เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 5 มกราคม 2025 at 21:48.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,982
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,585
    ค่าพลัง:
    +26,426
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,982
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,585
    ค่าพลัง:
    +26,426
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปยังวัดเขาขลุง หมู่ที่ ๕ ตำบลเขาขลุง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เพื่อเอาปัจจัยไทยธรรมไปร่วมเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมศพพระครูวิธานอรัญวัตร (คำรณ ฉนฺทกาโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาขลุง แต่พรรคพวกเพื่อนฝูงมักจะเรียกชื่อเดิมกัน จึงเรียกกันติดปากว่า"อาจารย์นนท์"

    ท่านอาจารย์นนท์กับกระผม/อาตมภาพนั้นมีการคบหาสมาคมมานานมาก ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นพระใหม่อยู่ด้วยกัน เพียงแต่ว่าในเริ่มต้นนั้น ท่านอาจารย์นนท์จะสนิทสนมกับพระครูธรรมธรแสงชัย กนฺตสีโล พระน้องชายของกระผม/อาตมภาพมากกว่า เมื่อได้ยินพระน้องชายบอกว่ากระผม/อาตมภาพมีวัตรปฏิบัติอย่างไร ท่านอาจารย์นนท์ก็มาขอเข้าพบ และขอศึกษาหลักการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ด้วย

    จากที่ธุดงค์ร่อนเร่อย่างชนิดค่ำไหนนอนนั่น ท้ายที่สุดท่านก็ไปปักหลักอยู่ที่วัดเขาขลุง กลายเป็นเจ้าอาวาส มีภาระงานรัดตัว จะได้พบกันแต่ละทีก็ต่อเมื่อในงานวันแม่ ซึ่งกระผม/อาตมภาพได้ทำบุญอุทิศให้กับโยมพ่อและโยมแม่ที่เสียชีวิตลงห่างกันแค่ช่วงเดือน เพียงแต่ว่าถ้านับเป็นปีก็ห่างกันนานมาก

    เนื่องเพราะว่าโยมแม่เสียชีวิตหลังจากโยมพ่อถึง ๓๓ ปี โยมพ่อเสียชีวิตวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๑๘ ส่วนโยมแม่ไปเสียชีวิตวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๑ พี่น้องก็เลยตกลงกันว่าจะทำบุญรวมกันไปครั้งเดียวในแต่ละปี กระผม/อาตมภาพจึงกลายเป็นหัวเรือใหญ่ ทำบุญให้กับโยมพ่อโยมแม่ทุกวันแม่แห่งชาติ เรียกง่าย ๆ ว่านอกจากได้ ๒ งานรวมกันแล้ว ยังได้งานวันแม่แห่งชาติอีกด้วย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,982
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,585
    ค่าพลัง:
    +26,426
    ในเมื่อทำบุญให้กับโยมพ่อโยมแม่ ก็ต้องนิมนต์เพื่อนพระที่มั่นใจในวัตรปฏิบัติของท่านว่า เป็นบุคคลที่เคร่งครัดต่อหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เพื่อให้ญาติโยมทั้งหลายได้มีเนื้อนาบุญในการร่วมบุญร่วมกุศลในครั้งนี้ด้วยกัน

    เพียงแต่ว่าตั้งแต่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แพร่ระบาด ทางราชการก็กดดัน ไม่ยอมให้มีการจัดงานซึ่งรวมคนเป็นจำนวนมาก ซึ่งในตอนนั้นคำสั่งที่ออกมานั้น เรียกง่าย ๆ ว่า "เป็นการตัดตอนพระพุทธศาสนาของเรา" ก็ว่าได้ เนื่องเพราะว่างานรื่นเริงของชาวบ้าน อนุญาตให้มีคนร่วมงานไม่เกิน ๒๐๐ คน แต่งานทำบุญในวัด อนุญาตให้มีคนร่วมงานไม่เกิน ๒๐ คน ซึ่งต่างกันเป็น ๑๐ เท่า..!

