคนเพื่อรองรับสภาวะจิตที่ขุ่นมัวและใสไม่เหมือนกันนั่นเอง เมื่อถึงกาลที่การขยับขององค์ธรรมนั้นจะสิ้นสุดลง เพื่อเข้าสู่สภาวะสงบ ก็จะเกิดการปรกโปรดครั้งใหญ่ เพื่อนำดวงจิตญาณกลับเข้าไว้เหมือนเดิม ทุกดวงญาณจึงควรต้องเร่งบำเพ็ญเพื่อให้สภาวะจิตสว่างใสและสงบเพื่อรวมเข้าไว้กับองค์ธรรมนี้ ดั่งพระพุทธองค์ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนั่นเอง หากจิตยังขุ่นแม้แต่นิดเดียวก็รวมเข้ากับองค์ธรรมนี้ไม่ได้ เมื่อรวมแล้วก็จะรอการขยับและสงบต่อไป สรุปคือหากไม่มีการขยับและสงบขององค์ธรรมนี้ ก็จะเกิดความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย เมื่อเกิดสรรพสิ่งก็ต้องมีผู้มาดูแลและพัฒนานั่นเอง ขอท่านอาวุโสทุกท่านผู้เจริญปัญญาโปรดพิจารณาด้วยเถิด
     
  16. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +283
    ขอบคุณและอนุโมทนา

    มีบางอย่างเห็นเป็นข้อธรรมที่จริงแท้ แม้บางอย่างจะไม่เห็นด้วยเลย
    อย่าได้ถือสาหาความผม ในเรื่องความเชื่อ
    อย่างน้อยก็ได้คนที่ให้ธรรมเป็นมิตรเพิ่มอีกหนึ่งคน
    สาธุ
     
  17. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    น้อง sassyblue จ๋า...อะไรทำแล้วมีความสุขทำไปเถิดจ้ะ...เดินให้สุดทางนะจ้ะ ถ้ามันไม่ใช่มันก็เดินต่อไม่ได้เองแหละ แต่ถ้าใช่ก็ถึงที่หมายเอง

    แหละ...ท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องมีกำลังสมาธิเป็นหลัก...รู้มั้ยครับว่าคำว่าสัมมาทั้งหลายในมรรคน่ะ...มันคงสภาพบริสุทธิ์ตลอดด้วยการ

    รักษาของคนจาก นิสัย สันดาน การนึกคิดไม่ได้ครับ แต่ต้องได้จากสติ
    ...สติตัวแท้ไม่เกิดจากคุณนั่งคิดหรือเดินตรงทางนะครับ...สติตัวแท้ได้จาก

    การวางจิตให้นิ่งแล้วรู้จุดยืนครับ
    ...นิง่นั้นนิ่งยังไง...วิธีฝึกก็ไม่ยาก พุทโธ คู่ลมหายใจก็ง่ายแล้ว ทรงได้นานเท่าไหร่ก็แสดงว่าฝึกจิตนิ่งเท่านั้น...

    สติตัวแท้เกิดอะไร...เกิดการรับรู้ที่ชัดเจนครับ...คุณๆหลายท่านอาจคิดว่าเราเดินไม่เห็นมดเหยียบมดตายโดยไม่รู้ย่อมเป็นไปได้...คนที่ว่าตนมี

    สติจะมองที่พื้นตลอดแล้วระวังการเหยียบมด...เมื่อเพ็งมากๆก็ทุกข์ครับ...กลัวแต่จะเหยียบมด...แต่คนที่รู้ว่าจะเหยียบมดแม้ไม่ได้มอง นั่นคือคนมี

    สติตัวแท้ที่ได้จากการสั่งสมจากการฝึกจิตครับ...ทีนี้พอมีหิริโอตัปปะเข้าไป...ไม่มีทางจะผิดศีลโดยประมาทหรือจะโดยตั้งใจได้เลย...ไม่ต้องเพ็ง

