เราจักไม่พัก และ ไม่เพียร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รีล มาดริด, 26 พฤษภาคม 2013.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถ้า จะไม่เคย ว่ายน้ำข้ามโอฆะ

    การลอยตัวในน้ำ พัก ไม่ตะกุย ไม่ตีเท้า ไม่เชิดคอ แลบลิ้น
    หมามันยังรู้เลยว่า เดี่ยวตัวมันจะจม

    การลอยตัวในน้ำ ถ้าตะกุยมากไป ตี้เท้าจนน้ำกระจาย แหงน
    คอเสียจนสุดลำ ตัวมันลอยจริง แต่ มันไม่ไปไหน จะอยู่ที่เดิม
    หรือไม่ก็ว่ายไปไหนไม่รู้ ไม่เห็นฝั่ง

    [ โดยหลักการ ลำตัวของเรา ไม่ควรให้พ้นน้ำ ควรประครองตัว
    ให้ปากหรือจมูกพอพ้น ก็ได้ ที่เหลือควรปล่อยให้จม ..ตัว
    หากลอยพ้นน้ำ จะเสียแรง โดยไม่จำเป็น

    การที่ คน อุปทานให้เอาลำตัวพ้นจากน้ำ เป็นจิตที่ มีวิตก
    รุมเร้า ทำให้ ท้อแท้ เหนื่อยกายใจ ง่าย ]


    <img src='http://image.dogilike.com/shareimg/contentimg/nuna/petdreams_wordpress.jpg' width=250> <img src='http://www.toptenthailand.com/2013/img/img_topten/img_icon/1357807674.jpg' width=250>

    ปล. หมาตัวนี้ไม่แล๊บลิ้น สงสัยเป็นพัน " หมาจ๊อย บล๊อกแกง" !!


    **********************************


    ตกลง ตอนนี้ คุงทำมาปู๊ด มั่นอกมั่นใจแล้ว สิว่า พระสูตร ไม่เพียรไม่พัก โอฆตรณสูตร นี่ ควรขุด
    ออกจากพระไตรปิฏก พระสูตรนี้ เป็นส่วนที่ถือว่า เป็น พุทธวัจนะ เลยนะนี่ ทำมาปู๊ดดด มั่นใจ
    ขนาดจะขุด พระไตรปิฏก ในส่วน พุทธวัจนะ ด้วยเหรอ เอางั้นเลย

    แหม ทำมาปู๊ดดด บุคคลผู้เป็น " คำต้องห้าม " ( รู้นะ คิดได้ว่าอะไร )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2013
  2. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ท. ข้าแต่พระองค์ผู้ไม่มีทุกข์ ก็พระองค์ไม่พักไม่เพียร ข้ามโอฆะได้
    อย่างไรเล่า ฯ
    พ. ท่านผู้มีอายุ เมื่อใด เรายังพักอยู่ เมื่อนั้น เรายังจมอยู่โดยแท้
    เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ เมื่อนั้น เรายังลอยอยู่โดยแท้ ท่านผู้มีอายุ เราไม่พัก เรา
    ไม่เพียร ข้ามโอฆะได้แล้วอย่างนี้แล ฯ

    ...
    พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 33
    โอฆะ ๔ ในพระบาลีว่า โอฆมตริ นี้คือ กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ
    และอวิชโชฆะ. ในโอฆะเหล่านั้น
    ความยินดีพอใจ ในกามคุณ ๕ ชื่อว่ากาโมฆะ.
    ความยินดีพอใจในรูปภพ อรูปภพและความใคร่ในฌาน ชื่อว่าภโวฆะ.
    ทิฏฐิ ๖๒ ชื่อว่า ทิฏโฐฆะ.
    ความไม่รู้ในสัจจะ ๔ ชื่อว่า อวิชโชฆะ.

    จมด้วย... ?? ลอยด้วย....??
    ลองค้นมาดู.. คาดว่าน่าจะเป็นทางสุดโต่งสองด้าน ไม่ใช่ทางสายกลาง
    ดังนี้..


