เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โครงข่ายทางรถไฟ‘จีน’ออกสู่โลกภายนอกโดยผ่าน‘พม่า’ (ตอนแรก)
    โดย ไบรอัน แมคคาร์แทน 20 มกราคม 2554 21:39 น.

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์Asia Times Online :: Asian news hub providing the latest news and analysis from Asia)

    China outward bound through Myanmar
    By Brian McCartan
    07/01/2011

    ประเทศพม่าอยู่ในฐานะที่ทรงความสำคัญ เป็นอย่างมาก ในแผนการอันใหญ่โตมโหฬารของปักกิ่งที่จะสร้างโครงข่ายทางรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมต่อระหว่างจีนกับบรรดาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และดินแดนที่ อยู่ถัดออกไปอีก ถ้าหากแผนการนี้เสร็จสมบูรณ์ได้ตามที่วาดวางเอาไว้ มันก็จะเป็นโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่โตที่สุดใน ประวัติศาสตร์ทีเดียว อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งของโครงการนี้ ก็คือการที่ระบบรางรถไฟของพม่าและประเทศอื่นๆ ใช้ช่วงกว้างระหว่างรางที่แตกต่างกันอยู่

    *รายงานชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนแรก *

    เชียงใหม่ - พม่ากำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมด้วยระบบรางรถไฟแห่งสำคัญแห่งหนึ่งใน ระดับภูมิภาค โดยจะเป็นจุดเชื่อมต่อจีนและอินเดียเข้ากับตลาดต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดินแดนที่อยู่ถัดออกไปอีก ทั้งนี้ถ้าหากแผนการลงทุนต่างๆ ที่กำลังเสนอกันอยู่ในเวลานี้จักบังเกิดผลขึ้นมาได้จริง และก็เฉกเช่นเดียวกับการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ จำนวนมากมายในภูมิภาคแถบนี้ ผู้ที่เป็นพลังขับดันอยู่เบื้องหลังการออกแบบอันใหญ่โตมโหฬารในเรื่องนี้ก็ คือปักกิ่งเจ้าเก่า

    จีนกำลังวางแผนการที่จะก่อสร้างเส้นทางรถไฟจำนวนมาก ซึ่งจะเชื่อมต่อภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้อันห่างไกลของตน เข้ากับเมืองท่าต่างๆ ในพม่า แล้วต่อไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการวางแผนกำหนดให้มีเส้นทางรถไฟสายสำคัญสายหนึ่งโยงต่อเมืองคุนหมิง (เมืองหลวงของมณฑลหยุนหนัน ที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแดนมังกร) เข้ากับท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่รวมทั้งพื้นที่เขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมพิเศษ ซึ่งกำลังก่อสร้างกันอยู่ที่เมืองจ๊อกเปียว (Kyaukpyu) บนชายฝั่งด้านตะวันตกของพม่า

    แผนการสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้ได้รับการกระจายข่าวเป็นครั้งแรกใน นิตยสารรายสัปดาห์ “วีกลี อีเลฟเวน นิวส์” (Weekly Eleven News) ของพม่าเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมปีที่แล้ว โดยเป็นที่คาดหมายกันว่าจะสร้างแล้วเสร็จในปี 2015 นอกจากนั้นจีนยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตอุตสาหกรรมที่ จ๊อกเปียวด้วย ทั้งเส้นทางรถไฟ, ท่าเรือน้ำลึก, และเขตอุตสาหกรรมดังที่กล่าวมา ถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของแดนมังกรที่จะพัฒนาช่องทางทางการค้าให้แก่ ภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่ไร้ทางออกทางทะเลของตน รวมทั้งยังจะใช้เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าน้ำมันและก๊าซ โดยจะมีการเชื่อมต่อไปยังสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการ ก่อสร้าง

    นอกจากทางรถไฟคุนหมิง-จ๊อกเปียว ยังมีการวางแผนสร้างเส้นทางรางรถไฟอีกเส้นหนึ่งเชื่อมต่อเมืองคุนหมิงเข้า กับเมืองย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวงเก่าและเมืองท่าใหญ่ของพม่า คิดเป็นระยะทาง 1,920 กิโลเมตร การก่อสร้างน่าที่จะอาศัยเส้นทางรถไฟสายเหนือ-ใต้ที่มีอยู่แล้วของพม่า แทนที่จะต้องวางรางวางเส้นทางกันใหม่หมด

    ทางรถไฟเส้นนี้ยังจะต่อเข้ากับเส้นทางรถไฟสายซึ่งเชื่อมโยงไปสู่ โครงการท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ที่เมืองทวาย (Dawei) บนชายฝั่งด้านใต้ของพม่า ทั้งนี้ส่วนประกอบสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของโครงการท่าเรือแห่งนี้ตามที่ได้ มีการแถลงกันไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็คือจะมีการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ระหว่างทวายกับกรุงเทพฯ

    ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีการวางแผนการสร้างทางรถไฟติดต่อระหว่างภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแดนมังกร กับดินแดนพม่าเส้นที่สาม โดยรางรถไฟของสายนี้จะทอดผ่านรัฐฉาน (Shan State) ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของพม่า ทั้งนี้จากจุดเริ่มต้นที่เมืองคุนหมิง ทางรถไฟสายนี้เมื่อผ่านรัฐฉานแล้วก็จะมาจนถึงจังหวัดเชียงรายทางภาคเหนือของ ประเทศไทย และจากเชียงรายก็จะโยงเข้าสู่โครงข่ายรางรถไฟของไทยได้ เส้นทางคุนหมิง-เชียงรายสายนี้เมื่อบวกเข้ากับอีกเส้นหนึ่งที่ปัจจุบันกำลัง อยู่ระหว่างการสำรวจวางแนวทางในประเทศลาว ก็จะทำให้สามารถขนส่งสินค้าด้วยรางรถไฟระหว่างจีน, กัมพูชา, พม่า, ไทย, ลาว, มาเลเซีย, และสิงคโปร์

    หวัง เมิ่งซู (Wang Mengshu) นักวิชาการของบัณฑิตยสถานทางวิศวกรรมศาสตร์แห่งประเทศจีน (Chinese Academy of Engineering) ได้กล่าวกับสื่อมวลชนจีนในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า “คณะผู้แทนที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงการรถไฟ (Ministry of Railroads) ได้ไปเยือน (พม่า) และลาวในกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อดำเนินการสำรวจ และทันทีที่มีการกำหนดแนวเส้นทางรถไฟระหว่างจีน-พม่าแล้ว การก่อสร้างก็สามารถเริ่มต้นได้อย่างเร็วที่สุดคือภายในเวลา 2 เดือน โดยที่เส้นทางสายนี้น่าที่จะกลายเป็นเส้นทางขนส่งสายหลักที่ทำให้จีนเชื่อม ต่อด้วยทางรถไฟกับประเทศทั้งหลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

    นอกเหนือจากพวกเส้นทางรถไฟซึ่งออกมาจากเมืองคุนมิงดังกล่าวมาข้างต้น แล้ว ยังมีแผนการทำทางรถไฟเพิ่มเติมอีก 2 เส้นที่จะโยงภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเข้ากับโครงข่ายรางรถไฟของพม่า โดยเป็นเส้นทางจากเมืองตาหลี่ ของจีน ไปยังเมืองมีตจีนา (Myitkyina) และเมืองลาเฉียว (Lashio) ของพม่า เมืองทั้ง 2 แห่งนี้ของพม่าต่างก็เป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่และเป็นปลายทางของทางรถไฟ

    ไม่เฉพาะแต่เรื่องเส้นทางรางรถไฟผ่านพม่า แดนมังกรยังกำลังให้ความช่วยเหลือเพื่อยกระดับอุปกรณ์เครื่องจักรเครื่องมือ เกี่ยวกับรถไฟของแดนหม่องให้ทันสมัยยิ่งขึ้นด้วย เป็นต้นว่า ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ปักกิ่งได้บริจาคหัวรถจักร 30 หัวจากกรมการขนส่งทางรถไฟของจีน เพื่อเป็น “ของขวัญแห่งมิตรภาพ” ให้แก่พม่า ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักข่าวซินหวาของทางการจีน

    เมื่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ เส้นทางรถไฟใหม่ๆ เหล่านี้ก็จะยิ่งกระชับสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่จีนมีอยู่กับพม่าให้ แข็งแกร่งขึ้นอีกมาก อีกทั้งยังจะร่วมส่วนในการบูรณาการเศรษฐกิจของภูมิภาคแถบนี้ด้วย ประเทศจีนเองก็กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินโครงการที่ประมาณการกันว่ามี มูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อขยายระบบทางรถไฟภายในประเทศ จากที่มีระยะทางรวมทั้งสิ้น 78,000 กิโลเมตรในปัจจุบัน ให้เป็น 110,000 กิโลเมตรภายในปี 2012 และเป็น 120,000 กิโลเมตรภายในปี 2020 โครงการอันมหึมานี้ยังตั้งจุดมุ่งหมายเอาไว้ว่า จะต้องทำให้เมืองใหญ่เมืองสำคัญทั้งหมดในแดนมังกรสามารถติดต่อเชื่อมโยงกัน ด้วยทางรถไฟความเร็วสูง (high-speed line) ซึ่งสามารถรองรับขบวนรถไฟที่แล่นด้วยความเร็วเกินกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมก็จะเห็นได้ว่า พม่าอยู่ในฐานะที่ทรงความสำคัญเป็นพิเศษในแผนการอันใหญ่โตมโหฬารของปักกิ่ง ที่จะก่อสร้างโครงข่ายทางรถไฟความเร็วสูงซึ่งเชื่อมโยงจีนเข้ากับบรรดาชาติ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียใต้, ตะวันออกกลาง, และยุโรป อันที่จริงหลายๆ ส่วนของโครงข่ายนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ผ่านประเทศพม่านั้น สอดคล้องต้องกันกับแผนการริเริ่มจัดทำเส้นทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย (Trans-Asian Railway initiative) รวมระยะทางทั้งสิ้นราว 14,000 กิโลเมตร ซึ่งสำนักงานคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ สำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific ใช้อักษรย่อว่า UNESCAP หรือย่อกันยิ่งกว่านั้นว่า ESCAP) ได้เสนอกันขึ้นมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ถ้าหากเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามแผนการได้เมื่อใด มันก็จะกลายเป็นโครงการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใน ประวัติศาสตร์ทีเดียว

    เส้นทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย จะมีแนวเส้นทางอย่างไรแน่ๆ เวลานี้ยังคงไม่เป็นที่กระจ่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้นว่าโครงข่ายนี้จะต้องไปตามทิศทางใหญ่ๆ รวม 3 ทิศทาง กล่าวคือ แนวเส้นทางสายเหนือจะแผ่ขยายผ่านมองโกเลีย, คาซัคสถาน, รัสเซีย, ยูเครน และต่อออกไปเชื่อมโยงกับโครงข่ายทางรถไฟของยุโรป สำหรับแนวเส้นทางสายกลางจะผ่านพม่า, บังกลาเทศ, อินเดีย, ปากีสถาน, อิหร่าน, ไปจนถึงตุรกี ส่วนแนวเส้นทางสายใต้จะออกจากจีนไปจนถึงสิงคโปร์ โดยผ่านพม่า, ลาว, เวียดนาม, และไทย ในปัจจุบันจีนมีเส้นทางรถไฟที่สามารถเชื่อมต่อกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็คือผ่านไปทางเวียดนามเท่านั้น

    ไบรอัน แมคคาร์แทน เป็นนักหนังสือพิมพ์อิสระที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ สามารถติดต่อเขาได้ทางอีเมล์ที่ brianpm@comcast.net
    (อ่านต่อตอน 2 ซึ่งเป็นตอนจบ)

    Around the World - Manager Online -
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ความช่วยเหลือจาก‘จีน’ไหลทะลักท่วม‘กัมพูชา’

    โดย มารวาน มาแคน-มาร์คาร์ 18 มกราคม 2554 23:47 น.
    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์Asia Times Online :: Asian news hub providing the latest news and analysis from Asia)

    China aid floods Cambodia
    By Marwaan Macan-Markar
    11/01/2011

    ในบรรดาต่างชาติที่เข้ามาเป็นหุ้น ส่วนด้านการพัฒนากับกัมพูชา ประเทศจีนถือเป็นผู้ที่มาถึงค่อนข้างช้ากว่าเพื่อน อย่างไรก็ตาม เวลานี้ความช่วยเหลือจากแดนมังกร ซึ่งอยู่ในลักษณะที่ไม่มีเงื่อนไขข้อผูกมัดใดๆ กำลังไหลทะลักท่วมท้นกัมพูชา ทั้งนี้รวมทั้งเขื่อนใหญ่ 5 แห่งที่กำลังก่อสร้างกันอยู่ในประเทศที่ยากจนขาดไร้พลังงานแห่งนี้ สภาพการณ์เช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยผลดีให้แก่นายกรัฐมนตรีฮุนเซน อีกทั้งยังกำลังกลายเป็นการท้าทายการผูกขาดของพวกประเทศผู้บริจาคจากโลก ตะวันตก

    กรุงเทพฯ - เขื่อนแห่งใหม่ๆ ที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ในกัมพูชา กำลังกลายเป็นสิ่งรูปธรรมอันสำคัญยิ่ง สำหรับให้นายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ใช้โอ่อวดคุยโตว่า สายสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้กับประเทศจีน กำลังบ่ายหน้าไปยังทิศทางใด

    “เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำแห่งนี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในความสำเร็จจำนวนมาก ที่บังเกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือกันระหว่างกัมพูชากับจีน” นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ในพิธีการซึ่งจัดขึ้นในพื้นที่ของจังหวัดเกาะกง (Koh Kong) อันห่างไกล ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ และก็เป็นสถานที่ซึ่งกำลังมีการก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ รุสสีชุมกรอม (Russei Chrum Krom) ที่มีความสามารถในการผลิตกระแสไฟฟ้ในปริมาณ 338 เมกะวัตต์

    เขื่อนยักษ์มูลค่าประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯแห่งนี้ กำลังก่อสร้างโดยบริษัท หวาเตี้ยน คอร์ป (Huadian Corp) บริษัทรัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน และก็เป็นเขื่อนแห่งใหญ่ที่สุดในจำนวน 5 แห่งซึ่งแดนมังกรมุ่งที่จะสร้างขึ้นในกัมพูชาอันเป็นประเทศที่ยากจนขาดไร้ พลังงาน ทั้งนี้ในจำนวนประชากรร่วมๆ 14.5 ล้านคนของกัมพูชา ปัจจุบันมีเพียงประมาณหนึ่งในห้าเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงกระแสไฟฟ้าได้

    เวลานี้พวกบริษัทจีนกำลังดำเนินการศึกษาความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ ของเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำอีก 4 แห่งที่มีโครงการว่าจะก่อสร้างกัน ทั้งนี้จากการเปิดเผยของพวกนักเคลื่อนไหวอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ขณะที่เหล่านักเคลื่อนไหวระดับรากหญ้าต่างแสดงความวิตกกังวลด้วยความไม่ แน่ใจว่าโครงการไฟฟ้าพลังน้ำดังกล่าวเหล่านี้จะก่อให้เกิดอะไรขึ้นมาบ้างใน อนาคต

    “จีนกำลังแสดงบทบาทที่สำคัญมากๆ ในด้านการลงทุนและการพัฒนาในกัมพูชา ทว่าจีนก็ควรที่จะคำนึงถึงความสำคัญของ EIAs (environmental impact assessments การประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม) และ SIAs (social impact assessments การประเมินผลกระทบทางด้านสังคม) ด้วย”

    ชิต สัม อาต (Chhith Sam Ath) ผู้อำนวยการบริหารขององค์กร เวทีประสานงานเอ็นจีโอที่ทำงานเรื่องกัมพูชา (NGO Forum on Cambodia) กล่าวแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ในระหว่างที่ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากกรุง พนมเปญ อันเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานของเครือข่ายรากหญ้าเพื่อการประสานงานบรรดา องค์กรพัฒนาเอกชน (non-governmental organizations หรือ NGOs) ในท้องถิ่นแห่งนี้ของเขา “มีหลายครั้งหลายคราวที่กระบวนการประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ได้มีการเปิดให้สาธารณชนได้เข้าไปร่วมรับทราบ ตลอดจนแทบไม่มีเวลาที่จะให้สาธารณชนได้ออกความเห็นวิพากษ์วิจารณ์เอาเลย” อาต กล่าวกับสำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส (Inter Press Service ใช้อักษรย่อว่า IPS)

