เตรียมตัวให้พร้อม...มันกำลังมา! แจ้งข่าวสารการชำระโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.

  1. บิงซู

    บิงซู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2018
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +39
    ด้วยความเคารพนะคุณจิตยิ้ม ผมไม่เห็นว่าคำทำนายอะไรของสมเด็จโต(เห็นมีแต่เรื่องเล่าว่าลูกศิษย์ไปทำความสะอาดแล้วเจอ)จะเหมือนหรือคล้ายอะไรกับพุทธทำนายหลอกๆที่อ้างว่ามาจากศิลาจารึกเลยครับ

    ในสมัย ร.5 ก็มีพวกที่เอาคำทำนายแบบนี้มาหลอกชาวบ้านครับ ผลคือตัวผู้นำโดนประหารหมด

    คือคนที่พยายามบอกว่าปัจจุบันมันแย่ๆนี่ ผมว่าน่าจะอ่านประวัติศาสตร์มั่งก็ดีนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2018
  2. บิงซู

    บิงซู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2018
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +39
    แล้วที่คุณจิตยิ้มบอกว่าจะเอาไปพิจารณาเรื่องที่ผมบอกว่าศิลาจารึกมันไม่มีอยู่จริง ผมว่าโทรไปวัดไทยเชตวันมหาวิหารที่อินเดีย เบอร์ 09621626090 หรือจะไปถามในFacebookน่าจะดีกว่า
    https://www.facebook.com/watthai939/?fref=ts

    แล้วเดี๋ยวนี้คนไทยก็ไปที่เชตวันวิหารกันเยอะแยะ รวมทั้งพระสงฆ์บ้านเราก็ไปกันมากๆ ไปถามดูก็ได้ว่าได้ไปพบเห็นมั้ย ศิลาจารึกที่ว่า
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่อง "ผีบุญ" น่าจะตรงกันนะ

    +++ ถ้าจำไม่ผิด รายสุดท้ายนี่ น่าจะโดน ในยุค จอมพลสฤษดิ์ ถ้าจำไม่ผิดนะ

    +++ พวกนี้เกิดจาก "มโนเอาเอง จนกลายเป็น มโนหลอน" ท้ายที่สุดก็ ส่งผลต่อ "ส่วนรวม และ ประชาชน" ในวงกว้าง จนรัฐบาลในยุคนั้น ๆ พิจารณาว่า "ไม่ควรปล่อยเอาไว้" ก็เลย "จำเป็น" ต้อง "เก็บ" เพื่อไม่ให้ "ต้นไม้พิษ" ขยายรากอกไป

    +++ ทั้งหมดมาจาก "ล้มสติไม่เหลือ จดจ่อกับมโนเอาเอง" แทนที่จะ "ตั้งสติมั่น รู้ ธรรมเฉพาะหน้า" ตามที่พระพุทธเจ้าสอน น่าเสียดายมากทีเดียว

    +++ เห็น "ตรงกัน" กับคุณ บิงซู น่าจะอ่านประวัติศาสตร์มั่ง นะครับ
     
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,429
    ค่าพลัง:
    +3,201
    นั่นนะซิค่ะ อดคิดไม่ได้เหมือนกันค่ะ ไปค้นข้อมูลจากกูเกิ้ลแทบไม่มีเลย มีแต่ข้อมูล มาจาก Link ด้านล่างนี้ค่ะ

    http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=751429

    ว่าพุทธทำนายมาที่เป็นจุดเริ่มต้นจากใคร? ชื่ออะไร?ไม่มีข้อมูลเลยนะค่ะ มีแต่ข้อความเหล่านี้

    โดยที่คณะธรรมทูตไทย ผู้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระศรีมหาโพธิ์ที่ประเทศอินเดียเมื่อ พ.ศ. 2484 ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายจากศิลาจารึกเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับพุทธทำนาย เมื่อ พ.ศ. 2540 มีท่านเจ้าคุณฯ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และผู้ใหญ่ระดับสูงหลายท่าน และอาจารย์ที่จุฬาฯได้จัดทำตามฉบับที่ไปคัดลอกมาจากประเทศอินเดีย แปลได้ดังนี้ .....

    แต่ขณะที่กำลังสวดมนต์อยู่ มีคำถามขึ้นมาในใจให้กับตัวเอง 2 ข้อ

    ๑.ความเชื่อถือของบุคคบที่พบ
    ๒.กับ หลักฐานที่พบอาจถูกทำลาย หรือสูญหายสาปสูญด้วยเหตุ อะไรบางประการหรือเปล่า!


    และได้รายละเอียดเกี่ยวกับศิลาจารึกมีดังนี้ค่ะ

    ศิลาจารึก เป็นวรรณกรรมชนิดลายลักษณ์อักษรอย่างหนึ่ง อาศัยการบันทึกบนเนื้อศิลา ทั้งชนิดเป็นแผ่น และเป็นแท่ง โดยใช้โลหะแหลมขูดเนื้อศิลาให้เป็นตัวอักษร เรียกว่า จาร หรือ การจารึก

    และประเด็นที่น่าสนใจก็คือ

    ๑.ทำไม! คำเตือนเรื่องภัยพิบัติ พุทธทำนาย คำสื่อต่างมิติ และโหรเทวดาต่าง ๆ ผู้มีญาณทั้งหลายในอดีต ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ร่ำลือหนักหนาว่าหยั่งรู้อนาคตได้แม่นยำที่ทั่วโลกรู้จักดี จึงมีข้อมูลเหล่านี้สอดคล้องกัน คล้ายกัน ไปในแนวทางเดียวกัน

    ๒.ถ้าสิ่งใดที่เป็นเพียงคำร่ำลือ หรือข่าวโคมลอย ก็เปรียบเสมือนฟองน้ำในอากาศ เกิดขึ้นมาแล้วก็หายไปอย่างรวดเร็วแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แแต่คำทำนายนี้หากกล่าวอ้างถึงมีมาเกือบ 80 ปี นับจาก พ.ศ. 2484 หรือใกล้ก็ยุคจอมพลสฤษ์ และใกล้ที่สุดก็ปี 2540 ที่กลุ่มคณะเจ้าคุณฯ วัดบวรได้นำออกมา


    ๓.คำทำนายเหล่านี้ ถ้าสมมุติไม่มีจริงนะค่ะว่า แล้วคำเหล่านี้มาจากไหน ทำไมคำกล่าวช่างตรงกับปัจจุบันนัก เขาเป็นใคร? ถ้าเป็นผู้ที่เป็นบุคคลธรรมดาทำไมช่างคิดหาข้อมูลได้ตรงกับเหตุการณ์ปัจจุบันเหลือเกิน จนเหมือนเห็นด้วยตนเองแสดงว่าบุคคลนั้นต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาแน่เลยค่ะ

    ๔.และอีกประเด็นหนึ่ง องค์จิตจักรวาลที่สื่อมานี้ ถ้าเราพิจารณาภาษาเราจะพอจะมองบางสิ่งบางอย่างได้บ้างค่ะ และเราจะรู้กันมาตลอดว่า พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลที่เกิดขึ้นได้อยากในโลก สัจธรรมมีอยู่คู่โลกไม่ได้หายไปไหน แต่ผู้ที่นำสัจธรรมนั้นมาเปิดมากล่าวหาแบบพระพุทธเจ้าได้ยากสัจธรรมนั้นจึงเหมือนถูกปิดทั้ง ๆ ที่มีอยู่ หมายถึง สูญกัป นะค่ะ จึงอยากให้พิจารณาภาษาที่สื่อลงมาก่อนค่ะ

    ประเด็นทั้งสี่ข้อนี้ได้มาจากใจขณะที่กำลังหมดความอยากที่จะหาคำตอบออกมาเพื่อชี้แจงค่ะ พอหมดอยากข้อมูลนี้ก็มีมาให้มาลงพิจารณาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2018
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,429
    ค่าพลัง:
    +3,201
    มนุษย์สามารถค้นพบลางบอกเหตุร้าย ดังกล่าวไว้ข้างล่างนี้ได้สักอย่างสองอย่างกันบ้างหรือไม่

    ๑.ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล หน้าแล้งนานกว่าหน้าฝน
    ๒.หน้าหนาวอากาศหนาวเย็นผิดปกติ
    ๓.นึกจะร้อนก็ร้อนอบอ้าว บทจะหนาวก็หนาวจับจิต อยู่ดี ๆ ก็มีฝนตกลงมา
    ๔.โคลนถล่ม แผ่นดินถล่มบ่อย ในที่ ๆ ไม่เคยเกิด
    ๕.แม่น้ำทุกสายเปลี่ยนทิศทางเดินใหม่
    ๖.น้ำป่าไหลหลากรุนแรง และอุทกภัย
    ๗.ในแต่ละวันระยะเวลาเฉลี่ยระหว่างกลางวันกับลางคืนยาวไม่เท่ากัน
    ๘.สัตว์ป่าที่เคยหาง่ายกำลังเริ่มสูญพันธ์ไปตามสัตว์ป่าหายากบ้างแล้ว
    ๙.มนุษย์เริ่มค้นพบฟ้าใหม่ โดยแลเห็นดวงดาวใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

    หลายกรณีที่เกิดข้างต้นนั้น มนุษย์เองต้องสังเวยชีวิตและความหายนะของสรรพสิ่งในระบบโลกเองแทบทุกครั้งที่มันเกิดเหตุการณ์ร้าย ๆ นั้นขึ้นได้เสมอ ใช่หรือไม่!

