เรื่องราวที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยรู้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Aunyasit, 26 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    เรียนคุณ ทักทาย

    คนไกล กับ ผมอัญญาสิทธิ์ อยู่ในคณะเดียวกันครับ อาจารย์เดียวกัน รับรู้รับฟังมาด้วยกัน ก็อยู่ในคณะร่วมทำบารมีมาด้วยกันครับ การรู้เห็นภายในก็คล้ายๆกัน บางครั้งก็เอาเรื่องของการเรียนรู้จากการปฏิบัติภายใน มาคุยกันครับ ก็เลยเอาความรู้จากคนในคณะมาเรียบเรียงต่อกันเป็นเนื้อเดียวให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะบางครั้งเรื่องเดียวกัน แต่ฟังมาจากครูบาอาจารย์ คนละวาระกันครับ

    สำหรับคุณบัวญี่ปุ่น บารมีภายในไปได้สูงมากแล้วครับ ผู้ทำบารมีก็ย่อมได้บารมีแหละ
     
  2. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    พระศรีฯ เทศนาธรรม

    "ทีนี้เราได้เจอ อริยะหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์เจ้าแล้วก็ดี ที่จะเอาคุณงามความดีตลอดชีวิตหรือชาติไหนๆที่จะให้เป็นพื้นฐานของตัวนี้ เป็นผลงานเป็นทุน อันอยู่ ณ สงสารฯ ให้เป็นการละเอียดหรือเป็นการที่จะไม่ได้ศึกษากับใครทั้งสิ้น แม้เราที่เกิดมาในภพนั้นๆจะมีความสุขหรือมีความสบายหรือมีวิชาที่ติดตัวไป ด้วยการที่จดจำนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นให้รู้ละเอียดหรือให้รู้ดี เป็นผู้ประพฤติหรือปฏิบัติดี ที่ให้รอบคอบดีดังนี้ อันจะเกิดอยู่มารดากับคนไหน หรือบิดาคนไหนแล้วก็ตาม อาจจะได้เป็นผู้ฝากคุณงามความดีหรือโลกีย์ก็เกิดมาด้วย ทรัพย์เกิดมาด้วย ด้วยความดีนั้นๆ อันเกิดมาแล้วย่อมเป็นที่บูชาของมนุษย์หรือเทพยดาให้เกียรติ์ให้ศักดิ์ศรี ดังนี้ เพราะฉะนั้นเราปรารถนา คนทุกคนปรารถนา ถึงปรารถนาแล้วไม่ยอมทำความดีประพฤติหรือปฏิบัติตามคำสั่งสอนหรือโอวาทของพระพุทธเจ้า พระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเอาเข้ามาในอุระหรือจิตใจ ณ สันดาน สังขารของเราแล้ว ไม่แลกเอาเปลี่ยนเอา กายสังขารของเขา ณ ภพนั้นชาตินั้น แลกเอาบูชาพระรัตนตรัย คือยึดเอาทรัพย์ดวงประเสริฐนี้ให้เกิดขึ้นในสันดาน ให้ผ่องใส

    ฉันใดก็ดีมนุษย์และคนนั้นอาจจะตกอยู่ในกองทุกข์ยาก ลำบาก อาจจะคิดไปด้วยความกระวนกระวายหรือสันดาน รกหรือมืดมน อนทกาล ทั้งนี้เฉพาะคนที่ไม่รู้ดี อาจจะเป็นคนเขลาเบาปัญญา ไม่รู้ที่จะศึกษาด้วยตนเองให้เกิดคุณงามความดี แต่ที่ประสูติหรือที่เกิดมาหรือคลอดมาก็ตาม ณ ภพนั้นอันที่เป็นสังขาร เขาทำ ณ ชาตินั้นๆ ถ้าหากเราทำดีเราก็จะไปสู่บิดามารดาที่ดีๆเลอเลิศขึ้นไป มีพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธองค์นั้นเป็นผู้ที่เที่ยวสงสารฯ หรือในการที่รักษามรดกของพระอริยเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นประทาน มีพระอรหันตเจ้าสาวกนั้นๆก็จะอยู่ในพระโพธิสัตว์เจ้านั้นๆ เพราะฉะนั้นคนเราก็นับว่าปรารถนาที่จะไปอยู่ติดกับท่านอริยะนั้นๆ เพื่อให้แนวทางหรือให้เกิดคุณงามความดี ดังนี้

    เพราะฉนั้น ณ วันนี้ จุดมุ่งหมายที่เราอธิษฐานไว้ ในการที่ทำความเพียร คุณงามความดี จบคำรบไปด้วยสัจจธรรม เพราะฉนั้นอะไรเป็นจริงว่าสัจจธรรมหรือการประพฤติปฏิบัติธรรมตามศรัทธาหรือความเชื่อมั่น อดวัน อดคืน อดร้อน หนาว หิว กระหาย อดลำบากตรากตรำ อดระดม ทมทุกข์ กระนั้น อดความเจ็บหรืออดความแก่ อดความตายฉันใด ขอให้เป็นอานิสังยังพลังอานิสงส์ที่จะบังเกิดขึ้น ในโลกนี้ต่อไป ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงอันมีอยู่ในท้องฟ้า โลก จักรวาล มีพระพุทธเจ้า อริยเจ้า ทั้งหลายที่ตรัสข้ามพ้นสงสารวัฏฏ์ ไปแล้วนับไม่ถ้วน ที่ประมาณเม็ดหินเม็ดทราย พระพุทธเจ้านั้นๆตรัสไปหลาย นับแต่ปฐมบรมครู มาสุดท้ายพระศรีศากยมุนีพระโคดม ตลอดถึงพระอริยโพธิสัตว์นั้นๆที่เป็นเชื้อหน่อพุทธางกูลหรือพุทธภูมิผู้ที่จะมาเลี่ยงลัดตรัสเป็นพระพุทธเจ้าต่อท้ายศาสนาคือพระศรีอาริยเมตไตรหน่อบรมครู มีศาสนาอันเพรียบงาม ทุกชาติ ทุกภาษา ไว้หน้าไว้ตาเสมอกัน อันคนยุคนั้นอยู่ในเครื่องทิพย์ ไม่มีใช้แรงงานกับแรงกาย ไม่มีงานเพราะจะบันดาลด้วยเครื่องทิพย์นั้นๆ อยู่ ณ วิมานตามลำดับ พลโลกหรือชนทโลกทั้งหลายทั้งปวงอยู่ในวัย 80,000 ปี ด้วยคุณความดีของชนทโลกนั้นสร้างบารมีมาเพื่อพบศาสนา

    ณ ยุคนั้น ชีวิตสังขารจะเจริญไปเป็นแสนๆปี หรือล้านๆปี ตลอดถึงอสงไขย ตายไม่เป็น หรือจนกว่ามนุษย์อยากตาย เทวดาผู้วิเศษหรือจะมาย่นย่ออายุของหมู่สัตว์นั้นๆให้ตกอยู่ ให้เขาอยู่ได้ 80,000 ปี เขาเลือกเอาตามใจชอบ ดังนั้น ณ ยุคนั้น ชื่อว่าเป็นยุคที่มีเมตตาธรรมต่อกันและกัน ซึ่งสัตว์ทั้งหลายไม่เบียดเบียนกัน ไม่เข่นฆ่ากัน เช่น หนูกับพังพอน หรือสุนัขกับเสือ ดังนี้ ธรรมิกราชก็ไม่ศัตรูกัน คนทั้งหลายก็ไม่ศัตรูกัน สามีก็รักภรรยาไม่นอกใจ ภรรยาก็รักสามี ดังนี้ เป็นยุคของพระศรีอริยเมตไตรลงมาเลี่ยงลัดตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในเมืองเกตุมบดีมหานคร เมืองพาราณสีเปลี่ยนมาเป็นเมืองเกตุมบดีมหานคร มีพระเจ้าสังขจักรอยู่ในราชสมบัติแก้ว 7 ประการ อยู่วิมานทองคำ อันสูงขึ้นได้โยชน์หนึ่งที่รองรับสังขรจักร ซึ่งเวลานั้น
     
