เรื่องเล่า ตื่นนอน ตอนสายๆ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 30 มิถุนายน 2010.

  1. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356
    จิตของใครตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ดุจภูเขา...ไม่กำหนัดในอารมณ์อันชวนให้กำหนัด
    ไม่ขัดเคืองในอารมณ์อันชวนให้ขัดเคือง...ผู้ใด อบรมจิตได้อย่างนี้ ทุกข์จะมาถึงผู้นั้นแต่ที่ไหน ฯ
    ....ชอบคำนี้มาก...แต่เราทำได้ยากมาก...เฮ้อ

    ตามมาให้กำลังใจจ่ะ
    แล้วอยากลองฝึกสมาธิแบบกระทิบ้างจ่ะ...ปูเสื่อรอนิทานตอนที่สามอยู่น๊าาาา
     
  2. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    พลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่สาม

    ตอนกะทินั่งสมาธิแล้วนอนไม่หลับไม่รู้ทำไง?



    ถึงแม้ว่าเราจะมีวิธีทำสมาธิแบบลืมตา ดังที่กะทิเธอได้ยกตัวอย่างผู้ที่เคย "จุดไฟติด" หากว่ามีเหตุกาณ์ที่บังเอิญไปถูก "จริต" ของคนแต่ละคน ซึ่งได้นำมาเล่าไว้ในตอนที่หนึ่งแล้วนั้น


    ทางพุทธศาสนาจะให้คำจำกัดความ เรียกวิธีนี้ว่า การเพ่งกสิณ (แต่สิ่งที่กะทิปฏิบัติ เธอไม่ได้คิดว่ามันเป็นอย่างนั้นแม้แต่น้อย แม้ว่าคนพุทธจะเรียกวิธีนี้ ว่าอย่างนั้นก็เถอะ ดังที่เขียนอธิบายไว้ก่อนเข้านิทานตอนที่สาม เพราะจริงๆ แล้วสมาธิลืมตาที่กะทิใช้อยู่ มันมีรายละเอียดปลีกย่อยในการปฏิบัติอยู่ด้วยนะคะ ซึ่งประกอบไปด้วยวิธีทางคริสตศาสนาและมุสลิมประกอบกันอยู่อย่างละน้อยด้วย ดังกล่าว ก่อนเข้านิทานตอนที่สาม)


    หากเราแต่ละคนถูกจริต กับวิธีใด ก็สามารถนำมาเป็นวิธีการเข้าถึงสมาธิแบบลืมตาได้ทั้งสิ้น (แต่การควบคุมสมาธิแบบลืมตาให้ได้นี้ก็ว่ากันไปอีกประเด็นนะคะ)



    ถึงกระนั้นก็ใช่ว่า เราจะละเลยการทำสมาธิแบบปิดตาแบบดั่งเดิม เพราะวิธีทำสมาธิแบบปิดตานี้ก็มีข้อดีอยู่ เพราะมันเป็นพื้นฐานของการฝึกสมาธิใช่ไหมคะ



    วิธีที่กะทิใช้ทำสมาธิเดิมจะเป็นการภวนาค่ะ ซึ่งการเข้าถึงสมาธิ/ฌาน มันมีตั้งแต่การเข้าถึงสมาธิชั้นต้นไปจนถึงการทำสมาธิได้ลึก มีชื่อเรียกตามแต่ละขั้นดังนี้

    * ขณิกสมาธิ
    * อุปจารสมาธิ
    * อัปปนาสมาธิ


    ขณิกสมาธิ คือ การทำสมาธิขณะที่จิตตั้งมั่น เพียงชั่วขณะจิต -> แต่เมื่อความตั้งมั่นที่มีกำลัง ก็จะเข้าสู่อุปจารสมาธิ ->และ เมื่อสมาธิถึงความแนบแน่น ก็จะเข้าสู่ความเป็นอัปปนาสมาธิ (ที่หลายๆ คนมักจะเกิดความปิติกันตรงนี้ สงบ เยือกเย็น จมดิ่ง และ/หรือ บางคนพอมาถึงตรงนี้ก็จะ ZzzZzz นั่นแหละค่ะ)


    แต่ว่า เวลาที่เราจะฝึกสมาธิ จนก่อเกิดเป็นสมาธิ เพื่อก่อเกิดเป็นพลังจิต เราจะต้องถอนสมาธิจากอัปปนาสมาธิ กลับมาอยู่ตรงที่อุปจารสมาธิ(ความตั้งมั่นที่มีกำลัง) หนะค่ะ



    สมาธิทั้งสามวาระดังกล่าว เป็นเรื่องสากลที่ทุกคนทำได้ แต่ใครจะรู้จักควบคุม ในที่นี้หมายถึง รู้จักควบคุมที่จะจับสมาธิให้เดินหน้า และถอยหลังมาอยู่ในสมาธิแต่ละจุดได้ นี่สิ น่าสนใจ


    เรามาดูวิธีการทำสมาธิของกะทิกันสักหน่อยนะคะ (อ้าวกะทิเอ้ยยย รายงานการทำสมาธิของเธอซิจ๊ะ)


    /ยังมีต่อ




    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2014
  3. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +13,166
    น่าจะเป็น หวัด ธรรมดาๆ
    คัดจมูก น้ำมูกไหล .... ฮาด เช็ย...... เท่านั้น

    ใส่เสื้อหนาๆ สัก สองชั้น สวมถุงเท้า ตลอดเวลา รักษา อนุภูมิ ร่างกายไว้

    เดี๋ยว ก็ หาย ครับ

    จัดให้ แล้ว นะครับ...................................
     
  4. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    เชิญร่วมทำบุญสร้างหนังสือสวดมนต์กับคุณ สกล อัชฌาเจริญสถิต ค่ะ โดยทุกปี เธอผู้นี้จะพิมพ์หนังสือสวดมนต์ "หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ. สิงห์บุรี" อะนะคะ



    ซึ่งดิฉันก็ได้ร่วมบุญกับเธอ มาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน มีที่หยุดคั่นกลางไปบ้าง ในช่วงที่ปีน้ำท่วม และในช่วงที่เธอย้ายบ้าน ก็มีไม่ได้ร่วมบุญกันไป เพิ่งกลับมาร่วมด้วยช่วยกันสร้างหนังสือสวดมนต์กันกกับคุณสกล ก็เมื่อปีสองปีที่ผ่านมา


    มีคำกล่าวที่ว่า หากเราทำบุญใด ก็ขอให้ประกาศ เพื่อที่สาธุชนจะได้ร่วมกันทำบุญ เป็นกุศลแก่ตัว โดยเฉพาะกับท่านหลวงพ่อจรัญนี้ ท่านมีบุญจริงหนะค่ะ


    [​IMG]


    ดังนั้นหากผู้อ่านท่านใด สนใจร่วมบุญสร้างหนังสือสวดมต์ สามารถโอนสตางค์ผ่านบัญชีคุณ สกล อัชฌาเจริญสถิต มีสองธนาคารนะคะ
    ธ. กสิกรไทย ออมทรัพย์ เลขที่ 697-201-6401
    ธ. ไทยพาณิชย์ ออมทรัพย์ เลขที่ 388-222776-1


    โดยหนังสือสวดมนต์จะตกเล่มละ 7 บาทนะคะ ท่านสามารถทำได้ แล้วแต่ศรัทธา เมื่อโอนแล้ว แล้วกรุณาแจ้งชื่อ-สกุล และจำนวนเงินที่โอนมา กลับมาที่หลังไมค์ด้วยนะคะ เพื่อจะได้พิมพ์ชื่อของท่านลงไปในหนังสือค่ะ


    เท่าที่ดิฉันทำหนังสือสวดมนต์มา คุณสกลเธอจะขอที่อยู่ให้จัดส่งหนังสือไปที่บ้านค่ะ แต่ดิฉันพบว่า หากเรารับเอาหนังสือสวดมนต์กลับคืนมาไว้ที่เรา แล้วเอาไปแจกให้ผู้อื่นที่รู้จัก มักไม่ได้รับความใส่ใจในหนังสือเท่าที่ควร



    ดังนั้น ดิฉันจะส่งหนังสือสวดมนต์ที่พิมพ์เสร็จ ให้คุณสกลนำไปไว้ที่วัด ในอีกส่วนที่พวกเราร่วมกันทำบุญ จะนำไปไว้ที่คลินิกของคุณหมอสุวิ เหมือนในปีก่อนๆ ที่ดิฉันและคณะได้ร่วมกันทำบุญพิมพ์หนังสือนะคะ จึงเรียนมาเพื่อทราบ หากใครแวะไปที่บ้านคลินิกคุณหมอสุวิ หลังเดือน ส.ค. ก็น่าจะได้เห็นค่ะ



    หมดเขตการร่วมบุญนี้ คุณสกลแจ้งมาว่า จะถวายแด่ท่านหลวงพ่อ วันที่ 15 ส.ค. 2014 ดังนั้น ดิฉันขออนุญาต ปิดการร่วมบุญ วันที่ 5 สิงหาคมนะคะ (ขอแก้วันจะที่เคยประกาศไว้ว่าเป็นวันที่ 13 ขอเปลี่ยนเป็นวันที่ 5 เนื่องจากจะทำให้พิมพ์หนังสือไม่ทันค่ะ)

    สาธุค่ะ




    แถมด้วยนิทาน ตาม Style กะทิ กับชาดก อานิสงส์สร้างหนังสือ ถวายหนังสือ


    อานิสงส์สร้างหนังสือ หรือถวายหนังสือ ดั่งประทีปส่องทางให้เห็นนรกและสวรรค์ ผู้นั้นจะได้อานิสงส์เพิ่มพูน กุศลจริยาเป็นเอนกอนันต์ ได้รับชัยชนะต่อจิตใจตนเอง และผู้อื่น มีความรู้ การศึกษาสูง บังเกิดผลบุญอันยิ่งใหญ่ไพศาลทั้งในชาตินี้ และชาติหน้า ดังมีใจความว่า


    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่ในเชตวันมหาวิหาร ณ กรุงสาวัตถี ในเวลานั้นพระสารีบุตรเถระเจ้า มีความประสงค์ว่า จักทูลถามพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรมประกาศอานิสงส์สร้างพระไตรปิฎก ให้ทราบทั่วถึงกันแก่พุทธบริษัทพระเถระเจ้าก็เข้าเฝ้าทูลถาม แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าชนทั้งหลายให้พุทธศาสนายืนยาวถึง ๕ พันวัสสา จะมีอานิสงส์เป็นประการใด พระพุทธเจ้าข้า


    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ดูกรท่านสารีบุตร ถ้าชนทั้งหลายมีจิตรศรัทธาเลื่อมใสเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปแล้วก็จักได้ เสวยราชสมบัติ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชถึง ๘ หมื่น ๔ พันกัลป์ ใช่แต่เท่านั้น เมื่อเคลื่อนจากความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว ก็จะได้เป็นพระราชา มีอนุภาพอีก ๙ อสงไขย ต่อจากนั้น ก็ได้เสวยสมบัติ ในตระกูลต่าง ๆ เป็นลำดับไป คือตระกูลพราหมณ์มหาศาล ตระกูลเศรษฐีคฤหบดี และเป็นภูมิเทวดาอากาศเทวดา อย่างละ ๙ อสงไขย ต่อแต่นั้นก็จะได้เสวย ในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น เป็นลำดับไปชั้นละ ๘ อสงไขย เมื่อจุติจากชั้นเทวโลกแล้ว มาถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะมีร่างกายบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นที่รักใคร่ แก่คน ทั้งหลาย ที่ได้พบเห็นทั้งน้ำใจก็บริสุทธิ์สุจริต ปราศจากบาปธรรมอกุศลทั้งปวง และเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด รอบรู้ทั้งทางโลก และทางธรรม ดังนี้เป็นต้น


    ดูกรท่านสารีบุตรเมื่อตถาคตสร้างบารมีอยู่ ได้เกิดเป็นอำมาตย์ของพุทธบิดา แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า ปุราณโคดม ได้สร้าง พระไตรปิฎก ไว้ให้สืบองค์ได้ตั้งความปรารถนา ขอตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์หนึ่งเถิดในอนาคตกาลโน้น



    สมเด็จพระปุราณโคดมบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ไว้ว่า อำมาตย์ผู้นี้ต่อไปภายภาคหน้า จะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระสมณโคดมก็คือพระตถาคต เรานี้เองดังนี้ แลก็สิ้นสุด พระกระแสธรรมเทศนา ที่พระบรมศาสดาทรงแสดงแก่พระสารีบุตรเถระเจ้าแต่เพียงเท่านี้


    สาธุค่ะ


    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการประกาศให้ผุ้คนทั้งหลาย ได้มีส่วนร่วมในการทำบุญ ร่วมบุญกันในการพิมพ์หนังสือสวดมนต์ และข้อธรรมะในพระพุทธศาสนานี้ มีกุศลผลบุญอยู่จริงแล้วไซร์ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์ และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2014
  5. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ตอนต่อ/

    พลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่สาม ตอนกะทินั่งสมาธิแล้วนอนไม่หลับไม่รู้ทำไง?


