เรื่องราวที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยรู้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Aunyasit, 26 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    เรียนคุณ JK

    เขต จ.จันทบุรี ก็เป็นเขตศีลธรรมสำคัญอีกเขตนึงเป็นเขตของปูหิน ปูยักษ์(ปูทิพย์)ขนาดใหญ่มากและก็มีความสำคัญต่อระบบโลกด้วย ฤทธิ์ปูยักษ์นี้สามารถทำให้น้ำท่วมใหญ่ในโลกได้และสามารถทำให้น้ำในมหาสมุทรลดลงได้อย่างมหาศาล เขาก็ทำหน้าที่ของเขาเช่นกัน

    เขตจันทบุรีมีพวกนาคบำเพ็ญอยู่เยอะ และที่สำคัญก็คือโลกภายในเป็นเขตนึงที่มี "ปลาอานนท์" อยู่(ให้ดูในไตรภูมิพระร่วง) ปลาอานนท์นี่มีฤทธิ์เยอะมาก สื่อญาณของปลาอานนท์สามารถบังคับจิตให้คนพาหนีไปได้ ผมเคยเข้าไปทำศาสน์ศิลป์ในเขตนั้นหลายครั้ง ก็ผ่านได้เฉพาะปูหิน สำหรับเรื่องปลาอานนท์ก็ยังทำศาสน์ศิลป์ไม่สำเร็จสักที ก็คงจะต้องทำบารมีไปเรื่อยๆ วันนึงเขาก็คงจะยอมให้ผ่านบารมีไปได้หากทำบารมีจนมีบุญญฤทธิ์ที่เขายอมรับได้

    การทำบารมีอยู่ในระบบ 3 โลกนี่ไม่ใช่ของง่ายเลย เพราะโลกภายในนั้นมีสิ่งที่น่ากลัวและมีสิ่งที่มีฤทธิ์เยอะมาก ต้องทำบารมีเฉพาะทางเพื่อจะไปผ่านบุญญฤทธิ์ของสิ่งเหล่านั้นให้ได้ก่อน เขาถึงจะยอมอนุโมทนาให้ผ่านบารมี

    อย่างม้าแก้วมณีกาพนี่เป็นเทวดาระดับท้าวมหาพรหม ที่ทำบารมีเกี่ยวข้องกันมา เขาต้องยอมบารมีเราก่อนจึงจะสามารถขี่เขาได้ เขาขี่จักรจึงมีความเร็วสูงมากๆ หากบารมีเราขี่จักรไม่ได้ก็ขึ้นขี่เขาไม่ได้เช่นกัน ความรู้สึกก็เหมือนญาติ เหมือนพี่เหมือนน้องกัน ม้าแก้วมณีกาพมีฤทธิ์มหากาฬเช่นกัน อย่างพวกยักษ์ที่มีฤทธิ์เยอะๆนี่เจอม้าแก้วมณีกาพ ถีบก็ตายทีละเป็นแสนๆตนเลย และยิ่งถ้าเป็นม้าพลาหกละก็ เป็นที่สุดของบุญญฤทธิ์ในระบบม้าทิพย์แล้ว อย่างม้าที่พระพุทธเจ้าขี่เหาะหนีไปบวชนั้นเป็นม้าพลาหก และผู้ที่ทำบารมีเป็นม้าพลาหกให้พระพุทธองค์ขี่ออกบวชในยุคนั้นก็คือ พระราโมพุทโธ นั่นเอง แม้ในปราสาทที่ประทับของเจ้าชายสิทธัตถะจะมีทหารล้อม 4 ทิศ ทิศละ 64,000 คน ม้าพลาหกก็สามารถพาเจ้าชายสิทธัตถะเหาะหนีไปได้ โดยท้าวจตุโลกบาลท่านก็คุมอยู่ที่ทั้ง 4 ขาของม้าแหละ ที่จริงเรื่องของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นคนอัศจรรย์ เรื่องราวของท่านอัศจรรย์ทุกเรื่อง แต่คนในยุคหลังเขาเล่าไปเล่ามากลายเป็นว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนธรรมดาไปเลย แม้แต่ปราสาทต่างๆที่ท่านประทับนั้น ก็ผุดขึ้นมาเองจากทะเล เมื่อหมดสมัยท่านปราสาทนั้นก็จมลงทะเลไป ไปอยู่ในมิติลี้ลับต่อไป ต้องท่านที่เป็นระดับพระมหาโพธิสัตว์ใหญ่แหละจึงจะสามารถไปรู้เรื่องราวเหล่านี้อย่างละเอียด ถ้าจะเปรียบเทียบ โลกมนุษย์นี้ก็เหมือนเป็นหมู่บ้านนึงในจักรวาลแหละครับ แต่ก็เป็นหมู่บ้านที่สำคัญมากๆเพราะพระพุทธองค์ ท่านมาจุติบนโลกมนุษย์นี้ แต่ภพภูมิอื่นๆที่เราไม่เห็นตัวเขาก็มาสร้างบารมีกับพระพุทธองค์ได้เช่นกัน ไม่ว่า นาค ครุฑ เทวดา ฯลฯ เขาก็ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพระพุทธองค์ได้เช่นกัน บางพวกบารมีการบำเพ็ญเขาก็มาก บางทีเป็นพระโพธิสัตว์ด้วย บางท่านก็ไม่ยอมบารมีใคร ยอมเฉพาะพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว จึงมีเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าต้องไปโปรด หรือปราบ พวกภพภูมิอื่นๆ เช่นพวกนาคเป็นต้น เมื่อเขาได้เจอพระพุทธองค์หรือได้พร หรือได้ทำบารมีกับพระพุทธองค์ ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว สำหรับผู้บำเพ็ญบารมีเหล่านั้น

