โลกคือพระเจ้า...รู้หรือไม่...

ทีนี่ เวลานิ่งก็มีนี่ ทีนี้ ถ้ามีคนไม่นิ่งเราจะไปนิ่งอย่างไรหละ ก็มีทั้งพวกจับผิด มีทั้งพวกสีลพตรปรามาส มีอะไรร้อยแปด
ก็ไปดูผมพูดที่ห้องอภิญญาซิ ว่านิ่งไหม

 

อีกอย่างนะคุณขันธ์ หากจะยอมรับฟังกันบ้าง

ลองสังเกตหน่อยเถอะ ผมตามจิก ชักชวน ดึงทิ้ง ไล่ตะเพิด คนที่เสนอธรรมทาง
อื่นให้คนที่ผมกำลังแนะนำหรือเปล่า ...... ผมว่าผมไม่ได้ทำ

เพราะสิ่งที่ผมทำ ผมก็ไม่ได้ไปชี้นิพพานอะไรใคร ผมว่า เวลาผมกล่าวธรรม
ผมจะเดินวัตถุประสงค์ของการกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติ หลังจากนั้นเขาจะเลือก
อะไรผมไม่เคยสน

เว้นแต่เขาปฏิบัติของเขาแล้วก็มีแววไปติด แบบนี้ผมก็จะเข้าไปดึงเป็นรอบสอง

ถึงตอนนี้ คนที่ผมเข้าไปดึง เขาก็จะแจ้งเจตนาผมชัดเจน บางคนก็บอกออกมา
เลยว่า ผมเลือกทางนู้นแล้ว บางคนก็ยังกึ่งรับกึ่งปฏิเสธ แบบนี้ก็จะมีรอบสาม

ซึ่งก็ไม่มีอะไร เรื่องของการดึง ก็คือ ดึง

แต่เรื่องของการกระตุ้นให้เขาทำ ไม่ว่าอะไร ผมก็ยังยืนอยู่ในจุดเดิม

* * *

อย่าง เค ขวัญ นี่ก็ชัดๆ ผมมีแต่กระตุ้น คุณเคยเห็นผมกำชับหรือเปล่า

เค....ขวัญ..........จง เชื่อฉานนนนน

มีแต่ ลูกล่อ ลูกชน เพื่อการกระตุ้น

* * *

อย่างจินนี่ ก็น่าจะโดนเหมือนกัน

* * *

อย่างคุณจร ผมว่า ไม่น่าจะเคยกระตุ้นอะไรมาก พุ่งขัดการสอนสถานเดียว ทั้งกลุ่ม
แต่ตอนนี้หยุดไปแล้ว นา น้าจร เดี๋ยวจะมาโมโหผมเพราะระลึกเรื่องเก่าๆ vbvb

* * * *

ก็ปล่อยๆกันไป อะไรที่คนพูดออกมา หากไปยึดว่า นั่นคำพูดฉัน ฉันเป็นคนกล่าว
ฉันกล่าวแล้วเสมอเสมือนพระ ก็จะเดือดร้อนเวลาคนทักท้วง ร้อนไปที่ไหน ร้อน
ไปที่คน ก็ลากคนออกมาเป็นประเด็นธรรม เธอมากล่าวหาธรรมคนอื่น

ก็ถ้ามันอยู่ที่ธรรม ยุติด้วยธรรม ก็เอาชื่อคนกล่าวธรรมออกไป ก็จบ

น้าจรพูดอะไรออกมา มันก็เป็นธรรมทั้งหมดนั้นแหละ เพียงแต่ ดี หรือ ไม่ดี
นั้นอีกเรื่อง

 

แนะนำเปลี่ยนรูปอื่นแทนรูปหลวงตา นะผมว่า
เก็บท่านไว้ในใจจะดีกว่า (คงไม่ว่ากันนะ)

 

คุณ นิวรณ์ ประเด็นที่คุณพูดมันอยู่ไกล จากเรื่องเมื่อวานนี้

สำหรับผม ผมพูดให้พิจารณาว่า ตรรกะที่คุณมองผมนั้น มันเอนเอียง ทำไมคุณไม่พิจารณาในแง่ ของการให้พิสูจน์ธรรมที่ยาวนาน
แต่ทำไมไปใช้ตรรกะที่มีอคติในการวัด จนมันเอนไปไม่มีหลัก ไม่ได้ให้มาเชื่อถือ หรือนับถือ เพราะผมต้องการให้พิสูจน์ธรรม ไม่ใช่ให้นับถือธรรม เมื่อจิตปิด มันก็ปิดไปหมด จนพลอยไปโทษธรรมง่ายๆ แห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าง่ายเกินไป เพียงแค่มันมาจากปากของ นายขันธ์

 

เพิ่งอ่านจบ เดี๋ยวมาอ่านใหม่ ชิมิ ชิมิ

 

