เเจกความรู้เรื่องธาตุกายสิทธิเเละคาถาบูชา

ผมขออนุโมทนาสาธุกับบุญกุศลที่ปู่ได้สร้างไว้ด้วยนะครับ ขอให้ปู่เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมนะครับ

 

สาธุอนุโมทนาค่ะ ปู่คะ หนูได้รับเหล็กไหลมาชิ้นนิดเดียวเท่าขี้ตา ถวายน้ำผึ้งได้เหมือนกันไหมคะ จริงจริงแล้วอยากได้ของปู่ (ใหญ่ดี น่าจะมีพลังแรง) แต่หนูกลัวว่าทำตามที่ปู่บอกไม่ได้
1. ไม่กินชะอม
2.ไม่กินอาหารงานศพ
แบบว่าขี้ลืมค่ะ

 

=ชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็มีพลัง เหมือนกันหมดครับ บางครั้งเล็กๆๆเเรงดีใหญ่ๆๆเเรงน้อย ก็มีนะครับ
ทุกชนิดทุกอย่างมีอนุภาพเหมือนกันหมดครับอยากได้ไปอ่านกระทู้ให้หมดแล้วจะเก็ดครับ

 

การทีเราทำผิดก็ขอขมาท่านเสียมีดังต่อไปนี้
ปู่ได้ถามพระคุณเจ้ามาแล้ว ตั้งขัน๕ ขัน๘ ขัน๑๓ หรือขัน๑๓อย่างเดียวก็ได้ รวม๓เเละ๘ เป็น๑๓ มีธูป๑๑ดอกเทียน๑๓คู่ก็๒๖เล่ม ดอกไม้๙คู่เเละธูปทีจุดบอกกล่าวขอขมาอีก๑๑ดอก หรือตั้งทั้งสามขันเลยก็ได้ เป็นการขอมาเเละบูชาไปด้วย ส่วนคาถาขอขมาก็มีอยู่ในนี้เเล้วหาเอาครับ บอกกล่าวไว้เผื่อไม่ได้ตั้งใจไว้เวลาทำผิด

 

ท่านปู่ หลานชอบชะอมมากเลยค่ะ
ทั้งชุบไข่ทอด ทานกับน้ำพริกกะปิ
ทั้งลวกแล้วราดด้วยหัวกะทิ
แกงใส่หน่อไม้ ใส่หมกหน่อไม้ แกงใส่หวาย แกงใส่ผักหวานและไข่มดแดง
แต่ต่อไปนี้จะงดเด็ดขาดค่ะ(ต้นชะอมที่บ้าน ไม่ตัดทิ้ง คงไม่เป็นไรนะคะท่านปู่)
เรื่องทานข้าว....ไม่มีปัญหาค่ะ ได้สบายมาก

 

คุณปุ่มีคาถา ทางด้านกันแมลงมีพิษ กันยุงอะไรประมาณนี้หรือเปล่าครับ

 

วันนี้เลยพิมแบบเต็มๆมาให้ครับ ขออนุญาตปู่ฯ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโนสุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโรปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ
สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโกโอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูฮีติ

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สะวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย
ทักขิเณยโย อัญชะลี กะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธะนาเมอิ อิเมนาพุทตังโส อิอิโสตัง พุทธะปิติอิ อะปะเรนะ สะมะเยนะ ทุฐโฐนะระมะนาธิโป เอกะโทนัญจะ ธาตุนังโลเก ปะติฏฐิตัง ปูชิตา นะระเทเวหิ อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหังวันธามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส

 

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมธามิ ขอให้สำเร็จสิ่งใดทีปรารถนาไว้ก็ได้ดั่งใจ สาธุ

 

บทนี้ละ

บทนี้ละครับ ทีบูชาพระสารีริกธาตุได้ทั้งหมด เเละอันเชิญท่านเสด็จมาอยู่กับเราเพื่อสิริมงคลด้วย เรืยกว่าว่าบทเดียวได้สองอย่างเลย


เเต่จริงเเล้วบทไนก็ได้ถ้าชอบขอให้ทำจริงๆๆๆบูชาจริงๆๆแล้วท่านก็จะเสด็จมาเพิ่มเอง ทำจริงๆๆๆไม่ใช่ทำเเค่เดือนสองเดือนหายไปเลย เขาก็คงมาละมั่ง นอนฝันเอาจะดีกว่ามั่ง5555+++.ใช่ไมละครับ เเละต้องด้วยจิตด้วยนะไม่ใช่สักเเต่ว่าแต่กายใจไม่นอบน้อม ก็อดอีกละ กลับนอนฝันต่อละกัน