    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสตอบปัญหาแก่เทวบุตรนั้น
    จึงตรัสว่า ยทา สฺวาหํ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยทา สฺวาหํ
    แก้เป็น ยสฺมึ กาเล อหํ (แปลว่าในกาลใดเรา). สุอักษร เป็นเพียงนิบาต.
    ก็สุอักษรในที่นี้ฉันใด ในบททั้งปวงก็ฉันนั้น. บทว่า สํสีทามิ ความว่า เมื่อ
    เราไม่ข้ามก็จมอยู่ในที่นั้นนั่นแหละ. บทว่า นิพฺพุยฺหามิ ความว่า เมื่อเราไม่
    อาจเพื่อดำรงอยู่ ก็ย่อมเป็นไปล่วงปัญหาแม้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว
    อย่างนี้ ว่า เราไม่พักไม่เพียรข้ามโอฆะได้แล้ว ดังนี้ แม้จะเป็นปัญหาอัน
    เทวดาทราบแล้ว แต่ก็ไม่แจ่มแจ้ง เพราะเห็นโทษคือความไม่เข้าใจในเพราะ
    การหยุดอยู่และในความพยายามเพื่อกระทำอรรถนั้นให้ปรากฏ ท่านจึงแสดง
    ธรรมอันเป็นหมวดทุกะ ๗ หมวด.


    จริงอยู่ ว่าด้วยอำนาจกิเลส เมื่อบุคคลพักอยู่ ชื่อว่า ย่อมจม.
    ว่าด้วยอำนาจอภิสังขาร เมื่อบุคคลเพียร ชื่อว่า ย่อมลอย.

    อีกอย่างหนึ่ง
    ว่าด้วยตัณหาและทิฐิ เมื่อบุคคลพักอยู่ ชื่อว่า ย่อมจม. ว่าด้วยอำนาจแห่ง
    กิเลสที่เหลือและอภิสังขารทั้งหลาย เมื่อบุคคลเพียร ชื่อว่า ย่อมลอย.

    อีกอย่างหนึ่ง ว่าด้วยอำนาจแห่งตัณหา เมื่อบุคคลพักอยู่ ชื่อว่า ย่อมจม.
    ว่าด้วยอำนาจแห่งทิฐิ เมื่อบุคคลเพียร ชื่อว่า ย่อมลอย.

    อีกอย่างหนึ่ง
    ว่าด้วยสัสสตทิฐิ เมื่อบุคคลพักอยู่ ชื่อว่า ย่อมจม. ว่าด้วยอุจเฉททิฏฐิ
    เมื่อบุคคลเพียรชื่อว่า ย่อมลอย เพราะว่าภวทิฐิ ยึดมั่นในมานะอันเฉื่อยชา
    แต่วิภวทิฐิยึดมั่นในการแล่นเลยไป.

    อีกอย่างหนึ่ง ว่าด้วยอำนาจการติด
    (ลินะ) เมื่อพักอยู่ ชื่อว่า ย่อมจม. ว่าด้วยอำนาจอุทธัจจะ เมื่อเพียร ชื่อว่า
    ย่อมลอย.

    อนึ่ง ว่าด้วยกามสุขัลลิกานุโยค เมื่อบุคคลพักอยู่ ชื่อว่า ย่อมจม.
    ว่าด้วยอัตตกิลมถานุโยค เมื่อเพียรชื่อว่า ย่อมลอย.

    ว่าด้วยอำนาจแห่ง
    อกุสลาภิสังขารทั้งหมด เมื่อบุคคลพักอยู่ ชื่อว่า ย่อมจม. ว่าด้วยอำนาจแห่ง
    กุสลาภิสังขารอันเป็นโลกีย์ทั้งหมด เมื่อบุคคลเพียร ชื่อว่า ย่อมลอย.