    เรามาดูวิธีการทำสมาธิของกะทิกันสักหน่อยนะคะ (อ้าวกะทิเอ้ยยย รายงานการทำสมาธิของเธอซิจ๊ะ)


    กะทิจะไม่ยึดติดกับความว่างในการนั่งสมาธิที่อยู่ในความสงบนิ่งลึกลงไปนะคะ หลายๆ ท่านที่กะทิได้เคยคุยด้วย พอถึงขั้นเข้าสู่ความว่าง สงบ ลึก พวกเขาก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ หลายคนเกิดปิติ อิ่มเอมสุขใจ แต่ก็ไม่รู้จะไปไหนหลังจากได้รับความรู้สึกนี้ จึงรู้สึกอยู่อย่างนั้น แล้วก็ออกจากสมาธิไปเลย หรือไม่ก็ ZzzzzZzzz


    เช่นนี้แล้วกรรมฐาน จะอยู่ ณ. ตรงจุดใดของการปฏิบัติสมาธิกันดี


    สำหรับการทำสมาธิแบบกะทิมันแตกต่างออกไปยังไงรึ?



    แรกเริ่มเดิมที กะทิก็ทำสมาธิเหมือนคนทั่วไปค่ะ โดยใช้คำภวนาว่า พุทธ-เข้า...โธ-ออก พอถึงจุดหนึ่ง ก็จะลืมคำภวนา และเหลือไว้ซึ่งความมืด ว่าง แต่เบาสบาย ถึงตรงนี้บางคนจะ ZzzzZzz และ/หรือไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง ก็เลยออกจากสมาธิ


    กะทิก็เคยเป็นแบบนี้นะคะ คืออกจากสมาธิแล้วก็ลงนอนค่ะ หลับง่าย ซำบายมากๆ


    นอกจากนี้แล้ว จากประสบกาณ์ และความซนต่างๆ ที่ทำให้กะทิไม่อยู่กับที่ เพราะเป็นคนที่ช่างสงสัยเป็นอย่างยิ่ง สงสัยดีก็ดีไป สงสัยแบบได้เจ็บตัวก็บ่อยครั้ง รวมถึงการฝึกทำสมาธิจากหลายๆ สำนัก ทำให้กะทิ ได้เรียนรู้วิธีการฝึกสมาธิภวนาแบบต่างๆ มาหลายแบบมาก และสงสัยยิ่งนักว่า มันทำไมมีเยอะแยะนักหว่า? และอันไหนถึงจะดี ดังได้เฉลยเป็นคำตอบและเขียนเป็นนิทานไว้ในตอนที่สองให้ผู้อ่านรับทราบแล้วนะคะ


    ซึ่งนอกจากคำภวนา แบบต่างๆ แล้ว กะทิ ยังได้ค้นพบอีกว่า บางคนก็ไม่ได้ใช้ "คำภวนา" แบบนี้ทั้งหมด แต่ใช้การ "พิจารณา" ร่วมในการทำสมาธิด้วยค่ะ


    สิ่งที่กะทิ เคยใช้เพื่อ "พิจารณา" คือ การพิจารณา -> ธาตุต่างๆ ในร่างกายของเรา ซึ่งร่างกายของเรา ประกอบด้วยธาตุห้าธาตุ ได้แก่.....(โปรดเติมคำลงในช่องว่าง เพื่อทดสอบความรู้รอบตัวของท่านทั้งหลาย ^ ^)......


    ดังนั้นกะทิก็จะใช้สิ่งนี้ มาพิจารณา โดยได้คิดเป็นภาพธาตุต่างๆ ในร่างกายของเรา โดยกำหนดให้อยู่ในวงลูกแก้ว แล้วเดินหน้าภวนาชื่อธาตุทั้งห้า เรียงลำดับธาตุต่างๆ ไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ จนคล่อง


    จากนั้น ก็ลองพิจารณาธาตุต่างๆ ย้อนกลับหลัง (ใช้เวลาทำแบบนี้ในสมาธิหลายวันนะคะ เพราะเป็นการปฏิบัติด้วยและอีกส่วนหนึ่ง เป็นการลองถูกลองผิดจากความขี้สงสัยของตัวเอง และรอดูผลลัพทธ์(เหตุและผลที่กะทิจะได้รับ)ไปในตัวหนะคะ )




    [​IMG]



    จากนั้นกระทิรู้สึกว่าการพิจารณาเพียงแต่ธาตุทั้งห้าอย่างเดียวมันสั้นไปหน่อย เพราะจริงๆ แล้วธาตุทั้งห้าในขณะที่เรานั่งพิจารณาในลูกแก้วนั้น มันเกิด และดับอยู่เสมอ (ให้เราตามรู้ มองเห็นความเกิด-ดับ ในคำภวนาธาตุ เกิด<=> ดับ) กะทิจึงได้เพิ่มการพิจรณาสังขารของมนุษย์เพิ่มขึ้นมา ร่วมเอาไว้ด้วย



    โดยกะทิจะมองเห็นคนเราค่อยๆ เน่า ((เอาตัวเราที่กำลังนั่งอยู่ค่อยๆ เน่า) แต่ไม่ใช่ตัวเรา ด้วยยการนึกเอา สมมติขึ้นมานะคะ/จินตนาการหนะค่ะ)


    ตัวเราตาย และค่อยๆ เน่าจากน้ำเหลือง(เซลล์เม็ดเลือดขาว) ที่ต่อสู่กับเชื้อแบคทีเรีย แต่เพราะร่างกายตายแล้ว จึงไม่มีกำลังให้น้ำเหลืองต่อสู้กับแบคทีเรียในร่างกายของเราเอง จากอาหารที่บูดเน่าค้างไว้ในกระเพาะอาหาร และสำไส้ ทำให้แบคทีเรียนั้นเติบโต และชนะน้ำเหลือง(เซลล์เม็ดเลือดขาว) ได้ในที่สุด พุงของเราจึงเริ่มป่องและตัวบวม เน่าและแตกออก


    เริ่มมีหนอนมากกัดกินร่างกาย หนอนชอนไชร่างกาย กัดกินกันจากตัวแรกก็มีมาเป็นฝูง ตัวของพวกมัน ค่อยๆ อ้วน อวบอิ่ม ขาว สวย และตัวเราจะเหลือแต่โครงกระดูก เบ้าตา เส้นผม (ตอนที่นึกนี่ ไม่จำเป็นต้องนึกไปว่ามีกลิ่นด้วยก็ได้นะคะ เอาแค่พิจารณาสังขารก็พอค่ะ)


    แสงแดดที่ร้อนแรง ระอุ ได้แผดเผาสิ่งที่เหลืออยู่นานวันจนไหม้ กัดกร่อน กลายเป็นผงธุลี และปลิวหายไปในสายลม


    จากตรงนี้ กะทิจะมองเห็นความไม่ยั่งยืนของธาตุทั้งห้า อันได้แก่

    -ธาตุที่หนึ่งดิน (ร่างกาย)
    -ธาตุที่สอง น้ำ (น้ำในร่างกาย เลือด น้ำเหลือง) ไม่มีดินน้ำก็อยู่ไม่ได้ (หนอนได้กินดิน/ร่างกายของเราไปหมดแล้ว)
    -ธาตุที่สาม ลม (ลมหายใจ) หากไม่มีดิน+น้ำ ลมหายใจจะเกิดได้ไหม? ลมหายใจจะคงตั้งอยู่ได้ไหม? ค่อยๆ...พิจารณา.......ให้เรามองเห็นสัจธรรมนะคะ
    -ธาตุที่สี่ ไฟ (เซลล์ต่างๆ ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าอ่อนๆ ทำให้หัวใจทำงาน) (เป็นเหตุผลว่า ทำไมตัวเราจึงเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี เวลาที่เกิดไฟฟ้าดูด ไฟฟ้าช็อตหนะค่ะ)

    "หากว่าไม่มีดิน/น้ำ/ลม และไฟ ในการคงสภาพเป็นร่างกายอยู่อีกต่อไปแล้วไซร้ เราจะ....???........" ค่อยๆ...พิจารณา.......ให้เห็นสัจธรรม(เติมคำในช่องว่างเอาเองตามจริตของแต่ละคนนะคะ)


    เดินทางมาถึงธาตุสุดท้าย ค่ะ


    -ธาตุที่ห้า อากาศธาตุ ช่องว่างในอากาศ อากาศโดยรอบตัวเรา

    (เพิ่มเติมเรื่องอากาศนะคะ อากาศที่อยู่รอบตัวเรา แม้เราจะมองไม่เห็น แต่ว่าอากาศมีน้ำหนักกดทับบนร่างกายของเราอยู่โดยรอบ เหตุที่เราไม่รู้สึกเพราะความเคยชิน แต่เราสามารถรู้ได้ด้วยการเป่าลูกโป่งด้วยปากแล้วผูกปม ก็จะเห็นความต่างระหว่างอากาศภายในและภายนอกของลูกโป่งนะคะ)



    จากนั้นเมื่อไม่มีธาตุทั้งห้าแล้ว ย่อมจะไม่เหลืออะไรเลย เกิดเป็นความว่างเปล่า หรือก็คือจุดเดียวจุดเดิมกับที่กะทิเคยภวนาคำว่า พุทธ-เข้า...โธ-ออก พอถึงจุดอิ่มตัวก็จะเหลือไว้ซึ่งความ ว่าง นั่นแหละค่ะ




    เมื่อเราเดินทางมาถึงความรู้สึกตรงนี้ มองเห็น รู้สึก สภาวะของความว่าง อย่าเพิ่งรีบร้อนไปไหนนะคะ -> ให้เราพิจารณา สังเกต ถึงขอบเขตของความว่างด้วย ว่าความว่างนี้หนอ มันเป็นเช่นไร กว้างไกลถึงไหน มีขอบเขตของความว่างอยู่ด้วยหรือไม่ อันนี้กะทิเธอไม่ขอเฉลยนะคะ