    ในเมื่ออนุญาตและสามารถที่จะดูแลคนจำนวน ๒๐๐ คนได้ แล้วทำไมไม่อนุญาตให้วัดซึ่งเป็นศูนย์รวมชาวบ้านจัดงานที่มีคนไม่มากเกิน ๒๐๐ คนไปด้วย ? กระผม/อาตมภาพตอนนั้นก็ยังบ่นว่า "สงสัยว่าผู้ออกคำสั่งไม่ได้ใช้หัวแม่เท้าข้างซ้ายคิด ก็เลยออกคำสั่ง
    มาในลักษณะอย่างนี้..!"

    เมื่อเว้นจากการจัดงานเพราะเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แพร่ระบาดไป ๓ ปี บวกกับ ๒ ปีให้หลังที่กระผม/อาตมภาพกลายเป็นคณะกรรมการในการตรวจประเมินเพื่อยกหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบของหนกลาง ในแต่ละปีต้องวิ่งถึง ๒๓ จังหวัด และอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคมต่อกันยายนของทุกปีเสียด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งานวันแม่ก็จัดไม่ได้ อย่างในปี ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา กำหนดการตรวจประเมินเพื่อยกหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบก็คือ ก็คือวันที่ ๑๐ - ๑๑ - ๑๒ - ๑๓ กันยายน แล้วกระผม/อาตมภาพจะจัดงานวันบูรพาจารย์ในวันที่ ๑๔ กันยายนได้อย่างไร ? เหล่านี้เป็นต้น

    ในเมื่องานวันแม่ก็จัดไม่ได้ งานวันบูรพาจารย์ก็จัดไม่ได้ จึงได้ห่างเหินจากเพื่อนฝูงกันไปพักใหญ่ จนกระทั่งได้เจอหน้ากันตามงานประชุม หรือว่างานคณะสงฆ์ต่าง ๆ ก็ได้แต่ถามกันว่า "เมื่อไรจะตาย ?" ซึ่งท่านอาจารย์นนท์ก็หัวเราะให้ทุกครั้งไป เนื่องเพราะว่าท่านเองมีโรคมะเร็งกินมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,982
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,585
    ค่าพลัง:
    +26,426
    พวกเราที่รู้กันอยู่ว่าบุคคลที่เป็นนักปฏิบัติ โรคภัยไข้เจ็บแค่นี้ไม่มีอะไรสร้างความกังวลให้ได้ จึงได้ใช้คำพูดประเภทนักปฏิบัติธรรมด้วยกันก็คือ "ว่ากันตรง ๆ" ซึ่งลักษณะของการว่ากันตรง ๆ ปราศจากการปรุงแต่งก็คือลักษณะอย่างนี้ ไม่ใช่ไปด่าใครสาดเสียเทเสีย แล้วก็บอกว่าเป็นคนพูดตรง ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็ดูท่าจะไม่ใช่การปฏิบัติธรรมตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว..!

    จนกระทั่งมาวันขึ้นปีใหม่ ขณะที่พวกเรากำลังสวดมนต์ข้ามปีอยู่ ท่านอาจารย์นนท์ก็ตัดสินใจเลิกหายใจเสียดื้อ ๆ..! แต่กระผม/อาตมภาพก็ติดงานต่อเนื่องกันอยู่หลายวัน ไม่มีโอกาสที่จะมาร่วมรดน้ำศพขอขมาพรรคพวกเพื่อนฝูงเลย เพิ่งจะมีวันนี้ที่มีโอกาสเดินทางไปร่วมงาน ญาติโยมที่เจอก็ยังบอกว่า "ไม่ได้จัดงานเสียหลายปี ห่างเหินกันไป ตอนแรกเห็นหน้าก็ว่าคุ้นเคย แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นหลวงพ่อเล็ก" กระผม/อาตมภาพเองก็รู้สึก "หัวเราะไม่ได้ ร่ำไห้ไม่ออก" ตามสำนวนกำลังภายในเขาทุกครั้ง

    เนื่องเพราะแม้แต่ท่านเจ้าคุณพระอุดมสิทธินายก (กำพล คุณงฺกโร ป.ธ. ๙), รศ.ดร. หรือที่กระผม/อาตมภาพเรียกสั้น ๆ ว่า "ท่านเจ้าคุณอุดม" รองเจ้าคณะจังหวัดนนทบุรี เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง อีกตำแหน่งหนึ่งของท่านก็คือคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย บางทีท่านมาเห็นหน้าทีหลังก็ยังตกอกตกใจ เข้ามากราบถวายคารวะกันทีหลัง บอกว่า "ตอนเดินมาไม่ได้คิดว่าเป็นหลวงพ่อเล็ก เพราะว่าท่านเดินไม่เหมือนคนแก่เลย" กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าคนแก่นั้นเดินแบบไหน ? แต่ตนเองก็เดินลักษณะนี้มาตลอดชีวิต