    พวกองค์กรล็อบบี้เพื่อสิ่งแวดล้อมระดับโลก เป็นต้นว่า องค์การแม่น้ำระหว่างประเทศ (International Rivers ใช้อักษรย่อว่า IR) ที่ตั้งฐานอยู่ในสหรัฐฯ ก็ได้ยืนยันว่า เขื่อนกำจาย (Kamchay) ซึ่งเป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่ง ชาติ จังหวัดกัมโป้ต (Kampot) แม้เริ่มดำเนินการก่อสร้างมาได้ 4 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีรายงานผลการศึกษาประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมฉบับสมบูรณ์ ออกมาเลย “เมื่อดูกันในเรื่องกระบวนการด้าน EIA แล้ว พวกบริษัทจีนเหล่านี้ไม่ได้คิดที่จะทำตามหลักปฏิบัติที่ถือกันว่าสมควร ดำเนินการกันเลย” นี่เป็นความเห็นของ เอมี แทรนเดม (Ame Trandem) นักรณรงค์เคลื่อนไหวประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขององค์การแม่น้ำระหว่าง ประเทศ “การเข้ามีส่วนร่วมของสาธารณชนอยู่ในสภาพจำกัดมากหรือกระทั่งไม่มีส่วนร่วม ใดๆ เลยด้วยซ้ำ ขณะที่พวกนักพัฒนาผู้ดำเนินโครงการก็ไม่ได้ขบคิดพิจารณาทางเลือกอื่นๆ เผื่อเอาไว้”

    เขื่อนกำจายนั้นตั้งอยู่ “ภายในเขตอุทยานแห่งชาติโบกอร์ (Bokor National Park) และจะทำให้เกิดน้ำท่วมพื้นที่ป่าสงวนถึงประมาณ 2,000 เฮกตาร์ (12,500 ไร่)” องค์การแม่น้ำระหว่างประเทศตั้งข้อสังเกตไว้ในรายงานการกศึกษาของตนที่ใช้ ชื่อเรื่องว่า “การพัฒนาด้านไฟฟ้าพลังน้ำของกัมพูชาและการพัวพันเกี่ยวข้องของจีน” (Cambodia's hydropower development and China's involvement)

    อย่างไรก็ตาม ฮุนเซนกลับกำลังพยายามที่จะไม่ปล่อยให้เหลือช่องเหลือที่ทางสำหรับการ วิพากษ์วิจารณ์จีน ดังที่พวกนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังพยายามหยิบยกขึ้นมา “มีการพัฒนาที่ไหนบ้างที่เกิดขึ้นมาโดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและไม่มี ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เลย กรุณาให้คำตอบที่ชัดๆ กับเราด้วย” บุรุษซึ่งเป็นผู้บริหารปกครองประเทศที่อยู่ในตำแหน่งมาอย่างยาวนานที่สุด ยิ่งกว่าใครๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวเช่นนี้ในระหว่างทำพิธีที่เขื่อนรุสสีชุมกรอม ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยมุ่งตอบโต้โจมตีกลับพวกกลุ่มสีเขียวทั้งหลาย

    ทางฝ่ายจีนที่เป็นผู้ออกทุนให้แก่โครงการพัฒนาต่างๆ ในกัมพูชานั้น เวลานี้มีบางรายเหมือนกันที่เริ่มเข้ามาติดต่อมีปฏิสัมพันธ์กับเหล่านัก เคลื่อนไหวในท้องถิ่น โดยที่นักเคลื่อนไหวเหล่านี้ต่างกังวลใจว่า กัมพูชาซึ่งยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวภายหลัง 2 ทศวรรษแห่งสงครามกลางเมืองและระบอบปกครองที่มุ่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมร แดง จะต้องจ่ายในราคาแพงลิ่วขนาดไหน จากการที่เจีนกำลังขยายอิทธิพลบารมีของตนในปัจจุบัน

    “ผมบอกกับคณะผู้แทนชาวจีนคณะหนึ่งเมื่อตอนประชุมหารือกันเดือนที่ แล้วว่า โครงการต่างๆ ที่ทางจีนเป็นผู้ดำเนินการนั้นแทบไม่มีการศึกษาประเมินผลกระทบทางด้านสิ่ง แวดล้อมกันเลย” เมียส นี (Meas Nee) นักวิจัยชาวกัมพูชาที่ทำงานวิจัยด้านการพัฒนาสังคม บอกกับสำนักข่าวไอพีเอส ในการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ “และแม้กระทั่งเมื่อมีการทำ EIA มันก็จะดูดีอยู่แค่บนกระดาษเท่านั้น มันมีข้อผิดพลาดมากมายเนื่องจากไม่เคยมีการทำกันอย่างถูกต้องเหมาะสม”

    “ท่านนายกฯ (ฮุนเซน) ยกย่องสรรเสริญความสนับสนุนของฝ่ายจีนเรื่อยมา และรัฐบาลก็นิยมชมชอบที่จะได้รับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากจีนมากกว่า เนื่องจากมันไม่ได้มีการตั้งเงื่อนไขข้อผูกมัดอะไร ไม่เหมือนกับความช่วยเหลือที่มาจากพวกผู้บริจาคชาติตะวันตก” นี กล่าวต่อ

    ประเทศจีนเป็นผู้ที่เข้ามาร่วมส่วนช่วยเหลือการพัฒนาของกัมพูชา ล่าช้ากว่าประเทศฝ่ายตะวันตกมาก และอันที่จริง ความสามารถของฮุนเซนในการอาศัยความสนับสนุนทางเศรษฐกิจจากแดนมังกรที่ทะลัก เข้ามาในระยะหลังๆ นี้ เพื่อทำการต่อรองพลิกแพลงกับพวกหุ้นส่วนการพัฒนาหน้าเดิมๆ จากโลกตะวันตก ก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า วิธีดำเนินการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาของสองฝ่ายนี้มีความแตกต่างกัน อย่างชนิดตรงกันข้ามกันเลย

    ก่อนหน้าปี 2006 อันเป็นเวลาที่จีนก้าวเข้ามาให้ความช่วยเหลือกัมพูชา วาระการช่วยเหลือและการพัฒนาในกัมพูชาถูกครอบงำบงการโดยพวกชาติตะวันตกซึ่ง ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของ “ฉันทามติวอชิงตัน” (Washington Consensus) ที่มุ่งส่งเสริมตลาดเสรี และมุ่งให้เกิดความนิยมฝักใฝ่โลกตะวันตก ชาติตะวันตกหล่านี้เข้ามาในประเทศที่เสียหายย่อยยับจากสงครามแห่งนี้ตั้งแต่ ตอนที่มีการทำข้อตกลงสันติภาพนานาชาติปี 1991 เพื่ช่วยเหลือการฟื้นฟูบูรณะกัมพูชา

    ในช่วงกลางปี 2010 พวกผู้บริจาคจากโลกตะวันตกได้ให้คำมั่นสัญญาแก่กัมพูชาว่าจะให้ความช่วย เหลือคิดเป็นมูลค่า 1,100 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมาจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ในระดับ 950 ล้านดอลลาร์

    การแสดงความใจกว้างเพิ่มขึ้นเช่นนี้ ยังคงบังเกิดขึ้นทั้งๆ ที่รัฐบาลกัมพูชายังไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานในด้านต่างๆ ที่พวกรัฐบาลชาติตะวันตกกำลังพยายามผลักดันวางกรอบ ไม่ว่าจะเป็นด้าน “ธรรมาภิบาล”, การมีกฎหมายที่ยุติธรรมขึ้นกว่าเดิม, การลดการทุจริตคอร์รัปชั่น, ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ด้วยความแข็งขันยิ่งขึ้น

    เหตุผลสำคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็คือจีน ทั้งนี้แดนมังกรได้ทำการลงทุนในกัมพูชาเพิ่มขึ้นมาก ดังเห็นได้ว่าการลงทุนของจีนอยู่ในระดับเพียงแค่ 45 ล้านดอลลาร์ในปี 2003 แต่ในเดือนธันวาคม 2009 จีนได้ลงนามข้อตกลงด้านการลงทุนในกัมพูชารวม 14 ฉบับซึ่งมีมูลค่ารวมกันถึง 850 ล้านดอลลาร์ ไม่เพียงเท่านั้น แดนมังกรยังกำลังท้าทายฐานะการเป็นผู้ผูกขาดให้ความช่วยเหลือกัมพูชาของฝ่าย ตะวันตก โดยที่จีนใช้วิธี “ติดต่อทำความตกลงโดยตรงกับพวกผู้มีอำนาจในการตัดสินใจทางการเมืองเท่านั้น” ทั้งนี้เป็นความเห็นของ ชาลมาลี กุตตัล (Shalmali Guttal) นักวิจัยอาวุโสขององค์การ โฟกัส ออน เดอะ โกลบอล เซาท์ (Focus on the Global South) หน่วยงานคลังสมองทางด้านการพัฒนา ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ

    จีนกำลังได้ฝ่ายได้เปรียบเหนือโลกตะวันตก จากการใช้วิธี “ไม่มีการตั้งเงื่อนไขข้อผูกมัดเชิงนโยบาย” กุตตัลกล่าว พร้อมกับชี้ด้วยว่าจีนยังไม่ได้เดินตามเส้นทางของพวกผู้บริจาคฝ่ายตะวันตก ซึ่งมุ่งผลักดันให้องค์กรเอ็นจีโอของกัมพูชาเข้ามาเป็นผู้ตรวจสอบติดตาม กระบวนการให้ความช่วยเหลือ

    สำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส

    Around the World - Manager Online -
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    “ประมูลมนุษย์” เทรนด์หางานยุคใหม่ของชาวจีน
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 มกราคม 2554 17:15 น.
    [​IMG]

    ในภาพอดีตทหารหญิง วัย 23 ปี ซึ่งได้รับการประมูลด้วยราคา 180,000 หยวน(ราว 814,000 บาท) (ภาพโกลบอล ไทม์)

    โกลบอล ไทม์ - อดีตทหารหญิงจีนได้รับการประมูลให้ทำงานบอดี้การ์ด นับเป็นเทรนด์หางานด้วยการ “ประมูลมนุษย์” กรณีแรกของจีน

    เจ้า เสี่ยวไค ผู้จัดการทั่วไปแห่งบริษัทประมูล Calsky International Auction Co. เผยกับโกลบอล ไทม์วันพุธ(19 ม.ค.) ว่า "การประมูลบุคคลผู้มีความสามารถครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมเสนอตัวจำนวน 2 คน คือ เสี่ยว เม่ย(นามสมมติ) อดีตทหารหญิง วัย 23 ปี ที่ปลดประจำการจากกองทัพในปี 2549 ซึ่งเริ่มทำงานเป็นบอดี้การ์ดตั้งแต่ปี 2552 และเหอ หยัง ผู้ประกอบอาชีพที่ปรึกษาทางธุรกิจ ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ “เจ้าแห่งความคิด” ที่ได้รับการตัดสินจำคุกเป็นเวลาหลายปี ในคดีฉ้อโกง"

    สำหรับผู้ชนะการประมูลเสี่ยว เม่ย คือ ชายที่สวมหมวกและใส่แว่นดำ ที่เสนอราคาประมูล 180,000 หยวน(ราว 814,000 บาท) โดยเธอจะได้ทำงานเป็นบอดี้การ์ด ด้วยสัญญาระยะเวลา 1 ปี พร้อมรับเงินเดือน 15,000 หยวน(ราว 68,000 บาท) ขณะที่ เหอ หยัง ได้รับการประมูลในราคา 1 ล้านหยวน และได้ทำงานเป็นผู้ออกแบบเว็บไซต์สำหรับจัดหาข้อมูลให้กับคนวัยเกษียณ

    เสี่ยว เม่ย เผยกับโกลบอล ไทม์ ว่า “ฉันรู้สึกกังวลใจอย่างมาก เนื่องจากไม่รู้ว่าจะต้องทำงานกับนายจ้างแบบไหน และจะสามารถเข้ากันได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม งานประมูลครั้งนี้ ก็ทำให้ฉันมีชื่อเสียงมากขึ้น”

    นายเจ้า กล่าวว่า “สำนัก อุตสาหกรรมและพาณิชย์เป่ยจิง และสมาคมผู้ประมูลจีน ได้อนุมัติการประมูลดังกล่าว ซึ่งผมคิดว่าเป็นหนทางในการจัดสรรทรัพยากรบุคคลอย่างสร้างสรรค์ และเป็นเทคนิคการหางานอีกรูปแบบหนึ่ง”

    พร้อมเผยว่า “การประมูลซื้อผู้ที่มีความสามารถ เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง และคนวัยหนุ่มสาวจำนวนมากต้องการหางานผ่านการประมูล นอกจากนี้ จะมีการเปิดประมูลบุคคลผู้มีความสามารถพิเศษเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเทศกาลตรุษจีน โดยคราวนี้จะเปิดประมูลบัณฑิตจบใหม่ ทหารปลดประจำการชาย และพี่เลี้ยงเด็ก”

    อนึ่ง ก่อนหน้านี้ บริษัทประมูลฯ ได้เคยประมูลรายการพิสดารต่างๆ อาทิ ประมูลทานอาหารกลางวันในราคา 200,000 หยวน (ราว 900,000 บาท) กับดีเอโก้ มาราโดน่า นักฟุตบอลระดับตำนานของทีมชาติอาเจนตินา และนั่งรถเล่นกับมิเชล ชู มัคเกอร์ นักแข่งรถฟอร์มูล่าวัน ในราคา230,000 หยวน(ราว 1,040,000 บาท)

    China - Manager Online -
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จีน-ไต้หวัน แลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิทยาศาสตร์
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 มกราคม 2554 16:06 น.[​IMG]

    แฟ้มภาพ – นายเฉิน หยุนหลิน (ขวา) ประธานสมาคมเพื่อความร่วมมือข้ามช่องแคบไต้หวันของจีน (ARATS) จับมือกับนายเจียง ปิ่งคุง ประธานคณะผู้แทนมูลนิธิการแลกเปลี่ยนข้ามช่องแคบไต้หวัน (SEF) ระหว่างการประชุมเพื่อลงนามข้อตกลงECFA ที่มหานครฉงชิ่งเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2553 – รอยเตอร์

    เอเอฟพี - ไต้หวันเผย (20 ม.ค.) องค์กรด้านวิทยาศาสตร์แนวหน้าของจีนและไต้หวันตกลงพบปะกันปีละครั้ง เพื่อสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยน-ร่วมมือระหว่างนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์

    สภาวิทยาศาสตร์แห่งไต้หวันกล่าวว่า “นักวิจัยของตนได้พบปะกับนักวิจัยจากสำนักวิทยาศาสตร์ของจีน ในงานประชุมที่ปักกิ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา” พร้อมเสริมว่า “การประชุมได้กลายเป็นการประชุมประจำปีไปแล้ว”

    สภาวิทยาศาสตร์ไต้หวัน ออกแถลงการณ์ว่า “ภายใต้ข้อตกลงฯ ทั้งสองฝ่ายมีแรงบันดาลใจที่จะร่วมมือวิจัยแลกเปลี่ยนเรื่องแผ่นดินไหววิทยา อุตุนิยมวิทยา การประหยัดพลังงาน แหล่งพลังงานใหม่และด้านเกษตรกรรม”

    ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงตั้งกองทุน โดยนำงบประมาณมาวิจัยโครงการที่สนใจร่วมกัน และนักวิทยาศาสตร์จะร่วมแบ่งปันข้อมูลและทรัพยากรในการวิจัยด้วย

    ทั้งนี้ข้อตกลงฯ ออกมาหลังจากตัวแทนระดับสูงของทั้งสองฝ่ายพบปะในกรุงไทเป เมื่อเดือนที่ผ่านมา ในการเจรจารอบที่ 6 นับแต่แผ่นดินใหญ่และไต้หวันเริ่มเจรจาอย่างเป็นทางการในปี 2551

    โดยก่อนหน้า (มิ.ย. 2553) จีนและไต้หวันได้ลงนามในข้อตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (ECFA) ซึ่งนับว่าบรรลุจุดสูงสุดของนโยบายเป็นมิตรกับจีนของประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว

    ทั้งนี้ความสัมพันธ์จีน-ไต้หวันพัฒนาขึ้นหลังจากหม่า อิงจิ่วเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2551 ซึ่งมีการฟื้นสัมพันธ์ในระดับสูง โดยร่วมเจรจาและปรับฟื้นมาตรการทางการค้าและการท่องเที่ยว

    China - Manager Online -
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลูกเล่นที่ทำให้สอบผ่าน 'ขอโทษ ผมไม่ได้ยินคำถาม'

