เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การปกครองท้องถิ่น ภาวะเศรษฐกิจและผีโม่แป้ง
    โดย ไสว บุญมา 1 สิงหาคม 2553
    การปกครองท้องถิ่นเป็นประเด็นหนึ่งใน 14 ประเด็นที่จะได้รับการพิจารณาจากสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย ทั้งนี้คงเพราะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารกิจการแผ่นดินอยากให้เมืองไทยพัฒนาไปในแนวที่มีความนิยมในสังคมตะวันตกแต่เท่าที่ผ่านมาการพัฒนาไม่เป็นตามความคาดหวัง มีเรื่องราวเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นบางอย่างในระหว่างที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกล่าสุด ขอนำมาเล่าคร่าวๆ เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นข้อคิดสำหรับผู้ที่จะมีส่วนในการปฏิรูป

    เรื่องแรก มาจากอิตาลีซึ่งเมืองต่างๆ กำลังประสบปัญหาหนักหนาสาหัสเพราะเก็บภาษีไม่ค่อยได้ส่วนค่าใช้จ่ายไม่ลดลงเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ นอกจากนั้นเมืองจำนวนมากยังมีโอกาสสูญเงินก้อนใหญ่เนื่องจากไปทำสัญญากู้เงินหรือลงทุนตามคำแนะนำของสถาบันการเงินข้ามชาติทั้งที่ตนเองไม่มีความเข้าใจอันถ่องแท้ เมื่อปิดงบประมาณไม่ได้ หลายๆ ท้องถิ่นต้องตัดค่าใช้จ่ายคล้ายตัดแขนตัดขา เช่น เมืองรีคานาติอันเป็นบ้านเกิดของกวีชื่อดัง เจียโคโม ลีโอพาร์ดี ถึงกับขายสวนสาธารณะและโรงเรียนอนุบาลพร้อมกับการตัดค่าใช้จ่ายในด้านการช่วยเหลือคนชราและการซ่อมแซมอาคาร ด้านกรุงมิลานอันเป็นศูนย์แฟชั่นใหญ่ของโลกก็อาจสูญเงินจำนวนมากเนื่องจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์เกี่ยวกับกระบวนการซื้อขายอนุพันธ์การเงิน เทศบาลกรุงมิลานกำลังฟ้องสถาบันการเงินด้วยข้อกล่าวหาหลอกลวง

    เรื่องที่สอง มาจากสเปนซึ่งกำลังเผชิญปัญหาหนักหนาสาหัสด้านงบประมาณจนอาจต้องคลานไปขอความช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟเช่นเดียวกับกรีซ สเปนให้อำนาจการบริหารบ้านเมืองแก่รัฐบาลท้องถิ่นสูงกว่าประเทศในยุโรปเกือบทั้งหมด งบประมาณของรัฐบาลท้องถิ่นจึงมีขนาดใหญ่เกือบสองเท่าของงบประมาณรัฐบาลกลาง ในตอนที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัว รัฐบาลท้องถิ่นใช้จ่ายกันแบบแทบไม่อั้น ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างสวนสาธารณะ สนับสนุนวงดนตรี สร้างสนามกีฬา หรือก่อตั้งองค์กรเฉพาะกิจขึ้นมานับพันเพื่อทำกิจการต่างๆ เมื่อรายได้ไม่พอ ก็หยิบยืม ตอนนี้รัฐบาลท้องถิ่นจึงมีหนี้สินรวมกันถึงราว 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งที่พยายามลดการใช้จ่ายโดยไม่จ้างคนงานแทนผู้เกษียณและลดเงินเดือนพนักงาน แต่รายได้ก็ยังไม่พอ รัฐบาลท้องถิ่นเหล่านั้นจึงพยายามยามกู้ยืมเพิ่มอีกราว 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูงกว่าปกติมากเนื่องจากผู้ให้กู้เห็นว่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

    เรื่องที่สาม เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นมีปัญหาไม่ต่างกับประเทศอื่นรวมทั้งรัฐแคลิฟอร์เนียทั้งที่สามารถเรียกเก็บภาษี ตั้งงบประมาณการใช้จ่ายและกู้หนี้ยืมสินได้คล้ายกับเป็นประเทศเอกราชยกเว้นในด้านการพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้เท่านั้น ในช่วงนี้แคลิฟอร์เนียมีปัญหาหนักหนาสาหัสมากซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้เก็บภาษีได้น้อย แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเดียว

    อีกส่วนหนึ่งได้แก่ด้านการใช้จ่ายซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งเนื่องจากรัฐมีข้อผูกพันในโครงการต่างๆ รวมทั้งทางด้านสวัสดิการสังคม ยิ่งกว่านั้น การเงินของแคลิฟอร์เนียมีปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานจากการบริหารในแนวประชาธิปไตย นั่นคือ นักการเมืองมักเอาใจประชาชนโดยเสนอให้สวัสดิการและบริการสารพัด แต่ในขณะเดียวกันไม่ยอมขึ้นภาษีส่งผลให้รัฐมีหนี้สินสูงมาก ตอนนี้เริ่มมีการลดพนักงานของรัฐ ลดเงินเดือนและลดโครงการต่างๆ ยังผลให้เกิดความเดือดร้อนเพิ่มขึ้นในภาวะที่ผู้คนจำนวนมากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอยู่แล้ว

