เหตุที่ผมออกจากวัดพระธรรมกาย เพราะ...

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย วงบุญพิเศษ, 30 ธันวาคม 2011.

  1. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    เคยฟังเรื่องของพระนันทะมั๊ยครับ
    ครั้งนั้นพระนันทะถูกบังคับให้บวชทั้งที่กำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว
    พระพุทธเจ้าเลยพาไปชมนางฟ้าบนดาวดึง
    “พระพุทธเจ้าทรงถามพระนันทะว่า ต้องการมั้ยนางฟ้า
    พระนันทะรับว่าต้องการ
    ท่านจึงว่าก็ประพฤติพรหมจรรย์ให้ดี
    เต็มใจและตั้งใจปฏิบัติ เราจะเป็นนายประกันให้เอง
    ให้เธอได้เทพอัปสรเหล่านี้”

    พระนันทะจึงตั้งใจประพฤติธรรมตอนหลังเป็นพระอรหัต์เป็นอสีติมหาสาวก

    พระนันทะอาศัยความอยาก ดับความอยากได้
    จะว่าความอยากได้นางฟ้าของท่านท่านจึงตั้งใจปฏิบัติจนในที่สุดก็บรรลุนิพพานได้
     
  2. ธรรมเกิน

    ธรรมเกิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    487
    ค่าพลัง:
    +140
    คุณ ms13 ผมไม่ได้กลัวอะไร แต่แค่เบื่อประเภทที่ไร้สาระ เพื่อนสมาชิกคงเห็น คนที่แถไปเรื่อยๆ แบบนี้ไม่ว่าใครก้อคงพูดไม่ฟัง ยกเว้นเอเลี่ยนเท่านั้นมั๊งครับ เขาจมลงไปลึกเกินกว่าที่จะยื่นมือไปรั้งไว้ แบบนี้คงต้องปล่อยจริตเขาตามยถากรรม ผมก้อคงตอบตามที่ใจอยากตอบ และคงเตือนเพื่อนๆ ไปเรื่อยๆ ตามที่เห็นหรือได้ยินวา ถึงจะเป็นเรื่องวนๆไปมา แต่เพื่อนบางคนที่ยังไม่ทราบว่าเขามีอะไรกัน จะได้รู้บ้าง
     
  3. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    และหากเราจะทำการกุศล เพื่อหวังจะพ้นทุกข์ในวัฏฏะสงสารมันจะผิดอย่างไรหรือ

    ถ้าผิดจริงพระพุทธเจ้าท่านคงไม่แสดงผลของบุญไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้ทราบไว้ตั้งมากมาย

    ในที่คุณยกคำสอนของพระปราโมทย์มานั้นผมก็อนุโมทนา แต่โลภะเจตนา ของท่านมันคืออะไรคุณเข้าใจว่า

    มันคืออันเดียวกันกับที่คุณเอามาใช้หรือ

    ผมศึกษาจากตัวอย่างในพระไตรปิฎก ไม่ได้ใช้คำสอนของใครมาอ้างครับ

    คุณเข้าใจอย่างไรกับคำว่า ตัญหา ที่แปลว่า ความอยาก ความพอใจ ความชอบ
    กับคำว่า ฉันทะ ที่แปลว่า ความอยาก ความพอใจ ความชอบ

    สองคำนี้โดยเนื้อความแล้วแปลเหมือนๆกันแต่ใช้ต่างกันคือ
    ตัณหา คือความอยากได้ อยากเอา ด้วยความเห็นแก่ตัว
    ฉันทะ คือความอยากทำ อยากให้ ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว

    คุณเลือกให้ถูกครับ ไม่งั้นคุณจะตีความอะไรๆในบาลีมั่วไปหมดเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2012
  4. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    สรุปว่า "ความอยาก ความพอใจ ความชอบ" มีทั้งแบบร้ายแบบดี
    ร้ายก็คือตัณหา พระพุทธเจ้าสอนให้ละอยู่แล้ว เป็นบาป เป็นอกุศล
    ดีก็คือฉันทะ พระพุทธเจ้าสอนให้มีกันมากๆ เป็นบุญ เป็นกุศล
    พูดให้ชัดๆ ก็คือ ใครที่เข้าใจว่า "พระพุทธเจ้าสอนให้ละความอยาก"
    ไปเสียทั้งหมด ก็จงเข้าใจกันใหม่ว่า อันที่จริงในทางตรงกันข้าม
    ก็ทรงสอนให้เพิ่มพูนความอยากแบบฉันทะให้มากๆ ด้วยเหมือนกัน


