เชิญช่วยกันระดมความคิดเห็นเรื่อง"จิต" เพื่อสัจธรรมความจริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 17 มิถุนายน 2013.

  1. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    กลับไปอ่านใหม่แล้วกันนะ
    ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็มาถามจะอธิบายให้ฟัง
    เอานะ ขอตัวก่อนแล้วกัน
     
  2. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    หากพูดนัยยะของทวาร ๖

    เกิดดับทางตา ย่อมไม่เหมือนเกิดดับทางหู

    เกิดดับทางหู ย่อมไม่เหมือนเกิดดับทางกาย

    เกิดดับทางกาย ย่อมไม่เหมือนเกิดดับทางเวทนา

    เกิดดับทางเวทนา ย่อมไม่เหมือนเกิดดับทางวิญญาณ

    ที่ว่าไม่เหมือน หมายถึงไม่เหมือนในลักษณะหยั่งเห็น

    แต่ว่าโดยลักษณะแลัว มีแล้วไม่มีเหมือนกันหมด


    คล้ายๆมิติทางได้ยิน โลกของเสียง โลกของอายตนะ โลกของธาตุ โลกของรู้เสียง เป็นโลกหนึ่ง มิติหนึ่ง สภาวะหนึ่ง

    ทางใจ ทางเวทนา ฯลฯ ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง

    จะไปยึดสภาวะเกิดดับของทวารหนึ่งไปหมายรู้อีกทวารหนึ่งย่อมไม่ใช่ฐานะจะเป็นได้

    ลักษณะเช่นนี้เป็นเพียงแตกฆนะ เห็นความเกิดดับต่อเนื่องเป็นสันตติ

    แต่ยังไม่ถึงสันตติขาดเห็น ความดับ
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มันไม่ใช่เรื่องของผม ที่จะต้องย้อนกลับไปอ่านอะไร เพราะประเด็นแต่ละข้อของผมนั้น ชัดเจน

    แต่ที่ผมเห็น คือ เตชพโล หลงประเด็น ลืมประเด็น มั่วประเด็น แล้วก็ไม่สามารถจับเรื่องราวหลายๆ เรื่อง มาเชื่อมโยงกันได้

    ไม่ทราบว่าเป็นกรรมเก่าหรือเปล่า ที่ทำให้สมองของเตชพโล ในชาติปัจจุบัน ไม่มีความสามารถด้านนี้

    หากยอมรับว่าเป็นข้อบกพร่องของตัวเองได้ อาจจะพอมีทางแก้ไข ผมอาจจะพอแนะนำได้บ้าง

    แต่ถ้าคิดว่าตนเองไม่มีอะไรผิดปกติ ดีอยู่แล้ว ก็ตามสะดวก

    กมมุนา วัตตติ โลโก
     
  4. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ถ้าไม่อ่านก็เข้าใจในทางที่ถูกไม่ได้
    ถ้าขี้เกียจอ่านเราก็ต้องฝืนความขี้เกียจ
    ลองฝืนตัวเองดู
     
  5. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    รู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งรอบตัวบ้างก็ดีนะ เขาเปรียบให้มองลงไปลึกๆกว่าที่เห็น อย่ามา... อะไรๆ ที่มันมากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี อย่ามาขันธ์น่า...(ให้มองได้หลายความหมาย) รู้ไว้ด้วยคุณเตช ไม่ได้มีแต่คุณเตชที่เป็นแบบนี้ไม่ได้มีแต่ผมที่เป็นแบบนี้และก็ไม่ได้มีแต่คุณคนนั้นคนนี้ที่เป็นแบบนี้ หากคุณคิดไม่ออกแบบนี้ การจะเป็นสื่อกลางของคนประเภทต่างๆ มันก็จบที่ ดีกว่า แย่กว่า ไม่ได้มีวิธีจะแก้ไข หาทางออกเลยสักนิดเดียว นะคุณเตช ก็คงจะโตๆกันแล้ว ผมว่าอย่างนั้นนะคั๊บ
     
