โลกคือพระเจ้า...รู้หรือไม่...

[MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=15971[/MUSIC]

​

 

สภาวะธรรม ภูมิธรรม ปัญญาความรู้แจ้งอริยสัจจ์ของจิตของธาตุรู้ แตกต่างกัน เป็นเหตุให้ธรรมชาติของแต่ละจิตแตกต่างกัน

 

ว่าไปก็กลุ้มเนอะ

บอกโต้งๆว่า เขาจะว่าอะไรผม ก็ว่าไปเถอะ ยอม....ทุกอย่าง ก็หาว่าเราซับซ้อน

พอถามว่า ต้องการให้ยอมรับคนชื่อคุณขันธ์ หรือเปล่า เดี๋ยวก็บอกว่าไม่ต้อง
ไปๆมาๆ บอกว่าต้องรับได้สิ รับเหอะ รับได้แปลว่าเธอมีศีล

ผมก็บอกไปแล้ว ถ้ามาว่าผมมีกิเลสอย่างนู้นอย่างนี้ ก็รับแล้วไง ธรรมหนะ รับแล้ว

แต่เรื่องคน พี่ก็แยกๆ ออกไปสิครับ

ไม่รู้จะเข้าใจไหม ....... ไม่เข้าใจ ก็จบละ วนในอ่าง

 

ไม่ได้หรอก สภาวะสูงสุดของธาตุรู้ คือหยุดปรุงแต่ง โดยไม่ใช่เราหยุดปรุงแล้วจบที่เรา สภาวะแค่นี้มันไม่ใช่สภาวะของจิตผู้หลุดพ้น มันเป็นเราทำความหลุดพ้นเอาเอง ถ้าไม่มีเราแต่จิตยังมี จิตมันทำต่ออีก เกิดอีก ไม่ใช่จิตหลุดพ้นทุกข์อย่างตอนที่เราหลับ ก็ไม่มีเรา แต่จิตมันตกภวังค์เกิดนิมิตฝันเองได้

สภาวะจิตหลุดพ้นจากอวิชชา มี ธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่ง บริบูรณ์ด้วยตนเอง (ไม่เกิดปฏิกริยาทางสารเคมีใดๆ ในวงเล็บอันนี้คิดเอาเองนะ)

 

อะจึ๋ย

งั้นผมเป็นศิษย์คุณ

.......ปิ๊ง.........อนัตตา และ

วู้ว น้าจร เป็นยังบ้าง !!!

 

โอ้ว... ท่าน รับมุขไว จริงเนาะ

หากินกันง่ายๆดี โช๊ะ โช๊ะ แค่เราคิด ก็ หลุด แระ

 

คน ตาย ก็ ไม่ มี ปฏิ ทาง เค มี เหมียน กัล

 

ก็ ตนเอง(จิต) มันยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์4 นะซิ

จิตเรายังไม่รู้แจ้ง อริยสัจจ์4 เราก็รู้จริง ว่ายังไม่แจ้ง เพราะเห็นอยู่ว่าเสพทุกอย่าง รู้ตัวมั่ง ไม่รู้ตัวมั่ง

ส่วนจิตท่านเป็นอย่างไร ก็มีแต่ท่านที่รู้

และถ้าเป็นทางเรา ก็คิดแบบเรา เพราะเราตั้งใจทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ ส่วนคุณคิดแบบใดทำแบบใดเข้าใจแบบใด ก็เรื่องของคุณ จะต่างจะเหมือนกับเราหรือไม่ มีคุณที่รู้อยู่ที่ใจคุณ และเรารู้อยู่ที่ใจเรา แต่จะรู้เหมือนกันหรือไม่ เราไม่อาจไปล่วงรู้ได้

 

แล้ว จิต ตายด้วยหรือเปล่าคะ พอดียังไม่เคยตาย เคยแต่หลับชั่วคราวแล้วตื่น

มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า ตายแล้วสูญเป็นมิจฉาทิฏฐิ

 

สบายละตู รับเฉย.......

หน้าที่ของศิษย์พี่ ก็ต้องดูแลศิษย์น้องสิเนอะ

อิอิ คราวนี้ไม่ต้องออกปากอ้างโล่ห์ด้วยตัวเองละ

เอาโล่ห์มานุดนี่แหละ

 

อ๋อ ไม่ ใช่ ครับ

ใน วง เล็บ ที่ พ่วง ท้าย ของ คุณ ไง

ที่ คิด เอา เอง น่ะ ครับ

เลย บอก ว่า คน ตาย ก็ ไม่ มี เค มี เหมียน กัล ครับ

 

เราเรียนมาว่า ให้พากันเจริญสติปัฏฐาน4 หยุดคิด หยุดปรุงแต่ง จะเป็นหนทางทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งอริยสัจจ์ ท่านตีความด้วยคิดไปถึงไหนนิ

 

ขอพูดแบบจิตชอบเถียงนะ ขอแถไปอีกนิด แหะ แหะ

คนตาย ร่างกายมันทำปฏิกิริยาเคมีต่อนะ มันถูกย่อยสลายเน่าเปื่อยผุพัง สุดท้ายก็กลายเป็นดิน และท้ายสุด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจากดิน จะไปเป็นอะไรต่ออีก สงสัย กลายเป็นว่างเปล่าเป็นคำตอบสุดท้าย

 

เฉยๆ....ก็หลุดเอง ไม่ต้องคิด.....นี่
...........
สุนัข ที่ไหน พาคุณขวัญ และ สอนท่าน เอกวีร์ มาครับ...สุนัขตัวใดครับ