    ลองไปอ่านเรื่องประวัติเก่าๆของเรื่องเจ้าแม่กวนอิมดู ยุคต้นๆท่านก็ทำบารมีเป็นม้ามาก่อนเช่นกัน

    เขตใกล้ๆวัดเขาสุกิม เป็นอาณาบริเวณกว้าง รวมทั้งเขตของวัดสะพานเลือก ล้วนเป็นเขตสำคัญเขตนึง หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม เป็นพระโพธิสัตว์รับพุทธทำนายแล้ว ท่านคุมเขตนั้นอยู่ครับ ก็เคยได้มีโอกาสสนทนากับหลวงพ่อสมชายในลักษณะที่กายทิพย์ไปเจอกันครับ ตัวนอกไม่เคยพบกันจนท่านละสังขารไป แต่ญาณในท่านส่วนหนึ่งก็อยู่แถวนั้นแหละ ท่านรอบางอย่างอยู่น่ะ

    อย่างเรื่องที่เล่ามานั้น มันเกินวิสัยที่นักปฏิบัติทั่วๆไปจะเข้าใจได้แล้ว เนื่องจากเป็นเรื่องการรู้เห็นของท่านที่ทำบารมีเฉพาะทางและมีหน้าที่มาทำ อย่างที่ครูบาอาจารย์ของผมท่านทำคือ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DM.JPG
      DM.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.8 KB
      เปิดดู:
      216
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2005
  2. JK

    JK สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +16
    ขอขอบคุณ คุณ Aunyasit ครับ ผมเองหันมาสนใจเรื่องเกี่ยวกับโลกภายในมากขึ้นก็หลังจากที่หลวงพ่อท่านช่วยแก้ไข จนลูกชายรอดชีวิตมาได้ หลวงพ่อ ท่านก็เคยถามเหมือนกันว่า อยากไปเห็นทุกอย่างด้วยตัวเองไหม ท่านจะพาไป ผมเองใคร่ที่จะรู้อยู่แล้ว ก็เลยตั้งใจว่า ให้ลูกชายโตขึ้นพอบวชเป็นเณรน้อยได้ พ่อกับลูกจะ ขออนุญาตคุณแม่ ตามหลวงพ่อท่านขึ้นดอยไปฝึกสมาธิยกระดับจิตใจ และอุทิศบุญกุศลให้ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายให้ได้ครับ หลวงพ่อ ท่านเน้นเรื่องกรรมมาก ท่านเคยบอกว่า ขนาดท่านเองเป็นพระ ยังมีกรรมอยู่มากโข เจ้ากรรมของท่านเป็นยักษ์ ตามท่านมาทุกภพ ทุกชาติ หนียังไงก็ไม่พ้น อุทิศบุญกุศลมากมายเท่าไร่ให้ ก็ไม่รับ จะตามมากระทืบท่านท่าเดียว
    ได้ยินจากหลวงพ่อว่า หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม ท่านเป็นพระที่น่าเลื่อมใสและเก่งมาก เสียดายไม่มีโอกาสไปกราบนมัสการท่านสักครั้ง หลวงพ่อท่านก็ธุดงค์ขึ้นไปสร้างสำนักสงฆ์อยู่ที่เชียงราย ผมเลยไม่มีโอกาสได้ถามเรื่องที่อยากรู้มากนัก คงต้องรบกวนถามคุณ Aunyasit อีกสักหลายเรื่อง หลายคราวครับ อ่านแล้ว มีกำลังใจที่จะปฏิบัติธรรมขึ้นอีกมากมายครับ
     
  3. JK

    JK สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +16
    เอ้อ..อยากถามอีกเรื่องครับ ที่ว่า ม้าแก้วมณีกาพนี่เป็นเทวดาระดับท้าวมหาพรหม นั้น หมายความว่า ท่านเป็นเทวดาที่มีกายปกติเป็นม้า หรือครับ แล้วเหตุใดจึงต้องจุติเป็นร่างเช่นนั้น หรือเพื่อให้เหมาะสมกับหน้าที่ที่ท่านต้องทำบารมีครับ ขอความรู้เป็นวิทยาทานครับ ผมชักสนใจเรื่องราวต่างๆมากขึ้นจริงๆครับ
     
  4. TONY2

    TONY2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +110
    ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นหลังสงครามใช่ใหมแล้วเกิดเมื่อไหร แล้วพระเมสสิอากับพระศรีอารใช่องค์เดียวกันหรือเปล่า แล้วพอจะบอกลักษณะของท่านได้ไหม???
     
