เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สายสัมพันธ์ ตระกูลบุช กับ นาซีเยอรมัน
    ก่อนอื่นต้องขอย้อนสาแหรกของตระกูลบุชก่อนครับ
    ปู่ เพรสก๊อต บุช (Prescott bush)
    พ่อ จอร์จ แฮร์เบิร์ท วอร์คเกอร์ บุช (George H.W. Bush ) ประธานาธิบดีคนที่ 41
    ลูก จอร์จ วอร์คเกอร์ บุช (George W. Bush) ประธานาธิบดีคนที่ 43

    ปี 1924 W.A.Harriman & Co ลงทุน 400,000 ดอลล่าร์เพื่อตั้งUnion bank โดยมีปู่เพรสก็อต บุชมาบริหารงาน และเป็นพันธมิตรกับ Bank voor Handel en Scheepvar ในฮอลแลนด์ ซึ่งเจ้าของคือ Fritz Thyssen การเป็นพันธมิตรนี้เพื่อการตั้ง German Steel Trust โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อีกคนชื่อ Fredrick Flick บริษัทนี้ทำการลงทุนในอุตสาหกรรมถลุงเหล็กในเยอรมนีขณะนั้น อีกบริษัทนึงที่Union bank เข้าไปร่วมลงทุนด้วยคือบริษัทเดินเรือ Hamburg-Amerika Line

    โดยตัวแทนที่เพรสก็อต บุชเลือกเข้าไปนั่งเป็นตัวแทนในบอร์ดของ Hamburg-Amerika Line ชื่อ Max Warburg คนนี้เป็นที่ปรึกษายาวนานให้กับ Hjalmar Schacht ซึ่งก็คือรัฐมนตรีด้านเศษฐกิจของนาซี

    ทีนี้มาดูพาร์ทเนอร์ของเพรสก็อต บุชที่กล่าวมาในข้างต้นบ้าง

    Fritz Thyssen บริจาคเงินในพรรคนาซีเพื่อขึ้นสู่อำนาจ เป็นเงินมากกว่าหนึ่งล้านมาร์ค โดยจ่ายเงินผ่านทางธนาคาร Bank voor Handel en Scheepvarในฮอลแลนด์

    Friedrich Flick หนึ่งในเจ้าของร่วม German Steel Trust ก็ให้เงินสนับสนุนพรรคนาซีเพื่อตั้งกองทัพส่วนตัวในชื่อ Schutzstaffel หรือ หน่วยเชิ้ตดำ SS อันโด่งดัง และ Sturmabteilung หน่วยเชิ้ตน้ำตาล SA ซึ่งมีชื่อเล่นว่า Storm trooper

    Harriman Fifteen Corporation ด้วยความร่วมมือระหว่าง เพรสก็อตบุช และ Averell Harrimann ทำการลงทุนในบริษัทถลุงเหล็ก Silesian Holding Co. ซึ่งทำกิจกรรมถลุงเหล็กในโปแลนด์

    โดยสรุปแล้วการด้วยลงทุนต่างๆทำให้กลุ่มนักลงทุนอเมริกันมีส่วนแบ่งหนึ่งในสามของกิจกรรมการถลุงแร่ เหล็ก สังกะสี และ ถ่านหิน ในเยอรมันและโปแลนด์ อีกสองส่วนที่เหลือเป็นของ Friedrich Flick

    แร่ธาตุพวกนี้แหล่ะครับที่เป็นวัตถุดิบสนับสนุนให้เกิดการทำสงคราม ด้วยเหตุนี้ Friedrich Flick จึงเป็นแพะตอนสิ้นสงครามโดยติดคุกใน Nuremberg ถึงเจ็ดปี ใน new york และ london อีก สามปี แต่อย่างไรก็ตาม เค้าก็ยังรวยอยู่และตายอย่างเศษฐิพันล้านในช่วงปี 1970s
    ผลผลิตในการถลุงแร่หนักในโปแลด์ส่วนใหญ่จะถูกexport ในกับพรรคนาซีในเยอรมัน ปี 1935 รัฐบาลโปแลนด์เห็นว่า นักธุรกิจที่ลงทุนถุลงแร่หนักอย่าง บุช และ harrimann ควรจ่ายภาษีเต็ม

    บุชเลยตอบโต้ด้วยการปิดโรงงาน และตามมาด้วยการบุกโปแลนด์ของนาซีใน 1939 โดยใช้รถถัง ระเบิดที่ผลิตโดยใช้วัตถุดิบจากโปแลนด์ ซึ่งเป็นการเปิดฉากของสงครามโลกครั้งที่สอง
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตำนานการสร้างเงิน - เงินและหนี้

    เมื่อหลายปีก่อน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือรู้จักกันในนาม Federal Reserve เรียกกันสั้นๆว่า Fed ออกเอกสารที่มีชื่อว่า Modern Money Mechanics หรือแปลได้ว่ากลไกการเงินสมัยใหม่ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการสร้างเงินครับ ซึ่งพออธิบายด้วยคอนเซปคร่าวๆได้อย่างนี้ครับ

    เมื่อรัฐบาลสหรัฐเห็นว่าต้องการเงินเข้าสู่ระบบเศษฐกิจเป็นจำนวนเงิน หนึ่งหมื่นล้านดอลล่าร์
    1. รัฐบาลจะเรียกหาfed เพื่อขอเงิน fed จะตอบกลับมาที่รัฐบาลว่าตกลงจะซื้อธนบัตรมูลค่า หนึ่งหมื่นล้านดอลล่าร์
    2. รัฐบาลออกตั๋วธนบัตรแล้วใส่ค่าให้ตั๋ว หนึ่งหมื่นล้านดอลล่าร์ เรียกว่า ธนบัตรรัฐบาล (treasury bond) แล้วส่งให้fed
    3. fed ทำการปั้มกระดาษ ชื่อว่า เงินธนบัตร(Federal Reserve Notes) ใส่ค่าให้เงินเท่ากับ หนึ่งหมื่นล้านดอลล่าร์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับธนบัตรรัฐบาล
    4. เมื่อการแลกเปลี่ยนสำเร็จ เงินจะถูกฝากเข้าในบัญชีธนาคาร เงินพวกนี้เรียกกันทางการว่า Legal render ครับ

    ในท้ายที่สุดเงินพวกนี้จะเข้าเป็นอุปทานเงิน หรือที่เราจะได้ยินบ่อยๆว่า money supply ครับ จริงๆแล้วสี่ขั้นตอนข้างบนจะทำกันในระบบอิเล็กทรอนิกส์ เงินที่ถูกพิมพ์จริงๆเพื่อใช้ในระบบมีอยู่แค่ประมาณ 3% ของเงินทั้งหมดครับ ที่เหลือ 97% ถูกเก็บในคอมพิวเตอร์

    ลองนึกตามนะครับ ธนบัตรรัฐบาลที่fedแลกเปลี่ยนกับธนบัตรที่เป็นเงิน ที่เราใช้กันอยู่ การสร้างเงินนี้สร้างจากอากาศครับหรือ thin air นั้นเอง การแลกเปลี่ยนนี้รัฐบาลก็ต้องสัญญาด้วยว่าจะจ่ายคืน fed ด้วยวิธีการนี้หมายความว่าเงินถูกสร้างขึ้นจากหนี้

    ตอนนี้มาถึงตอนสำคัญครับเพราะเกี่ยวกับผู้ใช้เงินอย่างพวกเรา เงินหมื่นล้านดอลล่าร์ถูกกระจายเข้าในระบบและฝากในธนาคารพาณิชย์

    ด้วยกฏของfed เอง
    "A bank must maintain legally required reserves, equal to a prescribed percentage of its deposits. It then quantifies this by stating: under current regulations, the reserve requirement against most transaction accounts is 10%."

    หมายความว่า ธนาคารต้องการแค่ 10% เพื่อคงในธนาคาร จากหมื่นล้านดอลล่าร์ที่มี ธนาคารก็สามารถสร้างเงินต่อไปได้อีก 90% คือเก้าพันล้านดอลล่าร์ เพื่อให้กู้ แล้วคงหมื่นล้านดอลล่าร์ที่มีไว้ ตรงนี้เป็นสาเหตุให้อุปทานเงินขยายออกไปได้เรื่อยๆ โดยเงินเก้าพันล้านดอลล่าร์ก็เกิดจากอากาศอีกเหมือนกันครับ

    กระบวนการที่อธิบายไว้ข้างต้น ธนาคารสามารถให้กู้กับเอกชนรายย่อย แล้วฝากเงินกลับเข้าธนาคารไปเรื่อยๆเป็นวัฐจักร ในท้ายที่สุด จากเงินหนึ่งหมื่นล้านดอลล่าร์ ก็กลายเป็น เก้าแสนล้านดอลล่าร์

    เงินที่ถูกปั้มขึ้นมาเรื่อยๆ จะขโมยค่าของเงินที่มีอยู่ไปเรื่อยๆ เหมือนเราเอาโอ่งมังกรมาหนึ่งใบ เอาน้ำส้มใส่ลงไปหนึ่งฝา แล้วเติมน้ำไปเรื่อยๆ น้ำส้มเปรียบกับสินทรัพย์ในระบบเศษฐกิจเช่นทองคำ เงิน ที่ดิน น้ำเปรียบได้กับเงินที่ปั้มในระบบ

    จากปี 1913 ถึง 2007 ค่าเงินดอลล่าร์ลดค่าไป 96% ครับ การปั้มเงินจากอากาศเป็นกราฟอย่างก้าวกระโดดในสมัย อดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช เพื่อปั้มเงินไปทำสงครามในอีรัก และ อัฟกานิสถานครับ

    เงินที่อยู่ในกระเป๋าของเราเป็นหนี้ที่ก่อโดยใครบางคนโดยคนบางคน ยิ่งมีเงินมาก หนี้ก็มาก ยิ่งมีหนี้มาก เงินก็มาก ถ้าดูชาร์ทของหนี้กับเงินของสหรัฐอเมริกาจะเห็นว่าสัมพันธ์กันครับ

    ฉะนั้นเงินเกิดจากหนี้เป็นวัฐจักรที่ย้อนกลับมาประชาชนอย่างพวกเราครับ เพื่อที่จะหาเงินหรือพูดในอีกแบบนึงคือการดึงเงินออกจากอุปทานเงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ที่นี้จะลืมไปไม่ได้ครับว่าการกู้เงินไม่ว่าจากรัฐบาลหรือจากธนาคารต้องจ่ายคืนด้วยดอกเบี้ย คำถามคือแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายดอกเบี้ยครับ

    ง่ายมากครับเงินเหล่านั้นไม่มีอยู่ ด้วยวัฐจักรหนี้ชนหนี้ และการให้กุ้ เพื่อขยายอุปทานเงินเป็นต้นเหตุของเงินเฟ้อ เรียกได้ว่าเงินเฟ้อเป็นส่วนสำคัญของระบบเศษฐกิจแบบmonetary เลยก็ว่าได้ครับ สุดท้ายสินทรัพย์ก็จะตกเป็นของธนาคารไปโดยปริยาย ประชาชนก็กลายเป็นทาสของระบบการเงิน

    "The bold efforts the present bank has made to control the government are but premonitions of the fate that awaits the American people should they be deluded into a perpetuation of this institution or the establishment of another like it."
    President Andrew Jackson

    ในประวัติศาสตร์มีความพยายามที่จะปิดธนาคารกลางหลายครั้งครับ เพราะด้วยระบบนี้ ทำให้รัฐและประชาชนเป็นทาสของธนาคาร ครั้งที่สำคัญที่สุดคือตอนสมัยประธานาธิบดี Andrew Jackson ที่ทำการปิดธนาคารกลางสหรัฐในปี 1835 แต่ก็ไม่นานหลังจากนั้น ในปี1913, ก็มีการตั้งธนาคารกลางใหม่คือ Federal Reserve หรือ Fedที่ตั้งมาจนถึงปัจจุบัน ต้องเข้าใจอย่างนึงครับว่าธนาคารกลางหรือ Fed ฟังดูเหมือนเป็นของรัฐบาล แต่จริงๆแล้วเป็นเอกชนครับโดยคนกลุ่มหนึ่ง ตระกูลหนึ่งที่เป็นเจ้าของธนาคารกลางของหลายประเทศ นับว่ารวยจนมหาเศษฐีอย่างบิลเกทเป็นแค่ตัวตลกไปเลย แล้วจะเขียนต่อไปในโอกาสหน้าครับ


    "Debt is the weapon used to conquer and enslave societies and Interest is its prime ammunition"
    หนี้เป็นอาวุธในการเข้ายึดและทำให้สังคมกลายเป็นทาส โดยใช้ดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือ
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    3 กลยุทธ์แทรกแซงอำนาจของซีไอเอ
    ผมขอเริ่มบทความนี้ด้วย ประโยคจาก John smith วุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกาเมื่อสองร้อยปีที่แล้วครับ
    "There are two ways to conquer and enslave a nation. One is by the sword. The other is by debt."