 

สาธุ๊ๆๆครับจริงดั่งคำปู่ ยิ่งแจกยิ่งเสด็จครับประสบกับตัว สาธุ๊ๆๆ

 

รวมรูปให้ดูตอนถ่ายมีชัดมีไม่ชัดมีเวลาเอาไปจะเปลืยนสีเเบบนี้ละดูสิว่าใครทำได้ปฏิบัติเมือเปลืยนแล้วเอาชมหน่อยนะ ทีถ่ายไปจะเป็นการงอกเติบโตของเขาแบบนี้ละเอาพอเป็นตัวอย่างใหญ่ๆๆยกไม่ไหวหนักเป็นตันนะเเค่ถือถ่ายนี้๖กิโลเเล้วเเร่ท่านหนักมากรังท่านมันหนัก

 

เป็นบุญตามากๆเลยครับปู่
ปู่ครับถ้าได้รับธาตุกายสิทธิจากปู่มาแล้วต้องสวดบทขอขมา31ภูมิไหมครับ
และจัดเตรียมอะไรบ้างหรอครับ

 

ได้ความรู้อีกแล้ว
ขอบคุณครับปู่

 

ตั้งนะโม3จบ แล้วว่า
อิมัง มิจฉา อะฐิษฐานัง ปัจจุทธะรามิ
ทุติยัมปิ................................
ตะติยัมปิ................................
แบบเต็มๆ ว่ายังไงบ้างคะปู่ คือว่าหลานเองไม่เก่งทางด้านคาถาหรือภาษาบาลีค่ะ

 

ตั้งนะโม3จบ แล้วว่า
อิมัง มิจฉา อะฐิษฐานัง ปัจจุทธะรามิ
ทุติยัมปิ อิมัง มิจฉา อะฐิษฐานัง ปัจจุทธะรามิ
ตะติยัมปิ อิมัง มิจฉา อะฐิษฐานัง ปัจจุทธะรามิ

 

ปู่อ้วนครับ ธาตุกายสิทธ์ที่ได้รับนำมาอฐิษฐานทำน้ำ้มนต์ช่วยเหลือคนที่ถูกคุณไสยหรือผีเข้าเจ้าสิงได้หรือเปล่าครับ

 

ขอบคุณมากค่ะ

 

อนุโมทนา สาธุครับ คุณปู่อ้วน วันนี้ผมได้รับองค์ธาตุกายสิทธิเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ผมขอกราบขอบพระคุณในพระเดชพระคุณบารมีหลวงปู่พรหมมา เขมจาโร รวมถึง คุณปู่อ้วนที่มีเมตตาจิตได้มอบโอกาสให้ผมได้บูชาองค์ธาตุกายสิทธิครับ เป็นครั้งแรกเลยครับที่เมื่อได้สัมผัสพิจารณาแล้วรู้สึกได้ถึงพลังจากองค์ธาตุกายสิทธิ คือผมตั้งใจจะดูใกล้ๆจึงจับด้วยปลายนิ้วชี้และนิ้วโป้งเมื่อสัมผัสแล้วก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานเลยครับ ระหว่างพิมพ์อยู่นี่ด้วยความไม่แน่ใจว่าจะคิดไปเองรึเปล่า อัญเชิญออกมาจับอีกทีรวมทั้งลองจับวัตถุอื่นๆรอบๆตัวด้วยท่าเดียวกัน ยังรู้สึกได้ถึงพลังของกายสิทธธาตุครับแต่ของอื่นๆไม่มี ตามที่คุณปู่ได้อธิบายไว้ว่าบรรดาธาตุกายสิทธิทั้งหลายล้วนมีพลังงาน ใช่สิ่งที่ผมสัมผัสรับรู้ได้ในคราวนี้ไหมครับ ถ้าใช่เป็นไปได้ไหมครับที่ผมจะลองจับให้ชำนาญแล้วเวลามีโอกาสได้เจอธาตุกายสิทธิจะตรวจสอบได้ด้วยวิธีนี้ สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณและอนุโมทนากับคุณปู่อ้วนอีกทีครับ ผมใช้ทั้งบทสวดบูชา บทตัดกรรม บทขอขมา รวมถึงได้รับความรู้ต่างๆจากคุณปู่ ผมคิดเวลาอ่านเสมอว่าคุณปู่เปรียบเหมือนอาจาร์ยคนหนึ่งที่มอบความรู้ความเมตตารวมถึงคอยประสาทวิชาให้เสมอๆ แต่เพราะปู่เป็นฤาษีผมไม่รู้ว่าสามารถเรียกอาจารย์ได้ไหม หรือต้องผ่านพิธียกครูก่อน จึงจะสามารถนับถือคุณปู่เป็นอาจาร์ยคนนึงได้ คืออย่างน้อยๆเวลาสวดมนต์แผ่เมตตาให้บิดา มารดา ครูบาอาจาร์ย จะได้นึกถึงคุณปู่ได้แบบไม่ต้องยั้งครับ ขอให้คุณปู่เจริญยิ่งๆ สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ ครับ สาธุ สาธุ