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 22 มกราคม 2554 01:00
    กาแฟดำ
    ครั้งแรกที่ผมได้ข่าวว่า ประธานาธิบดีหู จิ่น เทา จะยืนตอบคำถามนักข่าว ที่ทำเนียบขาวเคียงคู่กับประธานาธิบดีบารัก โอบามา
    ก็ต้องยอมรับตื่นเต้นพอสมควร
    เพราะต้องถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผู้นำจีนพร้อมจะเผชิญกับคำถามดุๆ ของนักข่าวฝรั่งที่ไม่กลัวจะถูก "สันติบาลจีน" จดชื่อเสียงเรียงนามของคนที่จงใจตั้งคำถามที่ผู้นำไม่อยากจะตอบ
    แต่ หู จิ่น เทา ก็แสดงความกล้าหาญชาญชัย เพื่อยืนยันว่าพร้อมจะตอบคำถามทุกคำถาม
    แต่ก็เกิดเรื่องขลุกขลักจนเกือบเป็นเรื่องขึ้นมาได้ เพราะพอนักข่าวถามเรื่อง "สิทธิมนุษยชนในจีน" (ที่คาดไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องถูกหยิบยกขึ้นมาแน่) ท่านผู้นำจีน ก็ทำเฉย ไม่ตอบ...มีแต่โอบามา ที่ให้ความเห็นทำนองว่าเป็นประเด็นที่จีนกับอเมริกาเห็นต่างกันได้
    นักข่าวไม่ยอมให้ผ่านไปเฉยๆ...ถามย้ำว่าทำไมท่านประธานาธิบดี หู จิ่น เทา ไม่ตอบคำถามนี้ หรือจงใจจะเลี่ยงไม่ตอบ?
    ผมเฝ้าดูการถ่ายทอดสดอยู่ก็บอกตัวเองว่า "เสร็จแน่ ท่านหู"
    ไม่กี่วินาทีต่อมา ท่านผู้นำจีนก็ตอบด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังว่า
    "ขอชี้แจงหน่อย ผมไม่ได้ยินคำถามเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน เพราะปัญหาเทคนิคและการแปล ผมเข้าใจว่าท่านถามเรื่องนี้กับท่านประธานาธิบดีโอบามา เท่านั้น..."
    หลังจากตั้งหลักได้ หู จิ่น เทา ก็บรรเลงต่อว่า "เมื่อท่านได้ตั้งคำถามนี้ และตอนนี้ผมได้ฟังคำถามอย่างถูกต้องแล้ว แน่นอนครับว่าผมย่อมอยู่ฐานะที่จะตอบคำถามนั้นได้..."
    แปลว่า "ผมไม่ได้หลบเลี่ยงไม่ตอบคำถามคุณนะครับ" อะไรทำนองนั้น
    ซึ่งก็ไม่ควรจะแปลกใจ เพราะถ้า หู จิ่น เทา ตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับสื่อมะกันที่ทำเนียบขาวในการเยือนอเมริกาครั้งนี้ แกก็จะต้องเตรียมตัวมาพร้อมสรรพ
    และแน่นอนว่าทีมงานของผู้นำจีนจะต้องตระเตรียมคำถามที่ดุๆ และสร้างความกระอักกระอ่วนใจกับประธานาธิบดีจีนได้...พร้อมเสนอว่าจะต้องตอบ อย่างไรเพื่อไม่ได้ "ตายคาไมค์"
    คำตอบของ หู จิ่น เทา ค่อนข้างน่าสนใจ ไม่ใช่แค่ตอกย้ำจุดยืนเดิมๆ ว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนของจีนเป็นเรื่องภายใน ต่างชาติไม่ควรจะมาก้าวก่าย
    แต่ครั้งนี้ แกยอมรับว่า "เรายังต้องทำอะไรอีกมากในด้านสิทธิมนุษยชน..."
    แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะยืนยันว่าจีนได้ทำอะไรมากมาย และ "มีความก้าวหน้าอย่างยิ่ง" ในด้านนี้
    นักข่าวจีนคนหนึ่งลุกขึ้นมาต่อว่าต่อขานล่ามจีนที่แปลภาษาอังกฤษและจีนว่า "ขอให้ช่วยแปลสองคำถามของผมอย่างถูกต้องแม่นยำด้วย"
    รูปแบบการให้สัมภาษณ์ร่วมอย่างนี้ ถ้าหากต้องมีล่ามแปลประโยคต่อประโยค (อย่างที่ฝ่ายจีนขอร้อง) ก็จะมีช่วงจังหวะที่ทั้งสองผู้นำยืนเก้งก้าง ทำอะไรไม่ถูก ขณะที่รอให้ล่ามแปลให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
    แต่ประโยชน์สำหรับนักการเมืองในการใช้ระบบนี้ก็คือว่า มีเวลาช่วงรอการแปลนี้คิดหาคำตอบต่อคำถามที่ไม่อยากจะตอบ... หรือมีเวลาหันไปมองบรรยากาศรอบๆ ขณะที่นักข่าวต้องตั้งหน้าตั้งตาจด และบันทึกคำตอบของทั้งสองผู้นำ
    สรุปตอนท้ายของการสัมภาษณ์คู่แล้ว โอบามา "จ๋อง" กว่าที่ผมคาดคิด เพราะแกไม่กล้าใช้คำดุเดือดไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน หรืออัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนอย่างที่เคยประกาศเอาไว้
    หู จิ่น เทา สอบผ่าน เพราะกล้ามายืนให้นักข่าวซัก (อย่างที่นักข่าวจีนไม่เคยมีโอกาสอย่างนี้มาก่อน)
    และตอนที่บอกว่า "ขอโทษครับ ผมไม่ได้ยินคำถามเพราะปัญหาเทคนิค"... ด้วยสีหน้านิ่งเฉย ผมถือว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ผู้นำจีนคนนี้เรียนรู้ "เทคนิค" การหลบเลี่ยงได้คล่องแคล่วอย่างคาดไม่ถึงทีเดียวเชียวครับ


     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    6 มหาอำนาจขบคิดต่อหลังเจรจานิวเคลียร์ “อิหร่าน” เหลวไม่เป็นท่า
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 มกราคม 2554 10:42 น.
    [​IMG]

    สะอีด ญาลิลี ผู้เจรจาด้านนิวเคลียร์จากอิหร่าน(คนกลาง) ระหว่างรอเริ่มการเจรจากับมหาอำนาจทั้ง 6 ในวันที่ 22 มกราคม ที่พระราชวังซิราแกน กรุงอิสตันบูล

    เอเอฟพี - ชาติมหาอำนาจทั้ง 6 ต้องกลับไปขบคิดว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป หลังการเจรจาเรื่องโครงการนิวเคลียร์กับอิหร่านไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าความล้มเหลวครั้งนี้อาจนำไปสู่การคว่ำบาตรที่รุนแรงยิ่ง ขึ้นจากสหรัฐฯ

    แคทเธอรีน แอชตัน หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป ให้สัมภาษณ์หลังสิ้นสุดการเจรจาที่กรุงอิสตันบูลวานนี้(22)ว่า ยังไม่มีการกำหนดวันเจรจารอบต่อไปกับอิหร่าน

    การเจรจาระหว่างอิหร่านและกลุ่ม พี5+1 ซึ่งได้แก่ อังกฤษ, จีน, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, สหรัฐฯ และ เยอรมนี ยังไม่สามารถคลี่คลายปัญหาหรือลดความหวั่นวิตกว่าอิหร่านจะลอบพัฒนาระเบิด นิวเคลียร์อย่างลับๆได้

    “สิ่งสำคัญก็คือ อิหร่านต้องแสดงให้เห็นว่าโครงการนิวเคลียร์ของตนเป็นไปในทางสันติ” แอชตัน กล่าว

    แอชตัน ระบุว่า มหาอำนาจทั้ง 5 และเยอรมนีเคยหวังว่า การเจรจาครั้งนี้จะช่วยให้ข้อเสนอสลับเชื้อเพลิงนิวเคลียร์กับอิหร่านคืบ หน้า และจะทำให้มาตรการตรวจสอบโดยทบวงการปรมาณูระหว่างประเทศ(IAEA)มีความโปร่งใส ยิ่งขึ้น

    อย่างไรก็ตาม “เป็นที่ชัดเจนว่าอิหร่านไม่พร้อมที่จะรับข้อเสนอเหล่านี้ เว้นแต่เราจะยอมรับเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมและการคว่ำ บาตร” แอชตัน แถลงในนามของมหาอำนาจทั้ง 5 และเยอรมนี

    รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ วิลเลียม เฮก ระบุว่า การที่อิหร่านปฏิเสธความร่วมมือถือว่า “น่าผิดหวังอย่างยิ่ง” ส่วน มิแชล แอลเลียต-มารี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส เปิดเผยว่า เงื่อนไขที่อิหร่านกำหนด ซึ่งรวมถึงการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร เป็นสาเหตุที่ทำให้การเจรจาล้มเหลว

    แอชตัน และนักการทูตอาวุโสคนหนึ่งของสหรัฐฯ กล่าวตรงกันว่า แม้การเจรจาจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะเปิดเจรจาได้อีกในอนาคต

    “มีสัญญาณให้เห็นว่าโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านก้าวไปได้ช้าลง ผมจึงคิดว่าเรายังมีเวลาพอสำหรับการเจรจาทางการทูต” เจ้าหน้าที่ทูตอาวุโสซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ ระบุ

    ความล่าช้าในการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านน่าจะเป็นผลมาจากหนอน คอมพิวเตอร์ “สตักซ์เน็ต” ที่อิสราเอลและสหรัฐฯใช้โจมตีระบบคอมพิวเตอร์ของอิหร่านเมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ตามรายงานจากหนังสือพิมพ์ นิวยอร์ก ไทม์ส

    อย่างไรก็ตาม อิหร่านยืนยันว่าไม่มีจุดประสงค์ที่จะพัฒนาอาวุธตามที่ถูกกล่าวหา และไวรัสดังกล่าวก็ไม่มีผลกระทบรุนแรงต่อโครงการนิวเคลียร์ของตน

    นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานว่า การเจรจาที่ล้มเหลวอาจทำประธานาธิบดี โอบามา เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน ซึ่งตรงกับความเห็นของ เซมิส อิดีส นักเขียนบทบรรณาธิการในหนังสือพิมพ์ มิลลิเยต ของตุรกี

    “ผมจะไม่แปลกใจเลยหากประเทศตะวันตกจะคว่ำบาตรอิหร่านมากยิ่งขึ้น เพื่อกดดันให้อิหร่านยอมประนีประนอม”

    Around the World - Manager Online - 6
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    บ.มะกันในจีนกังวล “มาตรการกีดกันทางการค้า”
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 มกราคม 2554 11:29 น.
    [​IMG]

    แฟ้มภาพ – ในปี 2551 สภาหอการค้าสหรัฐฯในจีนได้ออกสมุดปกขาว เพื่อขยายความร่วมมือในด้านการลงทุนในจีน (ภาพเอเยนซี) [​IMG]

    เอเอฟพี - สภาหอการค้ามะกัน เผยผลสำรวจ บริษัทมะกันในจีนกำลังกังวลเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าของจีน

    สภาหอการค้าอเมริกันแห่ง เซี่ยงไฮ้ เผยว่า “จากการสำรวจบริษัทมะกันในจีน พบว่า กว่าครึ่งเชื่อว่ารัฐบาลจีนสนับสนุนบริษัทจีนมากกว่าบริษัทต่างชาติ ขณะที่เกือบทั้งหมดคิดว่ากฎหมายที่เสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนยังไม่ผ่านการ อนุมัติตั้งแต่ปีที่แล้ว”

    ก่อนหน้านี้ สภาหอการค้าอเมริกาและยุโรปสำรวจพบว่า บริษัทต่างชาติกำลังไม่พอใจกับสิ่งที่เขาได้รับการปฏิบัติในจีน

    กว่าร้อยละ 70 ของบริษัทมะกันจำนวน 346 แห่งในจีนที่ตอบแบบสำรวจเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ชี้ว่า “การบังคับใช้กฏหมายลิขสิทธิ์ทางปัญญาในจีนยังคงคาราคาซัง และเสื่อมทรามลงเรื่อย ๆ ” ซึ่งเทียบกับปี 2552 ตัวเลขความไม่พอใจของบริษัทต่างชาติอยู่ที่เพียงร้อยละ 61 เท่านั้น

    บริษัทสหรัฐฯ กำลังกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าในจีน ที่ทำให้ศักยภาพในการเข้าถึงตลาดเป็นไปได้ยากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม แม้มีกระแสความไม่พอใจ แต่ทว่าเกือบร้อยละ 80 ของบริษัทต่างชาติในจีน ก็กล่าวว่า พวกเขาต่างก็ได้กำไรงามในปี 2553 ซึ่งเทียบกับปี 2552 กลุ่มบริษัทที่ทำกำไร มีสัดส่วนร้อยละ 65 เท่านั้น ซึ่งก็ชี้ให้เห็นความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีนที่ก้าวแซงญี่ปุ่นขึ้นเป็น มหาอำนาจทางเศรษฐกิจลำดับสองของโลก

    บริษัทมะกันยังกล่าวว่า พวกเขามั่นใจเกี่ยวกับอนาคตและโอกาสในความก้าวหน้าทางธุรกิจในจีน ซึ่งมองในแง่ดีจากตัวเลขการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศที่สูงถึง 105,700 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา (2553)

    ก่อนที่ประธานาธิบดีหู จิ่นเทาของจีนจะเยือนสหรัฐฯอย่างเป็นทางการ จีนประสบปัญหาด้านการเข้าถึงตลาด ซึ่งหูก็ให้คำมั่นว่า จีนจะเปิดช่องทางและอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนให้มากขึ้น

    จากการให้สัมภาษณ์แก่วอชิงตัน โพสต์และวอลสตรีท เจอร์นัล หู จิ่นเทากล่าวว่า “จีนจะประกาศกฎหมายฯ ให้ทันกับความกังวลของบริษัทต่างชาติ พร้อมด้วยกฎหมายและนโยบายที่สร้างบรรยากาศการลงทุนในจีนให้มีเสถียรภาพและ ความโปร่งใส”

    China - Manager Online -
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เลื่อนใช้ดีเซลเกรดเดียวไม่มีกำหนด "พลังงาน" ชี้ บี100 แพงกว่าดีเซลเท่าตัว
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 มกราคม 2554 09:28 น.
    "พลังงาน" เลื่อนประกาศใช้ดีเซลเกรดเดียว ไม่มีกำหนด หลังราคาน้ำมันปาล์มยังพุ่งไม่หยุด หวั่นแย่งน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภค ลั่นหากไม่สามารถประกาศได้ในปีนี้ ก็คงไม่เป็นไร แต่จะไม่มีนโยบายนำเข้าเพื่อผลิตไบโอดีเซล ระบุ บี100 ปรับไปกว่า 50 บาทต่อลิตรแล้ว แพงกว่าเนื้อดีเซลเกือบเท่าตัว พร้อมยอมรับ ไม่เคยคิดว่าปาล์มจะแพงขนาดนี้

    นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ปัญหาน้ำมันปาล์ม โดยยืนยันว่า กระทรวงได้ติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิด หากพบว่า น้ำมันปาล์มยังมีราคาแพงและขาดแคลน สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น กระทรวงก็จะยังไม่ประกาศบังคับใช้ดีเซลเกรดเดียวในไทย จากเดิมที่มีนโยบายบังคับใช้ดีเซลเกรดเดียวในวันที่ 1 มกราคม 2554

    นายแพทย์วรรณรัตน์ กล่าวเสริมว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงในตอนนี้ คือ หากกระทรวงประกาศใช้ดีเซลเกรดเดียว ตามนโยบายที่กำหนดไว้เดิม อาจจะแย่งปาล์มน้ำมันสำหรับการบริโภค ซึ่งหากไม่สามารถประกาศได้ในปีนี้ ก็คงไม่เป็นไร แต่จะไม่มีนโยบายนำเข้าน้ำมันปาล์มเพื่อผลิตไบโอดีเซล จะรอจนกว่าปัญหาปาล์มน้ำมันดีขึ้นจนเข้าสู่ภาวะปกติ

    อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานกำลังติดตามสถานการณ์ราคาปาล์มแพงและขาดแคลนอย่างใกล้ชิด และไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ราคาปาล์มจะสูงขนาดนี้ โดยล่าสุดผลปาล์มดิบราคาสูงกว่า 8 บาทต่อกิโลกรัม และน้ำมัน บี100 ปรับไปกว่า 50 บาทต่อลิตรแล้ว แพงกว่าเนื้อดีเซลเกือบเท่าตัว

    Business - Manager Online -
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คาดราคายางพาราพุ่งแตะ 200 บาท/กก. ห่วงถุงยางพุ่งตาม-ลามปัญหาสังคม
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 มกราคม 2554 13:25 น.
    สวนยางใต้เฮถ้วนหน้า ราคายางดิบทะลุ กก.ละ 162 บาท รมว.เกษตรฯ ชี้ ต้นเหตุเกิดจากอุปทานมีน้อยกว่าความต้องการ สกย.คาดแนวโน้มแตะ กก.ละ 200 บาท จับตาถุงยางอนามัย ราคาพุ่งตาม ผวาลามคุมกำเนิด-โรคเอดส์แพร่ได้ง่ายขึ้น

    นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ด้านราคาของยางพาราที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ โดยระบุว่า ในสัปดาห์นี้ราคายางยังคงปรับตัวสูงขึ้นในทุกตลาด เนื่องจากมีผลผลิตยางออกสู่ตลาดน้อย จากการที่ยังคงมีฝนตกชุกในแหล่งผลิตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความต้องการซื้อสูง เนื่องจากผู้ประกอบการในประเทศเร่งซื้อยางเพื่อรอการผลิต หลังจากเปิดโรงงานในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว และผู้ส่งออกเร่งซื้อยางเก็บเข้าสต็อกเพื่อรอส่งมอบตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

    โดยราคาซื้อขายล่วงหน้าตลาดสิงคโปร์เฉลี่ยกิโลกรัมละ 161.73 บาทสูงขึ้นจาก 153.95 บาท ในสัปดาห์ที่แล้ว หรือสูงขึ้น 3.79% ขณะที่ราคายางแผ่นดิบที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ อยู่ที่กิโลกรัมละ 144.06 บาท สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมากิโลกรัมละ 8.24 บาท

    สำหรับการประมูลซื้อขายยางพาราที่ตลาดกลางยางพาราทั้ง 3 แห่งในภาคใต้ พบว่าทำสถิติราคาใหม่ขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ โดยช่วง 3 สัปดาห์ หลังปีใหม่ ปรับตัวขึ้นไปแล้ว 21.98 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) โดยที่ตลาดกลางสุราษฎร์ธานี ราคายางแผ่นดิบได้สูงสุดในภาคใต้ กิโลกรัมละ 162.85 บาท ส่วนที่ตลาดกลางนครศรีธรรมราชราคากิโลกรัมละ 162.69 บาท และตลาดกลาง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ราคากิโลกรัมละ 161.66 บาท

    นายพิริยะ เอกวาณิช รองผู้อำนวยการ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) กล่าวว่า ขณะนี้ราคายางพาราอยู่ในระดับที่สูง ล่าสุด ราคายางแผ่นดิบพุ่งทะลุ 161 บาท เป็น 162 บาทต่อกิโลกรัมไปแล้ว และคาดว่าจะปรับสูงอีกต่อเนื่อง เนื่องจากตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายนนี้ ผลผลิตยางจะออกสู่ตลาดน้อยลง เพราะเข้าสู่ฤดูการผลัดใบ โดยจะเริ่มจากภาคตะวันออก ไปภาคใต้ตอนบน ภาคใต้ตอนล่างทั้งนี้ จากที่หลายฝ่ายคาดการณ์มีแนวโน้มว่าราคายางแผ่นดิบจะพุ่งทะลุ 200 บาทต่อกิโลกรัม ในเร็วๆ นี้

    นายสมมาตร แสงประดับ หัวหน้ากลุ่มวิจัยเสถียรภาพราคายาง สำนักงานตลาดกลางยางพาราสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ระยะนี้มีเกษตรกรนำยางมาขายประมาณวันละ 10 คันรถกระบะมูลค่าคันละ 200,000 บาท ส่งผลให้เงินหมุนเวียนรับซื้อยางของตลาดกลางที่มีอยู่วันละ 11 ล้านบาท ไม่เพียงพอยังขาดอีก 10 ล้านบาท จึงต้องให้ผู้ประมูลยางเร่งนำมาจ่ายให้ตลาด

    "ปีนี้ยางราคาสูงก่อนช่วงสงกรานต์ พอหน้าแล้งอาจจะสูงขึ้นกว่านี้อีก เพราะเป็นช่วงที่ยางผลัดใบประมาณเดือนพฤษภาคม น้ำยางจะออกน้อยลง ส่วนที่ทางภาคอีสาน ต้นยางขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 เซนติเมตร เกษตรกรเร่งกรีดกันแล้วทำให้ผลผลิตลดลง 40% แล้ว"

    **ถุงมือแพทย์-ถุงยางอนามัย ราคาพุ่ง

    สำหรับผลกระทบจากยางพาราที่มีราคาสูง ส่งผลให้ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากยางพารา อาทิ เช่น ที่นอนยางพารา ที่ใช้สำหรับสถานพยาบาล ต่างขยับขึ้นราคาแล้ว 20-30 % นอกจากนี้ ถุงมือแพทย์ จากที่เคยขายแบบกล่อง จำนวน 100 ชิ้น เคยขายอยู่ที่ราคา 120 บาท ก็ขยับขึ้นราคาเป็น 130 บาท และมีแนวโน้มว่าจะขึ้นราคาต่อไปอีก

    นอกจากนี้ สินค้าอีกหนึ่งรายการที่คาดว่าจะขึ้นราคาอย่างแน่นอนในเร็ว ๆ นี้ คือ ถุงยางอนามัย ที่ใช้สำหรับการคุมกำเนิดและป้องกันการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะการป้องกันโรคเอดส์ วันนี้ ยังมีสินค้าเก่าอยู่ในสต็อก ซึ่งขายกล่องละ 25-35 บาท 1 กล่องบรรจุ 3 ชิ้น ยังคงขายราคาเดิม แต่คาดการณ์ว่า หลังจากหมดสต๊อกเก่าสิ้นเดือนนี้ คงมีการปรับขึ้นราคาอย่างแน่นอน
    Business - Manager Online -
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แนะจับตากองทุนใหญ่เทขายทอง-หันเก็งกำไรหุ้นน้ำมัน ลุ้นแตะ100ดอลลาร์/บาเรล
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 มกราคม 2554 23:36 น.
    [​IMG]

    ส.ค้าทองคำ คาดแนวโน้มราคาทองผันผวนต่อเนื่องในสัปดาห์หน้า นักลงทุนต่างชาติเก็งแบงก์ชาติจีนปรับขึ้น ดบ.อีก 1.25% สวนทางเงินเฟ้อที่ปรับลดลง หวั่นบิดเบือนตัวเลข ศก. ทั้งยังตั้งสำรองเพิ่มอีก 0.5% แนะจับตากองทุนยักษ์เทขายทองคำหันไปซื้อหุ้นน้ำมัน โดยเก็งกว่าราคาน้ำมันโลกจะแตะ 100 ดอลลาร์

    นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำในตลาดต่างประเทศปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่กลางสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากนักลงทุนต่างชาติประเมินว่า ธนาคารกลางของจีนอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 1.25

    ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ต่างชาติตั้งข้อสังเกตุว่า การประบขึ้นดอกเบี้ยของจีน สวนทางกลับการประกาศตัวเลขดัชนีเงินเฟ้อทั่วไป ประจำเดือนธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา ที่ลดลงจากร้อยละ 5.1 เหลือร้อยละ 4.6 จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลจีนอาจบิดเบือนตัวเลขทางเศรษฐกิจ ประกอบกับจีนเพิ่มประกาศเพิ่มเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอีกร้อยละ 0.5 ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง

    ดังนั้น แนวโน้มราคาทองคำในสัปดาห์หน้า น่าจะยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง หลังจากนักลงทุนต่างชาติวิเคราะห์ว่า กองทุนเก็งกำไรขนาดใหญ่อาจทยอยเทขายทองคำ เพื่อกลับไปถือครองหุ้นน้ำมัน หลังประเมินว่าราคาน้ำมันไนเม็กซ์อาจปรับราคาสูงขึ้นถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาเรล ภายในสัปดาห์หน้า

    http://manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000009404
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลีกวนยูแนะมุสลิมในปท.ลด 'เคร่ง' ช่วยประสานผู้คนต่างเชื้อชาติ-ศาสนา
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>23 มกราคม 2554 21:02 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ลีกวนยู รัฐบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์
    เอเอฟพี - ลีกวนยู รัฐบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์และบิดาของนายกรัฐมนตรีแดนลอดช่องคนปัจจุบัน ออกมาเรียกร้องให้ชาวมุสลิมในท้องถิ่น “ลดความเคร่งครัดเข้มงวดในการปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลาม” เพื่อช่วยในเรื่องการบูรณาการประเทศให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พร้อมกันนั้นเขายังพูดตรงๆ ว่าชาติที่เป็นเกาะเล็กๆ ขนาดนครรัฐของเขายังถือว่าอยู่ในกระบวนการของการสร้างชาติ อีกทั้งพวกเพื่อนบ้านมุสลิมรายใหญ่กว่าก็แสดงตัวเป็นปรปักษ์

    สิงคโปร์ประกอบด้วยคนเชื้อชาติจีนเป็นส่วนใหญ่ โดยที่มีคนเชื้อชาติส่วนน้อยอื่นๆ ซึ่งที่สำคัญคือชาวมาเลย์ที่เป็นมุสลิม และชาวอินเดีย โดยที่ลีก็ได้เคยกล่าวย้ำอยู่เสมอถึงความสำคัญของการทำให้เกิดความประสานกลมกลืนระหว่างคนเชื้อชาติต่างๆ

    “ผมใครที่จะพูดในวันนี้ว่า เราสามารถที่จะบูรณาการทุกๆ ศาสนาและทุกๆ เชื้อชาติ ยกเว้นแต่อิสลาม” เขากล่าวเช่นนี้ในหนังสือเล่มใหม่สุดของเขาที่ใช้ชื่อว่า “Lee Kuan Yew: Hard Truths to Keep Singapore Going” (ลีกวนยู: ความจริงที่ยากแก่การรับฟังแต่เป็นสิ่งที่พยุงให้สิงคโปร์ก้าวหน้าต่อไป) หนังสือเล่มนี้เป็นการเรียบเรียงจากคำให้สัมภาษณ์พิเศษหลายๆ ครั้งที่เขาพูดกับนักหนังสือพิมพ์หลายต่อหลายคนจากหนังสือพิมพ์สเตรทส์ไทมส์ โดยที่ลีแสดงทัศนะอย่างตรงไปตรงมาตามสไตล์ ในเรื่องเกี่ยวกับสิงคโปร์ตลอดจนอนาคตของนครรัฐบาลแห่งนี้

    “ผมคิดว่าเรากำลังก้าวหน้าไปได้ดีมากจวบจนกระทั่งเกิดการทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็วของอิสลาม และถ้าคุณถามผมเกี่ยวกับสิ่งที่ผมสังเกตเห็นแล้วล่ะก้อ ชุมชนอื่นๆ มีการบูรณาการที่ง่ายดายกว่า - เพื่อนฝูง, การแต่งงานระหว่างกัน, และอื่นๆ ...” เขาชี้

    “ผมคิดว่าในทางสังคมแล้วชาวมุสลิมไม่ได้เป็นเป็นตัวการก่อให้เกิดความลำบากยุ่งยากใดๆ ขึ้นมาหรอก ทว่าพวกเขามีลักษณะที่โดดเด่นแตกต่างจากคนอื่นๆ และแยกตัวออกมาต่างหาก” ลีกล่าวต่อ พร้อมเรียกร้องชุมชนมุสลิมในสิงคโปร์ “ลดความเคร่งครัดเข้มงวดในการปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลาม”

    ระหว่างการเปิดตัวหนังสือเล่มนี้เมื่อวันศุกร์(21) ลีซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็น “นักประยุกต์นิยม” (pragmatist ผู้ที่คำนึงถึงผลในทางปฏิบัติมากกว่ายึดมั่นในลัทธิหลักการ) ได้กล่าวเตือนชาวสิงคโปร์ว่าอย่าได้นิ่งนอนใจมัวแต่พึงพอใจกับสภาพปัจจุบัน โดยเขาชี้ว่านครรัฐแห่งนี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการสร้างความเป็นชาติขึ้นมา

    ขณะที่ในหนังสือเล่มนี้ ลีเรียกสิงคโปร์ว่าเป็น “อาคาร 80 ชั้นซึ่งตั้งอยู่บนที่ลุ่มต่ำ” โดยที่ลีเตือนด้วยว่า แดนลอดช่องต้องคอยต่อสู้แข่งขันกับความเป็นปรปักษ์จากพวกประเทศเพื่อนบ้านมุสลิมที่ต่างก็มีขนาดใหญ่กว่าสิงคโปร์

    “เรามีเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรหรือ? โตๆ กันเสียทีเถอะ … มีแรงขับดันชนิดนี้อยู่นะ ที่ต้องการให้พวกเราล้มคว่ำลงเนื่องจากเรานั้นเป็นพวกผู้บุกรุก (เข้ามาอยู่อาศัยในดินแดนแถบนี้ซึ่งมีคนท้องถิ่นเดิมอยู่แล้ว)” เขากล่าว พร้อมกับยกเรื่องที่มีการกล่าวหากันว่า มาเลเซียและอินโดนีเซียต่างพยายามที่จะบ่อนทำลายธุรกิจทางด้านท่าเรือของสิงคโปร์ ทั้งนี้ธุรกิจด้านนี้มีความสำคัญระดับเป็นตายของแดนลอดช่องทีเดียว

    สิงคโปร์เคยรวมอยู่ในสหพันธรัฐมาเลซีย ตอนที่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ ทว่าได้ถูกขับออกจากสหพันธ์ในปี 1965 โดยเหตุผลสำคัญสืบเนื่องจากทางกรุงกัวลาลัมเปอร์เดินหน้านโยบายที่ให้สิทธิพิเศษต่างๆ แก่ชาวมาเลย์

    ในส่วนที่เกี่ยวกับการเมืองภายในสิงคโปร์นั้น ลีบอกว่าพรรคพีเพิลส์ แอคชั่น ปาร์ตี้ (People's Action Party ใช้อักษรย่อว่า PPP) ซึ่งเขาร่วมก่อตั้งและครองอำนาจในสิงคโปร์ตลอดมาตั้งแต่ที่เกาะแห่งนี้ได้รับสิทธิปกครองตนเองจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษในปี 1959 นั้น สักวันหนึ่งข้างหน้าก็จะต้องสูญเสียอำนาจของตนไป

    “มันจะต้องมาถึงสักวันหนึ่งเมื่อลงท้ายแล้วสาธารณชนจะบอกว่า ลองให้อีกข้างหนึ่งมาเป็นผู้ปกครองบ้างเถอะ อาจจะเป็นเพราะ พีพีพี มีคุณภาพตกต่ำลง หรือไม่ก็ฝ่ายค้านสามารถสร้างทีมที่ทัดเทียมกับพีพีพี … วันเวลาดังกล่าวนี้จะต้องมาถึงแน่ๆ” เขาชี้ “ในอีก 10 ถึง 20 ปีข้างหน้า ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นหรอกนะ แต่หลังจากนั้นแล้ว ผมก็ไม่สามารถบอกได้หรอก”

    ลีเชื่อว่าชาวสิงคโปร์ยังไม่พร้อมที่จะให้มีนายกรัฐมนตรีซึ่งไม่ใช่คนเชื้อจีน ถึงแม้มีผลโพลรายหนึ่งออกมาเป็นตรงกันข้ามก็ตามที

    “ผลโพลเจ้าหนึ่งบอกว่า 90% ของชาวสิงคโปร์ที่เป็นคนเชื้อจีนบอกว่า พวกเขาพร้อมจะเลือกผู้ที่ไม่ใช่คนจีนมาเป็นนายกฯ ครับ นี่เป็นอุดมคติ แต่คุณเชื่อโพลเหล่านี้หรือ? มันขยะชัดๆ พวกเขาต้องพูดอย่างนั้น เพราะต้องพูดในสิ่งที่ถือเป็นความเห็นทางการเมืองที่ถูกต้องเท่านั้นแหละ”

    เขายังปกป้องนโยบายส่งเสริมการแต่งงานระหว่างชาวสิงคโปร์ที่มีการศึกษาสูงๆ อันเป็นนโยบายที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการวางแผนและควบคุมสังคม นอกจากนั้นเขายังปฏิเสธไม่ยอมรับแนวความคิดเรื่องรักแรกพบ

    “ประชาชนได้รับการศึกษา พวกคนที่เฉียบแหลมผงาดขึ้นมา พวกเขาแต่งงานกับคู่ครองที่มีการศึกษาดีทัดเทียมกัน ผลก็คือลูกๆ ของพวกเขาก็น่าที่จะฉลาดกว่าลูกๆ ของพวกที่กำลังมีอาชีพเป็นคนสวน” เขากล่าวแก้

    “มันเป็นความเป็นจริงของชีวิต คุณได้ม้าตัวเมียชั้นดีมา คุณย่อมไม่ต้องการให้ม้าตัวผู้งี่เง่ามาผสมกับม้าตัวเมียชั้นดีของคุณหรอก เพราะคุณจะได้ลูกม้าที่แย่ๆ”