    เหตุการณ์การแปลกเหล่านี้ล้วนเกิดจากดาวเคราะห์โลกเสียสมดุลทางกายภาพ เพราะมนุษย์เป็นผู้บ่อนทำลายระบบตนเองอย่างไร้สำนึก หยุดกระทำย่ำยีโลกของตัวกันเดี๋ยวนี้แล้ว ความเลวร้ายที่มนุษย์ต้องเผชิญในรูปแบบของ "ภัยธรรมชาติ" มันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นภายในระยะเวลาอันใกล้ยิ่งขึ้นอีกด้วย

    มนุษย์จงอย่าคิดว่าตนกับโลกที่ตนยืนเหยีบบนั้น มิมีอะไรเกี่ยวข้องกันโดยเด็ดขาด

    ค่ะทุกคำหากลงรายละเอียดเราปฏิเสธกันไม่ได้จริง ๆ โลกเรากำลังเป็นไปตามนี้ ถ้าอย่างนั้นเราก็คงหนีภัยธรรมชาติกันคงไม่พ้น และมีคำกล่าวแนวทางที่จะแก้ไขได้

    "ถ้ามนุษย์ทั้งโลกและทุกสรรพสิ่งในระบบโลก ต่างดำรงอยู่ร่วมกันด้วยความรักความเมตตาเช่นนี้แล้ว สันติภาพในสังคมโลกและความสมดุลทางธรรมชาติของระบบโลกย่อมบังเกิดขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็น"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2018
  6. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    แฟนตาซีมากๆครับอ่านสนุกมาก แต่ทุกอย่างต้องมีเหตุผล ความกลัวไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น บางทีอาจหลงทางไปไกลความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่างหากเป็นทางสำเร็จที่แท้จริง
     
  7. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ดีออกนะครับแฟนตาซีดี ต่อไปคงมีหนังสือแนวนี้วางขายครับ แต่ผมว่าดีมากเลยนะครับได้ทั้งความสุขและธรรมด้วยหากมองดีๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2018
  8. บิงซู

    บิงซู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2018
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +39
    การหาหลักฐานเกี่ยวกับศิลาจารึกพุทธทำนาย ผมก็บอกวิธีง่ายที่สุดให้แล้ว ตามเฟสบุ๊คเลย คือถามพระไทยที่จำวัดอยู่ที่ เชตวันวิหาร
    https://www.facebook.com/watthai939/?fref=ts

    ถามได้เลย admin page เป็นพระ แน่ใจได้ว่าท่านตอบตามความเป็นจริงแน่นอน

    "จากศิลาจารึกในมหาวิหารเจตมหาเชตวัน ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย โดยคณะฑูตไทยที่ไปอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๕ อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและใน อนาคต ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้นเมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนม์อยู่ ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า ..."

    "จากศิลาจารึกในมหาวิหารเจตมหาเชตวัน ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย....."

    ขึ้นต้นมาก็ไม่ถูกแล้ว มฤคทายวัน อยู่ที่สารนาถ ส่วน เชตวันมหาวิหาร อยู่ที่สาวัตถี ขับรถไประหว่างกันใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง

    "...โดยคณะฑูตไทยที่ไปอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๕ ...."

    คณะฑูตไทยมีพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นหัวหน้าไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศอินเดีย ได้พระบรมสารีริกธาตุ, กิ่งพระศรีมหาโพธิ์ 5 กิ่ง, ดินจากสังเวชนียสถาน 4 แห่ง ไม่มีคัดลอกศิลาจารึกอะไรทั้งสิ้น

    ที่google หากันไม่เจอเพราะต้องรู้ประวัติการสร้างวัดพระศรีมหาธาตุที่บางเขนด้วย แนบไฟล์มาให้แล้ว

    ที่ตลกที่สุดคือ มหาวิหารเจตมหาเชตวัน ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย นี่แหละ เหมือนเราไปเจอข้อความว่าได้ซื้อกระเป๋ามาจากสยามพารากอนซึ่งอยู่ที่จังหวัดสงขลา

    ปล. อย่าลืมเฟส วัดไทยเชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี ถามท่านได้
    https://www.facebook.com/watthai939/?fref=ts
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,429
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ไม่หรอกค่ะ ความจริงได้ปรากฎ ณ ปัจจุบันแล้ว ส่วนการอ้างอิงผิดอย่างไร แล้วเป็นประเด็นสำคัญนั้น ก็เป็นข้อมูลให้ผู้อื่นพิจารณาก็แล้วกันนะค่ะว่า ประเด็นที่ตั้งขึ้น กับ ความจริงที่ปรากฏสิ่งใดควรสำคัญกว่ากันนะค่ะ

    แล้วที่ท่านบิงซูอ้างว่ามีมาตั้งแต่ ร.5 นี้ อยู่ในราวประมาณ พ.ศ. 2300 กว่า ๆ หรือเปล่าค่ะ เห็นไหมค่ะข้อมูลเลยปี 2484 ไปตั้งเยอะ

    เน้นความเป็นจริงที่เกิดขึ้นค่ะ ส่วนที่เราเชื่อคำในพุทธทำนายเพราะเราเชื่อคำตรัสกล่าวที่ตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและปัจจุบัน หากอนาคตคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง ถ้าจะไม่เกิดขึ้นจริงตามนั้น แต่..เราก็ได้รู้เหตุและผลสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นล้วนมีสาเหตุมาจากอะไรก็ดีค่ะ ไม่มีอะไรเสียหายเลย
     
  10. บิงซู

    บิงซู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2018
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +39
    ต้นไม้เป็นพิษย่อมให้ผลไม้ที่มีพิษ

    พุทธทำนายที่ขึ้นต้นก็ผิดแล้วน่ะนะ ผมก็ให้เฟสวัดเชตวันวิหารไปแล้ว ไปเรียนถามท่านก็ได้

    ส่วนเรื่องคำทำนายหลอกลวงสมัย ร.5 อ่านข้างล่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2018
  11. บิงซู

    บิงซู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2018
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +39
    ถูกต้องแล้วครับ

    สมัยรัชกาลที่ ๕ ใน พ.ศ.๒๔๔๓ มีหนังสือจารึกใบลานข้อความเป็นคำพยากรณ์ว่า ในเดือนหกปีหน้า คือใน พ.ศ.๒๔๔๔ จะเกิดเภทภัยใหญ่หลวง หินแฮ่ หรือหินลูกรัง จะกลายเป็นเงินเป็นทอง ฟักเขียวฟักทองจะกลายเป็นช้างม้า ควายทุยควายเผือกและหมูจะกลายเป็นยักษ์กินคน ท้าวธรรมิกราชผู้มีบุญจะมาเป็นใหญ่ในโลกนี้ ผู้จะพ้นจากเหตุร้ายนี้ได้ต้องคัดคำพยากรณ์นี้เผยแพร่ต่อๆกันไป ถ้าใครเป็นคนบริสุทธิ์ไม่เคยทำชั่วทำบาป ก็ให้เอาหินแฮ่มารวบรวมไว้ รอท้าวธรรมิกราชจะมาชุบเป็นเงินเป็นทองให้ แต่ถ้าใครทำชั่วไว้ ก็ให้ไปนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีรดน้ำมนต์ เรียกว่า “พิธีตัดกรรมวางเวร” และถ้ากลัวถูกยักษ์กินก็ให้ฆ่าวัวควายฆ่าหมูเสียก่อนที่จะกลายเป็นยักษ์ ผู้ที่เป็นสาวหรือไม่สาวแต่ยังโสด ก็ให้รีบหาผัวเสีย เพราะยักษ์จะมาจับกินเฉพาะคนที่ไม่มีผัว

