เมื่อลูกของข้าพเจ้าได้พบยมบาลและได้ไปเที่ยวสวรรค์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Supop, 12 สิงหาคม 2014.

  1. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าฟังธรรมไม่เข้าใจ จะไป ดับปิติ แล้ว คว้าเอาตัวอื่น

    โดยมากก็ไป คว้าสุข จิตจะผลิกออกไปสมาธินอกศาสนา เว้นแต่ จะเป็น พุทธภูมิ
    ซึ่งจะต้องไปกำหนดรู้สุข ว่าไร้สาระ และ อุเบกขาก็ไร้าสระแก่นสาร จึงไป จ่อที่โคตรภู
    จิตจะไม่ต้องทำฌาณอีก แต่ จะทรงฌาณตลอดเวลา

    แต่...ก็กล่าวไปแล้วว่า โดยมากไม่เป็นแบบนั้น ถ้า เป็นพุทธภูมิจริง ป่านนี้ ไม่ฟังพ่อแล้ว
    เกิดมาจิตจะต้องทรงฌาณแต่เด็ก และ เห็นคำสอนทุกคำจากสรรพสัตว์ทุกหน้า เป็นเพียง
    " ของเก่า " ( ของหลอกลวง)

    ดังนั้น

    หาก มุขนัยดูจิต แล้ว เขาชอบใจกรรมฐาน แนะว่า ให้ดูสุขก็ไม่เที่ยง
    โทษของสุขคือ มันไม่เที่ยง หากเขาฟังธรรมปฏิบัติถูก เขาจะเสพฌาณ
    ต่อ และไม่เอาอุเบกขา เพราะ มันเป็น เวทนากองเดียวกัน ไล่ไปตั้งแต่ ปิติ สุข อุเบกขา

    จิตเขาจะกลับมาพิจารณา วิตก วิจาร ที่ใช้ ว่ายังต้องเจตนา จงใจ อีกหรือเปล่า
    หากใช่ ก็แปลว่า สัญญาราคะ ยังมีอยู่ กำหนดรู้ "ราคะ" มีในจิตได้


    เช่น ผู้พ่อกล่าวธรรมว่า คำบริกรรมแต่ละอย่างมีผล เมตตากว้าง งุดโง งี งะ ลัง
    ผู้เป็นลูก ผู้กำหนดรู้วิตกวิจารให้สิ้นไป จะทราบทันทีว่า ผู้พ่อ ตกจากรรมฐาน
    ตากจากสมาธิ ไปเห็น ความแตกต่างของสัญญาเป็นสาระแก่นสาร ไปเอาเศษธุลี
    บนไบ้ไม้แห้งเป็นรสแห่งธรรม ราคะกัดกะบาล สัญญาล้วนๆ วิตกวิจาร ไม่เคยรำงับ
     
  2. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาครับ คุณ เอกวีร์

    เรื่องคำสอนต่างๆ ทั้งที่คุณแนะนำมาและที่ข้าพเจ้าพอจะมี ข้าพเจ้าจะยังไม่บอกเขาครับ จะรอให้เขารู้ด้วยตัวเองครับ เพราะความรู้ทุกอย่างจากที่เขาได้ในสมาธิ เขาได้มาเองหมดครับ ข้าพเจ้าไม่ได้บอกในรายละเอียดเหล่านั้น ข้าพเจ้าให้เขารู้เอาเองครับ แล้วไปเทียบกับตำราเอา (ยกเว้นที่เคยสอนเรื่องการทำฤทธิ์ต่างๆ ที่ตอนนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สอนแล้วเช่นกันครับ)

    ส่วนเรื่องอารมณ์ของคำภาวนานั้น ข้าพเจ้าสัมผัสได้อย่างนั้น ข้าพเจ้าก็บอกว่ามีอย่างนั้น อย่าได้ใส่ใจครับ แค่เป็นหนทางไปสู่สมาธิในระดับต่อไป ข้าพเจ้าก็จะยังคงไปเรื่อยๆอยู่ครับ อีกอย่างที่ข้าพเจ้าจะไม่บอกเขาในเรื่องสมาธิ แต่จะเน้นให้ไปหาอ่านตำราเทียบเอา ก็เพราะเขาไม่ค่อยเชื่อข้าพเจ้าเช่นกันครับ และข้าพเจ้าก็รู้ว่ากำลังสมาธิบางอย่างของเขาดีกว่าข้าพเจ้า จึงเป็นเช่นนั้นครับ จะพูดกันในทางธรรมก็แค่ เขาปฏิบัติได้อะไรมา ข้าพเจ้าปฏิบัติได้อะไรมา แล้วต่างคนก็ต่างพิจารณากันไปครับ

    ขอบคุณอีกครั้งครับ

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยัดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แหะ แหะ ก็ต้อง ตีเกราะ เคาะไม้ ตามเทคนิค อะฮับ

    ราหูจะอมจันทร์ คนโบราณเขาสอนไว้ ว่า ต้องตีเกxาะ


    " อะไรแม้จะเป็นจริง แต่กล่าวแล้ว ไม่มีประโยชน์(ต่อเส้นทางสู่นิพพาน) พระพุทธองค์ จะไม่กล่าว "


    " สัญญาความแตกต่าง การแสวหา การได้มาซึ่งลาภ ญาณลาภี " หากยกกล่าวขึ้นแล้ว
    " สัตว์ " ส่วนใหญ่จะ " ฝุ้งธรรม " พยายามเข้าไปบัญญัติ อาศัย คนมากล่าว " ข้าก็เห็น "
    เป็นเหตุแห่งการเข้าไปบัญญัติ ติต่าง แล้วก็ ล่มจมไปสู่มือมาร เพราะติดบ่วงแร้ว " ขันธ์5 "
     
  4. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ขอบคุณอีกครั้งครับ

    ขอน้อมรับครับ

    ข้าพเจ้าจะพิจารณาต่อไปครับ

    ตอนนี้ข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่กับเรื่อง อุปาทาน อยู่ครับ