  6. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ใครๆก็มีกรรมทั้งนั้นแหละ จนกว่าจะเห็นได้จริงว่าอะไรเป็นอะไรก็อย่างเพิ่งเชื่อในสิ่งที่พบในตอนนี้เพราะว่า บางทีมันยังไม่ถึงในสิ่งที่จริงยิ่งไปกว่านั้น ชาติไหนๆ ก็สำคัญทั้งนั้น เขาว่ามาเราก็ฟัง เพราะเราว่าเขา เขาก็ฟัง แต่ถ้าเราไม่ฟังใครฟังแต่ตัวเอง เชื่อว่า นั่นยังอยู่ในเขตที่ยังไม่เห็นอะไรๆที่น่าจะเห็น ข้อนี้สำหรับผู้คิดว่าเห็น
    นะคั๊บท่าน
     
  7. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    รบกวนหลวงพี่ขยายตรงลักษณะหยั่งเห็นหน่อยครับ ฟังแล้วไปไม่ถึง
    มันลงที่เพียงแตกฆนะ เห็นความเกิดดับต่อเนื่องเป็นสันตติ

    ส่วนสันตติขาดเห็น ความดับ ตรงนี้ ติดปลายนวมครับหลวงพี่(สงบ เย็น)
    จริงๆพอนึกคำเรื่องแหวกจอกแหน น่ะครับ น่าจะพอไปได้ไหมครับ
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุ...
    สิ่งที่ผมเห็นนั้น มันไม่ทำให้พ้น ไม่ทำให้จิตเป็นอิสระ
    ก็ต้องเดินทางกันต่อไป ขอบคุณสำหรับธรรมทานครับ
     
  9. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    ขอถามก่อน เพราะมีผลกับคำตอบ

    แตกฆนะ เห็นความดับนั้น

    แตกอะไร เห็นอะไร


    ไม่ใช่เรื่องสงบเย็น

    ถ้ายังรู้สงบเย็น ก็ไม่เรียกว่า ความดับ

    เป็นเพียงดับ ในชั้นเจริญสติปัฏฐาน อกุศลดับ กุศลเกิด

    ลักษณะดับจากการเจริญกุศลอย่างนี้ มันจะค่อยๆดับ ค่อยๆคลาย ค่อยๆหย่อนตัวลง

    จะเบาตัว เบาใจ เป็นกุศล สุขแบบไม่ใช่เรา ต่างจากสุขในสมาธิ ถูกไหม
     
  10. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ผมว่าอย่าเอากิเลสออกหน้ามาตำหนิติเตียนกันเลย
    มันผิดตรงไหนผมก็บอกว่าผิดก็จะให้ว่าไง

    นะ พอเถอะไอ้นิสัยแบบเดิม ๆ
    หาเรื่องตำหนิติเตียนอย่างนั้นอย่างนี้

    แต่พอพูดในเนื้อหาธรรมะกลับไม่มีเหตุผลมาแก้
     
  11. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ^_^
    ความหมายของภาษาอาจจะทำให้เห็นต่าง แต่พออธิบายอาการก็เข้าใจได้ครับ

    ส่วนคำถามแยกเป็นสองส่วนครับ
    ส่วนแรกที่หลวงพี่กล่าวว่า แตกฆนะ เห็นความเกิดดับต่อเนื่องเป็นสันตติ
    อาการนี้พอจะบอกได้ในกำลังสมาธิที่พอสติไวจะปรากฏเป็นลักษณะยิบยับเหมือนกระพริบตาถี่ๆ
    ถ้าในส่วนของความคิดจะเริ่มเห็นสายของความคิดที่ปรากฏต่อเนื่องเว้นระยะจุดนิดนึงซึ่งพอเห็นจุดนี้จะสามารถชลอสายความคิดให้ช้าลงตามกำลังสมาธิได้
    ในส่วนของเวทนาก็ลักษณะคล้ายๆกัน

    ข้อต่อมา สันตติขาดเห็น ความดับ อันนี้ ติดปลายนวมคือเดาเอาตามความรู้
    สงบ เย็น หมายเอาที่ นิพพาน ครับ

    ส่วนคำถามคือ ลักษณะหยั่งเห็น เป็นอย่างไร
     
  12. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    (นอกเรื่องนิด)มีข้อนึงในส่วนของ ดับขณะ ในการรู้กระทบทั้ง 6 ทวารนั้น
    เริ่มปรากฏเห็นจากลมหายใจแล้วสงสัยว่า ระหว่างลมเข้าออกมันมีอะไร พอสงสัยมันก็ดิ่งวูบ
    แล้วมันคาเป็นคำถามออกจากสมาธิเสมอๆ
    ที่นี้พอมาเจอในความคิด ในเวทนา ในสัมผัส ก็ยังมีปลายสงสัยอยู่
    ตรงนี้เห็น มี ไปทำไม แสดงอะไร หมายอะไร
    มันก็วับลงที่ว่า เจ้านี่ก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเช่นกัน หากยังสงสัยและเห็นมันมีอยู่
    ก็ไปไหนไม่ได้ มันคาที่จุดนี่เอง
     