แรงไปนิดรู้แต่ว่าโลก
เป็นที่วางเท้าของมนุษย์

 

น่านไง สมมุติ หลุดออกจากวิมุด แล้วรึท่าน

 

สำหรับ เรื่องหลวงพ่อปราโมทย์ นี่ผมเห็น ท่านสันตินันท์ ตั้งแต่อยู่ลานธรรม
ผมก็รู้สิ ว่าท่านสอนอะไร สมัยนั้นเริ่มมีแนวหลวงพ่อเทียนเข้ามา กระจาย ท่านก็เห็นธรรมแบบที่หลวงพ่อเทียนเห็นในตอนต้นนั้นแหละ
ผมก็เห็นเหมือนกันนั่นแหละ คือ หยุด ญาณทัสนะเกิด
ก็รู้ว่า ท่านพูดอะไร

หลังจากนั้นมา ผมก็เซ็นจ๋า มีหลายท่านที่เซ็นจ๋า คือ อะไรก็เซ็น อะไรก็ว่างไปหมด อยู่เฉยๆ สิ ไปเพิ่มเติมทำไม
พูดอะไร ก็เพิกสมมติ ใครจะพูดอะไร ก็จะเห็นว่า มันเป็นสมมติ รู้ว่า นี่แบบนี้ สมมติ
แต่ขอโทษ นั่นแหละ ติดสมมติ เพราะว่า มันอยู่แค่ทัสนะ จิตยังไม่ถึงที่สุดไม่คิด ทำไมไปพูดราวกับว่า จิตตนนั้น ถึงที่สุดแล้วหละ ในเมื่อ ผัสสะที่กระทบเข้ามา ก็ยังปรุงไปได้

 

แล้วคุณเห็นหรือเปล่า

แล้วเชื่อจริงๆเหรอว่า ผมตำหนิส่วนธรรม ไม่มีใครตำหนิธรรมหรอกครับ

แต่ที่ดูเหมือนว่า ถูกติ

ก็เพราะ คุณขันธ์ นะ เอาตัวเองผูกติด เกาะธรรมที่แสดงไว้ด้วย

ผมกล่าวหาคุณนะ ถูกแล้ว ไม่ใช่แปลว่า ผมทำถูกนะ หมายถึงที่
คุณเข้าใจว่า ผมปฏิเสธตัวคุณหนะ ตรงนี้ถูกแล้ว แล้วมันหยุดแค่นี้

แต่คุณหนะ ลากผมไปว่า ตำหนิธรรม

แล้วก็ลากไปหมด ธรรมะที่ผมแสดงเพื่อชักชวนคน ก็เอาผมผูกติดเข้าไปด้วย
แล้วก็มาโจมตีที่ผม ถูกไหม แต่มันคลาดไปโดนธรรมด้วย แรกๆ ก็พอเข้าใจ

แต่ไปๆมาๆ เอ มันมีแนวโน้มตำหนิธรรมโดยมีชื่อพระผูกติดด้วย ผมก็สืบสิ

จนกระทั่งคุณยอมเอ่ยออกมา กล่าวลงไปที่คนเลย ไม่ได้ใช้คำว่า ดูจิต แต่
คำว่า ดูจิต ของคุณที่ใช้นะ มีชื่อพระผูกติดด้วย

กลายเป็นธรรมะของคนนั้น ของคนนี้ ของฉัน ของฉันเสมอพระอรหันต์
ของคนอื่นไม่

ผมก็เห็นของผมอย่างนี้ ผมก็สำแดงให้ดู ให้เผยออกมา

มาถึงตอนนี้ บอกตรงๆ ผมก็ยังคุณเที่ยวเอาตัวเองผูกธรรมตนไว้เหนี่ยวแน่น

ผมหนะ ออกมาปกป้อง cd ผลประโยชน์ของคนอื่น ไม่ใช่ของผม
ผลประโยชน์ของผม คุณยำยีเสียๆหายๆ ผมก็ปล่อย

แต่คุณหนะ ผมไม่เห็นจะเหมือนรักษาประโยชน์คนอื่น ผมเห็นคุณหนะรักษา
ประโยชน์ของตัวเอง ใครก็ตามที่รับฟังคุณก็จะได้รับการรักษาไปด้วย เพราะ
มันมีชื่อคุณติดอยู่กับการปฏิบัติของเขาด้วย

 

ไม่ชอบอธิบาย ผมมีทำที่ชอบจับผิดท่าน หึๆ
ท่านย่อมรู้ดีอยู่แล้ว

 