    ในบรรดาเมืองต่างๆ ที่กำลังประสบปัญหา เมืองเล็กๆ ชื่อเบลล์ถูกซ้ำเติมด้วยความฉ้อฉล เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะผู้บริหารของเมืองเบลล์ถูกกดดันให้ลาออกและเป็นไปได้ที่ในที่สุดบางคนจะต้องติดคุกเนื่องจากได้ซุกซ่อนการใช้จ่ายเงินจนประชาชนบางคนสงสัยและหนังสือพิมพ์เข้าไปขุดค้นข้อมูลพบว่าพวกเขาได้ค่าตอบแทนสูงแบบเหลือเชื่อ หัวหน้าคณะผู้บริหารคนเดียวได้ค่าตอบแทนคิดเป็นเงินไทยถึง 1.2 ล้านบาทต่อเดือนทั้งที่เมืองนี้ค่อนยากจนเพราะประชาชนส่วนมากอพยพไปจากละตินอเมริกา

    รัฐบาลท้องถิ่นในประเทศต่างๆ ที่กำลังเผชิญปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่ายและไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนดเวลาได้ต่างพยายามหาทางออกหลายอย่างดังที่กล่าวถึง กระนั้นก็ตาม จำนวนมากยังปิดงบประมาณไม่ได้จึงอาจต้องใช้วิธีร้ายแรงที่สุด นั่นคือ ใช้กฎหมายล้มละลายเพื่อพักชำระหนี้ชั่วคราว

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลท้องถิ่นบางแห่งเท่านั้นที่สามารถใช้วิธีนี้ได้ ในสหรัฐอเมริกา การออกกฎหมายล้มละลายสำหรับองค์การปกครองท้องถิ่นเป็นอำนาจของแต่ละรัฐ บางรัฐไม่ยอมให้รัฐบาลท้องถิ่นอาศัยกฎหมายล้มละลายเพื่อพักชำระหนี้ เช่น รัฐจอร์เจียและรัฐไอโอวา หลายรัฐยอมให้ล้มละลายได้แต่มีเงื่อนไขหลายอย่าง มีเพียง 8 รัฐเท่านั้นที่อนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นใช้กฎหมายล้มละลายได้โดยไม่มีข้อจำกัดรวมทั้งแคลิฟอร์เนียด้วย เมื่อไม่นานมานี้จึงมีเมืองหนึ่งชื่อวาเยโฮอาศัยกฎหมายล้มละลายเพื่อพักชำระหนี้ชั่วคราว

    เท่าที่เล่ามานี้คงชี้ให้เห็นว่า การมีอิสระสูงของรัฐบาลท้องถิ่นนั้นอาจมีข้อดีหลากหลาย แต่ในขณะเดียวกันโอกาสที่จะประสบปัญหาหนักหนาสาหัสก็มีอยู่สูง ยิ่งกว่านั้น ปัญหาที่อ้างถึงมักเป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัดจึงมีการพูดถึงกันเป็นประจำ แต่ยังมีอีกปัญหาหนึ่งซึ่งมักไม่ค่อยถูกเอ่ยถึงเนื่องจากมันมักไม่เป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัด นั่นคือ การเดินสวนทางระหว่างการเงินท้องถิ่นกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลกลาง ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายได้แก่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่มีวิกฤตร้ายแรง

    ในขณะที่รัฐบาลกลางทำสารพัดอย่างเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายให้มากขึ้น แต่รัฐบาลท้องถิ่นกลับลดการใช้จ่ายเนื่องจากเก็บภาษีได้น้อยกว่าปกติ ในทางกลับกัน ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวสูงจนเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเงินเฟ้อ รัฐบาลกลางต้องการดำเนินนโยบายเพื่อลดการใช้จ่ายลง รัฐบาลท้องถิ่นกลับใช้จ่ายมากขึ้นเพราะเก็บภาษีได้มากกว่าปกติ

    การปกครองท้องถิ่นของไทยยังไม่วิวัฒน์ไปถึงของประเทศต่างๆ ที่อ้างถึง สมัชชาปฏิรูปจะเสนอให้พัฒนาไปทางไหนคงใช้เวลาอีกหลายเดือนจึงจะรู้ แต่ ณ วันนี้ มีสิ่งที่น่าสังเกตปรากฏให้เห็นจนเป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัดมากจากวิวัฒนาการที่ผ่านมาแล้ว เช่น การซ้ำซ้อนกันระหว่างงานขององค์กรใหม่กับงานขององค์กรที่มีอยู่ก่อนแล้ว จากสำนักงานผู้ว่าราชการจังหวัดลงไปถึงกำนันและผู้ใหญ่บ้าน และการใช้งบประมาณที่มีส่วนประกอบสำคัญจำพวกการก่อสร้างรวมทั้งสำนักงานขนาดใหญ่ การไปดูงานต่างประเทศ การตกแต่งภูมิทัศน์และการสัมมนา

    ดังเป็นที่ทราบกันดี การมีองค์กรซ้ำซ้อนกันเป็นการสูญเสียงบประมาณโดยใช่เหตุ แต่มันสะท้อนสัจธรรมข้อหนึ่งซึ่งได้แก่การตั้งองค์กรขึ้นมาใหม่นั้นง่ายมาก แต่การยุบองค์กรเก่านั้นยากที่สุด นักปฏิรูปจึงมักหาทางออกแบบมักง่ายโดยให้คงมันไว้เช่นเดิม ส่วนการใช้งบประมาณเพื่อกิจการต่างๆ ที่อ้างถึงมักถูกยักยอกได้ง่ายและให้ประโยชน์แก่พนักงานขององค์กรมากกว่าแก่ประชาชนจนมักเกิดการขัดแย้งร้ายแรงถึงกับฆ่าแกงกันเมื่อมีการเลือกตั้งดังที่เห็นเป็นประจำในท้องถิ่นต่างๆ