    เพียงแต่ความว่างนี้ไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่ร่างกายของเราเอง ก็ไม่เหลือ (ซึ่งต่างกับการภวนาพุทธ-เข้า โธ-ออก ที่เราจะมองเห็น รู้สึก ถึงลมหายใจในหลอดลม ในร่างกายมีตัวมีตนของเราอะนะคะ)


    การ "พิจารณาสังขาร+ธาตุ" ผลลัพธ์ที่กะทิได้ จึงเป็นความว่างที่ต่างออกไป ระหว่างการใช้คำภวนาพุทธ-โธ กับการพิจารณาสังขาร+ธาตุทั้งห้านะคะ อันนี้สภาวะที่ผู้ปฏิบัติได้รับ มันจะเป็นยังไง ก็แล้วแต่คนล่ะนะคะ


    ถึงตรงนี้จากเดิมที่กะทิจะออกจากสมาธิ เมื่อได้พบความว่าง จากที่เคยใช้คำภวนา พุทธ-โธ เปลี่ยนมาเป็นการ พิจารณา ก็จะได้พบกับสภาวะใหม่ ไฉไล กว่าเดิม



    เพราะเมื่อกะทินั่งสมาธิมาถึงจุดนี้ อยู่ดีๆ เธอก็นึกถึงธรรมะข้อต่างๆ ที่ได้จากการทำสมาธิแบบนี้ ยกตัวอย่าง ธรรมะที่รู้สึกได้คือ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนคือของแน่นอน


    * แน่นอนว่ามีดิน แต่ก็ไม่มี
    * แน่นอนว่ามีน้ำ แต่ก็ไม่มี
    * แน่นอนว่ามีลม แต่ก็ไม่มี ฯลฯ ก็ว่ากันไปนะคะ


    ทำให้เห็นสภาวะของความว่าง และสามารถจับเหตุการณ์ทั้งหมดมาพิจารณา เป็น สภาวะ ธรรม (หรือก็คือสภาวะการพิจารณาธรรมนั้นเองหนะค่ะ)


    ตอนนี้เท่ากับว่า กะทิเธอได้เดินสมาธิถอยหลังจาก ขณิกสมาธิ ผ่านไปถึง อุปจารสมาธิ เข้าสู่ อัปปนาสมาธิ (เมื่อเข้าสู่ความว่าง สงบ เยือกเย็น เกิดความสุข) แล้วถอยกลับมาที่ อุปจารสมาธิ (เพื่อใช้สมาธิพิจารณาธรรม)


    ดังนั้นด้วยเหตุนี้ การปฏิบัติสมาธิของเธอเพียงครั้งเดียวครั้งนี้ เท่ากับว่า เธอได้ทำสมาธิโดยมีทั้งสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในการทำสมาธิเสร็จสรรพในครั้งเดียวด้วย(เข้าใจถูกผิดยังไงก็อย่าว่ากันนะคะ กะทิเธอแค่เอาประสบการณ์นิททานมาเล่าให้ฟังกันเฉยๆ ค่ะ อย่าซีเรียดเกินไปนะคะ)



    การทำสมาธิแบบกะทิที่จะกล่าวไปแล้วนี้ ไม่ได้เร่งทำให้ได้ ให้รู้ ให้คล่องภายในห้าวันสิบวันนะคะ แต่เกิดจากลองทำ และลองปฏิบัติลองถูกลองผิด เป็นเดือนๆ ไม่ได้เน้นตามตำราที่อ่าน แต่เอาตามแต่ความสนุกซุกซนตามธรรมชาติของกะทิเป็นที่ตั้งของตนนะคะ หรือก็คือ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ = ใครปฏิบัติแล้ว ย่อมรู้ได้ด้วยเฉพาะตน นั่นเอง




    ยังมีต่อ/



    อนึ่ง ผู้สนใจการทำนาย สุขภาพ การเงิน การงาน ความรัก จากเบอร์โทรฯ พื้นดวง เลขที่บ้านเพื่อประกอบกิจการ สอบถามได้หลังไมค์ค่ะ




    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้มีความเป็นไท มีความปลอดภัย หลุดออกจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง มารทั้งปวงและอสูรทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2014
  6. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    วันนี้ หลังไมค์ มีผู้อ่านผู้หนึ่งเขียนมาหาคุณกะทิเธอค่ะ

    คุณเจ้าของคำถามคะ กะทิเธอขออนุญาตนำเนื้อความมาลงไว้ดังนี้นะคะ

    เรียนคุณกะทิ ผมมีความสนใจการฝีกสมาธิ เคยนั่งสงบแล้วนิ่งได้จริงๆ แต่ไปต่อไม่เป็น และตอนนี้ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลย ตอนนั้นและตอนนี้ใช้คำภาวนา ไม่ได้สนใจเพ่งกสิณ กลัวสับสน ขอคำปรึกษาด้วยครับ

    ตอบ

    ถ้าจะว่าความตามจริงแล้ว สมัยที่กะทิเธอยังเป็นเด็กน้อย ก็เคยได้หยิบเอาหนังสือธรรมะหลายเล่มขึ้นมาอ่าน เนื้อในใจความบางเล่ม บอกเล่าถึงการฝึกกสิณไว้ด้วย กะทิเธออ่านแล้วก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันค่ะ

    เออ..หนอ..จะฝึกอย่างไรดี ถ้าฝึกแบบผิดวิธี มันจะเกิดผลร้ายกับตัวเราไหม? หรือว่าถ้าเราทำผิดวิธีแล้วจะมีแต่เสียเวลาไหม?

    เป็นคำถามที่น่าสนใจ เพราะว่าในวัยเยาว์ กะทิก็ถามตัวเองแบบนั้นค่ะ

    แต่ที่กะทิได้มาฝึกวิธีคล้ายคลึงกสิณนี้ ก็อย่างที่บอกไว้แล้วว่า มันเป็นความบังเอิญ หรือจะด้วยกรรมกำหนด เพราะ...

    1> แก๊งค์เพื่อนๆ เรา เขาไปกัน ถ้าเราไม่ไปกับพวกเขา เราก็ไม่ใช่คนในกลุ่ม

    2> หลังจากยี่สิบปีผ่านไป ในสมาธิ กะทิเธอได้พบว่า แท้จริงแล้ว สิ่งนี้อยู่กับเธอมาตั้งแต่ต้นของปฐมการเกิดมีกะทิอยู่แล้ว


    ดังนั้น กะทิจึงไม่สามารถแนะนำอะไรในเรื่องของการฝึกกสิณได้ นอกจากว่า อาจต้องอาศัยกรรมบันดาล

    (กรรมมีสามอย่างนะคะ กรรมดี/กรรมกลางๆ/กรรมชั่ว)


    แต่กะทิคิดว่า ผู้ที่จะให้ประสบการณ์ในเรื่องนี้ได้ ก็คือผู้ที่บังเอิญพบเจอในลักษณะคล้ายคลึงกันกับกะทิ แต่เป็นคนละแบบกัน นั่นก็คือคุณดาวทะเลทราย และคุณหมอสุวิค่ะ


    ดังนั้นกะทิคิดว่า หากเธอทั้งสองแวะเข้ามาแชร์ประสบการณ์ ก็น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านนะคะ


    ว่าแต่ว่า เธอทั้งสอง อยากจะเข้ามาเขียนแชร์รึเปล่าอะจิ



    ถึงกระนั้นการฝึกสมาธิแบบภวนา+พิจารณา ไปด้วยพร้อมกันนี้ ยังมีอีกหลายแบบที่กะทิเคยฝึกอะนะคะ ดังนั้น หากท่านทั้งหลายตามอ่านนิทาน พลังอธิษฐานของกะทิ ไปเรื่อยๆ ก็อาจจะได้ทราบวิธีที่น่าจะเหมาะสมกับตัวเองมากกว่าเรื่องกสิณหนะค่ะ ขอให้ลองติดตามไปก่อนก็ได้นะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2014
  7. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ตอนต่อ/


    พลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่สาม ตอนกะทินั่งสมาธิแล้วนอนไม่หลับไม่รู้ทำไง?



    ในแต่ละวัน การทำสมาธิของกะทิจะไม่เหมือนกันนะคะ ทุกวันนี้ช่วงไหนหรือไม่ก็แค่วันไหน ที่เธออยากภวนาพุทธ..โธ เธอก็ทำ วันไหนเธออยากพิจารณาสังขาร เธอก็ทำ เอาแน่เอานอนกับเธอไม่ได้หรอกค่ะ วันไหนเธอไม่อยากทำไรเลย เธอก็ไม่ทำนะคะ(แต่อย่าลืมนะคะว่า ในแต่ละวันเธอก็ไม่ได้ลืมที่จะทำสมาธิลืมตาค่ะ) แต่ว่าผลที่ได้รับจากการที่บางวันฝึกได้ดีเยี่ยม บางวันฝึกไม่ได้เรื่อง (ขี้เกียจ) ก็คือ "กำลังสมาธิของวันนั้นๆ ก็จะแตกต่างกันไปด้วย" กะทิเรียกสิ่งนี้ว่า "แบตเตอรี่สะสม"


    แบตเตอรี่สะสม หมายความว่า ถ้าช่วงไหน(ไม่ใช่วันไหนนะคะ แต่เป็นช่วง) ช่วงนี้(ระหว่างวันนี้ถึงวันนี้หรือระหว่างเดือนนี้-ถึงเดือนนี้) กะทิทำสมาธิได้ดีมากแทบทุกวัน จะเกิด "พลังงานสมาธิหรือก็คือกำลังสมาธิสะสมไว้ในแบตเตอรรี่มาก" ดังนั้นหากมีอะไรเข้ามาในช่วงนี้ เธอก็จะสามารถล่วงรู้ได้โดยง่ายกว่าในช่วงนี้แบตน้อย หรือในช่วงที่จิตตก เพราะไม่ค่อยได้ฝึกสมาธินั่นเอง




    นอกจากนี้กะทิเธอยังมีการทำสมาธิแบบอื่นๆ ที่เคยปฏิบัติมา อีกหลายรูปแบบ เช่น การภวนา รูปฌาน 4

    ด้วยคำภวนามูลกรรมฐานที่ว่า "เกศา /โลมา/ นะขา/ ทันตา/ตะโจ"

    เกศา = ผม
    โลมา = ขน
    นะขา = เล็บ
    ทันตา = ฟัน
    ตะโจ = หนัง


    ซึ่งในช่วงแรกๆ เราจะรู้สึกเหมือนว่าเป็นคำภวนาสมาธิทั่วไป เช่นเดียวกับคำว่า พุทธ-โธ แต่หากเราได้ฝึกทำไปสักระยะ อย่างรู้ในความหมายของคำ (พิจารณาคำไปพร้อมๆ กับกับปฏิบัติ) และทำอย่างถูกวิธีครอบคลุมคำภวนา ก็จะกลายเป็นการเดินพลังในร่างกาย หรือที่คุณดาวทะเลทรายกล่าวอธิบายไว้ในกระทู้เลขที่ #1769 ว่า เป็นการเดินลมปราณ เคลื่อนพลังภายในร่างกาย ( มาก น้อย ก็ ตาม ) นั่นเอง


    และเรายังสามารถภวนาย้อนคำกลับไปกลับมา เป็น
    ตะโจ/ทันตา/นะขา/โลมา/เกศา <=> เกศา /โลมา/ นะขา/ ทันตา/ตะโจ
    เกศา /โลมา/ นะขา/ ทันตา/ตะโจ <=> ตะโจ/ทันตา/นะขา/โลมา/เกศา อีกด้วย(กำลังเดินพลังภายในหนะค่ะ)



    ยังมีการเดินพลังแบบอื่นๆ ที่กะทิใช้อีก เช่น การเดินพลังจากจักระทั้งเจ็ดภายในร่างกาย (สำหรับกะทิการเดินพลังจากจักระ เป็นวิธีปฏิบัติก่อนจะรู้จักการภวนา รูปฌาน 4 หนะค่ะ ทำให้กะทิเธอสามารถเข้าใจเรื่องการเดินพลังภายในไม่ยาก)



    [​IMG]



    ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าวันไหนกะทิเธออยากทำสมาธิแบบไหน ก็เปลี่ยนมันไปได้ทุกฤดูกาล เหมือนกินข้าว มีกับข้าวหลากหลายมากมายให้ผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ไม่มีเบื่อกันล่ะค่ะ


    แต่ทว่า เคยได้ยินกลอนบทหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า "อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดคงเกิดผล" ของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ไหมคะ?