    ไม่ต้องระวัง
    ...นี่แหละครับ ตัวอย่างของการกระทำที่เรียกว่า สัมมา อันเป็นหนึ่งในมรรค...ไม่ใช่ทำได้ทั่วไป...แต่ก็ไม่ยากจนทำไม่ได้...ขอให้ทำ

    ให้ถูกและรู้ครับ...ลืมบอกไป...คนที่ทำสมาธิได้เป็นปกติจนดำรงถึงการเจริญวิสุทธิมรรค...เค้าทำสมาธิทุกอิริยาบถครับ ไม่ใช่แค่จากการนั่งสมาธิ

    หรือเดินจงกรม...เพียงแต่การนั่งหรือเดินนั้นเป็นเบสิกครับ...และใช้ในยามพักผ่อนจากการครองสติทั้งวันนะครับ...รวมไปถึงการขัดเกลาจิตให้เกิด

    ความใสสว่างมากขึ้น เพื่อให้ทรงปัญญาในวิปัสสนาได้มากขึ้นครับ
    ...อย่าเข้าใจผิดว่าแค่ทำถูกต้องในทิศทางแบบโลกๆทำกันนั่นคือ สัมมา ตราบ

    ใดการกระทำไม่ถูกดำรงด้วยมหาสติตัวแท้นั่นยังไม่เรียกสัมมา นั่นยังไม่เรียกเป็นมรรคครับ


    ป.ล. หากเปิดใจรับได้ที่จะสนทนาธรรมกับเด็กอายุ 23 ปีหรืออยากศึกษาธรรมร่วมกัน ยินดีแชร์กับทุกคน เพราะจะได้เป็นการบำเพ็ญบารมีเพิ่มไปด้วย ติดต่อได้ที่ p5chng-me@hotmail.com ผมชื่ออาร์ม ครับ (ถ้าคุยในเอ็มอนุญาตศัพท์วิบัติได้ครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2009
  18. namaste

    namaste Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +55
    พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสปรารภถึงเจ้าลัทธิต่างๆ ที่มีความคิดความเห็นต่างกัน ต่างทุ่มเถียงกันตามความเห็นของตนๆ ครั้นแล้วทรงนำเอาเรื่องคนตาบอดคลำช้างมาเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟัง พอสรุปได้ว่า
    มีพระราชาอยู่องค์หนึ่ง ในเมืองสาวัตถีในอดีต ได้สั่งให้เรียกคนตาบอดทั้งหมดมาประชุมกัน แล้วสั่งให้นำช้างไปให้คนตาบอดเหล่านั้นคลำ ครั้นคนตาบอดคลำทั่วทุกคนแล้วพระราชาได้ตรัสถามว่า ช้างมีลักษณะอย่างไร ?
    คนตาบอดเหล่านั้น ต่างมีความเห็นแตกต่างกันออกไป ตามแต่ที่ตนคลำพบ พอสรุปได้ดังนี้

    คนตาบอดพวกที่คลำถูกศีรษะช้างตอบว่า
    ช้างเหมือนหม้อ
    คนตาบอดพวกที่คลำถูกหูช้างตอบว่า
    ช้างเหมือนกะด้ง
    คนตาบอดพวกที่คลำถูกงาช้างตอบว่า
    ช้างเหมือนผาล
    คนตาบอดพวกที่คลำถูกงวงช้างตอบว่า
    ช้างเหมือนงอนไถ
    คนตาบอดพวกที่คลำถูกตัวช้างตอบว่า
    ช้างเหมือนฉางข้าว
    คนตาบอดพวกที่คลำถูกเท้าช้างตอบว่า
    ช้างเหมือนเสา
    คนตาบอดพวกที่คลำถูกหลังช้างตอบว่า
    ช้างเหมือนครกตำข้าว
    คนตาบอดพวกที่คลำถูกโคนหางช้างตอบว่า
    ช้างเหมือนสาก
    คนตาบอดพวกที่คลำถูกหางช้างตอบว่า
    ช้างเหมือนไม้กวาด