    การปฏิรูปของไทยในอันดับต่อไปจึงควรใส่ใจกับประเด็นที่กล่าวถึง กับการเสนอให้ตั้งองค์กรขึ้นมาใหม่โดยไม่ยุบองค์กรเก่า และกับเรื่องจะทำอย่างไรจึงจะมีกลไกป้องกันมิให้การใช้งบประมาณเกิดการสูญเปล่าและยักยอก การมองดูผู้ที่อยู่ในคณะปฏิรูปสองคณะจะไม่ทำให้เกิดความมั่นใจนักเนื่องจากหลายคนมีส่วนในการก่อตั้งองค์กรที่มีหน้าที่เพียงเป็นผีโม่แป้งมาแล้ว เช่น สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

    ยิ่งกว่านั้น เมื่อไม่นานมานี้ยังมีการก่อตั้งสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชนด้วยความแปลกประหลาดเป็นพิเศษคือ แอบไว้ในสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานเล็กๆ นี้กำลังจะพัฒนาต่อไปเป็นองค์กรมหาชนขนาดใหญ่อีกองค์กรหนึ่งซึ่งทำงานทับซ้อนกับองค์กรที่มีอยู่ก่อนแล้ว

    องค์กรเหล่านี้มีงบประมาณนับร้อยนับพันล้านบาทต่อปี แต่ส่วนใหญ่ดูจะใช้จ้างผู้ที่เกษียณจากงานประจำมาทำหน้าที่เป็นผีโม่แป้ง หรือสนับสนุนโครงการผลาญเงินของสมัครพรรคพวกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง การกระทำเช่นนั้น นอกจากจะสร้างความเสียหายโดยทั่วไปแล้ว ยังสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ที่มีความตั้งใจดีที่จะช่วยสังคมโดยเฉพาะอีกด้วย ทั้งนี้เพราะผู้ที่มีทั้งความสามารถและความปรารถนาที่จะออกมาช่วยสังคม ขาดโอกาสทำงานอาสาโดยไม่มีค่าตอบแทนจากเงินภาษีของประชาชนจนเกิดคำครหานินทาว่าเป็นผีโม่แป้งควบรวมไปกับพวกที่เป็นผีโม่แป้งตัวจริง
    Daily News - Manager Online -
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สหภาพอังกฤษขู่รบ.ประท้วงมาตรการรัดเข็มขัดช่วงพิธีอภิเษกปรินซ์วิลเลียม
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>30 ธันวาคม 2553 23:25 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เดอะซัน - พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายวิลเลียมกับเคต มิดเดิลตัน อาจได้รับผลกระทบจากเหตุประท้วงต่อต้านมาตรการลดรายจ่ายของรัฐบาล

    รายงานข่าวระบุว่าแกนนำระดับอาวุโสของสหภาพต่างๆจะหารือกันในช่วงต้นปีหน้าเพื่อกำหนดแนวทางการชุมนุมครั้งใหญ่ในการประท้วงต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลที่มุ่งมั่นที่จะลดปัญหาขาดดุลงบประมาณ

    แกนนำสหภาพบริการสาธารณะและการพาณิชย์ เปิดเผยว่าพวกเราวางแผนจะชุมนุมกันในช่วงปลายเดือนเมษายน ขณะที่พระราชพิธีอภิเษกสมรสถูกกำหนดไว้ในวันที่ 29 เมษายน "พิธีอภิเษกสมรส ไม่ใช่หนึ่งในปัจจัยในแผนประท้วงของเรา รวมทั้งก็ไม่ใช่ปัจจัยที่เราต้องหลบหลีกด้วย การประท้วงในช่วงเทศกาลอิสเตอร์มักเห็นผล เพราะเวลานั้นมีเรื่องต่างๆเกิดขึ้นมากมาย"

    คำขู่ดังกล่าวมีขึ้นตามหลัง เบรนดัน บาร์เบอร์ เลขาธิการทั่วไปของสภาสหภาพการค้าเตือนว่าอังกฤษอาจต้องเจอเหตุความไม่สงบครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 20 ปีในปี 2011

    เขาเตือนว่าผลกระทบจากแผนลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลและตัวเลขคนว่างงานที่เพิ่มขึ้นจะจุดชนวนความโกรธกริ้วแก่ประชาชนและนำไปสู่การชุมนุมประท้วงลุกลามอย่างเช่นกรณีเหตุจลาจลในปี 1990

    รัฐบาลผสมต้องเผชิญการประท้วงรุนแรงต่อต้านแผนขึ้นค่าเทอมระดับมหาวิทยาลัย ที่ผู้ชุมนุมโจมตีแม้กระทั่งรถยนต์พระที่นั่งของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และบาร์เบอร์ เตือนว่าเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดกำลังรออยู่เบื้องหน้า

    Around the World - Manager Online -
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    Happy New Year 2011


    [​IMG]