ก็ เพราะ ว่า ทำ มา ทุก ทาง ไม่ ใช่ หรือ ครับ ถึง รู้ ว่า ยัง ไม่ ใช่ น่ะ

ท่าน ไม่ ได้ ศึกษา แค่ ธรรม นะ

ท่าน รู้ แทบ ทุกศาสตร์เลย

เรียน อะไร ก็ รู้ เท่า อาจารย์ทั้งหมด

วิชาอะไร ก็ เรียน รู้ ได้ อย่าง รวดเร็ว

อย่า มอง ว่า ท่าน ทรง รู้ แค่ ธรรม สิ ครับ

แต่ ที่ ท่าน ทรง แสวง หา นั้น คือ........................ทำ อย่าง ไร ถึง ไม่ ต้อง มา เกิด อีก ไม่ ว่า จะ ใน ภพ ไหน ไหน ภูมิ ไหน ไหน

 

อนุโมทนา ค่ะ พระพุทธองค์ท่าน เป็นเลิศในทุกศาสตร์จริงๆ
ท่านกล่าวได้ ดี เป็นที่สุด

 

อ้าว ตก ลง ตาย แล้ว จิต ก็ ยัง อยู่ ใน กาย หรือ

สะสาร ไม่ สูญหาย แ่น่ แน่ แค่ เปลี่ยน แปลง ไป

ถ้า คิด แบบ เด็ก เด็ก

พระพุทธเจ้า มอง ได้ รับ รู้ ได้ แบบ ละ เอียด สุด สุด

เลย รู้ ว่า

ทุก สิ่ง ไม่ ใช่ อัตตา แต่ เป็น อนัตตา

ทำ ไม

เพราะว่า มัน ไม่ ใช่ อย่าง ที่ เห็น หรือ รับ รู้ มั๊ง

จริงๆ แล้ว ทุก อย่าง มัน เป็น ก้อนเดียวกัน

มัน คือ พลัง งาน ก้อน เดียวกัน (อันนี้ในส่วนที่เล็กที่สุดนะ)

ที่ คิด อย่างนี้เพราะว่า มี พระสูตร ที่ พระองค์ เคย จำแนกหน่วยย่อยต่างๆ เอาไว้

ว่า นี้ส่วนของเท่านี้ เป็ฯ อันนี้ แล้ว ย่อยลงไปอีกกี่ส่วน เป็น อันนี้

เคย อ่าน ผ่านตามา แต่ จำ ไม่ได้

 

แป่ว !!

โฮ่ง โฮ่ง มะใช่อย่างนั้นฮับ งับ งับ

ไม่ได้แปลว่าให้นั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย

แต่แปลว่า หากทำสมถะ สมาธิอยู่ ให้ระลึกรู้ตามไป ทำสติตามรู้ไป
เช่น ทำลมหายใจ ก็ตามรู้ลมไป อย่าไปทำลม แต่ให้ตามรู้ลมที่มัน
เป็น

จะเห็นว่า ตรงเรื่องของการหายใจ ตรงนั้นไม่ต้องทำ มันทำอยู่แล้ว
ตามธรรมชาติ จริง บ่

เสร็จแล้วตรงไหนคือ ทำ ก็คือ การตามรู้ครับ

เมื่อ ตามรู้แล้ว ต้องทำอะไร ก็ ตามรู้อยู่แล้ว นะครับ มันจบในตัว
งานมีแค่นั้น หากไปทำ จะให้ทำอะไรหละครับ ก็หายใจนะ มันทำ
ของมันอยู่แล้ว ดังนั้น จึง ตามรู้เฉยๆ

เข้าใจไหม ฮับ โฮ่ง โฮ่ง

 

อย่างเดินจงกรม ก็อีกกรรมฐานหนึ่ง

ก็เดินไปเลยครับ เดินไปตามธรรมชาติ จะเห็นว่า มันเดินของมันอยู่แล้ว

แล้วต้องทำอย่างไร ก็ตามรู้ไปสิครับ รูปเดิน แค่นี้แหละ แล้วไม่ต้อง
ทำอะไร ไม่ต้องไปเดินให้สวยอะไร เพราะหน้าที่คือ ตามรู้ตามที่มัน
เป็น มันมีอยู่จริง

 

อนุโมทนาค่ะ ที่ให้ความรู้ค่ะ

"อ้าว ตก ลง ตาย แล้ว จิต ก็ ยัง อยู่ ใน กาย หรือ"

ตอบ ไม่ใช่ ตายแล้วจิตก็อยู่ในกายไม่ได้ซิ ต่างคนต่างแยกกันไป
พอดี จิตเรามันช่างคิด ช่างคุ้ย มันคิดไปถึง ร่างกายย่อยสลายกลายเป็นดิน จากดินเป็นฝุ่น จากฝุ่น ก็ก่อตัวไปเป็นสิ่งใหม่อีก จนถึงวันที่มีไฟประกัลป์ทำลายโลก ทำลายจักรวาล ทำลายภพภูมิ เหลือแต่ชั้นพรหม นอกนั้นกลายเป็นความว่างเปล่า แล้วหยุดคิด ถ้าคิดต่อก็มีอีกนะ แหะๆ

 

ทีนี้จะเพ่งกสิณ ก็เพ่งไปเลยครับ อะไรเกิด ก็ตาม รู้ไป ว่ามันเกิด

เราก็ตามรู้ ดูมันเฉยๆ ตามที่มันเป็น

ก็จะเห็นว่า หากเป็นผลจากกสิณ จิตมันไปแนบองค์กสิณ แต่
ถ้าตามรู้ จิตมันออกมาแนบกับอุเบกขา เอกัคคตา ใช่ไม่ใช่
ซึ่งจะให้ผลปฏิภาคนิมิตดับไป

แล้วอยู่ที่ไหน ก็ยังอยู่ในฌาณ นั้นแหละครับ ตามรู้เฉยๆ