    ต่อมาในปลายปี ๒๔๔๓ ราษฎรจำนวนมากต่างหยุดการทำมาหากิน พากันไปขุดหินแฮ่มาใส่หม้อใส่ไหบูชาไว้รอท้าวธรรมิกราชมาชุบ แล้วลงมือฆ่าวัวฆ่าควายฆ่าหมูให้หมดก่อนเดือนหก ทางราชการจึงเริ่มวิตกว่าต่อไปราษฎรจะไม่มีหมูกิน จะไม่มีวัวมีควายทำนา จึงให้กำนันผู้ใหญ่บ้านชี้แจงห้ามปราม แต่ก็ไม่อาจระงับข่าวลือและความเชื่อนี้ให้เบาบางลงได้ ซ้ำกลับแพร่กระจายไปถึงมณฑลอุดร เมืองหล่มสัก เมืองเลย มณฑลนครราชสีมา และข้ามโขงไปถึงเขตปกครองของฝรั่งเศส

    ส่วนสาวโสดทั้งหลายก็กลัวว่าจะถูกยักษ์จับกิน แม้จะอยากมีผัวแต่ก็หาผู้ชายทำพันธุ์ยาก เพราะตั้งหน้าตั้งตาไปขุดหินแฮ่กันไม่สนใจจะได้เมียฟรี ขนาดผู้ชายพิกลพิการก็ยังถูกสาวโสดกล้ำกลืนเอาไปทำผัวดีกว่าถูกยักษ์กิน แม้แต่เด็กที่ยังไม่ประสีประสาในเรื่องเพศ ก็ยังเอามาสอนให้ทำผัว

    ต่อมาสมุนผีบุญถูกจับเป็นกว่า ๔๐๐ คน ถูกจำขื่อคามาพิจารณาโทษที่เมืองอุบลฯ ปรากฏว่ามีจำนวนมากจนไม่มีคุกตะรางจะใส่ จึงต้องเอาไปจำขื่อคาไว้กลางทุ่งสีเมือง ตากแดตากฝนจนกว่าคณะตุลาการจะสอบสวนและตัดสินเสร็จ คนที่เป็นชาวบ้านหลงมาเข้าเพราะความโง่เขลา ก็ปล่อยไป แต่บรรดาองค์ต่างๆที่ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษหวังจะเป็นใหญ่ ถูกตัดหัวเสียบประจานกันทั่วหน้า ไม่ให้เป็นเยี่ยงเป็นอย่างต่อไป

    http://www.manager.co.th/OnlineSection/ViewNews.aspx?NewsID=9590000066892
     
  12. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    DA2F0A2B-0E5C-4D07-BEDF-D923B8DF7AB9.jpeg ทุกวันนี้พระบารมีของพระพุทธองค์ทรงแผ่ไพศาลไปทั่วโลก. ด้วยเหตุและผลนี่แหละครับในเจดีย์แต่สมัยแรกเริ่มไม่ว่าแผ่นดินไหนจะมีการสลักบันทึก หัวใจพระพุทธศาสนา “เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา” แปลว่า “ธรรมทั้งหลายเหล่าใดเกิดแต่เหตุ”
    ไว้ในหินศิลาหรือดินเผาเป็นเครื่องเตือนใจ พุทธศาสนาจึงเผยแผ่ไปทั้งมหายานในแผ่นดินทิเบต จีน ญี่ปุ่น หรือ หินยาน แถบสุวรรณภูมิ ปัจจุบันนี้คำสอนให้พ้นจากทุกข์จึงมีหลายแบบตามจริตผู้ฝึกตนชอบแบบไหนสุดแท้แต่การเลือกฝึกตามวาสนาเหตุปัจจัยเป็นปัจจัตตังแต่ละบุคคล F8851B9D-598C-4DA3-899C-44424F041AB7.jpeg แต่ไม่ว่าจริตเป็นแบบใดพระพุทธองค์ ทรงปฏิบัติเป็นตัวอย่างในทางสายกลางไม่สุดโต่งหนักไปด้านใดด้านหนึ่ง ทุกคนที่ปฏิบัติตามย่อมอยู่บนทางที่เข้าถึงความพ้นทุกข์ได้เช่นกันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2018
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,429
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

    มีมนุษย์สักกี่คนที่จะฉุกคิดได้ว่าเพราะเหตุใดพระศาสดาแห่งโลกทุก ๆ พระองค์ในทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่กาลอดีต จึงล้วนสื่อสอนมนุษย์โลกให้รักกัน โดยต่างเน้นย้ำต้องกันได้อย่างเป็นน่าอัศจรรย์ กล่าวคือ ทรงสอนให้มนุษย์ สั่นสะเทือนจิตสำนึกตนเองให้เกิดความรักเพื่อการแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมใด ๆ ต่อกันผ่านช่องทางของ

    ความมีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

    ทรงสอนให้มนุษย์สั่นสะเทือนจิตสำนึกตนเองให้เกิดความรัก เพื่อการแสดงออกหรือกระทำทางพฤติกรรมใด ๆ ต่อกันผ่านช่องทาง

    ความอดทน อดกลั้น และการให้อภัย

    ทรงสอนให้มนุษย์สั่นสะเทือนจิตสำนึกตนเองให้เกิดเป็นความรัก เพื่อแสดงออกหรือ การกระทำพฤติกรรมใด ๆ ต่อพระผู้เป็นเจ้า ต่อพระศาสดา และ ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผ่านช่องทาง

    การมีศรัทธามั่นคงต่อกัน ด้วยความบริสุทธิ์และจริงใจ

    ช่องทางทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงออกในสิ่งที่เรียกว่า "ความรักบริสุทธิ์" ด้วยกันทั้งสิ้น เพื่อให้มนุษย์โลกทั้งหลายอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบและสันติ ไม่สร้างความทุกข์ยากใด ๆ ให้แก่กันและกัน ไม่ว่าด้วยเจตนาหรือประมาทก็ตาม และให้เป็นผู้มีพลังจิตที่เข้มแข็งที่พร้อมจะดำเนินชีวิตอยู่ในท่ามกลางสังคมมนุษย์ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสนที่คนอื่น ๆ เขาหยิบยื่นมาให้ได้อย่างสุขสงบเป็นที่สุดเท่านั้นเอง

    แต่ทว่าแท้จริงแล้ว การคิดเข้าใจเช่นนี้ มีความถูกต้องอยู่แค่เพียงครึ่งเดียว พราะเหตุว่า มนุษย์มักจะพิจารณากันเพียงมิติเดียวหรือมองด้านเดียว คือด้านที่ตนสามารถสัมผัสรู้เห็นกันได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย และสิ่งที่ตนสามารถนึกได้คิดได้กันเท่านั้น

    น่าเสียดายที่มนุษย์ส่วนใหญ่ ไม่ล่วงรู้ว่า แท้แล้วตนเองและทุกสรรพสิ่งที่ดำรงตนอยู่ในระบบดาวเคราะห์โลก หรือในจ้กรวาลนี้ มิได้มี "ตัวตน" ในมิติกายภาพซึ่งตนสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นมันได้เพียงแค่มิติเดียวเท่านั้น แต่ทุกถ้วนสรรพสิ่งรวมทั้งตัวมนุษย์เอง ต่างก็ยังเป็นสรรพสิ่งที่มี "ตัวตน" อยู่จริง ๆ ในอีกด้านหนึ่งหรืออีกมิติหนึ่งซึ่งเป็น "มิติคู่ขนาน" ที่กลไกอวัยวะประสาทสัมผัสทั้งหลายของมนุษย์ทุกคนไม่สามาระสัมผัสรู้ดูเห็นกันได้ เพราะถูกปกปิดมิติเอาไว้นั่นเอง