    [FONT=&quot]อุปสรรค แค่ไหน อย่าไปท้อ[/FONT]
    [FONT=&quot] อย่ามัวแต่ เฝ้ารอ ปาฏิหาริย์[/FONT]
    [FONT=&quot] ก้าวที่เคย พลาดพลั้ง ในวันวาน[/FONT]
    [FONT=&quot] เอามาสาน กำลังใจ ให้ตัวเอง[/FONT]

    [FONT=&quot]จัดระเบียบ โลกใหม่ จำต้องเกิด[/FONT]
    [FONT=&quot]เพื่อชำระ ผู้ละเมิด เปรียบดั่งศาล[/FONT]
    [FONT=&quot]ขอเพียงแต่ เข้าใจ อย่าต้านทาน [/FONT]
    [FONT=&quot]การล้างผลาญ เหล่านั้น พลันต้องมา[/FONT]


    [FONT=&quot]เค้าจะทำ สิ่งใหม่ ในทุกด้าน[/FONT]
    [FONT=&quot]อีกไม่นาน เราท่าน คงได้เห็น[/FONT]
    [FONT=&quot]โลกใบนี้ คงเข้าสู่ ยุคลำเค็ญ[/FONT]
    [FONT=&quot] คือ "ยุคเข็ญ ภัยพิบัติ และสงคราม"[/FONT]

    [FONT=&quot]การเตรียมพร้อม ต้องพร้อม ทั้งความเชื่อ[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช่เพียงเหลือ เงินทอง มหาศาล[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะครั้งนี้ จำจะกิน เวลานาน[/FONT]
    [FONT=&quot]ที่จะผ่าน พ้นได้ ใช่แค่เงิน[/FONT]

    [FONT=&quot]การชำระ ครั้งนี้ ที่ความผิด[/FONT]
    [FONT=&quot]บาปที่ติด ตามตัว ชั่วลูกหลาน[/FONT]
    [FONT=&quot]กลับใจก่อน ที่จะสาย อย่ามัวพาล[/FONT]
    [FONT=&quot]อย่าปล่อยผ่าน คิดแค่ว่า ข้าไม่กลัว[/FONT]

    [FONT=&quot]ซึ่งเป้าหมาย ทำลายล้าง คือคนบาป[/FONT]
    [FONT=&quot]เพื่อกำราบ คนก่อกรรม ทำลายทั่ว[/FONT]
    [FONT=&quot]ทั้งกิเลส อีกตัณหา ที่เมามัว[/FONT]
    [FONT=&quot]ความงมงาย ที่ติดตัว ชั่วชาติพันธุ์ [/FONT]

    [FONT=&quot]แสวงหา สิ่งใดหนอ คือ "ความรอด " [/FONT]
    [FONT=&quot]ใช่แค่กอด เงินทองไว้ จับให้มั่น[/FONT]
    [FONT=&quot]อย่างที่บอก ถ้าจะรอด ต้องรู้ทัน [/FONT]
    [FONT=&quot]มิเช่นนั้น จะเหนื่อยเปล่า เราหมดตัว[/FONT]

    [FONT=&quot]พลันตกนรก ไปอยู่กับ ความผิดนั้น[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะคิดว่า นั่นคือบุญ ทำกันทั่ว[/FONT]
    [FONT=&quot]ที่แท้จริง มันคือบาป ที่น่ากลัว[/FONT]
    [FONT=&quot]ถูกความชั่ว ปิดตาไว้ ไม่ให้ดู [/FONT]

    [FONT=&quot]คือยุคแห่ง การล่อลวง ถ้ามองเห็น[/FONT]
    [FONT=&quot] สิ่งที่เป็น อาจมิใช่ ที่เห็นอยู่[/FONT]
    [FONT=&quot]ด้วยเทคโน สารพัด หลอกทั่งครู[/FONT]
    [FONT=&quot]เผยแพร่สู่ ชั้นชน คนทั่วไป[/FONT]

    [FONT=&quot]พอดี ไปยกเอากลอนบทหนึ่งมาครับ คือบทแรก ดูแล้วมันจะสั้นๆ ห้วนๆ ยังไงชอบกล ก็เลยแต่งเพิ่มอีกซักหน่อยเพื่อให้ลงตัว ซึ่งก็พอจะสื่อถึงบทความที่ผ่านๆ มาได้ดี[/FONT]


    [FONT=&quot]ต้อง ขอกราบขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านสำหรับทุกความคิดเห็น การแลกเปลี่ยนข่าวสารที่เป็นประโยชน์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาครับ ไม่ว่าจะเป็นคำตำหนิ ติ ชม หรือกำลังใจต่างๆ ซึ่งต้องบอกว่า ผมอ่านทุกคำทุกตัวอักษรครับ แต่อาจจะตอบบ้างไม่ตอบบ้างก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ เวลานั้นว่ามีเวลาแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นคำแสดงความยินดีของคุณบาบาร่า ฟู คำถามของคุณ Jazz, คุณวีระชัย ว., คุณ Banksia, คุณ 3am, คุณวินซ์, คุณผิง ( ที่ตอนนี้กำลังฮ๊อตสุดๆ :) ในอีกเวบหนึ่ง พอดีตามแกะรอยนิ้วมือไปเจอน่ะครับ แอบไปอ่านมาหมดแล้ว!!! และขอให้ประสบความสำเร็จสูงสุดในสิ่งที่กำลังจะทำครับ ) และอีกหลายๆ ท่านที่ไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้ และหลายๆ คำถามที่ผมจะนำมาเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราว มากกว่าการตอบคำถามเพียงสั้น เพราะต้องมีเอกสารหลักฐานประกอบมากกว่าการพูดลอยๆ ขึ้นมา ซึ่งคงจะไม่ได้อะไรมากเท่าไหร่ครับ[/FONT]