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  5. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    พระเพื่อนเธอยังไม่เป็นโสดาบัน/ส่วนเธอเป็นผู้ทรงฌานขั้นสูง
     
  6. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ขอขอบคุณครับ คุณ ball21

    วันนี้ข้าพเจ้าขอพอเท่านี้ก่อนครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าคุง ทุภพ กลับมาดู ผงงัง ในกระตู้ฮู้ใกล้เคียง

    หนุงมานี ก็จะ กล่าวโทษคุง ทุภพ ว่า เป็นเหตุปัจจัยให้ การดำริวางวิญญาณของนักภาวนา
    ท่านหนึ่ง ฉิหาย ไปแล้ว ..... แล้วกว่า นักภาวนาท่านนั้น จะกลับมาดำริเห็นทุกขสัจจ จะเนิ่น
    ช้าไปอีกนานแสนนาน มันมีแต่จะ เมาอาการปรุงแต่งหมุนซ้ายหมุนขวาหมุนขนานเชื่อมรหัส
    พ่อรหัสแม่ของมัน ไม่ใส่ใจ " การตรัสรู้โดยชอบ "

    ซึ่ง แม้นไม่กล่าวโทษให้ทราบตามธรรม กรรมเวรนั้นย่อมส่งผลต่อคุง ทุภพ อยู่แล้ว

    โดยเฉพาะ " ขันธ์5 " ที่เป็นของกลางใช้ร่วมกัน ระหว่างเครือญาติโกโหติกา ของคุง ทุภพ
    จะสะเทือนถึงกันใน ด้วยท่วงทำนอน หนุงมานีนี้จะยกว่า " เด็กดอกไม้สะเทือนทั้งจักรยาน "

    แน่นอนเลยว่า ลูกหลายเหลนโหลนของคุ. ทุภพ ที่ใช้ ขันธ์5 ร่วมกัน กล่าวให้โรแมนติก
    แบบกับปิยะตันแจกแสปรโง่ จิตเชื่อมกัน จิตดวงเดียวกัน อันหมายถุง คุง ทุภพ พันละยา
    และ บุก จะ ฉิหาย ทั่วถึงกันหมด เพราะ.....

    " รู้เห็นหนทางดำริออกจากทุกข์ แต่กลับไป กล่าว ธรรมที่เป็นจริงแต่ไม่มีประโยชน์แก่สัตว์
    ทำให้ สัตว์เหล่านั้น คงความเป็น สัตว์โง่สมภาคภูมิ หมุนซ้ายหมุนขวา เชื่อมบนเชื่อมล่าง
    ฉิหายกันไป "


    สังขารทั้งหลาย เป็นภัย
     
  8. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาครับ คุณเอกวีร์ ที่กรุณาแนะนำครับ

    ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจะขอกล่าวสักนิดนึงนะครับ

    ข้าพเจ้าเองก็เริ่มเข้าหาธรรมโดยมีความอยากได้ฤทธิ์เป็นตัวนำ อยากสัมผัสในสิ่งมหัศจรรย์พันลึกที่ไม่สามารถจะหาประสบการณ์เหล่านี้ได้ง่ายๆ แล้วการปฏิบัติเหล่านั้นมันไม่ได้มีอยู่แค่นั้น ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกว่า เราต้องรู้ไปมากกว่านี้ เท่านี้ยังไม่พอ มันยังมีมากกว่านี้อีก จึงทำให้ฝักใฝ่ในการหาข้อมูลทางธรรมเพิ่มเติม แล้วจึงได้เริ่มรู้ว่าแก่นแท้ของพุทธศาสนาคืออะไร ฤทธิ์ที่เราอยากจะได้คืออะไร เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร

    คือ มันมีการพัฒนาขึ้นมา เพราะความอยากได้ที่มากกว่า จึงทำมากขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วประสบการณ์มันก็สอนให้รู้ต่อไปเองว่าที่สุดแล้ว ความพ้นจากทุกข์ทั้งปวงจึงดีที่สุด

    แต่ทีนี้เวลาเราคุยกับใคร ถ้าเขาคุยเรื่องอะไรเราก็คุยในเรื่องนั้น ข้าพเจ้าว่ายังไม่ผิด หากตราบใดที่เรายังคุยกันอยู่ในเรื่องของธรรม ในเรื่องของการปฏิบัติที่ตามหลักศาสนาก็ยังมีตำราอยู่ ธรรมบางอย่างมีประโยชน์สูงสุด แต่ยังไม่มีประโยชน์สำหรับเขา เพราะเขายังไม่มีความสามารถพอที่จะเข้าใจได้

    ข้าพเจ้าเองก็เคยมีประสบการณ์ในการบอกธรรมกับบุคคลอื่นๆอยู่บ้าง แล้วข้าพเจ้ามักจะคุยถึงธรรมในระดับละเอียด หรือสูงๆ เพราะบางครั้งก็เห็นว่า เขาเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเช่นกัน หรือบางคนข้าพเจ้าก็เห็นว่าเขาสนใจเลยอยากจะบอก สุดท้ายเขาก็ไม่รู้เรื่อง บางคนหัวเราะเยาะ บางคนก็ว่าเพ้อเจ้อ หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงหยุดบอกธรรมต่างๆที่มันมากเกินไป ข้าพเจ้าจะบอกเฉพาะผู้ที่ถามถึงหรือเห็นว่าเขาปฏิบัติมาถึงแล้วข้าพเจ้าพอจะรู้เท่านั้น (ซึ่งก็ทำให้พัฒนาไปได้หลายคนอยู่ครับ)

    จากประสบการณ์ตรงนี้เองจึงทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจในคำสอนบทหนึ่งของพระพุทธเจ้าได้อย่างถ่องแท้ คือ บัวสี่เหล่า

    บัวสี่เหล่านี้ไม่ได้หมายถึงคนโง่คนฉลาด แต่หมายถึงผู้ที่อยู่ในสถานะที่จะรับรู้ได้หรือมีความพร้อมในสิ่งนั้นๆ เขาพร้อมรับได้ในสิ่งไหนเราก็บอกเขาให้รู้ในสิ่งนั้น