    พอกาลเวลานาน ๆ เข้า ในที่สุดมนุษย์ก็พากันหลงลืมความมี "ตัวตน" ในอีกด้านซึ่งเป็นความจริงในมิติคู่ขนานไปจนหมดสิ้น หมายความว่า มนุษย์พร้อมจะยอมรับหรือเชื่อในสรรพสิ่งใดก็ต่อเมื่อ ตนสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นและนึกคิดเข้าใจด้วยสติปัญญาของตนเองได้เท่านั้น และขณะเดียวกันก็ยืนยันที่จะปฏิเสธการยอมรับหรือทำเพิกเฉยต่อสรรพสิ่งหรือเรื่องราวใด ๆ ที่ตนไม่อาจสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นมันได้ และต่อสิ่งที่ตนไม่อาจเข้าใจหรือเข้าถึงมันได้ด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ เมื่อต้องเรียนรู้ข้อพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดา มนุษย์ทั้งหลายจึงมักใช้ความเคยชินตีความหมายข้อธรรมะต่าง ๆ ในด้านกายภาพเพียงมิติเดียว โดยละทิ้งความจริงที่จริงแท้ในมิติพลังงานด้านแก่นแท้ไปจนเสียสิ้น

    มนุษย์ต้องรู้ว่า สรรพสิ่งที่มีอยู่ในจักรวาลไพศาลนี้ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่คือ
    ๑.ของแข็ง คือธาตุดิน
    ๒.ของเหลว คือ ธาตุน้ำ
    ๓.ก๊าซ คือ ธาตุลม
    ๔.คลื่นพลังงาน คือ ธาตุไฟ
    (ทางศาสนาเรียกคลื่นพลังงานว่า "วิญญาณ")


    การที่หินแต่ละก้อน สามารถคงสภาพรูปธรรมก้อนหินของตนเอาไว้ได้ ก็เพราะมีตัวตนในมิติพลังงานที่เป็นรูปธรรมทางพลังงานซึ่งเร้นอยู่ข้างใน ช่วยกันเหนี่ยวรั้งอนุภาคชิ้นเล็ก ๆ ทุกชิ้นที่เป็นตัวตนในมิติกายภาพของหินก้อนนั้นเอาไว้ด้วยกันอย่างมั่นคงและเป็นหนึ่งเดียวกันนั่นเอง

    ในทางศาสนา จะเรียกรูปธรรมซึ่งเป็น ตัวตนในมิติทางพลังงาน ที่เร้นอยู่ภายในก้อนหินนี้ว่า "วิญญาณ"

    มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน การเป็นคนสองมิติ อันหมายถึงมิติกายภาพ อันหมายถึง กายสังขาร หรือเครื่องยนต์แห่งกรรม ซึ่งอยู่ในลักษณะรูปธรรมมนุษย์ที่เป็นเปลือกนอก และการมีตัวตนในมิติพลังงาน ซึ่งอยู่ในรูปของ "รูปธรรมทางพลังงาน" ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น สามารถคงสภาพเป็นมนุษย์ของตน หรือ มีชีวิตอยู่รอดได้ เพราะมีตัวตนในมิติพลังงานเร้นอยู่ข้างในเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์ของตนเองว่า "จิตวิญญาณ"

    ทั้งรูปธรรมก้อนหินและรูปธรรมมนุษย์ ต่างล้วนสามารถดำรงสภาพความมีตัวตนในมิติทางกายภาพเอาไว้ได้ หรือ คงความมีขีวิตรอดอยู่ได้ ต่างเพราะมีรูปธรรมพลังงานคอยค้ำจุนไว้ทั้งสิ้น

    มนุษย์ควรเรียกตัวตนพลังงานที่เป็นรูปธรรมในมิติพลังงานว่า "ตัวตนแก่นแท้"

    ควรเรียกมิติตัวตนทางพลังงานว่า "มิติแก่นแท้"

    แม้ก้อนหินหรือสรรพสิ่งใด กับมนุษย์ จะมีตัวตนแก่นแท้เป็นรูปธรรมทางพลังงานเช่นเดียวกัน หากสังกตุการใช้ถ้อยคำแล้วจะพบความแตกต่างอย่างชัดเจน กล่าวคือ ตัวตนแก่นแท้ของก้อนหินหรือทุกสรรพสิ่งใด ๆ จะเรียกว่า "วิญญาณ"ทั้งสิ้น แต่....ถ้าตัวตนแก่นแท้ของมนุษย์จะเรียกว่า "จิตวิญญาณ" มิใช่วิญญาณ

    แม้สองคำนี้จะหมายถึง รูปธรรมทางพลังงานด้วยกันทั้งคู่ก็ตาม แต่ถ้าเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่ไม่สมดุลในตนเอง กล่าวคือเป็นรูปธรรมทางพลังงานซึ่งมีคลื่นความถี่เฉพาะตัว แต่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวมีรูปธรรมไม่คงที่ และไม่มีจิตสำนึกเป็นของตนเอง ก็เรียกว่า วิญญาณ

    และถ้ารูปธรรมทางพลังงานที่มีความสมดุลอยู่ในตนเอง กล่าวคือ เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่ประกอบด้วยคลื่นความถี่ในทุก ๆ มิติรวมตัวกันอยู่ภายในรูปธรรมเกียวกัน โดยมีลักษณะรูปธรรมเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่สมดุลคงที่และมีจิตสำนึกเป็นของตนเอง เรียกว่า "จิตวิญญาณ"

    มนุษย์จึงต้องรู้ว่า ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในระบบโลก เช่นก้อนดิน ก้อนหิน วัตถุธาตุ ต้นไม้ สัตว์ประจำโลกทั้งหลาย ต่างล้วนมีความเป็น 2 มิติ คือ มีท้งตัวตนในมิติกายภาพ และมีตัวตนในมิติพลังงานของแก่นแท้อยู่ในตนเองด้วยกันทั้งสิ้น

    "โลก" อันหมายถึงทุกสรรพสิ่งดำรงตนเองอยู่ในระบบโลก ต่างล้วนมี 2 มิติ แต่มนุษย์มักจะหลงยึดติดอยู่กับตัวตนในมิตทางกายภาพแค่ด้านเดียวเฉพาะที่สัมผัสรู้ดูเห็นได้เท่านั้น มนุษย์ต้องระลึกถึงตัวตนในมิติแก่นแท้ซึ่งเป็นด้านที่สองตาเปล่ามองไม่เห็นด้วยทุกครั้งไป แล้วปฏิเสธการมีตัวตนในทางมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้ของสรรพสิ่งไปไม่ได้โดยเด็ดขาด

    อย่างกรณีที่พระศาสดาทรงสอน "เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก" หมายถึง มนุษย์ต้องใช้พลังอำนาจแห่งความรักความเมตตาจากจิตตนเองช่วยค้ำจุน "โลก" หมายถึง ทุกสรรพสิ่งที่ได้อาศัยดำรงอยู่นี้ ให้มันเกิดบังเกิดความสมดุลขึ้นในทั้งสองมิติให้จงได้ มิใช่สอนให้มนุษย์ใส่ใจที่จะใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกในมิติทางกายภาพในสังคมมนุษย์เองอยู่ด้านเดียวอย่างที่คิดเข้าใจกันอยู่แต่อย่างใด

    เหตุเพราะ "โลก" มิได้มีตัวตนในมิติกายภาพซึ่งเป็นด้านที่มนษย์สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้แค่เพียงมิติเดียวนั่นเอง

    สำหรับมนุษย์แล้ว การแสดงออกหรือการกระทำหน้าที่ใด ๆ ด้วยจิตสำนึก ด้วยการรู้แจ้ง การเห็นแจ้ง และการเข้าใจแจ้ง ในสิ่งที่ตนแสดงออกหรือกระทำนั้นโดยระลึกได้เสมอว่า
    ๑.ตนกำลังทำอะไร?
    ๒.ตนกำลังทำในสิ่งที่กำลังทำมันอยู่นั้นทำไม?
    ๓.ตนทำแล้วมันจะก่อให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาบ้าง?