    การยึดครองและแปลงชาติให้เป็นทาส ทำได้ด้วยศาสตราวุธ หรือด้วยหนี้

    หนึ่งในภาระกิจหลักของซีไอเอคือการเข้าไปแทรกแซงอำนาจและครองผลประโยชน์ในประเทศต่างๆครับ การเข้าแทรกแซงอำนาจมีด้วยกันหลายวิธี โดยทำเป็นลำดับขั้นตอนเรียงกันไปตามนี้ครับ

    1. Economic Hitmen - ถ้าพูดถึง hitman หลายคนคงนึกถึงพระเอกที่เดินถือปืนยิงใส่ผู้ร้ายตั้งแต่เริ่มเรื่องไปจบเรื่อง กลยุทธ์นี้ก็คล้ายๆกันครับ คือมี กลุ่มบุคคลที่เรียกว่า Economic hitmen กลุ่มคนพวกนี้จะเข้าไปในประเทศที่มีทรัพยากรที่สำคัญๆ เช่นน้ำมัน แร่ธาตุ ก๊าซธรรมชาติ ก่อกวนระบบเศษฐกิจให้เป็นฟองสบู่ เมื่อเกินวิกฎติก็ให้กู้เงินเป็นจำนวนมหาศาลโดยที่ไม่มีความหวังว่าจะคืนได้ โดยผ่านทาง world bank หรือ กองทุน IMF เงินที่กู้นี้ไม่ได้เข้าประเทศนั้นๆแต่อย่างใดครับแต่เข้ากระเป๋าเอกชนที่เป็นตัวแทนของ economic hitmen ที่ตั้งไว้แล้ว โดยแบ่งเค้กกันมีส่วนในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่างๆของประเทศ และปล่อยให้ประชาชนรับภาระจ่ายคืน

    ส่วนใหญ่หลังจากการให้กู้ มักมีการสนับสนุนคนของพวกEconomic hitmenเข้ามามีอำนาจเป็นผู้นำประเทศครับ เพื่อดำเนินการให้กฤการกู้เป็นไปตามแผน ท้ายที่สุดแล้วเมื่อประเทศนั้นๆไม่สามารถจ่ายเงินคืนได้ ก็มีการแลกเปลี่ยนต่างๆเช่น สัมปทานน้ำมันราคาถูก, ตั้งฐานทัพ, การขายกิจการสาธารณูปโภคให้เอกชนของ economic hitmen เข้าครอง, คะแนนโหวตในสหประชาชาติ

    2. The Jackal - มีเหมือนกันครับที่ประเทศที่กู้เงินไปแล้วไม่เป็นไปตามแผน ตัวอย่างเช่น อิหร่านในปี 1953 Mohammad Mossadegh ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของอิหร่าน คนนี้เรียกได้ว่าเป็นสัญญลักษณ์ของประชาธิปไตยในตะวันออกกลางเลยทีเดียว แถมได้เป็น man of the year ของนิตยสาร Time อีกด้วย แต่โมซาเดสได้ทำการเปลี่ยนนโยบายสัมปทานน้ำมันที่ส่วนใหญ่เป็นของชาติตะวันตกครอบครอง ให้ต้องจ่ายเงินให้มากขึ่นในกับประชาชนอิหร่าน แน่นอนครับนโยบายนี้ขัดใจสหรัฐ ซีไอเอเลยทำการส่งสายลับซีไอเอเข้าไปชื่อว่า เคอมิท รูสเวลต์ กับเงินอีกสองสามล้านดอลล่าร์ เป็น The Jackal เพื่อทำการก่อการประท้วงล้มอำนาจโมซาเดส แล้วตั้ง กษัตริย์ชาห์แห่งอิหร่านขึ้นมาแทน แผนนี้เป็นไปได้ด้วยดีครับ ซีไอเอได้แต่นั่งยิ้มอยู่ทีบ้านเพราะลงทุนไปน้อยมากแต่ผลลัพท์เกินคาด

    หน้าที่ของ The jackal นอกจากออกเงินให้เกิดการปฏวิติโค่นล้มแล้ว ก็คือการลอบสังหารผู้นำครับ เช่นในปี 1981 Jaime Roldos ผู้นำของเอกัวดอร์, ในปี 1981 Omar Torrijos ผู้นำของปานามา

    บางทีแผนนี้ก็ล่มได้เหมือนกันครับ เช่นใน เวเนซูเอร่าปี 2001 เกิดวิกฏติเศษฐกิจที่ทำโดย economic hitmen แผนกำลังไปได้สวย แต่เมื่อ ฮิวโก้ ชาเวชได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ทุกอย่างเริ่มสั่นคลอน เพราะ ชาเวชเปลี่ยนนโยบายให้น้ำมันช่วยคนเวเนซูเอร่าก่อน จึงเกิดความพยายามล้มอำนาจโดย ให้ The jackal ทำการสนับสนุกกองทัพให้ออกมาปฏิวัติ แต่ชาเวชเป็นคนฉลาดครับ แก้สถานการณ์มาได้ และดึงประชาชนให้อยู่กับเค้าได้ หลังจากนั้นมีความพยายามลอบสังหารหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ


    3. War - ยกตัวเอย่างเช่นในอีรักครับ ใช้มาหมดทั้งสองกลยุทธ์แล้ว ยังไม่ได้ผล การลอบสังหารทำแถบนับครั้งไม่ถ้วน แต่ซัดดัม ฮุสเซน เคยทำงานกับทางซีไอเอ เลยรู้ทุกแง่มุมการทำงานของซีไอเอ รอดตายมาได้ทุกครั้ง ท้ายสุดตามมาด้วยการยกกำลังเข้ายึดเป็นสงครามอ่าวเปอร์เซียทั้งสองครั้งครับ
     
  4. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,860
    ข้อมูลคุณ K.kwan แน่นดี น่ะครับ....ขอบคุณที่แสวงหามาเล่าสู่กันฟัง
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

    The American Dream ( Nightmare ) 30 mns


    สัญลักษณ์โล่ห์สีแดง ( Red Shield )ในการ์ตูนที่มีรูปนกฟีนิกซ์อยู่ตรงการกลางสื่อถึง ตราประจำตระกูลร๊อธไชลด์ ( Rothchild ) ซึ่งเป็นภาษาเยอรมันของคำว่า Red Shield หรือโล่ห์สีแดงนั่นเอง

    และครอบครัวร๊อธไชลด์นี้ก็คือเจ้าของเครือข่ายธนาคารกลางยุโรปทั้งหมด(ECB) อังกฤษ(Bank of England) รวมทั้งเฟด(Federal Reserve Bank) ของสหรัฐ โดยเป็นความร่วมมือกันของนักการเมือง นักการเงิน การธนาคารท้องถิ่น และอีกหลายๆ ตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมแขนงต่างๆ ของสหรัฐ เช่น JP Morgan, JD Rockyfeller, Dupont, Ford, Disney, และ Schiff หรือก็คือหลายๆตระกูลผู้ทรงอิทธพลของสหรัฐในช่วง ศตวรรษที่ 19-20


    ซึ่งที่แท้จริงแล้วก็คือผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังความปั่นป่วนวุ่นวายของเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ทั้งหมด และนับย้อนหลังไปอีกนับ 100 ปี รวมทั้งวิกฤติการณ์ "ต้มยำกุ้ง" ของไทย เมื่อปี 2540 รวมทั้งของเอเซีย และของโลกแทบทั้งหมด

    การ์ตูนแอนนิเมชั่นเรื่องนี้จะอธิบายถึง "ฝันร้าย" ของชาวอเมริกัน ที่ถูกปลูกฝังเป็นค่านิยมมาอย่างยาวนาน ว่ามันคือ " The American Dream "


    <EMBED height=340 type=application/x-shockwave-flash width=560 src=http://www.youtube.com/v/LuySIBEVkzs?fs=1&hl=en_US&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2011/01/american-dream-nightmare-30-mns.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2011-01-08T21:42:00+07:00>9:42 หลังเที่ยง</ABBR> 0 comments [​IMG] [​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-5574938336041899834")); } </SCRIPT>ยุคตื่นทอง ( Gold Rush ) แห่งปี 2011........by Gerald Celente


    <EMBED height=306 type=application/x-shockwave-flash width=500 src=http://www.youtube.com/v/XdPKdbZnOXg?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01 allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2011/01/gold-rush-2011by-gerald-celente.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2011-01-08T18:41:00+07:00>6:41 หลังเที่ยง</ABBR> 0 comments [​IMG] [​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-6138404061203054814")); } </SCRIPT>Why are we going into ECONOMIC COLLAPSE !!!


    <EMBED height=306 type=application/x-shockwave-flash width=500 src=http://www.youtube.com/v/ty3_UJSGt3c?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>



    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    360 องศา: ความไม่มั่นคงทางศก.ส่งเสริม'โรคอ้วน'
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>9 มกราคม 2554 20:42 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจอาจทำให้คนกินมากเกินไปและทำให้โรคอ้วนระบาด

    เอเจนซี - ความเครียดจากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจอาจทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยในประเทศเศรษฐกิจ ‘ตลาดเสรี’ มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนมากขึ้น

    ในรายงานที่อยู่ในวารสารอิโคโนมิกส์ แอนด์ ฮิวแมน ไบโอโลจี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษพบว่าคนอเมริกันและอังกฤษมีแนวโน้มมากกว่าคนนอร์เวย์และสวีเดนที่จะเป็นโรคอ้วน ซึ่งบ่งชี้ว่าความเครียดในชีวิตในระบบสังคมที่มีการแข่งขันโดยปราศจากระบบสวัสดิการที่เข้มแข็งของรัฐรองรับ อาจทำให้คนเรากินมากเกินไป

    “นโยบายในการลดระดับโรคอ้วนมุ่งเน้นที่การส่งเสริมให้คนดูแลตัวเอง แต่การศึกษานี้ชี้ว่าโรคอ้วนมีสาเหตุมาจากสังคม

    “ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากตลาดที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น อาจต้องแลกกับสุขภาพของประชาชนและปัญหาสาธารณสุข ประเด็นนี้ยังแทบไม่มีใครมองเห็นกันเลย” แอฟเนอร์ ออฟเฟอร์ ศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจซึ่งเป็นผู้นำการวิจัยครั้งนี้ กล่าว

    ทีมนักวิจัยศึกษาจากประเทศมั่งคั่ง 11 ชาติ และพบว่าประเทศที่ใช้ระบบตลาดเสรีมีแนวโน้มที่ประชาชนจะเป็นโรคอ้วนมากกว่าประเทศอื่นราว 1 ใน 3

    เมื่อเปรียบเทียบประเทศตลาดเสรี 4 ชาติที่พูดภาษาอังกฤษ ได้แก่ สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย กับประเทศมั่งคั่ง 7 ชาติในยุโรปที่มีระบบสวัสดิการสังคมเข้มแข็งกว่าคือ ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี นอร์เวย์ สเปน และสวีเดน นักวิจัยพบว่าความไม่มั่นคงทางสังคมมีความเชื่อมโยงแน่นหนากับระดับความแพร่หลายของโรคอ้วน

    ประเทศที่มีความมั่นคงทางการงานและรายได้สูงจะมีระดับความแพร่หลายของโรคอ้วนต่ำ

    “โดยพื้นฐานแล้ว เราคิดว่าการปฏิรูประบบตลาดเสรีกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันทั้งในสภาพแวดล้อมการทำงานและการบริโภค ซึ่งบั่นทอนเสถียรภาพและความมั่นคงส่วนบุคคล” ออฟเฟอร์กล่าวในรายงานและเสริมว่า การเกิดขึ้นและแพร่หลายของโรคอ้วนเริ่มต้นระหว่างทศวรรษ 1980 พร้อมกับความแพร่หลายของระบบตลาดเสรีในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ

    การระบาดของโรคอ้วนในประเทศมั่งคั่งมักถูกนำไปโยงกับอาหารราคาถูกที่เข้าถึงง่าย ให้พลังงานสูง และผ่านการแปรรูปตามร้านฟาสต์ฟูดและซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า ‘ฟาสต์ฟูด ช็อก’ ทว่า นักวิจัยทีมนี้กลับพบว่าเศรษฐกิจมีอิทธิพลสำคัญต่อเรื่องนี้มากกว่า

    นักวิจัยได้ตรวจสอบผลกระทบจากฟาสต์ฟูดโดยใช้ดัชนีราคาที่นิตยสารอิโคโนมิสต์คิดค้นขึ้น ซึ่งแสดงถึงราคาบิ๊กแมคของแมคโดนัลด์ที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ

    นักวิจัยพบว่าปัจจัยความพร้อมให้บริการของฟาสต์ฟูดมีผลต่อการระบาดของโรคอ้วนแค่เพียงครึ่งเดียวของปัจจัยความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ

    “สิ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อระดับความแพร่หลายของโรคอ้วนที่เราพบคือความไม่มั่นคง”

    นักวิจัยสำทับว่า ได้ศึกษาข้อมูลในระดับประเทศเท่านั้น และขณะนี้กำลังศึกษาข้อมูลในระดับบุคคลเพื่อค้นหาปัจจัยที่ทำให้คนกินมากเกินไป
    Around the World - Manager Online - <b><font color=blue>360 ͧ
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รมว.กลาโหมสหรัฐฯเยือนปักกิ่ง วิตก'มังกร'พัฒนาเทคโนฯอาวุธ'ไว'
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>9 มกราคม 2554 20:37 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    รัฐมนตรีกลาโหม โรเบิร์ต เกตส์ ของสหรัฐฯ ได้รับการต้อนรับ ขณะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง วันนี้ (9)

    เอเอฟพี - รัฐมนตรีกลาโหม โรเบิร์ต เกตส์ ของสหรัฐฯ บอกกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันเสาร์(7)บนเครื่องบินทหารที่กำลังพาคณะของเขาเดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่ง ยอมรับว่ารู้สึกกังวลต่อข่าวที่จีนทำท่าสามารถพัฒนาอาวุธไฮเทคได้รวดเร็วกว่าที่ฝ่ายอเมริกันคาดหมาย พร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้ปรับปรุงสายสัมพันธ์ทางทหารระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง เพื่อช่วยลดทอนความตึงเครียดระหว่างกัน

