เรียนถามท่านผู้หยั่งรู้ฟ้าดินทุกท่าน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิหคอิสระ, 18 สิงหาคม 2012.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,362
    ธรรมที่เรากล่าว มีที่มาดังนี้
    1 มาจากพระไตรปิฏก และพระคาถา พระคาถาหรือบทสวดมนต์ ที่เราสวดภาวนานั้น เราจะต้องนำมาแปลเพื่อทราบความหมาย เมื่อนำมาแปลแล้วย่อมได้ความหมายอันเป็นธรรมะ บางบทนั้นเป็นธรรมชั้นสูง และเมื่อย้อนไปดูในพระไตรปิฏก ก็จะสอดคล้องกัน

    2 เรากล่าวด้วยเพราะเหตุที่เราไปปฏิบัติ จึงมีความเข้าใจในกริยา อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น เราจึงสามารถรู้และทำความกระจ่างในการปฏิบัติได้อย่างละเอียดเพราะเราปฏิบัติมาแล้ว

    3 เรากล่าวด้วยเพราะผลจากที่เราปฏิบัติมันให้ผลต่างๆ หลายประการแก่จิต แก่กายของผู้ปฏิบัติ ทั้งนี้เราจะกล่าวในเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์แห่งการปฏิบัติ ในส่วนที่นอกเหนือจากนี้เช่นอภิญญา เจโตปริยะญาณ ทิพย์จักษุ ทิพยโสต อตีตังสญาณ ปัจจุปันนัง อนาคตตังสญาณ หรืออื่นๆ มันเกิดของมันเอง หากท่านปฏิบัติได้มันมีของมันเองแต่สิ่งเหล่านี้เราไม่ขอกล่าวถึงเพราะ ไม่ใช่เครื่องของปัญญาแห่งความหลุดพ้น ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณา ธรรมทั้งหลายให้มาก แล้วรู้จักวางกรอบกติการในการดำเนินชีวิตและปฏิบัติธรรมแล้วท่านจะไปถึงจุดหมาย แห่งความดับทุกข์ ครับ สาธุครับ
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,362
    หากท่านทั้งหลาย อยากได้ฌาณ1-8 อยากได้ฌาณสมาบัติ อย่างได้ญาณวิปัสสนา อยากได้มหาปัญญาญาณท่านต้องทำเหตุให้ถึงพร้อมก่อน
    ศีล5 ศีล8-10 พรมหวิหารธรรม หิริโอตัปปะ สังคหวัตถุ อิทธิบาท โพชฌงค์ การทำบุญ ทาน การสวดมนต์ตามบทสวดมนต์ต่างๆที่สำคัญ การทำสมาธิภาวนา ทำได้มากน้อยแค่ไหน วันหนึ่งๆท่านทำอะไรอยู่ ท่านได้ปูพื้นฐานไว้ดีหรือยัง ฌาณ5-8 เข้าถึงได้ยาก ต้องเป็นนักนั่งภาวนานั่งเจริญสมาธิจริง
    หากท่านยังเอาชนะนิวรณ์ไม่ได้ ยังเอาชนะกายเวทนาไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าท่านจะไปถึงฌาณชั้นสูง หากท่านยังไปไม่ได้ ท่านก็อย่าหวังว่าท่านจะไปถึงวิปัสสนาญาณชั้นสูง หากท่านยังไปไม่ถึง วิปัสสนาญาณชั้นสูงก็อย่าหวังว่า กิเลสอย่างละเอียด จะตัดละได้หมดดับได้หมด สังโยชน์จะทำลายได้หมด

    ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องปูพื้นฐานไว้ให้ดี ท่านทำมันได้หรือยังท่าน เพิ่มบารมีในธรรมทั้งหลายให้สูงยิ่งขึ้นไปหรือยัง วันหนึ่งๆ24ชม ท่านบริหารเวลาอย่างไรท่านฝึกจิตกี่ชม. ขอท่านทั้งหลายจงพิจารณาในสิ่งเหล่านี้ด้วยเถิดครับ
    ความต่างกันระหว่างเราท่านทั้งหลายคือ กรอบปฏิบัติอันเป็นสาเหตุสำคัญ ประจำวัน เรามีกำลังใจเข้มแข็งพอหรือยัง อินทรีย์เราแก่กล้าหรือยัง หากยัง ทำๆๆๆๆๆๆๆๆ ทำมันไปให้มากๆ ครับ เอาอย่างพระอริยะสงฆ์ท่าน แล้ววางกรอบปฏิบัติของตนให้ได้ ทำให้ได้ แล้วท่านย่อมไปถึงที่หมายครับ สาธุครับ
     