  5. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    เรียนคุณ JK

    เรื่องม้ามณีกาพนั้น เป็นเรื่องของท้าวมหาพรหมท่านลงทำบารมี ครับ เพื่อให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมกับผู้ที่ทำบารมีร่วม ซึ่งเป็นเรื่องของหน้าที่ ที่ต้องมาทำร่วมกันนั่นเอง อย่างพระราโมพุทโธ ท่านต้องลงมาเป็นม้าพลาหก เพื่อทำบารมีร่วมกับพระพุทธองค์ หรือกรณียุคพระเวสสันดร พระมหากัสปะท่านลงมาเป็นช้างทรงของพระเวสสันดร ส่วนพระศรีฯ ท่านลงมาเป็นควาญช้าง เป็นต้น

    เรื่องของการทำบารมีนั้นจะทำร่วมกันเป็นคณะ ส่วนใหญ่ก็จะตามๆกันมานับชาติไม่ถ้วน และครูบาอาจารย์บางท่านก็ตามสอนเรามาหลายๆชาติก็มี อย่างครูบาอาจารย์ของผมท่านหนึ่ง ท่านเป็นเจ้าฤษีอยู่ที่ภูเขาควาย ท่านก็ตามสอนผมมาชาติแล้วชาติเล่าติดตามมาเป็นหมื่นๆปี หรือปู่ฤษีตาไฟ ที่ญาณท่านอยู่ที่ภูเก็ต ท่านก็ติดตามการทำบารมีของผมอยู่เช่นกัน หากมีอะไรที่เกี่ยวกับตัวเราท่านก็จะมาชี้แนะเป็นวาระ หรือสำหรับครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นระดับโลกอุดร ท่านก็มาสอน มาชี้แนะเช่นกัน ก็เป็นลักษณะของการติดตามการทำบารมี ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ เป็นต้น

    หากจะพูดกันถึงเรื่องยักษ์นั้น โดยปกติจะเห็นพวกเขาได้ยาก พวกยักษ์ก็ตามไล่ล่าผมมาตั้งแต่ยุครามเกียรติ์แหละ เพราะในยุคนั้นก็ฆ่ายักษ์ไว้เยอะ พวกยักษ์นี้มีมิจฉาทิฐิมาก แผ่บุญให้ก็ไม่ยอมรับ เมื่อโปรดไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีการทำบารมีปราบไปชาติแล้วชาติเล่า

    อย่างยักษ์ที่เป็นพญามารของพระพุทธเจ้าโคดมก็เช่นกัน สุดท้ายพระแม่ธรณีก็มาช่วยปราบพญามารและเหล่าเสนามารให้พระพุทธองค์ แต่พญามารก็ยังมีทิฐิอยู่ จนมาถึงยุคพระอรหันต์อุปคุตถ์จึงสามารถปราบทิฐิพญามารได้ เขาจึงยอมและกลับใจ

    หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าพระอรหันต์อุปคุตถ์นั้น ที่จริงแล้วเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ท่านเคยเล่าให้ฟังถึงการกำเนิดของพระมหาอุปคุตถ์ ว่าท่านเป็นลูกนางมัจฉา เกิดโดยปาฏิหารย์อันเนื่องด้วยแต่พระพุทธองค์ ซึ่งมีอยู่ครั้งนึงที่บรรดาสตรีเพศดูถูกพระพุทธองค์ว่าเป็นบันเฑาะหรือเป็นกะเทย พระพุทธองค์จึงแสดงปาฏฺหาริย์ ลงในมหาสมุทร นางมัจฉาไปกินเข้า แล้วก็ตั้งท้องคลอดลูกออกมาเป็นพระมหาอุปคุตถ์ แต่พระมหาอุปคุตถ์ ไม่เคยพบเจอพระพุทธเจ้าเนื่องจากพระพุทธองค์ท่านเข้าพระนิพพานไปก่อน เมื่อปราบพญามารได้แล้ว พระอรหันต์อุปคุตถ์จึงขอให้พญามาร เนรมิตเป็นพระพุทธเจ้าให้ดู เนื่องจากท่านต้องการเห็นพระบิดาของท่าน เข้าใจว่าด้วยบุญบารมีที่พระมหาอุปคุตถ์ถือกำเนิดอันเนื่องด้วยพระพุทธองค์และจากการบำเพ็ญอย่างเข้มแข็ง ท่านจึงมีบุญฤทธิ์มากและสามารถปราบพญามารได้

    คุณ TONY2 เรื่องภัยพิบัตินั้นมาเรื่อยๆแหละครับ มันเกี่ยวข้องกับระบบโลกหลายอย่าง เกี่ยวกันหลายๆภพภูมิ รวมทั้งเกี่ยวกับพระนารายณ์บรรทมศิลป์ ในสะดือทะเลด้วย ลักษณะพระศรีฯนั้นท่านเป็นเหมือนคนอายุ 18 ปีแหละ ครับ เท่าที่เห็นท่านเป็นพระหนุ่มแบบสามเณร

    สำหรับพระเมสสิอานั้น อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นพระศรีฯแต่เรียกชื่อผิดเพี้ยนกันไปน่ะ เมื่อถึงเวลาล้างระบบคนไร้ศีลธรรม คนนอกศาสนาพุทธจะเหลือน้อยมากครับเมื่อเทียบกับคนพุทธ ไม่นานเกินรอหรอกครับ เร่งปฏิบัติธรรมหรือทำบารมีเข้าก็แล้วกันหากคิดจะอยู่ดูโลกยุคศิวิไล
     
  6. moddang

    moddang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,464
    ค่าพลัง:
    +5,423
    อยากให้เจ้าคุณ อัญญาสิทธิ์ เล่าเกี่ยวกะ ท้าวมหาพรหมชินะปัญชะระ หน่อยครับ
     