    [FONT=&quot] [/FONT]

    [FONT=&quot]งาน เขียนของผมอาจจะถูกผู้อ่านบางส่วนมองเป็นประเภท Extremist หรือสุดโต่ง ในบางประเด็น แต่ผมก็คงยืนยันและมั่นคงในจุดยืนของบทความ "ทั้งหมดทุกประเด็น" ครับ ถ้าลองกลับไปอ่านบนความเก่าๆ ของผมตั้งแต่เรื่องแรกในเดือนกรกฏาคม ปี 2009 ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นปัญหาใหญ่อยู่ในวันนี้ หรือก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้ก็คือสิ่งต่างๆ ที่ผมเขียนไว้ในอดีตนั่นเอง [/FONT]

    [FONT=&quot]เพราะ ฉะนั้นบทความหรือเรื่องราว ที่ท่านกำลังอ่านในวันนี้ก็อาจจะยังเป็นเรื่องที่ "สุดโต่ง" อยู่ในวันนี้ครับ แต่สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีกเช่นกันในอนาคตอันใกล้ คือภายใน 1-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะบางสิ่งที่หลายๆคนเชื่อว่าไม่มีอยู่จริงหรือไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเอง สิ่งนี้ผมจะขอเน้นย้ำเป็นพิเศษครับว่า......[/FONT]

    [FONT=&quot] [/FONT]

    [FONT=&quot] ให้ระวังสิ่งเหล่านี้ให้ดี เพราะถ้าเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้เราจะกลับตัวไม่ทันครับ แต่ผมก็ยังหวังว่า "ยังพอมีเวลา" เพื่อรอให้ท่าน "เห็นด้วยตาและฟังด้วยใจ" จะดีกว่า น่าจะยังไม่สายครับ แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นก็ขอให้เป็นสิทธิ์หรือเป็นเส้นทางที่แต่ละท่านเลือกและ กำหนดเอง ผมเป็นเพียงผู้นำสารน์หรือข้อความต่างๆ มายัง " ทุกท่านที่ไม่เคยรู้ ให้ได้รับรู้ " และบอกในสิ่งที่คนอื่นอาจจะไม่กล้าบอก ซึ่งผมก็ถือว่าผมได้ "บอก" แล้วครับ เกือบจะทั้งหมดแล้ว ซึ่งมันไม่ง่ายเลยครับที่จะบอกเล่าในสิ่งเหล่านี้ ที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่าพยายามอย่างเต็มที่ครับ [/FONT]
    [FONT=&quot][/FONT]

    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]เอาล่ะครับ เกริ่นไปซะยาว โพสต์นี้เขียนขึ้นก็เพื่ออวยพรปีใหม่ให้กับท่านผู้อ่าน โดยเฉพาะคุณ Terran และคุณ Leo ครับ :[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]ใน วันขึ้นปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ผมขออวยพรให้ท่านผู้อ่านทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและทุกท่านจากอีกกว่า 50 ประเทศทั่วโลก จงพบแต่ความสุข ความสำเร็จ ในสิ่งที่หวัง ถึงพร้อมด้วยสติ ปัญญา และทรัพย์สมบัติทั้งปวง....สวัสดีปีใหม่ 2011 ครับ [/FONT]


    Dear all Readers around the world. Wishing you for Happiness, Success and Hopefulness. Be fulfill with Concious, Wisdoms and Great Wealth.......Happy New Year
    2011


    Jimmy Siri, The Gold War Phase II
    December 31, 2010

    โพสต์โดย What's going on in America
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310



    "The Elite Speak" by Lindsey Williams (Full Length • HD)


    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/L1SNyAlsXDY?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/L1SNyAlsXDY?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></object>

    Shadow Government (Full Length)

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/arM5cPovZb4?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/arM5cPovZb4?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></object>
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รวมคำทำนายเรื่องภัยพิบัติ ปี 2555-2560
    โดยพระอริยะสงฆ์ของไทย

    [​IMG]

    คำตอบจากพระอาจารย์เกษม อาจิณฺณสีโล

    คำถามนี้ถามเนื่องจาก เมื่อวันเสาร์ที่ 21 พ.ย. 2552 เวลาสองทุ่มกว่าๆ เกือบสามทุ่ม หลวงปู่พูดเปรยๆว่า:

    อีก 3 ปีไทยจะขาดแคลนน้ำ(เพราะน้ำจืดไม่มี มีแต่น้ำเค็ม) แต่ที่ไหนมีการแก้ไข ก็จะมีน้ำพออยู่กันได้

    ประมาณ นี้.. ซึ่งเราก็เลยสงสัยเล็กน้อย ก็เลยคุยกับเพื่อนๆ คนนู้นคนนี้ เพื่อนคนหนึ่งเลยบอกให้ตั้งคำถามถามหลวงปู่สิ คนที่อยากรู้คงมีเยอะ เราจึงได้ถามคำถามไป 5 ข้อค่ะ และเมื่อวาน วันที่ 28 พ.ย. 2552 เวลาดึกๆหลังสามทุ่ม หลวงปู่ก็ตอบค่ะ:

    1. เฉพาะกับเหตุการณ์ครั้งนี้ มีรายละเอียดเรื่องนี้ในพระไตรปิฎก เล่มไหน หน้าไหน หรือเปล่าคะ (ส่วนเหตุการณ์ภัยพิบัติอื่นๆ หนูได้อ่านพระไตรปิฎกตามหัวข้อที่วัดคัดลอกมาแล้ว)

    หลวง ปู่บอกว่า ทำนายฝัน พระเจ้าปเสนทิโกศล .. เหตุภัยพิบัติมันมีมานานแล้ว และมันก็ยังคงมีอยู่เรื่อยๆ มา ไป มา ไป เป็นธรรมดาๆของมัน ไม่ถึงขนาดในหนังเรื่อง 2012 ที่มันเว่อร์ๆแบบนั้นหรอก

    2. ขาดแคลนน้ำด้วยสาเหตุอะไรคะ

    หลวงปู่บอกว่า เพราะน้ำจืดไม่มี มีแต่น้ำเค็ม เครื่องกรองน้ำเค็มเป็นน้ำจืดเดี๋ยวนี้ก็มี(ที่ประเทศบาห์เรน) แต่พอถึงเวลานั้นมันใช้ไม่ได้หรอก(คงเป็นเพราะสนามแม่เหล็กโลกแปรปรวน ระบบไฟฟ้าขัดข้องไปทั่วโลก)

    3. และพระอาจารย์พอจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมได้หรือไม่คะ ว่าท่านเห็นอะไรและอย่างไรบ้าง
    ผู้ช่วยอ่านคำถามบอกว่า เริ่มวิตกแล้วล่ะ

    หลวงปู่บอกว่า ไม่ต้องกังวลว่าจะตายหรอก ได้ตายแน่ๆแหละ(คนเราเมื่อหมดอายุขัยก็ต้องตายด้วยกันทุกคน)

    4. ที่อื่นๆนอกจากแถวน้ำหนาว พออยู่ได้ไหมคะ เช่น กรุงเทพ, นครปฐม, อเมริกาเหนือ

    หลวงปู่บอกว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งทวีป อยู่ได้หมด ที่ไหนมีการแก้ไขก็อยู่ได้ อุทิศบุญต่างๆนานา เกิดปัญหาอะไรก็ให้ค่อยๆแก้ไขไป

    ผู้ช่วยถามคำถามถามหลวงปู่ว่า มีคนรอดเยอะไหม

    หลวงปู่บอกว่า รอดเยอะมาก และตายเยอะมากเช่นกัน

    5. หนูและครอบครัวถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างเคร่งครัด พอช่วยได้ไหมคะ

    หลวงปู่บอกว่า ตอบไปแล้ว

    ประมาณนี้ค่ะ.. ขอบคุณค่ะ

    ไฟล์เสียง คำตอบจากพระอาจารย์เกษม อาจิณฺณสีโล วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

    ที่มา http://www.samyaek.com/board2/index.php?topic=2268.0

    *****************************************************************





    คำเตือนจากปู่อินทร์ตาทิพย์เขาตำแยอายุ 109 ปี

    ปู่บอกว่าภัยพิบัติจะเกิดตามหนังสือพุทธทำนายไว้ จะแรงบ้างหรือเบาบ้างขึ้นอยู่กับว่าครูบาอาจารย์ได้ช่วยไว้หรือไม่ แต่ปลายปี 2555 ต่อเนื่องปี 2556 เหตุการณ์จะรุนแรงมาก ด้วยเหตุ 3 อย่างหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ประการแรก บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ หาก..... ละสังขาร ประการสอง พายุจะถล่มเมืองไทย และที่อื่นๆ ประการสามน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในโลก หลายๆประเทศจะต้องเกิดเหมือนกัน จะรุนแรงไปเรื่อยๆ ผู้คนจะตายมากเป็นประวัติการณ์ ผู้คนจะเหลือแค่ 30% ของประชากรที่นั้นๆ

    ปัจจุบันนี้ผู้คนไม่มีศีลธรรม ไม่ละอายแก่บาป เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ใช่กรรมของใครๆ แต่นี่คือวัฎรจักรของโลก บ้านเมืองเจริญขึ้น แต่จิตใจมนุษย์เจริญลง ยิ่งการสมสู่มนุษย์ต่อกันเดียวนี้ไม่มีเลือกผัวเลือกเมียหรือลูกหลาน นี่แหละกลียุคตามคำทำนายขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธโคดม เหตุดังกล่าวจะเบาลงและสิ้นสุดปี 2560 ผู้คนที่รอดพ้นจากภัยพิภัยคือผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในศีลธรรม กตัญญูต่อบิดามารดา ละอายแก่บาป จงเป็นผู้รู้ในกิเลส และผู้ตื่นจากกิเลส สุดท้ายก็ไกลจากกิเลส