    คำตอบทั้ง 3 ข้อนี้ คือ พลังอำนาจสูงสุดในการกระทำของมนุษย์ทั้งสองมิติที่แต่ละคนมีอยู่ หากมนุษย์กระทำสิ่งใด ๆลงไปแล้ว โดยตอบคำถามสามข้อนี้ต่อตนเองไม่ได้ นั่นเท่ากับว่ามนุษย์กระทำสิ่งนั้นด้วยความงมงายโดยแท้ แม้บางสิ่งจะเป็นการกระทำที่ดี แต่ไม่สามารถบอกตัวเองไม่ได้ ทำแล้วเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาบ้าง เท่ากับว่ามนุษย์ประพฤติดี แต่ก็ยังทำอยู่ด้วยความงมงายนั่นเอง เหตุเพราะมันมิได้เกิดจากจิตสำนึกที่แท้จริงของมนุษย์เป็นผู้กระทำนั่นเอง ถ้ามนุษย์จะทำสิ่งใดให้เกิดพลังอำนาจแห่งการกระทำในทั้งสองมิติของตนเองและสรรพสิ่งอื่นแล้ว มนุษย์ต้องกระทำด้วยความรู้และความเข้าใจ และสามารถอธิบายเหตุผลของการกระทำของตนได้เสมอ นั่นคือ พลังอำนาจสูงสุดในตนเอง ที่กระทำด้วยจิตสำนึกแท้จริง ของตนเท่านั้น มิใช่กระทำเพราะ ถูกผู้อื่นบังคับให้ทำ หรือถูกจูงใจให้กระทำด้วยความอยากทำ

    มนุษย์ต้องใช้จิตสำนึกภายในตนเองขับเคลื่อนการแสดงออกให้เป็นผลสำเร็จ ต้องเกิดจากพลังอำนาจของ "3 ต"
    ๑.ต้องใจ หรือพอใจกระทำ คือมนุษย์นั้นก็จะมีความสุขในการกระทำ จะทำมันด้วยความเพลิดเพลิน และทำมันได้นานกว่าปกติ เพราะทำโดยไม่รู้เบื่อหน่าย

    ๒.เต็มใจกระทำ ก็จะทุ่มเทกายใจและสติปัญญากระทำสิ่งนันด้วยความมุ่งมั่น มีความวิริยะอุตสาหะ บากบั่นพากเพียรโดยไม่ยี่หระต่อความเหนื่อยยาก ไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรคปัญหา และจะไม่มากเรื่องเลย

    ๓.ตั้งใจกระทำ มนุษย์จะกระทำสิ่งนั้นด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง ทำมันอย่างเต็มที่เต็มความสามารถจะทำมันอย่างดีที่สุด และทำด้วยมุ่งมั่นที่จะประสบผลสำเร็จให้จงได้


    ตัวอย่างนี้ เป็นการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกตัวตนในมิติพลังงานของแก่นแท้ ที่ตนเองรู้ แต่คนอื่นไม่อาจรู้ แต่ถ้าผู้อื่นสามารถรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อ ผู้สั่นสะเทือนทางจิตสำนึกขับเคลื่อนมันออกมาภายนอกเป็นการแสดงออกหรือการกระทำพฤติกรรมนั้น ๆ

    มนุษย์ต้องใช้ความรักความเมตตาค้ำจุนโลก หมายถึงมนุษย์ทุกคนที่เป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกันให้สมดุลในทั้งสองมิติ คือ

    ๑.ต้องสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวกต่อมนุษย์ทุกคนให้จงได้

    ๒.ต้องแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมที่ดีงามต่อผู้อื่นเสมอ เพื่อสร้างเงื่อนไขด้านบวกให้ผู้อื่นสามารถที่จะสั่นสะเทือนอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวก และแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมที่ดีงามตอบสนองตนเองกลับมาให้จงได้


    จะเห็นได้ว่า การใช้ความรักความเมตตาค้ำจุน "โลก" ซึ่งในที่นี้เลือกกเอามนุษย์มาเป็นตัวอย่างนั้น หมายถึง มนุษย์ทุกคนต่างจะต้องสั่นสะเทือนตนเองทางด้านบวกในสองมิติ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ผู้อื่น สามารถสั่นสะเทือนตนเองด้านบวกในสองมิติขึ้นมาได้ด้วยเช่นกัน

    มนุษย์ทุกคน สามารถฝึกฝนตนเองเพื่อสร้างความสามารถพิเศษที่ว่านี้ได้ด้วยกันทั้งสิ้น

    เพราะไม่อาจสัมผัสรู้ดูเห็นกระบวนการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นภายในที่เป็นปรากฎการณ์ใด ๆ ในมิติพลังงานได้ มนุษย์จำนวนที่ไม่น้อยเลยที่ไม่เชื่อว่า ความรู้ทั้งหมดที่กล่าวนี้เป็นความจริงมิใช่มายา

    เมื่อมนุษย์คนหนึ่งสั่นสะเทือนตัวตนแก่นแท้ของตนเองในมิติพลังงาน ผ่านการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกด้านบวกต่อใครคนใดคนหนึ่งก็ตาม มนุษย์ต้องรู้ว่ามันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ ของการสั่นสะเทือนในมิติที่ตาเปล่าของมนุษย์มองไม่เห็นเสมอ นั่นคือ มันจะก่อให้เกิด การกระทำทางจิตต่อกัน หรือเกิดการปฏิสัมพันธ์กันในมิติพลังงงาน

    ถ้ากระทำทางจิตต่อผู้อื่นทางด้านบวก มันจะเป็นเงื่อนไขให้จิตของผู้ถูกกระทำนั้นพลอยสั่นสะเทือนตามไปด้วย อันหมายถึง อันหมายถึงการมี สภาวะจิตที่สมดุล นั่นเอง

    ถ้าในทางกลับกัน ถ้ามนุษย์กระทำทางจิตต่อผู้อื่นด้านลบ เช่น การมีอคติ การมีอารมณ์โกรธ เกลียด เคียดแค้น อิจฉา ริษยา หวาดระแวงไม่ไว้วางใจ คิดทำร้าย คิดทำลาย ติดคดโกง คิดทรยศ หรืออื่น ๆ มันเป็นเงื่อนไขให้จิตซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของมนุษย์ผู้อื่นพลอยสั่นสะเทือนด้านลบตามไปด้วย อันหมายถึง การมีสภาวะจิตที่ไม่สมดุล นั่นเอง

    นี้มิใช่สิ่งคาดเดา มิใช่ข้อสมมุติฐาน มิใช่ทฤษฎีที่ยังต้องรอการพิสูจน์ แต่เป็นความจริงที่จริงแท้ ซึ่งมนุษย์ทั้งโลกยังไม่รู้ว่าตนจะต้องรู้ทางเลือกเสรีของนักสู้ผู้รู้แจ้งด้วยปัญญาญาณสูงสุดแห่งตน

    ข้อความยาวไปหน่อยค่ะ แต่ก็ทำให้เข้าใจได้ว่ามนุษย์จะเปลี่ยนแปลงตนเอง และเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้ก็ต้องทำที่จิตสำนึกตนเองเท่านั้นค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2018
  14. หมื่นสับปะรด

    หมื่นสับปะรด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2018
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +3
    jityimนี่สั่นสะเทือนถึงระดับไหนแล้ว แล้วนอกจากมาเขียนลงเน็ต ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้โลกบ้าง
     
  15. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,429
    ค่าพลัง:
    +3,201
    จะตอบว่าอย่างไรดีค่ะ บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ แต่ถ้าช่วงนี้กำลังเข้มข้นกับระดับจิตของตนเอง คือ สัมมัปธาน 4 เป็นหลักในตรวจสอบสภาวะจิตของตนเองว่า ทุกครั้งที่เกิดอารมณ์รู้สึกกระทบขึ้นมาระดับการสั่นสะเทือนกวัดแกว่งที่ตรงกลางอกเป็นอย่างไรบ้าง? หรือ มีลักษณะการเคลื่อนหมุนอยู่ในสภาวะใด? ถ้าเกิดอารมณ์ความรู้สึกในทางชอบใจ ไม่ชอบใจ จิตก็ไหวโยกคลอนกวัดกว่งไปมาแรงบ้าง น้อยบ้าง จิตก็เศร้าหมองทุกข์ใจมากหรือน้อยจะเป็นไปตามลักษณะที่ยึดมากเท่าไรนะค่ะ แต่ถ้ารับรู้ผัสสะกระทบแล้ว รู้ ปล่อย นิ่ง ว่าง จิตก็ไม่กวัดแกว่งสัดส่ายนิ่งสงบ กำหนดเข้ามารู้สึกตรงกลางอกก็นิ่งไม่สัดส่ายมากนักก็อยู่ในสภาวะรักษาความสมดุลของจิตได้ในระดับหนึ่งค่ะ ส่วนระดับการสั่นสะเทือนของจิตยังไม่ถึงระดับคลื่นคอสมิค (คลื่นจักรวาล) ที่เป็นอุเบกขาอย่างถาวรนะค่ะ


    มนุษย์ทุกคนในโลกใบนี้ต่างเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่สิ่งหนึ่งในจ้กรวาล มนุษย์แต่ละคนถูกสร้างให้เป็นโมเลกุลชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุลที่ซับซ้อนพร้อมด้วยกลไกลภายในที่ละเอียดอ่อน มีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันอย่างลงตัว ต่างดำรงอยู่บนสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ในจักรวาลซึ่งทำหน้าที่ค้ำจุนสติปัญญาและรูปธรรมไว้อย่างสมดุล