    การปฏิบัติธรรมเรามักประมาทแม้แต่ข้าพเจ้า มองข้ามในธรรมเบื้องต้น ไปเล็งผลอยู่แต่ธรรมเบื้องปลาย มันจึงไม่เกิดการพัฒนาไปถึง เพราะเราไปคว้าเอาสิ่งที่ยังไม่เกิด จึงคว้าได้แต่อากาศเพียงเท่านั้น

    การทำภายนอกเข้าสู่ภายใน จะวางภายในได้ต้องวางภายนอกก่อน จะวางตัวเองได้ก็ต้องวางสิ่งของภายนอกที่เรายึดไว้เสียก่อน

    บางคนเพ้อฝันไปว่า เราทำเพื่อพัฒนาจิตให้มีกำลังชนะกิเลส แต่ในการทำกลับทำตามกิเลสของตนที่มีอยู่ หรือ ไปแปลความคำสอนที่มีมาแต่เดิมว่า เพราะยุคสมัยนั้นสิ่งนั้นสิ่งนี้มันยังล้าสมัย มันยังไม่มีวิทยาการจึงมีกฏห้ามในการทำสิ่งนั้นๆไว้ แต่ยุคนี้วิทยาการเราพัฒนาแล้ว เราสามารถทำสิ่งนั้นๆได้ โดยไม่รู้ว่าที่พระพุทธเจ้าตั้งกฏขึ้นมา ท่านคงไม่มองแค่ในยุดนั้นเพียงยุคเดียวหรอกนะ

    อย่างเช่น การอยู่ป่าเป็นวัตรของพระ การหาที่สัปปายะเพื่อปฏิบัติ หลายคนก็บอกว่าทำอยู่บ้านก็ได้ ทำที่ไหนก็ได้เพราะทำที่ใจ ก็แล้วใจสงบไหมหล่ะครับ ข้างบ้านตั้งวงกินเหล้าร้องคาราโอเกะ บางคนทำได้ผู้ที่มีสมาธิสูงย่อมทำได้ แล้วผู้ที่ไม่มีหล่ะครับ

    หรืออย่าง นั่งแค่ 5 นาที 15 นาทีก็พอไม่ต้องนั่งนานให้ทรมานตัวเองเราเอาสงบไม่ได้เอาความอดทน แค่จิตสงบได้เท่างูแลบลิ้นก้มีอานิสงค์มากแล้ว แล้วเวลาแค่นั้นมันพอหรือครับ ที่ข้าพเจ้าทำมาขนาดเป็นชั่วโมงๆ ยังได้มาแค่นิดเดียว แล้วกว่าจะกลั่นไอ้สิ่งที่สะสมมาทั้งวันจนสงบอีก กว่าตะกอนจะนอนก้นใช้เวลาไปเท่าไหร่

    การปฏิบัติของข้าพเจ้าจะไม่ตามใจที่มันมีกิเลสครอบงำอยู่

    การปฏิบัติธรรมจริงๆหน่ะง่าย แต่มันยากเพราะเรารู้เยอะเกินไป ความรู้เหล่านั้นมันตีกันเองจนสับสน ธรรมเพียงข้อเดียวเราก็ทะลุไปจนถึงที่สุดได้ แค่เพียงข้อเดียว ทำให้จริงเท่านั้น

    อยู่กับตัวเอง พิจารณาตัวเองถึงสิ่งที่เข้ามากระทบเรา ถึงการที่เราส่งออกไปกระทบ หยุดการกระทำที่จะเป็นนิสัยต่อเนื่องในทางไม่ดีของจิต หัดฝืนไม่ทำตามใจตัวเอง ปล่อยการยึดเป้าหมาย(เพื่อรู้การคลายออกของจิต) อยู่กับปัจจุบัน เหล่านี้คือหลักในการเจริญสติเพื่อคลายการยึดติดถือมั่นของตนที่จะกลายเป็นทุภพในกาลข้างหน้า หรือเป็นการทำจากภายนอก นี่เป็นแค่เบื้องต้น

    จริงๆแล้วข้าพเจ้าเองก็เคยบอกไปทุกอย่างแล้ว ของท่านอื่นๆก็เคยมีลงกันไว้ แต่เรามองข้ามมันไป มันเป็นธรรมที่ดูง่าย ไม่น่าสนใจ แต่นี่คือเบื้องต้นที่ท่านจะสละวางตัวตนได้ แค่เพียงทำจริงเท่านั้น

    บางคนรู้แต่ไม่ทำ บางคนรู้และทำอยู่ บางคนไม่รู้และไม่สนใจ บางคนไม่รู้แต่สนใจ มันเป็นไปตามวาระครับ ตามที่บอกไป อย่างไรเสียก็ขอแค่ให้เป็นผู้ที่ยังปฏิบัติอยู่ไม่ทิ้งการปฏิบัติเพียงแค่นั้นก็พอ เลยไปบ้าง เอียงซ้ายเอียงขวาบ้าง ชะงักบ้าง หลงบ้าง ไม่เป็นไร ขอแค่ยังปฏิบัติ อย่าทิ้งการปฏิบัติ มันจะปรับอินทรีย์ของมันไปเอง

    เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจึงมีทางสายกลางคอยช่วยปรับให้เพื่อวางใจในเรื่องเหล่านี้

    คุณเอกวีร์ก็น่าจะสังเกตเห็นว่า เกือบทุกครั้งที่ข้าพเจ้ามาพิมพ์เสวนาด้วยนั้น ข้าพเจ้าก็แฝงบางอย่างไว้มากกว่าการเสวนากัน ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่อยากบอกอะไรมาก เพราะข้าพเจ้าเองก็ยังไม่ใช่ผู้ที่จะบอกอะไรใครในหมู่คนได้ จึงได้แต่ทำและรู้คนเดียวครับ

    ขอให้เป็นมัจฉิมาปฏิปทาเถอะครับ

    ด้วยความเคารพอีกครั้งครับคุณ เอกวีร์ ขอขอบคุณจากใจจริงครับ

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2015
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สรุปได้ดีฮับ

    แต่...มีแต่อะเนาะ ....

