ใครศรัทธา หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด มาพูดคุยกันครับ

คุณนอร์ Norragate ถ่ายภาพพระงามมากๆเลย....ต้องเป็นคนจิตใจงามเช่นกัน..
ได้ข่าวว่า..หน้าตาแบบนักร้องเกาหลีเชียว......แต่ไงรูปประจำตัวดูเป็นผู้หญิงล่ะค่ะ

*คุณถิรวุษิบอกว่าจัดให้ตามคำขอ (ให้พี่ใช่มั้ยค่ะ) เป็นพระในความฝันของพี่เลย....ที่ยังไม่มี ดูแล้วรู้เย็นมากแต่ดูจากจอคอมไม่เห็นของจริง ต้องส่งมาค่ะ.....จะได้ดูชัดๆ..ส่วนพี่ไม่จุ๊ๆๆ ค่ะ ตาโตเลยค่ะ....งามมากๆเลย

*ลดขนาดภาพให้เล็กสักนิด800x72 ก็ได้ค่ะ มันเลยจอค่ะ..
ขอบคุณค่ะ

 

หลวงปู่ทวดหลังเตารีดพิมพ์ปี05 แท้หรือเทียมไม่แน่ใจ หรือว่าสร้างวัดอื่น หรือว่าย้อนยุคช่วยวิจารณ์ด้วยครับ ใจดีไม่มีโกรธ..

 

องค์นี้ เหรียญ รศ.212 เนื้อเงิน วัดป่าห้วยพระ นครศรีธรรมราชครับ

 

มีอีก๑องค์ครับ ไม่รู้วัด เก่าเก็บกว่า๑๐ปี มีกลิ่นเหมือน(ว่าน,ยา) วานผู้รู้ครับ ขอบคุณ

 

* เล่าเรื่องหลวงปู่ทวดสักนิดค่ะ...บางท่านอ่านเคยได้ยินมาแล้ว

เล่าย้อน....
หลังจากที่หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดได้มรณภาพลง และต่อมาเมื่อมีการทำการฌาปนกิจศพท่านเรียบร้อยแล้ว ณ วัดช้างให้ คณะศิษย์ผู้ไปส่งได้ขอแบ่งเอาอัฐิของท่านแต่ส่วนน้อย นำกลับไปทำสถูปที่วัด ณ เมืองไทรบุรี ไว้เป็นที่เคารพบูชาตลอดมาจนบัดนี้
ส่วนที่วัดช้างให้นั้นชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกสถานที่ที่บรรจุอัฐิของท่านว่า "เขื่อน" ซึ่งก็คือ
"สถูปศักดิ์สิทธิ์"หรืออีกชื่อหนึ่งว่า เขื่อท่านช้างให้ ซึ่งมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า
มีเด็กชายลูกชาวบ้านคนหนึ่งถูกพ่อไล่ตี เด็กวิ่งหนีเข้าไปบริเวณวัดช้างให้แล้วหายตัวไป ขณะนั้นวัดช้างให้เป็นวัดร้างเมื่อพ่อของเด็กไล่ตามเข้าไปในวัดก็มิได้เห็นตัวเด็ก แม้ได้ค้นหาจนอ่อนใจก็ไม่พบ จึงกลับบ้านและชวนเพื่อนบ้านช่วยกันค้นหา ขณะพวกชาวบ้านผ่านเข้าเขตวัดก็เห็นเด็กนั้นเดินยิ้มเข้ามาหาและหัวเราะพูดขึ้นว่า
"พ่อของมึงมันดุร้ายไล่ทุบตีลูกไม่มีความสงสาร กูเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้จึงเอามันไปซ่อนไว้
พวกชาวบ้านได้ฟังดังนั้นก็พากันตื่นตัวงกงันเพราะเด็กนั้นพูดแปลกหูฟังเป็นเสียงของคนแก่
แต่เด็กพูดต่อไปว่า "พวกสูไม่รู้จักกูหรือ กูชื่อว่าท่านเหยียบน้ำทะเลจืด ผู้ศักดิ์สิทธิ์ เจ้าของเขื่อนนี้ พวกสูจะลองดีก็จงเอาน้ำเกลือใส่อ่างมากูจะทำให้ดู"
มีชาวบ้านผู้หนึ่งปฏิบัติตามคำสั่งนั้น เด็กชายนั้นก็ยื่นเท้าลงเหยียบน้ำเกลือในอ่างทันทีและบอกให้ชาวบ้านชิมน้ำเกลือนั้นดู ได้ประจักษ์ว่าน้ำนั้นมีรสจืดเหมือนน้ำในบ่อน้ำ เป็นที่อัศจรรย์นัก

