โชคเหนือเมฆ-กำไลเหนือดวง- มูลนิธิเทียนฟ้า 2497 - วัตถุมงคล หลวงปู่พิศดู-ครูบากฤษดา

สวัสดียามบ่ายครับป๋า

 

13 เมษายน (วันมหาสงกรานต์) คือวันครบรอบ คล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่พิศดู
หลวงปู่ของเราท่านกำหนดวันละสังขารในวันสงกรานต์ 13 เมษายน ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย
หลวงปู่ท่านรักลูกศิษย์ของท่าน ท่านจึงกำหนดละสังขารในวันสงกรานต์ เพราะว่าเป็นวันที่ลูกศิษย์ของท่านหยุดกันยาว จะได้มีโอกาสมาร่วมงานทำบุญรำลึกถึงท่านได้พร้อมหน้าพร้อมตากันนั่นเอง..
เมื่อวันสงกรานต์ 13 เมษายน 2553 ตอนนั้นองค์หลวงปู่ยังทรงขันธ์อยู่ที่วัดเทพธารทอง คณะศิษยานุศิษย์ได้พร้อมใจกันไปแสดงมุทิตาสักการะ สรงน้ำองค์หลวงปู่ที่วัด ต่างก็มีความแช่มชื่นเบิกบานใจที่ได้มากราบองค์หลวงปู่ในวันปีใหม่ไทย เนื่องจากลูกศิษย์บางคนไม่เคยเจอหลวงปู่มาเป็นปีๆ ต่างคนก็ต่างอวยพรขอให้หลวงปู่รักษาธาตุขันธ์อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรกับลูกหลานนานๆ แต่สังเกตุดูว่าหลวงปู่ท่านไม่ได้รับปากใครในเรื่องนี้เลย และมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่ง ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่อาจมีใครที่จะรู้เท่าทันเลย โดยองค์หลวงปู่ท่านได้บอกว่า..
" สงกรานต์ปีหน้า ไม่มีงานสรงน้ำแบบนี้แล้วนะ.."
ซึ่งต่างก็คิดว่า หลวงปู่คงไม่ชอบให้จัดงานใหญ่ๆแบบนี้... ฯลฯ
แต่ก็นั่นแหละ ใครหนอจะสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า พอถึงวันสงกรานต์ปีถัดไปเท่านั้น กลับจะเป็นวันที่ลูกศิษย์ต้องตกใจ และเศร้าโศกไปตามๆกัน เพราะว่าไม่มีงานสรงน้ำมุทิตาจิต ตามที่หลวงปู่ได้กล่าวไว้จริงๆ งานสรงน้ำมุทิตา กลายเป็นงานสรงน้ำสรีระสังขารแทน
แสดงถึงอนาคตังสญาณ และมรณานุสติญาณขององค์หลวงปู่เป็นแม่นมั่น ชัดเจนอย่างไม่มีข้อสงสัย.. หลวงปู่ท่านทราบวาระของท่านแน่นอน และพระระดับนี้ท่านสามารถกำหนดวันที่จะดับขันธ์เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานขององค์ท่านเองได้..
การละสังขารของหลวงปู่พิศดูท่าน เป็นการแสดงธรรมะบทใหญ่ ที่สำคัญที่สุด ให้แก่ลูกศิษย์ของท่านดูเป็นวาระสุดท้าย นั่นคือ..
" สังขารเป็นของไม่เที่ยง..
ความตายนั้นเป็นของเที่ยง..
และเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนจะต้องพบเจอเป็นแน่แท้ ไม่เร็วก็ช้า..
จงดำรงค์ตนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท.. เทอญ.."
(Sira Pop)

 

สวัสดียามค่ำครับป๋า

 

สวัสดียามเที่ยงครับป๋า

 