  3. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388


    อารมณ์ ที่ไม่ส่งออก จะถูก เก็บกัก หลอมในร่างกายเผาร่างกาย ประหนึ่งเตาหลอมตนเอง จน กระดูก เป็นธาตุครับ

    อิอิ
     
  4. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    กราบขออภัยขอรับ
    ผมมาใส่รองเท้าตรงนี้เลย
    จึงไม่ทราบว่าศรชี้ไปทางไหน

    อารมณ์ที่ไม่ส่งออก
    หรืออารมณ์ที่ไม่เกิด
    หรือเกิดมาแล้วไม่มีออกซิเจนจึงไม่ติดไฟ
    หรือเกิดมาแล้วตั้งอยู่เปลีย่นแปลงท่ามกลางดับไป
    หรือลูกโป่งอัดเข้ามากๆข่มไว้
    หรือคอมที่ไม่เคยล้างไพล์เก่าเก่าที่เป็นขยะออกเก็บไว้เป็นอย่างไร
    ขอรับ

    กายมนุษย์กินอาหารไก่อาหารหมูเข้าไปเร่งความเป็นหนุ่มเป็นสาว
    เพื่อนำมาใช้งานและเจริญเต็มที่
    มากกว่านี้เลี้ยงเปลืองอาหาร

    อัดเข้าไปทุกวัน
    หิวก็กินไม่หิวก็กิน
    กินเข้าไปเท่าไรใช้ไปเท่าไรเหลือเท่าไร

    เก็บเอาไว้ไปต่อที่สวรรค์ต่อหรือไม่อย่างไรขอรับ
    หรือเอาไปติดสินบนท่านยม
    อย่าลืมไปถอนเงินในแบงค์ไปด้วยเวลาจะตาย
    เพื่อไปซื้อยานอวกาศขอรับเมื่อตาย

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  5. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    หากยิ่งอยากได้ก็จะห่างออกไป ออกไป ไปไม่ถึงหรือไม่ก็ต้องเริ่มใหม่ตลอด หากไม่ปรารถนาก็จะได้ไปเรื่อยตามสภาวะจิต ส่วนความแตกต่างของฌานแต่ละขั้นหากจะอธิบายก็บอกได้อย่างไม่อายว่าอ่านของท่านอาจารย์หลาย ๆ ท่านมาครับ มันเป็นเรื่องของการรู้ได้ด้วยตนเอง ใครไปถึงไหนใจจะเป็นผู้รู้เอง อธิบายไม่ได้ แต่รู้ จะรู้เอง หากมัวแต่อ่านแล้วไปเทียบกับสิ่งที่เกิดกับตนจะเผลอเข้าไปยึดติดทันที จากฌาน จะเป็นอุปทาน และเป็นทิฐิแก้ยาก ค่อย ๆ ปฏิบัติไป เราเป็นฆาราวาส ไม่สามารถปฏิบัติขั้นอุกฤษเหมือนพระได้เพราะเรามีห่วงมาก ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป เมื่อถึงเวลาใจเรารับรู้ได้เอง (เหมือนพระจารย์หลายท่านเคยบอกกล่าวอาการของการบรรลุไว้ ท่านกล่าวไม่เหมือนกันหรอก เพียงแต่ว่าใจท่านรับรู้เหมือนกันหมดว่านี่คือการหมด คือการพ้นโดยสิ้นเชิง ไม่มีสิ่งใดจะมาทำให้เกิดใหม่ได้อีก ) เช่น ภาไทยเรียกว่า หมู ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Pig แล้วหมูเรียกตนเองว่าอย่างไร ใจของเรารู้ว่าคืออะไร เหมือนกันกับหมูเขาก็รู้ว่าเขาคืออะไร และเมื่อไปถึง ณ จุดนั้นใจจะเป็นผู้รู้ทันที ไม่ต้องห่วงว่าเราปฏิบัติไ้ด้ฌานขั้นไหน ขอทุกท่านเจริญในธรรม ผิดพลาดประการใดขอได้โปรดให้อภัยเป็นทานแก่ข้าพเจ้าด้วย
     
  6. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ไทยเรียกหมู
    อังกฤษเรียกพลิก
    ธรรมเรียกนายจุนนะ
    นายจนขอรับจนอะไรท่านเอาปัญญาขบเองขอรับ

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  7. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    เอ...จำไม่ได้ว่าเคยตอบไปหรือไม่ เอ้าตอบอีกครั้งก็น่าจะดีนะขอรับ
    ๑. ฌาน(ชาน) มีเพียงแค่ ๔ ในทางพุทธศาสนานะขอรับ ไม่ได้มี ๘ อย่างที่คุณกล่าวมา และอารมณ์ของ ชาน(ฌาน) ก็ดังที่คุณเคยรู้นั้นแหละ เริ่ม ตั้งแต่ ปฐมฌาน(ประถมชาน) ก็มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา(สมาธิ) เรื่อยไป จนถึงฌาน(ชาน) ๔. ก็ตัดออกไปที่ละอย่าง จน ไม่มี วิตก วิจาร ปีติ สุข มีแต่ เอกัคคตา(สมาธิ)