    เมื่อได้ถวายปัจจัยไทยธรรมและผ้าไตรช่วยงานให้แก่รักษาการเจ้าอาวาสแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ต้องเดินทางกลับ เพื่อที่จะมาเตรียมข้าวของต่าง ๆ ในการเดินทางไปยังเมืองฮาร์บิน หรือที่เรียกกันตามภาษาจีนว่า "ฮาร์เอ่อปิ้น" มณฑลเฮยหลงเจียง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่สุดโหดแห่งหนึ่งในประเทศจีน เนื่องเพราะว่าอุณหภูมิติดลบหลาย ๑๐ องศาเซลเซียสทุกปี โดยเฉพาะช่วงนี้ ความกดอากาศสูงกำลังแผลงฤทธิ์อย่างเต็มที่ คาดว่าอีก ๒ วันที่เดินทางไปน่าจะอยู่ที่ประมาณ -๒๐ องศาเซลเซียสเศษ..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,982
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,585
    ค่าพลัง:
    +26,426
    กระผม/อาตมภาพเองก็ได้รับการทักท้วงจากบุคคลที่รักและห่วงใยหลายต่อหลายคนว่า "สถานที่โหดร้ายขนาดนั้น หลวงพ่อจะเดินทางไปทำไม ?" กระผม/อาตมภาพเองไม่อยากจะบอกว่า "ถ้าหากว่าตอนนี้ไม่ไป ให้แก่กว่านี้ก็ไม่น่าจะไปไหวอีกแล้ว"

    ดังนั้น..ถ้าหากว่ามีใครชวนไปที่ไหนที่เรียกว่าโหดสุดขั้ว ขอให้เข้าใจว่าถ้ายังมีเรี่ยวมีแรงอยู่ กระผม/อาตมภาพยินดีไปด้วยทันที แบบปีก่อนโน้นที่คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเอ็นซีทัวร์ ได้ชักชวนให้เดินทางไปยังแคชเมียร์ แล้วใช้ทางรถยนต์วิ่งไปยังเมืองเลห์ - ลาดัก ซึ่งเป็นหนทางที่โหดสุด ๆ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไปแล้วมีโอกาสตายมากกว่ารอด..!

    คุณนวลจันทร์อยากจะลองเดินทางลักษณะนั้นสักที ในฐานะที่ทำบริษัททัวร์จะได้บอกกับลูกทัวร์อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเส้นทางถนนนั้นเป็นอย่างไร ? แล้วก็ได้พบกับความโหดของเส้นทางจริง ๆ ก็คือถึงเวลาหิมะถล่มลงมายาว ๓ - ๔ กิโลเมตร ปิดเส้นทางไปหมด ต้องรอให้รถตัดน้ำแข็ง รถโกยหิมะ มาทำการเจาะช่องให้ ซึ่งการทำงานแบบเร่งด่วน เขาก็ไม่สามารถที่จะเจาะช่องจนรถวิ่งสวนทางกันได้ เนื่องเพราะว่าพื้นที่ในการที่จะโกยหิมะทิ้งไปนั้นจำกัดมาก ก็ได้แต่เจาะช่องให้รถวิ่งได้คันเดียว แล้วก็สลับกันว่าช่วงเช้าทางด้านโน้นวิ่งมา ช่วงบ่ายทางด้านนี้วิ่งไป เหล่านี้เป็นต้น

    เมื่อเห็นกำแพงหิมะที่สูงท่วมหัวไป ๓ - ๔ เมตร บางระยะก็ยังเห็นซากรถที่โดนหิมะคลุมอยู่ทั้งคันโผล่มาแต่ล้อนิดเดียว เพราะว่าโดนหิมะดันจนหงายท้องไป สอบถามบรรดาโชเฟอร์แล้วว่า "จะจัดการอย่างไรกับผู้ที่เสียชีวิตอยู่ในนั้น ?" โชเฟอร์บอกว่า "ต้องรอหน้าร้อนให้หิมะละลายแล้วค่อยมาเก็บศพไปทำพิธีทางศาสนา..!"