    เกตส์ซึ่งมีกำหนดเยือนแดนมังกรเป็นเวลา 3 วันเริ่มตั้งแต่วานนี้(8) กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ฝ่ายจีนดูจะประสบความก้าวหน้ามากกว่าที่ฝ่ายสหรัฐฯคาดการณ์ไว้ในเรื่องการสร้างเครื่องบินขับไล่ไอพ่นใช้เทคโนโลยี “สเตลท์” ซึ่งสามารถหลบหลีกระบบเรดาร์และแสงอินฟราเรด ส่วนเรื่องที่ปักกิ่งสามารถพัฒนาขีปนาวุธประเภทยิ่งใส่เรือบรรทุกเครื่องบิน ก็อาจเป็นศักยภาพที่เป็นการคุกคามกองทัพสหรัฐฯ

    “เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขามีศักยภาพที่ทำให้สมรรถนะของเราบางอย่างบางประเภทตกอยู่ในความเสี่ยง และเราก็จะต้องให้ความสนใจกับศักยภาพเหล่านี้ โดยที่เราก็ได้ทำการตอบโต้รับมืออย่างเหมาะสมด้วยโครงการต่างๆ ของเราเอง” เกตส์บอก

    อย่างไรก็ดี เขาก็ชี้ด้วยว่าสหรัฐฯยังไม่แน่ใจว่าเครื่องบินขับไล่ใช้เทคโนโลยีสเตลท์ของจีน จะมีความสามารถในการหลบหลีกการตรวจจับของเรดาร์ได้มากมายขนาดไหนแน่ ขณะที่เรื่องขีปนาวุธยิงเรือบรรทุกเครื่องบินนั้น เกตส์บอกว่าทราบว่าแดนมังกรไปถึงขั้นตอนก้าวไกลมากแล้ว ทว่ายังไม่ชัดเจนว่าถึงระดับนำไปใช้ปฏิบัติการได้อย่างเต็มที่แล้วหรือยัง

    สืบเนื่องจากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นจากอาวุธทันสมัยต่างๆ ของจีน เกตส์ระบุว่าในร่างงบประมาณด้านกลาโหมของสหรัฐฯที่เขานำออกมาเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี(6)ที่แล้ว จึงให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ แก่เทคโนโลยีที่มุ่งใช้รับมือพวกอาวุธประเภท “ต่อต้านการเข้าถึง” ('anti-access' weapons)

    ทั้งนี้ในร่างงบประมาณเพนตากอนประจำปีงบประมาณ 2012 กำหนดให้ทุ่มงบประมาณแก่การพัฒนาเครื่องบินทิ้งระเบิดอาวุธนิวเคลียร์พิสัยไกลรุ่นใหม่, อุปกรณ์รบกวนระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับกองทัพเรือ, ระบบเรดาร์ที่ปรับปรุงพัฒนายิ่งขึ้นสำหรับเครื่องบินขับไล่เอฟ-15, ยานสำหรับปล่อยดาวเทียม, และ “เครื่องบินโจมตีและตรวจการณ์”แบบไร้นักบินสำหรับกองทัพเรือ

    อย่างไรก็ตาม เกตส์ระบุว่า ความก้าวหน้าด้านการพัฒนาอาวุธของแดนมังกร เป็นเครื่องตอกย้ำให้เห็นความสำคัญของการสร้างกลไกให้เกิดการสนทนากันทางทหารระหว่างประเทศทั้งสอง พร้อมกับเสริมว่าเขาหวังว่าการเยือนของเขาคราวนี้จะปูทางให้แก่สายสัมพันธ์ด้านกลาโหมที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นระหว่างสหรัฐฯกับจีน

    “ความหวังของผมก็คือ โดยผ่านการสนทนากันในทางยุทธศาสตร์ซึ่งผมกำลังพูดถึงนี้ ก็อาจจะทำให้มีการลดทอนสมรรถนะเหล่านี้ลงมาบางอย่างบางประการ” เกตส์กล่าว

    ประธานาธิบดีหูจิ่นเทาของจีนนั้น มีกำหนดการไปเยือนกรุงวอชิงตันอย่างเป็นรัฐพิธีในวันที่ 19 เดือนนี้ และทั้งสองฝ่ายดูมีความกระตือรือร้นที่จะแสดงให้เห็นว่ามีความคืบหน้าในสายสัมพันธ์ด้านกลาโหม

    “มีความชัดเจนมากว่าฝ่ายจีนต้องการให้ผมมา (ปักกิ่ง) ก่อนที่ประธานาธิบดีหูจะเยือนวอชิงตัน” เขาระบุ
    Around the World - Manager Online -
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    360 องศา: วัคซีนช่วยเลิกเหล้าใกล้ความจริงนักวิจัยเตรียมทดลองกับคนปีหน้า
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>9 มกราคม 2554 20:29 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    นักวิจัยชิลีพัฒนาวัคซีนช่วยเลิกเหล้า คาดสามารถทดลองกับมนุษย์ได้ในปีหน้า

    เอเจนซีส์ - เอนไซม์ในตับช่วยให้คนติดเหล้าทนทานต่อผลจากการดื่ม ข่าวดีคือนักวิจัยค้นพบวิธีเลิกเหล้าด้วยวัคซีนที่จะทำให้รู้สึกถึงอาการเมาค้างตั้งแต่กระดกไปแค่ไม่กี่แก้ว

    นักวิจัยจากชิลีอธิบายกลไกการทำงานของวัคซีนนี้คือ การทำให้กลุ่มเอนไซม์ที่ช่วยให้ร่างกายย่อยสลายแอลกอฮอล์เป็นกลาง

    กลุ่มเอนไซม์นี้มีชื่อว่า aldehyde dehydrogenase มันช่วยให้ร่างกายสะสมความต้านทานต่อผลจากการดื่มแอลกอฮอล์

    ฮวน อาเซนโจ จากคณะวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิลี บอกว่าประชากรเอเชีย 20% ไม่มีเอนไซม์นี้จึงมีปฏิกิริยาต่อต้านการดื่มแอลกอฮอล์อย่างรุนแรง

    วัคซีนใหม่นี้จะกระตุ้นให้ผู้ดื่มคลื่นไส้ หัวใจเต้นแรง เหงื่อแตก และไม่สบายตัว ทำให้รู้สึกอยากดื่มน้อยลงอย่างชัดเจน

    อาเซนโจเสริมว่าเป้าหมายการทำงานของวัคซีนจะพุ่งไปที่เซลล์ในตับ และไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาแง่ลบต่อเซลล์อื่นๆ

    นักวิจัยประสบความสำเร็จในการทดลองวัคซีนนี้กับหนูที่ติดเหล้า ซึ่งภายหลังจากฉีดวัคซีน หนูกินเหล้าน้อยลงถึงครึ่งหนึ่ง และจะทดลองกับสัตว์อื่นๆ ในปีนี้ก่อนทดลองกับคนในปี 2012

    อาเซนโจหวังว่าวัคซีนใหม่จะทำให้คนดื่มเหล้าลดลง 90-95%

    อนึ่ง รายงานฉบับนี้ออกมาหลังจากก่อนหน้านี้หนึ่งวันนักวิจัยจากวิทยาลัยแพทย์เวลล์ คอร์เนลล์ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่าได้พัฒนาวัคซีนบำบัดผู้ติดโคเคนสำเร็จ

    นักวิจัยกลุ่มนี้พัฒนาระบบภูมิต้านทานโคเคนที่มีผลยาวนานในหนู ด้วยการฉีดวัคซีนที่รวมเชื้อไข้หวัดกับอนุภาคของโคเคนปลอม

    “จากข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่า เราสามารถปกป้องหนูจากผลของโคเคน และเราคิดว่าวิธีการนี้จะช่วยบำบัดผู้ติดโคเคนได้” ดร.อาร์โนลด์ คริสตัล ผู้นำการวิจัยกล่าวและว่า ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายในหนูทดลองที่ได้รับวัคซีนจะตอบสนองก่อนที่โคเคนจะไปถึงสมอง จึงป้องกันอาการอยู่ไม่นิ่งอันเป็นผลเกี่ยวเนื่องจากยาเสพติดชนิดนี้

    Around the World - Manager Online - <b><font color=blue>360 ͧ
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หนุ่มโรคจิตกราดยิง “ส.ส.เดโมแครต” โคม่า ผู้พิพากษา-เด็กหญิง 9 ขวบเสียชีวิต
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>9 มกราคม 2554 12:15 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    แกบริแอล กิฟฟอร์ดส ส.ส.หญิงเชื้อสายยิวจากพรรคเดโมแครต
    เอเอฟพี - ส.ส.หญิงจากพรรคเดโมแครตถูกยิงที่ศีรษะบาดเจ็บสาหัสวานนี้(8) ที่เมืองทูซอน รัฐแอริโซนา และยังมีผู้เสียชีวิตอีก 6 คน รวมไปถึงผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลาง และเด็กหญิงวัย 9 ขวบ

    ประธานาธิบดี บารัค โอบามา กล่าวประณามการทำร้าย แกบริแอล กิฟฟอร์ดส ส.ส.พรรคเดโมแครต ว่า เป็น “โศกนาฏกรรมของชาวสหรัฐฯทั้งประเทศ” ด้านตำรวจคาดว่า น่าจะมีคนร้ายร่วมปฏิบัติการมากกว่า 1 คน

    นายอำเภอ แคลเรนซ์ ดุปนิก เปิดเผยว่า แจเร็ด ลี โลเนอร์ มือปืนวัย 22 ปี เคยมีประวัติอาชญากรรมและมีอาการทางจิตเล็กน้อย ซึ่งขณะนี้เขาอยู่ในเรือนจำ และไม่ยอมให้การใดๆกับตำรวจ

    รายงานเบื้องต้นระบุว่า กิฟฟอร์ดส วัย 40 ปี เสียชีวิตหลังถูกยิงที่หน้าห้างสรรพสินค้าเซฟเวย์ พร้อมกับผู้พิพากษา จอห์น โรลล์ และเด็กหญิงอีกคนหนึ่ง แต่ทีมแพทย์กล่าวว่า เธออาจมีอาการดีขึ้น แม้จะถูกยิงเข้าที่สมองก็ตาม

    “เธอยังอยู่ในขั้นวิกฤต แต่ผมเชื่อว่ายังมีโอกาสดีขึ้น แม้จะบอกไม่ได้ว่าดีขึ้นในลักษณะไหนก็ตาม” ปีเตอร์ รี หัวหน้าฝ่ายอาการบาดเจ็บจาก ยูนิเวอร์ซิตี้ เมดิคอล เซ็นเตอร์ เมืองทูซอน กล่าว

    เหตุกราดยิงดังกล่าวเกิดขึ้นในงาน “คองเกรส ออน ยัวร์ คอร์เนอร์” ซึ่งมีผู้มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 คนและบาดเจ็บอีก 12 คน ตามรายงานของตำรวจ ส่วนประธานาธิบดี โอบามา ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 ราย

    ก่อนหน้านี้เกิดเหตุลอบวางระเบิดหน่วยงานราชการ 2 แห่งในรัฐแมริแลนด์เมื่อวันพฤหัสบดี(6)ที่ผ่านมา และที่ทำการไปรษณีย์ในกรุงวอชิงตันดีซีก็ถูกโจมตีในลักษณะเดียวกันเมื่อวันศุกร์(7)

    กิฟฟอร์ดส วัย 40 ปี สมรสกับ มาร์ก เคลลี นักบินอวกาศของนาซา และเป็นสตรีชาวยิวคนแรกที่ได้รับเลือกเป็น ส.ส. จากรัฐแอริโซนา เมื่อปี 2006

    Around the World - Manager Online - ˹
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โฆษกเวียดนามแจง นักการทูตสหรัฐฯ เบ่งคับถนนตะโกนใส่ชาวบ้าน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>9 มกราคม 2554 21:41 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    นางเหวียนเฟืองงา (Nguyen Phuong Nga) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นอดีตเลขานุการเอกฝ่ายสารสนเทศ สถานทูตเวียดนามประจำประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อน กำลังแถลงข่าวประจำสัปดาห์วันพฤหัสบดี 6 ม.ค.2554 ระบุว่านักการทูตสหรัฐฯ คนหนึ่งได้ "สร้างปัญหา" ให้แก่เวียดนาม.
    ASTVผู้จัดการออนไลน์-- โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม นางเหวียนเฟืองงา (Nguyen Phuong Nga) กล่าวว่า ชาวอเมริกันผู้หนึ่งซึ่งเวลาต่อมา ได้ทราบว่าคือ นายคริสเตียน เมอร์ชันต์ (Christian Merchant) เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงฮานอย ได้ประพฤติตนไม่เหมาะสม มีปากเสียงและผลักชาวเวียดนาม เหตุเกิดในนครเหว (Hue) ทางภาคกลางของประเทศ

    โฆษกของเวียดนามกล่าวถึงเหตุการณ์ ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ทำการประท้วงอย่างรุนแรงสัปดาห์ที่แล้ว

    สหรัฐฯ แถลงในวันพฤหัสบดี 6 ม.ค.2554 ว่าได้ทำการประท้วงต่อเวียดนามหลังจากนักการทูตของตนคนหนึ่งถุูกกีดกันและถูกควบคุมตัว ขณะเดินทางไปเยี่ยมเยือน คุณพ่อเหวียนวันหลี (Nguyen Van Ly) นักบวชนิกายคาทอลิกที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับทางการคอมมิวนิสต์ ที่บ้านพัก โดยเหตุเกิดก่อนหน้านั้่น 1 วัน