    คน ตาบอดเหล่านั้น ต่างทุ่มเถียงกันและกันว่า ช้างเป็นเช่นนี้ ช้างไม่ได้เป็นอย่างนั้น แล้วก็หาข้อยุติไม่ได้ เพราะต่างก็ไม่ได้รู้จักช้างที่แท้จริง พวกลัทธิต่างๆ ที่ไม่รู้จริง ก็มีลักษณะเหมือนคนตาบอดคลำช้าง ฉะนั้น

    ........................................................................................
    ถามว่าถูกมั้ย ช้างมีจริงมั้ย ลักษณะตรงตามที่เข้าลัทธิต่างๆพูดมั้ย
    ก็ต้องตอบว่า ตรง แต่ก็ตรงเป็นส่วนๆไปน่ะค่ะ ^_^

    อยากเห็นรู้จักช้างจริงๆก็ต้องไปสวนสัตว์แล้วลืมตาดูนะคะ หุๆ
     
  19. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729
    ค่อนข้างโอเว่อไปนิสๆ ไปก็อปมาจากเว็บไหนอะ
     
  20. roongruang

    roongruang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +16
    บุคคลในพระพุทธศาสนาหากสำเร็จธรรมมรรคผล สามารถเป็นพระพุทธ พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ได้

    บุคคลในเต๋าเมื่อสำเร็จธรรมมรรคผลสามารถบรรลุเป็นเทพหรือเซียนได้

    บุคคลในขงจื้อเมื่อสำเร็จธรรมมรรคผลสามารถบรรลุเป็นปราชญ์ พระอริยะเจ้าได้

    บุคคลในคริสต์หรืออิสลามเมื่อสำเร็จธรรมมรรคผลสามารถบรรลุเป็นนักบุญได้

    บุคคลที่บรรลุธรรมขณะที่ทุกศาสนายังไม่ก่อกำเนิดสามารถเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้

    ท่านเหล่านี้ล้วนพ้นการเวียนว่ายตายเกิดทั้งสิ้น ดังนั้นหนทางสู่ความเป็นนิรันด์ ไม่เวียนว่ายตายเกิดย่อมยังประโยชน์ให้กับผู้ศึกษาจริง (ศึกษาหลักธรรมแท้ชำระจิต)ในทุกเส้นทาง ไม่ว่าศาสนาใด ลัทธิใด ก็สามารถบรรลุธรรมได้ เพียงแต่ใครเดินตรงเดินอ้อมเท่านั้น ที่ผ่านมาก็มีปรากฏให้เห็นแล้วว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีแค่พระอรหันต์หรือพระพุทธ พระโพธิสัตว์ แต่มีอีกมากมาย ทั้งนักพรตปรมจารย์ มหาเทพ มหาเซียน หากเราเปิดใจศึกษาและใช้ปัญญาอันเที่ยงตรง (จิตเดิมแท้) เราจะพิจารณารู้ได้ว่าหลักธรรมจริงๆในทุกศาสนาที่ครอบคลุมใน ธรรมะแท้ สัจธรรมแท้ (ไม่มีการบิดเบือนให้ห่างออกจากหลักสัจธรรมจริง) ล้วนจะยังคงอยู่ได้ มีผู้สำเร็จได้ ไม่แตกต่างกันเลย ทุกศาสนาก็สอนให้ทุกคนเป็นคนดีสอนให้เห็นถึงนรกและสวรรค์ บุญและกรรมทั้งนั้น แล้วอย่างนี้จะต่างกันด้วยประการใด และอันที่จริงควรร่วมมือกันสร้างโลกแห่งเอกภาพและสันติสุขร่วมกันเถิด ขอผู้มีปัญญาโปรดพิจารณาด้วยเถิด
     

แชร์หน้านี้

Loading...