    คนที่ “หลงเสน่ห์เนื่องจากบุคลิกลักษณภภายนอก” ในที่สุดแล้วก็อาจจะต้องเสียใจที่หลงไปเช่นนั้น เขายืนกราน

    ลียังเปิดเผยว่า เขาได้บริจาครายได้ทั้งหมดของเขาให้แก่การกุศล รวมแล้วเป็นมูลค่า 13 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 312 ล้านบาท) นับแต่ที่เขาก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 1990 ภายหลังที่ครองเก้าอี้ตัวนี้มานาน 31 ปี

    หลังจากไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ลีก็ยังคงมีตำแหน่งอยู่ในคณะรัฐมนตรีชุดต่อๆ มา โดยในปัจจุบันที่ ลีเซียนลุง บุตรชายของเขาเป็นนายกฯนั้น ลีกวนยูเป็น “รัฐมนตรีผู้ชี้แนะ” (Minister Mentor) ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีของสิงคโปร์ขึ้นชื่อเรื่องมีเงินเดือนผลตอบแทนสูงที่สุดในโลก โดยแดนลอดช่องถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวง และเป็นเสน่ห์ดึงดูดคนมีความรู้ความสามารถจากภาคเอกชนให้มาเล่นการเมืองเป็นผู้บริหารประเทศ

    Around the World - Manager Online -
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ชาว'ตูนิเซีย'เดินขบวนขับไล่นายกฯ เหตุประท้วงยังรุนแรงตายแล้ว78ศพ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>23 มกราคม 2554 21:10 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    ประธานาธิบดี ฟูเอ็ด เมบาซา (ซ้าย) นายกรัฐมนตรีโมฮัมเหม็ด กานนูชี (ขวา)

    เอเอฟพี - แรงกดดันจากทั่วสารทิศกำลังถาโถมเข้าใส่นายกรัฐมนตรีของตูนิเซียหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกลุ่มผู้ประท้วงหลายพันคน ซึ่งบางส่วนมาจากกลุ่มสหภาพแรงงานของประเทศ ได้เดินขบวนขับไล่เขาผู้ซึ่งเคยสังกัดพรรคอาร์ซีดีของอดีตประธานาธิบดีจอมเผด็จการ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสความหวาดวิตกว่า การลุกฮือขึ้นก่อจลาจลเรียกร้องประชาธิปไตยในตูนิเซียจะเป็นชนวนให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดแบบเดียวกันนี้ในประเทศโลกอาหรับอื่นๆ ที่ยังปกครองในระบอบเผด็จการ ดังที่ปรากฏขึ้นแล้วในหลายประเทศ

    กลุ่มผู้ประท้วงชาวตูนิเซียจำนวนหลายพันคนซึ่งเรียกตนเองว่าเป็น “กองคาราวานแห่ง อิสรภาพ” และหลายร้อยคนในจำนวนนั้นมาจากสหภาพแรงงานตูนิเซีย (ยูจีทีที) ได้เดินขบวนขับไล่นายกรัฐมนตรีโมฮัมเหม็ด กานนูชี ให้ก้าวลงจากตำแหน่ง ที่กรุงตูนิสและเมืองอื่นๆ เมื่อวันเสาร์ (22) และวานนี้ (23) ทั้งนี้เพื่อหมายจะขุดรากถอนโคนระบอบเผด็จการเก่าภายใต้การบริหารของพรรคอาร์ซีดี ของอดีตประธานาธิบดีซิเน เอล อาบิดีน เบน อาลี ผู้ครองอำนาจมานานกว่า 23 ปีและเพิ่งถูกโค่นล้มอำนาจไปไม่นานมานี้ การประท้วงขับไล่กานนูชี รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าตัวเขา และประธานาธิบดีรักษาการฟูเอ็ด เมบาซา รวมถึงสมาชิกพรรคอาร์ซีดีคนอื่นๆ ที่อยู่ในคณะรัฐบาลชุดสามัคคีจะประกาศลาออกจากสมาชิกพรรคไปเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้วก็ตาม

    สหภาพแรงงานตูนิเซีย หรือ ยูจีทีที ตามคำย่อในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวขับไล่ประธานาธิบดีเบน อาลี ก่อนหน้านี้ ปฏิเสธไม่ยอมรับรัฐบาลชุดใหม่ เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าถึงแม้บางคนในคณะรัฐบาลชุดดังกล่าวจะไม่มีสถานะความเป็นสมาชิกภาพของพรรคอาร์ซีดีแล้ว ทว่าก็ยังหลงเหลือภาพลักษณ์ของพวกเผด็จการเก่าอยู่ อีกทั้งยังไม่เชื่อด้วยว่าพวกเขากับอาร์ซีดีจะไม่เกี่ยวพันกันอีก

    “จุดมุ่งหมายของกองคาราวานนี้ก็เพื่อโค่นล้มรัฐบาลให้จงได้” ราเบีย ซลิเมน ครูจากเมนเซล บูซายน์ เมืองซึ่งเหยื่อรายแรกจากเหตุการณ์ความไม่สงบถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่รัฐเมื่อเดือนที่แล้ว กล่าว

    ขณะที่มีรายงานด้วยว่า กลุ่มผู้ประท้วงรัฐบาลอย่างสงบในกรุงตูนิส พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนที่ให้การสนับสนุนได้พยายามกีดขวางรถยนต์คันหนึ่งของประธานาธิบดีรักษาการ เมบาซา ด้วย

    ทั้งนี้กานนูชี เป็นนายกรัฐมนตรีของตูนิเซียตั้งแต่ปี 1999 และยังคงอยู่ในเก้าอี้แม้ว่าจะเกิดการจลาจลจนกระทั่งประธานาธิบดีเบน อาลี ต้องยอมเซ็นใบลาออกและลี้ภัยไปยังประเทศซาอุดีอาระเบียเมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากเบน อาลี ลาออก กานนูชี ก็ได้ให้สัญญาว่าจะก้าวลงจากตำแหน่งและยุติเส้นทางอาชีพนักการเมืองทันทีที่รัฐอาหรับแห่งนี้จัดการเลือกตั้งลุล่วงแล้ว ซึ่งการเลือกตั้งที่ว่านี้จะเป็นไปตามวิถีของระบอบประชาธิปไตยครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ตูนิเซียประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสในปี 1956

    ก่อนหน้านี้สถานการณ์ทำท่าว่าจะกระเตื้องขึ้นแล้ว เมื่อประธานาธิบดีเมบาซา ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรด้วย ได้รับปากกับประชาชนชาวตูนิเซียว่าจะล้มล้างระบอบเผด็จการเก่าให้สิ้นซาก ขณะที่รัฐบาลชุดสามัคคีประกาศว่านักโทษการเมืองจะได้รับการนิรโทษกรรมและปล่อยตัวเป็นอิสระ ตลอดจนพรรคการเมืองทั้งหมดจะสามารถลงแข่งขันในเวทีการเมืองตามวิถีของประชาธิปไตยอีกครั้ง ความเคลื่อนไหวดังกล่าว ส่งผลให้พรรคเอ็นนาห์ธา พรรคอิสลามที่ใหญ่ที่สุดของประเทศประกาศว่าจะลงทะเบียนจัดตั้งพรรคอย่างเป็นทางการและลงแข่งขันในการเลือกตั้งทั่วไปที่คาดว่ากำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้ ขณะที่ราเชด กานนูชี หัวหน้าพรรคดังกล่าวซึ่งถูกเนรเทศไปต่างแดนก็บอกว่าจะกลับมาตุภูมิโดยเร็วที่สุด

    อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ความไม่สงบก็ยังเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ เมื่อกลุ่มผู้ประท้วงยังคงปักหลักชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ขณะที่เจ้าหน้าที่ระบุว่า การประท้วงตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วทั้งสิ้น 78 ราย โดยกลุ่มผู้ประท้วงเหล่านี้ยังได้รับการสรรเสริญจากผู้นำศาสนาอิสลามในตูนิเซียด้วยว่า เป็น “ผู้สละชีพเพื่อการปฏิวัติ”

    ด้านฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีการต่างประเทศของสหรัฐฯ ออกมากล่าวแสดงความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตูนิเซีย ระบุว่า เธอหวังเป็นอย่างยิ่งให้นายกรัฐมนตรีกานนูชี เร่งปฏิรูประบบการเมืองในประเทศให้เป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว

    นอกจากนี้หลายประเทศยังหวั่นเกรงด้วยว่า การลุกฮือขึ้นก่อจลาจลขับไล่รัฐบาลเผด็จการในตูนิเซียคราวนี้ จะกลายเป็นการจุดชนวนสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดกระแสลอกเลียนแบบดังที่ปรากฏขึ้นแล้วในโลกอาหรับบางประเทศ เช่น ประเทศแอลจิเรีย, อียิปต์, โมร็อกโก และมอริเตเนีย

    ที่แอลจีเรีย กลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยได้ปะทะกับเจ้าหน้าที่ในเขตห้ามการชุมนุมในเมืองหลวงของแอลจีเรียเมื่อวันเสาร์ (22) ส่งผลให้ผู้ประท้วงได้รับบาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 42 ราย จากการเปิดเผยของซาอิด ซาดิ ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของแอลจีเรีย

    ขณะที่สำนักข่าวเอพีเอส รายงานว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจของแอลจีเรียบาดเจ็บจากการปะทะทั้งสิ้น 7 ราย โดยที่ 2 คนในนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส

    Around the World - Manager Online -
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นักข่าวเยเมนร้อง รบ.ปล่อยตัวผู้ชุมนุม หลังก่อเหตุประท้วงไล่ ปธน.
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>23 มกราคม 2554 20:56 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    การประท้วงของกลุ่มนักศึกษาเยเมน เพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดีอาลี อับดุลเลาะห์ ซาเลห์ลงจากตำแหน่ง นับเป็นกระแสการปฏิวัติอันมีจุดเริ่มมาจากตูนิเซีย

    เอเอฟพี - นักข่าวร่วม 200 คนเดินขบวนประท้วงกลางกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมนวันนี้ (23) เพื่อเรียกร้องให้ทางการปล่อยตัว สตรีนักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพสื่อมวลชน และผู้ประท้วงรายอื่นๆ ขณะเดียวกันมีพยานระบุว่า เกิดการปะทะกันระหว่างนักศึกษากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

    นักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นักสื่อสารมวลชนในเยเมนจำนวนประมาณ 200 คนได้เดินขบวนจากที่ทำการสหภาพแรงงานนักข่าวไปยังสำนักอัยการกลาง เพื่อเรียกร้องให้ทางการปล่อยบรรดาตัวผู้ถุกคุมขังจากการประท้วง

    ตอวาเกล การ์มัน สตรีนักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพของสื่อมวลชน เป็นที่รู้จักดีหลังเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ประท้วงเพื่อการปฏิวัติตูนิเซีย อีกทั้งเธอยังเป็นแกนนำเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเยเมน

    ตำรวจเยเมนจับกุมตัว การ์มัน ขณะเธอกำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมสามีในยามวิกาล ส่วนเหตุผลที่เธอถูกจับกุมยังไม่แน่ชัด โดยขณะนี้ ตอวาเกล การ์มัน ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลางในกรุงซานา เจ้าหน้าที่ความมั่นคงรายหนึ่งอธิบายเพียงว่า การจับกุมการ์มันเป็นไปตามหมายจับของอัยการ แต่เจ้าหน้าที่ผู้นี้ไม่ได้ชี้แจ้งเหตุผลรองรับการออกหมายจับดังกล่าวแต่อย่างใด

    “การควบคุมตัวการ์มันเป็นความผิดอาญา และขัดต่อหลักศีลธรรมอันดี” มูฮัมหมัด กอบาติ โฆษกของพรรคอิสลามิสต์ อัลอิสลาห์ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในเยเมนระบุในคำแถลงวันนี้ ทั้งนี้การ์มัน เป็นหนึ่งในคณะกรรมการกลาง ของพรรคอิสลามิสต์ อัลอิสลาห์ เธอได้ร่วมชุมนุมในกรุงซานา สนับสนุนการปฏิวัติในตูนิเซีย อันนำมาซึ่งการโค่นล้มอำนาจของประธานาธิบดีซิเน เอล อาบิดีน เบน อาลี ขณะนี้เบน อาลี ลี้ภัยไปยังซาอุดีอาระเบีย หลังจากครองตำแหน่งผู้นำตูนิเซียมา 23 ปี

    [​IMG]

    ตอวาเกล การ์มัน ผู้ถูกทางการเยเมนจับกุมตัว (แฟ้มภาพ)

    นอกจากนี้ยังเกิดการปะทะบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยซานาวันนี้ เมื่อตำรวจพยายามสลายการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เจ้าหน้าที่ความมั่นคงเยเมนจับกุมตัวนักศึกษาผู้ก่อเหตุประท้วงประมาณ 20 - 30 คน และการประท้วงก็ยุติไปโดยปริยาย

    ขณะเดียวกันช่างภาพของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม อัลอะราบียาก็ถูกควบคุมตัว เนื่องจากบันทึกภาพขณะเกิดการปะทะ รวมทั้งช่างภาพของสถานีข่าวอัลจาซีรา ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายในเหตุการณ์เดียวกัน

    เมื่อวานนี้ (22) นักศึกษาจำนวนหลายร้อยคนก่อเหตุประท้วง เพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดีอาลี อับดุลเลาะห์ ซาเลห์ ผู้นำเยเมนลงจากตำแหน่ง ทั้งนี้ประธานาธิบดีซาเลห์ครองอำนาจมายาวนานมาหลายสิบปี โดยเมื่อเดือนกันยายน 2006 อาลี อับดุลเลาะห์ ซาเลห์ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง และจะครองนั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศ ซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่งถึง 7 ปี

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเยเมนยังคงพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ อาลี อับดุลเลาะห์ ซาเลห์ สามารถครองอำนาจไปอีกยาวนาน โดยร่างแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการอภิปรายในสภา แม้มีการประท้วงจากฝ่ายค้านก็ตาม

    [​IMG]

    ประธานาธิบดีอาลี อับดุลเลาะห์ ซาเลห์ ผู้นำเยเมน (แฟ้มภาพ)

    Around the World - Manager Online -
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สิ้นโลก! หมู่เกาะ “เดอะเวิลด์” ของดูไบเงียบเหงา-น้ำกัดเซาะชายฝั่งจนเริ่มจมทะเล
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>23 มกราคม 2554 16:38 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=571 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพจำลองหมู่เกาะ "เดอะเวิลด์" ของดูไบ ซึ่งประกอบด้วยหมู่เกาะเล็กๆเรียงตัวกันคล้ายแผนที่โลก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เอเจนซี - จากอภิมหาโครงการที่ชี้ให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในดูไบ เศรษฐกิจโลกที่ซบเซาวันนี้กลับทำให้หมู่เกาะฝีมือมนุษย์อย่าง “เดอะเวิลด์” กลายเป็นเหมือนโลกที่ใกล้แตกดับเต็มทน
    เอเจนซี - จากอภิมหาโครงการที่ชี้ให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในดูไบ เศรษฐกิจโลกที่ซบเซาวันนี้กลับทำให้หมู่เกาะฝีมือมนุษย์อย่าง “เดอะเวิลด์” กลายเป็นเหมือนโลกที่ใกล้แตกดับเต็มทน

    ศาลดูไบได้รับฟังสัปดาห์นี้ว่า โครงการที่อยู่อาศัยซึ่งประกอบด้วยเกาะเล็กๆ เรียงตัวกันเป็นรูปทรงคล้ายแผนที่โลกกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เมื่อหลายเกาะกำลังจะจมลงสู่มหาสมุทร

    หมู่เกาะ “เดอะเวิลด์” อยู่ห่างจากชายฝั่งดูไบประมาณ 1.5 ไมล์ แต่แทบไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อเกาะ “ประเทศ” ของตนเองต้องเผชิญวิกฤตการเงิน อันเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลก

    บริษัท เพนกวิน มารีน ซึ่งได้รับสัมปทานเรือเฟอร์รี ยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อขอยกเลิกสัญญากับ นาคีล ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการเดอะเวิลด์ หลังจากธุรกิจซบเซาหนัก และผืนทรายบนเกาะก็ถูกกัดเซาะจนจมหายไปในทะเลบางส่วนแล้ว

    ริชาร์ด วิลม็อต-สมิธ คิวซี ทนายชาวอังกฤษซึ่งเป็นตัวแทน เพนกวิน มารีน ให้การต่อศาลทรัพย์สินว่า หมู่เกาะเดอะเวิลด์ “กำลังจมหายไปในทะเลอย่างช้าๆ” และเสริมว่า ชายหาดที่ถูกกัดเซาะถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจน

    ขณะนี้มีเพียงเกาะประเทศกรีนแลนด์เท่านั้นที่ยังมีผู้อยู่อาศัย โดยบ้านบนเกาะหลังหนึ่งเป็นของผู้ปกครองดูไบ

    แม้ว่า นาคีลจะปฏิเสธคำอ้างของเพนกวิน มารีน ที่ว่าโครงการดังกล่าว “พับ” เสียแล้ว แต่ก็ยอมรับว่า เดอะเวิลด์กำลังประสบวิกฤตการเงินอย่างรุนแรง

    “นี่เป็นโครงการในระยะ 10 ปี ซึ่งอาจจะซบเซาลง แต่ก็จะต้องทำให้เสร็จสิ้น” นาคีลแถลง พร้อมระบุว่า เพนกวิน มารีน จะได้เห็นนักลงทุนกลับมาสู่เดอะเวิลด์อีกแน่นอน

    [​IMG]

    ภาพจำลองการตั้งถิ่นฐานบนหมู่เกาะเดอะเวิลด์ (ภาพ: www.nysun.com)

    ศาลทรัพย์สินของดูไบมีคำตัดสินเข้าข้าง นาคีล เมื่อวันพฤหัสบดี (20) ที่ผ่านมา โดยจะแถลงรายละเอียดภายหลัง

    ด้านโฆษกของนาคีลยืนยันว่า หมู่เกาะเดอะเวิลด์ไม่ได้จมทะเลดังที่ถูกกล่าวหา

    “ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเราได้ตรวจสอบอยู่เป็นระยะ และยังไม่พบการกัดเซาะที่รุนแรงจนต้องนำทรายมาเสริมเลย” แถลงการณ์ของนาคีลระบุ

    โครงการเดอะเวิลด์กำลังเผชิญปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก เมื่อนักธุรกิจที่ซื้อเกาะ “ไอร์แลนด์” ตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะกิจการล้ม ส่วนนักธุรกิจชาวอังกฤษที่ทุ่มเงิน 43 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อเกาะ “อังกฤษ” ก็ถูกศาลสั่งจำคุก 7 ปีเพราะจ่ายเช็คเด้ง

    ข่าวลือเรื่องหมู่เกาะเดอะเวิลด์เริ่มแพร่สะพัด หลังจากที่รอยเตอร์เผยผลสำรวจซึ่งพบว่า ราคาบ้านในดูไบจะตกลงราว 10 เปอร์เซ็นต์ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

    ราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตกลงถึง 58 เปอร์เซ็นต์จากราคาสูงสุดในไตรมาสที่ 4 ปี 2008
    Around the World - Manager Online -
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เงินเฟ้อ

    โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
    วันที่ 24 มกราคม 2554 01:00

    เมื่อวันที่ 19 มกราคม หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal พิมพ์บทความของศาสตราจารย์ Ron McKinnon ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกรู้จัก
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110120/show_ads_impl.js"></SCRIPT>และเคารพในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินโดยบทความมีชื่อว่า "สินค้าส่งออกล่าสุดของสหรัฐ : เงินเฟ้อ" ซึ่งมีข้อสรุปดังนี้

    1. เหตุการณ์ในวันนี้คล้ายคลึงกับปี 1971 และ 2003 คือ สหรัฐกดดอกเบี้ยลงต่ำและการคาดการณ์ว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่า ทำให้เงินไหลออกจากสหรัฐไปทั่วโลกและเมื่อธนาคารกลางของประเทศต่างๆ แทรกแซงไม่ให้เงินของตนแข็งค่า ก็ทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น และกดดันให้เกิดเงินเฟ้อในประเทศ

    2. ในขณะเดียวกัน ดอกเบี้ยต่ำช่วยลดต้นทุนการกู้เงินของนักเก็งกำไร ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น

    3. ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นอย่างมากในปี 1971-1973 หลังจากที่สหรัฐยกเลิกการผูกค่าเงินสหรัฐกับทองคำ (ซึ่งเป็นการลดค่าเงินดอลลาร์) และเมื่อนายอลัน กรีนสแปน กดดอกเบี้ยลงต่ำเหลือ 1% ในปี 2003-2004 และเมื่อนายเบอร์นันเก้ลดดอกเบี้ยลงใกล้ศูนย์และพิมพ์เงินเพิ่มภายใต้มาตรการ QE1 และ QE2 ในปี 2009-2010 ก็ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้น 33.5% ในปี 2010 ในขณะที่ราคาวัตถุดิบอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น 37.4%

    4. ผลกระทบของนโยบายการเงินสหรัฐในระยะยาวจะเป็นเช่นไรนั้น อาจประเมินได้จากประสบการณ์ในอดีต เช่น ในช่วงทศวรรษ 70 นั้นเศรษฐกิจโลกเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อเศรษฐกิจฝ่อ (stagflation) กล่าวคือ อัตราเงินเฟ้อสูง (ตัวเลข 2 หลัก) ผสมกับการปรับขึ้น-ลงของอัตราการว่างงานในระดับสูงและความผันผวนอย่างมากของอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่ผลิตภาพ (productivity) ในประเทศพัฒนาแล้วก็ตกต่ำลง ในที่สุดก็ต้องใช้ "ไม้แข็ง" คือ การขึ้นดอกเบี้ยสูงถึง 22% ในเดือนกรกฎาคม 1981 เพื่อจัดการกับเงินเฟ้อให้เบ็ดเสร็จ ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยลงอย่างรุนแรง แต่ในที่สุดสหรัฐก็สามารถสร้างความเชื่อมั่นในนโยบายการเงินกลับมาได้ ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าอย่างรวดเร็วและแข็งค่าเกินตัวในปลายปี 1984 การแข็งค่าดังกล่าวทำให้สหรัฐขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก และกระทบกระเทือนอุตสาหกรรมสหรัฐอย่างรุนแรง ทำให้มลรัฐที่เผชิญกับปัญหาความตกต่ำของภาคอุตสาหกรรมถูกเรียกว่า "Rust belt"

    5. สำหรับยุคกรีนสแปน 2003-2004 นั้นก็ได้เกิดฟองสบู่และการปรับขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่การแตกของ ฟองสบู่ในภาคธนาคาร/อสังหาริมทรัพย์ไปทั่วโลกนั้น ช่วยหยุดยั้งการปรับขึ้นของราคาโภคภัณฑ์ในปี 2008-2009

    จากเหตุการณ์ในอดีตดังกล่าว ศาสตราจารย์ McKinnon มองว่าบทเรียนจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินและการกดเงินดอลลาร์ให้อ่อนค่า คือ

    1. การปรับขึ้นอย่างรุนแรงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์เป็นสัญญาณเตือนภัยว่านโยบายการเงินผ่อนคลายมากเกินไปแล้ว

    2. การปรับขึ้นของราคาสินค้าอย่างกว้างขวาง (เงินเฟ้อ) นั้นเกิดขึ้นได้ในสหรัฐ แต่อาจจะทิ้งช่วงยามมากหรือน้อยก็ได้ ที่สำคัญ คือ ประเทศขนาดเล็กที่ผูกค่าเงินของตนกับเงินดอลลาร์จะเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อก่อนสหรัฐ

    3. เงินเฟ้อในหลายประเทศกำลังพัฒนา เช่น จีน อินเดียและอินโดนีเซียสูงกว่า 5% ต่อปีแล้ว ในขณะที่เงินเฟ้อในสหรัฐเพียง 1.2% คล้ายคลึงกับเมื่อปี 1972-1973 ซึ่งเงินเฟ้อปรับขึ้นสูงในญี่ปุ่นแต่เงินเฟ้อในสหรัฐนั้นค่อยๆ ปรับสูงขึ้นจนถึงจุดสูงสุดที่ 13% ในเดือนธันวาคม 1979

    4. สหรัฐมักดำเนินนโยบายการเงินอย่างอิสระโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประเทศข้างเคียงและเศรษฐกิจโลก เสมือนกับไม่รับรู้ว่าเงินดอลลาร์มีสถานะพิเศษในระบบการเงินของโลก แต่การที่สหรัฐเลือกที่จะไม่คำนึงถึงสัญญาณเตือนภัยดังกล่าวข้างต้น ทำให้ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกขาดเสถียรภาพ

    หลังจากการรับรู้บทวิเคราะห์ของศาสตราจารย์ McKinnon แล้วผมคิดว่าเราจะสามารถเข้าใจถึงภาพใหญ่ ที่จะส่งผลต่อการประเมินปัญหาเงินเฟ้อของไทยตามไปด้วย ทั้งนี้ ผมต้องขอสรุปง่ายๆ ว่า เศรษฐกิจของประเทศกลุ่ม G 3 (สหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น) นั้น ขยายตัวอย่างเชื่องช้าและมีปัญหาการว่างงาน ในขณะที่เศรษฐกิจในเอเชียรวมทั้งไทยนั้นขยายตัวเกือบเต็มกำลัง และมีการว่างงานต่ำมาก ดังนั้นการผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐที่นายเบอร์นันเก้เน้นการกลัวว่าเงินเฟ้อในสหรัฐต่ำเกินไปนั้น จึงเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของเอเชียเป็นอย่างมาก ซึ่งนักลงทุนในตลาดหุ้นกำลังสะท้อนมุมมองนี้

    กล่าวคือ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเป็นต้นมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไม่ได้ มีแต่ค่อยๆ ลดลงและนักลงทุนต่างชาติก็ทยอยขายหุ้นสุทธิอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา ถามว่าเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางลบเช่นใดบ้างก็ต้องตอบว่าไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางลบเลย การส่งออกก็ยังขยายตัวดี การปรับขึ้นดอกเบี้ยก็ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเป็นที่รับรู้โดยทั่วกันไปแล้ว การเมืองก็ลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนเดิม จีดีพีก็ไม่ดีหรือแย่กว่าเดิม ทำให้ผมมองว่าเหตุที่มีการขายหุ้นไทยนั้นสืบเนื่องมาจากการมองว่าเงินเฟ้อในสหรัฐกำลังกลับเข้าสู่เกณฑ์ปกติหรือเริ่มคาดการณ์ว่าจะสูงขึ้นในอนาคต ตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี นั้นปัจจุบันให้ผลตอบแทน 3.4% ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปีที่จ่ายดอกเบี้ยทดแทนเงินเฟ้อ (Treaury Inflation Protected Securities หรือ TIPS) นั้น ให้ผลตอบแทน 1% ทำให้ส่วนต่างของผลตอบแทนจากพันธบัตรทั้งสองเท่ากับ 2.4% แปลว่าตลาดคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อสหรัฐในอนาคตจะปรับขึ้นไปสู่ระดับดังกล่าว จาก 1.2% ในขณะนี้ ซึ่งส่วนต่างดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 1.47% ในเดือนสิงหาคมก่อนที่นายเบอร์นันเก้จะประกาศมาตรการ QE2 ตัววัดการคาดการณ์เงินเฟ้ออีกตัวหนึ่ง คือ ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 2 ปีกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 30 ปี ซึ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเมื่อ 16 มกราคมที่ 3.96% ซึ่งส่วนต่างๆ ระหว่างดอกเบี้ย 2 ปีกับ 30 ปี ดังกล่าวในอดีตนั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 2.07% แปลว่าตลาดคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในสหรัฐมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นและอาจเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติด้วย

    หากนักลงทุนมองเช่นนั้น กล่าวคือ เศรษฐกิจสหรัฐค่อยๆ ฟื้นตัวและเงินเฟ้อกำลังปรับขึ้นกลับไปสู่สภาวะปกติ (หรือมากกว่านั้น) ก็ต้องมองว่าประเทศตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะในเอเชียจะต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อร้อนแรงและอาจคุมไม่อยู่ ดังนั้น หากกลัวความเสี่ยงดังกล่าว (การจะต้องเผชิญกับมาตรการควบคุมราคาสินค้า การปรับขึ้นดอกเบี้ยเกินคาด การจำกัดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ฯลฯ) นักลงทุนก็จะต้องลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดดังกล่าว

    นักลงทุนคาดการณ์ถูกต้องหรือไม่จึงเป็นเรื่องที่จะตัดสินได้โดยการวิเคราะห์ปัญหาเงินเฟ้อในประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งไทยอย่างลึกซึ้งกว่านี้ ซึ่งผมจะพยายามนำเสนอต่อไปครับ

     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "มิเชล โอบามา"จับมือวอลมาร์ทผลิตอาหารเพื่อคนจน

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    [​IMG]

    มิเชล โอบามา จับมือห้างวอล มาร์ท ผลิตอาหารเพื่อสุขภาพและราคาถูกสำหรับคนยากจน
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110120/show_ads_impl.js"></SCRIPT>นางมิเชล โอบามา สุภาพสตรีหมายเลข1 ของสหรัฐ ร่วมกับคณะผู้บริหารของวอล มาร์ท ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกสหรัฐ ที่มีสาขาอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก ริเริ่มแผนการที่เรียกว่า เป็นชัยชนะอันใหญ่หลวงของประชาชนทั่วประเทศ จากการที่วอล มาร์ท ซึ่งมีผู้ค้าที่ส่งมอบให้สินค้าให้มากถึง 6,00 ราย จะเริ่มจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพและราคาถูกลง ภายในปี 2558
    นอกจากนี้ วอล มาร์ท ยังจะเปิดสาขาเพิ่มในพื้นที่อยู่อาศัยของคนยากจน และเพิ่มโครงการบริจาคโภชนาการ รวมถึงการลดเกลือ และน้ำตาล ในส่วนผสมของอาหารบางชนิดที่จำหน่ายอยู่ตามสาขาต่างๆ และลดราคาสินค้าใหม่และสดให้ถูกลงกว่าเดิม
    นายบิล ไซมอน ประธานวอล มาร์ท แถลงว่า ไม่ควรมีครอบครัวไหนอีกแล้ว ที่ต้องเลือกระหว่างอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ กับอาหารที่พวกเขามีเงินพอที่จะซื้อได้ จากการที่วอล มาร์ท มีลูกค้ามากกว่า 150 ล้านคน ต่อสัปดาห์ จึงมีจุดยืนที่ไม่เหมือนใครในการที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ด้วยการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพและทุกคนสามารถซื้อไปรับประทานได้
    การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ และแก้ปัญหาสุขภาพของเด็ก ๆ ถือเป็นวาระสำคัญอันดับแรกในภารกิจของนางโอบามา และเป็นครั้งแรกที่เธอยอมให้งานของเธอ ไปอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทเอกชนเพียงแห่งเดียว
    การเคลื่อนไหวของนางโอบาม่าในประเด็นนี้ นับเป็นการตอบโต้นางซาร่าห์ เพ-ลิน อดีตผู้ว่าการรัฐอะแลสกา และผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ที่ได้รับการคาดหมายว่า จะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 2555 ที่ชูนโยบายกล่าวหานางโอบามาว่า ต้องการให้รัฐบาลกุมชะตาการบริโภคของชาวอเมริกัน
    "
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    In Focus: สแกนทิศทางเศรษฐกิจโลกปีกระต่าย จับตาผลกระทบ QE เงินเฟ้อจีน และหนี้ยุโรป
    ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 12 มกราคม 2554 14:04:13 น.
    <STYLE>.expanded { width: 620px; z-index: 9999 }</STYLE>เพิ่งบอกลาปีเสือไปได้ไม่นาน ปีกระต่ายก็คืบคลานผ่านไปแล้ว 11 วัน วันเวลาช่างผ่านไปไวเหมือนหนังฮอลลีวู้ด แต่บังเอิญนี่เป็นชีวิตจริงที่ไม่อิงนิยาย ราคาข้าวของถีบตัวสูงขึ้นจนน่าตกใจว่าทำไมถือเงินออกไปเท่าเดิมแต่ได้ของกลับมาน้อยลง นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกหลายคนมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2554 กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง หนึ่งในนั้นคือการฟื้นตัวที่เชื่องช้าเกินไปของเศรษฐกิจโลก นั่นก็เพราะแต่ละประเทศมีระดับการฟื้นตัวที่แตกต่างกัน รวมทั้งปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ต่างกันคนละขั้วระหว่างกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่กำลังอกไหม้ไส้ขมกับปัญหาเงินฝืด และกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะจีน ที่ปวดหัวกับปัญหาเงินเฟ้อ
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1994271288564323";/* Ryt9-Center 336x280, created 12/22/08 */google_ad_slot = "4617559094";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110120/show_ads_impl.js"></SCRIPT>
    ที่หนักไปกว่านั้นคือ ปัญหาหนี้ยุโรปยังคงรุมทึ้งเศรษฐกิจโลกในหลายภาคส่วนและยังคงเป็นปัญหาท้าทายสำหรับปีนี้ด้วย