    ซึ่งความอยากแบบฉันทะนี้ เป็นความอยากดี คืออยากทำดี
    โดยไม่มีความอยากได้ จึงเป็นความอยากที่มีใจสบายๆ
    ไม่เกิดทุกข์ เกิดแต่สุข สนุกเมื่อทำงาน ทำดีแล้วจะได้ดีหรือไม่ได้ดี
    ก็ไม่เสียใจ เพราะขณะทำดี ไม่มีความอยากได้ มีแต่ความอยากให้
    คืออยากให้ผู้อื่นได้ดี อยากให้สังคมสามัคคี อยากให้โลกนี้ร่มเย็นเป็นสุข
    ทีนี้ถ้าแม้ทำดีไปแล้ว ผู้อื่นก็ไม่เห็นดี สังคมก็ไม่เห็นด้วย
    โลกนี้ก็เร่าร้อนต่อไป เขาก็ไม่เสียใจอยู่ดี เพราะผู้มีฉันทะ
    ไม่อยากได้แม้แต่คำสรรเสริญเยินยอ ต่อให้คนทั้งโลกมองไม่เห็นคุณค่า
    เขาก็จึงไม่ต้องเสียความรู้สึกใดๆ ตรงกันข้าม จิตใจของเขาก็ยังผ่องใส
    เพราะตนเองรู้ตัวเองอยู่แก่ใจว่า "อยากดี อยากทำ อยากให้"
    คนอื่น สังคม และโลก เขาไม่เอาดี มันก็เรื่องของเขาที่ไม่เอาดีกันเอง
    ส่วนคนทำดี คือผู้มีฉันทะนั้น ก็ได้ดีอยู่ที่ใจอันผ่องใสนั้นแล้วตลอดเวลา
     
  5. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    รวมความว่า "ความอยากที่ไม่ใช่ตัณหา" นั้นมีอยู่
    คือ "ความอยากแบบฉันทะ ที่แปลเลี่ยงกันมาว่า ความพอใจ ความชอบ"
    ซึ่งถ้าไม่กลัวจนเกินไป แปลกันตรงๆ ว่า "อยากดี อยากทำ อยากให้"
    แบบนี้ก็น่าจะเข้าใจกันได้ และง่ายกว่า จึงควรปรับทัศนะกันเสียใหม่ว่า
    แม้พระพุทธเจ้าจะสอนให้ละความอยากแบบตัณหา แต่ในขณะเดียวกัน
    ก็ทรงสอนให้เพิ่มความอยากแบบฉันทะกันให้มากๆ อีกทางหนึ่งด้วย
    เพราะความอยากแบบฉันทะ เป็นความอยากฝ่ายดี ฝ่ายไม่มีกิเลส
    ฝ่ายไม่ใช่เหตุของความทุกข์ แต่เป็นเหตุของความดับทุกข์
    และเป็นเหตุของความสุข ความเจริญ ทั้งทางโลกและทางธรรม
    ทั้งแก่ตัวเองทั้งแก่สังคม เป็นอันว่า "น่าจะพอเข้าใจกันได้แจ่มแจ้งแล้ว"
     
  6. rravikran

    rravikran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2011
    โพสต์:
    297
    ค่าพลัง:
    +151
    "เพราะเราคือวงบุญพระโพธิสัตว์ จะรื้อสัตว์ ขนสัตว์ รื้อวัฏฏะนี้"

    ไชยบูลย์เอาอะไรมารื้อสัตว์ วิชชา 18 กายมันยังทำไม่ได้เลย อยากจะหัวร่อให้ฟันสะเทือนถึงนิ้วเท้าหัวแม่โป้ง
     
  7. kamoochi

    kamoochi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +326
    ผมจัดเวอร์ชั่นเต็มมาให้ครับ เดี๋ยวคนอื่นมาอ่านแล้วจะงงเรื่องพระนันทะ

    จากหนังสือ ทางแห่งความดี เล่ม 1
    โดยอาจารย์วศิน อินทสระ

    มีเรื่องเล่าไว้ในพระไตรปิฏกดังนี้ว่า....

    พระนันทะเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า เมื่อตอนที่เข้าพิธีสมรสกับนางชนบทกัลยาณี ได้ทูลเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จมาเสวยในงานด้วย เมื่อเสวยเสร็จแล้วจะเสด็จกลับนิโครธาราม พระพุทธเจ้าประทานบาตรให้นันทะ และไม่ทรงรับคืน ทำให้นันทะต้องเสด็จตามจนถึงพระอาราม

    ในระหว่างนั้น เพื่อนเจ้าสาวได้บอกเจ้าสาวว่า พระศาสดาพานันทะไปเสียแล้ว นางเสียใจ วิ่งมาขอให้นันทะรีบกลับ คำขอร้องนั้นอยู่ในใจของนันทะ แต่เกรงพระทัยพระศาสดา จึงต้องอุ้มบาตรตามไปเรื่อยๆ

    เมื่อถึงนิโครธารามพระศาสดาตรัสถามว่า บวชได้หรือไม่ นันทะก็ไม่กล้าปฏิเสธทูลว่าบวชก็ได้ จึงบวช

    เมื่อบวชแล้วก็ไม่เป็นอันบำเพ็ญสมณกิจอะไร ใจคิดถึงแต่นางชนบทกัลยาณีเจ้าสาว

    พระศาสดาเสด็จกลับกรุงราชคฤห์ ทรงสำราญพระอิริยาบถอยู่ระยะหนึ่งแล้ว รับอาราธนาของอนาถปิณฑิกเศรษฐีเสด็จไปยังกรุงสาวัตถี ประทับอยู่ ณ เชตวนาราม

    ในการเสด็จครั้งนี้ พระนันทะตามเสด็จด้วย ขณะเมื่ออยู่เชตวนารามนั่นเอง พระนันทะกระสันอยากสึก จึงบอกแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ขอลาสึก

    พระศาสดาทรงทราบ จึงตรัสถามสาเหตุ พระนันทะทูลว่า

    “ข้าแต่พระองค์ เมื่อข้าพระองค์ออกจากเรือนบวชนั้น นางชนบทกัลยาณี คู่แต่งงานของข้าพระองค์ มีอาการโศกอย่างลึกซึ้ง ได้ขอร้องว่าให้รีบกลับ ข้าพระองค์หวนระลึกคำนั้นอยู่ ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ใคร่สึก พระเจ้าข้า”

    ตำนานเล่าว่า พระศาสดาสดับคำนั้นแล้ว ทรงจับแขนพระนันทะไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วยกำลังฤทธิ์ ในระหว่างทางพบนางลิงลุ่นตัวหนึ่งนั่งจับเจ่าอยู่บนปลายตอไม้ที่ไฟไหม้ นางลิงนั้นหูจมูกและหางขาด พระศาสดาทรงให้พระนันทะพบกับนางเทพอัปสร 500 ผู้มาสู่ที่บำรุงของท้าวสักกะเทวราช

    “นันทะ เธอเห็นอย่างไร นางชนบทกัลยาณีกับนางเทพอัปสรเหล่านี้ใครสวยกว่า”

    “เทียบกันไม่ได้เลย พระเจ้าข้า”พระนันทะตอบ

    “นางเทพอัปสรสวยกว่ามาก ถ้าจะเทียบแล้ว นางชนบทกัลยาณีเป็นเสมือนนางลิงลุ่นที่พบในระหว่างทาง เทพอัปสรเหล่านี้สวยจริงๆพระเจ้าข้า”

    “เธออยากได้ไหม นันทะ”

    “ข้าพระองค์ต้องการพระเจ้าข้า”

    “ถ้าอย่างนั้น เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ จงยินดีบำเพ็ญสมณธรรม เราจะเป็นประกันให้เธอ ได้นางเทพอัปสรเหล่านี้”

    “ข้าพระองค์ หากพระองค์ทรงเป็นประกัน ข้าพระองค์ก็จะยินดีประพฤติพรมจรรยาต่อไป เพื่อให้ได้นางเทพอัปสรเหล่านี้”