    "นี่เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงมาก" นายไมเคิล มิคาลัก (Michael Michalak) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เปิดแถลงในวันพฤหัสบดี โดยย้ำว่าความตกลงของที่ประชุมกรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูตนั้น ระบุไว้ชัดเจนให้ประเทศต่างๆ ต้องอำนวยความสะดวกอย่างยิ่งแก่บรรดาทูตานุทูตที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละประเทศ

    เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ ขณะที่สำนักข่าวเอเอฟพีอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวว่า นักการทูตสหรัฐฯ ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเวียดนาม กีดกันมิให้เข้าไปในอาคารหลังหนึ่ง เพื่อเยี่ยมสาธุคุณหลี ที่นัดแนะกันไว้ล่วงหน้า

    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามแถลงในวันเดียวกันว่า รัฐบาลมีนโยบายแน่แน่วในการเอื้ออำนวยความสะดวกต่างๆ ให้แก่นักการทูตของมิตรประเทศ ตามข้อตกลงกรุงเวียนนาปี 1961 แต่ในขณะเดียวกันนักการทูตประเทศต่างๆ ก็มีพันธะต้องเคารพกฎหมายของประเทศเจ้าบ้านด้วย

    โฆษกกล่าวว่า เจ้าหน้าที่เวียดนามให้ความสนใจต่อเหตุการณ์วันที่ 5 ม.ค.2554 ที่ถนนฟานดี่งฟุง (Phan Dinh Phung) ในนคราเหว จ.เถือะเทียนเหว (Thua Thien Hue) ซึ่งมีชาวต่างชาติผู้หนึ่งใส่สูท ถือกระเป๋าเอกสาร และตะโกนทั้งเป็นภาษาอังกฤษและภาษาเวียดนาม ต่อหน้าชาวเวียดนามจำนวนหนึ่งที่รายล้อมอยู่ ทำให้เจ้าหน้าที่แผนกวิเทศสัมพันธ์ของนคร เข้าไปคลี่คลาย

    ชาวต่างชาติคนดังกล่าวแนะนำตัวเองว่าเป็นนักการทูตของสถานทูตสหรัฐฯ และกล่าวว่า ตนเองมีสิทธิ์จะไปไหนมาไหนก็ได้ ทั้งผลักเจ้าหน้าที่เวียดนามออกไปให้พ้น ชาวต่างชาติผู้นี้ยังเดินฝ่าเข้าไปในกลุ่มชาวเวียดนามที่อยู่ใกล้เคียงกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ และแหวกทางออกไป

    โฆษกเวียดนามกล่าวว่า สาถานการณ์เช่นนั้นทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของนครเหว ต้อง "เชิญ" ชาวต่างชาติซึ่งทราบในเวลาต่อมาว่าคือนายเมอร์ชันต์ ไปยังสำนักงาน แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือใดๆ และเดินออกจากที่ทำการไป ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นการ "สร้างความยุ่งยาก" ให้แก่เวียดนาม

    อย่างไรก็ตามกรณีเกิดขึ้นในท่ามกลางความสัมพันธ์ที่กำลังพัฒนาขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ระหว่างสองประเทศที่เคยเป็นศัตรูกันอันยาวนาน ซึ่งยุติลงโดยฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือกับกองโจรเวียดกงในภาคใต้ได้ชัยชนะในปี 2518 และ รวมเวียดนามเหนือกับใต้เข้าด้วยกันในปีถัดมา

    นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เดินทางเยือนเวียดนามมาแล้ว 2 ครั้ง และ ประกาศจุดยืนที่จะให้กรณีพิพาทในทะเลจีนใต้ระหว่างจีน กับเวียดนามและอีกหลายประเทศในอาเซียน ต้องแก้ไขด้วยการประชุมเจรจาแบบพหุภาคี ซึ่งรวมทั้งสหรัฐฯ ที่มีผลประโยชน์อยู่ในภูมิภาคนี้ด้วย.

    IndoChina - Manager Online -
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จีนผุดบริการ “รับจ้างขับรถแทนในช่วงการจราจรติดขัด”
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>10 มกราคม 2554 08:29 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>แฟ้มภาพเมื่อเดือนต.ค.2553 ผู้ขับรถยนต์ชาวจีนออกมาดูสภาพการจราจรที่ติดขัดยาวเหยียดที่ด่านเก็บเงินบริเวณชานกรุงปักกิ่ง ทั้งนี้ ชาวจีนหัวใสเปิดบริการรับจ้างขับรถแทนในช่วงการจราจรติดขัด เพื่อแก้ปัญหาของผู้ขับรถที่มีภารกิจเร่งด่วน(ภาพเอเอฟพี)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เอเยนซี - ชาวจีนปิ๊งไอเดียเปิดธุรกิจให้บริการ “รับจ้างขับรถแทนในช่วงการจราจรติดขัด” พร้อมส่งเจ้าของรถถึงที่หมายอย่างรวดเร็วในชั่วโมงเร่งด่วน อีกหนึ่งทางเลือกเลี่ยงปัญหาการจราจร

    ไชน่า เดลี่ รายงานวันเสาร์(8 ม.ค.) ว่า ผู้ขับขี่รถยนต์สามารถเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดด้วยวิธีใหม่ โดยเรียกใช้บริการ ดังกล่าว ซึ่งบริษัทผู้ให้บริการฯ จะส่งคนมาขับรถที่ติดอยู่บนถนนที่การจราจรเป็นอัมพาต และขับรถไปยังที่หมายแทนเจ้าของรถ โดยให้เจ้าของรถนั่งมอเตอร์ไซค์ไปก่อน

    หวง สีจง เจ้าของบริษัทให้บริการรับจ้างขับรถแทนฯในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย เผยว่า “บริการดังกล่าวมีขึ้นเพื่อช่วยแก้ปัญหาของผู้ขับรถที่มีภารกิจเร่งด่วน ขณะที่การจราจรติดขัดอย่างหนัก”

    พร้อมกล่าวว่า “ผมได้เริ่มธุรกิจบริการฯ เมื่อปีที่แล้ว หลังจากผู้ขับขี่รถยนต์หลายรายที่ติดอยู่บนท้องถนนได้โทรศัพท์มาบ่นให้ฟัง”

    รายงานข่าวระบุ มีบริษัทให้บริการดังกล่าวที่เมืองจี่หนาน มณฑลซันตง เช่นกัน โดยผู้เรียกใช้บริการจะต้องจ่ายค่าบริการมากกว่า 400 หยวน(ราว 1,784 บาท)

    ชายแซ่จัง ผู้จัดการบริษัทให้บริการรับจ้างขับรถแทนฯในกรุงปักกิ่ง เผยว่า "ในปักกิ่งก็มีผู้ที่ต้องการใช้บริการนี้ แต่มีระเบียบข้อบังคับห้ามรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นทางด่วน ทำให้ไม่สามารถให้บริการได้ ขณะที่ การขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปรับลูกค้าในพื้นที่ที่มีฝูงชนหนาแน่นก็เป็นไปด้วยความยากลำบากและมีความเสี่ยงเช่นกัน"

    ขณะที่ มีบริษัทให้บริการฯอย่างแพร่หลาย บรรดาผู้ขับรถยนต์ในเมืองใหญ่ล้วนโทรจองกับบริษัทที่เชื่อถือได้ เนื่องจาก พวกเขาไม่ไว้ใจที่จะให้คนแปลกหน้ามาใช้รถยนต์ของตน

    เหล่ย ถิง พนักงานบริษัทซอฟต์แวร์ระหว่างประเทศ กรุงปักกิ่ง เผยว่า “ผมเลือกที่จะนั่งรออยู่ในรถดีกว่า หากผมรู้สึกว่าบริษัทหรือคนที่จะมาขับรถแทนไม่น่าเชื่อถือ”

    ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา(2553) การจราจรติดขัดในจีนได้กลายเป็นพาดหัวข่าวใหญ่ในสื่อระหว่างประเทศ คือ กรณี รถติดอย่างรุนแรงบนทางหลวงที่มุ่งสู่กรุงปักกิ่ง เป็นเส้นทางยาวถึง 100 กิโลเมตร

    สำหรับผลการสำรวจจากIBM Global Commuter Pain Study เผยว่า เมืองที่ประสบปัญหาการจราจรติดขัดเลวร้ายที่สุดในโลก คือ กรุงปักกิ่งและเม็กซิโก ซิตี้

    อนึ่ง เมื่อเดือนธ.ค.2553ปักกิ่งได้ออกมาตรการแก้ไขปัญหาการจราจรฉบับใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปีนี้(2554) ได้แก่ การจำกัดการออกทะเบียนรถยนต์ใหม่ที่ 240,000 ใบ เพื่อควบคุมปริมาณรถยนต์ออกสู่ท้องถนน

    สำนักข่าวซินหวา รายงานวันนี้(9 ธ.ค.)ว่า เดือนนี้(ม.ค.) มีผู้ยื่นขอทะเบียนรถใหม่แล้ว 215,425 คน แต่ภายใต้มาตรการจำกัดทะเบียนรถ เจ้าหน้าที่จะอนุมัติทะเบียนรถใหม่เพียง 20,000 ฉบับในเดือนนี้ โดยในวันที่ 26ม.ค.จะมีการจับสลากตัดสินผู้ที่จะได้รับป้ายทะเบียนและมีสิทธิ์ที่จะซื้อรถยนต์คันใหม่

    เจ้าหน้าที่ทางเผยข้อมูล ณ ปลายเดือนธ.ค.2553 จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ได้รับการจดทะเบียนใหม่ในกรุงปักกิ่ง มีมากถึง 4.8 ล้านคัน หากคิดโดยเฉลี่ยแล้ว ในปีที่ผ่านมา มีรถยนต์ใหม่บนถนนในกรุงปักกิ่งมากกว่า 2,000 คันต่อวัน

    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000002610
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จีนผุดบริการ “รับจ้างขับรถแทนในช่วงการจราจรติดขัด”
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>10 มกราคม 2554 08:29 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>แฟ้มภาพเมื่อเดือนต.ค.2553 ผู้ขับรถยนต์ชาวจีนออกมาดูสภาพการจราจรที่ติดขัดยาวเหยียดที่ด่านเก็บเงินบริเวณชานกรุงปักกิ่ง ทั้งนี้ ชาวจีนหัวใสเปิดบริการรับจ้างขับรถแทนในช่วงการจราจรติดขัด เพื่อแก้ปัญหาของผู้ขับรถที่มีภารกิจเร่งด่วน(ภาพเอเอฟพี)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เอเยนซี - ชาวจีนปิ๊งไอเดียเปิดธุรกิจให้บริการ “รับจ้างขับรถแทนในช่วงการจราจรติดขัด” พร้อมส่งเจ้าของรถถึงที่หมายอย่างรวดเร็วในชั่วโมงเร่งด่วน อีกหนึ่งทางเลือกเลี่ยงปัญหาการจราจร

    ไชน่า เดลี่ รายงานวันเสาร์(8 ม.ค.) ว่า ผู้ขับขี่รถยนต์สามารถเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดด้วยวิธีใหม่ โดยเรียกใช้บริการ ดังกล่าว ซึ่งบริษัทผู้ให้บริการฯ จะส่งคนมาขับรถที่ติดอยู่บนถนนที่การจราจรเป็นอัมพาต และขับรถไปยังที่หมายแทนเจ้าของรถ โดยให้เจ้าของรถนั่งมอเตอร์ไซค์ไปก่อน

    หวง สีจง เจ้าของบริษัทให้บริการรับจ้างขับรถแทนฯในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย เผยว่า “บริการดังกล่าวมีขึ้นเพื่อช่วยแก้ปัญหาของผู้ขับรถที่มีภารกิจเร่งด่วน ขณะที่การจราจรติดขัดอย่างหนัก”

    พร้อมกล่าวว่า “ผมได้เริ่มธุรกิจบริการฯ เมื่อปีที่แล้ว หลังจากผู้ขับขี่รถยนต์หลายรายที่ติดอยู่บนท้องถนนได้โทรศัพท์มาบ่นให้ฟัง”

    รายงานข่าวระบุ มีบริษัทให้บริการดังกล่าวที่เมืองจี่หนาน มณฑลซันตง เช่นกัน โดยผู้เรียกใช้บริการจะต้องจ่ายค่าบริการมากกว่า 400 หยวน(ราว 1,784 บาท)

    ชายแซ่จัง ผู้จัดการบริษัทให้บริการรับจ้างขับรถแทนฯในกรุงปักกิ่ง เผยว่า "ในปักกิ่งก็มีผู้ที่ต้องการใช้บริการนี้ แต่มีระเบียบข้อบังคับห้ามรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นทางด่วน ทำให้ไม่สามารถให้บริการได้ ขณะที่ การขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปรับลูกค้าในพื้นที่ที่มีฝูงชนหนาแน่นก็เป็นไปด้วยความยากลำบากและมีความเสี่ยงเช่นกัน"

    ขณะที่ มีบริษัทให้บริการฯอย่างแพร่หลาย บรรดาผู้ขับรถยนต์ในเมืองใหญ่ล้วนโทรจองกับบริษัทที่เชื่อถือได้ เนื่องจาก พวกเขาไม่ไว้ใจที่จะให้คนแปลกหน้ามาใช้รถยนต์ของตน