เรื่อง "สร้างพระ ดีกว่า สร้างกิเลส"
(จากประวัติ ท่านพ่อลี ธัมมธโร)
เคยมีท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งถามท่านพ่อลีว่า
"ในเมื่อเป็นพระกรรมฐาน ดำเนินในปฏิปทาของ "ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" แล้ว ทำไมท่านจึงชอบนำพาเหล่าบรรดาญาติโยม จัดงานบุญงานกุศลสร้างพระอยู่เป็นประจำ ไม่มุ่งเน้นพาเหล่าบรรดาญาติโยมให้ปฏิบัติภาวนาล่ะ?"
ท่านพ่อลีท่านก็ตอบท่านเจ้าคุณรูปนั้นว่า
เกล้ากระผม ทำนาไม่ได้เอา
"ข้าว" อย่างเดียว (มรรคผล)
"แกลบ" ผมก็เอา (เนกขัมมบารมี)
"รำ" ผมก็เอา (บุญกุศล)
"ฟาง" ผมก็เอาขอรับ (นิสัยวาสนา)
หมายเหตุ : เพราะในบุคคลทั้งหลายย่อมมีนิสัยวาสนาและบุญบารมีธรรมที่สั่งสมอบรมมามากน้อย ต่างกันไม่เท่าเทียมกัน ครั้นถ้าท่านพ่อลีจะมุ่งเน้นสอนแต่ "การภาวนา" ก็คงจะได้ผลเพียงบางคนเท่านั้น ท่านจึงเล็งเห็นว่า คนที่ "บารมียังอ่อน" ยังไม่ถึงพระนิพพานในชาตินี้ ก็คงต้องได้อาศัยยึดเกาะ "บุญกุศล" ให้จิตใจมีศีลมีธรรม เพื่อไม่ตกลงในอบายภูมิ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ท่านจึงมีดำริสร้างพระพุทธรูปและมีงานบุญอยู่เป็นประจำ อันเป็นความปรารถนาดีที่ท่านมีต่อลูกศิษย์ทุกๆคน เพียงแต่ใครจะมีสายตามองเห็น "ความเมตตา"ขององค์ท่านได้มากน้อย ตามแต่ภูมิจิตภูมิธรรมของแต่ละบุคคลเป็นรายๆไป

 

สวัสดียามบ่ายครับป๋า

 

สวัสดียามเย็นครับป๋า

 

สวัสดียามสายครับป๋า

 

สวัสดียามสายครับป๋า

 

สวัสดียามสายครับป๋า

 

#ญาณทัศนะอันกว้างไกล
เมื่อปลายปี 2552 หลวงปู่พิศดูได้เคยบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าให้ลูกศิษย์ได้ฟังกันว่า " เดี๋ยวอีกไม่นานนี้จะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงมากในต่างประเทศ ในเมืองใหญ่นั้นตึกจะถล่ม คนจะตายมากเป็นแสนๆคน.."
ลูกศิษย์ที่อยู่กับหลวงปู่ในขณะนั้นได้เรียนถามท่านว่า เหตุเกิดจากอะไร.. ท่านตอบว่า " เกิดจากกรรม.. และให้คอยฟังข่าว.." แล้วท่านก็หลับตาลง ปลงธรรมสังเวช
ผ่านไปไม่นานวัน จนกระทั่งเข้าสู่เดือนมกราคม พ.ศ. 2553 ก็เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหว ซึ่งมีความรุนแรง 7.0 ริกเตอร์ โดยศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากกรุงปอร์โตแปรงซ์ เมืองหลวงของประเทศเฮติ ไปราว 25 กิโลเมตร แผ่นดินไหวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 16:53 น. ตามเวลาท้องถิ่น ของวันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553 หรือตรงกับเวลา 04.53 น. ในเช้าวันพุธที่ 13 มกราคม ตามเวลาประเทศไทย
จนถึงวันที่ 24 มกราคม ได้บันทึกว่าเกิดอาฟเตอร์ช็อก ซึ่งวัดขนาดความรุนแรงได้กว่า 4.5 ริกเตอร์หรือมากกว่านั้น เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ได้มีการประมาณว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวมากกว่า 3 ล้านคน รัฐบาลเฮติรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ 230,000 คน ประมาณการผู้ได้รับบาดเจ็บ 300,000 คน และอีก 1,000,000 ไม่มีที่อยู่อาศัย นอกจากนี้รัฐบาลยังประมาณว่ามีบ้านเรือน 250,000 หลัง และอาคารพาณิชย์อีกกว่า 30,000 หลัง พังทลายหรือเสียหายอย่างหนัก จนเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก
การพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าขององค์หลวงปู่พิศดูนั้นท่านมิได้แสดงให้เห็นบ่อยนักนอกจากจะมีความจำเป็น แต่ในบรรดาลูกศิษย์แล้วไม่มีข้อสงสัย และการแสดงฤทธิ์ทางใจของท่านล้วนเป็นเหตุให้นำมาซึ่งความเคารพยำเกรง และสร้างศรัทธาให้กับบรรดาลูกศิษย์ที่ประสบพบเห็นมากยิ่งๆขึ้นไป และทำให้ทราบอย่างแน่ชัดว่า ญาณทัศนะขององค์หลวงปู่ท่านไม่ได้จะทราบแต่เพียงเรื่องใกล้ตัว หรือเรื่องที่เกิดเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ข่ายญาณของท่านยังสามารถทราบกว้างไกลออกไปได้ทั่วโลก หรือไม่มีประมาณอีกด้วย..
สิรภพ สายพานิช