    นั่นแหละค่ะ ที่ทำให้กะทิยังคงเป็นกะทิแสนซนที่ยังวนสนุกไปอยู่ในอ่างน้ำนะคะ ยังเป็นแค่กระต่ายนอนรอ เต่าทั้งหลายไปถึงเส้นชัยก่อนนะคะ เป๊ะเลย นิทานเรื่องนี้ 55555



    ยังมีต่อ/


    อนึ่ง วันนี้ได้แวะไปเดินตลาดเบอร์มานะคะ ผู้ใดสนใจอยากปรับเปลี่ยนเลขหมายให้เสริม หรือสอดคล้อง กับพื้นดวงของตนเอง สามารถคุยกันได้หลังไมค์ค่ะ



    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้มีความเป็นไท มีความปลอดภัย หลุดออกจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง มารทั้งปวงและอสูรทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2014
  8. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    เท่าที่สังเกต


    การตอบรับในการสนใจเรื่องการฝึกสมาธิจากผู้ที่ได้อ่านนิทาน พลังอธิษฐานของกะทิ มีอยุ่พอสมควร ในจำนวนนี้ มีผู้ที่ฝึกด้วยคำภวนา และกะทิเธอเชื่อว่า น่าจะมีผู้ที่ฝึกแบบพิจารณาจักระทั้งเจ็ด และ น่าจะมีผู้ฝึกแบบการภวนามูลกรรมฐานที่ว่า "เกศา /โลมา/ นะขา/ ทันตา/ตะโจ" ด้วย



    ดังนั้นใครที่ฝึกด้วยวิธีการนี้ รบกวนช่วยแชร์ประสบการณ์ของคุณหน่อยค่ะว่าเป็นอย่างไร คุณๆ จะเขียนคุย/เล่า ประสบการณ์กันหน้าไมค์ หรือหลังไมค์มาให้ฟังก็ได้นะคะ โดยเฉพาะหากว่าคุณยังเดินพลังไม่เป็นทั้งที่สองวิธีการนี้อยู่ ดิฉันจะได้แนะนำให้ได้ค่ะ


    ทังนี้ขอผุ้ที่เคยใช้สองวิธีนี้นะคะ เพราะถ้าคุณเล่าประสบการณ์มา ดีฉันก็จะรู้ทันทีค่ะว่า คุณเป็นพวกชัวร์(ใช้วิธีนี้มาก่อน) หรือว่ามั่วนิ่ม นะคะ


    ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยฝึกด้วยวิธีพิจารณามาก่อน ก็สามารถทดลองฝึกกันได้นะคะ ลองไปสักสองสามอาทิตย์ แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ค่อยเขียนมาคุยกันก็ได้ค่ะ




    อนึ่งกะทิเธอต้องขออภัย ที่นิทานของเธอที่ผ่านมา ออกจะอ่านแล้วดูเคลียดๆ อยู่สักหน่อย ทั้งนี้เธอฝากบอกว่า เป็นเพราะท่านผู้อ่านจะได้ทราบรายละเอียดความเป็นมา หากหลังจากผ่านนิทานตอนที่สามนี้ไป แล้วกะทิเธอเริ่มจะเข้าเรื่องอะไรที่มันเหมือนจะเหนือขีดจำกัดของการมองด้วยตาทั้งสองข้าง จากสามมิติ ไปสู่หลายมิติ ว่ามันไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็เกิดมองเห็น แล้วเอาอะไรมาเล่าให้ผู้อ่านฟังเป็นตุเป็นตะซะ อะนะคะ


    สรุป หลังจากจบนิทานตอนที่สามนี้ กะทิเธอสัญญาว่า จะพยายามเขียนให้นิทานเบาสมองขึ้น และนำเรื่องจากการมองผ่านมิติอื่นมานำเสนอค่ะ


    ว่าแต่ยังจะมีคนตามอ่านเหลืออยู่สักกี่คนก็ไม่รู้แฮะ ตรงที่ไม่รู้เนี่ยจิ เขียนไปแล้วไม่มีคนอ่าน 55555555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2014
  9. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ขอเรียนถามครับ

    ฝึกพลังโดยดึงพลังจากภายนอกมาใช้

    สิ่งที่ได้มามีอะไรบ้าง

    สิ่งที่เสียไป มีอะไรบ้าง เสียบุญหรือปล่าวครับ
     
  10. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +13,166
    คำถาม 2 ข้อ

    ขอตอบ ข้อ 2 ก่อน ดี กว่า นะ

    การถึงพลังงาน ภายนอกมาใช้ เสียบุญหรือเปล่า

    คำถาม นี้ ได้ยิน ปั๊บ อด อมยิ้มไม่ได้ รุ้สึก ว่า คนถาม ช่างน่ารัก เหลือเกิน.....55

    ตอบอย่างนี้ ดี กว่า
    ตั้งแต่ เรา เกิดมา นี่ นะ อะไร ที่ เราได้ ประโยชน์ , เกื้อกูล , สนับสนุน
    ทั้งที่ เราเจตนา , ประสงค์ ที่จะได้มา , หรือ เค้ามาเอง ก็ตาม

    ล้วนแล้ว เกิด แต่ บุญ ทั้งสิ้น ครับ.

    ดังนั้น จะว่าไป บุญ ก็เหมือน สารตั้งต้น ของ ปัจจัยและภาวะ ที่จะได้มา หรือได้ต่อๆมา

    ทำอะไร ก็ มีบุญ เป็นผู้ ค้ำจุน อุดหนุน ทั้งน้าน ละครับ
    หากมองกลับ กัน อะไรที่ทำไม่สำเหร็จ ก็ เพราะบุญ ไม่พอ

    คงพอเข้าใจ ได้ ลางๆ แล้ว นะครับ


    ส่วนข้อแรก ที่ถามว่า ฝึกพลังโดยดึงพลังจากภายนอกมาใช้

    สิ่งที่ได้มามีอะไรบ้าง


    ข้อนี้ ทำให้ทราบว่า ผู้ถาม ยังไม่เคยฝีก เรื่องพลังมา ก่อน
    ก่อนจะตอบ จึง ต้อง เล่า ที่ไปที่มา โดยสังเขป อีกที

    โดยปกติ ร่างกายของมนุษย์ และ สัตว์ มี จุดรับพลัง อยู่ หลายจุด

    ที่ ใช้คำว่า หลายจุด จะได้ ไม่สับสน เพราะ ตอนเริ่มเรียนใหม่ๆ ตำราก็ บอกไว้ว่า มี จักระ สำคัญ 7 จุด ได้แก่ 1 2 3 ............. ก็ ว่าไป
    พอเรียนไป นานๆ ฝึกไป ได้ พัฒนาไป เรื่อยๆ ก็ จะพบว่า มันมี มากกว่า 7 จุด
    ไป ไป มา มา หนักๆ เข้า ต้องร้อง โอ้ โฮ มี เป็น สิบๆ จุด

    จนถึง หลายพันจุด............................ พอ พบ เยอะ มากเข้า ก็ ขี้เกลียดจะนับ แล้ว ละ.............55

    สรุปว่า มี หลายจุด ก็ แล้ว กัน นะ แต่ที่ เป็นจุดหลักๆ ก็ 7 จุด ตามที่ รู้กัน มา นั่นแหละ รายละเอียดหาอ่าน กันได้ไม่ยาก

    จักระ เหล่านี้ มีหน้าที่ ประจำ ตุัว ของเค้า คอยควบคุม ดูแล อวัยวะ ในร่างกาย ให้ทำงานเป็นปกติ

    จักระ เหล่านี้ ได้รับพลังงาน จาก
    1. ภายในกาย ของเรา นี่แหละ ที่เรา กิน อาหาร น้ำ หายใจเอาอากาศ เข้าไป และ ฯลฯ
    2. รับจากภายนอก โดย ดูดซับ พลังงาน ที่มีอยู่แล้ว รอบ ๆ ตัวเรา เข้ามา

    จึงเป็นพลังงาน ที่ ได้มา เหมือน ได้เปล่า ไม่ต้องลงทุน อะไรมากมายนัก แค่ ดึงดูดเข้ามา เก็บไว้ส่วนหนึ่ง ใช้ไปส่วนหนึ่ง ผลักเปลี่ยนไป อย่างนี้

    คนที่ฝึกมา นานๆ เค้า จึง มีโอกาส สะสม พลังงาน ไว้มาก หน่อย
    แต่ ก็ ไม่ใช้ ว่า จะ เก็บเอามา ไว้ เหมือน เงินฝาก ธนาคาร นะ การสะสม พลังงาน มันมี อายุ เวลา เหมือนกัน เก็บไว้ นานๆ หากไม่ได้ใช้ไป

    ระวัง จะ เป็นพลังบูด .............. (ผม เรียกเอง นะ เพราะไม่รู้จะเรียกว่าไง )

    เก็บ แล้ว ต้อง รู้จักใช้ไป บ้าง เพื่อ จะได้ มี ที่ว่าง ไว้ เก็บ พลัง ใหม่ เข้ามา

    ผม จึง มักใช้คำว่า เก็บไว้ส่วนหนึ่ง ใช้ไป ส่วนหนึ่ง

    คนที่ ฝึกพลัง จึงต้อง ใช้ ออกไป สม่ำเสมอ ดังจะเห็นได้ว่า คนที่เรียน พลังจักรวาล ต้อง ช่วยรักษาคนเจ็บป่วย เป็นต้น

    พอ ฝึกไป นานๆ พื้นที่สะสม พลังงาน เหมือนมัน จะขยายใหญ่ขึ้น เก็บได้มากขึ้น อัดแน่นได้มากขึ้น (เข้มข้นมากขึ้น)

    เคยพบ คุณหมอ คนหนึ่ง ท่านรักษาโรค โดยใช้พลัง แบบนี้แหละ ( ท่านเป็นแพทย์แผนจีน )
    เวลา คุณหมอ ส่งพลัง ให้ คนไข้ แต่ละที มาเป็น ลูกๆ เลยละ เหมือนมี พลังงาน อัดแน่น วิ่ง มาเป็นก้อนๆ เลย ละ

    เห็นแล้ว เรา อึ่ง แรง จริงๆ

    จากคำถาม ยังรู้ได้ อีกว่า คนถาม คงจะกลัว อะไร อยู่ หน่อยๆ

    การรับพลัง ภายนอก รับเอา เฉพาะ พลังดี ดี เท่านั้นหรือ

    ตอบ ว่า ปกติ การรับพลัง มีระบบ คัดกรอง อยู่ ไม่ว่า คนที่ ฝึกจะรู้ หรือไม่ ก็ ตาม เค้าก็ จะรับเอาแต่ พลังงาน ที่ดี เป็นประโยชน์ เข้ามา อยู่แล้ว

    ไม่ได้ ตอบ แบบ เอาใจ คนกันเอง นะ ...... ข้อนี้ เป็นอย่างนี้ จริงๆ

    เพราะ คนที่ ระบบคัดกรอง ตรงนี้ ไม่ ดี ปกติแล้ว เค้า ก็ มักจะ ขี้โรค อ่อนแอ เป็นปกติ คือ รับไปหมด ทั้งของดี ของเสีย พวกนี้ มักอยู่ได้ไม่นาน ก็ คงต้องไปเกิดใหม่...