    เหล่ย ถิง พนักงานบริษัทซอฟต์แวร์ระหว่างประเทศ กรุงปักกิ่ง เผยว่า “ผมเลือกที่จะนั่งรออยู่ในรถดีกว่า หากผมรู้สึกว่าบริษัทหรือคนที่จะมาขับรถแทนไม่น่าเชื่อถือ”

    ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา(2553) การจราจรติดขัดในจีนได้กลายเป็นพาดหัวข่าวใหญ่ในสื่อระหว่างประเทศ คือ กรณี รถติดอย่างรุนแรงบนทางหลวงที่มุ่งสู่กรุงปักกิ่ง เป็นเส้นทางยาวถึง 100 กิโลเมตร

    สำหรับผลการสำรวจจากIBM Global Commuter Pain Study เผยว่า เมืองที่ประสบปัญหาการจราจรติดขัดเลวร้ายที่สุดในโลก คือ กรุงปักกิ่งและเม็กซิโก ซิตี้

    อนึ่ง เมื่อเดือนธ.ค.2553ปักกิ่งได้ออกมาตรการแก้ไขปัญหาการจราจรฉบับใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปีนี้(2554) ได้แก่ การจำกัดการออกทะเบียนรถยนต์ใหม่ที่ 240,000 ใบ เพื่อควบคุมปริมาณรถยนต์ออกสู่ท้องถนน

    สำนักข่าวซินหวา รายงานวันนี้(9 ธ.ค.)ว่า เดือนนี้(ม.ค.) มีผู้ยื่นขอทะเบียนรถใหม่แล้ว 215,425 คน แต่ภายใต้มาตรการจำกัดทะเบียนรถ เจ้าหน้าที่จะอนุมัติทะเบียนรถใหม่เพียง 20,000 ฉบับในเดือนนี้ โดยในวันที่ 26ม.ค.จะมีการจับสลากตัดสินผู้ที่จะได้รับป้ายทะเบียนและมีสิทธิ์ที่จะซื้อรถยนต์คันใหม่

    เจ้าหน้าที่ทางเผยข้อมูล ณ ปลายเดือนธ.ค.2553 จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ได้รับการจดทะเบียนใหม่ในกรุงปักกิ่ง มีมากถึง 4.8 ล้านคัน หากคิดโดยเฉลี่ยแล้ว ในปีที่ผ่านมา มีรถยนต์ใหม่บนถนนในกรุงปักกิ่งมากกว่า 2,000 คันต่อวัน

    China - Manager Online -
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เผย “สี จิ้นผิง” ทายาทผู้นำจีนที่ทะเยอทะยานสูง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>10 มกราคม 2554 07:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    แฟ้มภาพ – รองประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเขามีแนวโน้มสืบทอดตำแหน่งผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนรุ่นต่อไป อย่างไรก็ตามข้อมูลสนทนาทางการทูตแฉ สี เป็นคนที่ทะเยอทะยานสูง (ภาพเอเยนซี)
    เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ - วิกิลีกส์เจาะข้อมูลทางการทูตของสหรัฐฯ ระบุรองประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้กำลังก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี และเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ในปีหน้า ว่า “มีความทะเยอทะยานอย่างเหลือล้น”

    สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงปักกิ่ง ได้บันทึกการสนทนาระหว่างเพื่อนวัยเด็กของสี จิ้นผิง (ซึ่งขณะนี้เป็นศาสตราจารย์) กับทูตสหรัฐฯ ชี้ว่า “สี จิ้นผิงเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิตแรงกล้า และเลือกยึดมั่นอุดมการณ์มาร์กซิสม์มากกว่าคนทั่วไป” นอกจากนั้นยังระบุว่า “สี จิ้นผิง มีสติปัญญาปานกลางและเป็นคนซื่อตรง แต่สำหรับผู้หญิงแล้ว เขาอาจเป็นคนน่าเบื่อ”

    หลังจากที่การประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคฯ ในเดือนต.ค. (2553) รับรองตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการทหารของพรรคคอมมิวนิสต์แก่รองประธานาธิบดีสี จิ้นผิง วัย 57 ปี ก็เป็นสัญญาณชี้ชัดแล้วว่า สีจะขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้นำสูงสุดแทนประธานาธบดีหู จิ่นเทา ได้แก่ ตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 2555 และตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2556

    สี จิ้นผิงเป็นคนมณฑลส่านซี เป็นบุตรชายของอดีตรองนายกฯ สี จ้งซวินเพื่อนสนิทของอดีตผู้นำเติ้ง เสี่ยวผิง สี จิ้นผิงเป็นม้ามืดที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งรวดเร็ว จากเจ้าหน้าที่ในมณฑลยักษ์ใหญ่เขตชายฝั่งฝูเจี้ยน และเจ้อเจียง และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ในเซี่ยงไฮ้เมื่อต้นปี 2550

    หลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรม สี ไม่เหมือนกับคนหนุ่มทั่วไปที่ใช้เวลาไปกับความสนุกสนาน เขายึดถือแนวทางปฏิบัติได้จริง และอุทิศให้กับอุดมการณ์มาร์กซิสม์ เพื่อความรุ่งเรืองในระบอบคอมมิวนิสต์

    ในบทสนทนาฯ ระบุ “สี ไม่คอรัปชั่นและไม่ชอบแนวคิดประชาธิปไตย เมื่อเขาไม่คอรัปชั่น เขามีทรัพย์สินเพียงพอ ดังนั้น เงินจึงไม่สำคัญสำหรับเขา”

    สี ต่อต้านการเปิดกว้างปฏิรูประบบการเมืองในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยเชื่อว่ากฎระเบียบที่ผู้นำคอมมิวนิสต์ตัดสินใจไปแล้วจะทำให้สังคมมั่นคงชาติเข้มแข็งได้

    เมื่อปี 2509 เหมา เจ๋อตงปฏิวัติวัฒนธรรมเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองภายในพรรคฯ บิดาของสีถูกจำคุก และสีก็ถูกส่งตัวไปชนบทเพื่อทำงานในไร่นา จนช่วงปี 2513 เป็นต้นมา สีและบรรดาลูกท่านหลานเธอหลายคน ก็ได้รับอนุญาตให้กลับปักกิ่ง แต่ขณะที่หลายคนกำลังเริงร่ากับอิสรภาพ สีก็กลับไปชนบทด้วยความเชื่อที่ว่า “เขาจะก้าวขึ้นมาเป็นนักการเมืองอาชีพได้ก็ต่อเมื่อปลีกตัวจากกลุ่มอำนาจในปักกิ่งและสั่งสมประสบการณ์ในชนบท”

    นอกจากนั้น วิกิลีกส์แฉข้อมูลรายละเอียดการพบปะในช่วงปี 2550 ระหว่างรองนายกฯ หลี่ เค่อเฉียง เลขาธิการพรรคในมณฑลเหลียวหนิง (ตำแหน่งขณะนั้น) และคลาค แรนด์ท ทูตสหรัฐฯ ประจำปักกิ่ง โดยระบุว่า “เป็นที่เชื่อกันว่า หลี่ ซึ่งจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากเวิน จยาเป่า นั้น จะเป็นคู่แข่งตัวเอ้ของสี”

    เฉิง ลี่ ผู้เชี่ยวชาญจีนที่สถาบันบรู๊คกิง ในกรุงวอชิงตัน ดีซี ชี้ว่าคู่แข่งบนเวทีการนำของจีนในอนาคต ได้แก่ กลุ่มชนชั้นนำ”ฝ่ายน้ำเงิน” นำโดยสี จิ้นผิง และกลุ่มประชานิยม “ฝ่ายแดง” นำโดยหลี่ เค่อเฉียง สีและหลี่มุ่งเน้นไปในแนวทางที่แตกต่างกัน โดยสีเน้นการเปิดเสรีตลาดและการพัฒนาภาคเอกชนอันเป็นที่รู้กันดีในชุมชนธุรกิจระหว่างประเทศ ขณะที่หลี่เป็นห่วงปัญหาภายในประเทศ เช่น เรื่องการว่างงาน ฯ มากกว่า หลี่ผลักดันโครงการบ้านราคาต่ำ และเข้าใจถึงความสำคัญในการพัฒนาเครือข่ายประกันสังคมโดยเริ่มต้นจากการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน

    China - Manager Online -
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตายแล้วเอาลงหลุมไม่ได้! เศรษฐีจีนยกทรัพย์ 5 หมื่นล้าน ให้สังคม
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>9 กันยายน 2553 09:52 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    เฉิน กวงเปียว มหาเศรษฐีใจบุญ กับปึกธนบัตร100 หยวน 330 ก้อน นับรวมจำนวนทั้งสิ้น เป็นเงิน 100,000 หยวน ที่เขาบริจาคในช่วงวันตรุษจีน เมื่อต้นปี 2553 ให้กับครอบครัวยากไร้ใน 5 มณฑล ได้แก่ กุ้ยโจว เสฉวน หยุนหนัน เขตปกครองตนเองทิเบต และซินเจียง (ภาพเอเยนซี)

    บิล เกตส์ และวอร์เรน บัพเฟตต์ มีแผนเดินทางมายังจีนในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ เพื่อเชิญชวนมหาเศรษฐีจีน 50 ราย รวมทั้งนายเฉินเข้าร่วมโครงการกุศลที่มีเศรษฐีอเมริกัน 40 คนแสดงเจตจำนงบริจาคเงินร่วม 125,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้ว

    ในจดหมายฉบับนี้นายเฉิน วัย 42 ปี ระบุว่าเป็นเจตจำนงของตนเอง เพื่อตอบสนองความมุ่งมั่นของบิลเกตส์ และว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้ตอบแทนสังคมด้วยการบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดที่ได้มาจากสังคมคืนให้กลับไป เฉินยังกล่าวว่า การเสียชีวิตแล้วยังห่วงทรัพย์สินเป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างยิ่ง

    ทั้งนี้ เฉินเป็นมหาเศรษฐีจีน รายแรก ที่ตอบรับร่วมโครงการฯ นี้ ท่ามกลางกระแสข่าวว่า บรรดามหาเศรษฐีจีนทั้ง 50 ราย ที่ได้รับเชิญคงหลบหน้าไม่กล้าวัดใจที่จะเข้าร่วมโครงการบริจาคเงินเพื่อการกุศลครั้งนี้

    รายงานข่าวระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นายเฉินได้บริจาคเงินให้กับการกุศลมาแล้วประมาณ 1,340 ล้านหยวน เพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่า 700,000 คน ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา สมาคมแรงงานสาธารณะแห่งประเทศจีน ยังได้จัดอันดับให้นายเฉิน เป็นเศรษฐีใจบุญอันดับหนึ่งของจีน พิจารณาจากการบริจาคเงินเข้าการกุศลของเขาอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ อีกทั้งมีความตั้งใจในการอุทิศจัดตั้งหน่วยกู้ภัยในเขตเวิ่นชวน มณฑลเสฉวน เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทันทีที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.0 ริกเตอร์ในปี 2551 ได้เพียง 2 ชั่วโมง รวมถึงจัดตั้งหน่วยกู้ภัยให้ความช่วยเหลือที่เมืองอวี้ซู่ เขตปกครองตนเองของชาวทิเบตในมณฑลชิงไห่ หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในเดือนเมษายน

    นิตยสารหูรุ่น เดือนเมษายน ระบุว่า ปีหนึ่งๆ บรรดาเศรษฐี 100 อันดับแรกของประเทศจีน ต่างบริจาคเงินเพื่อการกุศลรวมเฉลี่ยแล้ว ปีละประมาณ 229 ล้านหยวน และเงินบริจาคก็มากขึ้นๆ ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ฟอร์บส์ ยก “จง ชิ่งโฮ่ว” มหาเศรษฐีรวยสุดบนแดนมังกร!
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>29 ตุลาคม 2553 07:54 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เว็บไซต์ฟอร์บส เผยอันดับเศรษฐีจีนประจำปี 2553 (ภาพฟอร์บส)

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>
    เอเยนซี - นิตยสารฟอร์บส์ จัดอันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในจีนเมื่อวันพฤหัสบดี (28 ต.ค.) ชี้ “จง ชิ่งโฮ่ว” เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่แบรนด์หวาฮาฮามีสินทรัพย์มากที่สุด ตามติดมาด้วยนายโรบิน หลี่ มหาเศรษฐีอันดับสอง ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บเสิร์ชเอ็นจินไป่ตู้

    จง ชิ่งโฮ่ว ไต่ขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งด้วยสินทรัพย์ 8,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ลำดับสอง นายโรบิน หลี่ มีสินทรัพย์ 7,200 ล้านดอลลาร์

    ปีนี้ ฟอร์บส์ จัดอันดับมหาเศรษฐีจีนได้ 128 คน ซึ่งปีที่แล้วจัดได้เพียง 79 คน ฟอร์บส์เปิดเผยว่า “มีเพียงอเมริกาเท่านั้นที่สามารถจัดอันดับเศรษฐีได้มากกว่า 400 อันดับ”

    เจ้าของแชมป์เศรษฐีอันดับหนึ่งเมื่อปีที่แล้วของจีน นายหวัง ฉวนฝู อายุ 44 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนตร์ บีวายดี ตกมาอยู่อันดับ 10 เนื่องจากประสบปัญหาความล่าช้าในการผลิตและการกระจายสินค้า ขณะนี้เขามีสินทรัพย์ 4,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    รายชื่อของมหาเศรษฐีที่จัดลำดับแต่ละปีก็จะสะท้อนภาพปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจบนแดนมังกร ในปีนี้เจ้าสัวที่รวยที่สุดทำธุรกิจเครื่องดื่มและบริษัทเทคโนโลยี ขณะที่เจ้าสัวด้านอสังหาฯ ก็หายหน้าไปพร้อมๆ กับการปะทุของปัญหาที่อยู่อาศัยที่จีนกำลังเผชิญ