เด็กนั้นพูดอีกว่า "พวกสูไม่เชื่อกูก็ให้ก่อไฟขี้น"
เมื่อชาวบ้านทำตามขณะกองไฟลุกโชนเป็นถ่านแดงดีเด็กประทับทรงท่านเหยียบน้ำทะเลจืดก็กระโดดเข้าไปยืนอยู่ในกองไฟอันร้อนแรง ยิ้มแล้วถามว่า "สูเชื่อหรือยัง"
พ่อของเด็กตกใจเกรงลูกจะเป็นอันตรายจึงก้มลงกราบไหว้ขอโทษ เด็กนั้นจึงเดินออกจากกองไฟเป็นปกติ

(นึกแล้วว่าลืมช่วงไหนไป ต้องหาภาพสถูปหลวงปู่ทวดมาลง พิมพ์ไปขนลุกไปค่ะ)


ปาฏิหาริย์หยุดขบวนรถไฟครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2
สำหรับเรื่องราว เขื่อนท่านช้างให้ ซึ่งเดิมมีเพียงเสาไม้แก่นปักหมายไว้ ต่อมาเมื่ออาจารย์ทิม เข้ามาเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 4 จึงได้จัดการบูรณะก่ออิฐถือปูนห่อหุ้มเสาไม้แก่นของเดิมไว้ในภายใน ชาวบ้านจึงเรียกว่า "สถูปศักดิ์สักธิ์ของหลวงพ่อทวด"
นับได้ง่า เขื่อนท่านช้างให้ มีอายุยืนนานกว่า 300 ปี และถือเป็นสถานที่บรรจุอัฐิของหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สมภารองค์แรกของวัดช้างให้ที่มีเรื่องเล่าขานมากมาย
มีการบันทึกไว้ว่าสถูปศักดิ์สิทธิ์ซึ่งบรรจุอัฐิหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ตั้งอยู่ใกล้กับทางรถไฟสายใต้ที่วิ่งระหว่างหาดใหญ่-สุไหงโกลก ใกล้ชิดที่สุดระหว่างสถานีนาประดู่ชื่อปัจจุบันคือสถานีปัตตานีกับป่าไร่ ซึ่งปัจจุบันจะมีสถานีรถไฟวัดช้างให้ซึ่งจะมีขบวนรถท้องถิ่นจอด.... เดิมเป็นข่าวเล่ารือถึงความศักดิ์สิทธิ์ ในหมู่บ้านใกล้เคียงทั่วๆกัน ใครมีเรื่องป่วยไข้เรื่องทุกข์ใดๆ ก็จะพากันมาสักการะบูชาขอให้ท่านช่วยดลบันดาลขจัดปัดเป่าสิ่งร้ายนั้นก็สำเร็จสมความประสงค์
อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่พระครูวิสัยโสภณหรืออาจารย์ทิม ธมฺมธโร ฝันว่าได้พบหลวงพ่อเหยีบบน้ำทะเลจืดแล้ว วันหนึ่งนึกสนุกจึงเก็บเอาก้นเทียนที่ตกอยู่ในเขื่อนหรือสถูปมาคลึงเป็นลูกอมแล้วแจกจ่ายให้แก่เด็กวัดไปโดยไม่มีความหมายอะไร
แต่ปรากฎต่อมาปรากฎเป็นที่อัศจรรย์แก่ท่านว่า เมื่อเด็กได้ลูกอมก้นเทียนไปจากท่านแล้วได้ใช้ลูกอมขี้ผึ้งนี้อมไว้ในปากแล้วลองฟังกันด้วยมีดและพร้ามีคม แต่แทงกันไม่เข้า
และถือเป็นการสนุกตามภาษาเด็ก จนความทราบถึงพระอาจารย์ทิมซึ่งเกรงว่าเด็กจะเป็นอันตรายจึงเรียกเด็กมาประชุมสั่งสอนและห้ามกันทดลองกันต่อไป
อย่างไรก็ตามมีเหตุการณ์หนึ่งที่ถูกกล่าวขวัญอยู่เสมอเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของสถูปบรรจุอัฐิของหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด นั่นคือ การแสดงอภินิหารหยุดขบวนรถไฟของทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