  7. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    คุณ moddang

    เรื่องท้าวมหาพรหมชินะปัญชะระ ท่านมีบารมีสัมพันธ์กับสมเด็จโต ครับ ณ ปัจจุบันผมยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท้าวมหาพรหมชินะปัญชะระ ครับ

    ท่านที่เกี่ยวข้องกับผม ณ ปัจจุบันก็มีท้าวมหาพรหมธาดา และท้าวมหาพรหมที่ท่านทำบารมีเป็นม้าแก้วมณีกาพ และก็เข้าใจว่าท่านที่ทำหน้าที่เป็นจักรแก้ว ก็เป็นระดับท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งเช่นกันครับ
     
  8. kasin84000

    kasin84000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +997
    โห แต่ละเรื่องที่ท่านเล่ามานี่ สุดยอดจริงๆครับท่าน
     
  9. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832
    นิมิตสร้างภพ สร้างชาติ ผมว่าคุณน่าจะหลงผิดแล้วละครับ แน่จริงลองตั้งสติที่ลมหายใจให้ได้สักสิบห้านาทีสิครับ ถ้าทำได้ถือว่าผมผิดเอง (ลมจริงๆ นะครับ)
     
  10. ปกรณ์

    ปกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +3,761
    ขอขอบพระคุณ คุณอัญญาสิทธิ์ ที่นำเรื่องราวต่างๆมาถ่ายทอดให้อ่านกัน
    คงต้องยอมรับว่าบางเรื่องก็ไม่สามารถจะเข้าถึงได้อย่างถนัดใจนัก แต่ก็ไม่อาจจะปฎิเสธได้เนื่องด้วยจากประสบการณ์ที่ผ่านๆมา เคยได้ยินเรื่องราวต่างๆมาในทำนองเหนือโลกหลายอย่างซึ่งก็ตกลงปลงใจไปในทางไม่เชื่อไว้ก่อนแถมปรามาสอีกเสียด้วย ต่อเมื่อกาลเวลาผ่านไป ได้สัมผัสเห็นเข้าด้วยตนเองถึงได้รู้ว่าเรานี้โง่มาก และยังมีสิ่งที่ไม่รู้อีกหลายเรื่องหลายราว

    และจากที่ได้ติดตามกระทู้นี้ตั้งแต่ต้นก็ได้แนวคิดเพิ่มเติมแก่ตนเองที่เป็นประโยชน์อยู่มาก และเห็นว่าหลายท่านที่ออกมาตอบโต้ น่าจะเป็นผู้ศึกษาธรรมโดยตำราเป็นหลัก ซึ่งก็เป็นไปตามระบบการศึกษาของทางโลกที่มุ่งเน้นกันด้วยตำราและทฤษฎีต่างๆอย่างเดียวเพราะไม่สามารถเข้าถึงโลกทิพย์ได้

    โดยส่วนตัวเห็นว่าการที่จะพิสูจน์ว่าเป็นจริงหรือไม่นั้น ที่สำคัญต้องทำถึงขนาดแยกกายกับจิตให้ออกจากกันอย่างเด็ดขาด แล้วจึงใช้แต่จิตตัวเดียวนี้ที่มีสติกำกับรู้อยู่อย่างมั่นคงออกไปพิสูจน์ นั่นต่างหากที่พอจะพิสูจน์เรื่องต่างๆได้ ซึ่งกว่าจะทำได้หรือการที่จะทำได้ ก็ต้องประกอบด้วยบารมีย่อยๆหลายๆบารมีที่ถึงพร้อมมารวมกัน ที่พูดอย่างนี้เพราะเคยหลุดออกไปชนิดขาดจากกายเหมือนกันไปยังที่ๆไม่น่าจะเคยเห็นมาก่อนจึงยอมรับในสิ่งที่ตนได้รับรู้ว่ามีอยู่จริงและรู้เป็นการเฉพาะตัวจริงๆ(ซึ่งเป็นไม่บ่อย) เพราะหากเราศึกษาโดยอ่านตำราและปฎิบัติย่อๆหย่อนๆยังไม่ถึงขนาดตายเป็นตาย ก็คงจะกล่าวได้ว่าเป็นการปฎิบัติในลักษณะของการปราถนาเป็นหลักเท่านั้น ก็ยังห่างไกล และการที่เรายังทำไม่ถึงขนาดนั้นแล้วปฎิเสธว่าไม่มี จะถือว่าเป็นวิสัยของผู้มีปัญญาก็คงไม่ได้เช่นกัน เพราะธรรมดาของผู้ฉลาดหากไม่เชื่อก็ต้องทำเพื่อพิสูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อนแล้วค่อยปฎิเสธ

    อย่างไรก็ดี ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านกระทู้ของคุณอัญญาสิทธิ์ ทำให้เห็นว่าเรานั้นยังต้องเรียนรู้ยังต้องกระทำให้ยิ่งขึ้นอีกมาก(แม้บางท่านอาจอ้างว่าไม่ใช่หนทางดับทุกข์ก็ตาม แต่ก็ต้องชี้แจงว่ากำลังจิตที่ฝึกมาอย่างกล้าแข็งและเพียงพอแก่การตัดกิเลส อย่างไรเสียต้องพานพบกับสิ่งเหนือโลกแน่นอน) ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดความท้อแท้ว่าความปราถนาของเราจะยังให้บารมีเต็มเมื่อใด แม้จะรู้อยู่ว่าเรายังโง่อีกมาก และบารมียังน้อยอยู่มากก็ตาม แต่ในจิตใจก็มีแต่คำต้องทำและทำและทำๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆกันต่อไปด้วยปัญญา(เท่าที่มี)และด้วยความอดทนอดกลั้น