 

สาธุครับธาตุกายสิทธิที่ได้รับกันนั้นเป็นของปู่พรหมมากันหมดทุกองค์ครับ ไม่ต้องกลัวว่าปลอมเลยละ ปู่เองก็ยังทึงทีเดียวทีได้ท่านมาแบบบุญแท้ เลยแบ่งไว้ลูกหลานได้บูชาของท่านบ้างครับ

 

มีบางท่าน ถามมาใน PM ที่โพ้สไว้ ขอตอบไว้ในกระทู้ด้วยเผื่อคนอื่นอยากทราบ

มีบางท่าน ถามมาใน PM ที่โพ้สไว้ พอดีตอบแล้วขอ อนุญาติเจ้าของกระทู้ ขอตอบไว้ในกระทู้ด้วยเผื่อคนอยากทราบ

แต่โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน แค่เรื่องเล่าของคนรู้น้อยครับ

ความจริงเรื่องเหล่านี้ผมก็แค่รู้ๆน้อยๆ และโดยส่วนตัวไม่ค่อยได้สนใจและใส่ใจ
จะให้ทำได้เข้าถึงรู้จริงในเกร็ดเล็กๆน้อยๆโดยละเอียดทุกๆอย่าง ดังครูบาอาจารย์ ที่ท่านสอนไว้นั้นยังห่างไกลมากนัก
ตำราที่มีก้ออ่านไม่ค่อยได้แปลไม่ค่อยออก เพราะเป็นอักษรโบราณ ( อักขระธรรมลาวน้อย )
เพราะปู่ย่าตาทวดท่านหนีข้ามมาจากฝั่งลาวมาตั้งลกรากที่ฝั่งไทยมาสามชั่วอายุคนแล้ว
และก้อไม่ได้สนใจแปลไว้ พอปู่ทวดและตาทวดที่ท่านอ่านได้เสียไปแล้ว ปู่ก้อเก็บไว้เฉยๆตกทอดมาจนถึงหลานก็ไม่มีใครสนใจ
ผมเองก้อเก็บไว้เฉยๆจะทิ้งก้อไม่สมควรแค่นั้น

เท่าที่รู้เข้าใจเองว่าตำรานั้นแบ่งเป็นสามฐานคือ
1 ส่วนศัยเวทย์หรือคาถา 2 ส่วนวิธีทำเครื่องรางของขลังวัตถุมงคลและการผสมแร่แปรธาตุต่างๆ และ 3 ส่วนของหมอยาการปรุงยาสมุนไพร
( ส่วนรายละเอียดปีกย่อยก้อยังไม่ได้ศึกษา ดูเอาแปลเอาเฉพาะที่ตนเองสนใจและเป็นประโยชน์นำไปใช้ได้จริงตามภูมิของตนเองเท่านั้น )
แต่ความรู้พิ้นฐานที่ปลูกฝังมาง่ายๆคือ ทั้งสามอย่างแบ่งเป็นสามขั้น