    ต้องบอกไว้ก่อน ..... เดี๋ยวจะ ลืมไป

    คนทุกคน สัตว์ ทุกตัว ไม่ว่า จะ เคยเรียน หรือฝึกพลัง มาหรือไม่ก็ตาม จักระ ในร่างกาย มีกันอยู่แล้ว เป็น ปกติ

    ที่ต้องมาเรียน ก็ เพือว่า จะได้ รู้ และ ใช้ ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น เท่านั้น








     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2014
  11. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356
    ลบไม่ทันแล้วจ่ะ catt7
     
  12. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ตอนต่อ/

    พลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่สาม



    หากเราย้อนไปอ่านทบทวนในช่วงที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสมาธิก่อนตัสรู้ ซึ่งระหว่างการทำสมาธินั้น ทรงได้วิชาต่างๆ มามากมาย หากเราสังเกตพิจารณาจากประสบการณ์ ในการทำสมาธิ "ของตัวเราเอง" ไปด้วย หากเราไปถึงที่สุดแห่งสมาธิเหมือนอย่างที่เคยในคนส่วนใหญ่คือ พอถึงขั้นสงบ ลืมลมหายใจ รู้สึกได้ถึงความว่าง ความปิติ ก็แล้วแต่ ก็เป็นอันจบลงใช่ไหมคะ?


    แต่หากเราได้เอามาเทียบเคียงกับวิธีที่พระพุทธองค์ทรงสมาธิ จะพบว่า พระองค์ทรงเคลื่อนสมาธิไปข้างหน้า จาก ญาณ 3 (วิชชา 3)ไปสู่ -> ญาณ 3 (ล่วงรู้ อดีต-อนาคต-ปัจจุบัน)ไปสู่ ->ญาณ 3 (การหยั่งรู้อริยสัจ)ไปสู่ ->ญาณ 16 และ วิปัสสนาญาณ 9


    ดังนี้ย่อมหมายถึง ขณะที่พระองค์ทรงปฏิบัติสมาธิใต้ต้นโพธิ์นั้น ทรงไม่เคยอยู่นิ่งเฉยในสมาธิที่ทรงนั้น แต่ทรงเคลื่อนสมาธิไปเรื่อยๆ จาก ญาณ 3 ไปสู่ ->ญาณ 16 และ วิปัสสนาญาณ 9 ดังกล่าวข้างต้น จนกว่าจะพบทางแห่งการเข้าสู่พระปรินิพาน(ไม่เกิด/แก่/เจ็บ/ตาย อีกต่อไป)



    [​IMG]



    เช่นนี้ เราเองก็ไม่ควรนิ่งเฉยในการอยู่ในสมาธิเช่นกัน นี่คือสิ่งที่หายไป หลายคนไม่ได้ตระหนักรู้ถึงสิ่งนี้ว่า สมาธินั้น มีการเดินหน้า และเคลื่อนไหวในตัวของมันเองอยู่ จากสงบเบื้องต้น(ขณิกสมาธิ) ไปสู่เบื้องกลาง(อุปจารสมาธิ) ไปสู่สมาธิสงบสุขลึก (อัปปนาสมาธิ) แล้ว จะไปเยี่ยงไรต่ออย่างนั้นหรือ?



    หากเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ หรือน่าจะเรียกว่า "มุมคิด" อย่างใหม่ จะได้บทเรียนจากการทำสมาธิไปสู่พระนิพานในองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้


    สมาธิข้างต้น สงบได้แล้ว จิตจะคล่อยๆ เคลื่อนไปสู่ ไปสู่เบื้องกลาง เคลื่อนไปสู่ ความสงบสุขลึก จนพบความว่าง นี่คือคำตอบทั้งหมดของจิต ว่ามันมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่เคยมองเห็น หรือพิจารณาเห็นการเคลื่อนไหวเหล่านี้เลย



    หากกะทิชี้ให้เห็นถึงความละเอียดกว่านี้ จะแสดงภาพได้ดังนี้คือ สมาธิข้างต้น "นิ่งอยู่" จนสงบได้แล้ว ->เกิดการพิจารณา(เช่นเอาโน้นเอานี่มาคิดฟุ้งอยู่ในระหว่างการทำสมาธิ แต่พยายามควบคุมไม่ให้ฟุ้ง) ->จิตจะคล่อยๆ เคลื่อน ไปสู่เบื้องกลาง พอเรา "นิ่งอยู่" จนสงบได้ในชั้นกลางนี้แล้ว->จะเกิดการพิจารณา->จากนั้น จิตคล่อยๆเคลื่อนไปสู่ ความสงบสุขลึก และ"นิ่งอยู่" ในความสงบนี้ เมื่อคุณนั่งสมาธิมาถึงตรงนี้แล้วถือว่าเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดหรือ?



    หากได้ย้อนกลับไปอ่านวิธีการของพระพุทธองค์ แล้วตั้งคำถามกับตัวของคุณเองว่า คุณได้พบพระนิพานแล้วหรือยัง? จึงคิดว่ามันจบแล้วที่ความสงบลึก รู้สึกว่าเป็นสุข ปิติ อยู่ในความว่างที่เคว้งคว้าง และหยุดอยู่ที่ตรงนี้

    ก็จะพบคำตอบว่า "ยังเลย"



    ความจริงก็คือ เรายังสามารถปล่อยให้จิตเคลื่อนต่อไป เคลื่อนต่อไป และเคลื่อนต่อไปได้ ด้วยคำๆ เดียว โดยอาศัยคำว่า "การพิจารณา" กะทิไม่อยากให้คุณผู้อ่านทั้งหลาย ทิ้งคำๆ นี้ออกไปจากใจของคุณ


    ดังนั้นเบื้องหลัง เบื้องลึก ของการทำสมาธิที่ว่าลึกแล้ว มันไม่มีต่อจากนั้นค่ะ แต่สิ่งที่มีอยู่ตรงนั้น นั่นมันก็คือคำว่าการ "พิจารณา"



    มีอะไรที่เราจะพิจารณาได้อย่างนั้นรึ เมื่อจิตเคลื่อนไปถึง ความว่าง ที่จุดๆนั้น(หรือเดินทางไปถึงจุดๆ นั้น) ???

    คำตอบคือ "มีมากมาย จนไม่น่าเชื่อว่ามีค่ะ"



    เหรียญมันมีสองด้าน ความสงบสุขใน "ความว่าง" ที่คุณๆ บางท่านรู้สึกเคว้งคว้างนั่นแหละค่ะ มีของดีอยู่มากมาย เพียงแต่ท่านทั้งหลาย อย่ายืนอยู่กับที่ ท่านเดินทางไปถึงตรงนั้นแล้ว แล้วก็ออกจากสมาธิมาเฉยๆ รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ หารู้ไม่ ว่าตรงจุดนั้นมันมีดีกว่าที่จะยืนเฉยๆ แล้วออกมากสมาธิมาแบบที่ทำกันนั้น



    คุณๆ ไม่ได้เคลื่อนจิตพิจารณา "ความว่าง" นี้เลย โดยเข้าใจไปว่า คุณได้มาถึงความว่าง ก็เป็นอันถึงที่สุดแล้ว ทั้งๆ ที่ในช่วงแรกของการทำสมาธิ ไปสู่ช่วงที่สอง ก่อนถึงช่วงที่สาม ท่านเคลื่อนจิตของท่านไปเรื่อยๆ ได้


    ในจุดที่สามนี้ก็เช่นกัน ทำไมท่านไม่ลองเคลื่อนจิต พิจารณา ความว่างที่ท่านค้นพบล่ะคะ????



    ความว่างนี้ มีปริศนาอยู่มากมาย ล้วนเป็นสัจธรรมที่เราจะได้ฝึกฝนทิพย์ญาณ ต่างๆ จากจุดนี้ เช่น หลักการเบื้องต้นของหูทิพย์ เป็นต้น



    (หากท่านเป็นคริสตเตียน หรือมีเพื่อนนับถือศาสนาคริสต์ หรือเคยเห็นพบเห็นชาวคริสต์สวดมนต์โดยการคุยกับพระเจ้าของพวกเขาในโบสถ์ หรือแม้แต่การคุยกับพระเจ้าก่อนนอน

    [​IMG]

    พวกเขารู้จักวิธีคุยกับพระเจ้า หรือพลังงานแห่งเทพ มาตั้งแต่เด็ก ด้วยการจินตนาการว่าคุยกับพระองค์ทุกคืนผ่านการสวดมนต์ก่อนนอน ฯลฯ นอกจากนี้ทางคริสต์ศาสนา ยังมีความเชื่อเรื่องเทพประจำตัว ที่มาปกป้องรักษา ดูแลเราตั้งแต่เกิด จึงได้มีชื่อนักบุญ อยู่ในชื่อของพวกเขาด้วย ซึ่งหากมองแบบไทยนั้น เราเรียกสิ่งนี้ว่า เทวดาประจำตัวของเรา ซึ่งก็มีอยู่ด้วยกันทุกคนค่ะ)


    [​IMG]




    ปริศนาของความว่างที่กะทิเธอได้พบเจอก็คือ เมื่อกะทิเดินทางมาถึงจุดของความว่าง เราจะคิดเพียงแต่ว่า นี่คือความว่างหนอ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือ "สถานที่" ของความว่าง ไม่ใช่ "จุดของความว่าง" เพียงอย่างเดียว อย่างที่หลายคนเข้าใจไปเอง

    สถานที่แห่งนี้มีอะไรให้จิตเดินเข้าไปหาคำตอบ ??


    สถานที่แห่งนี้ปลอดภัยค่ะ เพราะด้วยการภวนาในพระพุทธศานา เป็นผู้นำพาคุณมา คุณจึงปลอดภัยค่ะ กะทิเธอไปเดินเล่นมาแล้ว ดังนั้นคุณไม่ต้องกลัว หรือกังวลใจใดๆ ลองใส่ให้จิตเคลื่อนที่ไปรอบๆ ดู พร้อมๆ กับพิจารณา ตรวจดูสิคะ ว่าสถานที่นี้ เป็นอย่างไร..

    1.สถานที่แห่งนี้มันกว้างใหญ่แค่ไหน

    2.สถานที่แห่งนี้มันมีขีดจำกัดไหม (สิ่งที่คุณรู้และเข้าใจมาแต่เดิม อาจได้คำตอบใหม่ในคำถามนี้นะคะ ความเชื่อเดิมๆ อาจไม่ใช่คำตอบที่เป็นจริง/ที่แท้จริงเสมอไปค่ะ)

    3.สถานที่แห่งนี้มันลึกแค่ไหน

    4.สถานที่แห่งนี้มีปลายทางของความว่างนั้น มีอยู่หรือไม่? หน้าตาเป็นอย่างไร?