 

#เทวดาจำแลง..
เรื่องราวแปลกๆเชิงอภินิหาร สิ่งลี้ลับ มักเป็นเรื่องที่คนชอบฟังกันมาก ซึ่งหากใครที่ชอบเรื่องแนวนี้ก็ถูกทางแล้วที่ทุกท่านได้เข้ามาศึกษาและรับฟังเรื่องราวในกลุ่มศิษย์หลวงปู่พิศดู เพราะอัตชีวประวัติของท่านมักมีเรื่องเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ และอภิญญาจิตอยู่มาก อย่างเช่นเรื่องนี้..
เรื่องนี้คุณเสมียน ไวยาวัจกรวัดเทพธารทอง ได้เป็นผู้เล่าให้ผมฟัง ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อน เมื่อครั้งคุณเสมียนพาลูกชายไปกราบหลวงปู่พิศดูครั้งแรก ซึ่งในขณะนั้นลูกชายน่าจะอายุได้ 10 ปีเศษ ตอนนั้นหลวงปู่ท่านได้ยังจำพรรษาบนศาลาใหญ่ ลูกชายคุณเสมียนก็ขอตัวไปเดินเล่นในวัดตามประสาเด็กอยากรู้อยากเห็น ก็บังเอิญได้พบนกตัวหนึ่งมีสีสันสวยงามมากอย่างไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เกาะอยู่ตรงราวบันไดกุฏิ นกตัวนี้มีอาการเหมือนนกป่วย ยืนโซเซอยู่ไปมา เหมือนกำลังจะตาย เด็กคนนี้เห็นแล้วก็เกิดสงสาร จึงได้เดินไปค่อยๆใช้มือช้อนนกตัวนั้นเอาไว้ นกตัวนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนใดๆเหมือนนกทั่วไปเลย แล้วเด็กน้อยก็เดินขึ้นไปหาหลวงปู่บนกุฏิซึ่งท่านกำลังสนทนาอยู่กับคุณพ่อก็คือคุณเสมียนนั่นเอง เมื่อเข้าไปแล้วก็ไปบอกหลวงปู่ว่า

หลวงปู่ครับ ช่วยนกตัวนี้ด้วย นกตัวนี้ป่วย..

เมื่อหลวงปู่หันมามอง ท่านก็บอกกับเด็กน้อยว่า..

" นั่นมันไม่ใช่นกนะ เป็นเทวดาจำแลงมา เอากลับไปไว้ที่เดิม เดี๋ยวจะรู้เอง.."

เมื่อสิ้นคำสั่งของหลวงปู่ เด็กน้อยก็เอานกตัวนั้นไปวางไว้ที่ราวบันไดกุฏิตามเดิม เมื่อวางนกตัวนั้นแล้ว จากนกที่มีอาการเหมือนป่วยใกล้จะตาย ก็กลับกระปรี้กระเปร่า ลืมตาใสแจ๋วกางปีก แล้วก็บินขึ้นไปแล้วหายวับไปบนอากาศต่อหน้าต่อตา เห็นดังนั้นก็ตกใจ และอัศจรรย์ใจมิใช่น้อยเลยทีเดียว..

เรื่องของเหล่าอทิสมานกายในวัดเทพธารทองนั้น มีอยู่เยอะ และมีผู้พบเจอกันมาก ยิ่งถ้าเป็นสมัยที่หลวงปู่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก คนที่เข้าไปพักในวัดจะเจออะไรแปลกๆกันบ่อยๆ จนมีข่าวลือว่า ที่วัดเทพธารทอง ผีดุ จนชาวบ้านแถวนั้นไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาในวัดในเวลาหลังตะวันตกดิน..
Sira Pop

 

สวัสดียามเที่ยงครับป๋า

 

สวัสดียามสายครับป๋า

 

ed627656539th ปากเกร็ด

 

สวัสดียามสายครับป๋า