นี่ก็ไม่ถูก

หลวงพ่อปฏิบัติตามหลวงพอลี (อานาปานสติ) แล้วยกวิปัสสนาดูจิต โดยหลวง
ปู่ดูลย์

ส่วนเรื่องหลวงพ่อเทียน ตรงนั้นท่านอ่านวาระจิตได้แล้ว คือ ปฏิบัติตามคำสอน
ของหลวงปู่ดูลย์ไปเยอะแล้ว ท่านก็ตะเวนดูทุกสำนักที่เป็นวิปัสสนาธุระ

ส่วนคำว่า อะไรเลิศกว่าญาณทัสนะ ก็จะมีการระบุถึงฌาณ ผมก็บอกแล้วว่า
การดูจิตนั้นก็ก่อให้เกิดฌาณได้ ดังนั้น ขั้นสูงกว่าทัศนะก็คือฌาณบังเกิด ซึ่ง
ก็ตรงตามพุทธพจน์

คนที่ใช้ตรรกะ ไม่ได้ปฏิบัติดูจิตจนเห็นสภาวะฌาณเกิด ก็คิดว่า ญาณทัศนะ
เป็นเรื่องของการคิด ไม่เอื้อให้เกิดฌาณ ซึ่งเป็นธรรมที่ปราณีตกว่าได้

* * *

อย่างประโยคข้างบน ก็กล่าวพาดพิงพระ แบบไหนละ ก็แบบ อ๋อฉันรู้จัก
อย่างนั้นอย่างนี้ ธรรมได้แค่นั้นแค่นี้ตอนฉันอยู่เวลานั้นเวลานี้

พูดไปเพื่ออะไร ...........มองออกไหม แล้วมีข้อเท็จจริงไหม

 

คุณ อย่าซับซ้อนมาก คุณนิวรณ์ คุณอย่าพยายามแก้ต่างให้กิเลสสิ คุณมองไม่เห็นหรือว่า ที่คุณพูดมาเมื่อวานมันเป็นอย่างไร

สำหรับ เรื่องหลวงพ่อปราโมทย์ ในส่วนที่ถูกต้องผมก็พูดไปแล้ว ส่วนที่คลุมเครือผมก็พูดไปแล้ว

นี่มันยุคไหนแล้ว คุณนิวรณ์ คุณยังมีทัสนะที่ว่า ห้ามเอ่ยวาจาไปถึง คนที่อยู่สูงหรือ ผมบอกว่า พระปราโมทย์เป็น เสขบุคคล ก็ตามนั้น เพราะว่า สิ่งที่ท่านพูดมา ผมก็รู้ และ ธรรมอันใดที่ยังไม่กระชับผมรู้
ผมว่า คุณต่างหากที่จะต้อง พยายามเข้าใจคำว่า สมมติทำให้คุณกลัว นั่นแหละ อำนาจแห่งสีลพตรปรามาส
แต่ไม่ใช่ก้าวร้าว คุณไปดูคำที่ผมเอ่ยถึงหลวงพ่อปราโมทย์ให้ดี แล้ว ทบทวนว่า ผมหรือ คุณที่เอาสมมติมาบัง

 

คุณ ต้องแยกให้ออก ระหว่าง ปรามาส ก้าวร้าว หรือ ความเห็น

 

ผมขอตัว ไปทำธุระ แล้วจะมาถกกันใหม่

การกราบพระ ผมกราบก้มหัวจรดพื้นให้แม้กระทั่งพระบวชใหม่ แต่ไม่ใช่ การห้ามแสดงความเห็น เพราะด้วยต้องเคารพ
เพราะนั่นเป็น อำนาจแห่งสีลพตรปรามาส

 

หัวมีไว้คิด จิตมีไว้หลง(รู้)

 

เพราะธรรมชาติของแต่ละสิ่งแตกต่างกัน ตามเหตุและปัจจัยที่เป็นสิ่งนั้นเอง
สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ พระอริยบุคคล พระอรหันต์ พระผู้หลุดพ้น ย่อมมีธรรมชาติของตน ที่แตกต่างกัน ตามเหตุที่ทำ เป็นเหตุให้เป็นไป

เช่นว่า พระอนาคามี ขึ้นไป มีปกติจิต ไม่เสพกามทุกชนิด (เป็นธรรมชาติของจิตของท่าน อันนี้เราเข้าใจเอง) มีกล่าวไว้ในตำรา และเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ด้วยนะ

 

ผมหนะ ออกมาปกป้อง cd ผลประโยชน์ของคนอื่น ไม่ใช่ของผม
ผลประโยชน์ของผม คุณยำยีเสียๆหายๆ ผมก็ปล่อย

แต่คุณหนะ ผมไม่เห็นจะเหมือนรักษาประโยชน์คนอื่น ผมเห็นคุณหนะรักษา
ประโยชน์ของตัวเอง ใครก็ตามที่รับฟังคุณก็จะได้รับการรักษาไปด้วย เพราะ
มันมีชื่อคุณติดอยู่กับการปฏิบัติของเขาด้วย <!-- / message --><!-- edit note -->