    เทวดาฟังวิสัชนาปัญหานี้แล้วดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล เป็นผู้ยินดี
    แล้ว เลื่อมใสแล้ว ประกาศอยู่ซึ่งความยินดีและความเสื่อมใสของตนแล้ว
    จึงกล่าวคำเป็นคาถาว่า จิรสฺสํ วต เป็นต้น

    ขอขอบคุณ
    การข้ามโอฆะ [โอฆตรณสูตร]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2013
  3. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
    เล่ม ๔ - หน้าที่ 27
    อุทกูปมสูตร

    [๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลมีเปรียบด้วยน้ำ ๗ จำพวกนี้
    มีปรากฏอยู่ในโลก ๗ จำพวกเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้
    จมลงแล้วคราวเดียว ก็เป็นอันจมอยู่นั่นเอง ๑ บางคนโผล่ขึ้นมาแล้ว
    กลับจมลงไป ๑ บางคนโผล่พ้นแล้วทรงตัวอยู่ ๑ บางคนโผล่ขึ้นแล้ว
    เหลียวไปมา ๑ บางคนโผล่ขึ้นแล้วเตรียมตัวจะข้าม ๑ บางคนโผล่
    ขึ้นแล้วได้ที่พึ่ง ๑ บางคนโผล่ขึ้นมาได้แล้วเป็นพราหมณ์ข้ามถึงฝั่ง
    อยู่บนบก ๑

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่จมลงแล้วคราวเดียว
    ก็เป็นอันจมอยู่นั่นเองอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบ
    ด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำโดยส่วนเดียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล
    ที่จมลงแล้วคราวเดียวก็เป็นอันจมอยู่นั่นเองอย่างนี้แล

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้กลับจมลงไป
    อย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือเขามีธรรม คือ
    ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดี ๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย
    แต่ศรัทธาของเขานั้นไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไปฝ่ายเดียว หิริ
    โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาของเขานั้น ไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไป
    ฝ่ายเดียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วกลับจมลง
    อย่างนี้แล.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วทรงตัวอยู่อย่างไร
    บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา
    หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดี ๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย แต่
    ศรัทธาของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่ หิริ โอตตัปปะ
    วิริยะ และปัญญาของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่ ดูก่อน
    ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วทรงตัวอยู่อย่างนี้แล.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเหลียวไปมา
    อย่างไร บุคคลบางตนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้
    คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดี ๆ ในกุศลธรรม
    ทั้งหลาย เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เขาเป็นพระโสดาบัน มีอันไม่
    ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ดูก่อนภิกษุ
    ทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเหลียวไปมาอย่างนี้แล.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเตรียมตัว
    จะข้ามอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรม
    เหล่านี้ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดี ๆ ในกุศลธรรม
    ทั้งหลาย เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เพราะทำราคะ โทสะ โมหะ
    ให้เบาบางลง เขาเป็นพระสกทาคามี มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น
    แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้ว เตรียมตัวจะข้าม
    อย่างนี้แล.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่งอย่างไร
    บุคคลบางตนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ
    ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา ชั้นดี ๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย
    เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เขาเป็นพระอนาคามี จัก
    ปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคล
    ที่โผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่งอย่างนี้แล.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเป็นพราหมณ์
    ข้ามถึงฝั่งอยู่บนบกอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้
    คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา
    ชั้นดี ๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย เขากระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญา-
    วิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญา
    อันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเป็นพราหมณ์
    ข้ามถึงฝั่งอยู่บนบกอย่างนี้แล้ว

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบ
    ด้วยน้ำ ๗ จำพวก
    นี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก.

    จบ อุทกูปมสูตรที่ ๕

    เราไม่พักอยู่ ไม่เพียรอยู่ ข้ามโอฆะได้แล้ว [โอฆตรณสูตร]
     
  4. Thammasawasdee

    Thammasawasdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2013
    โพสต์:
    292
    ค่าพลัง:
    +869
    เจริญสติ เจริญในธรรม

    ธรรมะสวัสดี ^-^

    ขออนุโมทนา สาธุจร้า

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เฮ้อ!!!
    "โอฆะ" แปลว่า ห้วงน้ำ ท่านนำมาใช้เป็นชื่อของกิเลส 4 ประเภท
    ว่าเป็นเหมือนห้วงน้ำใหญ่ เพราะว่าห้วงน้ำใหญ่นั้น

    เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่พยายามเบี่ยงประเด็น ให้เป็นเรื่องสุดโต่งสองฝั่ง
    ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้า ชวนหดหู่ใจยังไงพิลึกสำหรับชาวพุทธ
    ทั้งๆที่ พระพุทธพจน์จากพระสูตรก็ชัดเจนอย่างที่เห็นๆ

    พระพุทธองค์ทรงตรัสเรื่องอะไร "การข้ามห้วงน้ำ"
    ข้ามได้ต้องลอยเท่านั้น ข้ามไม่ได้คือจม จมคือจม ลอยคือลอย
    แล้วอะไรหละคือกลางๆ อ้อ จมๆ ลอยๆ เหมือนอะไรนะ?
    ชัดเจนขนาดนี้ ยังจะหนีความจริงกันไปถึงไหน เฮ้อ!!! ปลงหว่ะ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  6. พันตา

    พันตา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +60
    สำหรับผม จขกท ก็แค่ตีความในอีกบริบทนึงแค่นั้น

    เพียร(คือฝั่งหนึ่ง) เรา(ตรงกลาง) พัก(อีกฝั่งหนึ่ง)

    บางคน เพียร และ พัก ให้เสมอกันก็คืออยู่ตรงกลาง พายเรือไม่ให้ชนฝั่ง

    ส่วนคุณจะ ไม่เพียร ไม่พัก มันก็อยู่ตรงกลาง ไม่เข้าฝั่งเหมือนกัน แต่ในรูปแบบปฏิเสธ
     
  7. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ไม่พักและไม่เพียรก็ต้องเป็นผลแล้วสิครับ ขณะเป็นมรรคก็ต้องเพียรไปพักไป จะมาทำเหลาะๆแหละๆไม่ได้ ธรรมเป็นของผู้มีความเพียร
     
  8. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    โตะโลง คุง ทำมาปู๊ดดด เข้าใจ บริบทในการ ว่ายน้ำข้ามโอฆะ หรือยัง ขอรับ

    เพราะ ประเด็นนี้ และ การชี้แจงให้เห็นภาพ ของการว่ายน้ำ อันนี้ ย้อนแย้ง
    มาหลายครั้งแล้ว คุง ทำมาปู๊ดดด ก็ ละเมอไปเรื่อง ไม่ทำ ไม่ประกอบ อยู่นั่น

    การว่ายน้ำ คนที่ จมน้ำอยู่ คนที่จมกิเลสอยู่ เขาก็มีการ ออกแรง มีการกระทำ
    มีการพุ้นน้ำให้ลอย( ประกอบ สมถะกรรมฐาน ) มีจังหวะที่จม ต้องยืน ต้องนั่ง
    ต้องนอน ต้องบิดขี้เกียจ ต้องแต่งงานกับธรรมสวนัง ต้องกินอาหารบนภัตคารหรูๆ
    ต้องขึ้นธรรมาสสอนพระ ( เพราะเป็นวิบากอันเกิดจากการยังมีภพ มีชาติ มันกรุมรุมอยู่ )

    ซึ่ง จังหวะที่จม หากเป็น ชนที่เคยสดับ เขาก็จะไม่ปล่อยให้ จม เหมือนคนไม่เคย
    สดับ เมื่อจังหวะจมมันมี ก็เอามาอาศัยระลึก เจริญสติ มี ละ ละ วาง เว้น ใช้ปัญญา
    อบรมจิตเข้ามา ( วิปัสสนา ก็เรียก ) เป็นฆารวาสก็ไม่ทะลึ่งไปนั่งธรรมมาสสอนพระ

    สรุปคือ ในบริบทของคนตกน้ำ สัตว์ทุกตัวมันรู้จัก การจม การลอย ด้วยสามัญสำนึก
    อยู่แล้ว สัตว์บางตัวโน้นลอยแบบฌาณ8 ไปโน้น สัตว์บางตัวก็โน้นไปอยู่ดูไบ บ้างไปนั่ง
    ธรรมมาสสอนพระ กิเลสกัดกระบาน ไปโน้น