  3. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    พระโพธิสัตว์คันธนาม ที่มาของประเพณีบั้งไฟพญานาค

    จากที่มีบันทึกไว้ในนิทานพื้นบ้านอีสานว่า
     
  4. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    พ่อพระอินทร์

    ท่านผู้ติดตามดูแลการทำบารมีของเหล่าพระโพธิสัตว์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • X2.JPG
      X2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      53.7 KB
      เปิดดู:
      428
  5. Goheng

    Goheng สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +14
    ช่วยอธิบาย เรื่องของภูเขาควายทีคับ อยากทราบมากคับ

    อนุโมธนา สาธุ...สาธุ...สาธุ...
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ผมอยากทราบเรื่อง "ยุคสามร่มโพธิ์ศรี" ว่าเป็นอย่างไรประกอบไปด้วยใครบ้าง พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมครับ และขอโมทนาที่ให้ความรู้เป็นวิทยาทานครับ
     
  7. พลังธรรม

    พลังธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +35
    นี่คือ วิทยาการ

    ที่มีความสำคัญ และ มีคุณประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อมวลมนุษยชาติ

    เรียนรู้ได้ สอนได้ เข้าใจได้

    ไม่น่าเชื่อว่า ถูกทอดทิ้ง

    ให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สำหรับกราบไหว้พึ่งพิง

    ของคนหลายร้อยล้านคน ยาวนานเป็นพันๆ ปี



    กลัวตาย ฝันร้าย สูญเสีย และ ความอยุติธรรม เป็นแค่ ปลายเหตุ ต้นสายนั้นอยู่ที่ไหน?

    มนุษย์ที่มีสติปัญญา ได้ค้นหาคำตอบนี้มานานแสนนาน และ

    คำตอบสุดท้ายปรากฏขึ้น เมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว

    ประกาศโดย พระพุทธเจ้า



    ทฤษฎี ของ พระพุทธเจ้าเรื่อง "นิพพาน" นั้น

    มิใช่ศาสนา (เพื่อโลกหน้า) ไม่ต้องใช้ความเชื่อ ไม่ต้องใช้ความศรัทธา

    แต่เป็นความรู้ด้านจริยศาสตร์ การปฏิบัติตัวที่เหมาะสม

    เพื่อสร้างความผาสุก ให้แก่มนุษย์ และโลก

    เป็นวิทยาการ ที่ สอนให้มนุษย์ รู้จักตนเอง และผู้อื่น ให้ผลทันที ที่นี่ เดี๋ยวนี้

    เมื่อพระพุทธเจ้า "ตรัสรู้" และเผยแพร่หลักธรรม เรื่อง "นิพพาน" นั้น

    ทรงตระหนักดีว่าเป็นสิ่งยากยิ่ง สำหรับสติปัญญาของคนในยุคนั้น จะเข้าใจได้

    จึงแบ่งคำสอนออกเป็นส่วนย่อยๆ และอธิบายทีละส่วน

    ให้เหมาะกับบุคคล และสถานการณ์

    ดังนั้น เราจึงพบแต่คำอธิบาย มุมเล็กๆ มุมเดียว ที่มองไปยัง "นิพพาน" เท่านั้น

    ไม่มีสรุปใจความ หรือ หลักการ หรือ ทฤษฎี ของ "นิพพาน"

    ว่ามีเนื้อหาอย่างไร ณ ที่ใดเลย



    ณ ที่นี้ จะกล่าวถึง "พุทธทฤษฏี" เรื่อง "นิพพาน" กันตรงๆ แบบสรุป

    โดยถือหลักว่า ผู้มีปัญญา ต้องมองเห็นจุดหมายก่อนส่วน วิธีการนั้นทีหลัง



    "พุทธทฤษฎี" เป็นสิ่งที่ พระพุทธเจ้า มอบให้ เวไนยสัตว์ (สัตว์ที่มีสติปัญญาเพียงพอ) ด้วยความเมตตา

    เป็นสิ่งรู้เห็นและเข้าถึงได้ อย่างแน่นอนด้วย "ปัญญา" หนทางเดียวเท่านั้น

    ขอบอกตรงนี้ว่า "นิพพาน" เป็นเพียง จุดหมายปลายทาง หรือ ผล ของการกระทำเท่านั้น

    การรู้ และเข้าใจหลักการ นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด วิธีการนั้นไม่สำคัญ เพราะ หลักการจะนำไปถึงจุดหมายได้ หลายวิธี



    หลักการของพระพุทธเจ้า คือ "มัฌชิมาปฏิปทา"

    ความเพียร ใดๆ ที่ไม่ได้มุ่ง ไปยังการสร้างสรรค์ สติปัญญา ให้มีความฉลาดยิ่งขึ้นนั้น

    มิได้มีประโยชน์ในการนี้เลย เพราะ

    "มัฌชิมาปฏิปทา" เป็นการใช้สติปัญญาวิเคราะห์ วิจัย และจัดการ กับสิ่งที่เกิดขึ้น

    ข้างใน และข้างนอกกายเรา ทุกลมหายใจ



    ความเคารพ ความศรัทธา ความพึ่งพา การภาวนา ใดๆ

    ก็ไม่สามารถ ช่วยนำพาผู้ใด ไปสู่ ความรู้ ความเข้าใจ "มัฌชิมาปฏิปทา" ได้แม้แต่น้อย

    ต้องกราบขออภัยจริงๆ



    ผู้นับถือพระพุทธเจ้า แบบเป็นที่พึ่ง สรณะ

    ไม่มีความจำเป็นต้องเรียนรู้ "มัฌชิมาปฏิปทา" เพื่อไปสู่ "นิพพาน"

    เพราะ ไม่ได้ใช้เรื่องเหล่านี้



    แม้พระพุทธเจ้าเอง จะเลือกสอน หรือ บวชให้กับ ผู้ที่สอนได้เท่านั้น





    มารู้จักต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง เสียก่อน

    เอกภพ เกิดขึ้นเองจากการระเบิดใหญ่ 45,000 ล้านปีมาแล้ว

    ทุกสิ่งพุ่งกระจายออกไปจากศูนย์กลาง

    มีชิ้นส่วนหลุดออกมา เป็นสุริยะจักรวาล หลุดมา เป็นดวงอาทิตย์

    และหลุดออกมา เป็นโลก 4,500 ล้านปีมาแล้ว



    โลก แต่เดิมเป็นลูกไฟร้อน เมื่อเย็นลงมีน้ำมีแผ่นดิน

    มีเซลล์สิ่งมีชีวิตแรกเกิดขึ้นเอง พัฒนามีลูกหลานเป็นสัตว์ และพืช

    นักวิทยาศาสตร์ วัดระยะ คำนวนอายุ หาจุดศูนย์กลาง และทำแผนที่เอกภพได้แล้ว

    แต่ยังค้นหา สิ่งมีชีวิตที่อื่นยังไม่พบ แม้พยายามค้นหามา กว่า 100 ปีมาแล้ว



    ตามประวัติศาสตร์ มนุษย์นั้น วิวัฒนาการมาจาก สัตว์จำพวกลิงไม่มีหาง

    เริ่มเดินสองขาตัวตรง ราว 2 ล้านปีมาแล้ว สายพันธุ์แรก เกิดขึ้นในทวีปอาฟริกา

    ต่อมาฉลาดกว่าสรรพสัตว์ ได้เดินด้วยเท้าไปทั่วโลก 35,000 ปีมาแล้ว

    ที่เล่ามาทั้งหมด เพื่อบอกว่า ไม่มีใครสร้างโลก ดวงดาว และสิ่งมีชีวิต





    ประวัติศาสตร์อินเดีย นับถอยหลังไป 3,500 ปี คือ ก่อนพุทธกาล 1,000 ปี

    คนอินเดียเชื่อถึอว่า ชีวิต มีการเวียนว่ายตายเกิด และ ชีวิต นั้นเป็นทุกข์ คนดินเดียตัวดำ เป็นเผ่า"ทมิฬ"