เดี๋ยวมาต่อค่ะ พักกินข้าวก่อน

 

ขอบคุณครับ องค์นี้เคยให้พี่เบิ้มแห่งเวปJพระชมแล้วเช่นกัน

 

ขอโทษค่ะ พักนานไปหน่อย....ครึ่งวันค่ะ
กลับมาเล่าต่อ.. ทั้งนี้มีการบันทึกไว้โดย นายอนันต์ คณานุรักษ์ ว่า หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดโกรธทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ครั้งนั้นทางการทหารญี่ปุ่นได้เอารถไฟสายใต้ของไทยทั้งขบวนไปให้ทำการขนส่งสัมภาระเข้ากลันตันโจมตีสิงคโปร์ รถไฟขบวนนี้ต้องแล่นผ่านหน้าวัดช้างให้ไปตามรางอันอยู่ใกล้ชิดกับเขื่อน (สถูป) อยู่ทุกๆ วัน

ต่อมาวันหนึ่งในเดือนมกราคม 2585 เวลาประมาณ 15.00 นาฬิกา การรถไฟขบวนนี้แล่นกลับมาจากสุไหงโก-ลก ถึงหน้าวัด หัวรถจักรเคียงขนานตรงกับสถูปพอดี ทันทีนั้นเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ยังไม่มีใครพบเห็นก็ปรากฎขึ้น คือรถไฟขบวนนั้นติดตรึงอยู่กับที่จะเคลื่อนต่อไปอีกไม่ได้ เครื่องรถจักรยังคงเดินปกติ ล้อเหล็กกำลังหมุนอยู่บนรางเหล็กในที่เดิม จึงเกิดความร้อนมาก มีประกายไฟแดงพราวไปทั้งสองข้างขบวนรถนั้นอยู่ สักครู่ พนักงานหัวรถจักรและทหารญี่ปุ่นก็จนปัญญา ไม่สามารถจะแก้ไขนำขบวนรถนั้นเคลื่อนที่แล่นไปได้ จึงทำให้รถจักรถอยหลังไปประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วเร่งฝีจักรเต็มที่แล่นมาใหม่อีก แต่พอหัวรถจักรเคียงขนานกับสถูปในที่เดิมก็เคลื่อนที่ต่อไปไม่ได้อีก รถไฟขบวนนี้จึงทดลองแล่นมาและถอยหลังกลับอยู่ตั้งแต่ 15.00 น. จนกระทั่งใกล้จะค่ำก็ผ่านไปไม่ได้ ประชาชนชาวบ้านใกล้เคียงชวนกันยืนดูความอัศจรรย์ครั้งนี้อย่างล้นหลาม
ฝ่ายท่านอาจารย์เจ้าอาวาสก็ได้ยินเสียงเครื่องจักรรถไฟดังสั่นสะเทือนไปมาอยู่หน้าวัด แต่ธุระไม่ใช่ ท่านจึงไม่ได้สนใจออกจากกุฏิมาดูอย่างผู้อื่น แต่เมื่อเวลาใกล้จะค่ำอยู่แล้วรถไฟขบวนนี้ก็ยังวิ่งไปมาอยู่ที่เดิม ท่านนึกสงสัย จึงคิดว่าทหารญี่ปุ่นมาทำอะไรอยู่หน้าวัด ท่านจึงลงจากกุฏิไปดูกับเขาบ้าง เมื่อปรากฏแก่สายตาของท่านว่ารถจักรติดอยู่เพียงสถูปทุกๆ ครั้งที่ขณะกลับไปมา ท่านจึงนึกถึงว่าน่าจะเป็นอภินิหารของหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด เล่นงานขบวนรถไฟนี้เสียแล้ว ท่านอาจารย์จึงเดินเข้าไปที่สถูปแล้วนึกในใจว่า ถ้าหากหลวงพ่อทวดลงโทษยึดขบวนรถไฟนี้แล้วก็ขอให้ยกโทษ ปล่อยให้เขาไปทำงานตามหน้าที่เขาเถิด เขาเป็นพวกนอกศาสนาไม่รู้จักอะไร อย่าถือโทษเขาเลย ทันทีนั้นรถไฟก็ค่อยๆ เคลื่อนจากที่เดิม วิ่งไปได้เป็นปกติ และในคืนนั้นท่านอาจารย์นอนพอเคลิ้มใกล้จะหลับ ก็ได้ยินเสียงพูดที่ข้างหู เป็นเสียงคนแก่พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า
"อ้ายญี่ปุ่นมาดูถูกพวกเรา (ชาติไทย) มันข่มเห่งเอารถไฟเราไปใช้ ดีแต่มีลูกๆ อยู่บนรถสองตัว มิฉะนั้นกูจะผลักให้ตกจากราง กูไม่ยอมให้มันเอาไปใช้เป็นอันขาด"