    ยุคพลังงานใหม่ ด้วยการมอบบททดสอบใหม่ให้แก่มวลมนุษย์ และการเพิ่มพลังงานความรักสู่การเปลี่ยนแปลงระบบทางชีวภาพ จิตสำนึก และจิตวิญญาณมนุษย์แต่ละคนให้สูงขึ้น เพื่อโอกาสอันทัดเทียมกันของแต่ละคนสู่การรู้แจ้งและการหลุดพ้นได้ง่ายขึ้น นั่นคือ การเพิ่มพลังอำนาจแม่เหล็กโลก และการปรับย้ายแนวแนวโลกเหนือใต้ เพื่อวางโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกระบบใหม่ที่มีความเหมาะสมยิ่งกว่าเดิม

    ที่ผ่านมาจักรวาลพบว่า แม้มนุษย์โลกหลายพันล้านคน มีความสับสนตนเองไม่อาจเข้าถึงความหมายแห่งการรู้แจ้ง เพื่อการหลุดพ้นอันเป็นเป้าหมายสูงสุด แต่กลับมีมนุษย์ทั่วโลกจำนวนหนึ่ง คือ 144,000 คนสามารถเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดนั้นได้แล้ว ขณะยังดำรงความเป็นมนุษย์สมดุลอยู่ในปัจจุบัน แม้คิดเป็นเปอร์เซนต์ของประชากรทั้งโลกแล้วมีสัดส่วนเพียงน้อยนิด แต่ด้วยศาสตร์จักรวาลแล้วมันกลับมีคุณค่ามหาศาลทางพลังงานที่มนุษย์ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน มนุษย์ผู้สมดุลเหล่านี้ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกสูงสุดจนสะเทือนไปทั่วจักรวาล ก่อให้เกิดพลังงานและอำนาจสูงสุดรวมกันเพื่อช่วยเหลือโลกให้เกิดการเหวี่ยงรอบตัวเองในอัตราเหมาะสมอย่างต่อเนื่อง และช่วยสร้างแรงสั่นสะเทือนคลื่นสนามแม่เหล็กโลกให้ยกตัวสูงขึ้นไปจากแกนกลางวงโคจรของโลกในระดับหกหมื่นกิโลเมตร ซึ่งเป็นระดับเหมาะสมที่สุดได้เองแล้ว ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกและมนุษย์เข้าสู่ยุคพลังงานใหม่

    ขณะนี้โลกกำลังเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงระดับพลังงาน โดยมีมนุษย์ทุกคนเป็นเหตุการเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะค่าพลังงานขึ้นอยู่กับการสั่นสะเทือนของจิตสำนึกมนุษย์ที่กระทำต่อกันด้านบวกซึ่งมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หาความคงที่แน่นอนและคาดหมายล่วงหน้าไม่ได้ มนุษย์ยุคพลังงานเก่าระดับพลังงานต่ำมากจนต้องมีรูปธรรมชั้นสูงมาคอยช่วยค้ำจุนระดับพลังงานตลอดมา แม้โลกใบนี้จะถูกเปลี่ยนแปลงโครงย้ายสนามแม่เหล็ก และอำนาจแม่เหล็กโลกให้มีความเหมาะสมมาแล้วในอดีตถึงสามครั้ง

    การหมุนรอบตัวเองของโลก เป็นกระบวนการของจักรวาลเพื่อรักษาความสมดุลทางพลังงานของตัวเองไว้ และทำให้สรรพสิ่งลงตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน ระบบโลกจึงยังคงอยู่ได้ตลอดมาและตลอดไป เพราะมันคือพลังอำนาจแห่งดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งสามารดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ร่วมกับดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ สำหรับคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลกจำเป็นต้องยกตัวสูงขึ้นเพื่อประสานโครงข่านกับสนามพลังงานจักรวาล ในกระบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลงและกระบวนการสร้างใหม่ของศูนย์รวมพลังงานจักรวาลได้อย่างสอดคล้องกับทุกแห่งหนทั่วจักรวาล ที่ต้องเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกันไว้เสมอ ไม่ว่าที่หนึ่งที่ใดในจักรวาลอันไพศาลนี้ มีการเพิ่มพลังงานขึ้น อีกที่หนึ่งจะต้องลดลงเสมอ ทุกอย่างต้องลงตัวกันตลอด (อาจบ่งบอกถึงสัจธรรมเรื่องการเกิด-ตาย / เกิด-ดับ ได้อีกแง่มุมหนึ่งค่ะ) โดยเพิ่มอีกที่หนึ่งแล้วไม่ลดอีกที่ไม่ได้ โครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกมีความสำคัญในการเชื่อมโยงกระบวนการใด ๆ ของจักรวาลอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้

    มนุษย์พึงรู้ว่า สมการพลังอำนาจจากจิตสำนึกด้านบวกของมนุษย์ เคยเป็นเรื่องลี้ลับมาตลอดในยุคพลังงานเก่า ถ้ามนุษย์สามารถใช้แรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกของตนต่อ โลก และ เพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ โลกในที่นี้รวมถึงสรรพสิ่งในระบบโลกด้วย ค่าพลังงานด้านบวกที่แต่ละคนปลดปล่อยออกมาสู่สนามแม่เหล็กโลกภายนอกร่างกาย มันจะมีพลังอำนาจมหาศาลที่มนุษย์คาดไม่ถึงทีเดียว ถ้ามนุษย์ลองคิดเล่น ๆ ว่า ขณะนี้มีมนุษย์ที่สมดุลเกิดขึ้น 144,000 คน ปลดปล่อยพลังงานด้านบวกให้แก่โลกอย่างต่อเนื่องพร้อมกัน มันมากพอที่จะยกระดับคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลกใบนี้ได้ด้วยการทำให้มันสั่นสะเทือนด้านบวกอย่างรุนแรง ผลต่างของพลังงานด้านบวกที่พวกเขาปลดปล่อยมันออกมา จะเกิดการผลักดันกันทำให้พลังงานหมุนวนอย่างรุนแรงและเร็ว ซึ่งมันจะมีผลต่อการเหวี่ยงตัวของโลกในขณะเดียวกัน การที่โลกยังหมุนรอบตัวเองอยู่ได้ ไม่คว่ำลง มนุษย์แต่ละคนบนโลกที่คิดดี ทำดี พูดดี ล้วนเป็นผู้ร่วมสนับสนุนกระบวนการนี้ทั้งสิ้น (คำว่า"เนื้อนาบุญ" ของโลกก็ด้วยเหตุนี้เองมั้งค่ะ)

    เมื่อเราสามารถเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่สร้างคุณค่าให้กับตนเอง และสังคมรอบข้างด้วยการผู้ให้และช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง ไร้ซึ่งการเบียดเบียนต่อกัน เราก็เป็นผู้หนึ่งที่มีคุณค่าแก่โลกทำประโยชน์ให้โลกกันได้แล้วค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2018
  16. บิงซู

    บิงซู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2018
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +39
    แต่กลับมีมนุษย์ทั่วโลกจำนวนหนึ่ง คือ 144,000 คนสามารถเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดนั้นได้แล้ว ขณะยังดำรงความเป็นมนุษย์สมดุลอยู่ในปัจจุบัน แม้คิดเป็นเปอร์เซนต์ของประชากรทั้งโลกแล้วมีสัดส่วนเพียงน้อยนิด แต่ด้วยศาสตร์จักรวาลแล้วมันกลับมีคุณค่ามหาศาลทางพลังงานที่มนุษย์ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน มนุษย์ผู้สมดุลเหล่านี้ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกสูงสุดจนสะเทือนไปทั่วจักรวาล ก่อให้เกิดพลังงานและอำนาจสูงสุดรวมกันเพื่อช่วยเหลือโลกให้เกิดการเหวี่ยงรอบตัวเองในอัตราเหมาะสมอย่างต่อเนื่อง และช่วยสร้างแรงสั่นสะเทือนคลื่นสนามแม่เหล็กโลกให้ยกตัวสูงขึ้นไปจากแกนกลางวงโคจรของโลกในระดับหกหมื่นกิโลเมตร ซึ่งเป็นระดับเหมาะสมที่สุดได้เองแล้ว ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกและมนุษย์เข้าสู่ยุคพลังงานใหม่