    เมื่อการบริโภคภายในจีนถีบตัวสูง การลงทุนทางด้านปัจจัยสี่จึงมีกำไรงอกเงยตามไปด้วย ดังนั้นบรรดาเศรษฐีหน้าใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในบัญชีรายชื่อ จึงมาจากธุรกิจขายปลีก เภสัชกรรม เป็นต้น

    สิบอันดับแรกของปีนี้ มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่ทำธุรกิจอสังหาฯ ฟอร์บส์คาดว่า ในอนาคตจะเห็นเศรษฐีหน้าใหม่ที่ทำธุรกิจจำพวก อาหาร เครื่องดื่ม ภัตตาคาร เพิ่มเข้ามาในบัญชีรายชื่อมากขึ้น

    5 อันดับเศรษฐีที่รวยสุดของจีน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 1. “จง ชิ่งโฮ่ว” วัย 65 ปี มีสินทรัพย์ 8,000 ล้านดอลลาร์ เจ้าของเครื่องดื่มหวาฮาฮา เมื่อปี 2552เคยถูกจัดอยู่ลำดับสาม แต่ปีนี้ขึ้นมาครองแชมป์เศรษฐีที่รวยที่สุด เขาสร้างตัวจากธุรกิจเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่และมีเครือข่ายการกระจายสินค้าที่เข้มแข็ง ขณะนี้บริษัทเล็งขยายตลาดรุกห้างสรรพสินค้าแล้ว

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 2. “โรบิน หลี่” วัย 42 มีสินทรัพย์ 7,200 ล้านดอลลาร์ ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บเสิร์ชไป่ตู้ ทรัพย์สินของเขาเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์จากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีน ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีของเขาที่เรียนจบ ป.โทด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากสหรัฐฯ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 3. “เหลียง เหวิ่นเกิน” วัย 53 มีสินทรัพย์ 5,900 ล้านดอลลาร์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแซนี่กรุ๊ป เขาเริ่มทำงานในบริษัทตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เพราะเห็นโอกาสอันงามในการค้าวัสดุก่อสร้าง บริษัทของเขาเมื่อปีที่แล้วจัดอยู่ลำดับสองของฮ่องกง หุ้นของบริษัทสูงถึง 157 เปอร์เซ็นต์ ขณะนี้เขาให้ลูกชายดำรงตำแหน่งประธานด้านการเงินของบริษัท

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 4. “จัง จิ้นตง” วัย 47 ปี มีสินทรัพย์ 5,700 ล้านดอลลาร์ ผู้นำอันดับหนึ่งของจีนด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า เมื่อบริษัท Suning Appliance ของเขาก้าวสู่ตลาดต่างประเทศ และแซงหน้าบริษัท Gome Electrical Appliance ซึ่งเคยเป็นบริษัทอันดับหนึ่งมาก่อน พี่ชายของเขา จัง กุ้ยผิง ก็เป็นเจ้าสัวเช่นกัน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 5. “หลี หลี่” วัย 46 ปี มีสินทรัพย์ 5,400 ล้านดอลลาร์ เขาทำธุรกิจเภสัชกรรม โดยเป็นผู้ส่งยารักษาโรคในเซินเจิ้น เขาจบการศึกษาด้านเคมี จากมหาวิทยาลัยซื่อชวน (เสฉวน)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    China - Manager Online -
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปิดฉากชีวิตยอดนักการทูต อดีตนักแปลและล่ามของเหมา เจ๋อตง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>1 ธันวาคม 2553 07:14 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    หวง หวา (25 ม.ค. 2456-24 พ.ย.2553) รัฐบุรุษแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (แฟ้มภาพ เอเจนซี)

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>พีเพิ่ล เดลี - หวง หวา รัฐบุรุษ ประจักษ์พยานผู้รู้เห็นวิวัฒนาการการทูตสมัยใหม่ของจีน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ รองนายกรัฐมนตรี และรองประธานคณะกรรมการบริหารประจำสภาผู้แทนประชาชน สิ้นลมหายใจแล้วเมื่อวันพุธ (24 พ.ย.) ขณะอายุได้ 98 ปี

    เกือบ80 ปีที่ผ่านมา หวง ซึ่งยังทำหน้าที่นักแปลและล่ามประจำตัวท่านประธาน เหมาเจ๋อตง เป็นผู้หนึ่ง ที่ได้รู้เห็น และเข้าร่วมอย่างแข็งขันในการพัฒนาการทูตและการปฏิวัติของจีน

    เฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวยกย่องบุคคลท่านนี้ว่า เขาชื่นชมความเชี่ยวชาญด้านการทูต ความฉลาดมีเล่ห์เหลี่ยม และความเหนียวแน่นยืนหยัด ที่มีอยู่ในตัวของหวง หวา ตลอดจนความน่าเชื่อถือ และความอบอุ่น มีอัธยาศัย ซึ่งพิเศษไม่เหมือนใคร

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หวง หวา (ซ้าย) และเหมา เจ๋อตง กำลังต้อนรับพลเอกจัง จื้อจง จากพรรคก๊กมินตั๋ง (คนที่ 3 จากซ้าย, แถวสอง) และนายแพทริก เฮอร์ลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำจีน (คนที่ 2 จากซ้าย, แถวสอง) ที่สนามบินในมณฑลส่านซี เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2488 โดยพลเอกจัง ซึ่งเป็นตัวแทนของเจียง ไคเช็ก และนายเฮอร์ลีย์ เดินทางมาเจรจา เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมือง – พีเพิ่ล เดลี</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อาชีพนักการทูตและนักปฏิวัติของหวงเริ่มขึ้นเมื่อปี 2479 ขณะกำลังเป็นนักศึกษาหัวก้าวหน้าของมหาวิทยาลัยเยียนจิง ในกรุงปักกิ่ง หวงทำงานเป็นล่ามและช่วยเอ็ดการ์ สโนว์ นักหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกันทำรายงานข่าวในมณฑลส่านซี ซึ่งเวลานั้นเป็นฐานปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จากผลงานนี้ สโนว์ได้แต่งหนังสือ ซึ่งมีชื่อว่า “เรด สตาร์ โอเว่อร์ ไชน่า” (Red Star over China) หรือ “ดาวแดงเหนือจีน” อันเป็นหนังสือของผู้สื่อข่าวต่างชาติเล่มแรกเกี่ยวกับ “จีนแดง” และพวกผู้นำพรรค เช่น เหมา เจ๋อตง และโจว เอินไหล

    ภายหลังจากการสถาปนาประเทศจีนใหม่ในปี 2492 หวงได้รับตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตจีนประจำกาน่า อียิปต์ และแคนาดาตามลำดับ

    นอกจากนั้น เมื่อคิสซิงเจอร์ลอบเดินทางมาจีน เพื่อทำลายน้ำแข็งที่กั้นระหว่างชาติทั้งสองในปี 2514 หวงได้อยู่ในคณะผู้เจรจาต่อรองฝ่ายจีนด้วย ต่อมา เขาดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตจีนประจำองค์การสหประชาชาติ จนถึงเดือนต.ค. ปี 2519

    ในงานเลี้ยงคราวหนึ่งที่สหรัฐฯ เมื่อปี2519 หวงได้มีโอกาสรู้จักกับไอแซก สเติร์น นักไวโอลินชาวอเมริกันเชื้อสายยูเครน ซึ่งมีชื่อเสียงก้องโลก สร้างความประทับใจแก่หวงอย่างยิ่งถึงกับเชื้อเชิญให้สเติร์นไปเยือนจีนในปี 2521

    สามสัปดาห์ที่สเติร์นพำนักบนแดนมังกรมีผลอย่างลึกซึ้งต่อการพัฒนาดนตรีคลาสสิกของจีน โดยเขาช่วยให้คำแนะนำแก่วงซิมโฟนีออร์เคสตราแห่งชาติของจีน และฝึกซ้อมนักศึกษาด้านการดนตรีอีกด้วย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=320 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=320>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หวง หวา (กลาง) เป็นตัวแทนของสาธารณรัฐประชาชนจีนในสหประชาชาติ เมื่อปี 2519 ต่อมา ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศจีน (แฟ้มภาพ เอเจนซี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ หวงเป็นผู้รับผิดชอบการเจรจาและการลงนามขั้นสุดท้ายในสนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพระหว่างจีนกับญี่ปุ่น นอกจากนั้น ยังทุ่มเทความพยายามปรับปรุงความสัมพันธ์กับอินเดีย และสหภาพโซเวียต

    เมื่อเกษียณอายุการทำงาน หวงยังคงติดต่อคบค้ากับเพื่อนฝูงชาวต่างชาติ และทำงานให้กับสังคม ตลอดจนริเริ่มก่อตั้งองค์การและโครงการ ที่มีประโยชน์มากมาย เช่น เป็นหัวหน้าสถาบันสวัสดิการแห่งจีน ซึ่งเป็นองค์การสวัสดิการสำหรับเด็ก

    หวง หวา เป็นนักศึกษามาตลอดชีวิต โดยหลังจากเกษียณแล้ว เขาก็หัดเรียนการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ “ผมยังคงพยายามยึดมั่นคำขวัญของตนเองที่ว่า ไม่เคยสายเกินไปที่จะเรียน” หวงกล่าว

    หวงพิมพ์ออกจำหน่ายหนังสือบันทึกความทรงจำของเขาเมื่ออายุ 95 ปี ซึ่งเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการทูตสมัยของจีนในช่วง 70 ปีที่ผ่านมาจากประสบการณ์ของตนเอง โดยมีแฟ้มเอกสารของทางการเป็นหลักฐานสนับสนุน

    “ตลอดเรื่องราว ที่เขียนขึ้นจากความทรงจำของท่าน เรามองเห็นได้ว่า นักการทูตอาวุโสผู้นี้ให้ความสนใจเป็นพิเศษในการสร้างมิตร และอะลุ้มอล่วยกับผู้คน ที่มีความเชื่อและภูมิหลัง ที่แตกต่างกัน” หลิน อู๋ซุน อดีตประธานของไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล พับลิชชิ่งกรุ๊ป สรุปคุณลักษณะของรัฐบุรุษแดนมังกร ผู้สร้างคุณูปการแก่จีน ที่เพิ่งวายชนม์

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=550>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>คณะผู้แทนสาธารณรัฐประชาชนจีน เฉียว กวนหวา(ซ้าย) และ หวง หวา (ขวา) ในที่ประชุมสหประชาชาติเดือนต.ค. ปี พ.ศ. 2514 ในที่ประชุมฯนี้ ได้รับรองรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน (แฟ้มภาพ)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    China - Manager Online -
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรโนลต์พักงานผู้บริหาร เหตุสงสัยฉกความลับรถไฟฟ้าส่งไปจีน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>10 มกราคม 2554 07:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=448 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าของบริษัทเรโนลต์แห่งฝรั่งเศส (แฟ้มภาพ เอเจนซี)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เอเจนซี-บริษัทรถยนต์แห่งฝรั่งเศส เรโนลต์ได้พักงานผู้จัดการระดับสูง 3 คนในสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากสงสัยว่าพวกเขามีแผนจารกรรมความลับในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าส่งไปยังจีน

    นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ เลอ ฟิกาโร ได้อ้างแหล่งข่าวภายในหลายแหล่ง รายงานว่า เรโนลต์ และหน่วยสืบความลับฝรั่งเศส ยังสงสัยว่าจีนมีส่วนรู้เห็นในการจารกรรมทางอุตสาหกรรมนี้ด้วย

    “เรารับไม่ได้ที่นวัตกรรมที่ได้รับเงินสนับสนุนจากภาษีของชาวฝรั่งเศส จะตกไปอยู่ในมือของจีน” แหล่งข่าวในกระทรวงอุตสาหกรรมแดนน้ำหอมรายหนึ่ง กล่าว

    นิตยสารรายสัปดาห์แห่งฝรั่งเศส เลอ ปวงต์ เผยความลับที่กำลังถูกจารกรรม คือ การสร้างแบตเตอรี่สำหรับพาหนะไฟฟ้า

    หลังการสั่งพักงานผู้จัดการระดับสูงสามคน บริษัทเรโนลต์เผยในวันพฤหัสฯ(6 ม.ค.) ว่าทรัพย์สินเทคโนโลยี ภูมิปัญญา และยุทธศาสตร์ ของบริษัท ตกเป็นเป้าหมายการจารกรรม แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียด

    นอกจากนี้แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับบริการสืบความลับฝรั่งเศส DCRI เผยในวันศุกร์(7 ม.ค.) ว่าขณะนี้ยังไม่มีการสั่งการไต่สวนกรณีนี้แต่อย่างใด แต่คำสั่งไต่สวนอาจออกมาเมื่อไหร่ก็ได้

    นาย Thibault de Montbrial ทนายความของนาย Mathieu Tenenbaum ผู้เป็นหัวหน้าร่วมในการโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของเรโนลต์ และหนึ่งในผู้จัดการที่ถูกพักงาน กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า ลูกความของเขาตกตะลึงกับการสั่งพักงานของเรโนลต์มาก

    “เขาไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิงว่าเกิดอะไรขึ้น และตะลึงต่อคำกล่าวหาเรื่องจารกรรม พร้อมกับหวังว่าเขาจะได้รับคำอธิบายโดยเร็วที่สุด” Montbrial กล่าว

    ทั้งนี้ เรโนลต์ และคู่หุ้นส่วนบริษัท นิสสัน แห่งญี่ปุ่น ได้ฝากอนาคตไว้กับพาหนะพลังงานไฟฟ้า โดยมีแผนที่จะออกรถยนต์ไฟฟ้าไฟฟ้าหลายรุ่นในปี 2557 เพื่อสนองความต้องการการคมนาคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และได้ลงทุน 4,000 ล้านยูโร ในโครงการผลิตฯ

    Roger Faligot ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในด้านปฏิบัติการจารกรรมจีน กล่าวว่าหน่วยสืบความลับจีนสนใจภาคอุตสาหกรรมรถยนต์มาก ดังนั้นบรรดาบริษัทรถยนต์รายใหญ่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยสืบความลับ.