    แต่ตรงที่พูดว่า " ช้างกระดิกหู พอหรือ " ถ้าเมื่อไหร่มีการ " รู้ชัด " ว่า สมาธิจิต
    แบบพุทธศาสนาที่ไม่ใช่ฌาณ แต่ไม่ห่างจากฌาณ มันมี รสข้ามพ้นจิต พ้นขันธ์
    พ้นภาวสวะ พ้นอาสวะ วันนั้น จะมั่นใจว่า "พอ" และถ้าเคลื่อนเข้าไปจับ จะเอา
    พอ จะตกกรรมฐาน ....ปัจจุบันเนี่ยะ มันอิ่มในปัจจุบันจริงๆ แล้วมันพอ แบบหมด
    เงื่อนเวลา หากมีเงื่อนเวลาแปลว่า จิตเคลื่อน ยังคว้า ยังพยายาม ยังเจตนา

    เจตนายังมีอยู่ หลวงพ่อพุธฟันธงฉับเลย สมถะ ยังไม่เริ่ม !!! เจโตวิมุตติ ไม่ต้องไปพูดถึง
    ยถาภูตญาณ หายจ้อย


    จะเห็นว่า การที่ไปเจอคนภาวนามาทางเดียวกัน แล้ว มันสนุก มันร่าเริงในการคลุกคลี

    ตรงเนี่ยะ มันต้อง เคาะเกราะไล่ราหูอมจันทร์ จริงๆ ....ขันติไม่มี ตบะไม่มี เซะหมด
    แหละ ....แต่ถ้าขันติมี ตบะมี จะเกิดการแบ่งธรรมปฏิบัติกันโดยไม่ต้องเสวนา ลองไปพินา
    ดูนะฮับ


    อดเปรี้ยว(ปาก)ไว้กินหวาน [ ภาษาครูบาอาจารย์สมัยใหม่ ]


    หากเข้าใจ จาก เห็นว่าธรรมปฏิบัติง่ายๆ จะเริ่มผลิก เอาเข้าจริงๆ ก็ยากสุดๆ
    เข็นช้างเข้ารูเข็มกันเลย ( เข็นช้างตัวโตๆ เห็นเต็มๆ คือ มันง่าย แต่เอา เข้าจริงๆ
    มัน ยาก .....การฟังธรรมยาก การเห็นธรรมมันยาก อธิจิต สมถะธรรม เหมือน...เต่า
    โพล่หัวเข้ารูในกระดานลอยในมหาสมุทร ...อันนี้สำนวน พระไตรปิฏก )....

    ก็เพียรกันไป ......... [ ยังไม่ขึ้น ปัญญาสิกขา เลยนะนี่ ]
     
  10. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาครับ

    ข้าพเจ้าอาจจะมีการตกหล่นไปบ้างต้องขออภัยครับ

    ที่กล่าวถึงช้างกระดิกหูงูแลบลิ้นนั้น รวมถึงผู้ที่ยังไม่มีสมาธิที่ดีพออย่างที่คุณเอกวีร์กล่าวด้วยครับ ในตอนที่ข้าพเจ้าทำในช่วงเมื่อก่อนนั้น ข้าพเจ้ารู้ว่าความละเอียดของสภาวะเป็นอย่างไร และดูระยะเวลาในการเข้าถึง ซึ่งมันใช้เวลานานมากกว่า 15 - 20 นาทีครับ แล้วมันจะเร็วขึ้นมาเองตามการพัฒนาของเราครับ จนกระทั่งไม่ต้องตั้งท่าก็เข้าได้เลยนั่นแหละครับ

    ++ขอเพิ่มเติม จากตรงนี้ข้าพเจ้ามีประสบการณ์ที่จะเล่าเพิ่มเติม จากการที่เข้าไปรู้ธรรมแวบหนึ่ง เพียงเสี้ยววินาทีแล้วการรู้นั้นมันรวมยอดและสรุปในสิ่งที่เรารู้มาเหมือนระเบิดปรมณูกับการอยู่ในสภาวะรู้นั้นได้นานๆไม่ใช่แวบเดียว มันต่างกันมากครับ เพราะไอ้การไปรู้แวบเดียวนั้น เราต้องไปพิจารณาต่อในสิ่งที่รู้หรือคิดทบทวนนั่นเอง แต่การรู้อยู่ตรงนั้นนานๆ มันจบตรงนั้นเลยไม่ต้องไปคิดพิจารณาทวนเข้าทวนออกอีก มันชัดเจนตรงนั้นเลยครับ การใช้เวลาตามที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงทั้งหมด ข้าพเจ้าหมายถึงการเข้าไปรู้ในสัจจธรรมไม่ใช่แค่เอาอานิสงค์ หรือเอาแค่สงบเฉยๆครับ++

    ข้าพเจ้าเคยสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่า
    -ข้าพเจ้าจะจับเวลานั่งไปถึงเมื่อไหร่ จนได้คำตอบว่า นั่งจนกว่าเราจะไม่คอยเวลาหมด (ซึ่งอานิสงค์ของการทำอย่างนี้ข้าพเจ้าก็เคยกล่าวไปแล้ว ว่าจะได้ ขันติ ได้สัจจะ เป็นเบื้องต้น
    -แล้วข้าพเจ้าจะนั่งทนทุกข์ทรมานไปถึงเมื่อไหร่ แล้วก็รู้ว่า จนกว่าเราจะรู้ว่า อะไรคือทุกข์ของเรา

    เหล่านี้คือคำตอบที่ได้มาจากการทำมาของข้าพเจ้าโดยไม่ทิ้งและทำมาโดยตลอด ซึ่งก็พอเป็นสิ่งยืนยันในตนได้ว่า ถ้าเรามีความเพียร ไม่ทิ้งการปฏิบัติ ไม่ว่าอย่างไรย่อมเกิดผลในกาลข้างหน้าแน่นอน