    ก็ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากมีอะไรชี้แนะสิ่งที่นอกเหนือจากตำราก็ได้โปรดชี้แนะต่อไปด้วย
     
  11. ปกรณ์

    ปกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +3,761
    ขอขอบพระคุณ คุณอัญญาสิทธิ์ ที่นำเรื่องราวต่างๆมาถ่ายทอดให้อ่านกัน
    คงต้องยอมรับว่าบางเรื่องก็ไม่สามารถจะเข้าถึงได้อย่างถนัดใจนัก แต่ก็ไม่อาจจะปฎิเสธได้เนื่องด้วยจากประสบการณ์ที่ผ่านๆมา เคยได้ยินเรื่องราวต่างๆมาในทำนองเหนือโลกหลายอย่างซึ่งก็ตกลงปลงใจไปในทางไม่เชื่อไว้ก่อนแถมปรามาสอีกเสียด้วย ต่อเมื่อกาลเวลาผ่านไป ได้สัมผัสเห็นเข้าด้วยตนเองถึงได้รู้ว่าเรานี้โง่มาก และยังมีสิ่งที่ไม่รู้อีกหลายเรื่องหลายราว

    และจากที่ได้ติดตามกระทู้นี้ตั้งแต่ต้นก็ได้แนวคิดเพิ่มเติมแก่ตนเองที่เป็นประโยชน์อยู่มาก และเห็นว่าหลายท่านที่ออกมาตอบโต้ น่าจะเป็นผู้ศึกษาธรรมโดยตำราเป็นหลัก ซึ่งก็เป็นไปตามระบบการศึกษาของทางโลกที่มุ่งเน้นกันด้วยตำราและทฤษฎีต่างๆอย่างเดียวเพราะไม่สามารถเข้าถึงโลกทิพย์ได้

    โดยส่วนตัวเห็นว่าการที่จะพิสูจน์ว่าเป็นจริงหรือไม่นั้น ที่สำคัญต้องทำถึงขนาดแยกกายกับจิตให้ออกจากกันอย่างเด็ดขาด แล้วจึงใช้แต่จิตตัวเดียวนี้ที่มีสติกำกับรู้อยู่อย่างมั่นคงออกไปพิสูจน์ นั่นต่างหากที่พอจะพิสูจน์เรื่องต่างๆได้ ซึ่งกว่าจะทำได้หรือการที่จะทำได้ ก็ต้องประกอบด้วยบารมีย่อยๆหลายๆบารมีที่ถึงพร้อมมารวมกัน ที่พูดอย่างนี้เพราะเคยหลุดออกไปชนิดขาดจากกายเหมือนกันไปยังที่ๆไม่น่าจะเคยเห็นมาก่อนจึงยอมรับในสิ่งที่ตนได้รับรู้ว่ามีอยู่จริงและรู้เป็นการเฉพาะตัวจริงๆ(ซึ่งเป็นไม่บ่อย) เพราะหากเราศึกษาโดยอ่านตำราและปฎิบัติย่อๆหย่อนๆยังไม่ถึงขนาดตายเป็นตาย ก็คงจะกล่าวได้ว่าเป็นการปฎิบัติในลักษณะของการปราถนาเป็นหลักเท่านั้น ก็ยังห่างไกล และการที่เรายังทำไม่ถึงขนาดนั้นแล้วปฎิเสธว่าไม่มี จะถือว่าเป็นวิสัยของผู้มีปัญญาก็คงไม่ได้เช่นกัน เพราะธรรมดาของผู้ฉลาดหากไม่เชื่อก็ต้องทำเพื่อพิสูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อนแล้วค่อยปฎิเสธ

    อย่างไรก็ดี ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านกระทู้ของคุณอัญญาสิทธิ์ ทำให้เห็นว่าเรานั้นยังต้องเรียนรู้ยังต้องกระทำให้ยิ่งขึ้นอีกมาก(แม้บางท่านอาจอ้างว่าไม่ใช่หนทางดับทุกข์ก็ตาม แต่ก็ต้องชี้แจงว่ากำลังจิตที่ฝึกมาอย่างกล้าแข็งและเพียงพอแก่การตัดกิเลส อย่างไรเสียต้องพานพบกับสิ่งเหนือโลกแน่นอน) ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดความท้อแท้ว่าความปราถนาของเราจะยังให้บารมีเต็มเมื่อใด แม้จะรู้อยู่ว่าเรายังโง่อีกมาก และบารมียังน้อยอยู่มากก็ตาม แต่ในจิตใจก็มีแต่คำต้องทำและทำและทำๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆกันต่อไปด้วยปัญญา(เท่าที่มี)และด้วยความอดทนอดกลั้น

    ก็ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากมีอะไรชี้แนะสิ่งที่นอกเหนือจากตำราก็ได้โปรดชี้แนะต่อไปด้วย
     