    ๒.การนั่งสมาธิ หรือที่คุณเรียกว่า เข้าฌาน(ชาน) ไม่ได้มีจุดประสงค์ ในฌาน(ชาน) ทุกชั้น แต่มีจุดประสงค์อยู่ที่ ฌาน(ชาน) ชั้นสุดท้าย คือ สมาธิ คือ เอกัคคตา ถ้าคุณนั่งสมาธิ หรือ เข้าที่คุณเรียกว่า เข้าฌาน(ชาน)จะได้ฌานในชั้นไหนก็เหมือนกัน เพียงแตกต่างกันนิดหน่อยตรงที่ ถ้าอยู่ใน ฌาน ๑ (ชานหนึ่ง) ก็จะมีอารมณ์ความคิดฟุ้งซ่านก่อน แล้วจึงเกิดสมาธิ เพราะคิดฟุ้งซ่านจนไม่มีอะไรจะคิดอีก ฯลฯ และแม้คุณจะไม่ได้นั่งสมาธิหรือเข้าฌาน(ชาน)นานสักเพียงใดก็ตาม ฌาน(ชาน) ก็จะยังเกิดขึ้นกับตัวคุณอยู่เสมอ เพราะ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เป็นธรรมดาของมนุษย์

    ๓.นั่งสมาธิ กับ เข้าฌาน(ชาน) ก็ตัวเดียวกันนั่นแหละขอรับ ฌาน (ชาน) เป็นข้ออธิบายเมื่อปฏิบัติสมาธิ หรือนั่งสมาธิ จะต้องเกิดอาการในฌาน(ชาน)ทั้งหลายเหล่านั้นขอรับ การนั่งเข้าฌาน(ชาน) ก็คือการนั่งสมาธิ คือนั่งเพื่อให้รู้จักควบคุมความคิดมิให้ฟุ้งซ่าน มิให้ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข แต่นั่งเข้าฌาน(ชาน) เพี่อให้เกิด "เอกัคคตา"เพียงอย่างเดียว
    ส่วนนั่งเข้า ญาน (ยาน) ความจริงแล้ว เป็นศัพท์ภาษาที่ข้าพเจ้าใช้เรียกการฝึกของข้าพเจ้าว่า "เข้าญาน"(เข้ายาน) ก็ย่อมแตกต่างจากการนั่งสมาธิ หรือนั่งเข้าฌาน(ชาน) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า "ญาน"(ยาน) อันนี้คุณลองไปหาคำแปลดูซิว่า "ญาน"(ยาน) หมายถึงอะไร ทำอย่างไรจึงจะได้ "ญาน"(ยาน)

    ๔. มันก็เหมาะกับทุกคนทั้งสองวิธีนั่นแหละขอรับ

    ๕. ญาน(ยาน) กับ ฌาน(ชาน)ย่อมต้องเกี่ยวข้องกัน เป็นปกติอยู่แล้วนี่ขอรับ ไม่เห็นจะต้องถามเลยขอรับ

    ๖. นั่งสมาธิ อย่างเดียว กระดูกไม่กลายเป็นพระธาตุดอกขอรับ (พระธาตุไม่ใช่แก้วขอรับ แต่เป็นกระดูกที่มีลักษณะคล้ายแก้ว คล้ายเท่านั้นขอรับ ไม่เหมือนแก้วเลยแม้แต่น้อยขอรับ ทั้งนี้ก็ขึันอยู่กับวิชชาในตัวบุคคลนั้นด้วยอาจจะมีลักษณะใกล้เคียงกับเพชรก็ได้ขอรับ)
    ถ้าจะให้กระดูกกลายเป็นพระธาตุ ต้องนั่งสมาธิหรือนั่งเข้าฌาน(ชาน) และต้องนั่งเข้าญานด้วย ที่สำคัญ เพื่อนั่งหรือปฏิบัติทั้งสองอย่างแล้ว ต้องรุ้จักวิธี ขจัดอาวสวะออกจากร่างกายด้วยขอรับ
     
  8. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ในเรื่องญานกับณาน
    มันเป็นเรื่องแปลก
    การแบ่งสองอย่างระหว่างหยินหยาง
    การแบ่งสามอย่างสี่อย่าง............