    ทีนี้ ก็อย่า ทะลึ่งพิจารณา แค่ จังหวะอยู่ในน้ำ มันจะพาลไปนึกถึง สิ่งที่
    ลอยตุ๊ปป่องในน้ำเป็นสายเป็นแพ

    เพราะ พระสูตรนี้ พระพุทธองค์ตรัสถึง การประกอบการงานขณะอยู่ในน้ำ
    ว่าทำอย่างไรถึงว่ายจากอีกฝั่ง มาถึงอีกฝั่งได้ และ เมื่อถึงอีกฝั่งแล้ว ก็ใช่
    ว่าจะ พัก หรือ เพียร ตุปป่องอยู่อย่างนั้น ถึงฝั่งแล้ว ก็ ขึ้นไปเสีย ไปนั่งบน
    ฝั่ง

    สภาพธรรมที่บรรยายการนั่งบนฝั่ง ก็คือ "ไม่พัก ไม่เพียร" อีกแล้ว
    เพราะ งานจบแล้ว ( สมาชิกบางคน ปัญญาล้ำหน้า การปฏิบัติ ก็มาจับ
    ประเด็นนี้เข้าถกเถียง )

    สภาพธรรมที่บรรยายขั้นตอนการว่ายน้ำ การปฏิบัติ ก็คือ "ไม่พัก ไม่เพียร "
    กิจเดิม คำเดิม ใช้ พยัญชนะตัวเดิม

    แต่สามารถ แทงตลอด ตั้งแต่ เริ่มต้น จนถึง การจบงาน

    *******************

    นี่ คุณปุณฑ์ปู้น เขาไป ควัก อรรถกถา มาแสดงร่วมด้วย อรรถกถา ระบุว่า

    เทวดาคนที่ฟังนั้น บรรลุโสดาบัน หลังจากฟังจบ โดย ยกคำที่เป็น บาลี เป็น
    จุดวินิจฉัย ว่า เห็นธรรม

    ทีนี้ คุณ ทำมาปู๊ดดด จะเอายังไง

    จะ ชักชวนให้คนหลายชาติบรรลุธรรม เห็นว่า พระสูตรนี้ ไม่ใช่ คำสอนพระพุทธ
    เพราะว่า แสดงถ้อยคำขัดแย้งกันเอง ( แต่ จริงๆ ตัว คุง ทำมาปู๊ดดด งง บริบท
    ของการ ว่ายน้ำ พึงมาทำอาการ ฮานาก้า เข้าใจ แล้ว ด่าคนอื่น ที่ช่วยแก้ให้ )

    แล้วพยายาม ลบล้างพระสูตร โดยมีคนหลายชาติบรรธรรมมาสนับสนุนว่า เทวดา
    คนนั้นฟังแล้วก็โบ๋เบ๋ ไม่บรรลุฮาอะไร

    **********************

    ภาพอุปมาอุปไมย กรณี ทำมาปู๊ดด และ สมาชิกหลายชาติฯ ท้วงการมีอยู่ของ พระสูตร
    โอฆตรณสูตร เมื่อเผลอพุดออกไปว่า พระสูตรนี้ฉ้อฉล ปลอมปนเข้ามา แต่ ภายหลัง
    พอเข้าใจบริบทของการว่ายน้ำเข้าแบบเต็มกบาล ก็มีอาการ " เสาระเนียดเฮฮาสูตร "
    ดังภาพ

    <img src='http://f.ptcdn.info/641/005/000/1369807200-S3-o.gif' >
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2013
  9. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    เฮียช่างเสี้ยมจริงจริ๊งนะ แหม่

    พระพุทธเจ้าไปโปรดอาจารย์สัญชัยเพราะเห็นแก่หน้า แหม่ๆ คนที่กล่าวหาพระพุทธเจ้าว่าเห็นแก่หน้าอาจารย์สัญชัยแบบเฮียนี้นะ แหม่ ๆ
    ทำไมมันถึงมั่นใจตัวเองจังว่ารู้พุทธวิสัย ผิดแล้วผิดอีกก็ไม่สะทกสะท้าน แหม่
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เดี๋ยวๆ