  12. kasin84000

    kasin84000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +997
    เอาที่อาจารย์คนเมืองบัวตอบมาให้อ่านอีกที โดนใจจริงๆครับท่าน
    http://www.konmeungbua.com/webboard/aspboard_Question.asp?GID=8998 :cool:
    .../....ไม่ต้องงงอะไรหรอก
    เพราะนัยนี้ทั้งหมดที่ผ่านมาแสดงว่ายังไม่เข้าใจในเรื่องอภิญญาห้าและหก
    ในกสิณ ๑๐ จนเข้าถึงธรรมที่กล่าวว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
    จึงมีคำกล่าวดั่งที่ท่านผู้นั้นเข้าใจแล้วเขียนมาสั่งสอนลูกหลานกัน
    ก็ถือว่าปล่อยท่านไปเถิดอย่าไปถือสา
    ส่วนท่านที่ได้ผลของอภิญญาห้าและสามารถนำมาปฏิบัติจนได้ผลคือ
    ฤทธิ์ทางใจและญาณแปดอย่างก็ขอให้มั่นใจในวิชชามโนมยิทธินี้ให้มั่นคง
    เพราะด้วยแนวทางปฏิบัติที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้ปูพื้นฐานไว้
    คือมีพระนิพพานเป็นอารมณ์
    เมื่อมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ย่อมมีพระพุทธเจ้าอยู่ในอารมณ์จิตนั้นด้วย
    ผู้ปฏิบัติในสายมโนมยิทธิย่อมรู้ย่อมเห็นย่อมสัมผัสกับพระพุทธองค์ได้ด้วยความมั่นใจ
    ...แต่ส่วนใหญ่ในสายปฏิบัติธรรมอื่น
    มักจะปฏิเสธในพุทธนิมิตนี้ว่าเป็นวิปัสนึกก็อยากจะบอกให้ทุกท่านได้ทราบว่า
    ในกรรมฐานสี่สิบกองรวมไปถึงมหาสติปัฏฐานสี่อารมณ์แรกต้องนึกคิดก่อนทั้งสิ้น
    มีก้อนหินกับพวกซากต่างๆ เท่านั้นที่ตายแล้วที่ไม่ต้องนึก
    เมื่อนึกแล้วมีผลอยู่สองอย่างคือ นึกได้ผิดกับนึกได้ถูก
    นึกได้ผิดก็ตกนรกไป นึกได้ถูกที่สุดคือพระนิพพานก็เท่านั้นเอง
    ....แต่สำหรับท่านที่นึกได้ถูก
    ย่อมเกิดญาณทัสนะมีปัญญาเป็นเครื่องรู้ ย่อมแยกแยะได้ว่า
    สิ่งใดเป็นนิมิตที่ปรุงแต่ง
    สิ่งใดเป็นบารมีพระพุทธองค์ที่มาสงเคราะห์
    ตรงนี้ต่างหากที่ต้องเอาความดีมาเทียบกัน ถึงรู้
    ที่คณาจารย์โบราณเรียกว่า ปัจจัตตัง
    ....ในข้อความข้างบนที่คุณคัดลอกมา
    เราก็อยากจะขอตั้งข้อสงสัยเหมือนกันว่า นึกมาเองหรือเปล่า
    หรือเป็นพระพุทธเจ้าเสียเองในปัจจุบันนี้
    โดยไม่มีพุทธนิมิตก็เที่ยววางตัวอริยเจ้า อริยสงฆ์ต่างๆ
    มาเป็นรูปแบบใหม่ๆให้คนงงเล่น ก็หนักใจอยู่เหมือนกัน

    จากคุณ คนเมืองบัว เมื่อวันที่ 22/11/2548 17:52:10

    [b-wai]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2005
  13. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832
    คือผมไม่มีประสบการณ์และไม่ทราบอารมณ์ของสายมโนยิธธิ ก็ขอออกตัวไว้ก่อน จึงขอโทษหากล่วงเกินด้วย แต่ผมก็จริงใจนะครับ เพราะกลัวหลงผิดจริงๆ
     
  14. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    หวัดดีครับ คุณปกรณ์ ก็ขอให้มีกำลังใจในการปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไปนะครับ

    สำหรับ คุณ wawa นั้น ไปปฏิบัติมาซะก่อน เรื่องการทำความสงบนั้นเป็นเรื่องจิ๊บจ้อย ครับ จะเอาสงบขั้นไหนล่ะ ขั้นตัวหายไปเหลือแต่จิตล้วนๆ หรือขั้นที่สันตติขาดไปน่ะ ทำมาจนเบื่อแล้วครับ สิ่งที่เราเล่านั้นเป็นขั้นของการนำเอาพลังจากความสงบมาใช้งานแล้ว และก็ไปใช้ศึกษาเรื่องปัจจัตตังแล้วครับ