    ทุกอย่างเมื่อมีแล้วด้วยสิ่งนั้นจะเกิดสิ่งนี้ขึ้นมาตามมา
    ในวงจรปฎิจ
    เฉกเช่นกัน
    ญานกับณาน

    เขาเล่าว่า
    ณานมีสิบหก
    ยานมีแปด
    ผมเชื่อขอรับ

    แต่ที่ไม่ใช่ตัวเรา
    ไม่มีเราไม่มีเขาไม่มีผมและคุณ
    ไม่มีทางเชื่ออะไรง่ายๆอย่างนั้น
    หากไม่ผ่านอินทรีย์นี้
    ไม่ผ่านการพิจารณา

    ทำไมเทวดาอยากเกิด
    อยากแต่เกิดไม่ได้
    สื่อไม่ครบ
    หรือไม่อย่างไรขอรับ

    ตรงนี้ขอเรียนถามท่านเจ้าของกระทู้
    ฌานห้า
    ห้าอย่างไร
    ทำอย่างไรเรียกห้า
    เรื่องทางธรรมท่านพบกับอะไร
    เรื่องทางโลกท่านพบกับอะไร
    เอาสองพบก่อนขอรับ

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  9. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    คุณโอ๊ทก็เข้าใจครับว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราจะเป็นคนดี เราจะปฏิบัติตนในหลักทาน ศีล ภาวนา เรื่องอื่นๆให้ภาวนาคาถานี้ในใจก่อนออกจากบ้าน 1 จบ และเวลาไปในที่ต่างๆรู้สึกไม่ปลอดภัยให้รีบหนีทันที ท่องว่า "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเมนา พุทธธะตังโสอิ อิโสตังพุทธทธะปิติอิ..." ธรรมทั้งปวงยังตั้งอยู่ด้วยความไม่ประมาทครับ ขอให้ทุกท่านรวมทั้งผมด้วยให้ได้นิพพานในชาิตินี้ทุกคน........
     
  10. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธธะนาเมอิ อิเมนาพุทธธะตังโสอิ อิโสตังพุทธธะปิติอิ.
     
  11. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    1...อารมณ์ตั้งแต่ฌาณ 1ถึงฌาณ8แต่ละอารมเปนไงต่างกันยังไง
    ตอบ สมบัติคือความว่าง แบบอวกาศธาตุ อวกาศธรรม แต่ถ้าพัฒนาได้ถึง
    จิตที่ว่างจากกิเลส อุสรรคแบบอวกาศธาตุ อวกาศธรรม ก็จะไม่ทำให้หลงทางนิพพานได้
    2...แล้วถ้าสมมุติเราถึงฌาณ5 ถ้าเลิกนั้งสมาธินานๆๆ ฌาณจะหายไหม
    ตอบ ฌานอาศัยการเพียรเพ่ง ไม่ว่าจะทรงอารมณ์ฌานไหนก็เสื่อม ยกเว้นโลกุตตระฌานเพราะมีปัญญาญาณคุมจิต ทำให้ละจากโทษของการหลงรูปนาม
    เพราะได้ดับรูปนามไปแล้วนั่นเองท่าน วิหคอิสระ
    3...แล้วการนั้งสมาธิให้ได้ฌาณกับได้ญาณมั่นต่างกันยังไง แล้วนั้งแบบถึงได้ฌาณ นั้งแบบไหนถึงได้ญาณ
    ตอบ ฌานเป็นเรื่องของผลสำเร็จของสมาธิ ญาณเป็นผลสำเร็จจากการฝึกวิปัสสนาญาณ ญาณในที่นี้ หมายถึงการหยั้งรู้กิเลส ได้หมดไปหรือยัง ด้วยวิืชชาอาสวะขยญาณ

    4...แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเราเหมาะกับวิธีแบบไหน
    ตอบ ถ้าท่านต้องการจบกิจไว ท่านก็เจริญพระวิปัสสนา หากท่านยังคิดจะศึกษา
    ให้มากกว่านี้ ก็จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ คือทำฌาน สมาบัติ แล้วค่อยมาเจริญพระวิปัสสนาญาณ วิถีนี้ช้า แต่ครอบคลุมทั้งหมด
    5..แล้วญาณกับฌาณมันเกี้ยวข้องกันยังไง
    ตอบ ญาณหมายเอาท่านผู้มีปัญญาเป็นของตัวเองแล้ว อริยครูทั้งหลาย
    ฌาน เป็นเครื่องอยู่อาศัยของท่านผู้เจริญแล้ว แต่หากว่าท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วทรงอยู่อยู่ จะเป็นโลกุตตระฌานทันที
    6..นั้งสมาธิถึงขั้นไหนกระดูกถึงจะเป็นแก้ว
    ตอบ ขั้นนิโรธฝอกจิต ล้างกระดูกให้บริสุทธิ์ได้ ขั้นปฐมคือหายใจทางผิวหนังได้
    จากนั้นเข้าอัปนาสมาธิ บรรลุถึงอัปปนาฌาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...