 

นี่ haha พวกปากอมขี้อย่างคุณ ไม่เคยพูดธรรม ดีแต่ตำหนิคนอื่น เป็นพวกไม้หลักปักเลน เดี๋ยวไปทางนั้นเดี๋ยวไปทางนี้

โง่แล้วอวดฉลาด เมื่อวาน อ่านตีความไม่ออกเอง ไม่ยอมรับความโง่ตัวเองหรือ


กรั่กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ท่อนบนนั้น แสดง ถึง การมองโลก อย่าง ไม่ เป็น จริง เอา ความคิดตนเองเป็น หลักใหญ่

คน ดี ดี จะ มอง ก่อน ว่า ตน ผิด อะ ไร ทำ ไม ถึง มี คน กล่าว ร้าย ได้

เขา จะ ไม่ มอง ที่ คน อื่น ก่อน หรอก คับ


ส่วน ท่อนสอง


คน โง่ ก็ แสดง ออก มา โง่ โง่

แม่ ฟอร์เรส กั๊ม ชอบ พูด ประโยค นี้ คับ

 

พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 216
[๓๕] เสขบุคคล บุคคลผู้เป็นเสขะ เป็นไฉน ?
บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยมรรค ๔ บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยผล ๓ เป็น
เสขะ. พระอรหันต์เป็น อเสขะ. บุคคลนอกนั้นเป็น เนวเสขานาเสขา
คือ เป็นเสขะก็มิใช่เป็นอเสขะก็มิใช่.
อรรถกถาเสขกบุคคล และ อเสกขบุคคล
วินิจฉัยในนิเทศแห่งพระเสกขบุคคล. บุ คคลเหล่าใดถึงพร้อมด้วย
อริยมรรคในขณะแห่งมรรคจิตด้วย ถึงพร้อมด้วยอริยผลในขณะแห่งผลจิตด้วย
ชนเหล่านั้นยังศึกษาสิกขาทั้ง ๓ มี อธิศีลสิกขาเป็นต้น เพราะเหตุนั้น ชนเหล่า
นั้นจึงชื่อว่า เสกฺขา แปลว่า ผู้ยังศึกษาอยู่. ส่วนพระอรหันต์ ท่านศึกษา
สิกขาทั้ง ๓ ในขณะแห่งอรหัตผล กิจคือการศึกษาย่อมไม่มีแก่ท่านอีก เพราะ
ฉะนั้น พระอรหันต์จึงชื่อว่า อเสกฺขา แปลว่า ผู้ไม่ต้องศึกษา. พระอริย-
บุคคล ๗ จำพวก ท่านกำลังศึกษาอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น ท่าน
จึงชื่อว่า เสกฺขา. พระขีณาสพทั้งหลาย ชื่อว่า สิกฺขิตาเสกฺขา แปลว่า
อเสกขบุคคลที่ศึกษาเสร็จแล้วจากบุคคลอื่น เป็นเพราะความที่ศีลเป็นต้นท่าน
ศึกษาแล้วในสำนักแห่งบุคคลอื่น พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
ชื่อว่า อสิกฺขิตาเสกฺขา แปลว่า อเสกขบุคคล ที่ไม่ศึกษาจากสำนักบุคคลอื่น
เพราะความที่ท่านเป็นสยัมภู คือ เป็นผู้ตรัสรู้เอง. บุคคลทั้งหลายที่เหลือ กำลัง
ศึกษาก็ไม่ใช่ ศึกษาแล้วก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เนวเสกฺขานาเสกฺขา.
จบอรรถกถาเสกขบุคคล และ อเสกขบุคคล
ที่มา http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=04166

 

แล้วความเห็นของคุณปรากฏในบอร์ดหรือเปล่า

ผมห้ามได้สักอันไหม

ผมแค่พยายามบอกว่า อะไรควร ไม่ควร

การที่แนะนำว่า ไม่ควรก้าวล่วง มันก็ถูกอยู่แล้ว

คำว่า ดูจิต เอาง่ายๆ ใช่ธรรมของคนอื่นในสายคุณหรือเปล่า

แล้วคุณก้าวล่วง มันควรหรือเปล่า

แล้วพอผมก้าวล่วงธรรมของคุณบ้าง คุณมาบอกว่า ห้ามทำนะ
นี่ศีลลัพตปรามาส ต้องฟังความเห็นนะ

มองออกหรือเปล่าว่า รักษาประโยชน์ตนเองถ่ายเดียว

ก็หัดยอมๆรับไปสิครับ ใครแสดงอะไรออกมา ก็เรื่องของเขา

ยอมรับความเห็น การเห็นคนอื่นบ้าง อย่าเอาแต่เข้ามาห้าม ไม่ฟังแกจมธรณี
ทำศีลลัพตปรามาสเสียเอง