    ขณะนี้โลกกำลังเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงระดับพลังงาน โดยมีมนุษย์ทุกคนเป็นเหตุการเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะค่าพลังงานขึ้นอยู่กับการสั่นสะเทือนของจิตสำนึกมนุษย์ที่กระทำต่อกันด้านบวกซึ่งมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หาความคงที่แน่นอนและคาดหมายล่วงหน้าไม่ได้ มนุษย์ยุคพลังงานเก่าระดับพลังงานต่ำมากจนต้องมีรูปธรรมชั้นสูงมาคอยช่วยค้ำจุนระดับพลังงานตลอดมา แม้โลกใบนี้จะถูกเปลี่ยนแปลงโครงย้ายสนามแม่เหล็ก และอำนาจแม่เหล็กโลกให้มีความเหมาะสมมาแล้วในอดีตถึงสามครั้ง

    การหมุนรอบตัวเองของโลก เป็นกระบวนการของจักรวาลเพื่อรักษาความสมดุลทางพลังงานของตัวเองไว้ และทำให้สรรพสิ่งลงตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน ระบบโลกจึงยังคงอยู่ได้ตลอดมาและตลอดไป เพราะมันคือพลังอำนาจแห่งดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งสามารดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ร่วมกับดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ สำหรับคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลกจำเป็นต้องยกตัวสูงขึ้นเพื่อประสานโครงข่านกับสนามพลังงานจักรวาล ในกระบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลงและกระบวนการสร้างใหม่ของศูนย์รวมพลังงานจักรวาลได้อย่างสอดคล้องกับทุกแห่งหนทั่วจักรวาล ที่ต้องเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกันไว้เสมอ ไม่ว่าที่หนึ่งที่ใดในจักรวาลอันไพศาลนี้ มีการเพิ่มพลังงานขึ้น อีกที่หนึ่งจะต้องลดลงเสมอ ทุกอย่างต้องลงตัวกันตลอด (อาจบ่งบอกถึงสัจธรรมเรื่องการเกิด-ตาย / เกิด-ดับ ได้อีกแง่มุมหนึ่งค่ะ) โดยเพิ่มอีกที่หนึ่งแล้วไม่ลดอีกที่ไม่ได้ โครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกมีความสำคัญในการเชื่อมโยงกระบวนการใด ๆ ของจักรวาลอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้

    มนุษย์พึงรู้ว่า สมการพลังอำนาจจากจิตสำนึกด้านบวกของมนุษย์ เคยเป็นเรื่องลี้ลับมาตลอดในยุคพลังงานเก่า ถ้ามนุษย์สามารถใช้แรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกของตนต่อ โลก และ เพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ โลกในที่นี้รวมถึงสรรพสิ่งในระบบโลกด้วย ค่าพลังงานด้านบวกที่แต่ละคนปลดปล่อยออกมาสู่สนามแม่เหล็กโลกภายนอกร่างกาย มันจะมีพลังอำนาจมหาศาลที่มนุษย์คาดไม่ถึงทีเดียว ถ้ามนุษย์ลองคิดเล่น ๆ ว่า ขณะนี้มีมนุษย์ที่สมดุลเกิดขึ้น 144,000 คน ปลดปล่อยพลังงานด้านบวกให้แก่โลกอย่างต่อเนื่องพร้อมกัน มันมากพอที่จะยกระดับคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลกใบนี้ได้ด้วยการทำให้มันสั่นสะเทือนด้านบวกอย่างรุนแรง ผลต่างของพลังงานด้านบวกที่พวกเขาปลดปล่อยมันออกมา จะเกิดการผลักดันกันทำให้พลังงานหมุนวนอย่างรุนแรงและเร็ว ซึ่งมันจะมีผลต่อการเหวี่ยงตัวของโลกในขณะเดียวกัน การที่โลกยังหมุนรอบตัวเองอยู่ได้ ไม่คว่ำลง มนุษย์แต่ละคนบนโลกที่คิดดี ทำดี พูดดี ล้วนเป็นผู้ร่วมสนับสนุนกระบวนการนี้ทั้งสิ้น (คำว่า"เนื้อนาบุญ" ของโลกก็ด้วยเหตุนี้เองมั้งค่ะ)

    เมื่อเราสามารถเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่สร้างคุณค่าให้กับตนเอง และสังคมรอบข้างด้วยการผู้ให้และช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง ไร้ซึ่งการเบียดเบียนต่อกัน เราก็เป็นผู้หนึ่งที่มีคุณค่าแก่โลกทำประโยชน์ให้โลกกันได้แล้วค่ะ[/QUOTE]

    คุณจิตยิ้มรู้มั้ยครับจำนวน 144,000 คนนี่ข้อมูลดั้งเดิมก่อนไปก๊อปเค้ามานี่มาจากไหน ผมถึงแนะนำให้อ่านประวัติศาสตร์เยอะๆ อ่านให้กว้างๆ

    จะรักทางนี้แล้ว ทำไมไปเอาของก็อปล่ะครับ บริบทของเดิมเค้าไม่ได้เป็นแบบนั้น อันนี้แค่ก๊อปตัวเลข144,000 ก็เอาแล้ว กลุ้มเลย
     
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,429
    ค่าพลัง:
    +3,201
    นั่นซิค่ะ อยากรู้ข้อมูลจากท่านบังซูบ้างนะค่ะ แสดงว่าท่านบังซูต้องมีข้อมูลมาเหมือนกันใช่ไหมค่ะ ที่จริงแล้วจำนวน 144,000 เป็นจำนวนบริบทเริ่มแรกที่เข้าถึงเป้าหมายสูงสุดได้แล้วตั้งแต่ก่อนปี 2535 แล้วนะค่ะ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของโลกที่จะได้รับการยกระดับพลังงานเพื่อเข้าสู่ยุคใหม่ ที่ทำให้มนุษย์ยุคนี้ ถ้าหากผู้ใดปฏิบัติปรารถนาจะหลุดพ้น จะรู้แจ้งได้ง่ายกว่ายุคพลังงานเก่า เพราะการเริ่มปรับเข้าสู่การยกระดับมีมาตั้งแต่ ปี 2535 นี่ก็เกือบจะ 30 ปีแล้วค่ะ ขณะที่มีการยกระดับแม่เหล็กโลกที่ผ่านมานั้น ก็ทำให้สติปัญญาของมนุษย์มีมากขึ้น และปัจจุบันนี้อาจมีจำนวนมนุษย์สมดุลเพิ่มขึ้นมากกว่าจำนวน 144,000 คน แล้วก็ได้ค่ะ ที่อยู่ในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมานะค่ะ เพียงแค่ขณะนี้กระบวนการยุคใหม่ยังไม่สิ้นยุคหรือเสร็จสิ้นสมบูรณ์แค่นั้นเองค่ะ

    ประวัติศาสตร์แบบไหนค่ะ ถ้าเป็นเรื่องคำหลอกลวง หรือ คำบอกกล่าวที่ทำให้คนหลงงมงายเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติอย่างที่ท่านบิงซูยกมาในเรื่องจะถูกยักษ์จับกิน กรณีนี้แล้วถูกประหารชีวิต ข้อมูลนั้นไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาเสียเลยค่ะ
    แล้วกรณี

    บริบทเดิม เป็นอย่างไรค่ะ แสดงว่าท่านบิงซูไม่ได้ปฏิเสธเรื่องมีมนุษย์จำนวนหนึ่งที่ได้เป็นมนุษยที่สมดุลสามารถเข้าถึงเป้าหมายยสูงสุดได้แล้วในปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็แสดงว่ายอมรับแล้วใช่ไหมค่ะ ว่าโลกเราเข้าสู่ยุคพลังงานงานใหม่จริง เพียงแต่ว่าปัจจุบันนี้ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์เท่านั้นเองค่ะ
     
  18. บิงซู

    บิงซู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2018
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +39
    ไม่รู้จริงๆสินะครับว่าเลขจำนวน144,000คนมาจากไหน ผมมองเห็นตัวเลขปุ๊บก็รู้เลยว่าต้นตอมาจากไหน ถ้าไม่รู้เดี๋ยวจะเฉลย
    ใครยอมรับครับว่าโลกเข้าสู่พลังงานอะไรของคุณ ผมเพียงแต่ชี้ให้เห็นว่าลัทธิที่ไปก๊อบเขามาลงที่นี่ มันก๊อปใครเขามา
     