    ฟิลิป ซุทเทิล หัวหน้านักเศรษฐกิจจาก Institute of International Finance กล่าวให้สัมภาณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า สหรัฐมีความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเผชิญกับปัญหาเงินฝืดแบบเดียวกับญี่ปุ่น หลังจากดัชนีราคาผู้บริโภคกระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เหมือนจะส่งสัญญาณว่านับจากนี้รัฐบาลสหรัฐไม่ต้องมานั่งกุมขมับเรื่องเงินเฟ้อเหมือนเมื่อก่อน แต่ควรเอาเวลาไปหาทางไม่ให้ดินแดนเสรีภาพแห่งนี้ต้องเจอกับปัญหาเงินฝืดเหมือนญี่ปุ่นจะดีกว่า เพราะหากพี่เบิ้มอย่างสหรัฐเจอปัญหาเงินฝืดเมื่อใด สถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งกว่าญี่ปุ่นหลายเท่าตัว เนื่องจากญี่ปุ่นมีอัตราว่างงานและหนี้ในต่างประเทศน้อยกว่าสหรัฐ
    "สหรัฐอาจพบกับปัญหาเงินฝืดและหนี้ในต่างประเทศที่สูงขึ้นไปพร้อมๆกัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง จะทำให้สหรัฐตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก" ซุทเทิลกล่าว
    ซุทเทิลยังกล่าวด้วยว่า วิกฤตหนี้ยุโรปจะยังคงเป็นยาขมหม้อใหญ่ที่ใครก็ไม่อยากดื่มในปีกระต่ายนี้ แม้สหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) พยายามออกหน้าด้วยการอัดฉีดเงินกู้ให้กับไอร์แลนด์และกรีซ แต่หลังจากนั้นแค่ไม่กี่วัน มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ก็ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของไอร์แลนด์ลงสู่ระดับ Baa1 จาก Aa2 เพราะไม่มั่นใจว่าไอร์แลนด์จะชำระคืนหนี้เงินกู้ไอเอ็มเอฟและอียูได้ตามกำหนด และในขณะนี้สปอตไลท์เริ่มหันไปจับจ้อง สเปน และโปรตุเกส ว่าจะพาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยโดยไม่ต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือหรือไม่ ซึ่งใครจะอยู่ใครจะไปก็ต้องรอดูผลการประมูลพันธบัตรในสัปดาห์นี้ เพราะหากความต้องการจองซื้อพันธบัตรลดน้อยลง หรือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น ก็จะยิ่งทำให้ตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปมากขึ้นด้วย
    นอกเหนือจากซุทเทิลที่แสดงความกังวลกับปัญหาหนี้ยุโรปแล้ว เอ็ดเวิร์ด เมียร์ นักเศรษฐศาสตร์ของเอ็มเอฟ โกลบอล ยังมองว่า หากสเปนล้มละลาย ก็อาจทำให้สกุลเงินสกุลยูโรถึงคราวอวสาน และจะทำให้การล้มละลายของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง เลห์แมน บราเธอร์ส กลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปเลย นอกจากนี้ การที่ไอเอ็มเอฟและอียูอัดฉีดเงินช่วยเหลือประเทศที่ประสบปัญหาทางการเงินในยุโรปนั้น เป็นเพียงการยืดเวลาการล้มละลายออกไปเท่านั้น

    การรวมกลุ่มยูโรโซนภายใต้ความแตกต่างของรากฐานทางเศรษฐกิจและการขาดกลไกจัดการกับภาวะไม่สมดุลภายในกลุ่มนี้เอง ทำให้เศรษฐกิจในยูโรโซนออกอาการกระท่อนกระแท่นเมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ภายใต้นโยบายที่แตกต่าง ความตกต่ำของสกุลเงินยูโรทำให้คนยุโรปเบื่อหน่ายขนาดไหนก็คงดูได้จากจากผลการเลือกตั้งของเยอรมนีเมื่อวันที่ 9 พ.ค.2553 เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลแพ้การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า ชาวเยอรมันกว่า 47% สนับสนุนให้นำเงินดอยช์มาร์กกลับมาใช้ใหม่ และไม่เห็นด้วยกับการนำงบประมาณไปช่วยเหลือประเทศที่มีปัญหาการเงินในยุโรปอย่างกรีซ และประเทศอื่นๆที่มีแนวโน้มว่าจะมีปัญหาการเงินตามมา แต่ในทางปฏิบัติคงทำได้ยาก เพราะหากจะทำเช่นนั้น เยอรมนีต้องแยกตัวออกจากอียู พร้อมกับแยกเงินทุนสำรอง ทรัพย์สินและหนี้สินต่างๆ ออกจากกัน เพื่อพิมพ์เงินดอยช์มาร์ก และนำกลับมาใช้ในเยอรมนี ซึ่งเป็นขั้นตอนยุ่งยาก

    ด้านโรเบิร์ต วอร์ด นักเศรษฐศาสตร์จาก Economist Intelligence Unit แสดงความเห็นว่า ความแตกต่างในการบริหารประเทศระหว่างจีนและสหรัฐจะทำให้การกำหนดทิศทางของระบบการเงินโลกต่างกันไปคนละทิศละทาง เพราะในขณะที่จีนพยายามควบคุมระบบเศรษฐกิจอย่างเคร่งครัดนั้น สหรัฐยังคงชื่นชอบระบบตลาดแบบเสรีแบบสุดๆ โดยปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามหลักกลไกตลาด ความแตกต่างและแปลกแยกเช่นนี้จึงนำมาซึ่งการสงครามค่าเงินระหว่างกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยที่บรรดากลุ่มประเทศพัฒนาแล้วพยายามหาทางลดค่าเงินของตนเพื่อจะกระตุ้นความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกและแก้วิกฤตเงินฝืด ซึ่งเรื่องนี้เห็นได้ชัดก็เมื่อธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) เล่นแร่แปรธาตุด้วยการพิมพ์ธนบัตรจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบ ผ่านการรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีวงเงินสูงลิ่วถึง 6 แสนล้านดอลลาร์ หรือที่เรียกว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณครั้งที่ 2 (QE2) โดยประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ก็ตอบโต้ด้วยการควบคุมค่าเงินของตนไม่ให้แข็งค่าขึ้นมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่อ่อนยวบลง
    โรเบิร์ต วอร์ดยังกล่าวด้วยว่า กระบวนการเปลี่ยนถ่ายพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโลกจากมือของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วไปสู่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่นั้น ก็อาจจะส่งผลให้นาวาเศรษฐกิจปีกระต่ายโซซัดโซเซได้ นอกจากนี้ หากรัฐบาลจีนควบคุมภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์และควบคุมยอดการปล่อยเงินกู้อย่างเข้มงวดเกินไป ก็อาจสกัดกั้นการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนเองและกระทบชิ่งไปยังประเทศอื่นๆด้วยเช่นกัน

    แม้ไอเอ็มเอฟ และวาณิชธนกิจระดับแนวหน้าอย่างโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า จีนมีโอกาสจะแซงหน้าสหรัฐขึ้นสู่อันดับ 1 ของโลกไม่เกินช่วงระยะเวลา 25 ปีข้างหน้า แต่ผลพวงของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เริ่มจะมีบทบาทน้อยลง ประกอบกับการที่รัฐบาลเดินหน้าใช้มาตรการควบคุมเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ ก็อาจทำให้หลายคนที่ฝากความหวังไว้กับจีนว่า จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีกระต่ายต้องผิดหวังได้

    ทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวมาข้างต้นเป็นปัญหาในระดับมหภาค แต่ระดับจุลภาคก็มีปัญหาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ที่น่ากังวลมาที่สุดก็เห็นจะป็นคำเตือนขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ที่ว่า ราคาอาหารแพงกลายเป็นประเด็นสำคัญของโลกอีกครั้ง หลังจากภัยธรรมชาติได้ทำลายพื้นที่เกษตรกรรมในหลายประเทศทั่วโลกในรอบปีที่ผ่านมา โดย FAO ระบุว่า ราคาอาหารทั่วโลกกำลังเข้าสู่ "เขตอันตราย" และอาจเกิดภาวะ "food price shock"

    ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ผันผวน มนุษยชาติยังคงต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นไป เมื่อครั้งที่เศรษฐกิจโลกเฟื่องฟูเราก็เดินเข้านอกออกในห้างสรรพสินค้า หรือท่องเที่ยวกันใช้เงินกันอย่างไม่อั้น แต่ในยามที่เศรษฐกิจชะลอตัว เราก็คงต้องปรับตัวให้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง แม้ไม่ถึงกับรัดเข็มขัด แต่ก็ควรต้องเก็บออมไว้ใช้ในยามจำเป็น ไม่อย่างนั้นเราๆ ท่านๆ ก็อาจจะเซ็ง มึน และ (ร้องไห้) โฮกันได้
    <SCRIPT type=text/javascript><!--$('pre.xff').click( function() { $(this).toggleClass('expanded');});--></SCRIPT>--อินโฟเควสท์ โดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--
    In Focus: สแกนทิศทางเศรษฐกิจโลกปีกระต่าย จับตาผลกระทบ QE เงินเฟ้อจีน และหนี้ยุโรป
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ประเทศกำลังพัฒนาเผชิญหน้าเงินเฟ้อ
    วันพุธที่ 12 มกราคม 2011 เวลา 13:37 น.
    [​IMG]








    "เงินเฟ้อเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักของโลกในปีนี้" นิโคลัส กวาน นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ในฮ่องกงกล่าว ดัชนีราคาที่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศของโลกในเวลานี้ เป็นภาพที่ขัดแย้งอย่างยิ่งกับเงินเฟ้ออัตราต่ำในสหรัฐอเมริกาและยุโรป รวมทั้งภาวะราคาสินค้าที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในประเทศญี่ปุ่น ภาพย้อนแย้งดังกล่าวเป็นผลมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของประเทศกำลังพัฒนาในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ขณะที่ประเทศอุตสาหกรรมซึ่งเพิ่งฟื้นจากวิกฤติการเงิน มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อย

    การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันมากนี้ นำไปสู่การนำนโยบายที่แตกต่างมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มองว่า เมื่อนโยบายยิ่งต่าง ก็ยิ่งทำให้ความพยายามในการต่อสู้กับเงินเฟ้อของประเทศกำลังพัฒนาในขณะนี้ มีความยากลำบากมากขึ้น ผู้นำรัฐบาลของบราซิลและประเทศอื่นๆ ได้แสดงความกังวลอย่างชัดเจนว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ด้วยวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ ผ่านการทุ่มซื้อพันธบัตรรัฐบาล เป็นสาเหตุทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนตัวลง ซึ่งส่งผลให้สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาสูงขึ้นและก่อให้เกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางของบราซิล อินเดีย รัสเซีย และจีน จำเป็นต้องประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยกันทั่วหน้า และกำลังจ่อคิวนำมาตรการอื่นๆ มาใช้ร่วมด้วย แต่นั่นก็อาจทำให้เศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวอย่างร้อนแรงมีอันต้องสะดุดกึก
    บราซิลซึ่งเผชิญเงินเฟ้อที่ 5.9% (สูงสุดในรอบ 6 ปี) ได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดในโลกไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ที่ 10.75% และมีความเป็นไปได้ที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยอีก เหตุผลก็เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่กำลังขยับสูงขึ้นท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังรุดหน้าและเติบโตในอัตราเฉลี่ยต่อปีเกือบ 7% อีกทั้งรัฐบาลก็มีแผนเทงบประมาณเพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อสู้กับความยากจน อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยอัตรากว่า 10% ดังกล่าวได้กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้เงินทุนเก็งกำไรที่ไหลออกจากสหรัฐฯ และญี่ปุ่นถั่งโถมมายังบราซิลแทน ผลที่ติดตามมาก็คือ เงินเรียลของบราซิลขยับค่าแข็งขึ้นกว่า 35% (นับจากปี 2552) เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกของบราซิลเองที่ต้องสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกันผู้ผลิตในประเทศก็ต้องเผชิญกับสินค้านำเข้าที่มีราคาถูกลง
    [​IMG] เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงมาตรการปรับขึ้นดอกเบี้ยให้สูงไปกว่าที่เป็นอยู่ รัฐบาลบราซิลจึงพยายามหันไปใช้มาตรการอื่นๆ ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งหมายรวมถึงมาตรการจำกัดปริมาณการปล่อยสินเชื่อด้วยการกำหนดให้ธนาคารสำรองเงินเพิ่มขึ้น ความพยายามในการสกัดปัญหาดังกล่าวเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ของบราซิลภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนใหม่ คือ นางดิลมา รูสเซฟฟ์ แม้ว่าในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเธอจะชูนโยบายเพิ่มงบประมาณเพื่อขยายสวัสดิการให้กับประชาชน แต่มาถึงจุดนี้ข่าวระบุว่า เธอจำเป็นต้องพิจารณาใช้มาตรการจำกัดการใช้จ่ายของภาครัฐลงเพื่อลดปัญหาการขาดดุลงบประมาณของบราซิลและพยายามชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ให้ร้อนแรงจนเกินไป ซึ่งก็ต้องยอมรับการพยายามคุมงบใช้จ่ายดังกล่าวนำมาซึ่งความเสี่ยงทางการเมืองของรัฐบาลใหม่
    สำหรับประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาหารนั้น สามารถส่งผลกระทบที่รุนแรงได้ เนื่องจากรายได้ประชากรต่ำกว่าในประเทศอุตสาหกรรมพัฒนาแล้ว ค่าอาหารและเชื้อเพลิงถือเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดในค่าใช้จ่ายครัวเรือน และมักใช้เป็นตัววัดเงินเฟ้อในประเทศกำลังพัฒนา จากดัชนีชี้วัดขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) พบว่า ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา (2553) ราคาอาหารทั่วโลกได้ขยับขึ้นสู่ระดับสูงสุดในประวัติการณ์ และยังไม่มีทีท่าว่าจะปรับลดลงอย่างที่หลายคนคาดคิด แต่กลับจะยิ่งขยายวงกว้างมากขึ้น
    ในประเทศจีน ซึ่งดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ขยับขึ้นในอัตรา 5.1% ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ได้รับแรงขับดันจากราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น 11.7% แต่อัตราเงินเฟ้อหลักที่ไม่นับรวมราคาพลังงานและอาหารของจีนในช่วงเดียวกันนั้น เพิ่มขึ้นที่อัตรา 1.9 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้รัฐบาลจีนได้นำหลากมาตรการสู้เงินเฟ้อมาใช้ อาทิ การปรับขึ้นดอกเบี้ยสองครั้ง การปรับให้ค่าเงินหยวนแข็งขึ้นเล็กน้อย การควบคุมการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร การควบคุมราคาสินค้า และการปราบปรามผู้ที่กักตุนอาหารเพื่อเก็งกำไร เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนได้ส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่าจะใช้มาตรการที่เข้มงวดทางการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อต่อไป
    ส่วนอินเดีย ซึ่งราคาอาหารปรับสูงขึ้นและเป็นแรงขับดันหลักของเงินเฟ้อตลอดทั้งปีที่ผ่านมา มีความคาดหมายกันว่า ฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่จะได้ปริมาณผลผลิตสูงน่าจะทำให้ราคาสินค้าอาหารปรับลดลงมาได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงความคาดหวังเพราะเอาเข้าจริง สถานการณ์ราคาอาหารยังไม่คลี่คลายลงนักและเงินเฟ้อในกลุ่มอาหารได้ขยับถึงอัตรา 18% เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.ที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า ธนาคารกลางอินเดีย (อาร์บีไอ) ซึ่งจะมีการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 25 ม.ค. นี้อาจจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก หลังจากปรับขึ้นไปแล้วถึง 6 ครั้งในปี 2553 ทั้งนี้ อินเดียซึ่งเป็นที่คาดหมายว่าจะมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 8.75% อาจจะต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่ทำให้ประชากรที่ยากจนหลายล้านคนของประเทศไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแม้เศรษฐกิจจะเติบโตมากก็ตาม นอกจากนี้รัฐบาลเองยังพยายามนำมาตรการต่างๆ มาใช้เพื่อทำให้ราคาอาหารปรับลดลงมา อาทิ การสั่งห้ามส่งออกหอมใหญ่
    ขณะเดียวกันที่รัสเซีย ซึ่งเผชิญภัยแล้งทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรลดลง และข้าวสาลีก็มีราคาพุ่ง ทำให้รัฐบาลไม่สามารถควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ที่ระดับ 6-7% ตามเป้าหมาย (เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีของรัสเซียเมื่อปี 2553 อยู่ที่ระดับ 8.7%) ทั้งนี้มีความคาดหมายว่า ทางการรัสเซียอาจจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้งเพื่อสกัดเงินเฟ้อในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ และไม่เพียง 4 ประเทศดาวรุ่งกำลังพัฒนาที่กล่าวมาข้างต้น ประเทศอื่นๆ ที่ถูกแรงกดดันเงินเฟ้อบีบให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วเมื่อเร็วๆนี้ ยังมีอีกหลายประเทศ อาทิ เปรู เพิ่งขึ้นดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยก็คาดว่าจะมีการปรับขึ้นในเร็ววัน และเกาหลีใต้ก็มีกำหนดประกาศนโยบายสู้เงินเฟ้อภายในสัปดาห์นี้เช่นกัน
    จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,600 13-15 มกราคม พ.ศ. 2554
    ประเทศกำลังพัฒนาเผชิญหน้าเงินเฟ้อ
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จับตาแนวโน้มเศรษฐกิจมะกัน
    วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2011 เวลา 10:02 น.