  13. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    การเห็นด้วย จิต(สัตว์ฯ)+วิญญาณขันธ์ หรือ จิตสังขาร
    [จิตสังขาร เห็น จิตสังขาร] --> ไม่สมุจเฉทปหาน --> ต้องเห็นซ้ำๆๆๆๆๆๆๆๆฯลฯ

    การเห็นด้วย จิต(สัตว์ฯ)
    ไม่มีส่วนใดๆของขันธ์๕เข้าไปร่วมเห็นด้วย แต่จิตสังขารจะมาระลึกรู้หลังจากที่จิต(สัตว์)เห็นแล้ว
    [(จิต:สัตว์) เห็น จิตสังขาร] --> สมุจเฉทปหาน


    ป.ลิง โปรดใช้วิจารณญาณในการชมความเห็นนี้ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013
  14. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    อาการยิบยับ ไม่ทำให้คลายความยึดมั่น ความกลัวภัยการเกิดดับ

    ไม่พอที่ปัญญาจะรู้ว่าไม่เป็นแก่นสารได้

    ควรมุ่งสนใจสภาวะธรรมมากกว่า

    เห็นแสงกระพริบถี่ๆ หรือสว่างโพรง พวกนี้ไม่ควรไปใส่ใจ

    อันนี้น่าสนใจ

    ไม่จำเป็นต้องไปบังคับอะไร ดูมันไปตามธรรมชาติของมัน

    ยิ่งมีเวทนารุนแรงเข้ามาด้วยจะยิ่งมีกำลังในการพิจารณา เหมือนจ้องตาเสือ


    ตอบข้อ ๒

    ยกตัวอย่างเวทนาในนาทีที่ ๔๐

    สติจดจ่อต่อเนื่องที่เวทนา เป็นของที่ถูกรู้ หมายรู้ที่รูปโดยความเป็นธาตุ

    ส่วนมากรู้เวทนาก่อน ดูสวนลงไปจะรู้ลักษณะวาโยธาตุ อาการเต้น ตอด เคลื่อน

    สลับกับความปวดของเวทนา ไม่นานจะเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นขณะๆของธาตุ ของเวทนา

    ยิ่งเวทนารุนแรง จะยิ่งชัดในช่วงที่ดับ ตามชีพจรเป็นขณะๆ บางทีความสั่นสะเทือนก็ปรากฏ

    ก็ดูลงไปที่ความสั่นสะเทือนต่อมันก็ลงธาตุสี่อยู่ดี ธรรมชาติมันก็เกิดดับ แตกสลาย

    สลับกับเวทนาที่รุนแรงตามธาตุที่แปรปวน บ้างก็ไปสลับรู้ที่ใจกระวนกระวาย

    หากตั้งมั่นดี จะเห็นเกิดดับเป็นสาย โดยมีปัจจัยของมัน

    หากจดจ่อ ก็จะเห็นเกิดดับโดยสภาวะซ้ำๆถี่ในสภาวะเดียว


    พูดเยอะแล้วไม่เคลียร ^^
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ปัญหาการภาวนาคือ เวลาไปเห็น สภาวะ ดัน ยังเอา ขันธ์5 มาเป็น
    เครื่องมือแสวงหา สัจจ

    มันจะมี อาการยื่นมือ ยื่นไม้ ไป คว้าเครื่องมือคือ ขันธ์5 ขึ้นมาใช้

    เป็นลักษระของการ หวงความรู้ ไปเข้าใจ ความรู้ หรือ ตัวปัญญา
    ต้องเป็นอะไรที่ พูดได้ เรียกชื่อได้