    เมื่อภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระนันทะประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อให้ได้นางอัปสรก็พูดกันต่อๆไป ใครพบท่านก็ถาม บ้างก็ยิ้มเยาะ และมีอาการส่อให้เห็นว่ามิได้นิยมชมชอบในพระนันทะ บ้างก็ว่าพระนันทะเป็นพระรับจ้าง บ้างก็ว่าพระนันทะเป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงเป็นประกันไว้ พระนันทะ ประพฤติพรหมจรรย์เพียงเพื่อให้ได้นางอัปสร หาใช่เพื่อความสมหลุดพ้นอันแท้จริงไม่

    ด้วยประการฉะนี้ พระนันทะจึงละอายอยู่ จึงปลีกตนอยู่ลำพัง เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มิได้อาลัยในชีวิต ไม่นานนักก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์

    ในคืนที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เทวดาองค์หนึ่งมายังวัดเชตวัน กราบทูลความเป็นพระอรหันต์ของพระนันทะแก่พระศาสดา แต่พระผู้มีพระภาคทรงทราบด้วยญาณของพระองค์แล้ว

    รุ่งเช้าพระนันทะเข้าเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า

    “ข้าแต่พระองค์ ข้อที่พระองค์ทรงเป็นประกันข้าพระองค์เพื่อให้ได้นางอัปสร 500 นั้น บัดนี้พระองค์ได้หลุดพ้นจากภาวะผู้ประกันนั้นแล้ว”

    พระศาสดาตรัสว่า

    “นันทะ เรารู้แล้ว และเมื่อคืนนี้เทวดาองค์หนึ่ง ก็มาบอกเราว่าเธอได้หลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวงแล้ว นันทะเมื่อของเธอพ้นแล้วเพราะความไม่ยึดมั่น เราก็พ้นจากภาวะผู้ประกัน”

    พระศาสดาทรงอุทานด้วยความชื่นชมยินดีว่า

    “เปือกตมคือกาม หนามก็คือกาม อันผู้ใดย่ำยีได้แล้ว ข้ามได้แล้ว ผู้นั้นถึงความสิ้นโมหะ ย่อมไม่หวั่นไหวในสุขและทุกข์”

    วันหนึ่งภิกษุถามพระนันทะว่า ยังอยากสึกอยู่หรือไม่พระนันทะตอบว่า ความอาลัยในเพศคฤหัสถ์ไม่มีอีกแล้ว

    ภิกษุทั้งหลายเข้าใจว่าพระนันทะพูดไม่จริง พากันไปทูลพระศาสดา พระองค์ตรัสว่า

    “จริงของนันทะ เมื่อก่อนนี้ จิตของนันทะเหมือนเรือนที่มุงไม่ดี ฝนคือราคะรั่วรดได้ แต่บัดนี้ จิตของนันทะเหมือนเรือนที่มุงดีแล้ว นันทะบรรลุอรหัตผลแล้ว”

    ต่อมาภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยบุคคล สามารถหาอุบายให้พระนันทะบรรลุอรหัตผลได้ พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ไม่เพียงแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน นันทะก็ถูกล่อด้วยมาตุคามแล้วเหมือนกัน”

    ภิกษุทั้งหลาย ทูลขอให้เล่าเรื่องนั้น ทรงเล่าอดีตนิทานมาว่า

    ในอดีตกาล พ่อค้าคนหนึ่งในเมืองพาราณสี บรรทุกสินค้าบนหลังลาไปขายที่เมืองตักกสิลา เมื่อไปถึงที่แล้วได้ปล่อยลาให้เที่ยวหากิน จนกว่าตนจะขายของหมด

    ลาไปพบนางลาตัวหนึ่งเข้า จึงเข้าไปหา

    “ท่านมาจากไหน”นางลาถาม

    “มาจากพาราณสี”ลาตัวผู้ตอบ

    “มาทำไม”

    “บรรทุกของมาขาย”

    “ของมากไหม”

    “มาก”

    “ของมากอย่างนั้น ท่านเดินทางได้กี่โยชน์จึงหยุดทีหนึ่ง”

    “เดิน 7 โยชน์ หยุดทีหนึ่ง”

    “เมื่อท่านพัก มีนางลาช่วยนวดเท้า ช่วยประคบประหงมบ้างหรือ”

    “ไม่มีเลย”

    “น่าสงสาร” นางเปรย “พ่อค้าใจดำ”