    สิ่งที่ผมปฏิบัติอยู่นั้นไม่ใช่เป็นวิชามโนมยิทธิ แต่เป็นขั้นของการปฏิบัติฌานโลกีย์ เมื่อวันก่อนก็คุยกับนักปฏิบัติในคณะ เรื่องของสานุศิษย์สายหลวงพ่อฤษีลิงดำ ว่าหากจะเชื่อมศีลธรรมเข้าสู่ระบบใหญ่ก็จะเอาไว้ทีหลังสุดและไม่แน่ใจว่าลูกศิษย์ท่านคนไหนจะเป็นตัวเชื่อมเข้าระบบ เราก็สรุปว่าสายนี้เอาไว้ทีหลังสุดก็แล้วกัน ขณะที่พูดญาณหลวงพ่อฤษีลิงดำท่านก็มา ท่านบอกว่าจะมีนักปฏิบัติฆราวาสคนหนึ่งในสายธรรมของท่านเขาสามารถเรียนรู้และเข้าวิถีนี้ได้ เขาจะมาเป็นตัวเชื่อมเอง แล้วก็ตามด้วยญาณหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านก็เข้ามาแต่ไม่ได้สนทนาอะไรกับท่าน เอาเป็นว่าในหมู่คณะที่เราปฏิบัติกันมานั้น ก็มีคนที่มีคุณสมบัติเรื่อง หูทิพย์ ตาทิพย์ จิตทิพย์ กันหลายคน สามารถรับกระแสศีลธรรมกันได้หลายคน สามารถรู้ขณะนั้นๆ สดๆขณะลืมตาแหละ ไม่ต้องหลับตาให้เมื่อย

    หากจะถามว่าคนในคณะฝึกกันมาแบบไหน ก็จะบอกว่าฝึกเริ่มต้นแบบที่หลวงพ่อสุ่น ให้หลวงพ่อปานวัดบางนมโคฝึกนั่นแหละ แต่เสริมด้วยการภาวนาบุญญาบารมี 30 ทัศน์ พอได้กสิณแล้วก็ทิ้ง ฝึกอย่างอื่นต่อไป ได้แล้วก็ทิ้ง ได้แล้วก็ทิ้ง ทำมาอย่างนี้เป็นเวลาสิบกว่าปี ทาน ศีล ภาวนา ก็ทำกันมามากพอควรแล้ว ไม่อลังการในโลกภายนอก แต่ก็อลังการในโลกภายใน

    ครูบาอาจารย์ท่านก็ส่งกันเป็นทอดๆ สุดท้ายก็ต้องไปเรียนศาสน์ศิลป์กับครูบาอาจารย์ในโลกทิพย์ แต่ก็ต้องทำบารมีในภาคปัจจุบันให้ผ่านเสียก่อน จึงจะสามารถเข้าเรียนในระบบของโลกทิพย์ได้ เพราะศาสน์วิชาสำคัญๆอยู่นั่นหมด เป็นการเรียนรู้ทางจิตซึ่งสามารถเรียนรู้ได้เร็วและหากผ่านบารมีเป็นขั้นๆ ก็จะได้สิทธิ์ในโลกทิพย์เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ก็เป็นการเรียนรู้ในการเอาของเก่ามาใช้ อันนี้เป็นเรื่องของผู้ที่จะปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความเป็นโลกอุดร ที่ต้องไปรับศาสน์ศิลป์ จาก ปู่ฤษี มุนี 108 ครูบาอาจารย์สำคัญๆท่านที่ทรงไว้ซึ่งศาสน์ศิลป์ต่างๆท่านอยู่กันที่นั่นมากมาย ก็เป็นหน้าที่ของนักปฏิบัติเองที่จะต้องปฏิบัติธรรม เพิ่มพูนบารมีให้สามารถเข้าไปเรียนรู้ศาสน์ศิลป์และทำบารมีในที่ลี้ลับให้ได้ อย่างเช่น ในเขตภูเขาควาย เป็นต้น
     
  15. zoba

    zoba เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +268
    ถามท่านพี่ aunyasit
    1.เคยอ่านในพระไตรปิฎก ว่าใครก็ตามหาก เจริญอิทธิบาท4 ให้มาก
    จะสามารถอยู่ได้ 1 กัป หรือมากกว่านั้น พี่ อธิบายให้ฟังหน่อย ครับ
    อิทธิบาท 4 มี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
    2.พี่พอจะรู้การเกิด ของวัฎสงสารตั้งแต่แรก หรือเปล่าช่วยเล่าให้ฟังหน่อย
    ขอบคุงมากพี่
     
  16. kasin84000

    kasin84000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +997
    นิมิตปรุงแต่งนี่ น่ากลัวเหลือเกิน หึหึ
     
  17. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832
    แต่ผมก็ยังว่าพวกคุณน่าจะหลงนะ ตามที่เรียนมาจากครูบาอาจารย์
     
  18. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    Zoba ข้อ 1) การเจริญอิทธิบาท 4 เป็นเรื่องของบุญญฤทธิ์จากการทำบารมี ผู้ที่ท่านทำได้ก็สามารถอยู่ได้นานถึง 1 กัปป์น่ะ เป็นขั้นของท่านผู้ที่ถึงโลกอุดรน่ะ ท่านสามารถทรงอยู่ได้นานๆ อย่างปู่ฤษีท่านหนึ่งที่เป็นอาจารย์ของพ่อบุญเหลือ(ศาลาแก้วกู่) อายุท่านก็ประมาณ 2 ล้านปี อย่างปู่ใหญ่ที่ท่านทำหน้าที่สอนอยู่ที่ภูเขาลานเทพ (ภูเขาลูกที่ 13 ในเขตภูเขาควาย) ท่านอยู่มาตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ท่านก็อยู่มาหลายล้านปีแล้วเช่นกัน
    ข้อ 2) ไม่ทราบครับ


    kasin84000 เรื่องนิมิตกับศีลธรรม นี่คนละเรื่องกันนะ หากศึกษาอย่างละเอียด ปฏิบัติให้ถึงๆ ในเขต/ภูมิที่ดี แล้วจะเข้าใจน่ะ บางทีเรื่องปัจจัตตังนั้น จะเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก หากเราไม่เคยทำบารมีแบบนั้นมาก่อนจะไม่มีวันเข้าใจเลย

    wawa ปฏิบัติให้มากๆนะ เท่าที่เล่ามานี่ถือว่ายังปฏิบัติน้อยมาก ไปผ่านปิติห้ามาก่อนนะ แล้วค่อยมาคุยกันใหม่ การปฏิบัตินั้นต้องมีครูบาอาจารย์คอยกำกับนะ เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อถอดจิตหรอกนะ มันติดตัวมา/เป็นเองตั้งแต่เกิดแล้ว เขาให้เอาติดตัวมาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในพุทธศาสนาน่ะ เข้าใจยัง
     