    ทำให้ พอจะคว้า ขันธ์5 เข้ามา มันก็ตกจาก ภาวนา

    *********

    เวลา ฆนสัญญามันแตก มันต้องให้รสรู้ว่า จิตกับลังฉวยขันธ์มาทำงาน
    หรือ เห็นขันธ์5 มันทำงาน กระจายตัวกันทำงาน โดยที่ จิตไม่ได้ไป
    มีส่วนร่วม ไม่ไปฉวยมันมาเป็นเครื่องมือ แสวงหาสัจจ ....ส่วนใหญ่
    จะเป็นเรื่อง อัปปนาโกศล คือ ไม่เพ่งรูปเกินไป(การฉวยรูปขันธ์มา
    แสวงหาจิต) ไม่เพ่งตัวรู้เกินไป(ฉวยวิญญาณมาแสวงหาจิต) .....
    สัญญา สังขาร ก็พวก อยากรู้ อยากเรียกชื่อ อยากเทียบสูตร ( มีบาง
    ท่านแถวๆนี้ ยังหยิบ ธาตุ4 มาทำ กิเลน เทียบเข้าสูตร)

    ดังนั้น หากฆนสัญญามันแตก ...จะต้องเห็น ความเสื่อมไป เป็น
    สิ่งที่กำลังตามพิจารณา

    ฟังดีๆนะ

    ตามเห็นความเสื่อมไป การเกิดดับ .... ไม่ใช่ทำแล้ว จึงได้ผลลัพธ์
    เป็น ฆนสัญญาแตก

    อย่าไปเอาหัวมาเป็นหาง เอาหางมาเป็นหัว

    การเอาหางมาเป็นหัว เอาหัวมาเป็นหาง เกิดจาก ปัญญามันล้ำหน้า
    เป็นการ ภาวนาแบบ เทียบเข้าชุดความคิด

    ถ้า ภาวนาโดยมีสมาธิจิต มีจิตตั้งมั่น ..... ฆนะสัญญา จะแตกออก

    พอ ฆนะสัญญาแตกออก ขันธ์ก็กระจายตัว เกิดการแยกธาตุ แยกขันธ์
    แล้วจึงตามเห็น กองขันธ์มีแต่ความเสื่อมไป ดับไป ซึ่งก็ขึ้นกับชนิด
    ของกองขันธ์ที่กำลังระลึกได้ จับต้องได้ รู้สึกได้


    *****************


    ประโยคนี้ ไม่ต้องทำการเห็น อะไรมาก ให้รู้รสไปรวมๆว่า ยังฉวยขันธ์5มา
    แสวงหาจิต มันก็ไม่พ้นสัญญาเป็นธรรมดา

    อันนี้ก็คล้ายกัน คือ ไปฉวยขันธ์5 มาคิด ไม่เกิดการหยุดคิด ยังใช้คิด
    เพื่อการรู้ มันก็ ตกจากการภาวนา เป็นธรรมดาอีก

    แต่ตรงนี้ โดยหลักการของ อานาปานสติแล้ว ให้ยกตัวนี้เลย เวลาเห็น
    ความต่างของลม จิตยังเห็นความแตกต่างของลม ก็ ยกไปตรงๆว่า
    จิตมี " ตัณหา " เพราะ ตัณหาเกิดเมื่อไหร่ ความแตกต่างมันก็เกิด

    วางจิตรู้ไปให้ทัน รู้เท่าเอาทัน ทันทีที่ รู้สึกว่า เห็นความต่าง ก็เห็น
    "ตัณหา" ไปตรงๆเลย แล้ว จิตมันจะ ละ ของมันเอง แล้วจะค่อยๆ
    เห็นว่า รู้ลมอยู่ แต่ไม่ให้ค่า ความแตกต่างอีก

    ถ้าเห็นสภาวะ เป็นหนึ่ง เป็นธรรมเอก ได้ชัด ก็ลองประคองให้อยู่
    ก็ได้ จะได้พัก มีกำลัง

    หรือ จะดูสภาวะเป็นหนึ่ง จิตหนึ่งนี้ดับก็ได้ พอเห็น จิตผู้รู้ จิตหนึ่ง
    ดับได้ มันจะไม่คว้าขันธ์5 มาใช้งาน หรือ ถ้าคว้าก็จะรู้ว่า คว้า ซึ่ง
    ก็ต้องดูว่า มันคว้าเพื่ออะไร ประโยชน์ตน หรือ ประโยชน์คนอื่น