    ภัยพิบัติที่จะเกิด เมืองไทยจะมีการเตือนภัยล่วงหน้า จากในหลวงของเรา และท่านสมิทธ ธรรมสโรช (พูดแบบภาษาธรรม พระองค์ท่านในหลวงและคุณสมิทธมีสื่อจากผู้ดูแลมนุษย์ในโลกนี้ จะบอกกล่าวล่วงหน้าให้ผู้คนเตรียมตัวหนีจากภัยที่จะเกิด) ส่วนเส้นทางหลบหนีปู่บอกว่าผู้คนจะหนีมุ่งหน้าไปทางถนนมิตรภาพ และรถจะติดมากผู้คนต่างแย่งกันโกลาหลน่าดู และสุดท้ายหางแถวจะหนีไม่รอดนั้นเอง สระบุรีตั้งที่องค์พระนั่งสูง ตรงนั้นแผ่นดินจะยุบตัวลง เพราะข้างล่างเป็นบ่อน้ำใต้บาดาล ส่วนถนนที่พอจะรอดก็คือ กบินทร์-นครราชสีมา,นครนายก หรือเส้นทางอื่นๆที่ไม่ใช่มิตรภาพ แต่ส่วนมากผู้คนจะเลือกเส้นทางมิตรภาพมากเพราะไปได้ทั้งเหนือและอีสาน ขอเตือนไม่จำเป็นจะต้องไปอีสานอย่างเดียวนะครับ ภาคเหนือก็ไปได้

    (ปู่บอกแล้วเตือนแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่บุญของเขา แต่ผู้ที่ปฏิบัติธรรมส่วนมากจะรอด แม่บอกอย่างนี้) มนุษย์จากตัวใหญ่ลงมาถึงตัวเล็ก และกำลังเปลี่ยนแปลงจากเล็กไปหาใหญ่เรื่อยๆ สังเกตุจากลูกหลานจะเริ่มสูงใหญ่กว่าพ่อแม่แล้ว และค่อยเป็นค่อยเปลี่ยนไปตลอด

    ปล.ลูกเมืองสกลฯ องค์ปู่อินทร์,ปู่ปิยะ และครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ คือพ่อ

    ที่มาhttp://palungjit.org

    *****************************************************************


    [​IMG]


    เมย์พบพระผู้มี "อภิญญา" มีฤทธิ์มาก ท่านฝากเตือนมาว่า เวลาของโลกมนุษย์เหลือน้อยแล้ว (ก่อน พ.ศ. 2560)

    พระ ผู้มีอภิญญาฤทธิ์ ลูกศิษย์เรียกท่านว่า "หลวงปู่ประเสริฐ" อ่ะค่ะ สำนักสงฆ์ของท่าน อยู่ติดกับ "วัดซับปลากั้ง" ลำพญากลาง ต.ลำสมพุง, อ.มวกเหล็ก, จ.สระบุรี, 18180

    "หลวงปู่ประเสริฐ" ท่านมีอภิญญาสูง มีฤทธิ์มาก เมย์เห็นมากับตาหลายครั้ง และลูกศิษย์ ก็เห็นมาหลายคน ใครเคยประสบด้วยตนเอง ช่วยมาโพสต์ในนี้ให้เพื่อนๆอ่านด้วยค่ะ (แต่วันนี้เมย์จะไม่เล่าเรื่อง อภิญญา ของหลวงปู่ เพราะมันเยอะ พิมพ์ไม่ไหว) แต่เมย์จะเล่าเรื่อง วาระสุดท้ายของโลกมนุษย์ค่ะ

    เมย์ ไปพบท่านเมื่อไม่นานมานี้เอง ไปกับกลุ่มของเพื่อนคุณพ่อค่ะ วันนั้นไปกันราว 10 คน พวกเรานั่งรถตู้ของเพื่อนคุณพ่อเมย์ นั่งรถตู้จากกรุงเทพ 8.00 น. กว่าจะถึง สำนักสงฆ์ของท่าน ก็เกือบเที่ยงอ่ะค่ะ เส้นทางวกวน เหมือนเขาวงกต เพราะสำนักสงฆ์อยู่บนเขาสูง (แถวนั้นเรียกว่า "ลำพญากลาง") สูงจากพื้นดินมากค่ะ เพราะทุกคนในรถตู้รู้สึก "หูอื้อ" ทุกคน พอไปถึงก็ยังไม่พบท่านหรอกค่ะ เพราะท่านอยู่ใน กุฏิ ด้านหลัง ซึ่งห้ามไม่ให้ใครเข้า สภาพของสำนักสงฆ์เรียบง่าย มีกุฏิ 2 หลัง, มีวิหารเล็กๆ 1 หลัง, มีโรงครัวเล็กๆ 1 หลัง, มีห้องน้ำราว 10 ห้อง ทั้งหมดมาจากเงินจากผู้บริจาค ของผู้ที่มากราบท่านทั้งสิ้น

    เพราะ หลวงปู่ท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ พ.ศ. 2502 มาตั้งแต่ที่นี่ยังเป็นป่าอยู่เลย ยังไม่มีอะไรเลย มีแต่ป่าทั้งนั้น พอท่านอยู่ไปก็มี ผู้คนไปกราบไหว้ รวมคนที่ไปกราบท่านจนถึงปัจจุบันก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 100,000 คนค่ะ

    แล้ว หลวงปู่ท่านก็เดินลงมา แล้วตรงมาที่กลุ่มของเมย์ หลวงปู่ท่านอายุน่าจะ 80 ปีได้ค่ะ รูปร่างสูงสง่างาม (น่าจะสูงเกิน 180 ซม.) ดูท่านใจดี ลักษณะการเดินของท่านดูสูงส่งมากค่ะ (เดินสง่างาม น่าเลื่อมใส อธิบายไม่ถูก) น้ำเสียงที่นุ่มนวล ท่านบอกกับทุกคนว่า "เอาล่ะนะ" ถึงเวลาที่ชั้นจะบอกเรื่องสำคัญล่ะนะ ทุกคนตั้งใจฟังให้ดีๆ แล้วไปเตือนผู้คน และคนอื่นๆ