    ถูกรุกราน และครอบครองกดขี่ โดยคนตัวขาวจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ เรียกว่าเผ่า "อารยัน หรือ อริยกะ"

    เผ่าอารยัน เข้าปกครองอินเดีย แบ่งชนชั้นวรรณะ ให้คนตัวดำทั้งอินเดีย อยู่ต่ำที่สุด

    นับถือ คัมภีร์พระเวท อันเป็นต้นกำเนิด ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู

    เดิมมีพระเจ้าองค์เดียว เกิดตายหนเดียว (เหมือนศาสนาในตะวันออกกลาง และยุโรป)

    ต่อมา เริ่มมีพระเจ้าหลายองค์ และมีวัฏสงสาร (เวียนว่ายตายเกิด)

    เริ่มมีคนนิยมออกแสวงหา "สัจธรรม" เพื่อการพ้นทุกข์

    ละทิ้งไปจากบ้านเรือน อยู่ตามป่าเขา บำเพ็ญพรหมจรรย์

    ตามหลักศาสนาแทบทุกศาสนาตอนนั้น



    ชาวฮินดูนั้น กราบไหว้เซ่นสรวงสังเวย รับใช้ ขอพรจากพระเจ้าอย่างเดียว

    พระเจ้าสร้างทุกอย่าง โลกและดวงดาว อะไรที่เป็นไป ในทุกที่ ทุกเรื่อง

    พระเจ้า ขีดเส้นไว้ให้เป็นไป พราหมณ์เป็นพวกเดียวที่ติดต่อกับพระเจ้าได้

    การแบ่งชั้นวรรณะ เป็นไปตามพระเจ้า มีสวรรค์หลายชั้น มีนรกหลายชั้น

    คนต้องตาย ต้องเกิดหลายชาติ จนกว่า พระเจ้าพอใจให้ไปอยู่ด้วย

    เรียกว่าพบกับ "โมกษะ" เป็นความสุขสูงสุดของมนุษย์



    1,000 ปีผ่านไป ศาสนาฮินดูยังคงมีอิทธิพลสูงสุด มีการตั้งลัทธิแยกออกมาบ้าง

    ที่สำคัญ มี 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธ และ ศาสนาเชน(นิครนถ์)

    มีลักษณะคล้ายกันตรงที่ ไม่ยอมรับการเซ่นไหว้บูชายัญเทพเจ้า

    และการพึ่งพิงภักดีต่อทวยเทพเป็นสรณะ ตามแบบฮินดู

    และสอนว่า มนุษย์สามารถพบ "สัจธรรม" ได้เอง ด้วยปัญญา และการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง

    ทั้ง 2 ศาสนานี้ ปฏิเสธความคิดของฮินดูทุกเรื่อง



    มาสนใจดูความเชื่อแบบฮินดู ที่ศาสนาพุทธ และเชน ปฏิเสธ

    เช่น การแบ่งชนชั้นวรรณะ การเชื่อว่ามี พระเจ้า เทวดา และผี

    ที่สามารถให้คุณให้โทษต่อมนุษย์ ต้องเคารพเกรงกลัว

    และเซ่นไหว้ การเชื่อว่า "ตัวตน(วิญญาณ)" คงทนอยู่ตลอดกาลตายแล้ว "ตัวตน" ไม่ตายด้วย

    จะวนเวียนไปเกิดใหม่ ในภพภูมิต่างๆ เป็นรูปร่างต่างๆ ในนรก ในสวรรค์

    ขอย้ำว่าศาสนาพุทธ และเชน ไม่ยอมรับความเชื่อเหล่านี้ทุกประการ



    พระพุทธเจ้า และ มหาวีระ คล้ายคลึงกันหลายประการ เป็นโอรสของกษัตริย์ (ผิวขาวชาวอารยัน)

    ออกจากบ้านเมืองครอบครัวมาอยู่ป่าหาสัจธรรม เคยบำเพ็ญเพียรด้วยการทรมานตนมาก่อน

    ตรัสรู้ ใต้ต้นโพธิ์ เมื่อประกาศศาสนา ก็ เผยแพร่อยู่ในประชาชนส่วนใหญ่

    ของอินเดียที่เป็นวรรณะต่ำ (ชาวทมิฬ) สอนธรรมะด้วยภาษามคธ (ซึ่งไม่มีตัวอักษร)

    ทั้ง 2 ศาสดา มีชีวิตในช่วงเวลาเดียวกัน ในเมือง และแคว้นเดียวกัน

    แต่ศาสนาเชนแตกต่างจากพุทธมากตรงที่ ถือการทรมานตน เป็นทางการพ้นทุกข์ และสตรีไม่มีสิทธิ์หลุดพ้น



    ขอเล่าพุทธประวัติก่อน

    ชั่วชีวิตของคนนั้น สะท้อนผลงาน

    เพราะ "พุทธทฤษฎี" นี้เป็นผลงาน จากสติปัญญาขั้นสูงที่สุด เท่าที่เคยมีในมนุษยชาติ

    เป็นปริศนาที่คนธรรมดา ไม่สามารถเข้าใจได้เลยมาถึง 2,500 ปี

    แม้ว่ามีการรักษาจดจำท่องไว้ ให้มั่นคงคงอยู่ในพระไตรปิฎก

    จากถ้อยคำที่มีคุณค่า กลายเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่มีใครคิดจะแปลความหมาย

    ทั้งๆ ที่เป็นวิทยาการที่มีประโยชน์ ต่อมวลมนุษย์ เรียนรู้ได้และสอนได้



    ในประเทศอินเดีย 2,600 ปีมาแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะ โคตมะ โอรสของกษัตริย์ เผ่าอารยัน

    ซึ่งแวดล้อมด้วยความสุขสบาย ในโลกีย์วิสัย มีพระชายา และโอรสแล้ว

    พระองค์สนใจใฝ่แสวงหา "สัจธรรม" ความรู้แท้ว่า มนุษย์เป็นอย่างไร ควรใช้ชีวิตอย่างไร จึงจะสมกับการเป็นมนุษย์

    จึงออกบวชเมื่ออายุ 29 พรรษา บำเพ็ญพรหมจรรย์ อาศัยตามป่าเขา เป็นศิษย์ของฤาษี เรียนรู้วิชาโยคะต่างๆ

    เรียนการฝึกจิต ทำสมาธิ เพื่อให้มีฤทธิ์ หลายปีผ่านไป แม้สำเร็จถึงขั้นสูงสุดแล้ว ก็ยังไม่พบอะไร



    ยุคนั้นนิยมการทรมานร่างกาย เชื่อว่าจะเข้าถึง "สัจธรรม" ได้

    พระองค์ทดลองทรมานร่างกาย อดอาหาร และข่มความทุกข์ทรมานเหล่านี้ ด้วยพลังของสมาธิ ที่ได้มาจากการฝึกจิต

    ด้วยความหวังว่า เมื่อร่างกาย ถูกข่มถึงที่สุดแล้ว จิตก็จะมีอำนาจบรรลุ "โมกษะ" หรือพบ"สัจธรรม"ได้

    ทรงพำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างหนัก ถึงที่สุดหลายปี จนร่างกายผ่ายผอม อ่อนแอจนถึงสิ้นสติ

    และพบว่า ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง จึงเลิกทรมานตนเสีย

    เมื่อร่างกายเป็นปกติและมีสมองแจ่มใส พระพุทธเจ้า ทรงพิจารณาทบทวนประสบการณ์ โดยละเอียดเพื่อค้นหาสัจธรรม

    และในที่สุด พระองค์ก็ "ตรัสรู้" ค้นพบความจริง "สัจธรรม" ว่า...

    ชีวิตมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร กระบวนการของชีวิตเป็นอย่างไร

    ทุกข์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน เกิดอย่างไร อะไรเป็นสาเหตุของความทุกข์ และรู้ว่าจะดับทุกข์ได้อย่างไร

    ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุ 35 พรรษา

    สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบนั้น ขอเรียกว่า "พุทธทฤษฎี"

    มีเนื้อหาสำคัญ เป็นหลักปฏิบัติตน (จริยศาสตร์) โดยใช้สติปัญญาตัดสินการกระทำ

    เรียกว่า "มัฌชิิมาปฏิปทา" หรือ "ทางสายกลาง"

    (คำนี้แย่ที่สุด เพราะทุกคนคิดว่ารู้จักดีแล้ว ซึ่งไม่ตรงกับของพระพุทธเจ้า)

    เรียกว่า "หนทางที่ไม่เขว" ยังให้ความหมายดีกว่



    หลังจากตรัสรู้แล้ว ทรงทบทวนความรู้ "พุทธทฤษฎี" ถึง 7 สัปดาห์ และ พิจารณาเห็นว่า

    ลึกซึ้งยากยิ่ง ที่ผู้อื่นจะรู้ตามอย่างได้ จะต้องเรียนรู้ รายละเอียดมากมาย

    เพื่อการวิเคราะห์สิ่งที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมต่างๆ ได้อย่างมีเหตุผล

    ซึ่งจำเป็นต้องสร้างสติปัญญาก่อน

    แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงตัดสินใจ เผยแพร่สอนหลักธรรมไปตลอดพระชนม์ชีพ

    และมีสาวกเข้าใจ "พุทธทฤษฎี"ได้ด้วยปัญญา ของพระพุทธเจ้า



    พระองค์ ใช้เวลา 45 ปี หลังตรัสรู้ ทรงจาริก แสดงธรรม พร่ำสอนหลักธรรม

    ดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย ประพฤติพรหมจรรย์ เกื้อกูลโลก ตลอดพระชนม์ชีพ

    ทรงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพาน กลางดิน ใต้ต้นไม้ในป่า มีพระชนมพรรษา ได้ 80 ปี

    ทางโบราณคดี นับยุคของพระพุทธเจ้าเป็น ปลายยุคสัมฤทธิ์ ต้นยุคเหล็ก

    เทียบกับไทยเป็นก่อนประวัติศาสตร์ "ยุคบ้านเชียง"



    คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี ในรูปของ "พระไตรปิฎก

    เป็นที่รวมของความรู้ที่ทรงสอน ข้อปฏิบัติต่างๆ ที่ควรและไม่ควร

    โครงสร้างความรู้ กระบวนการที่เป็นไป มีการรวบรวมไว้อย่างระมัดระวัง และอนุรักษ์ใว้ ยาวนานถึง 2,500 ปี

    เป็นสิ่งน่าศึกษา และท้าทายสติปัญญา ของคนปัจจุบันยุค 2000 อย่างยิ่ง

    ว่าของเก่าขนาดนี้ ทำไมถึงยากขนาดนั้น?



    ความยากของ "พุทธทฤษฎี" ประวัติศาสตร์ระบุไว้ชัดเจน

    100 ปีหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ภิกษุชาวแคว้นวัชชีจำนวนมาก

    แก้ไขดัดแปลงพระธรรมวินัยตามใจชอบ เปลี่ยนวิธีการสอนใหม่

    คือ หาทางทำให้คนเข้าวัดมากๆ ไว้ก่อน อะไรที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนก็ไม่เป็นไร

    เอาที่ชาวบ้านชอบมาใส่ ให้คนนิยมมากๆ เสร็จแล้วค่อย สอนธรรมะให้ทีหลัง รวมเทพฮินดูนรกสวรรค์บุญกรรมมากันเพียบ

    ทำแบบนี้พุทธศาสนาเจริญมากมาย แผ่ขยายไปทั่วขึ้นไปทั่วทวีปเอเซีย นิกายนี้เรียก "มหายาน"



    "พุทธทฤษฎี"; กลายเป็นปริศนาอมตะ

    แม้ฝ่าย "หินยาน" ผู้อนุรักษ์พระไตรปิฎกไว้ พยายามศึกษา และปฏิบัติ รู้ว่าเป็นของดีเลิศล้ำ

    แต่เข้าใจได้ยากยิ่ง วันเวลาผ่านไป ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี บ้างก็ว่าเรียนไปก็เท่านั้น มีแต่ทฤษฎี ต้องปฏิบัติ หลับตาฝึกจิตกันดีกว่า

    วันเวลาผ่านไป ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี (การฝึกจิตไม่ได้ทำให้คนฉลาดขึ้น การคิดเลขเก่งก็เช่นเดียวกัน)

    แปลกตรงที่ วัดฝ่ายหินยาน ในเมืองไทยปัจจุบันที่เจริญรุ่งเรืองและร่ำรวย

    เห็นได้ชัดว่ากำลังใช้วิธีการเดียวกัน กับมหายาน



    "นิพพาน" ยังคงเป็นความฝัน

    จนกว่า เรา เข้าใจจริงๆ ว่า พระพุทธเจ้า สอนเรื่องอะไร โดยสมบูรณ์ ทุกแง่ ทุกมุม

    ที่รู้แล้วอธิบายได้ ฟังแล้วเข้าใจได้



    ต่อไปนี้ เป็นเนื้อหาสาระ ทางความรู้ และ หลักปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าสอน

    ซึ่ง คนส่วนมาก เข้าใจเป็นอย่างอื่น

    ณ ที่นี้ ขอให้ เริ่มต้นกันใหม่



    โลก จักรวาล ธรรมชาติ สรรพสัตว์ และมนุษย์ เกิดขึ้นเอง ด้วยเหตุปัจจัย

    สืบค้นได้ถ้ามีเวลาพอ ไม่มีใครสร้าง

    โลกหมุนเวียนไป สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นไปตามเรื่องของมัน ไม่ได้มีปัญหาทุกประการ

    มามีปัญหา ตรงที่เริ่มมีมนุษย์ปรากฏขึ้นในโลก และ ปัญหานั้นเป็นของมนุษย์ผู้เดียว



    ฝนตกฟ้าร้องแผ่นดินไหวน้ำท่วม สรรพสัตว์ฆ่ากันกินกันไป ตามสัญชาติญาณ

    บ้างสูญพันธุ์บ้าง เกิดสายพันธุ์ใหม่ ล้วนเป็นธรรมดา ตามสาเหตุและปัจจัยทั้งสิ้น

    ไม่มีใครสนใจหรือทุกข์ร้อนอะไร จนกระทั้งสัตว์ชนิดหนึ่ง มีสมองโต และเฉลียวฉลาดมาก

    เรียกว่า "มนุษย์" พบว่าตัวเองนั้น มีตัวตนแยกต่างหาก ต่างสัตว์อื่นๆ

    และต่างจากสิ่งแวดล้อม และต่างจาก "มนุษย์" ตัวอื่นอีกด้วย

    "ความฉลาด" ของมนุษย์ สร้างปัญหาให้กับมนุษย์เอง



    "สมอง" ที่ "คิด" ได้มากกว่าสรรพสัตว์ รู้ภาวะตัวตน ที่เรียกว่า "จิตใจ"

    ภายในจิตใจ ของใครของมันนั้น ทำเรื่องราวต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อสิ่งแวดล้อม