    และเรื่องธรรมนั้นง่าย ข้าพเจ้าขออนุญาตยกคำพระพุทธนะครับ คือง่ายสำหรับผู้ที่รู้แล้ว แต่ยากสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้
    ซึ่งจริงๆแล้วข้าพเจ้าหมายถึงมีอินทรีย์ที่ถึงด้วยครับ ถ้ามีอินทรีย์ถึงไม่ว่าการปฏิบัติจะยากขนาดไหนมันจะไม่เป็นอุปสรรคเลยครับ
    เหมือนกับพระโพธิสัตว์ที่ยอมพลีร่างกายให้สัตว์กัดกิน ถ้าเป็นเราคงจะหนีเพราะกลัวความตายหรือกลัวความเจ็บปวด
    หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง คือ เราอยู่กับความเจ็บปวดทางกายได้โดยไม่เจ็บปวดทรมาน เพราะเรารู้ว่าไอ้ที่เจ็บไม่ใช่เรา รู้ว่าอะไรคือความเจ็บปวดทางกาย อะไรคือความเจ็บปวดทางใจ รู้ว่าใครเจ็บใครปวด (ไม่รู้ว่าจะเข้าใจหรือเปล่านะครับ)

    อืม..น่าจะพอแล้ว

    ข้าพเจ้าขอขอบคุณอีกครั้งครับ

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมครับ

    ปล.ข้าพเจ้าอาจจะอธิบายไม่ดีหรือตกหล่น ข้าพเจ้าจึงมักจะมาอ่านทวนซ้ำดูความผิดพลาดแล้วก็เพิ่มเติมหรือแก้ไขอยู่ประจำต้องขอโทษด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2015
  11. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    โทษะแรงมากแรงจริงๆๆดับก็ช้า ขังก็นานยังโมโหอยู่เลย ....
    รู้กันเนอะ...

    บางครั้งข้าพเจ้าก็หลงทางไปบ้าง ...หลงไปพระเครื่องบ้าง มั่วมั่ง หลงไปทางหินศักดิ์สิทธิ์มั่ง ตระกรุดมั่ง อะไรพวกนี้ แต่เราก็ทำทุกวันนะ นั่งสมาธิทุกวัน ดูลมหายใจทุกวัน ทำกับข้าวให้ เตี่ย-ให้แม่ก็ดูความคิด-ดูอารมณ์ทุกวัน ไปซื้อทุเรียนมา 70บาท 100บาทไม่อร่อยเลย ก็โกรธโมโห เสียดายตังค์ก็เห็นอารมณ์นะ นั่งดูหนังช่อง mono29 ระลึกดูกายมั่งดูลมมั่งเห็นคิดมั่ง-เห็นอารมณ์มั่ง ตอนกลางคืนก็เดินจงกลมข้างบ้านมั่ง ถ่องคาถาพระฉิมพลีตามกำลังวันของคุณแม่บุญเรือนมั่ง เพราะอยากมีเงินเข้ามาเยอะๆๆหรือลองคาถามั่ง..................แต่ก็ไม่ทิ้งทางของความเป็นโสดาบันนะ

    โสดาบันไม่มีอะไรมาก ก็แค่เห็นความคิด-เห็นอารมณ์ เห็นเฉยๆๆและเห็นการละของความคิด-อารมณ์ของเขาเอง เห็นความว่างมั่ง..................ก็คิดว่าจิตใจสบายมากแล้วช่วงหนึ่งแต่ก็ยังคิดว่ายังไกลต่อพระโสดาบันหรือใกล้แล้วก็ไม่รู้ ...แต่ก็สบายอยู่นะ

    เพราะครูบาอารมณ์ที่เป็นอรหันต์ ท่านก็ยังสนใจเรื่องพวกนี้เหมือนกัน................แม้แต่องค์หลวงพ่อพุทธท่านก็ยังสนใจพลังจิต พระเครื่อง หินปฐวีธาตุ...............หลวงปู่อำพันธ์ท่านเป็นอริยบุคคลท่านก็ยังสนใจ หลวงพ่อฤาษี....

    แม่แต่องค์หลวงปู่มั่น พระอริยเจ้าใหญ่สายวัดป่าท่านก็ยังทำตระกรุด ให้ญาติโยมที่ไปรบ....หลวงตาบัวท่านก็ยังทำน้ำมนต์ เสกพระ เยอะมากสายวัดป่าที่มาทางนี้

    แต่เราก็ยังทำอยู่นะไม่ทิ้งทางมรรคผลนิพพาน-----


    ยกมือแล้วรู้สึก เดินรู้สึก คิดเห็น อารมณ์สุขทุกข์เห็น เข้าใจเรื่องขันธ์ทั้ง 5ก็เข้าใจนะครับท่าน

    ก็มันชอบน่ะ..........โทษด้วย...อภัยให้กันเนอะ.....นะพ่อ กูบุๆๆ กิมิๆๆๆกุรุๆๆ มุมุๆๆๆ
     
  12. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182

    สุดยอดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆที่สุดในโลก.............อ่านแล้วมันจริงๆๆ...เข้าใจครับมันอย่างนี้ครับไม่รู้ว่าของเธอกับของเรามันอันเดียวกันเปล่า

    อธิบายก่อนนะ.....................ของเราเองนะไม่รู้ว่าตรงกับอภิธรรมเปล่าเพราะเราเข้าใจเราเอง

    ร่างกายคนเราเนี่ยนะ เขาเรียกขันธ์ 5ใช่ไหม มีอารมณ์ของ(รูป)
    อารมณ์ของ(เวทนา) อารมณ์ของ(สัญญา) อารมณ์ของ(สังขาร) อารมณ์ของ(วิญญาณ)
    ไอ้อารมณ์ของ(วิญญาณ)เนี่ยเขาเรียกมันว่า (ธาตุรู้) มันรู้ทุกเรื่องมันคือ ฮาร์ดดีสคอมพิวเตอร์ดีๆๆนี่เอง.......มันเก็บหมดทุกเรื่องราวของชีวิตเราตั้งแต่เกิดจนโต.....ไม่ว่าอารมณ์-ความคิดนั้นจาเป็นอารมณ์-ความคิดชนิดไหนก็ตามมันเก็บหมด.......(สุข-ทุกข์-อกหัก-รักคุด)มันเก็บหมด .....ไอ้อารมณ์-ความคิดพวกนี้ล่ะที่มันดึง......จิตของเราไม่ให้ลอยขึ้นไปนิพพาน ..ทำให้จิตเราหนักไง...จิตเราหนักแล้วไง ก็อยู่ภูมิต่ำๆๆไง

    ทีนี้ไอ้ที่เรา เห็นอารมณ์-ความคิด..เกิด-ดับ ไอ้ที่เห็นน่ะ(จิต) จิตเป็นผู้เห็น....แล้ววิญญาณ(ธาตุรู้)เป็นตัวบันทึก...