คือ ( ขั้นทั่วไปไม่กล่าวถึงคือผู้ที่จะรู้หรือจะเรียนได้ต้องขั้นเอกขึ้นไป คือผู้ศึกษาเรียนรู้จริงๆจังๆเท่านั้น )
1 ขั้นเอก คือ ต้องเต็มที่ทั้งความสนใจและความตั้งใจ เจตนารมย์ถูกต้อง (มีสมาธิเล็กๆน้อยๆแต่ชำนาญในองค์สมาธิของตน)
ถึงจะรวมได้ไม่นานแต่ต้องกำหนดได้ทันที ที่ต้องการ เข้าอารมย์ อุปจาระได้ตามต้องการและคล่องแล้ว
2 เอกอุ คือ ต้องมีปัญญาอันเลิศ เต็มที่ทั้งความสนใจและความตั้งใจ เจตนารมย์ถูกต้อง
และ ศีลบริสุทธิ์เต็มที่สามปีเป็นอย่างน้อย (ชำนาญในองค์ชาณขั้นต้น หรือ อุปจาระ) ( มองย้อนหลังไปบริสุทธิ์ไม่มีด่างพร้อยในดวงจิตดวงใจ)
3 อธิ (อันยิ่ง หรือ ขั้นบริสุทธ์) คือ ต้องมีปัญญาอันเลิศ เต็มที่ทั้งความสนใจและความตั้งใจ เจตนารมย์ถูกต้อง ศีลบริสุทธิ์เต็มที่ สามปีเป็นอย่างน้อย และ มี อภิญญาห้าเป็นอย่างน้อย ชำนาญในองค์ชาณและกสินทั้งสิบ (และต้องสัมมาสมาธิ สัมมาชาณเท่านั้น)

ผู้ศึกษาผู้เรียนต้องรู้ว่าตนอยู่ในกลุ่มไดในสามขั้น และผู้สอนต้องรู้ถูมิปัญญาและวาสนาของผู้เรียนด้วย
ซึ่งหมอทั้งสาม คือ ครูคุณไสย์ ครูธาตุ และ ครูยา (หมอยา) ก้อมีสามขั้น
( ผู้ที่จะศึกษาเพื่อรู้ทั้งเล่มคงตั้งใจและขยันจริงๆเท่านั้น ส่วนผมเองคงไมสามารถ และท่านผู้รู้ผู้แต่งตำรายังกล่าวอีกว่าสิ่งที่รู้ที่เป็นไปในธรรมชาติ
เหมือนข้าวที่มีอยู่ในโลก ส่วนที่นำมาเขียนลงตำราคือ แค่ข้าวหนึ่งคำ เล็กๆเท่านั้น )
คือ ที่อยู่ในตำราที่ท่านสอนมาสามารถเรียนรู้และใช้ได้เลย เหมือนข้าวหนึ่งคำที่กินได้เลย
แต่ที่เป็นไปตามธรรมชาติเหมือนข้าวที่มีในโลก อาจเป็นต้นกล้า รวงข้าวหรือเม็ดหรือข้าวเปลือกข้าวสารทั้งหมดทั้งมวลที่มีในโลก
ต้องผ่านกระบวนการซะก่อนจึงจะเอามากินได้ แต่ตำราที่เขียนเหมือนข้าวหนึ่งคำ คือน้อยมากถ้าเปรียบเทียบกัน แต่มันกินได้เลย
คือเจาะจงมาให้แล้วว่า ถ้าสมุนไพรท่านบอกแล้วว่า ต้องเก็บตอนต้นแก่ขนาดนี้ หรือถ้าดอกก้อดอกแก่มีสีแบบนี้แล้วถึงเก็บได้
ไม่ต้องเดาเอาเองว่าต้องเก็บตอนไหนเอาส่วนต้นหรือเอาส่วนราก
หากเป็นตำราคาถาอาคมหรือมนต์ต่างๆ ท่านก็ผูกมาแล้วว่า แต่ละคำสื่อถึงเหล่าภูติเหล่ายักษ์หรือเหล่าเทวดากลุ่มได
ต้องทำกำลังใจหรือทำจิตไปในแนวไหนต้องใช้ของเซ่นของสังเวยประเภทได ถ้าคาถาาชั้นสูงต้องจำเป็นต้องให้เหล่า
เทวดาช่วยต้องทำใจมีเมตตาระลึกถึงกุศลผลบุญ กำลังจิตเพ่งในกุศลแจ่มชัดกล่าวคาถาตามที่ผูกมาตามตำราที่เรียน
ถ้าบางพระเวทย์สื่อถึง เหล่ายักษ์ต้องกระทำใจมีสัมมาทิฐฐิและดุดันเที่ยงตรงเข้มขลังดั่งตนเป็นพระยายักษ์
บริกรรมคาถาดั่งประกาศคำบัญชาการ อ้างคำบุรภาจาารยืและกระทำใจให้ยิ่ง ประมาณนั้น (ท่านแจ้งไว้ชัดเจนไม่ต้องเดาเอาเองว่าต้องทำใจอย่างไร)
การเล่นแร่แประาตุก้อเหมือนกัน ท่านแจ้งบอกไว้ชัดไม่ต้องเดาเองว่าจะเอาอันไหนและเอาตอนได
แร่ชนิดไดบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธ์ ( คือมีจิตสถิตย์อยู่ ) ธาตุบริสุทธิ์ ในความหมายนักเล่นแร่แปรธาตุคือ ธาตุที่ไม่มีจิตสถิตหรือสิงอยู่
เช่น ดิน ดินบางที่มีเชื้อโรค มีเชื้อรา หรือสัตว์เล็กๆในดินอยู่ในนั้น หรือ เงิน หรือหิน หรือ ทอง ที่เกิดจากการทับถมของดินหรือซากต่างๆ
ผ่านความร้อนจากใต้ดินแกนโลกที่เขาเรียกว่าราวาไต้โลก ซึ่งตามตำราเขาว่าร้อนกว่าไฟธรรมดามาก
(แต่ราวาแกนโลกนั้นยังร้อนน้อยกว่าไฟธาตุที่ผู้สำเร็จกสินไฟกำหนดขึ้นหรือเพ่งขึ้นมากจนประมาณมิได้ )
คือ แร่ เพชร หรือ เหล็ก หรือ ทอง เงิน ต่างๆ ที่ทับถมและเกิด การ ออกซิไดน์ ต้องผ่านความร้อนและเย็นมาหลายแสนหลายล้านปี
แต่ท่านผู้สำเร็จ กสินและอภิญญาเพ่งได้ภายในไม่ถึง วินาที ก้อ กลายธาตุต่างๆ จากธาตุหนึ่งเป็นธาตุหนึ่งได้