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,429
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ไม่ใช่ลัทธิค่ะ เป็นธรรมะที่เป็นวิทยาศาสตร์ มนุษย์จะเกิดการรู้แจ้งมากขึ้นด้วยศาสตร์ใหม่ที่เรียกว่า เมตาฟิสิกส์ หรือ อภิปรัชญา เป็นความรู้ใหม่สำหรับมนุษยชาติ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์โลกและจักรวาล ซึ่งเกี่ยวข้องกับมนุษย์โลกโดยตรง เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาดในบางสิ่งที่มนุษย์ยังไม่ล่วงรู้เท่านั้น ไม่ได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่ และทำลายศาสนาใดอันศักดิ์สิทธิ์บนโลกใบนี้ นักรบแสงสว่างทุกท่านจงวางใจได้ว่า จักรวาลยึดถือความเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ และยืนยันว่าทุกศาสนาในโลกไม่ใช้ลัทธิ เพราะมีแก่นแท้เป็นเรื่องเดียวกันทั้งสิ้น จิตจักรวาลต้องการยกระดับทางสติปัญญาของมนุษย์ด้วยความรู้ใหม่ให้ทุกคนเติมเต็มในส่วนที่ขาด ให้สามารถเข้าถึงแก่นแท้แห่งสัจธรรมของแต่ละศาสนาได้ชัดแจ้งยิ่งขึ้นเท่านั้น

    เผ่าพันธ์มนุษย์แห่งดาวเคราะห์โลกกำลังดำเนินวิถีทางไม่ถูกต้อง ห่างไกลความเป็นจริงเข้าไปทุกที สังคมมมนุษย์ถูกแบ่งแยกออกจากกันจนขาดความเป็นหนึ่งเดียว มนุษย์ส่วนใหญ่ถูกชักจูงจิตวิญญาณ แทนที่คุณธรรม มโนธรรม จะช่วยค้ำจุนโลกให้สมดุลได้ กลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า ปล่อยให้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีกลายเป็นลมหายใจของมนุษย์ทุกคนไป

    จักรวาลมองเห็นอนาคตที่มนุษย์จะต้องเผชิญ อันเกิดจากการกระทำของตนเองจนทำลายความสมดุลของสรรพสิ่งในระบบโลก และทำลายความสมดุลทางพลังงานในมิติคู่ขนาน ซึ่งจะนำมหันตภัยร้ายแรงมาสู่ดาวเคราะห์โลก ระบบสุริยะจักรวาลและกาแล็กซี่ทางช้างเผือกตามลำดับ ที่มนุษย์ไม่มีวิสัยทัศน์ขาดจิตสำนึกที่จะหยั่งรู้ได้ จำต้องสื่อคลื่นการคิดผ่านจิตสำนึกของคนเหล่านั้น บอกข่าวสารจากจักรวาลมาให้ล่วงรู้กันล่วงหน้าถึงภัยอันตรายของโลกและสังคมมนุษย์ ไมว่าจะเกิดภัยนอกโลก และภัยธรรมชาติรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งภัยจากสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง เพื่อให้มีจิตสำนึกและสติทางวิญญาณสูงขึ้น ให้หยุดยั้งการกระทำที่ไม่ถูกต้องของตนเสีย ให้น้กวิทยาศาสตร์โลกสร้างผลผลิตใด ๆ ขึ้นมาด้วยความมีสำนึกที่ดีงามและรับผิดชอบมัน ให้ผู้มีอำนาจเหนือรู้จักมอบพลังงานความรักที่แท้จริงแก่เพื่อนมนุษย์ผู้ด้อยสติปัญญาและโอกาสมากกว่าบ้าง และให้ผู้กระทำตนเป็นเป็นอุปสรรคต่อสันติสุขของผู้อื่น หยุดยั้งการกระทำก้าวร้าวนั้นเสีย

    ข่าวสารจากจักรวาล ในคำพยากรณ์ใด ๆ ในยุคพลังงานเก่าล้วนเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารจากพลังงานความรักที่มีต่อมวลมนุษย์ทั้งสิ้น มันเป็นความถูกต้องในคำทำนายที่มนุษย์ได้พิสูจน์ทราบความจริงกันมาตลอด แต่น่าเสียดาย มันไม่ได้ทำให้จิตสำนึกมนุษย์ที่บกพร่องเกิดการสั่นสะเทือนไปในแนวทางที่ต้องการอย่างแท้จริงเลย มันเป็นเพียงภาพของความน่าหวาดกลัวที่อาจทำให้บางคนสติแตกได้ หรือทำให้บางคนหาทางจะหลบเลี่ยงสถานการณ์เลวร้ายเหล่านั้นให้ได้ด้วยความเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ของตนเอง และด้วยพลังอำนาจของตนที่เหนือกว่า เพื่อพยายามแก้ไขเงื่อนไขใด ๆ ที่ตนคิดว่าจะนำไปสู่สถานการณ์เลวร้ายนั้นได้ โดยไม่ยอมแก้ไขที่จิตสำนึกของตนเลย แม้แต่จะก้มลงไปมองหามันสักครั้งก็ตาม

    จิตสำนึกที่ตกต่ำของมนุษย์โลก นอกจากจะนำไปสู่ความหายนะในสังคมที่เต็มไปด้วยขยะเทคโนโลยีแล้ว มันยังทำให้โลกขาดแคลนพลังงานหนักขึ้น ทรัพยากรธรรมชาติลดน้อยลงเขื้อโรคร้ายวิวัฒนาการสายพันธ์ตนเองจนเป็นภันแก่ขีวิตมนุษย์มากขึ้น การก่อความรุนแรงด้วยอำนาจในสังคมมนุษย์ล่อแหลมต่อการเกิดศึกสงคราม ด้วยอาวุธเคมีและรังสีปรมาณูมากขึ้น จนแม้แต่การขาดแคลนพลังงาน ในมิติคู่ขนานที่มนุษย์จะต้องเป็นผู้ให้ต่อโลกผ่านกระบวนการของจิตสำนึกอันเป็นกลไกบ่อเกิดพลังงานที่โลกต้องการ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของจิตวิญญาณในการมาสู่รูปธรรมมนุษย์ในระบบโลกที่มนุษย์ยุคพลังงานเก่าถูกปิดมิติไว้ไม่ให้ล่วงรู้ จนก่อให้เกิดปรากฏฎการณ์ขาดความสมดุลทางพลังงานอย่างรุนแรงทุกวัน เช่นโลกหมุนรอบตัวเองช้าลง จนแกนหมุนอาจเอียงจนพลิกคว่ำได้ และระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกไม่อาจยกตัวสูงขึ้นประสานกับสนามพลังงานจักรวาลในระดับเหมาะสม จนไม่อาจป้องกันภัยจากอุกาบาต และเทหวัตถุจากนอกโลกที่จะพุ่งเข้ามาชนโลกให้ย่อยยับได้ เป็นต้น


    ข่าวสารนี้คือความจริงที่ตรงกับความเป็นไปของโลก เปรียบเหมือนกับที่มนุษย์เราทุกคนมีความเชื่อว่า เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายย่อมคุ้มรองรักษาคนดี เมื่อเบื้องบนเห็นความเป็นไปโลกและมนุษย์ จึงได้เมตตาเตือนด้วยความปารถนาดี จึงเป็นความรู้ใหม่ที่เติมเต็มในส่วนที่มนุษย์ที่ยังไม่รู้ หรือเติมส่วนที่ขาดให้มนุษย์เข้าใจในสัจธรรมมากขึ้น จึงไม่ใช่ลัทธิอย่างแน่นอนค่ะ
     
  20. บิงซู

    บิงซู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2018
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +39
    จิตจักรวาลเป็นลัทธิแน่นอนครับ คุณจิตยิ้มอาจจะต้องมีพื้นฐานสักหน่อยนะครับเกี่ยวกับพระคริสตธรรมคัมภีร์

    ลัทธิที่อิงกับคริสต์เขาใช้กันในหมู่คริสต์ว่า ลัทธิเทียมเท็จ ลัทธิจิตจักรวาลก็เช่นกัน เอาคริต์มาผสมพุทธ

    ตัวเลข144,000คน คือชาวยิวที่ถูกประทับตรา จะเลือกจากกลุ่มยิวมากลุ่มละ12,000คน อันนี้เอามาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ในหนังสือวิวรณ์บทที่เจ็ด

    นายป.มักจะใช้ถ้อยคำต่างๆมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ลีลาของการเขียนก็ก๊อปมาแล้วเสริมด้วยพุทธบ้างประปราย
     

แชร์หน้านี้

Loading...