    [ จะเป็นเรื่อง ประโยชน์แล้วนะ เพราะ จิตเข้ามาเป็นหนึ่งได้ด้วย
    กำลังฌาณที่มีศีลกำกับ มันจะไม่มีเรื่อง ทะลึ่ง เข้ามาปนแล้ว แต่
    ยังจัดว่า ฝุ้งซ่าน ได้อยู่ -- ถ้า รู้อาการฝุ่งธรรมได้ จะ ค่อยฉลาด
    ในการน้อมไปใน วิเวก วิโมกข์ วิมุตติ แล้วแต่ ความสามารถของจิต ]
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สรุปคือ จิตตินนท์ ภาวนาไปอย่างนั้น อย่างที่ทำ อย่าพึง โดนชักชวน
    ไปสู่การ เล่นเปรียบเทียบ จับ ชุดความคิด มาเป็น ธรรม

    ตั้งจิตให้ตรง ต้นเอาให้ตรง อย่า คดแต่ต้น เป็นใช้ได้

    อดทน อย่าใจร้อน อย่ารีบคว้าผล
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แถม

    อันนี้ เวลาตกจากภาวนา หรือ ภาวนาได้ดี หรือ ไม่ได้ดี อะไรก็แล้ว
    แต่ แล้วพอตกมาแล้ว จิตมัน รำพึง รำพัน หา " นิพพาน "

    อันนี้ ดีแล้ว ..... รักษา อธิษฐาน จิต นี้ไว้

    หากมันเกิด ซ้ำ ก็นี่แหละ ธรรมานุปัสสนา การเห็นเป้าหมาย คำนึงเป้าหมาย
    แบบนี้เข้าเกณฑ์ ธรรมมานุปัสสนา ....

    กาย เวทนา จิต ธรรม มันหมุน กันเป็น พัลวัน ไม่ยอมให้ตกจาก สติปัฏฐาน

    ดังนั้น

    ตกจากภาวนา แล้ว ยังปรารภเป้าหมาย ได้หรือเปล่า

    หรือ ตกจากภาวนา แล้ว ลืมเป้าหมาย ไปแล้ว หายจ้อย

    ดูเข้ามาตามความเป็นจริง ยกขึ้นเห็น ไปตามความจริง

    แล้วจะ เห็นเลยว่า โอยยยยย ต่างจาก คิดเอา เทียบเอา
    เรียนลัด แบบ ฟ้ากับเหว
     
  18. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    "ปฏิบัติไปแล้ว ไม่มีอะไรมาก มีแต่ ความยิบยับ เล็กน้อยเท่านั้น" - หลวงตามหาบัว

    แค่ความยิบยับเล็กน้อยเหล่านี้ เตชพโลยังไม่สามารถเห็นได้เลย แล้วจะเอาอะไรมาชี้ทางให้คนอื่นเดินถูกทาง

    ผมขอเดินตามหลวงตามหาบัวดี เดินตามหลวงปู่ดูลย์ ดีกว่านะ เตชพโล จะเดินตามทางนี้ด้วยกันหรือไม่ ก็ตามสะดวก
    แต่ทางที่เตชพโล เชื่อว่าถูก ณ ปัจจุบัน น่าสงสัยนะ ว่ามันถูกจริงหรือเปล่า
     
  19. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอ่านและฟังเทศน์ของหลวงตาให้มาก ๆ
    ปฏิบัติตามหลวงตาท่านบอกนั่นแหละ ไม่หลงทางหรอก

    แต่จะน้อมนำคำกล่าวของท่านเพียงประโยคเดียวนี่ไม่พอหรอกนะ
    เพราะเนื้อหาเพียงประโยคเดียวยังไม่ได้ความหมายใจความอะไรเลย
    ท่านพูดถึงอะไรสิ่งใดก็ยังไม่รู้

    ท่านเทศน์เอาไว้ให้โลกได้ศึกษาได้ปฏิบัติตามเป็น 1000 กัณฑ์
    มีให้เลือกอ่านมากมายตามจริตนิสัยของผู้ปฏิบัติแต่ละราย

    อ่านและฟัง เทศน์ของท่านให้มากนี่ถูกต้อง
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    เฮ้อ!!!...