    ทำให้เกิดปัญหา ย้อนกลับมาเล่นงาน ตัวเองในที่สุด



    มนุษย์รู้ว่าตัวเองฉลาด จึงใช้ความคิดของตัวเอง ดัดแปลง เปลี่ยนสัญชาติญาณ ผิดแผกจากธรรมชาติไปเป็นอันมาก

    และเริ่มมีความทุกข์ เริ่มสับสนไม่เข้าใจว่า ควรดำเนินชีวิตไปอย่างไร

    ขณะที่สรรพสัตว์อื่นๆ ดำเนินชีวิตไป ตามตามสัญชาติญาณเท่านั้น

    ไม่ได้ใช้ความคิดปรุงแต่ง จึงไม่ได้มีความทุกข์ร้อนอะไร



    ตามหลักธรรมชาติแล้ว มนุษย์อาจฆ่าสัตว์หมดโลกแล้วตัวเอง ก็สูญพันธ์ไปด้วย

    และก่อนจากไป ก็ระเบิดโลกแหลกเป็นผงธุลี ก็เป็นเรื่องธรรมชาติสามัญ

    ไม่มีใครทุกข์ร้อนอะไร



    สรุปว่า ในธรรมชาตินั้นมันจะเป็นไปอย่างไร ก็ไม่มีใครเป็นทุกข์

    มีสัตว์ฉลาด และคิดได้ จึงเอาสิ่งต่างๆ มาคิด จึงมีปัญหา

    ปัญหานั้นตกเป็นภาระของ สัตว์ฉลาดนั้นเอง



    การที่เราจะรู้ได้ ว่ามนุษย์ควรมีชีวิตอย่างไร ต้องเริ่มต้น ด้วยการรู้จัก ว่ามนุษย์เป็นอย่างไรก่อน

    ที่จริงมนุษย์ เป็นสัตว์ธรรมดา ที่มีสมองใหญ่ จึงมีสติปัญญาสูงพอที่จะคิดได้ จนสมองบอกเราว่าเรามีจิตใจ

    สิ่งเหล่านี้มาจากสมอง ที่ซับซ้อนและมีเงื่อนไข ตามธรรมชาติของมัน

    "สมอง" ทำงานตลอดเวลา ไม่มีการหยุดพัก แม้เวลามนุษย์หลับ (มักฝัน)

    มันวิ่งแล่นไปอย่างอิสระ เรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยการสัมผัส เข้าใจ รู้สึก จดจำ ตัดสินว่าชอบหรือไม่

    เตรียมการที่จะจัดการ กับสิ่งต่างๆ ที่มันพบตลอดเวลา

    กระบวนการนี้ใช้ร่างกายเป็นสื่อ รองรับความต้องการของ "สมอง" ที่เราเรียกว่า "จิตใจ"



    พระพุทธเจ้า อธิบายว่ามนุษย์นั้น คือ สิ่งที่ประกอบด้วย "ขันธ์ 5"

    ได้แก่

    รูป

    เวทนา

    สัญญา

    สังขาร

    วิญญาณ



    ต่างจากสัตว์ทั้งปวง ที่ไม่มี สังขาร และวิญญาณ ตรงที่ต่างนี้สำคัญที่สุด!!



    "ขันธ์ 5" นี้ สำคัญยิ่งนัก

    2,500 ปี ที่เราไม่เข้าใจ หลัก "พุทธทฤษฎี"

    ก็เพราะเรา ไม่เข้าใจ "ขันธ์ 5" นั่นเอง

    เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบ "พุทธทฤษฎี" ตามแง่มุมต่างๆ

    ที่แม้เรารู้ว่าดีเลิศ แต่ไม่อาจเข้าใจได้เลย







    ขันธ์ที่ 1 รูป

    คือ ร่างกายของคน ประกอบด้วย อวัยวะทุกส่วน เป็นวัตถุ จับต้องมองเห็น ภายนอก และภายในร่างกายทั้งหมด

    รวมทั้งสมอง หัวใจ ปอด ไต ตอนมีชีวิต เคลื่อนไหวได้เอง ทำกิจกรรมต่างๆ

    เช่น กินอาหาร ขับถ่าย สืบพันธุ์ มีเจริญเติบโต และเสื่อม แก่ชรา ป่วย และตาย

    เมื่อตายแล้ว อวัยวะเหล่านี้ยังอยู่ครบ แต่ไม่สามารถ ทำอะไรได้อีก

    สรรพสัตว์ ก็มีรูป เช่นเดียวกัน


    ขันธ์ที่ 2 เวทนา
    ประสาทสัมผัส มี ตา หู จมู ลิ้น กาย เมื่อถูกกระทบ จะส่งสัญญาณ ไปตามเส้นประสาท สู่สมอง

    และที่สมองส่งสัญญาณ ย้อนกลับไปสั่งให้ร่างกายปฏิบัติ สัญญาณนี้ คือ "ผัสสะ"

    เป็นไปตามธรรมชาติบริสุทธิ์ จะผิดแผกแตกต่างบ้าง ด้านคุณภาพ ตามแต่สายพันธุ์

    สรรพสัตว์ ก็มีผัสสะเช่นเดียวกัน


    ขันธ์ที่ 3 สัญญา

    ผัสสะที่ได้รับจากประสาทสัมผัส เมื่อเข้ามาสู่สมองแล้ว จะส่งมาตรวจสอบที่ความทรงจำ
    แยกแยะ ว่ารู้จัก ไม่รู้จัก "ความจำ" นี้ เป็นรากเหง้าของความฉลาด เป็นต้นกำเนิดของความคิด

    สัตว์อื่น ที่ว่าฉลาดที่สุดแล้ว มีความจำด้อยกว่ามนุษย์เป็นพันๆ เท่า

    มนุษย์ยังสามารถจำ สิ่งที่คิดขึ้นมาเอง ในสมองล้วนๆ ไว้ได้ด้วย



    ขันธ์ที่ 4 สังขาร

    "ความจำ" นั้นสอนให้สมอง รู้จัก "คิด" รู้จักจำแนกสิ่งต่างๆ ระบุว่า สิ่งใดชอบ สิ่งใดไม่ชอบ

    คิดล่วงหน้าว่า เมื่อเจออีกจะทำอย่างไร ความคิดแบบนี้ คือ "โปรแกรม"

    มนุษย์วิวัฒนาการเพราะใช้สมองทบทวน กลับไปมาระหว่าง

    ความคิด ความจำ ลองทำ ได้ผลก็กลับมา จำได้ คิดเพิ่ม แล้วลองทำอีก

    เราพัฒนาสร้าง "โปรแกรม" ไว้ในสมอง และสอนถ่ายทอดบอกต่อๆ มา เป็น "วิทยาการ"

    เป็น "ความฉลาด" ใช้สร้างสรรค์ และ ปรุงแต่งทุกสิ่งในขันธ์ทั้ง 5 นี้

    ไม่เว้นตัวมันเอง สรรพปัญหาทั้งหลาย "ต้นเหตุอยู่ตรงนี้"

    ความคิด เป็นดาบ 2 คม จึงต้องควบคุมการใช้ให้เหมาะสมระมัดระวัง (ห้ามหยุดคิดด้วย)



    ขันธ์ที่ 5 วิญญาณ

    ด้วยความจำ ความคิด พิจารณาสิ่งต่างๆ มนุษย์สังเกตพบว่า มีตัวตน ของตนเองอยู่ ไม่ใช่ ไม่เหมือนใครๆ

    คือ "จิตใจ" มีความชื่นชอบ และไม่ชอบกับผัสสะต่างๆ เป็นการตัดสินลงความเห็นผ่านการใช้ โปรแกรม(สังขาร)

    สรุปเป็นคำตอบคำตอบนี้จะส่งผลให้เกิดการปฏิบัติ สั่งให้ร่างกาย(รูป) กระทำการต่างๆ

    ส่งเป็นผัสสะกลับไปให้สมองอีก(เวทนาที่ 6)