    ไปอ่าน หรือ แปลความ ภาษาไทย อะไรมาผิดๆ อีกหรือเปล่า

    คุณพูดเหมือนผม เคยพูดว่า " พระพุทธองค์ไปโปรดอาจารย์สัญชัย "
    เพราะ " กิเลสคือเห็นแก่หน้า "

    เอ่อ.....อ๋อ เข้าใจและ นี่คงเป็นอีกเรื่อง ที่ ฝันเป็นจริง อะดี

    คุณเที่ยวมองเห็น เฮีย อยู่บนหัวคนอื่น เป็นกิจวัตร ตลอดการปฏิบัติ ว่างั้น
     
  11. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    แหม ฮา นา ก้า ขี้ลืมจริงจริ๊ง เอาเถอะไม่ถือ คนเราแก่ๆกันแล้วก็อย่างนี้ละเรื่องธรรมดาที่จะหลงๆลืมๆ ไม่มีก็ไม่มี โอเค๊ ok เข้าใจ อิอิ:cool:
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มันไม่น่าจะเป็นไปได้นิ

    ก็ ขนาด พระเทวทัต ผมยังรณรงค์ไม่ให้ ใครกล่าวจาบจ้วงเลย

    แล้ว อาจารย์สัญชัญ ก็เป็นคนสอน พระโมคคัลลานะให้สำเร็จฌาณ
    สอนพระสารีบุตรให้มี ปฏิภาณไหวพริบ พร้อมที่จะมาเป็น อัครสาวก
    ขนาดนั้น ผมจะไป ต่อว่า คนมีฝีมือทำไม

    เอาง่ายๆ พวกคุณเห็นผมเป็น มาร เลวขนาดไหน ก็เพราะ อาการ
    เข้าไปอุ้มพระเทวทัต อาจารย์สัญชัย พระแปลกๆอีกหลายองค์

    ก็ปรกติ คนที่คนอื่นเขาว่าเลว ชาติ ผมยังอุ้มได้ แล้วทำไม ผมถึง
    ไปต่อว่า พระพุทธองค์หละครับว่า ทำด้วยกิเลส เพราะเห็นแก่หน้า
     
  13. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    อาการประกาศความดีของตนกำเริบหรอครับอาเฮีย

    แต่ มันไม่ค่อยน่าเชื่อนะสิว่าที่ทำที่อุ้มๆหนะจริงใจอะเป่า...

    ก็ขนาดเพื่อนสมาชิกผู้ใฝ่ธรรมบางคนยังโดนอาเฮียกระหน่ำ

    ปรับปรำด้วยคำแรงๆสารพัด เช่น ไก่บฏ...เป็นต้น

    ไม่เอาละพูดมากกว่านี้เดี๋ยวโดนอาเฮียกล่าวหาว่าเป็นพวกเดียวกันอีก:'(
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เป็นงั้นไป

    เฮ้ย ตกลง ไอ้ที่คุณเห็นผมทำนี่ เห็นว่า ผมถูก ผมทำดี เหรอ

    ดีตรงไหนหว่า ชื่นชมเทวทัต สัญญชัย อีกทั้งพระแปลกๆ ทั้งหลาย เนี่ยะ

    ไหน ลองบรรยาย อธิบายมาหน่อยสิว่า ทำไมคุณถึงเห็นว่า เป็นการทำดี
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    เอ๊ะ!!!
    แบบนี้ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ก็ผิดสิ
    พระพุทธองค์ได้ทรงตรัส กับพระภิกษุทั้งหลายที่ทักท้วงมาว่า
    พระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตรนั้น
    ได้สร้างวาสนาบารมี เพื่อการนี้โดยเฉพาะ

    กับยกความดีไปให้พราหมณ์เฉยเลย
    ทั้งๆที่เรื่องพวก พระพุทธองค์ยังไม่คิดอ้างเอาความดีใส่ตนเลย
    "เราเป็นเพียงผู้บอกทาง เธอเป็นผู้เดินไปเอง"