    ทุกคนที่ไม่ตอบมักมีข้ออ้างที่เหมือนกันหมด คือ ข้ามขั้นตอนนั้นมาได้แล้ว

    ทั้งๆที่ข้ามมาจาก"สัญญา"ที่ตกผลึก ไม่ใช่ข้ามมาจากปัญญาที่ปล่อยวางได้จริง

    ร้อยละ๙๙% ที่บอกว่าใจเฉยๆนั้น ล้วนเฉยโง่ ที่เรียกว่า"อัญญาณุเบกขา"

    เป็น"เฉย"เกิดจาก"ถิรสัญญา" ที่คุ้นชินบอกให้เฉย จึงมีเฉยได้หลายระดับ

    ก็บอกไม่รู้กี่ครั้งแล้วอยากคุยอะไร ก็คุยไป แต่ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองด้วย

    อย่าเอาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มาอวดเพื่อจะโชว์ว่าตนเองข้ามมันมาได้แล้วเลย

    คุณเอาอะไรมาพูด "จริงๆ ที่ผมไม่ตอบเพราะว่า นักปฏิบัติ เอาแค่ขั้นกลาง

    เขาก็เห็น และทำได้นะ ไอ้กายหัวเราะไป แต่ใจมันเฉยๆ เนี่ย"


    ถามตรงๆเถอะ เคยภาวนาจนกระทั่งจิตถึงสภาวะ"อุเบกขาสติปาริสุทธิง"หรือยัง? เฉยจริงๆ

    ถ้าจะยังไม่รู้จักมั๊ง จึงกล้าพูดมั่วๆแบบที่พูดไว้ข้างบนออกมาได้

    เฉยแล้วหัวเราะทำไม? วางงานหรือยังไง ถ้าเฉยก็อยู่แบบเฉยๆสิ (เฉยโง่)

    ถ้าจิตมันเฉยเป็นอุเบกขาสติปาริสุทธิงได้จริง มันไม่หัวเราะแล้ว? แค่ยิ้มก็มากเกินพอ

    รู้จักหรือเปล่าคำว่า"เฉย"จริงๆ ที่เรียกว่าอุเบกขาสภาวะธรรมเดียว ไม่ใช่"อัญญาณุเบกขา"

    ไม่ใช่เฉยแบบคิดเอาเองแบบที่พูดมา ไอ้แบบนั้นเรียกว่า รู้สึกว่า"เฉย" แต่ยัง
    โง่อยู่

    เป็นเฉยที่คิดเองเออเองเท่านั้น อย่าบอกนะ "เฉย" มีได้หลายระดับ เคยเขียนไปแล้ว

    อย่างคุณเตชะฯพูด ฉันว่าเค้าพูดถูกนะ ไม่รู้ถาม หรือ ถูกถาม ก็ควรตอบแบบตรงไปตรงมา

    โดยเฉพราะเรื่องของ"จิต" ที่ไม่มีรูปร่าง ให้จับต้องได้ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

    ที่จะเปรียบเทียบกับสภาพธรรมที่แท้จริงของ"จิต"ได้นั้น

    มี แต่"น้ำ" เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ใกล้เคียงและชัดเจนที่สุด

    พอมีคนชมหน่อยรับสมอ้างทันที่เลยนะ ถึงจะไม่ได้อ่าน แต่ก็เชื่อว่ายังไม่ใช่

    ถ้าใช่ อย่างน้อยๆ คนอย่างคุณเตชะฯ ก็ไม่ใช่คนดื้อรันอะไรนักหนา ต้องยอมรับได้สิ(วางจะอ่านดู)

    "ขณะจิตเดียว" ของแต่ละคนนั้น คุณว่ามัน"สั้นยาวเท่ากันหรือ"?

    ส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ ที่ต่อเนื่องอย่างรวดเร็วนั้น

    เป็นอาการของจิตที่เปลี่ยนแปลง ย่อมต้องสอดคล้องกับขณะจิตที่เป็นอยู่นั้นด้วย จึงเป็นได้

    ถ้าไม่สอดคล้องกันกับขณะ"จิต"นั้น หรือ สร้างฉากขึ้นมาบังตนเอง แล้วบอกว่าทำได้นั้น

    คนจำพวกนี้ ต้องบอกว่า"ขาดความซื่อสัตย์ต่อตนเอง"หลอกตัวเองก็เอา ทำไปได้

    เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีต้นแบบ ที่ชอบแอบอ้างแบบนี้เช่นกัน มันน่าสงสารจริงๆ

    อย่ายืมนะ ที่ถามไปค้างตอบเยอะมาก ขี้เกียจจำ

    ว่างๆก็อย่าหลงข้าม(โคตร)ไปไกลนัก ย้อนกลับมาตอบคำถามบ้าง55+ (เฉยนะๆ...จริงๆ)

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...