 

ท่านอาจารย์ทิมไม่ทราบว่าอะไร ที่ท่านหลวงพ่อทวดเรียกว่า ลูก 2 ตัวอยู่บนรถ ต่อมาประมาณ 7-8 วัน ได้มีชายสองคนมาหาท่านที่วัดและขอถวายตัวเป็นศิษย์ และเล่าให้ท่านอาจารย์ฟัง ว่าเขาสองคนเป็นพนักงานหัวรถจักร และวันที่ขบวนรถไฟติดอยู่หน้าวัดนั้นเขาสองคนเป็นคนไทยอยู่บนรถขบวนนั้น นอกากนั้นเป็นทหารญี่ปุ่นทั้งหมด จึงได้ทราบกันว่าลูกสองตัวก็คือคนไทยสองคนนี่เอง
ครั้งที่ 2 ต่อจากขบวนรถไฟญี่ปุ่นถูกหลวงพ่อทวดฯ ยืดครั้งที่ 1 ประมาณเดือนเศษวันหนึ่งเวลาเช้า มีพวกเด็กๆ เล่นอยู่หน้าวัดและใกล้ๆ กับสถูปนั้น ได้พูดเล่ากันถึงหลวงพ่อทวดฯ ยึดขบวนรถไฟคราวแรก มีเด็กคนหนึ่งพูดท้ากันว่า วันนี้หลวงพ่อทวดฯ ยึดรถไฟหรือไม่ยึด อีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นไม่ยึด ฝ่ายที่ว่ายึดก็ได้เก็บเอาก้นเทียนและธูปที่เหลืออยู่หน้าสถูปจุดไฟขึ้นบูชา และอาราธนาขอให้หลวงพ่อทวดฯ ยึดขบวนรถไฟซึ่งกำลังวิ่งมา วันนั้นเวลาเช้ามีขบวนรถไฟเช้าระหว่างยะลา-หาดใหญ่ พอหัวรถจักรเคียงขนานกับสถูปศักดิ์สิทธิ์ก็หยุดนิ่งอยู่ จะเคลื่อนที่ต่อไปก็ไม่ได้อย่างครั้งแรก รถทั้งขบวนติดอยู่ปะมาณ 30 นาทีจึงเคลื่อนที่ต่อไปได้ตามปกติ
ครั้งที่ 3 มีพระอธิการอิ้ม หลวงพ่อแดง พระภิกษุกาว สำนักวัดแป้น อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานีได้พากันไปวัดช้างให้ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2495 และพักอยู่ที่วัดหนึ่งคืน รุ่งขึ้นวันที่ 3 เวลาประมาณ 19.00 นาฬิกา พระภิกษุทั้ง 3 รูปได้เล่าให้ฟังว่า
หลวงพ่อแดงนั้นเคยทราบว่าหลวงพ่อทวดวัดช้างให้ได้ทำการยึดรถไฟมาแล้ว 2 ครั้ง เหตุนี้พอตอนเช้า หลวงพ่อแดงจึงเดินออกไปยืนอยู่ข้างสถูป รอรถไฟเช้า ยะลา-หาดใหญ่ แล้วกล่าวคำปรารภขึ้นว่า
"เขาลือกันมานักว่าหลวงพ่อทวดฯ มีอภินิหารศักดิ์สทธิ์มาก เคยยึดขบวนรถไฟมาแล้วถึง 2 ครั้ง ลูกหลานมาจากที่ไกลใคร่จะขอชมสักครั้ง"
ชั่วครู่ขบวนรถไฟเมื่อมาถึงหน้าวัดแล้วก็ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่เฉยๆ จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ แต่ล้อรถจักรก็คงหมุรอบๆ อยู่บนรางอย่างคราวก่อนๆ แสดงให้เห็นว่าจะมีอะไรยึดอยู่ข้างหลังขบวนรถ
หลวงพ่อแดงว่า ท่านเห็นเป็นที่ประจักษ์และตื่นเต้นจนขนลุก จึงกล่าวขึ้นว่า
"ลูกหลานได้ชมแล้ว ขอให้ปล่อยไปเถิด"
ขบวนรถไฟจึงได้เคลื่อนไปเป็นปกติ ครั้งนี้รถไฟติดอยู่ประมาณ 8-9 นาที
นี่ก็คืออิทธิปาฏิหาริย์อันเกี่ยวพัน "มรณสถาน"และ "ณาปนสถาน"ของ
"เขื่อนท่านช้างให้" ซึ่งยังคงดำรงไว้ซึ่งความศรัทธาของเหล่าศาสนิกชนโดยทั่วไปในทุกวันนี้