    [​IMG]ทุกๆต้นปี นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกามักจะมีความคาดหวังในเชิงบวกเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจและสถานการณ์ในตลาด เรื่องดังกล่าวไม่มีข้อยกเว้นสำหรับต้นปีนี้ แม้ว่าอัตราการว่างงานจะยังคงอยู่ในเกณฑ์สูงเกือบ 10% แต่เศรษฐกิจก็ยังคงมีการขยายตัว นักลงทุนเป็นจำนวนมากมองว่า การขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปยังดีกว่าและน่าหวาดหวั่นน้อยกว่าการขยายตัวมากเกินไป "การขยายตัวอย่างร้อนแรงถึงจุดเดือดเป็นสิ่งที่เรากังวลมากที่สุด" แจ๊ค อัลบิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของแฮร์ริส ไพรเวท แบงก์ ในนครชิคาโก กล่าว "ถึงแม้ว่ามันอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด แต่ผมก็เกรงว่า ดอกเบี้ยจะทะยานขึ้นในอัตราเร็วเกินไป หรือราคาสินค้าและบริการจะถีบตัวสูงมากเกินไป ซึ่งนั่นจะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต้องสะดุด"
    นักลงทุนและนักวิเคราะห์จากหลายสถาบันได้มองแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2554 เอาไว้ 3 ทิศทางด้วยกัน โดยหนังสือพิมพ์ เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล ได้ประมวลภาพของทั้ง 3 สมมติฐานสถานการณ์เอาไว้ ดังนี้

    [​IMG]++สถานการณ์ : ร้อนแรง
    ความคาดหมายเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯว่าจะขยายตัวอย่างร้อนแรงถึงขั้นโอเวอร์ฮีตในปี 2554 นี้มีความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (เฟด) เป็นปัจจัยหลัก นักวิเคราะห์ที่มองว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างร้อนแรงถึงจุดเดือดนั้น มองว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือมาตรการคิวอีรอบสองของเฟดที่ประกาศใช้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา (2553) ซึ่งจะเป็นการทยอยซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯด้วยวงเงินถึง 6 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มเติมจากมาตรการรอบแรกวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์ นั้นออกจะมากเกินความจำเป็น ซึ่งผลที่ติดตามมาก็คือ ราคาสินค้าและบริการในสหรัฐฯที่ขยับขึ้นอยู่แล้วจากแนวโน้มการกระเตื้องตัวของภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯในภาพรวมและการเติบโตของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ก็ยิ่งมีแรงหนุนให้ขยับสูงขึ้นไปอีก
    ไม่เพียงเท่านั้น ปลายเดือนธันวาคม 2553 รัฐบาลสหรัฐฯ ยังขยายเวลามาตรการลดภาษีต่อไปอีกเพื่อวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับความคาดหมายทิศทางเศรษฐกิจในปี 2554 นี้ว่ากำลังจะมุ่งหน้าไปในทิศทางร้อนระอุ ทั้งนี้ มีหลักฐานหรือบทพิสูจน์สมมติฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือผลตอบแทนพันธบัตรและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ถีบตัวสูงขึ้นมากในช่วงปลายปีที่ผ่านมาและต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้ ซึ่งกรณีของผลตอบแทนพันธบัตรนั้นค่อนข้างจะสวนทางกับความคาดหมายของเฟดที่ว่าเมื่อนำมาตรการคิวอีรอบสองมาใช้จะทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยลดลง แต่เท่าที่ผ่านมา ปรากฏว่า ดอกเบี้ยยังคงขยับสูงขึ้นทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นไม่ว่าจะในแวดวงธุรกิจหรือดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านของประชาชนทั่วไป ส่วนราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้นก็ปรับขึ้นกันทั่วหน้า ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบซึ่งปี 2553 ที่ผ่านมา ราคาปรับสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 15 % ทองแดงขยับขึ้น 33 % ส่วนถั่วเหลืองและข้าวโพดปรับราคาขึ้น 34 % และ 52 % ตามลำดับ แม้ว่าราคาโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นนี้ยังไม่ส่งผลปรากฏในราคาผู้บริโภคมากนัก แต่หากผู้ผลิตอั้นการแบกรับภาระไม่อยู่ สุดท้ายก็ต้องผลักภาระให้ผู้บริโภคร่วมแบกรับในปีนี้
    [​IMG] อีกสิ่งหนึ่งที่นักวิเคราะห์ฟากที่เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวอย่างร้อนแรงกำลังเฝ้าจับตาคือ ต้นทุนค่าแรงที่มีเค้าว่าจะขยับสูงขึ้น เหตุผลเนื่องจากเมื่อเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว บริษัทที่เคยปลดคนงานจำนวนมากในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ก็จำเป็นต้องว่าจ้างคนงานเพิ่มเป็นจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลกดดันตลาดแรงงาน "เมื่อตลาดแรงงานตึงตัวประกอบเข้ากับภาวะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขยับสูงขึ้น นั่นก็อาจส่งผลดันให้ต้องมีการปรับค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความคาดหมายเกี่ยวกับเงินเฟ้อมากยิ่งขึ้น กลายเป็นวงจรที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง" หากเป็นภาวะปกติ เฟดก็สามารถรับมือกับสถานการณ์เงินเฟ้อได้ด้วยมาตรการขึ้นดอกเบี้ย แต่วิธีการนั้นอาจไม่ง่ายที่จะนำมาใช้ในเวลานี้ และนั่นอาจจะเป็นการยอมรับว่า มาตรการคิวอีเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อขึ้นมา
    "สำหรับผู้ค้าหลักทรัพย์ สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการยอมรับว่าคุณทำผิดพลาด แล้วก็ต้องหันกลับไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ " นายโฮเวิร์ด ไซมอน นักวางกลยุทธ์พันธบัตร จากบริษัท เบียงโก รีเสิร์ช ในนครชิคาโก กล่าว และอธิบายว่า เฟดเป็นผู้ริเริ่มแนวคิดที่จะนำมาตรการคิวอีมาใช้ ตอนนี้มีเมื่อเห็นผลร้ายของมาตรการดังกล่าว เฟดก็ต้องถูกขอให้ยอมรับว่า มาตรการดังกล่าวเป็นความผิดพลาด และควรต้องกลับลำหันไปใช้มาตรการที่เข้มงวดทางการเงินอีกครั้ง เช่นการขึ้นดอกเบี้ย เพื่อสกัดแนวโน้มเงินเฟ้อ
    นักวิเคราะห์ยังประเมินสถานการณ์ต่อไปว่า ผลพวงเชิงลบที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไปนั้น นอกจากดอกเบี้ยที่พุ่งขึ้นแล้ว ตลาดบ้านพักอาศัยที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนักก็จะทรุดลงไปอีกเนื่องจากต้นทุนการกู้ซื้อบ้านและภาระการผ่อนชำระจำนองปรับตัวสูงขึ้น แนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็จะสูงขึ้นต่อไป อย่างไรก็ดี ราคาหลักทรัพย์อาจได้รับแรงส่งให้สูงขึ้นในช่วงระยะหนึ่ง (แต่ก็เป็นการชั่วคราว) และท่ามกลางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น หลายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ก็จะได้รับอานิสงส์ในเชิงบวก บริษัทผู้ส่งออกของสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง ทำให้สินค้าแข่งขันด้านราคาได้มากขึ้นในตลาดต่างประเทศ แต่ดังที่กล่าวมาคือผลดีต่อราคาหลักทรัพย์จะไม่ยืนยาวนัก เพราะดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจะเป็นปัจจัยแตะเบรกการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม เพราะเมื่อต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น กิจกรรมการลงทุนและการขยายธุรกิจก็จะชะลอลง
    สิ่งที่นักวิเคราะห์หวั่นใจเกี่ยวกับแนวโน้มในทิศทางนี้ก็คือ อาการของโรคอาจไม่เลวร้ายเท่ายาที่ใช้ในการรักษา เพราะเมื่อเฟดต้องเผชิญกับแรงกดดันเงินเฟ้อ ก็คงต้องกลับไปใช้มาตรการขึ้นดอกเบี้ยซึ่งจะส่งผลลบต่อตลาดพันธบัตรและอาจติดเบรกความคึกคักในตลาดหลักทรัพย์และตลาดค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์จะกลับแข็งขึ้นอีกครั้งและส่งผลกระทบต่อการส่งออกของสหรัฐฯ
    [​IMG]++สถานการณ์ : เซื่องซึม
    ขณะที่หลายฝ่ายมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะถูกกระตุ้นให้ขยายตัวมากเกินไป อีกฝ่ายหนึ่งกลับมองไปในทิศทางตรงข้าม คือเป็นไปได้ว่า เศรษฐกิจอเมริกันในปีนี้จะถอยกลับไปสู่ภาวะซึมเซื่อง ซึ่งสมมติฐานดังกล่าวมาจากปัญหาเกี่ยวกับหนี้สาธารณะก้อนโตในส่วนของภาครัฐ รวมทั้งหนี้ส่วนบุคคลของผู้บริโภคที่อยู่ในอัตราสูงเช่นกัน ปัจจัยดังกล่าวนับเป็นอุปสรรคสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน นักวิเคราะห์มองว่า สถานการณ์หนี้ที่อยู่ในเกณฑ์สูง จะทำให้ผู้ปล่อยกู้เกิดความไม่มั่นใจ และทำให้ปริมาณสินเชื่อที่จำเป็นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว พลอยอัตคัตไปด้วย เพราะผู้ให้กู้ไม่มั่นใจที่จะปล่อยกู้เพิ่มเติม
    ทั้งนี้ หากราคาบ้านในสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มหดตัวลงอีกครั้ง (แนวโน้มดังกล่าวเริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา) ลดลงไปอีก 5-10% และถ้าอัตราการว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับเหนือกว่า 9 % อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นั่นก็จะทำให้ผลกำไรของธนาคารลดลงขณะเดียวกับที่ความมั่นใจของผู้บริโภคก็จะถดถอยลงด้วยเช่นกัน สถิติชี้ว่า ในช่วงปลายปี 2553 การกระหน่ำจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคชาวอเมริกัน ทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นจนคิดเป็นสัดส่วน 122% ของรายได้บุคคล ซึ่งนับเป็นอัตราที่สูงเกินไป และหากไม่มีรายได้เสริมเข้ามาเร็วพอ นั่นก็หมายความว่า ผู้บริโภคชาวอเมริกันจำนวนมากจำเป็นจะต้องหยุดการจับจ่ายและหันมาตั้งหน้าตั้งตาใช้หนี้บัตรเครดิต ไม่เช่นนั้นก็จะต้องพบกับภาวะผิดนัดชำระหนี้ สถานการณ์ที่ผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอยจะส่งผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
    นอกจากนี้ รัฐบาลท้องถิ่นของหลายรัฐยังอยู่ในภาวะขาดแคลนงบประมาณ และมีความเป็นไปได้ที่องค์กรส่วนท้องถิ่นระดับเทศบาลจะต้องถอยเข้าสู่ภาวะล้มละลายในปี 2554 นี้ พันธบัตรเทศบาลก็จะอยู่ในสถานะอันตรายเช่นกัน ไม่เพียงในสหรัฐฯ เท่านั้น ปัญหาหนี้สาธารณะของภาครัฐในหลายประเทศ จะส่งผลให้รัฐบาลต่างๆต้องนำมาตรการรัดเข็มขัดประหยัดการใช้จ่ายมาใช้ ซึ่งจะส่งผลไม่มากก็น้อยต่อกระบวนการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ นายไบรอัน เยลวิงตัน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัท ไนท์ แคปปิตอลฯ ให้ความเห็นว่า "จนกว่าจะสะสางปัญหาเรื่องหนี้ได้ลงตัว ระหว่างนั้นเราก็ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ว่าเศรษฐกิจอาจจะต้องถดถอยรอบสอง" โดยส่วนตัวเขาเชื่อว่า มีความเป็นไปได้อย่างน้อย 20 % ที่ว่า สหรัฐฯ อาจจะต้องพบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยรอบสองในอนาคตอันใกล้
    ขณะเดียวกัน ถ้าหากจีนและประเทศอื่นๆในเอเชีย นำมาตรการที่เข้มงวดมาใช้ติดเบรกทุนร้อนไหลเข้าประเทศและพยายามควบคุมราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ขยับสูงขึ้นในประเทศ นั่นก็คาดว่าจะทำให้กระบวนการขยายตัวทางเศรษฐกิจถูกชะลอแรงไปด้วย และจะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของบรรดานักลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ภายใต้สมมติฐานในทิศทางนี้ เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีอาจจะร่วงลงสู่ระดับ 2.5 % และนักลงทุนอาจหันเหการลงทุนจากตลาดหลักทรัพย์มาสู่ตลาดพันธบัตรซึ่งดูจะปลอดภัยกว่า ซึ่งนั่นก็อาจทำให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับลดลงได้ถึง 10 % จากที่เคยพุ่งแรงในช่วงปลายปี 2553 ส่วนเงินดอลลาร์ คาดว่าจะทรงตัวหรือปรับแข็งขึ้น ซึ่งหากเป็นอย่างหลังก็จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของสหรัฐฯ
    ++ สถานการณ์ : กำลังพอดี
    สมมติฐานนี้ อาจจะมีผู้เรียกว่าสถานภาพที่สมดุล โดยประเมินสถานการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงมีการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งไม่เร็วพอที่จะทำให้อัตราการว่างงานลดลงอย่างรวดเร็ว และด้วยความที่อัตราว่างงานยังคงอยู่ในเกณฑ์สูง ทำให้คาดว่าจะมีการควบคุมดูแลเรื่องเงินเฟ้ออย่างรัดกุม แม้ว่าแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ฉะนั้นเชื่อว่า วงจรเงินเฟ้อพุ่ง-ค่าแรงเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลร้ายเป็นงูกินหาง จะไม่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เฟดยังมีเหตุผลที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะขยับสูงขึ้น แต่ก็เป็นอัตราที่ไม่มากถึงขนาดที่จะเป็นอุปสรรคสกัดกั้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ประเมินว่า ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯระยะชำระคืน 10 ปีจะปรับลงมาอยู่ที่ระดับ 3.5% ภายในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ต่ำเป็นประวัติการณ์
    ภายใต้สมมติฐานนี้ ตลาดหลักทรัพย์จะยังคงคึกคัก มีการเติบโตอย่างแข็งแรงต่อเนื่องเพียงพอที่จะทำให้บริษัทในตลาดมีรายได้เพิ่มโดยไม่ต้องจ้างงานเพิ่มมากนัก ในกรณีนี้ นักลงทุนจะยังคงมั่นใจในตลาดหลักทรัพย์ และดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ที่ขยับสูงขึ้น 11 % ในปี 2553 คาดว่าจะยังคงขยับขึ้นอีก 10 % ในปีนี้ โดยคาดว่าน่าจะเข้าใกล้สถิติสูงสุดในปี 2550 ที่เคยทำไว้ที่ระดับ 14164.53 จุด ส่วนค่าเงินดอลลาร์จะยังคงอ่อนตัวลงช้าๆ เมื่อเทียบกับสุกลเงินอื่น ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกของสหรัฐฯ
    "เชื่อว่าเราคงไม่ได้เห็นท้องฟ้าที่มีมรสุมมืดครึ้มหรือท้องฟ้าที่สดใสเจิดจ้าในปี 2554 แต่เราจะได้เห็นบรรยากาศที่กึ่งๆกลางๆ ไม่เลวร้ายหรือดีเลิศจนเกินไป" เป็นทรรศนะของเจฟฟรีย์ ไคลน์ท็อป หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตลาดแห่งบริษัท แอลพีแอล ไฟแนนเชียลฯ
    จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,599 9-12 มกราคม พ.ศ. 2554
    จับตาแนวโน้มเศรษฐกิจมะกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...