    จริงอยู่ การนวดเท้า เป็นต้น ย่อมไม่มีในหมู่สัตว์เดรัจฉาน แต่นางลาถามเพื่อพาดพิงถึงกามสังโยค อาการถามอย่างนั้นประกอบกับกิริยาท่าทางของนางลา ทำให้ลาผู้กระสันขึ้นมีจิตปฏิพัทธ์ในนางลา

    พ่อค้าขายของเสร็จกลับมา แต่ลาไม่ยอมไปด้วยเสียแล้ว เขาจึงขู่ว่าจะเอาปฏักยาว 16 นิ้วแทง ลาก็ไม่กลัว บอกว่าถ้าทำอย่างนั้นจะทิ้งของให้หมด

    พ่อค้าประหลาดใจ ว่าไฉนลาจึงพูดคำที่ไม่เคยพูดอย่างนี้ กิริยาก็กระด้างกระเดื่องไม่สุภาพเหมือนก่อน จึงเหลียวดูไปรอบๆ เห็นนางลา จึงรู้ได้ด้วยความฉลาดว่า “เจ้านี่รักผู้หญิงเสียแล้ว”

    จึงว่า “มาเถิด ไปด้วยกัน เมื่อถึงที่แล้ว เราจักนำนางลาอันมีกายงาม หน้าเหมือนสังข์มาให้เจ้า”

    จะได้ฟังดังนั้นมีใจยินดี บอกว่า ถ้ากระนั้นจะเดินให้เร็วขึ้นอีกเท่าตัว

    เมื่อไปได้ 2-3 วัน ลาก็ถามถึงเรื่องนางลาที่พ่อค้าสัญญาจะให้ พ่อค้าจึงกล่าวว่า “เราจักไม่ทำลายถ้อยคำของเรา เราจะนำภรรยามาให้เจ้า แต่จะให้อาหารเพียงพอแก่เจ้าเพียงผู้เดียว ภรรยาของเจ้าและลูกของเจ้าที่จะเกิดตามมา เราไม่รับรู้ด้วย เจ้าต้องหาเลี้ยงเขา”

    เมื่อพ่อค้าพูดอย่างนี้ ลาก็คอตก หมดหวัง

    พระศาสดาตรัสว่า

    “ภิกษุทั้งหลาย ลาในครั้งนั้น คือ นันทะ นางลาคือนางชนบทกัลยาณี ส่วนพ่อค้าคือตัวเราเอง นันทะได้เคยถูกล่อด้วยมาตุคามมาแล้ว”

    กามมันมีทั้งกามตัณหาและกิเลสกาม ทำตัวทำใจให้สบายๆก็พอแล้ว
     
  8. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ต่อให้เป็นคนธรรมดายังไม่ได้ทรงคุณวิเศษใดๆ
    หากคุณได้ยินเขาตั้งปนิธานอยางนั้นและกล่าววาจาออกมาด้วยแล้วหละก็

    คุณก็ควรเอาศรีษะไปซบที่หัวแม่โป้งเท้าของเขาซะนะครับ หมายถึงกราบงามๆหนะ
     
  9. rravikran

    rravikran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2011
    โพสต์:
    297
    ค่าพลัง:
    +151
    ไชยบูลย์ต่างหากที่ต้องเอาดอกไม้มาขอขมากราบเท่าผมและครอบครัว ในฐานะที่หลอกลวงผมและครอบครัวมานานหลายสิบปี เสียเงิยเสียทองไปไม่รู้กี่แสน ตอนนี้มันเองก็เรี่ยไรไปทั้งประเทศแล้ว ล่าสุดเห็นมันคิด Mega Project มาใหม่ให้หล่อทองคำหลวงพ่อวัดปากน้่ำภาษีเจริญ เอาครูบาอาจารย์ที่บริสุทธิ์ไปแสวงเงินล่อลวงประชาชนเข้ากระเป๋า ล่าสุดกิจกรรมเดินธุดงส์เชิญรูปหล่อหลวงพ่อสดทำเอาชาวบ้านด่าระงมกันทั่วบ้านทั่วเมือง แถมหวยไปตกที่ทำให้คนรุมเกลียดวิชชาธรรมกายกันมากขึ้นกว่าเดิมหนักเข้าไปอีก เห็นชัดๆว่ามันต้องการทำลายวิชชาธรรมกาย ไม่ใช่ผู้สืบทอดที่มันพยายามโปรโมตพ่นลมเหม็นๆออกมาจากปากกรอกหูสาวกทุกวันๆ