    China - Manager Online -
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นิทานเซน : อิทธิพลของลิ้น
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>5 มกราคม 2554 05:33 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    ภาพประกอบจาก nipic.com
    ลิ้นเป็นอวัยวะเล็กๆ ในร่างกายของคนเราที่สำคัญยิ่ง ลิ้น(การพูด)สามารถนำความสุขมาให้ผู้พูด ในทางกลับกัน ลิ้น(การพูด)ก็สามารถทำเรื่องเดือดร้อนให้ผู้พูดได้เช่นกัน

    ในอดีตมีพระเซนรูปหนึ่ง เขามีศิษย์เกียจคร้านเอาแต่นอนหลับทั้งวัน วันหนึ่งศิษย์ผู้นี้นอนจนสายก็ยังไม่ตื่น ทำให้พระเซนไม่พอใจ จึงต่อว่าลูกศิษย์ว่า "เวลาสายขนาดนี้ ตะวันส่องจนแม้แต่ฝูงเต่ายังพากันคลานออกนอกบึงบัวมารับแสงแดดกันหมดแล้ว เหตุใดตัวเจ้ากลับมัวแต่นอนอยู่ได้"

    เวลาเดียวกันนั้นเอง บริเวณใกล้เคียงมีคนผู้หนึ่งที่กำลังต้องการจับเต่าไปแกงเป็นยาให้มารดาซึ่งกำลังป่วยรับประทาน เมื่อได้ฟังพระเซนบอกว่ามีเต่าออกมาจากบึง จึงได้รีบไปจับเต่ามาเชือดจากนั้นนำเนื้อมาปรุงเป็นแกงเต่า ทั้งยังแบ่งแกงเต่ามาให้พระเซนเพื่อแสดงความขอบคุณที่ชี้ทางให้อีกด้วย

    ฝ่ายพระเซน เมื่อทราบว่าการพูดจาโดยไม่ได้ตั้งใจของตนเอง เป็นต้นเหตุแห่งการตายของบรรดาเต่าก็เกิดความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง เพราะหากตนไม่เอ่ยปากพูดไปเช่นนั้นเต่าก็คงไม่โดนพบเห็น พระเซนจึงได้ให้คำมั่นกับตัวเองว่าต่อไปจะไม่เอ่ยปากพูดจาอีกเลยตลอดชีวิตเพื่อเป็นการชดใช้บาปที่ทำไว้ ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้ขึ้นอีกในภายภาคหน้า

    เวลาผ่านไปไม่นาน ขณะที่พระเซนนั่งอยู่บริเวณหน้าวัด เขาพลันพบว่ามีชายตาบอดผู้หนึ่งกำลังเดินหลงทิศ มุ่งหน้าลงไปยังบึงบัวนั้น แต่จนใจที่พระเซนให้สัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่เปิดปากพูด จึงไม่สามารถร้องเตือนชายตาบอดได้ แต่หากไม่เอ่ยปากตักเตือน ชายตาบอดคงต้องตกลงไปในบึงบัวเป็นแน่

    พระเซนเอาแต่ลังเลว่าจะทำเช่นไรดี ปล่อยเวลาผ่านไป ในที่สุดชายตาบอดก็เดินตกลงไปในบึงบัว จมน้ำหายไปต่อหน้าต่อตา

    เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระเซนโศกเศร้าเสียใจหาที่เปรียบมิได้ และตระหนักได้ว่าการไม่ยอมพูดจาของตนในครั้งนี้ กลับกลายเป็นการทำร้ายทำลายชีวิตผู้คนเพิ่มขึ้นอย่างน่าเสียดาย ความผิดสองครั้งที่ผ่านมาของตนคือการพูดในเวลาที่ไม่ควรพูด แต่กลับไม่พูดในเวลาที่ควรพูด

    ปัญญาเซน : มนุษย์จำเป็นที่จะต้องใช้สติปัญญาในการดำรงชีวิตอยู่บนโลก แม้แต่การพูดจาก็ต้องใช้ปัญญา นั่นคือพูดสิ่งที่ควรในเวลาที่เหมาะ นอกจากนี้ต้องพึงระลึกว่า ในการดำรงชีวิตของคนเรา ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่การให้อภัยต่างหากที่เป็นสิ่งเหนือธรรมดา คนเราไม่เพียงต้องรู้จักให้อภัยผู้อื่น ทั้งยังต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเอง

    ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
    China - Manager Online -
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มองต่างมุมเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ

    โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
    วันที่ 10 มกราคม 2554 03:00
    ผมได้รับอีเมลบทความเรื่อง “2011-The Year of Catch 22” โดย Jim Quinn จากเว็บไซต์ The Burning Platform ซึ่งมีมุมมองเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110106/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ในแง่ลบแตกต่างจากความเห็นของสื่อกระแสหลักอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มีข้อมูลและสาระที่ผมเห็นว่าเป็นประโยชน์และมีการวิเคราะห์มีเหตุมีผล ผมจึงขอนำมาสรุปให้อ่านกันในครั้งนี้ครับ

    เศรษฐกิจสหรัฐนั้นตกอยู่ในวังวนของความขัดแย้งหลายประการ เช่น

    ๐ เศรษฐกิจจะต้องฟื้นตัวเพื่อที่รัฐบาลจะเก็บภาษีได้มากขึ้นเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณ แต่เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ดอกเบี้ยก็จะต้องปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ และภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นสำหรับทั้งภาครัฐและประชาชน

    ๐ การฟื้นตัวซึ่งมาจากการเพิ่มการผลิตและการบริโภคย่อมจะกดดันให้ราคาน้ำมันและวัตถุดิบอื่นๆ ปรับขึ้นไปอีกซึ่งจะเป็นผลลบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

    ๐ คนอเมริกันจะต้องออมเงินมากขึ้นเพราะปัจจุบันสังคมอเมริกันกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว (ผู้ที่เกิดในยุค Baby Boom 1947-1962 กำลังเข้าสู่วัยชรา คืออายุ 65 ปีทุกๆ วัน วันละ 10,000 คน) แต่หากอัตราการออมปรับเพิ่มขึ้นจาก 6% ไปเป็น 10% ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมในระยะยาว ก็จะทำให้การบริโภคลดลงซึ่งจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้นและจะทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกด้วย

    ปัจจุบันสื่อกระแสหลักประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2011 จะขยายตัว 3-4% มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2 ล้านตำแหน่ง กำไรของบริษัทจะขยายตัวทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 10-15% (ทำให้เชื่อกันว่าตลาดหุ้นอื่นๆ รวมทั้งไทยจะสามารถปรับตัวได้ 15-20% ในปี 2011 เช่นกัน) แต่การฟื้นตัวในปี 2010 เป็นภาพลวงที่ก่อขึ้นมาจากการกู้เงินจำนวนมหาศาลโดยรัฐบาลและธนาคารกลางสหรัฐ ตัวอย่างเช่นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2010 หนี้สาธารณะของสหรัฐเท่ากับ 12.3 ล้านล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2010 หนี้สาธารณะของสหรัฐเท่ากับ 13.9 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะเดียวกันงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐเพิ่มขึ้นจาก 2.28 ล้านล้านมากเป็น 2.46 ล้านล้านหรือเพิ่มขึ้น 180,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกัน รวมแล้วสหรัฐใช้เงินถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2010 แต่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวจริงเพียง 2.7% หรือ 350,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกัน กล่าวคือรัฐบาลกับธนาคารกลางสหรัฐ “ลงทุน” เท่ากับ 13% ของจีดีพีเพียงเพื่อทำให้จีดีพีสหรัฐขยายตัว 2.7%

    หากมองกลับไปช่วงก่อนวิกฤติในเดือนกันยายน 2008 ก็จะพบว่าหนี้สาธารณะของสหรัฐอยู่ที่ 9.7 ล้านล้านดอลลาร์ แปลว่าในช่วงกอบกู้วิกฤตินั้นรัฐบาลสหรัฐกู้เงินเพิ่มขึ้นถึง 4.2 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 43% ในเวลาเพียง 27 เดือน ส่วนธนาคารกลางสหรัฐพิมพ์เงินออกมาซื้อสินทรัพย์ (ที่คนอื่นไม่อยากซื้อ) ทำให้งบดุลเพิ่มขึ้นจาก 963,000 ล้านดอลลาร์เป็น 2.46 ล้านล้านดอลลาร์หรือเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ (155%) รวมเม็ดเงินที่ใช้อุ้มเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา เท่ากับ 5.7 ล้านล้านดอลลาร์ แต่สิ่งที่ได้คืนมาคือจีดีพีจริง (หักเงินเฟ้อ) ในไตรมาส 3 ปี 2010 หากคำนวณเฉลี่ยเต็มปี (annualized) จะเท่ากับ 13.3 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ 13.2 ล้านล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ของปี 2008 กล่าวคือทางการสหรัฐกู้เงิน 5.7 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อ “ยัน” ให้เศรษฐกิจกลับไปที่เดิมก่อนเกิดวิกฤติ ซึ่งผู้เขียนเปรียบเทียบว่าเสมือนกับการที่หมอรักษาคนไข้ที่เป็นมะเร็ง (กู้เงินมากเกินไปมาเก็งกำไรบ้าน) โดยการฉีดเชื้อมะเร็งเพิ่มให้คนไข้ (รัฐบาลกู้เงินจากลูกหลานมาใช้) พร้อมกับฉีดมอร์ฟีนขนานใหญ่คือการพิมพ์เงินเพื่อดึงดอกเบี้ยลงเหลือศูนย์ การ “ฟื้นตัว” ของเศรษฐกิจในปี 2010 ควรเข้าใจให้ถูกต้องว่ามีพื้นเพมาเช่นนี้

    สรุปได้ว่า นายเบอร์นันเก้ (ผู้ว่าการธนาคารกลาง) นายไกน์เนอร์ (รมว.คลัง) และ นายโอบามา กำลังเดิมพันว่าประชาชนสหรัฐจะหลงเชื่อว่าเศรษฐกิจกำลังดีวันดีคืน และหันมาใช้จ่าย ทุกภาคส่วนเกิดความเชื่อมั่น มีการผลิตและจ้างงานเพิ่ม ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจบูมอีกครั้ง รัฐบาลก็จะเก็บภาษีได้เพิ่มและรายจ่ายสวัสดิการสำหรับผู้ตกงานก็จะลดลง สามารถลดการขาดดุลและลดหนี้สาธารณะได้ แต่คำถามคือการสร้างภาพลวงดังกล่าวจะประสบความสำเร็จต่อเนื่องในปี 2011 หรือไม่

    ยอดขายสินค้าในสหรัฐปรับเพิ่มขึ้น 6.5% ในปี 2010 จากการที่ผู้บริโภคเริ่มเกลับมารูดบัตรเครดิตมากขึ้นเพื่อซื้อไอแพด โทรทัศน์จอแบน รองเท้า เครื่องประดับ ฯลฯ พร้อมกับการที่สถาบันการเงินของภาครัฐพยายามปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง (แม้ว่าธนาคารพาณิชย์จะกำลังไล่ตามยึดบ้านจากลูกหนี้ที่เบี้ยวหนี้) ทำให้ปัจจุบันอัตราการออมของชาวอเมริกันกำลังปรับลดลงอีกแล้ว แสดงว่าประชาชนเริ่มกลับเข้าสู่นิสัยเดิมคือ “รูดก่อนจ่ายทีหลัง” แต่การออมของชาวสหรัฐที่ 5.9% ของรายได้นั้น มาจากการให้เปล่าของภาครัฐ (transfer payment) 3.9% หมายความว่าหากรัฐบาลสหรัฐไม่ได้กู้เงินอนาคตมาแจก คนอเมริกันก็จะออมเงินแค่ 2% เท่านั้น ตั้งแต่กันยายน 2008 ถึงปลายปี 2010 นั้นเงินเดือนของประชาชนโดยรวมลดลง 127,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่รัฐบาลแจกเงินผ่านมาตรการรัฐสวัสดิการต่างๆ รวมทั้งสิ้น 441,000 ล้านดอลลาร์