    ทีนี้ จิต มันรวม...มันรวม...การรวมมันจารวมเอาไปหมด ศิล สมาธิ ปัญญา บารมีที่สร้างมา

    อดทนนั่งสมาธิ ทนปวดทนเจ็บ..............ไม่สูญเปล่าครับท่านมันเป็นบารมี 1ใน10บารมีครับท่าน ปกติขันติมันก็เป็นขันติธรรมดา แต่ถ้าเมื่อไหร่ขันตินั้นมีดวงใหญ่เกิน150-200เขาเรียกว่าดวงขันติบารมี ถ้าดวงใหญ่200-250เขาเรียกดวงขันติอุปบารมี ถ้าดวงขันติใหญ่250-อิฟินิตี้เขาเรียกว่าดวงขันติปรมัตถบารมี...........

    เหมือนอย่างที่ท่านสร้างบารมีทางเมตตาไง...เมตตาของท่านเป็นปารมัตถบารมี

    แล้วบารมีนี้เขาใช้ตอนไหนล่ะ.................................................................................มันจริงๆๆพิมพ์ไปก็มันไปนะ

    เขาใช้ตอนที่จิตมันรวมครับ มันจารวมลงไป ที่ธาตุรู้ไง(วิญญาณธาตุรู้)
    ทำไมมันถึงรวมลงไปที่ธาตุรู้ ก็เพราะเจ้าธาตุรู้ตัวเนี้ยครับมันเป็นตัวสะสมกิเลส...มันจึงรวมลงไปเพื่อไปทำลายกิเลส

    ถ้าใครก็ตามมีสมาธิเยอะ เกินฌาน1 มีสติตัวตัด สติตัวละเกินฌาน1///สติตัวละเราได้มาจาการ.....เห็นความคิด-เห็นอารมณ์เกิด-ดับ ทุกวันทุกเดือนทุกปี 10ปีขึ้น...มันจาสะสมเหมือนกันสะสมที่ ธาตุรู้เหมือนกัน.....

    *****ความสำคัญอยู่ตรงนี้...สติตัวตัดตัวละที่สะสมมันมากกว่าฌาน 1 สมาธิสะสมมากกว่าฌาน1...ต้องใช้คำว่าสะสมนะ.............ท่านเข้าใจอยู่แล้ว..

    ****การจาเป็นโสดาบัน สมาธิสะสมกับ สติตัวตัดสะสม ศิลสะสม ขันติสะสม เมตตาสะสมทุกอย่างที่สะสม ต้องเกินฌาน1 เพราะเขาจารวมกันไปกระจุกอยู่ที่ฌาน 1 เพื่อทำลายกิเลสที่เก็บเอาไว้ใน ธาตุรู้(วิญญาณ) ถ้าใครเจ๊งจริงจาเป็นโสดาบันได้เลยภายในรวมทีเดียว

    ถ้าสะสมของใครไม่เจ๊งจริง ก็รวมหลายครั้ง หลายครั้งในการรวมแต่าละครั้งเขาจาตัดกิเลาออกไปอย่างแน่นอนจามากหรือน้อยก็ตาม...แต่เราไม่รู้หรอกว่าเขาตัดตัวไหน....นอกจากถอนออกมาแล้วเราจึงเพ่งดูกิเลสเราว่าตัวไหน

    *****แล้วทีนี้สมาธิของท่านมาก.....มันจึงแช่ๆๆๆๆหรือแนบๆๆๆติดกับธาตุรู้ที่เก็บกิเลส มันจาแนบเลยนะ ช่วงเวลานี้เราจาทรมานมากับอารมณ์ที่เขาตัดถ้าเขาตัดโทษะเราก็จาโมโหหงุดหงิดอยู่อย่างนั้น ถ้าเขาตัดราคะเราก็จามีราคะ ถ้าเขาตัดโมหะเราจาเบลอๆๆหัวเราจาเบลอ

    บางคนนะโดยเฉพราะเรา ตัวจาสั่นเลย ความโมโหออกมาทางร่างกาย ตัวสั่น....ทั้งตัว ถ้าราคะจาแสดงท่านทางเสพกามเลย...แต่ต้องปิดห้องแสดงนะ

    นี่แหล่ะนี่แหล่ะๆๆๆๆ
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มันส์ดีฮับ คุง 22 ลบ 1

    เรื่อง บัญญัติการติต่างคำมาแทนสภาวะธรรม แทนนัยยทางปฏิบัติ อันนี้ ยกไว้ฮับ รส
    มันไม่เท่าที่เรา เพียร และ กระทบรู้อยู่ภายใน

    ต้องย้ำตรงนี้ก่อนว่า รสแห่งความเพียรตรงนั้นชนะบัญญัติทั้งหมด บัญญัติมันจึงหยิบอะไร
    ก็ได้ แค่มาสื่อ มาเป็นบุคคลาธิษฐานมั้ง เป็นอุบายอบรมจิตมั้ง เป็นร่องรอยให้คนที่เดินตาม
    ได้อาศัยลูบๆคลำๆ ไปก่อนบ้าง เพราะตราบใดยังเพียร บัญญัติผิดหรือถูกก็กระเด็นออกไป
    เหมือนกันหมด มันจืด [ ถ้าภาวนาถึงขั้น อ่านพระไตรปิฏก ก็ จืด นะฮับ ]