** แต่สำหรับผผู้เล่นแร่แปรธาตุแล้ว ยังมีหลักพื้นฐานปีกย่อยที่ต้องรู้อีกมาก **
หลักง่ายๆ คือธาตุแต่ละธาตุจะมีคุณสมบัตต่างกัน ต้องเข้าใจสภาวะธาตุ พวกมิตฉาไม่สนใจความเดือดร้อนของผู้อื่น
จะเข้าถึงชั้น เอกชั้น ชั้น เอกอุ หรือ ชั้น อธิจิต หรือชั้นสุงไม่ได้ อยุ่แค่ชั้นธรรมดาเท่านั้น ซ่งท่านประกาศไว้ชัดผู้
เล่นแร่แปรธาตุ ท่านอนุญาติ ชั้นเอกอุขึ้นไป และยังทำได้แค่ เพชร ตระกูลต่างๆ และ ปรอทบริสุทธิ์ เหล็กยวง และ เหล็กไหลชั้นต้นและพลอยทับทิมประเภทต่างๆเท่านั้น
ส่วนเหล็กโกฏ เหล็ก ปีกแมงทับ ขึ้นไป ทำได้แค่ ชั้น อธิกะ เท่านั้น ส่วนแร่หรือ ทอง เงิน นาค ทองแดง ต่างๆ ทำได้ทั่วไป ตามตำรา

อย่างเช่น ตามตำราทำตระกรุตสามกษัตย์ มีวิธีหุง ทอง เงิน นาค บริสุทธิ์ ขึ้น เพื่อรีดโลหะเป็นแผ่นมาจารย์ตระกรุต
มีแนบท้ายว่า ต่อไปจะมีผู้จิตใจโลภ นำไปทำแร่บางอย่างขายกินจนรวยกว่าประเทศอื่น

มันก้อน่าจะทำได้ถ้าคนมีเงินมีโรงงานมันทำเพราะส่วนผสมมันก้อหาได้ง่าย
เช่น เหล็ก กับ พวง ทั่งดิบ ได้ธาตุทองนาค ( สีออกเหลืองแต่ไม่ทนกรด)
เหล็ก กับ ตะกั่ว ทั่งกินปูน ได้ธาตุเป็นเงิน ( สีเงินขาวแข้งกว่าตะกั่ว )
เงิน กับ เหล็ก + พวง ทั่งกินปูน ได้ธาตุเป็นทอง (สีเหลืองทนกรด)