    ปัจจุบันสัดส่วนของการบริโภคต่อจีดีพีของสหรัฐอยู่ที่ 70% ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าเป็นสัดส่วนที่สูงเกินไปควรลดลงมาที่ 65% และอัตราการออมควรกลับขึ้นไปอยู่ที่ 8-10% (การที่คนอเมริกันใช้จ่ายเกินตัวนั้นเห็นได้จากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ 3.5% ของจีดีพี) แต่ที่สำคัญคือการใช้จ่ายเกินตัวดังกล่าวเกิดขึ้นจากการกู้เงินโดยภาครัฐ ซึ่งยิ่งอันตราย ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่ยั่งยืน แม้ว่าความรู้สึกของคนทั่วไปในครึ่งแรกของปีนี้คงจะเห็นพ้องต้องกันว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง แต่ก็จะเป็นผลมาจากการปั๊มเงินเข้าระบบโดยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลของนายเบอร์นันเก้เดือนละ 75,000 ล้านดอลลาร์ ประกอบกับการลดภาษีและเงินอุดหนุนผู้ตกงานของนายโอบามารวมทั้งสิ้นกว่า 800,000 ล้านดอลลาร์

    แต่ในครึ่งหลังของปีนี้สถานการณ์อาจพลิกผันไปในทางลบได้ เช่นราคาบ้านในสหรัฐที่แม้จะปรับตัวลดลงไปแล้ว 33% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ก็น่าจะลดลงได้อีก 23% เพื่อให้ราคาบ้านกลับไปสู่ระดับปกติ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาถึงปลายปี 2012 แปลว่าปัญหาการยึดทรัพย์และขายทอดตลาดยังจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อที่ถึงกำหนดจะต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นซึ่งมีมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมกับบ้านที่ถูกยึดและรอขายอยู่แล้ว 3.9 ล้านหลัง จากการประเมินของธนาคารกลางสหรัฐสาขาดาลาส คาดว่ามีบ้านที่จะถูกยึดเนื่องจากผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้อีก 6 ล้านหลัง

    นายเบอร์นันเก้ ได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2010 ว่านโยบายพิมพ์เงินออกมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลของเขา (คิวอี 2) นั้นมีวัตถุประสงค์หลักคือ “การกดดอกเบี้ยเงินกู้ให้ลดลงเพื่อทำให้การเป็นเจ้าของบ้านทำได้ง่ายขึ้นและผู้ที่กู้บ้านอยู่แล้วจะมีภาระลดลง” แต่ปรากฏว่าดอกเบี้ยเงินกู้บ้านกลับปรับตัวสูงขึ้นจากวันที่ 2 พ.ย. ที่ระดับ 4.2% เป็น 5% ในปัจจุบัน กล่าวคือภาระของประชาชนเพิ่มขึ้นมิได้ลดลง

    หาก นายเบอร์นันเก้ จะพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาเพิ่มขึ้นอีกก็ไม่แน่ใจว่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ เพราะตั้งแต่วิกฤติที่ธนาคารกลางสหรัฐพิมพ์เงินออกมาจนทำให้งบดุลธนาคารกลางเพิ่มขึ้นถึง 23 เท่าตัวนั้น ปรากฏว่าราคาสินค้าในสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นราคาน้ำมันเพิ่มจาก 1.62 ดอลลาร์ต่อแกลลอน เป็น 3.05 ดอลลาร์ ราคาทองเพิ่มจาก 814 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาเป็น 1,421 ดอลลาร์ ราคาทองแดง เงิน ข้าวโพด กาแฟ ข้าวสาลี ฯลฯ ต่างเพิ่มขึ้น 30-90% สำหรับธนาคารกลางของสหรัฐเองนั้นการพิมพ์เงินออกมาซื้อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงหรือแม้แต่การซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นนั้นกำลังจะทำให้เกิดความเสียหายต่อธนาคารกลางสหรัฐและอาจต้องพิมพ์เงินออกมาล้างขาดทุน ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อไปอีก และอาจทำให้ราคาน้ำมัน และวัตถุดิบสำคัญๆ เพิ่มขึ้น สร้างแรงกดดันให้เศรษฐกิจตกต่ำลงได้อีก

    ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปปัญหารัฐบาลท้องถิ่นในสหรัฐและความขัดแย้งทางการเมืองที่จะรุนแรงขึ้นในสหรัฐ ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่าการเดิมพันของผู้นำสหรัฐจะประสบความล้มเหลวในที่สุด ดังนั้นการวาดภาพอันสวยหรูว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3-4% การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 2 ล้านตำแหน่งและการที่ตลาดหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้น 10-15% นั้น หากนายเบอร์นันเก้ ต้องกล่าวถึง คิวอี 3 เมื่อใดก็แปลว่าการเดิมพันนั้นได้ถูกเปิดโปงและปัญหาใหญ่กำลังคืบคลานมาถึงแล้วครับ

     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วิกฤติยุโรป : จุดระเบิดความไม่เท่าเทียมกัน (2)

    โดย : พงษ์ศักดิ์ ฮุ่นตระกูล, สมยศ อรรคฮาดสี
    การสิ้นสุดของการผูกค่าเงินดอลลาร์ไว้กับทองคำในปี 2514 เป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศยุโรปเกิดความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110106/show_ads_impl.js"></SCRIPT>อันเนื่องจากความไม่มั่นใจในค่าเงินดอลลาร์ เงินดอยช์มาร์กของเยอรมนี ซึ่งเป็นชาติเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในยุโรป ได้เข้ามามีบทบาทการค้าและการลงทุนของกลุ่มประเทศในยุโรป เพื่อสร้างสมดุลคู่กับเงินดอลลาร์

    เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลง งบประมาณทางทหารที่ลดลงทำให้เยอรมนีมีงบประมาณที่สามารถนำมาใช้ ทั้งในการรวมเยอรมนีในปี 2532 และผลักดันให้เกิดเงินทุนไหลเข้าประเทศต่างๆ ในยุโรป ทั้งในรูปแบบการรับซื้อพันธบัตรต่างๆ ของกลุ่มประเทศยุโรป ทำให้เกิดทุนหมุนเวียนในยุโรป และเป็นจุดเริ่มสำคัญนำไปสู่การก่อตั้งอียูและสกุลเงินยูโร

    การเกิดสหภาพยุโรป (อียู) ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และยูโร ล้วนเป็นบทบาทสำคัญผลักดันโดยเยอรมนี โดยนำรูปแบบธนาคารกลางเยอรมนีและเงินดอยช์มาร์กมาใช้เป็นต้นแบบ นอกจากนั้น หลักเกณฑ์เข้าร่วมอียู คือ ใช้เศรษฐกิจเยอรมนีเป็นหลัก โดยให้ประเทศอื่นที่เข้าร่วม ปรับระบบเศรษฐกิจให้เข้ากับเยอรมนี ซึ่งกลายเป็นที่มาของมาตรฐานที่เข้มงวดมาก

    เพราะเยอรมนีเป็นประเทศเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในยุโรป เช่น การขาดดุลงบประมาณต้องน้อยกว่า 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) หนี้สาธารณะไม่เกิน 60% ของจีดีพี อัตราเงินเฟ้อต่อปีต้องสูงไม่เกินค่าเฉลี่ยของสามประเทศมีเงินเฟ้อต่ำสุดบวก 1.5%

    จากวิกฤติในกรีซแสดงให้เห็นแล้วว่า หลักเกณฑ์ที่เข้มงวดดังกล่าวไม่สามารถนำมาปฏิบัติกับประเทศที่มีพื้นฐานทางโครงสร้างเศรษฐกิจ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน

    การมีนโยบายการเงินและเงินทุนเป็นหนึ่งเดียว เช่น อีซีบีและยูโร ที่ใช้กับทั้งประเทศร่ำรวย มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีทุนมหาศาลอย่างเยอรมนี และประเทศยากจนพึ่งพาการเกษตร หรืออุตสาหกรรมอย่างสเปนและกลุ่มประเทศยุโรปใต้ กำลังสะท้อนให้เห็นปัญหาเพิ่มมากขึ้น

    กลุ่มประเทศยากจนในยุโรป ต้องการให้ค่าเงินอ่อนลงเพื่อสนับสนุนสินค้าส่งออก ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ได้มีความซับซ้อนหรือใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการผลิต แต่ต้องอาศัยการแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการเติบโตของประเทศ ขณะที่เยอรมนีสามารถผลิตสินค้ามีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และไม่ได้แข่งขันด้านราคา ทำให้ค่าเงินไม่ได้ส่งผลต่อการแข่งขันของประเทศ

    อย่างไรก็ดี การเกิดสกุลเงินเดียวในยุโรป ส่งผลต่อค่าเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศยากจนในยุโรป เพราะเมื่อเกิดปัญหาเศรษฐกิจทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ กลุ่มประเทศยากจนเหล่านี้ สามารถใช้กลไกการลดค่าเงินเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน กระตุ้นการส่งออก และช่วยกลุ่มประเทศยากจนเหล่านี้ยืดหยุ่นในการจัดการด้านเศรษฐกิจ

    จนกว่าจะมีการพัฒนาด้านความสามารถในการผลิตของประเทศ ให้ทัดเทียมประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ในปัจจุบัน เมื่อประเทศยากจนในยุโรปเหล่านี้เข้าร่วมใช้เงินยูโร ความยืดหยุ่นในการจัดการค่าเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศยากจนในยุโรป ไม่สามารถดำเนินการได้อีกต่อไป

    ขณะที่ทางเยอรมนีกลับเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด เพราะประเทศยากจนในยุโรปต้องกู้ยืมเงินจากเยอรมนี เพื่อนำเข้าสินค้าจากเยอรมนีเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการปลอดภาระเรื่องภาษี และการที่สินค้าของเยอรมนีราคาถูกกว่า รวมถึงสินค้าทางด้านเทคโนโลยีที่ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศ

    สาเหตุสำคัญก่อให้เกิดปัญหาวิกฤติการเงินในยุโรป ได้แก่ ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มประเทศยุโรปใต้ ได้แก่ กรีซ โปรตุเกส สเปน และ อิตาลี ไม่สามารถคุมงบประมาณของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้เกิดปัญหาหนี้สาธารณะ ในช่วงก่อนที่จะเข้าร่วมอียู

    ประเทศเหล่านั้นได้เงินช่วยเหลือผ่านวงเงินกู้และกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนพัฒนายุโรปจำนวน 347,000 ล้านยูโร เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพ รวมถึงการพัฒนาแรงงานให้มีผลิตภาพ (Productivity) สูงขึ้น เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์การเข้าเป็นสมาชิกอียู

    กระนั้นก็ดี ประเทศเหล่านี้กลับนำเงินที่ได้รับมาเน้นใช้ในโครงการทางสังคมด้านต่างๆ อันไม่ได้ก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน แต่กลับกลายเป็นภาระผูกพันในส่วนของงบประมาณที่ต้องการมีการจัดสรรเพื่อรองรับ ซึ่งที่มางบประมาณดังกล่าวมาจากการขายพันธบัตรให้กับเยอรมนี อันเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่ทางธนาคารกลางยุโรปกำหนดไว้ในอัตราที่ต่ำกว่าความเป็นจริง คือ ประมาณ 1% ทำให้เกิดหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาล ดังเช่นกรณีของกรีซ จนทำให้หนี้สาธารณะสูงเกินกว่าจีดีพี จนเป็นที่มาของความจำเป็นในการตัดงบประมาณรายจ่าย หรือไม่ก็ล้มละลาย

    เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแรงงานระหว่างประเทศในตลาดร่วมยุโรป ที่ใช้เงินยูโร ซึ่งสะท้อนถึงต้นทุนการผลิตของแต่ละประเทศ เพราะค่าเงินเป็นสกุลเดียวกัน ปรากฏว่าแรงงานในเยอรมนีมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในยุโรป หรือสูงกว่ากลุ่มประเทศแถบยุโรปใต้มากกว่า 25% นั่นหมายความว่า ในเชิงการผลิตแล้ว ต้นทุนค่าแรงงานการผลิตในเยอรมนีถูกกว่าประเทศอื่นในยุโรป หรือถูกกว่ากรีซมากกว่า 25%

    ดังนั้น การใช้เงินร่วมกันของทั้งสองประเทศที่แตกต่างกัน จึงทำให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ด้อยกว่าลดลง และไม่สามารถปรับลดค่าเงิน เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันได้ ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจของประเทศตามมา

    ตามรายงานของซิตี้กรุ๊ปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2553 ระบุถึง เรื่องเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์กลุ่มประเทศในยุโรป แบ่งเป็นกลุ่มประเทศยุโรปเหนือและยุโรปใต้ (อิตาลี สเปน ไอซ์แลนด์ โปรตุเกส และกรีซ) จะพบความแตกต่างอย่างมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจ ผลประกอบการบริษัท รวมทั้งราคาหลักทรัพย์ ที่ทางยุโรปเหนือดีกว่ามาก ทั้งในด้านการเติบโตของจีดีพีในปี 2553 ที่ประมาณว่ายุโรปเหนือเติบโต 1.5% เทียบกับยุโรปใต้ -0.5% ตลาดหุ้นยุโรปเหนือเพิ่มขึ้นทั้งในแง่ราคาและผลประกอบการหลักทรัพย์ในอัตราเฉลี่ยที่ 15% ขณะที่ยุโรปใต้อยู่ที่ -20% และมีแนวโน้มที่ช่องว่างดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นในอนาคต

    การที่ธนาคารกลางยุโรป และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ให้เงินช่วยเหลือในวิกฤติการเงินของกรีซ และกลุ่มประเทศยุโรปใต้ จำนวน 1 ล้านล้านยูโรนั้น เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น เพราะมูลเหตุของปัญหาที่แท้จริงของวิกฤติครั้งนี้ อยู่ที่ความแตกต่างกันทางด้านความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศในสมาชิกอียูนั่นเอง

    (ติดตามตอนจบในวันที่ 11 ม.ค. 2554)
     

แชร์หน้านี้

Loading...