    เฮ้อ!!!
    จะอวดอ้างอะไร ก็ควรรักษาเครดิตให้พระพุทธองค์ของเราด้วยสิ
    ชอบทำตัวเหมือนพวก"ภิกษุทุศีล" ที่ชอบแอบอ้างความดีใส่ตน

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  16. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    รณรงค์ไม่ให้คนด่ากันเป็นความชั่วหรือไม่ละครับ


    ส่วนเรื่องที่ว่าอุ้ม อาจารย์สัญชัย ก็นั้นแหละ เพราะอุ้มนี้แหละก็เลยกล่าวออกมาว่า ที่พระพุทธองค์ไปโปรดอาจารย์สัญชัยเองโดยเสด็จไปหาถึงสำนักเพียงพระองค์เดียวโดยไม่ให้ใครติดตามไปด้วย
    เพราะให้เกียรที่เคยเป็นอาจารย์ของอัครสาวก...ไม่ต้องการให้เสียหน้า
    (เดาพุทธวิสัย อย่างมั่นใจ)

    พอมีคนบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น ที่จริงพระพุืทธองค์เสด็จไปพบสัญชัยเพียงลำพัง ไม่ใช่ต้องการไปโปรดสัญชัย แต่เพราะความเมตตาต่อพุทธบริษัททั้งหลาย ที่จะมีจิตตกต่ำอกุศลคิดร้าย โกรธแค้นสัญชัย ที่ด่าพระพุทธองค์ ต่างหาก
    (ตามพระสูตรที่เพื่อนสมาชิกยกมาให้อ่าน แต่เฮียกลับอ่านข้ามไป)

    แล้วคุณก็ทำขำ กล่าวทำนองว่า มีด้วยเหรอ ไปโปรดอีกคนเพราะเมตตาอีกคน
    (พุทธวิสัย อจินไตยจริงๆน้อ):'(

    แล้วก็ลืมไปแล้วสินะอาเฮีย.....เข้าใจนะเข้าใจ:'(

    ถามหน่อย เฮียมีปัญหาอะไรรึป่าว ดูไม่ค่อยปรกตินะั หาหมอตรวจร่างกายบ้างนะลุง:cool:
     
  17. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    อ่านกระทู้แล้ว

    ไม่เพ่ง - ไม่เผลอ ด้วยนะ
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ไม่เพ่ง คำว่า "เพ่ง" คือการรู้อยู่อย่างต่อเนื่อง เรียกว่า "เพ่ง"

    แล้วเป็นไปได้ด้วยหรือว่า เมื่อรู้อยู่แบบไม่ต่อเนื่อง จะ "ไม่เผลอ"

    ที่"เผลอ" เพราะรู้ไม่ต่อเนื่องจึง"เผลอ" ได้

    เชื่อเถอะ "ทำตามพระพุทธพจน์ ดีกว่า เชื่อตามอัตตโนมัติอาจารย์พูด"

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  19. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    เพ่ง เป็นอาการของ สมถะ
    เผลอ เป็นอาการลืมเจริญสติ

    ถ้าจะไม่พักไม่เพียร ก็อย่าลืม วิปัสสนากรรมฐานด้วย
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ขึ้นอยู่กับว่า เพ่งที่ไหน?

    ถ้าเพ่งที่กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นสมถะ+วิปัสสนา(สัมมาสมาธิ)

    คำว่าไม่พัก ไม่เพียรนั้น ก็อย่างที่เคยแจงไว้แล้ว

    ไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะตรัสขัดแย้งกันเอง เพราะบริบทต่อมา

    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เมื่อพักเราจะจม เมื่อเพียรเราจะลอย ชัดเจน

    อย่าพยายามตีความกันไปเองเลยจะดีกว่า

    คำว่า"ไม่พัก"คือความเพียร "ไม่เพียร"คือขี้เกียจ ลองพินาดูเอานะ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     

แชร์หน้านี้

Loading...