    5.สถานที่แห่งนี้ความว่างที่มืดมิดนี้ มีทางตรงกันข้ามของมันอยู่ไหม? (เปรียบเหมือนเหรียญสองด้านนะคะ ให้คุณพิจารณาค่ะ)

    6. สิ่งสำคัญที่สุด ที่คุณทำในสถานที่แห่งนี้คือ การพิจารณาธรรม โดยยกเอาธรรมะสัก 1 ข้อ ที่คุณนึกได้ในเวลานั้นขึ้นมาพิจารณา เช่น โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ไม่โกรธดีกว่า จะได้ไม่บ้าไม่โง่ โดยแยกออกมาเป็นคำๆ แล้วพิจารณาเป็นท่อนๆ ของคำๆ นั้น

    7. ฯลฯ แล้วแต่ท่านจะพบเจอในความว่างนะคะ ตั้งคำถามได้ร้อยแปดประการตามความสงสัย

    กะทิเธอก็สามารถตั้งคำถามของเธอไปเรื่อยๆ ค่ะ ตามประสาคนช่างสงสัย และซุกซน



    วิธีการในขณะที่คุณเคลื่อนจิตไปรอบๆ ความว่างนี้ นอกจากคุณจะสำรวจ สถานที่ แห่งนี้ ด้วยตัวของคุณเองแล้ว อย่าปล่อยให้ปากและหูของคุณนิ่งเฉย อย่างเช่นที่ผ่านมา ขอให้คุณส่งคำพูด ด้วยการนึกคิดคำถามในใจของคุณออกมาเป็นเสียง(ในใจ) ถามออกไปค่ะ ถ้าไม่รู้จะถามอะไร ก็ลอกคำถามจากที่กะทิแนะนำไป 5 ข้อนั่นแหละ


    [​IMG]


    และขอให้คุณพยายามเปิดใจรับฟังเสียงตอบกลับมานะคะ เสียงนี้ จะเป็นเสียงที่ได้ยินจากจิตของคุณเอง ดังนั้นคุณไม่ต้องตกใจหรือกลัว หรือกังวล ว่ากะทิจะให้คุณฟังเสียงตอบมาจากใคร หนะคะ


    เสียงนั้นไม่เคยทำให้กะทิตกใจเลย แต่แรกจะมาในรูปของจิตบอกจิต หรือก็คือจิตสอนจิตตน ต่อเมื่อเราแข็งแรง คล่องแคล่ว "ชิน" ต่อการได้ยินเสียงจิตบอกจิต คราวนี้ เราก็สามารถใช้สิ่งนี้คุยกับสิ่งอื่นได้ เช่น คุยกับต้นไม้ และสรรพสัตว์ค่ะ



    ส่วนการพิจารณาจักระทั้งเจ็ด และ/หรือ การใช้คำภวนา เกศา/โลมา/นะขา/ทันตา/ตะโจ ก็เหมือนกันนะคะ เราจะหยุดนิ่งในระหว่างกลาง และพิจารณาคั่นกลางถึงของเขบเขตของสิ่งที่เราภวนาอยู่ ตัวอย่าง

    ภวนาคำว่าเกศา -> พิจารณาเกศา -> ภวนาคำว่าโลมา -> พิจารณาโลมา -> ภวนาคำว่านะขา -> พิจารณานะขา ภวนาคำว่าทันตา -> พิจารณาทันตา ->ภวนาคำว่าตะโจ ->พิจารณาตะโจ แล้วย้อนกลับไปภวนาคำว่าเกศา -> พิจารณาเกศา ค่ะ

    นี่คือการเคลื่อนที่ เดินพลังไปโดยสมบูรณ์ ก็ใช้ได้ในแนวคล้ายๆ กันนะคะ เพียงแต่สิ่งนี้จะเน้นออกแนวการปฏิบัติสมถะกรรมฐานค่ะ



    หากในสักวันหนึ่งข้างหน้า ที่คุณมีพลังเข้มแข็ง ยังสามารถใช้คุยกับวัตถุธาตุต่างๆ ก็ได้ เหตุเพราะ แท้จริงแล้ว วัตถุธาตุมีการเคลื่อนไหวอยู่ในตัวของมันเอง เช่น พลังจากก้อนหินที่ตากแดด จะมีพลังงานสะสม และคลายตัวอยู่เสมอ



    ดังนี้ พระเครื่องต่างๆ ที่มีการปลุกเสกไว้ ใส่พลังงานจากการปลุกเสกไว้ ย่อมมีการเคลื่อนไหวพลังงานในตัวของมันเอง



    หากเรารู้ธรรมชาติในสิ่งเหล่านี้ ปริศนาต่างๆ ที่คุณคิดว่าพลังจิต เป็นเรื่องไกลตัว มันกลับเป็นสิ่งใกล้ตัวคุณ อยู่ในชีวิตประจำวันของคุณตลอดเวลานะคะ



    จบนิทาน พลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่สามค่ะ กะทิของเปลี่ยนชื่อตอนนะคะ จากเดิมที่ตั้งชื่อตอนไว้ว่า "นั่งสมาธิแล้วนอนไม่หลับไม่รู้ทำไง?" ขอเปลี่ยนเป็นชื่อ "เคลื่อนไหวในนิ่ง นิ่งสู่เคลิ่อนไหว" ค่ะ

    สาธุ เย้จบสักที



    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้มีความเป็นไท มีความปลอดภัย หลุดออกจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง มารทั้งปวงและอสูรทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2014
  13. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +13,166
    ขออวด สักหน่อย

    พอดี วันนี้ กำลัง จะเอา พระหมอ ไปเลี่ยม

    นำมาอวด เพื่อนสมาชิกสักหน่อย..



    [​IMG]

    พระหมอ องค์ นี้ ได้มา แค่ พระเศียร เท่านั้น
    องค์ จริงๆ เต็มๆ ใหญ่ ประมาณ ผ่ามือ ได้


    [​IMG]

    พระหมอ กรุมหากัณฑ์
    จ. ลพบุรี
    เป็นพระเครื่อง ที่ มีศิลป แปลกไปจาก พระที่ขุดพบโดยทั่วไป ในจังหวัดลพบุรี
    คือ อายุ ประมาณ 800-1,000 ปี
    ศิลป ก็ น่าจะ เป็น ลพบุรี เต็มยุค แต่ พระหมอ ท่าน มิได้ มีลักษณะ ตามแบบ ศิลปยุคลพบุรี

    กลับ กระเดียด ไป ทางลังกา เสียมากกว่า
    แสดงว่า ในยุค นั้น มี การ ติดต่อ ทางธรรมะ หรือมี พระสงฆ์ จากทาง อินเดีย เข้ามา ใน ดินแดนสุวรรณภูมิ แห่งนี้

    ที่ เรียกว่า พระหมอ ก็ เพราะว่า ให้สังเกต ที่มือของ องค์พระ จะมี เม็ดสมอ อยู่
    คนโบราณที่พบเห็น เข้าใจว่า เป็น เม็ดยา
    จึงเรียกว่า พระหมอ
    ประกอบกับว่า สถานที่ขุดพบ เป็นที่ดิน ของ ท่านหมอกัณฑ์ ท่านเป็นหมอรักษาโรค
    อีกทั้งยังมี วิชาอาคม เป็นที่เคารพ ของชาวบ้าน อีกด้วย

    จึงเรียกว่า พระหมอ กรุมหากัณฑ์

    หลังจาก ขุดพบ มีผู้คน นำไปบูชา บ้าง พกติดตัวบ้าง ได้พบ ปาฏิหารย์ ในด้าน อยู่ยงคงกระพัน
    มหาอุตตม์ แคล้วคลาด ป้องกันภัย กัน อยู่ เนืองๆ
    บางคน เจ็บป่วย ไม่รุ้ จะพึงใครได้ สมัยก่อน การคมนาคม ยังไม่สะดวก อยู่ ตามท้องไร่ ปลายนา ห่างไกล ความเจริญ

    ก็ ได้ อาศัย พระหมอ นี่แหละ อาราธนาท่าน ทำน้ำมนต์ รักษาโรค



    ผมเอง คิดอยากจะ ได้ พระหมอ มาเลี่ยมห้อยคอ นานแล้ว
    จน ได้ พระหมอ มาสมใจ เมื่อสัก ยี่สิบปี ก่อน
    พระท่าน องค์ ใหญ่ ขนาด ผ่ามือ ทีเดียว
    จะเลี่ยม ก็ พอได้ จะห้อย ยางไง ดี ละ.........55

    จน มา ได้ ชิ้นส่วน เศียรพระหมอ องค์ นี้มา
    ท่าน คงนึก เมตตา ผม ละมั้ง เพราะได้ มาก ชิ้น นิดเดียว เป็นพระที่ หัก มาตั้งแต่สมัย ขุดกรุ หักมา พอเหมาะ พอดี เฉพาะเศียร พอดี เลย

    ขนาด กำลัง สวย เลี่ยม ติดตัว ได้ ละ ทีนี้..........55
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    บทย่อย ของนิทาน พลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่สาม เคลื่อนไหวในนิ่ง นิ่งสู่เคลิ่อนไหว



    ข้อควรระวังในการปฏิบัติสมาธิเข้าสู่ความว่าง


    การปฏิบัติสมาธิใดๆ หากคุณได้ไปพบไปเจออะไร มีข้อความระวังคะ?


    เมื่อคุณผู้อ่านได้รู้ปริศนาที่ซ่อนอยู่ในความว่าง ซึ่งอยู่ดีๆ กะทิก็เอามาเฉลยซะงั้น ทั้งๆที่กะว่าจะไม่เอามาเขียน แต่ความเป็นนักเจ้าบทเจ้ากลอนก็พาเคลิ้ม เขียนไปเรื่อยๆ (จนได้สิน่า)


    ครั้นพอ พี่ดาว เข้ามาต่อนิทาน ก็คงตั้งหน้าตั้งตาคุยแต่เรื่องพระเครื่อง จะแนะนำน้องสักหน่อยว่า สิ่งนี้มัน "ควร" หรือ "ไม่ควร" เอามาบอกกล่าว เล่า เฉลย


    เหตุ เพราะว่า สิ่งเหล่านี้ มันเป็นดาบ สองคม ซ่อนอยู่ ในตัว ของมันเอง


    หรือกล่าวก็คือ หากคุณรู้ว่ามีอะไรที่ซ่อนอยู่ โดยที่คุณไม่ได้เป็นผู้พบด้วยตนเอง (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ = ใครปฏิบัติแล้ว ย่อมรู้ได้ด้วยเฉพาะตน) คุณก็จะพยายามเข้าสมาธิเพื่อให้ได้รู้ ได้เห็น ตามที่กะทิเล่ามา จนเกิดประเด็นได้ สอง ประเด็นดังนี้คือ....