    มาเรื่องการอุปมาที่คุณใช้กัน ผมจะกล่าวให้ดูแปลกๆไป พินาเอาเองนะฮับ

    อันดับแรก คุณไป สมาทาน ธาตุรู้ เป็นที่สะสมบารมี เป็นตัวบันทึก ซึ่งเป็น มุขนัย
    .....ดูคร่าวๆ น่าจะหลวงตามหาบัว

    หลวงตามหาบัวฉลาดในการ ทำทางให้ คนเดินตามได้ลูบๆ คลำๆ ไปก่อน หากอินทรีย์
    ดีกว่าเดิม ท่านก็จะพูดใหม่ ทำใหม่ เล่นเอา คนที่จำคำเดิมๆไว้ หงายหลังตึง !!!
    แต่....คนที่เพียรเข้ามา....จะซูดปากเลย ว่า สุดยอด

    สุดยอดตรงที่เป็นเพียง มุขนัยให้เราได้เดินต่อ ...และ มันยังมีมากกว่านั้น หากไม่เพียร
    แล้วไป ยึดเอา บัญญัติเท่านั้นเท่านี้ ฉิหายหมดแหละ หงายหมา เกาหมัด(อยากชกหลวงตา)
    [ คนที่ ไม่เพียร เอาแต่ จดจำคำ พอหลวงตาเปลี่ยนมุขนัย จะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ]

    ขอลองกระแทกเลยนะฮับ (หาอ่านได้ คำสอนหลวงตาก็น่าจะมี )

    ขอลองกระแทกเลยนะฮับ " กิเลสใครก็ไปทำลายมันไม่ได้ อวิชชาใครก็ไปทำลายมันไม่ได้ !!! "

    ตรงนี้สำคัญนะฮับ หากเป็น มุขนัยร่วมสมัย เขาจะใช้คำว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความ
    ล้มเหลวในการเห็นฐานจิต อยู่ที่นั่น

    " แยกธาตุ แยกขันธ์ ยังไม่เป็น อย่ามาพูดเรื่องเจริญปัญญา "(อันนี้ มีการยกอ้างว่า เป็น
    คำสอนหลวงตามหาบัว) "

    ซึ่งเป็น พยัญชนะที่ใช้ในรูปประโยคต่างกัน แต่ ฟาดนักภาวนาให้งง เป็นไก่ตาแตกเพื่อ
    มุขนัยบางอย่าง ที่จะ ทรายได้ ลำพัง ตามกำลังความเพียร

    ถ้าเป็น พระพุทธองค์จะ ฟาดด้วยคำว่า " ธรรมใดเป็นเรื่องการสะสม ธรรมนั้นไม่ใช่คำสอน
    ของตถาคต "

    ดังนั้น คำว่า บารมี ที่แปลไปในเชิงสะสม เก็บพลังงาน เมล็ดพันธุกรรมของจิต จิตดวงเดียวเที่ยง
    เวียนว่ายไป เหล่านี้ ล้วนไม่ใช่คำสอนของ ตถาคต

    ฟาดแล้วได้อะไร

    ฟาดแล้วได้ การขะเยิ๊บ ขะเยิบ เข้ามาสิ มารับรู้ " อิทัปปัจจัยตา " มะขามข้อเดียว
    ไม่มีภพ ไม่มีชาติ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่บุคคล สั่งสมบารมี ฮาอะไรทั้งนั้น


    ลองดูนะ


    " หาใจไม่เจอ การปฏิบัติไม่เริ่มหลอก "

    " หาต้นจิตคิดไม่เจอ การปฏิบัติไม่เริ่มหลอก "

    " สมถะเริ่ม เมื่อหมดเจตนา "

    " ความพยายามอยู่ที่ไหน ความล้มเหลวอยู่ที่นั่น"

    " หากยังมีเราเจือ สัญญาหมดแหละ ธรรมขี้โม้ "

    " แยกธาตุ แยกขันธ์ไม่เป็น อย่ามาคุยเรื่อง เจริญปัญญา "

    " แยกธาตุ แยกขันธ์ไม่เป็น อย่ามาคุยเรื่อง การเห็นกิเลสดับ อวิชชาดับ เห็นยถาภูตญาณ ( จิตก้าวข้ามจิต )"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2015
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ฮาร์ดดิสก มันเหมือน ร่างกายมนุษยฮับ หมดวาสนา ฮาร์ดดิสกเอาไปส่งจีน !!
    จำอะไรแค่ไหนไอ้ตรงนั้น มันปลุกผีไม่ได้ ทุบทำลายก็ไม่มีใครม๊วยไม่เวียนเกิด

    วิญญาณนั้น ควรจะเปรียบเป็น Boot Stab(หมายเอาละมุนพัน นามธรรม) หากปักลงไป
    แล้วตั้งอยู่ได้จะเกิดการ วนรอบของ ความไม่รู้ แล้วไหลไปเรื่อยเปื่อยตาม วงจรไฟฟ้า แสดงบัญญัติ
    ออกมาทาง peripheral device(เหมือน อยาตนะ) แต่ของมันต้องเสียบ
    อุปกรณ์ สายวงจร 0 1 ไม่อาจก่อรูปเป็น Thumb drive ได้แบบ Lucy
    หรือ .....เรื่องอะไรหว่า... หนังอีกเรื่อง มันสร้าง bio-digital แพร่ไปทาง ฝน


    **************

    ลองพินาเอานะฮับ โดยมาก พอกำหนด ขันธ์5 ได้ แยกธาตุแยกขันธ์ได้ แล้ว
    ไม่ถามหา ไม่หมายๆ คว้าเอาอะไรมาเป็นตน ของตน โดยมาก เราจะโดนกระซิบ
    หลอกถามเอาว่า " เห้ย มึงเห็นว่าตายแล้วสูญ เหรอ "

    พอเราไปเชื่อมัน ร้อยละร้อย จะรีบตะครุบ จิต หรือ ใจ มาเป็นตน แล้วเริ่มเกิด
    ทิฏฐิเคลื่อนว่า ไอ้โน้นขันธ์5 ไอ้นี่ขันธ์5 กำหนดรู้ได้ แต่ สิ่งที่ไปคว้าเป็นตน
    เนี่ยะ โดนหลอกไปแล้ว

    ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจาก การตั้งจิตไว้ผิด ปรารภนิพพานก็จริง แต่ไม่ได้กำหนดรู้
    การสิ้นไปของตัณหา อุปทาน ...ทำให้ ไปตั้งจิตเที่ยง แล้วคว้าเอาความว่าง
    ชนิดต่างๆมาเป็นตนอมตะ

    คือ ถ้ากำหนดรู้กิเลส อวิชชา มันทำลายไม่ได้ เนี่ยะ มันจะเห็น " การข้าม "
    ไม่ใช่เข้าไป นั่งนิ่งบื้อๆในความว่าง คว้าเอาความว่างมาเป็น นิพพาน โดนมารมันหลอกเอา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2015
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าเป็น มุขนัยของหลวงพ่อพุธ

    เราก็ทราบกันอย่างชัดเจนว่า ท่าน นักเล่นแร่แปร่ธาตุ ตัวยง

    แต่ มุขนัยในการชี้ ฐานของจิต ของนักเล่นแร่แปรธาตุ นอกจาก
    หลวงพ่อพุธจะหยอดด้วยคำว่า " หมดเจตนา สมถะจึงเริ่มต้น " แล้ว

    ท่านยัง ชี้เปรี้ยงเขามาอีกว่า " หมดสงสัย ( ธัมมุธัจจะ )"

    หาก การเล่นแร่แปร่ธาตุ ทำให้กำหนดรู้ ความสงสัยมันเกิด มันดับ ชักนำไป
    พอเล่นได้ก็พอใจ เกิดความพอใจดับ ความสงสัยมันดับ แล้ว ยกการเกิดดับของ
    " ความสงสัย " ท่านก็จะบอกว่า เนี่ยะ " วิปัสสนาของนักเล่นแร่แปรธาตุ "

    แต่โดยมาก ไม่ได้กำหนดรู้ " หมดสงสัย "

    ส่วนใหญ่ จะถูกมันลากไปต่อ จนกระทั่งมันอิ่ม มันดับ มันเสื่อมเอาดื้อๆ โน้นแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2015
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    การแยกธาตุ แยกขันธ์ ปุถุชนนอกศาสนา ก็ทำได้

    ไม่ต้องใช้กำลังถึง ฌาณ4 ฮาเฮว อะไร แค่กำหนดรู้ทัน ราคะ
    เอาแค่ ปฐมฌาณ ก็พอไหวแล้ว


    ฌาณ4 ฮาเฮว เมายกว่า แยกธาตุ แยกขันธ์ นั่น โดน ธรรมนอกศาสนา มันหลอกเอา
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    การทำ ฌาณ4 เพื่อให้ จิตเด่นดวงนั้น ทำก็เพื่อ พิสูจน์ ความมีอยู่ของจิต

    เมื่อข้ามฝากตายแล้ว ยังไงก็เหลือ จิต แน่ๆ

    จิตนั้น หากยังไม่ได้ชำระกิเลส ก็ย่อมไป เกิดใหม่แน่ๆ

    ดังนั้น

    จะเห็นว่า การไปพิสูจน์ จิต เหลือแน่ๆ พาไปเกิดใหม่ยังภพภูมิอื่นแน่ๆ
    เนี่ยะ ยังไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ การแยกธาตุ แยกขันธ์

    ต่อให้เป็น ฌาณ8 ก็โง่ ดักดานเหมือนเดิม ไม่เคย แยกธาตุ แยกขันธ์


    การแยกธาตุ แยกขันธ์ จึงไม่ใช่ การไป คว้าเอาฌาณ มาแหกตาตัวเอง

    มันจะต้อง โยนิสมนสิการ ฟังธรรมให้เข้าใจ ฟังให้มากๆ

    ถ้าฟังยังไม่มากพอ ก็โน้นแหละ โดนสมาธินอกศาสนาหลอกเอาไม่จบไม่สิ้น
    ต้องฌาณโน้น ต้องฌาณนี้ ต้องอนาคามีก่อน ถึง แยกธาตุ แยกขันธ์ มาเริ่ม
    วิปัสสนาตอนที่ เป็นอนาคามีไปแล้ว โง่จานลาย โดนคนนอกศาสนามันหลอกเอา
     
  18. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในธรรมทุกท่านครับ

    ต้องขออภัยคุณ ball21 ด้วยครับ ข้าพเจ้ากับคุณเอกวีร์คุยกันอย่างนี้ปกติครับ มิได้มีโทสะแต่อย่างใดครับ เพียงแต่การคุยกับคุณเอกวีร์ต้องครบนิดนึง เหมือนนักเรียนทำการบ้านส่งอาจารย์อย่างนั้นล่ะครับ ไอ้ข้าพเจ้าก็ชอบตกๆหล่นๆอยู่ประจำครับ

    และต้องขออนุโมทนาที่ได้เล่าถึงสิ่งที่รู้ให้ได้อ่านครับ เดี๋ยวข้าพเจ้าขอมีเวลาทำความเข้าใจก่อนนะครับ ตอนนี้ยังไม่มีเวลาพอ แต่ข้าพเจ้าสงสัยตรง ที่คุณกล่าวว่า ถ้ากำลังละกิเลสตัวใดกิเลสตัวนั้นจะแสดงออกมา ตรงนี้ข้าพเจ้ายังไม่เคยรู้เลยครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  19. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    ถ้าเออออห่อหมกใบยอ (deejai)

    [​IMG]

    เอกวีร์ก็จะฟุ้งซ่านทำไปเรื่อย :d

    ลองให้เขาแยกธาตุแยกขันธ์ตามที่เขามโนให้ดูดิ

    เอกวีร์แยกธาตุ แยกขันธ์ ตามที่ตัวเองพูดซิ แยกยังไงขอรับผม (y) :d
     
  20. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เอกวีร์เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ หรือว่า ไม่ฉะบาย:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...