 

หลวงพ่อทวด วัดพะโคะ จ.สงขลา

 

หลวงปู่ทวด วัดพะโคะ สงขลา พิมพ์พระกริ่งแต่ตันนะครับ

 

องค์นี้ไม่ทราบที่ครับ เจอตกนานมากแล้วครับ ถึงไม่ทราบที่ก็เก้บคับเพราะเป็นรูปหลวงปู่แล้วนี่ครับ(ท่านคงอยากมาอยู่ด้วย)ตรงฐานมีอักขระนะโมพุทธายะ

 

ขอเล่าเรื่องของเหรียญครบรอบ 50 ปีรพ.หาดใหญ่...ได้ไปจุดธูปบอกที่สถูปหลวงปู่ทวดด้วยค่ะ ....บอกหลวงปู่ทวดให้รับทราบถึงวัตถุประสงค์ของการจัดสร้างเหรียญเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง มีภาพหน้าสถูปศักดิ์สิทธิ์

และทางโรงพยาบาลได้นำเหรียญ 50 ปี ไปวัดช้างให้..โดยมีหนังสือจากเจ้าคณะจังหวัดสงขลา..ท่านเจ้าอาวาสวัดช้างให้ท่านก็เมตตาค่ะ..รับทราบถึงวัตถุประสงค์ที่ทางโรงพยาบาลหาดใหญ่ทำเพื่อการกุศล....<!-- google_ad_section_end -->
<FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>






</FIELDSET>

 

พอออกจากวัดช้างให้ คุณหมอก็ชวนไปวัดสำเภาเชย พ่อท่านทอง.จ.ปัตตานี....ซึ่งไม่ได้อยู่ในหมายกำหนดการล่วงหน้า......อาจเป็นเพราะหลวงพ่อทวดท่านดลจิตดลใจให้คณะของโรงพยาบาลเดินทางไปที่นั่น......เราก็มุ่งตรงไปวัดสำเภาเชยทันที.... เมื่อไปถึงวัด....พ่อท่านทองท่านอยู่พอดี.....
และท่านได้เมตตากับโรงพยาบาลหาดใหญ่อย่างมากอธิฐานจิตวัตถุมงคลเหรียญครบรอบ 50 ปี...
เห็นท่านนำหนังเสือมาวางบนหีบพระด้วย.....และท่านก็มอบหนังเสือ(หน้าผาก)ให้กับคุณหมอ1 ชิ้น
และทางโรงพยาบาลก็ได้ทำการเปิดหีบลังพระที่วัดพ่อท่านทอง....ให้พ่อท่านทองมอบให้กับทหารทีดูแลความปลอดภัยให้กับทางวัดเป็นปฐมฤกษ์ .และพี่ก็ได้รับมอบเหรียญ 50 ปีของรพ. จากท่านด้วยค่ะ..เป็นการเสร็จสิ้นการปลุกเสกวัตถุมงคล

*หลวงพ่อทอง..เป็นพระที่ร่วมปลุกเสก พระหลวงพ่อทวด 2497

 

ผมว่าขอให้คุณ Norragate สอนวิธีถ่ายรูปพระให้ออกมาสวยๆด้วยก็จะดีมากถึงมากที่สุดเลยครับ

 

หลวงปู่ทวดวัดช้างให้

 

หลวงปู่ทวด..

 

จัมโบ้..

 

สวัสดีค่ะ.ทุกท่าน....
คุณล้างใจ....หลวงพ่อทวดเยอะมาก...ทราบข่าวเป็นคนยะลาหรือค่ะ...

*ชมกันต่อค่ะ
หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้
พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้
พระจารย์นอง วัดทรายขาว

 

รุ่น๑