    1.> อาจได้พบได้เห็นจริง เห็นทางเดิน และทางออกของมิติที่เป็นปริศนาซ่อนอยู่ในความว่างนั้น

    หรือ

    2.>เห็น แต่ไม่ได้เห็น "ของจริง" เพราะว่า เมื่อคุณรู้คำเฉลย ปริศนา คุณก็จะพยายามเข้าไปให้ถึง หากคุณเคยไปมาแล้วหลายครั้ง (ฝึกปฏิบัติถึงจุดนี้มาเป็นเวลานาน) ก็เป็นธรรมดาที่คุณจะไปถึงได้ และสำรวจได้ตามที่กะทิแนะนำ


    แต่หากว่าเป็นทางตรงกันข้าง : คุณไม่ค่อยนั่งสมาธิจนได้เข้าไปถึงความว่างนี้ หรือนาน น้าน นาน สักที ถึงจะได้สัมผัสกับสมาธิจนเข้าถึงความว่าง เหล่านี้ เมื่อคุณรู้จากกะทิ ว่าคุณจะไปต่อจากการเดินทางไปพบความว่าง แล้วจะต้องทำยังไง คุณก็จะเร่งการทำสมาธิของตัวเอง ให้นั่งสมาธิไปจนถึงความว่างใหได้ ซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือขยันฝึกสมาธิมากขึ้น ข้อเสียคือจิตของคุณจะฟุ้งปรุงแต่งจิตของตนให้เข้าถึงความว่าง



    ข้อหลังนี่เอง ที่ ง่ายมาก ที่คุณจะ "ถูกหลอก" จากสิ่งต่อไปนี้


    1. ถูกหลอกจากจิตของตัวเอง แม้แต่กะทิก็ยังเคยถูกหลอกบ่อยๆ ตัวอย่างที่กะทิเคยโดนจิตตนเองหลอก เช่น การระลึกอดีตร่วมชาติกับคุณแม่ของกะทิ พอเดินสมาธิไปขออนุญาตดูอดีตชาติระหว่างแม่กับกะทิ ซึ่งเรืองนี้มีความละเอียดอ่อนมาก เปรียบไปก็เหมือนพ่อเป็นหมอผ่าตัด รักษาลูกคนอื่น ผ่าตัดมาแล้วนับร้อยครั้ง ไม่ค่อยเครียด แต่พอต้องมาผ่าตัดรักษาลูกคนเอง ตัดเอาไส้ติ่งของลูกออก ด้วยความ "รู้สึกผูกพัน ใกล้ชิด รัก หวงแหน" จึงทำให้พ่อหมอเครียดแทบตาย จากความรู้สึกใกล้ชิดที่มีความละเอียดอ่อนซ่อนอยู่นั้น เป็นต้น



    ดังนี้ขณะที่กะทิขออนุญาตสำรวจอดีตร่วมชาติระหว่างแม่คนปัจจุบันกับตัวของกะทิ ที่มีความ ละเอียดอ่อน ความผูกพัน เข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่กะทิมองเห็นจะเป็นเหตุการณ์ และการแต่งกาย ที่สามารถบอกได้ว่าเป็นยุคใด



    [​IMG]



    จากผู้รู้ ที่ได้ช่วย รีเช็ค/ดับเบิ้ลเช็ค เรื่องราวที่กะทิได้เล่าสิ่งที่เธอเห็นหลังออกสมาธิ สรุปว่า การเข้าถึงยุคๆ นั้นของกะทิถูกต้องแล้ว แต่เพราะความ รีบเร่ง บังคับจิต ต้องการรู้ ทำให้จิตฟุ้ง ปรุงแต่งเรื่องราว และไม่ได้เดินตามเหตุการณ์ดูไปให้จบก่อนจะใช้วิจารณญาณในการตัดสินภายหลังก็ยังไม่สาย แต่กะทิเธอกลับรีบตัดสินไปก่อน ด้วยความต้องการอยากรู้ เร่งจิตของตนเองให้ตามดู ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แม่เป็นคนนั้นคนนี้ กะทิเธอเป็นคนนั้น คนนี้


    เปรียบไปก็เช่นเดียวกับผู้ที่พยายามเร่งตนเองให้สมาธิเข้าถึงความว่าง แล้วพอพบสิ่งใด ก็เหมาเอาว่า เป็นเช่นนี้ๆ หล่ะ


    เหตุนี้ กะทิเธอถึงในพูดถึงเรื่องของการ รีเช็ค/ดับเบิ้ลเช็ค เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ในบทก่อนๆ ซึ่งแม้แต่กะทิ ยังต้องถามผู้รู้ ที่สามารถ ตามรู้ดูเราได้


    หากท่านมีครู ท่านสามารถให้ครูของท่านช่วยเช็คได้ ด้วยการเล่าสิ่งที่พบหลังออกจากสมาธิให้ท่านฟัง (ไม่จำเป็นต้องเล่าทันทีหลังออกจากสมาธินะคะ แต่สามารถ พิจารณา เก็บรายละเอียด นำมาเล่า ในภายหลังได้)


    หรือหากท่านผู้อ่านไม่มีครู : -> บ้านดิฉัน/บ้านกระผม อยู่ไกลถึง เมืองเหนือ / อีสาน / ใต้ ไม่ค่อยรู้จักครูผู้ใด เช่นนี้ ก็มีวิธีการเช็คได้อย่างง่ายๆ คือ


    หากคุณสามารถจำรายละเอียดได้อย่างดี อาทิ เรื่องราว อามรมณ์ความรู้สึกในเหตุการณ์ เช่น ความร้อน หนาว สี เช่น จำได้ด้วยว่าใส่เสื้อสีอะไร ผู้สนทนากับท่าน แต่งตัวอย่างไร สีอะไร หน้าตาเป็นแบบไหน ใบหน้า ตา หู ? และเมื่อคุณเข้าสู่การทำสมาธิซ้ำในคราวต่อไป คุณก็ยังคงสามารถต่อติดในสิ่งที่ได้พบไปแล้วคราวก่อนได้ ลงรอยต่อติดกันพอดี นี่ถึงจะเรียกว่า โอเคค่ะ มาถูกทางแล้ว


    ถึงกระนั้น หากสามารถส่งผ่านเรื่องราวถามผู้รู้ได้ จะดีกว่า เพราะปัญหาข้อใหญ่อีกข้อ ก็มีรอ หลอก อยู่เหมือนกัน ซึ่งหนักหนากว่า การปรุงแต่งจิตตัวเอง ที่กะทิเธอได้อธิบายในประการแรกดังกล่าวไปแล้วซะอีก นั่นก็คือ การถูกมาร และ/หรือ อสูร หลอก จัดหนักเลยอันนี้

    แต่ส่วนใหญ่ หากท่านผู้อ่านถูกหลอก ณ จากจุดนี้ละก็ แสดงว่าคุณมีดี มีกำลังสมาธิค่อนข้างเข้าขั้นแล้วนะคะ พวกเขาถึงจะมาหลอก เพราะพวกเขาจะได้เอาคุณไปเป็นพวก (เปรียบไป ก็มีนิทานในพระพุทธประวัติที่พระพุทธเจ้าเคยพบธิดา กิเลสทั้งห้า มาร่ายรำต่อหน้าพระองค์อะนะคะ) และพวกเขาอาจดูดพลังบุญ พลังบารมี จากคุณๆ จ๊วบๆ


    [​IMG]



    ดังนั้นการ รีเช็ค/ดับเบิ้ลเช็ค จากครู หรือผู้รู้ตามได้ (= สามารถกำหนดจิตไปรู้ตามสิ่งที่ท่านเล่ามา) จึงสำคัญ ฉะนั้นเอง ซึ่งในกระทู้นี้ก็มีอยู่แถวๆ นี้หลายคนนะคะ ไม่ใช่เพ่งมาที่กะทิเธอนะคะ เพราะอย่างที่บอกไปแล้ว่า บางทีกะทิเธอก็ถูกหลอก เพราะจิตของเธออ่อนไหวง่ายเกินไป อันเป็นผลจากสภาวะจิตจากเหตุการณ์และสภาพแวดล้อม ระหว่างที่เธอเติบโต และถูกเลี้ยงดู หนะค่ะ


    แต่หากท่านสามารถเดินทางมากรุงเทพได้ และมีพื้นฐานการทำสมาธิที่ผ่านการปฏิบัติมาระยะหนึ่งจนถึงขั้นเข้าสู่ความว่างได้บ้าง ถึงค่อนข้าง(ไม่ต้องบ่อยก็ได้นะคะ) ตนรู้ตัว ตัวรู้ตนนะคะ



    อันนี้กะทิก็จะขอแนะนำว่า ให้ลองไปนั่งสมาธิ มโนมยิทธิ (การฝึกสมาธิภวนาอีกรูปแบบหนึ่งในหลายๆ แบบ ตามแนวทางหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เหมือนทางออกของโรงหนังที่มีหลายๆ ทาง) ที่บ้านสายลม ซอย8 สักครั้งหนะค่ะ ซึ่งจะมีการฝึกมโนมยิทธิในวันเสาร์อาทิตย์ทุกต้นเดือนค่ะ (ควรจะไปถึงที่บ้านสายลมอย่างน้อยตั้งแต่ 11.00 น.) ลองไปเข้าสมาธิที่มีครูนำนะคะ ท่านจะได้รู้ล่ะค่ะว่า ฉันเนี่ยเรียกว่าพอใช้ได้หรือยัง? .


    [​IMG]


    ..ตรงนี้กะทิขอเตือนไว้ก่อนนะคะ ว่าถ้าไปปฏิบัติสมาธิที่บ้านสายลมแล้ว ท่านผู้อ่านไม่เห็นอะไรอย่างที่ครูนำ หรืออย่างที่เพื่อนๆ ในกลุ่มเราเห็น (จะนั่งร่วมเป็นกลุ่ม แล้วมีครูนำสมาธิ 1คนต่อกลุ่ม) ก็ขอให้คุณอย่าได้อย่าฟุ้งซ่าน จินตนาการ ปรุงแต่งเอาเองว่า ฉันเห็น นะคะ


    อย่าหลอกตัวเอง ถ้าเห็นก็ตามครูนำไป ถ้าไม่เห็นก็บอกว่าไม่เห็นค่ะ แสดงว่าจริตของเราอาจไม่ถูกกับแนวทางปฏิบัตินี้ (แนวทางวิธีนี้) นะคะ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ดีค่ะ




    ก็ประมาณนี้นะคะ สำหรับข้อควรระวังค่ะ




    [​IMG]




    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายบูชาบุญนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต เป็นพลังบุญเติมเต็มมหาสมุทรแห่งบุญของข้าพเจ้าไม่ให้เหือดแห้ง ขอให้ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรมในพระพุทธศาสนา เข้าใจสัจธรรมแห่งการดับทุกข์ได้โดยง่าย สามารถปฏิบัติตนเข้าสู่สมาธิได้โดยง่ายทุกเมื่อ ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาบารมี ศรัทธาบารมี วิริยะบารมี วาสนาบารมี อริยะบารมี ศีลบารมี ถึงพร้อมด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ทิพยะสมบัติ อริยะสมบัติ อโรคยาสมบัติ โภคทรัพย์สมบัติ วาสานาสมบัติ นิพานสมบัติ ในพระพุทธศาสนา แก่ข้าพเจ้า ด้วยประการทั้งปวง และขอบุญทั้งหลายนี้จงเป็นพลังคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้มีความเป็นไท มีความปลอดภัย หลุดออกจากสัญญากรรมแห่งการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง มารทั้งปวงและอสูรทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2014
  15. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    อย่างที่เคยบอกกับท่านผู้อ่านไปแล้วว่า กะทิเธอเป็นคนช่างสงสัยนะคะ

    และอย่างที่เคยกล่าวแล้วว่า ก่อนที่จะเขียนนิทานพลังอธิษฐานของกะทิเนี่ย เธอก็ได้ขออนุญาตเจ้าของกระทู้ก่อนที่จะมาเขียน


    ซึ่งจริงๆ แล้วเจ้าของกระทู้นี่แหละค่ะ ที่แนะนำให้กะทิเธอเข้ามาเขียนนิทานจิ


    หลังจากกระทิเธอเขียนนิทานไปหลายตอนแล้ว ปรากฎว่าเจ้าของกระทู้ไม่เขียนมาคอมเม้นท์กะทิสักที ส่วนกะทิก็สงสัยอยู่นั่นแหละ ว่าเจ้าของกระทู้เขาจะว่ายังไง? วันนี้กะทิก็เขียนไปถามอีก (เขียนไปถามหลายรอบ ในแต่ละตอนๆ ก็ไม่ค่อยตอบนะคะช่วงนี้


    จนมาถึงวันนี้ค่ะถึงได้ตอบมานะคะ ดังนี้ค่ะ

    กะทิ : ไม่ทราบว่าเข้าไปอ่านกระทู้บ้างรึยังคะ? จะให้ข้าเจ้าลบทิ้งไหมคะ?