    ส่งให้ความจำ(สัญญา)บันทึกไว้ ส่งให้โปรแกรม(สังขาร)เขียนเพิ่มเติมอีก

    จิตใจ เป็นปลายทางที่เริ่มต้นจาก ผัสสะ เป็นผลลัพท์จากโปรแกรม ที่มนุษย์แต่ละคน เขียนสะสมสร้างไว้

    ในความจำตั้งแต่เด็ก เพื่อปรุงแต่งให้มีผลเอนเอียง ไปในทางที่แต่ละคนชอบ

    ดังนั้น จิตใจ ที่เป็นอารมณ์ต่างๆ เช่น รัก โลภ โกรธ หลง นั้น

    ในแต่ละคนจึงมีพฤติกรรมต่างกัน นี่เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้มนุษย์ไม่เหมือนกัน ในแทบทุกด้าน

    ไม่รู้จิตใจกันอย่างสมบูรณ์ และไม่รู้ว่า จิตใจของมนุษย์นั้นที่แท้เป็นอย่างไร

    ที่สำคัญ จิตใจก็ย้งเป็นต้นทางของผัสสะ อีกทางหนึ่งด้วย (พอมาอีกครั้งเรียกนามรูป)



    ทำให้บางครั้ง มนุษย์คิดวกวน คิดซ้ำซาก ทับกันเป็นทวีคูณ

    จิตใจ(วิญญาณ) คือ ผลที่ได้จากการคิดของสมองคน สมองนั้นอาศัยอยู่ในร่างกาย

    แม้สมองจะมีอำนาจเพียงไร เมื่อสมองเสื่อมหรือสมองตาย อำนาจนั้นย่อมสูญไปด้วย

    ความจริงนี้ สมองคนทั่วโลก ทุกเผ่าพันธุ์ยอมรับไม่ได้ และสร้างความเชื่อว่าจิตวิญญาณนั้น

    เมื่อคนตายแล้วยังคงอยู่ ซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับนอกจากความฝันที่ไม่มีน้ำหนักอะไร

    จิตวิญญาณ นี้ สรรพสัตว์อื่นๆ ไม่มี



    ทีนี้เห็นตัวตนของคุณหรือยัง ?

    ว่าใครปรุงแต่งตัวคุณ คุณปรุงแต่งตัวใคร และคุณเป็นเจ้าของสิ่งปรุงแต่งนี้ใช่ไหม



    "ขันธ์ 5" คือ องค์ประกอบของมนุษย์ เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพล้วน

    ขันธ์แรกเป็นร่างกายมนุษย์ ที่เหลือเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้น ในระบบประสาทสัมผัส และในก้อนสมอง

    ไม่มีอะไรเป็นนามธรรม ไม่มีอะไร อยู่นอกร่างกายมนุษย์

    พอเข้าใจ "ขันธ์ 5" แล้ว "พุทธทฤษฎี" ก็เผยออกให้เห็นแจ่มชัดทุกข้อ



    "ขันธ์ 5" เป็นเพียง อาณาเขตปริมณฑล ของการ "ปฏิบัติภาระกิจ" ตามแนวทาง "พุทธทฤษฎี"

    ซึ่งสอนให้เรา กระทำสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ของความเป็นมนุษย์

    มนุษย์ ที่ประเสริฐ จะต้องมี จริยธรรมอันประเสริฐ

    ปฏิบัติตนได้ ถูกต้องเหมาะสมสูงสุด

    มิใช่ ดีแต่พูด ดีแต่คิด



    ความเหมาะสมในการปฎิบัตินี้ เรียกว่า "ทางที่ไม่เขว" (มัฌชิมาปฏิปทา)

    มิใช่ ชุ่ยๆ ลวกๆ และ เซ่อๆ

    "ผู้ปฎิบัติธรรม" จะต้อง มีความสามารถขั้นเอกอุ ที่จะควบคุมขันธ์ทั้ง 5 ไว้

    ให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม ตลอดเวลา ทุกลมหายใจ ไม่ไขว้เขวออกนอกเส้นทาง แม้แต่นิดเดียว



    ลองนึกภาพ

    นักกายกรรม ขี่จักรยานล้อเดียว มือถือไม้พลองยาว ไต่เส้นลวด ข้ามหุบเหว .........................

    ทักษะร่างกาย สมาธิ สติ ปัญญา สูงสุด ในการรักษาความสมดุลย์ตลอดเวลา



    พลังกาย สมาธิ สติ ปัญญา ใช้หลักจริยธรรม

    ควบคุมขันธ์ทั้ง 5 แบบ "ทางที่ไม่เขว" หรือ"ทางสายกลาง"

    "มัฌชิมาปฏิปทา" ของพระพุทธเจ้า



    ในอาณาเขตปริมณฑลของขันธ์ 5 นี้

    คำนี้สรุปได้ สั้นๆ ตื้นๆ แต่ยากสุดๆ หินสุดๆ

    "ไม่ละเมิดผู้อื่น ไม่ละเมิดตนเอง"



    อย่าดูถูกคำนี้เป็นอันขาด

    พระพุทธเจ้าใช้เวลา 45 ปี หลังตรัสรู้ สอนแก่มนุษย์ชาติ จนปรินิพพาน

    ไม่ได้ออกนอกบรรทัดนี้เลย

    (หนึ่งล้านหน้ากระดาษเอสี่ ยังไม่พออธิบายข้อความบรรทัดนี้)

    มรรคผล ที่ได้รับจาก การดำเนินชีวิต แบบ "มัฌชิมาปฏิปทา" ครบถ้วนสมบูรณ์ใน "พุทธทฤษฎี"

    เรียกว่า "นิพพาน"



    เห็น "พุทธทฤษฎี" แล้ว

    หาค้นอ่านเพิ่มเติมได้ จากหนังสือธรรมะรอบๆ ตัวของท่าน

    มีแทรกซ้อนพูดถึงอยู่แทบทุกเล่ม

    รวมทั้งในพระไตรปิฎกทั้งหมด ไม่แปลก และเป็นความจริง

    อย่าลืมเอาฮินดูออกให้หมดเสียก่อนล่ะ..!!!

    <LI>
    ทำไมฝรั่งจึงไม่เข้าใจ ปรัชญาของพระพุทธเจ้า และชาวพุทธคิดว่าพุทธ ไม่ใช่ปรัชญา?
    <LI>
    ดวงจิตที่แท้นั้นเป็นเช่นไร เกี่ยวข้องกับอัตตาอย่างไร.?
    <LI>
    กิเลสนั้น มันจับมาเผาได้จริงหรือ.?
    <LI>
    พระพุทธเจ้ายืนยันว่า ฮินดู พราหมณ์ และโยคี คือ เดียรฉานวิชชา.?
    <LI>
    ทำไมอภินิหารและชาดก จึงมีมากมายในพระไตรปิฎก ?
    <LI>
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย แบบไม่มีความทุกข์ มีจริงหรือพระพุทธเจ้าโกหก.?
    <LI>
    นรก สวรรค์ จากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้ามีสักครั้งไหม..?
    <LI>
    คุณรู้ไหมว่าพระเวสสัดรชาดกนั้น เมดอินไทยแลนด์ คนไทยแต่งเองด้วย
    <LI>
    กฏแห่งกรรมของพระพุทธเจ้า กับ หนังทีวี เจ้ากรรมนายเวรนั้น..มันคนละเรื่อง?

    ผมมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธเพียงแค่นี้เองครับ
    <LI>
    แต่มันทำให้ชีวิตผมมีความสุขนะ
    <LI>
    แล้วพวกคุณล่ะ กำลังพูดถึงเรื่องอะไร?
    <LI>
    มันทำให้ชีวิตพวกคุณมีความสุขหรือเปล่า?
    <LI>
    ถ้ามีผมก็ดีใจด้วย?
    <LI>
    แต่ถ้าไม่ผมแนะนำให้ลองกับไปอ่านบทความนี้ใหม่ซัก 2-3รอบนะครับ
    <TD COLSPAN="1" HEIGHT="407"><TR VALIGN="TOP" ALIGN="LEFT"><TD COLSPAN="1" HEIGHT="35"><TR VALIGN="TOP" ALIGN="LEFT"><TD COLSPAN="1"><TD COLSPAN="1" HEIGHT="12" VALIGN="TOP" WIDTH="306">
     
  8. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    คุณพลังธรรม หวังว่าคงจะไม่เป็นหนอนกินตำรานะ หากยังไม่เป็นพุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง ก็ควรปฏิบัติให้แจ้งเสียก่อนแล้วค่อยมาวิพากษ์วิจารณ์คำสอนพระพุทธองค์ เรื่องแบบนี้กรรมใคร กรรมมันครับ กรรมเป็นเผ่าพันธ์

    ถ้าปฏิบัติจิตได้ดี ก็จะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ปฏิบัติจิตได้ไม่ดีก็ไปสู่ภพภูมิที่ไม่ดีครับ
     
  9. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    ถึง Goheng เรื่อง ภูเขาควายนั้น มีความซับซ้อนมาก เป็นเขตของป่าหิมพานต์ และภพภูมิอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกัน ลองไปข้อมูลพื้นฐานเรื่องป่าหิมพานต์ในไตรภูมิพระร่วงครับ

    ถึงคุณ เกษม เรื่อง "สามร่มโพธิ์ศรี" นั้นที่จริงคือเรื่องของพระจักรพรรดิ์ ที่พระศรีฯ จะลงมายกยอพระศาสนา ที่พระศรีฯท่านมาเป็นพระยาธรรมิกราช ปกครองโลก พระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งทำหน้าที่เป็นคล้ายพระสังฆราชของโลก และพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งทำหน้าที่คล้ายนายกของโลก โดยมีเหล่า อัญญาสิทธิ์ และ อัญญาธรรม ซึ่งเป็นผู้ที่ลงมาทำหน้าที่ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ปฎิบัติรอพระจักรพรรดิ์ กันทั้งนั้นและมักอยู่ในที่ลี้ลับ แต่ถ้าปฏิบัติจิตถึงก็สื่อกันได้

    รายละเอียดเรื่องสามร่มโพธิ์ศรี ผมกำลังรวบรวมจากคนในคณะหลายๆคน เพราะฟังมา ต่างวาระกัน แล้วจะนำมาเล่าสู่กันฟังทีหลังครับ

    ที่สำคัญก็คือกาลของยุคพระจักรพรรดิ์ ใกล้เข้ามามากแล้ว ครูบาอาจารย์ ท่านมาบอกบ่อยๆให้เร่งปฏิบัติกัน พระศรีฯใกล้จะลงมาทำหน้าที่พระจักรพรรดิ์ แล้ว คำว่า "ใกล้" นี้ ในโลกภายในนั้นหากเป็น 5-10 ปีมนุษย์นั้น ถือว่าน้อยมาก

    ที่ผมกำลังกังวลก็คือ กาลของพระจักรพรรดิ์ จะมาเร็วกว่าที่คิดมาก ครูบาอาจารย์ท่านสั่งให้ทำหลายสิ่งหลายอย่าง ผมยังทำไม่เสร็จอีกมาก ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้ว่าเมื่อกาลของพระจักรพรรดิ์ใกล้เข้ามา หายนะจะเกิดขึ้นกับโลก เทวดาเขาจะทำฤทธิ์ โลกจะปั่นป่วนเท่าที่จำได้ ท่านบอกว่า "ประเทศอเมริกาจะเป็นเกาะเป็นแก่ง" ยุโรปต่อไปก็จะหายนะอยู่ไม่ได้ ต้องมาพึ่งแผ่นดินไทย (ต่อไป ไทยกับลาวจะกลับมารวมกัน) ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น หายไป ฯลฯ และประเทศไทยจะดีได้ ก็ต่อเมื่อ "เกิดเหตุใหญ่" เสียก่อน การเมืองไทยคนจะฆ่ากันตายเป็นเบือ แต่ที่เป็นอยู่ทางภาคใต้ตอนนี้คิดว่ายังไม่ใช่เหตุการณ์ที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้ เคยถามท่านว่า "ไม่ให้เกิดไม่ได้หรือ" ท่านว่า "ปู่ยีเว่าไว้แล้ว ปานพระเจ้าเว่า เปลี่ยนแปลงไม่ได้"

    หากใครสังเกตดีๆ ลมพายุนั้นคล้ายจักรหมุน หากใครเคยขี่จักรภายในจะเข้าใจว่าเป็นยังไง เท่าที่เห็นตอนนี้คือภายใน ปราบภายใน ก็ล้นออกมาภายนอก ใครมีกรรม เป็นเชื้อสายของพวกที่เขาปราบภายในก็จะได้รับผลกระทบ ถ้าจะไล่ลำดับ ก็ต้องไปตั้งต้นศึกษาระบบจิตวิญญาณที่หมุนเวียนอยู่บนโลกตั้งแต่ยุครามเกียรติ์แหละ

    เอาเป็นว่าพวกอิสลามคือเชื้อยักษ์พวกนึง ฝรั่งก็เชื้อยักษ์อีกพวกนึง ทางเอเชียก็เป็นพวกเทวดา นาค ฯลฯ รวมทั้งลูกผสมเชื้อยักษ์ก็มีเช่นกัน ศาสตร์วิชาการที่มนุษย์ใช้อยู่บนโลกปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นวิชาของพวกเชื้อยักษ์เป็นคนคิด (ยิวกับยักษ์ เป็นภาษาลัญญลักษณ์) สุดท้ายศาสตร์วิชาการที่มนุษย์เอามาใช้ก็จะทำลายเบียดเบียนมนุษย์กันเอง
     
  10. xchan

    xchan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +106
    To คุณ Aunyasit ครับ เท่าที่อ่านมาก็โอเค นะครับแต่ที่ผมไม่เห็นด้วยคือการเปิดเผยเรื่องบางอย่างนะครับ "มันยังไม่ถึงเวลา" ตามคำที่ท่านพูดคือ "ดังบ่ดีดีบ่ดัง" พอดีไม่รู้มาเจอเวปตรงนี้ได้อย่างไร อย่างอ้างอิงถึงสถานที่เลยครับ แค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2007
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ขอบคุณครับ คุณAunyasit ที่ให้ความรู้ทำให้ผมหูตาสว่างขึ้นอีกมาก ไม่รู้ว่าผมจะมีวาสนาได้ทันเห็นยุค "สามร่มโพธิ์ศรี" หรือเปล่าแต่ก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณทำงานที่ครูบาอาจารย์สั่งมาสำเร็จลุล่วงไปโดยเร็วครับ......สาธุ
     
  12. potomiohm

    potomiohm Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +30
    ตื่น แล้วอยู่กับปัจจุบันดีกว่า พุทธเจ้าสอนให้ดับ ไม่เคยสอนให้เกิด
     
  13. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    คุณ xchan มาเกี่ยวอะไรด้วยละเนี่ย มาอยู่ในสาระบบที่ผมทำหน้าที่ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ที่คุณเหนื่อยน่ะ น่าจะเป็นกรรมของคุณรุมสกรรมคุณมากกว่านะ ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับระบบที่ผมทำบารมีอยู่หรอกครับ