    ผมถามหน่อยเถอะไชยบูลย์มันเรี่ยไรแต่ละที มันเคยแจ้งไหมว่า ยอดรายรับที่บริจาคมาเท่าไหร่ ยอดใช้ไปเท่าไหร่ คงเหลือเท่าไหร่ ให้มันชัดเจนไหม รัฐบาลยังชี้แจงต่อรัฐสภาได้เป็นบาทเป็นสตางค์ ขนาดงบประมาณแผ่นดินนะนั่น ยากและซับซ้อนกว่าเงินบริจาคเข้าวัดไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

    พระรุ่นบุกเบิกที่สร้างวัดร่วมกับไชยบูลย์ คุณเคยรู้บ้างไหมว่ามีดกี่องค์ ผมจะเฉลยให้ก็ได้ มี 5 องค์ แต่ขอโทษครับ ตอนนี้เหลืออยู่กับไชยบูลย์แค่ 2 องค์ อีก 3 องค์ไปไหนละ แต่ล่าสุดคนที่โด่งดังที่ทำให้สะเทือนวัดไชยบูลย์ก็คือหลวงพี่ฉัตรชัย ที่ท่านเป็นถึงพระลูกศิษย์ใกล้ชิดมือขวา พอท่านเห็นความจริงท่านก็อยู่ไม่ได้ ท่านออกไปจากวัดทั้งๆที่เป็นช่วงในพรรษาซึ่งเหลืออีกไม่นานก็จะใกล้ออกพรรษาแล้ว แต่ขอโทษเถอะไชยบูลย์บอกกับสาวกว่า ถูกส่งไปเผยแพร่ต่างแดน แต่ก็ยังให้สาวกแอบไปปล่อยข่าวกับคนในองค์กรว่าโดนมารเข้าแทรก

    ไชยบูลย์หน่ะ มันไม่ใช่พระ มันปาราชิกไปนานแล้ว แค่ศีล 5 มันยังรักษาไม่ได้ มันโกหกหลอกลวงประชาชนผ่านจานดาวธรรมช่อง DMC ทุกวัน

    คนที่หลวงนับถือเอาชีวิตถวายหัว เอาเงินถวายทุ่มให้หมดกอง ปิดบัญชีแบงค์ เปิดบัญชีบุญนี่มันโง่จริงๆ ไชยบูลย์มันโง่แล้วนะ แต่คนที่โง่กว่าคือไอ้พวกลิ่วล้อสาวกของมัน

    กล่าวเสร็จพร้อมหัวไปสบตาหัวหน้าชั้น หัวหน้าชั้นกล่าว สาาาาาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2012
  10. afseven

    afseven เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +510
    โลกหรือจักรวาล มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง เราจะไปกำหนดว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ ได้ด้วยหรือ หรือว่าได้
    กระแสจิตของผู้มีกิเลสธรรมก็ย่อมมองโลกมองจักรวาลไปตามกระแสของเขาเอง ผู้มีธรรมก็ย่อมมองย่อมเห็นไปตามกระแสของเขาอีกเช่นกัน
    เมื่อรู้แล้วเป็นอย่างไร ไม่รู้แล้วเป็นอย่างไร สิ่งที่เห็น สิ่งที่คิด อาจเป็นอย่างนั้นหรือไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้
    เราต่างหากที่เข้าไปกำหนดให้สรรพสิ่งต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้
    จักรวาลมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง
    สมเด็จพระบรมศาสดาทรงรู้เรื่องการกำเนิดของจักรวาลดีกว่าใคร แล้วทำไมทรงไม่สอนเรื่องจักรวาลล่ะ เพราะมันไม่มีสาระแก่นสารในทางหลุดพ้น คิดง่ายๆคือ คำถามที่ว่า ไก่กับไข่อะไรจะเกิดก่อนกัน สำหรับผมๆไม่รู้ ใครตอบได้ช่วยตอบที
    สมมติว่ารู้ แล้วได้อะไร ได้คำตอบแล้วจะเป็นยังไงต่อ สนุกเหรอ
    ...........สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสอนให้รู้เรื่องของจิตด้วยจิต ไม่ใช่ดูผู้อื่นด้วยความถูกผิดของตนเองเป็นที่ตัดสิน..............
    ...........สอนให้เชื่อเรื่องกรรม........
    สรรพสิ่งในจักรวาลล้วนแล้วแต่มีเหตุและผลเกี่ยวเนื่องกันให้เป็นอย่างนั้น
    สำคัญที่ว่าอะไรที่สพายอยู่แล้วมันทำให้หนักขึ้นก็ควรจะวางมันลงหรือทิ้งไปบ้างตามสมควร
    ถ้าหากจะเดินทางสายกลาง ต้องรู้จัก ลด ละ เลิก บ้าง
    เมตตาซึ่งกันและกัน
    ไปละ
     