  19. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ผมขออนุโมทนาบุญกับคุณ Aunyasit ด้วยนะครับ ผมเชื่อในสิ่งที่คุณเล่ามาครับ เพราะอย่างน้อยผมก็ปฏิบัติไม่ได้เท่าคุณ ผมฝากกราบนมัสการครูบาอาจารย์ของคุณด้วยความเคารพด้วยนะครับ [b-wai]
     
  20. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    ขอให้เจริญในธรรมครับ คุณ wit แล้วจะอธิษฐานกราบครูบาอาจารย์ให้นะ

    การปฏิบัตินั้น ของจริงต้องผ่านอาการตายด้วยนะ หากไม่ผ่านการทดสอบเรื่องตายจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่สามารถไปเรียนรู้ศีลธรรมสำคัญๆ บางอย่างได้ มันเป็นการเรียนรู้และฝึกฝนไปในตัว ว่าถ้าถึงคราวที่ต้องตายจริงๆจะต้องวางจิตอย่างไร สิ่งที่เป็นผลพลอยได้จากอาการตาย ก็คือ ได้รับรู้ถึงความกลัวที่คนเรามีอยู่ในจิต หากจิตมันไม่กลัวตาย อุปสรรคในการปฏิบัติ นั้นก็จะมีน้อยลง หากยังกลัวป่วย กลัวตายอยู่ นี่ถือว่ายังอยู่ในระดับเด็กๆแหละ เพราะความกลัวในจิตนี่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติไปสู่โลกภายในเป็นอย่างมาก

    อย่างไรก็ตาม การที่ปฏิบัติไปแล้วไปรู้เห็นอะไรมากมาย ก็จะทำให้มีสิ่งที่ต้องทำมากมายเช่นกัน อย่างเช่น ปฏิบัติไปรู้เห็นว่า พ่อแม่ หรือญาติๆ ในอดีต ในภพภูมิต่างๆ กำลังตกระกำลำบากแบบใดแบบหนึ่ง เราก็ต้องหาทางปฏิบัติเพื่อสงเคราะห์ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา และเป็นงานที่ไม่จบไม่สิ้น ก็คล้ายๆกับงานโปรดสัตว์นั่นแหละ ที่ไม่มีวันจบสิ้นเช่นกัน

    ที่จริงพวกที่อยู่ในโลกทิพย์นี่โปรดง่ายกว่าคนเยอะเพราะเขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขารู้ว่าเรามีอะไรและเขาต้องการอะไร(ทุกภพภูมิต้องการบุญกุศล) สำหรับคนที่รับกระแสศีลธรรมได้ยาก ก็จะใช้วิธีแผ่ให้เทวดาประจำตัวหรือสิ่งรักษาเขา บางคนก็มีสิ่งรักษาเป็นเทวดาก็มี นาคก็มี หรือ หลายๆอย่างก็มี สิ่งรักษาเหล่านี้จะรับบุญกุศลได้ดีกว่าคน เรามักจะแผ่บุญให้สิ่งรักษาเพื่อให้เขาไปกล่อมจิตคนที่เขาดูแลอยู่ให้เป็นคนดีมีศีลธรรม แต่จะเลือกทำเฉพาะคนที่เรารู้แน่ชัดแล้วว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องเป็นญาติหรือมีความเกี่ยวพันกันมาแบบใดแบบหนึ่ง ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน เท่านั้น

    การที่ทำแบบนี้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ ก็คือว่าหากเราอยากจะรู้เรื่องของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ก็แผ่บุญกุศลให้เทวดาหรือสิ่งรักษาประจำตัวเขา เมื่อเทวดาหรือสิ่งรักษาประจำตัวเขารับบุญเราแล้ว ก็ถามสิ่งรักษาของเขา เราก็จะให้คำตอบที่ตรงไปตรงมา บางทีพวกญาติๆหรือบรรพบุรุษของคนเหล่านั้นที่ล่วงลับไปแล้ว หรือไม่ก็เจ้ากรรมนายเวร ก็จะแทรกเข้ามาบอกเกี่ยวกับคนนั้น บางทีก็แทรกเข้ามาร้องเรียน ส่วนใหญ่จะสรุปลงที่ให้คนๆนั้นทำบุญกุศลส่งไปให้ เป็นต้น

    ในปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่ปากกับใจ ไม่ค่อยตรงกัน หากใครมีความสงบมากพอ เมื่อสามารถแยกผัสสะ ใช้หูฟังเสียง ใช้จิตรู้จิต ไปในเวลาเดียวกัน ก็สามารถเรียนรู้เรื่องคนได้ไม่ยาก ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2005
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...