    คุณ potomiohm ปฏิบัติของตัวเองไปครับ เอาตัวเองให้รอดซะก่อน แล้วค่อยมาคุยกันครับ ปฏิบัติให้รู้แจ้งถึงความสัมพันธ์ของ อดีต ปัจจุบันและอนาคต ของตนเอง ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร แล้วจะเข้าใจ คำว่า "ปัจจุบัน" ครับ

    ขอบคุณ คุณเกษม ที่ให้กำลังใจครับ ก็ทำมาหลายอย่างแล้วหล่ะครับ ที่เหลือก็เป็นของหลักๆ ที่เป็นเรื่องของ บารมีต่อบารมี ทำวันนี้เพื่อเป็นฐานบารมีต่อไปในวันหน้าครับ หากบารมีรองรับไม่พอแล้วไปดันทุรังทำ ก็จะเจ็บป่วย ล้มตาย ก็เคยเห็นมานักต่อนักแล้ว แม้แต่ช่างที่จ้างมาทำก่อสร้างก็ต้องมีบารมีมา หากบารมีเขาไม่พอก็จะเจ็บ ป่วย ล้มตาย (อำนาจบุญกุศลดึงไปเสวย) เรื่องการทำบารมีนั้นหากผ่านไปได้ด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา บารมีจะแรงครับ

    ท่านไหนที่คิดว่าตัวเองมีบารมีมา ลองมาทดสอบบารมี มาทำอย่างที่ผมทำบารมีในเขตวัดป่าสีดาฯ ดูสิครับ ลองมาสร้างพระแก้วมรกตจำลองหน้าตัก 3.50 เมตรสักองค์นึง หรือสร้างปราสาทสักหลังนึง ใครมาทำ มาสร้างในเขตวัดป่าสีดาฯ ได้สำเร็จ ผมจะกราบงามๆเลยครับ
     
  14. benethumb

    benethumb สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +20
    ความคิดเห็นส่วนตัว

    ผมว่าเรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องแปลก ที่วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน

    เพราะฉนั้นผมถือว่าเรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ ผมไม่ได้ลบหลู่

    แต่บอกตรงๆ ผมเชื่อในการกระทำ ณ ปัจจุบันของผมมากกว่า

    ผมเชื่อว่า ถ้าทำดีแล้วตอนนี้ อนาคตจะเป็นยังไงก็ช่าง เพราะชีวิตคือ การ เสี่ยงทายฮะ

    จะออกหัวออกก้อยไม่รุ้ รู้แต่ว่า วันนี้ ผมทำตัวเองให้ดีที่สุด พอแล้ว

    ผมแค่ออกความคิดเห็นน๊า ไม่ได้ต้องการจะค่อนแคะใคร

    ถ้าจะมีใครมาด่าผม ก็ถือว่า คนนั้นเป็นคนไม่ใจกว้าง ไม่เปิดรับฟังความคิดของคนอื่นน๊า เอิ้กๆ
     
  15. potomiohm

    potomiohm Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +30
    เจ้าของกระทู้นี้ต้องการอะไร สร้างความสับสน หรือโฆษณาชวนเชื่อ เอาความศรัทธาต่อพระศรีอารีย์มาบังหน้า เพื่อทำลายพระพุทธศาสนาทางอ้อม เอาสิ่งที่อ่อนไหวต่อจิตใจมาเล่นแบบนี้ จะว่าก็ไม่ได้เดี๋ยวไปขัดศรัทธาคนอื่น ทำลายได้ตรงจุดมาก เข้าใจเล่น อยู่ในศาสนานี้ แต่โฆษณาศาสนาหน้าที่ยังมาไม่ถึง จะช่วยเร่งให้หมดยุคพระพุทธเจ้าองค์นี้เร็วๆหรือไง ถ้าคนทั้วไปคิดแบบเจ้าของกระทู้นี้ ทิ้งพระธรรมที่พุทธเจ้าสอน ไปยึดติดที่ตัวบุคล พุทธศาสนาคงไม่ถึง 5000 ปีแน่ อยุดทำลายสักทีเถอะ ขอทุกคนช่วยกันด้วยครับ
     
  16. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    เรียนคุณ potomiohm

    นักปฏิบัติที่เขาเข้าใจศีลธรรมนั้นก็มีอยู่ไม่น้อย เขาคงมีปัญญาพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร เอาเป็นว่าผมเว้าตรงๆแล้วกันนะครับ หากคุณเป็นนักปฏิบัติธรรมจริง คุณจะไม่รู้สึกไม่เดือดร้อนกับเรื่องเหล่านี้ครับ ถ้ายังอึดอัดขัดเคืองกับข้อเขียน กับคำพูดคำกล่าวของใครคนใดคนหนึ่งอยู่นั้น สิ่งที่ต้องไปแก้ไขก็คือ "จิตของคุณเอง" ครับ

    ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าผมจะเขียนหรือกล่าวอะไร หรือปัญหาไม่ได้อยู่ที่พุทธศาสนาจะอยู่ครบ 5000 ปี ได้อย่างไร ปัญหาจริงๆอยู่ที่ว่า คุณใช้ปัญญาธรรมของคุณพิจารณาสิ่งที่คุณเห็นหรือเข้าใจยังไม่สอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้าท่านสอนต่างหากเล่า จิตเลยไม่สงบ

    สิ่งที่ฝากไว้ก็คือ อย่ามาเสียเวลากับสิ่งที่ผมเขียนเลย ปฏิบัติจิตตัวเองให้มันสงบดีกว่าครับ อย่าลืมว่าพุทธศาสนาเป็นของกลางของสากลจักรวาล ทุกคนมีสิทธิ์เท่าๆกันที่จะเรียนรู้ หากคุณอยากจะเข้าใจพุทธศาสนาจริงๆนั้น เอากายสังขารที่พ่อแม่ให้มา ปฏิบัติไปแลกกับศีลธรรมครับ และผมนั่งยัน นอนยันได้ว่า ศีลธรรมนั้นมีอยู่ในโลกภายใน "พระธรรม"นั้นก็มีอยู่จริงในโลกภายใน และโลกที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้นั้นเป็นแค่สมมติชั่วคราว เท่านั้นครับ

    ผมเองถือหลักว่า ยุคที่พระพุทธเจ้าท่านอยู่ เรายึดพระพระพุทธองค์ ยุคที่ท่านไม่อยู่เรายึดพระธรรม หากเข้าไม่ถึงพระธรรม ก็ยึดครูบาอาจารย์ไว้ก่อน และครูบาอาจารย์ก็มีหลายระดับบารมี ครับ เลือกได้ตามใจชอบ

    ต้องขออภัยหากกระแสจิตของคุณปั่นป่วน ยากต่อการทำความสงบ ก็บอกมานะครับ จะแผ่เมตตาใหญ่ให้ครับ
     
  17. potomiohm

    potomiohm Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +30
    โธ่ ไปน้ำขุ่นๆ แผ่เมตตาให้ด้วยนะ ขอบคุณครับ
     
  18. UFO99

    UFO99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2005
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +983
    อนุโมทนาบุญครับ ยอมรับว่าอ่านไม่หมด แต่รู้สึกดีครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. benethumb

    benethumb สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +20
    คุณ Anuyasit นี่เข้าข่าย ไม่เปิดรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นนะเนี้ย
     
  20. ratchasit

    ratchasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +132
    พระอริยสงฆ์ เป็นพระโพธิสัตย์ หรือไม่

    อยากทราบว่าพระอริยสงฆ์ ต่อไปนี้เป็นพระโพธิสัตย์ใช่หรือไม่อะ
    1. พระสามีราโม (หลวงปู่ทวด)
    2. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี
    3. หลวงพ่อปาน
    4. หลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
    5. หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    6. หลวงปู่แหวน

    จริงๆ อยากรู้อีกเยอะนะ แต่ที่อ่านมาหลายๆ เรื่องจึงยังไม่ค่อยแน่ใจว่าท่านใดเป็นบ้าง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...