  11. Ms,13

    Ms,13 บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    แรงจัดจังเลยพี่คนนี้ ถ้าเป็นเรื่องจริงนี่ก็ โอ้โหเลย
     
  12. Ms,13

    Ms,13 บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ธรรมะเขาสอนให้ปล่อยวาง ไม่รู้ว่าจะถือไว้หนักทำไม
     
  13. นางในฝัน

    นางในฝัน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +0

    ยอดเยี่ยม เลยค่ะ คุณ มี โยนิโสมนสิการดีเยี่ยมเลยค่ะ
     
  14. อธิฎฐาน

    อธิฎฐาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +1,610
    โดนใจค่ะ รับไป 1 แต้ม สงสัยจริง ๆ คนที่ศรัทธาพระนะจ๊ะถึงได้กร่างกันนัก
    แสดงว่าธรรมะไม่บริสุทธิ์
     
  15. ธรรมเกิน

    ธรรมเกิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    487
    ค่าพลัง:
    +140
    ปรบมือให้ดังๆเลยครับ กับคุณ rravikran ที่ช่วยมาเผยแผ่ เพื่อชาวพุทธได้รับทราบความจริงเพิ่มขึ้น....
    เอ๊า สาวกทั้งหลายออกมาแก้กันเร๊ว...ฮิ๊วววววว 55555++++
    แสบสุดๆจริงๆเลยนะเอเลี่ยน เมื่อไหร่หนอ กรรมจะตามมันทันเสียที..
     
  16. ธรรมเกิน

    ธรรมเกิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    487
    ค่าพลัง:
    +140
    คุณ afseven รายงานตัวช้าไปหน่อยนะครับ...เดี๋ยวไม่ครบทีม
    คุณ rravikran กรุณาเข้ามาบ่อยๆนะครับ อยากรู้สิ่งที่คุณพบเจอมากกว่านี้ เป็นวิทยาทานกับเพื่อนๆชาวพุทธน่ะครับ..
    อ้อ...เพื่อนๆอีกหลายๆคนเข้ามาคุย มาแลกเปลี่ยนกันบ่อยๆนะครับ เดี๋ยวเหงาน่ะครับ เราเอาความจริงมาพูดกันในเว็บ แต่เดี๋ยวสาวกเขาจะหาว่าเราพวกมากอีก เอาความจริงมาคุยกัน แต่ขอความกรุณา อย่าแถ...นะครับ
     
  17. ธรรมเกิน

    ธรรมเกิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    487
    ค่าพลัง:
    +140
    เอ๊า...คึกคักอีกแล้ว..
     
  18. PowerLife

    PowerLife สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +19
    ตัวคุณเองได้กี่กายละครับ ไปเที่ยวหัวเราะคนอื่น
     
  19. Ms,13

    Ms,13 บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    Msขออยู่ตรงกลางนะเพราะทุกที่ย่อมมีสิ่งดีกับไม่ดีอยู่ เพราะไม่ได้สัมพัสลึกถึงภายใน มีสว่างก็มีความมึดมิดอยู่ ความมึดมิดก็มีแสงสว่างอยู่เหมือนกันทุกที่
     
  20. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    ได้อย่าง ก็ต้องเสียอย่าง เลือกเดินบนทางซักทางได้ไหม?

    เลือกมา ว่าจะรักใคร ก็อยากให้เธอปักใจเสียที

    ({) ฟันธงคราบ


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=d0mjjVTHNB8&feature=player_detailpage"]?????-??????-????????????????? - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 เมษายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...