    พวกเราผ่านพื้นที่ในลักษณะนั้นมาก็ถือว่าเป็นเกียรติประวัติในชีวิตอย่างหนึ่ง แล้วก็ขึ้นไปติดอยู่ที่ Gardung La Pass ซึ่งเป็นเส้นทางที่สูงที่สุด คือสูงถึง ๕,๖๐๐ เมตร ถ้าหากว่าตามที่ทางราชการเขากำหนดไว้ก็คือ "ห้ามอยู่ข้างบนนานเกิน ๒๐ นาที" แต่คณะของกระผม/อาตมภาพนั้นติดอยู่ ๒ ชั่วโมงเศษ..! เนื่องเพราะว่าหิมะตกหนัก ทางด้านล่างสั่งปิดทางไม่ให้รถวิ่งขึ้นลง เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าลื่นหิมะ อาจจะไถลลงเหวไปเลย..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,982
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,585
    ค่าพลัง:
    +26,426
    แล้วก็มีการบริหารจัดการที่กระผม/อาตมภาพเห็นว่า "บ้ามาก" ก็คือให้คนข้างล่างวิ่งขึ้นมาจนหมดก่อน แล้วค่อยให้คนข้างบนลงไป..! โดนที่ลืมไปว่าคนข้างบนติดอยู่ในที่สูง ๕,๖๐๐ เมตร ซึ่งแทบไม่มีอากาศหายใจนั้น ถ้าอยู่นานเกิน ๒๐ นาที อาจจะมีปัญหาโรคแพ้ความสูงจนสมองบวมถึงตายได้..!

    แต่ในเมื่อเขาบริหารจัดการแบบนั้น พวกเราก็ต้องอาศัยบารมีพระบ้าง อาศัยบุญเฉพาะตัวตนบ้าง ทำให้สามารถเอาชีวิตรอดลงมาได้ ถึงเวลาบอกเล่าให้ผู้อื่นฟัง หรือว่าเปิดคลิปให้ดูกำแพงน้ำแข็งสูงลิบโลก เลยหัวไปหลายต่อหลายเท่าแล้ว ผู้คนล้วนแล้วแต่สั่นหัวทั้งสิ้น..! แล้วกระผม/อาตมภาพก็ไม่แนะนำให้ใครเดินทางลักษณะนั้นอีกด้วย

    การไปยังเมืองฮาร์บินครั้งนี้ถือว่าเป็นการสร้างเกียรติประวัติให้กับตนเอง แต่ว่าญาติโยมก็เป็นห่วงเป็นใยกันนักหนา คนโน้นให้คำแนะนำอย่างโน้น คนนี้ซื้อของสิ่งนี้ให้ กระผม/อาตมภาพที่เป็นคนขี้เกียจขนของ เนื่องเพราะว่าไม่ชอบอะไรรกรุงรัง ก็คิดว่าเอาไปแค่กระเป๋าใบเดียวหิ้วขึ้นเครื่องได้ ถ้าหากว่าไม่เพียงพอต่อสู้กับความหนาว เราก็จะได้ดังก็คือตายแล้วไม่เน่า มีสภาพเดียวกับหมูหมาต่างประเทศที่มีผู้ยกตัวอย่างว่าตายแล้วไม่เน่าเหมือนกัน..!

    เรื่องนั้นกระผม/อาตมภาพไม่ขอกล่าวถึง และญาติโยมก็ไม่ควรสอบถามอีก เนื่องเพราะว่าในเมื่อ "สวรรค์มีทาง ท่านไม่ยอมไป นรกไร้ประตู ท่านกลับพยายามตะเกียกตะกายมุดเข้าไปหา" เราก็อย่า "เอาไม้สั้นไปรันขี้" ให้เหม็นตัวเองเลย แล้วแต่หนทางของใครของมันในกาลข้างหน้า ถ้ามีโอกาสก็จะไปเยี่ยมยามกันตามอัธยาศัย ถ้าไม่ได้พบปะกันก็ถือว่าทางใครทางมัน..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...