ส่วนน้ำที่กระสายเป็นน้ำ แช่หินดานขาวและหินแดงเค็ม กับ ว่านชนิดหนึ่งเมื่อได้ที่แล้วจะลอยน้ำมันได้คือ
มันไม่ละลายแตกตัวหยดลงจะเกาะเป็นก้อนหรือลอยเข้าหากันเกาะตัวเป็นก้อน (แต่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นกรดหรือเบสสูง)
แต่ตระกรุตที่ตาจารทำแผ่นทองและแผ่นเงิน ทนกรดได้ทั้งคู่ แสดงว่าธาตุที่หุงอาจผิดขั้นตอน เพราะปรกติผ่านความร้อนมากระสายน้ำด้านแล้วเงินจะไม่ทนกรด
แต่มันทำยาก ออกจากเบ้าจุ่มน้ำกระสายไม่ทัน ควันไปทางไหน ต้นไม้ตายเป็นแถบ แสดงว่ามัน ออกซิไดน์กับอากาศอย่างรุนแรงจนเป็นพิษกับต้นไม้
ซึ่งหากขึ้นเอกขึ้นไปจะถือว่าผิดครูเพราะทำให้ต้นไม้ตายผู้ที่ทำต้องรอบคอบและชำนาญจริง

ส่วนชั้น เอกขึ้นไปต้องมีพื้นฐานรุ้ในธาตุต่างๆคือ ทราบว่า ธาตุชนิดไหน อะไรสถิต จะทำให้บริสุทธิ์ได้ด้วยวิธีได
และข้อสำคัญคือ แร่ที่จะแปรสภาพได้นั้นต้องเป็นแร่ที่บริสุทธ์คือ ไม่มีจิตสถิตอยู่
จะไปอุตตริ ใช้อำนาจกสินเพ่งเขาทั้งลูกหรือภูเขาทั้งเทือกเขาเป็นทองคำเลยไม่ได้ เพราะสัตว์อยู่ในนั้นบางชนิดมันอยู่ในทองไม่ได้
สัตว์อื่นเดือดร้อนถือว่าผิดครู ยิ่งชั้นเอกอุขึ้นไปแล้ว ศีลต้องบริสุทธิ์ จะทำความเดือดร้อนให้สัตอื่นมิได้ เพราะสัตว์แต่ละชนิดหรือดวงจิต
แต่ละประเภทจะอยู่ได้ในธาตุเฉพาะบางธาตุเท่านั้น ซึ่ง ครูหมอยา และครูแร่ ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด ในการหุงเหล็กดับพิษไข้
หุงแร่ดับพิษไฟ หรือพิษต่างๆก้อตาม
แต่สำหรับ เหล็กชั้นสูงหุงเสร็จ จะเป็นธาตุ บริสุทธิ์ สามารถเลือกผู้สถิตได้ เปรียบเราเป็นเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรสร้างเสร็จเลือกผู้เข้าอยู่ได้
ซึ่งตามธรรมชาติบ้านต้องมีผู้อยู่ธาตุบางธาตุก้อเช่นกัน อำนาจบางครั้งขึ้นอยู่กับฤทธิ์ของจิตที่สถิตอยู่ด้วย
ไม่ว่าจะเป็น ปรอทสำเร็จ เหล็กไหล หรือ ปีกแมงทับ มามารถทำได้ในชั้น อธิกะหรือชั้นบริสุทธิ์เท่านั้น
คือต้องมีคุณสมบัติขั้นต้นตามที่กว่ามาเพียงย่อๆข้างบน
ส่วนที่เกิดเองตามธรรมชาตินั้นก้อมีมากมาย ซึ่งผู้สถิตเลือกได้เหมือนรถบางคนชอบรถออกจากโรงงานสภาพเดิมๆ
บางคนชอบรถแต่งดัดแปลงแรงกว่า ธาตุก้อเหมือนกัน ธาตุที่สำเร็จขึ้นโดยผู้รู้ผู้มีความสามารถ สามารถตกลงกับผู้สถิตได้ว่าต้องเป็นไปในทางได
เช่นปรอทดับพิษไฟ หรือเหล็กไหลยวง หรือเหล็ก สยบธาตุ ผู้สำเร็จธาตุสามารถเลือกจิตสถิตเป็นครูยาหรือ ฤษีผู้ชำนาญยามาสถิตได้ ซึ่งเขาเหล่านั้น
จะอาศัยสร้างบารมีดดยการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือคนและสัตว์ที่ต้องเกี่ยวข้องตามบุพกรรมของแต่ละคน

ขี้เกียจพิมพ์ละ ไว้ว่างๆละกันครับ หากโอกาศมีจะแนะนำผู้รู้ให้ เพราะผมยังไม่รู้จริงหรอกครับ แค่จำมาตามตำราหรือตามที่เคยพบเคยรุ้เคยเห็น
และบางอย่างยังไม่ลงมือทำเองรู้เองหรอกครับ เรียกได้ว่า ผู้เห็นผุ้จดจำมางุๆปลาๆจะถูกกว่า คริๆๆๆๆ