    เจ้าของกระทู้ : อ่านแล้ว อันสุดท้ายนี่ สวดยวดเลย...เขียนต่อนะ...เป็นจุดเปิดทัศนะใหม่ในการฝึกสมาธิ เพราะทุกคนจะติดที่ตรงนี้กันแทบทุกคน ก้าวข้ามไม่ได้ จะติดอยู่ในความว่าง ไปต่อไม่ถูก



    เธอตอบมาสั้นๆ แค่นี้นะคะ แล้วเราก็เม้าส์กระจายกันต่อกับนิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ

    อนึ่งกะทิต้องขอบคุณสำหรับประเด็นที่เกิดปิ๊งไอเดียในการเขียนนิทานตอนที่สาม ให้กับแม่ชีพราหมณ์ที่ชื่อหนูทรัพย์นะคะ

    คุณแม่หนูทรัพย์เธอชอบมาบวชชีพราหมณ์ ถือศีลแปดที่วัดใกล้บ้านกะทิอาศัยอยู่ตอนนี้ ซึ่งกะทิเธอในช่วงนั้นจะได้รับเชิญจากพระท่านให้มาช่วยสอนธรรมะน้องๆ ดังกล่าวไปแล้ว


    ในวันนั้น ก็มีแม่ๆ ทั้งหลาย มาบวชชีพราหมณ์ ถือศีลแปด อยู่จำนวนหนึ่งด้วย แม่หนูทรัพย์เป็นผู้นำในการสวดมนต์ อาราธนาศีลขั้นเทพ แต่ในทางการวางตัวแล้ว เธอทำตัวเป็นแก้วเปล่า ที่พร้อมจะเติมความรู้ลงไปอยู่เสมอ ซึ่งต่างกับแม่ๆ ท่านอื่นๆ ที่เวลาฟังกะทิพูดกับน้องๆ แต่แม่ๆ ท่านอื่นก็ฟังร่วมอยู่ด้วย มักฟังเสร็จก็วางความรู้ไว้ตรงแถวๆ นั้น เพราะเห็นว่ากะทิตัวน้อย เป็นหนูหริ่งตัวเล็กละมั้งค่ะ แต่ก็เอาเถอะ เพราะกะทิเธอตั้งใจมาให้ความรู้กับน้องๆ แม่ๆ นั้นนั่งรวมอยู่ด้วยก็เป็นผลพรอยได้ของแม่ๆ ไปนะคะ จะรับหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ ไม่เคืองกันค่ะ


    หลังจากที่แม่ชีพราหมณ์หนูทรัพย์ได้เคยฟังกะทิเธอพูดไปครั้งหนึ่งถึงสองครั้ง จำไม่ค่อยได้ว่ากี่ครั้งนะคะ หลังจากนั้นเวลาเจอหน้ากะทิเธอก็จะถามเรื่อย ว่าเมื่อไหร่จะมาพูดให้แม่ๆ ฟังอีก (เป็นซะงั้น) ก็เป็นเธอคนเดียวล่ะค่ะ ที่ถามถึงนะคะ

    มีอยู่ครั้งหนึ่งดิฉันเจอแม่ชีหนูทรัพย์ ก็ถามสารทุกข์สุขดิบกันด้วยความดีใจที่ได้เจอ แล้วก็ไปไงมาไงไม่รู้ เราคุยเรื่องการปฏิบัติสมาธิขึ้นมา แม่ชีพราหมณ์หนูทรัพย์ก็บอกประมาณว่า ไปถึงความว่าง แล้วก็สบ๊ายสบาย

    กะทิจึงถามว่า แล้วหลังจากนั้นหล่ะ

    แม่ก็ตอบว่า ก็อยู่ตรงนั้นสบ๊ายๆ

    กะทิ : แม่...จากนั้นหล่ะ

    แม่ : ก็ออกจากสมาธิไปทำอย่างอื่น หรือไม่ก็สัพปะหงก

    กะทิจึงแนะว่า แม่ นั่นเรากำลังติดสุขกันอยู่รึเปล่า? ติดที่สบ๊ายสบาย ไม่ได้ไปไหนเลย พอถึงตรงนั้น แม่เรียนทั้งภาษาบาลีสันสฤต เอาคำท่าน มาพิจารณาธรรม เมื่อถึงจุดนี้ จะได้ไม่ติดสุขอะนะคะ


    นี่จึงเป็นที่มาของการที่กะิเธอมีประเด็นในนิทานเอามาเขียน ซึ่งมีแม่หนูทรัพย์เป็นผู้จุดประกายหนะค่ะ ^ ^


    กะทิขออุทิศบุญที่มีคุณจากการได้พูดคุยกับแม่ชีหนูทรัพย์นี้ จงสำเร็จบุญแด่แม่ชีหนูทรัพย์ ให้มีความสุขความเจริญทางปัญญา การปฏิบัติสมาธิให้ถึงพร้อมได้โดยง่าย อีกทั้งอายุ พละ สุขภาพกายและจิต เป็นพลังบุญหนุนเนือง ถึงซึ่งพระนิพานในพระพุทธศาสนากับตัวแม่ชีหนูทรัพย์เอง ตลอดกาลนานเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2014
  16. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เอ แบบนี้ ก็ต้องอธิษฐาน อุทิศบุญให้เธอ แม่ชีหนูทรัพย์ด้วย ซิ
    ในฐานะเป็น อุปกรณ์ในการสอนธรรม

    (เอใช้คำไม่ค่อยถูกแฮะ ข้าน้อยขอขมากรรมต่อท่านแม่ชีหนูทรัพย์ด้วย)
    กรรมใดที่ข้าน้อยกระทำผิดพลาดไป ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ก่อเป็นความผิดบาปติดตัวข้าพเจ้า

    ด้วยอำนาจแห่งบุญนี้(ที่ได้ทำมาใหม่เอี่ยม-ไม่เกี่ยวกับบุญในมหาสมุทร)
    ด้วยอำนาจที่ได้บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมอันถึงแล้วซึ่งความบริสุทธ์
    และด้วยอำนาจแห่งการกล่าวขอขมากรรม ที่สมบูรแล้ว
    ขอความผิดบาปทั้งปวงที่ติดตัวข้าพเจ้า จงสลายสิ้นเถิด

    (ทำไปเรื่อยๆ สักวันความผิดบาปจะเหลือเป็นศูนย์)
    บุญที่นำมาอธิษฐานสลายบาป จะถูกใช้หมดสิ้นไม่มีเหลือ และไม่สามารถเอามาอ้างใช้ได้อีก
    ความผิดบาป ๑ หน่วยอาชวิน ใช้บุญประมาณ ๔-๗ อสงขัยหน่วยอาชวิน ในการสลายให้หมดไป ซึ่งแล้วแต่ชนิดของบาป

    ดูแล้ว ไม่น่าทำได้เนาะ(นี่จึงเป็นเหตุให้มีผู้กล่าวกันว่า บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาปหักล้างกันไม่ได้)
    แต่ก็มีคนทำได้แล้วนะ
     
  17. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +13,166
    นำภาพเก่าๆ มารำลึก ความหลังกัน

    a.jpg

    ภาพนี้ อาจารย์ อาชวิน แอ๊ค ท่าให้ ถ่ายรูป อย่าง หล่อ เลย ละ....55

    a.jpg

    ภาพ กำลัง ตรวจออร่า กำลังทดสอบ เรื่องสี และความเข้ากันได้

    http://palungjit.org/attachments/a.3224743/
    ภาพ กำลัง วัดพลังพระเครื่อง เรื่องวัดพลังพระ นี่ เป็น เรื่องนิยม กัน จริงๆ ในสมัยนั้น

    มีผู้สนใจ มากันที จน วัดแทบไม่ทัน

    ต้องมี ผุ้ช่วย คอยจด บ้าง ช่วยวัด บ้าง มากันที เยอะๆ ทัั้งน้าน..

    a.jpg

    http://palungjit.org/attachments/a.3224745/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356
    อ่านข้อความนี้แล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะะะะ :z2 (ถึงความผิดบาปจะไม่เหลือเป็นศูนย์...ขอให้ลดน้อยลงติ๊ดนึงกะยังดี...อิอิ)
    เพราะเหตุที่มีผู้กล่าวว่า "บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาปหักล้างกันไม่ได้" นั่นเอง
     
  19. aoffy_s

    aoffy_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +3,775
    โรคระบาดเริ่มมาแล้ว พี่ๆ มีคำเนะนำอย่างไรบ้างครับ ครูบาอาจารย์หลายท่านก็เตือนๆไว้ที่นึกออกก็ได้แต่หาพระเครื่อง เครื่องรางมาห้อย ที่ท่านว่ากันโรคระบาดได้เช่น พระเครื่องหลวงปู่ดู่หลวงตาม้า พระเครื่องหลวงพ่อฤาษีฯ เบี้ยแก้ ปรอทสำเร็จบางสำนัก ฯลฯ
     
  20. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +13,166
    อันที่จริง ตอนที่ ถ่ายภาพ ก็ ตั้งใจ ว่า จะถ่าย ให้ เห็นพลัง
    แต่ ด้วยว่า ตอนนั้น ไม่รู้ ว่า จะทำอย่างไง ก็ ได้ มา แค่ นี้ เอง ครับ

    แม้นมาถึง ตอนนี้ ก็ ยัง ไม่รู้ เหมือน เดิม ............แหละ 55

    รู้ เพียง ว่า จะถ่าย ให้ ติด ดวงจิต กลมๆ ที่ ลอย อยู่ กลางอากาศ ต้อง เปิดไฟแฟลช ที่ หัวกล้องถ่ายภาพ ก็ จะ ติด ดวงกลมๆ ( จิต )

    แต่ กระแส พลัง นี่ ถ่าย ยาก จริงๆ ยังหา วิธี การ ที่ ถ่าย ให้ติด ชัดๆ ไม่ได้
    เท่าที่ เคยเห็น ภาพถ่าย ติด กระแสพลัง แบบชัดๆ เพียงชุดเดียว คือในงาน ที่ อาจารย์ของผม สอนวิชายูเรอัส ตอนที่ ท่านส่งพลัง
    มี คน ถ่ายภาพไว้ มี แสง ออกมารอบตัว คล้าย แสงไฟ สว่าง พุ่งออกมารอบตัว
    ก็ ถ่ายติด ครั้งนั้น เท่านั้น
    แม้น ที่ เห็น ชัดๆ ด้วยตาเปล่า หรือ ตา เนื้อ (คนที่มีความพิเศษ สักหน่อย) แต่ ก็ ถ่ายภาพ ไม่ติด


    ไว้ หาวิธี ได้ คง ถ่าย มาให้ดู กัน สนุก สนาน แน่ นอน.......55
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...