    ท่าน ก็เริ่มเทศนาว่า... แท้จริง ประเทศไทย และ ทุกประเทศทั่วโลก น่าจะพบกับความหายนะครั้งใหญ่ จากภัยธรรมชาติใหญ่ ซึ่งผู้คนต้องตายเกือบหมดโลก ตั้งแต่ พ.ศ. 2545 แต่ที่มันไม่เกิด ก็เพราะว่า มีพระผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หลายท่าน รวมไปถึงเทวดาผู้รักษาโลกมนุษย์ ช่วยกัน อธิษฐานจิต ให้เหตุการผ่านพ้นไปก่อน ซึ่งในความเป็นจริง มันได้แค่เลื่อนออกไปเท่านั้น ยังไงๆเหตุการณ์ภัยธรรมชาตใหญ่ิ และความหายนะครั้งใหญ่ ต้องเกิดขึ้นแน่นอน

    นับ แต่เวลาี้นี้ พ.ศ. 2552 แรงอธิษฐานมันหมดกำลังลงแล้ว และจะไม่สามารถอธิษฐานเลื่อนได้อีกแล้ว ต่อจากนี้ไป ภัยธรรมชาติ และความหายนะครั้งใหญ่ จะค่อยๆปรากฏตัวเพิ่มมากขึ้นๆมากขึ้นๆ โดยเริ่มทีละน้อยจาก พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป จะค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นๆ สารพัดภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว, พายุ, ภูเขาไฟระเบิด, น้ำทะเลสูงท่วมแผ่นดิน, หมู่เกาะทั้งหมดจะจมใต้ทะเลทั้งหมด และสารพัดอย่างจะประดังเข้ามา ฯลฯ

    ทุกอย่าง จะจบสิ้นก่อนปี พ.ศ. 2560 มนุษย์ที่ศีลไม่ครบ จะถูกภัยธรรมชาติใหญ่ คร่าชีวิตทั้งหมด และมนุษย์ที่รอดชีวิตนั้นมีไม่กี่คนเท่านั้น และคนที่รอดชีวิตส่วนมาก จะเสียสติไปเลย เพราะตกใจกับเหตุการณ์แบบสุดชีวิต หลวงปู่บอกว่า เอายังงี้ละกันนะ คนจะตายกันเกือบหมดโลกเลย แต่ประเทศไทยจะเหลือมากที่สุด คือรอดประมาณ 20-30 % ของประชากรไทย ไปคำนวณกันเอาเอง พูดง่ายๆ ตายเกือบหมดประเทศนั่นแหละ จะเหลือแค่คนมีศีลธรรมจริงๆเท่านั้นเอง

    หลัง ปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป มนุษย์ชาติจะเข้าสู่ยุคใหม่ เรียกว่ายุคศิวิไลซ์ เนื่องจากคนไทยจะเหลือมากที่สุด (20-30 %) ต่อไปประเทศไทยจะได้เป็น มหาอำนาจ และเป็นศูนย์กลางของโลก เมื่อเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ ผู้คนยุคนั้นจะเปลี่ยนทัศนะคติ ในการดำเนินชีวิตใหม่ทั้งหมด ในยุคนั้น ผู้คนจะไม่สนใจเงินทองอีกเลย แต่จะมาแข่งขันในเรื่องของการ บำเพ็ญบุญ-กุศล

    ท่าน ว่าเวลาของโลกมนุษย์เหลือน้อยแล้ว เหตุการณ์มันกำลังจะมาถึงแล้วนะ จะทำอะไรก็รีบๆทำ เลิกใช้ชีวิตแบบโง่เขลาเบาปัญญาเสียที สิ่งที่จะติดตัวเราไปมีเพียง บุญ-บาป เท่านั้น จำไปบอกต่อๆกันด้วยนะ ลูกหลาน ขอให้เอาชีวิตรอดให้ได้นะ ชั้นก็มีเรื่องจะบอกเท่านี้แหละนะ เจริญพร.......ทุกคนก็กราบท่าน ด้วยความกลัว ใจหวิวๆ บอกไม่ถูกค่ะ

    ตอน จะกลับ เมย์ว่าจะถ่ายรูปของหลวงปู่ มาให้เพื่อนๆใน "เว็บพลังจิต" ดูซะหน่อย แต่ทางสำนักสงฆ์ ติดป้ายไว้ว่่า "ห้ามถ่ายรูป" อ่ะค่ะ ...เอาไว้เพื่อนๆลองไปกราบหลวงปู่ท่านเองละกันนะคะ เมย์บอกที่อยู่ให้แล้วอ่ะค่ะ

    เมย์ขอปิดท้ายค่ะ ชาวพุทธทุกคนทราบดีว่า พุทธศาสนาจะมีอายุ 5,000 ปี แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นค่ะ ประเด็นอยู่ที่ ในวันภัยพิบัติ คนที่จะรอดชีวิต ต้องมีศีลมีธรรมจริงๆเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนจะรอดค่ะ

    ที่มา http://palungjit.org

    ******************************************************************

    คำทำนายของหลวงปู่สรวง

    ."หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล" กล่าวไว้ว่า พ.ศ. 2550 ถึง 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรม จะล้มตายมาก ส่วนคนดีมีศีลธรรม จะอยู่รอดปลอดภัยได้

    [อ้างอิง หลวงปู่สรวง (เทวดาเล่นดิน) พูดถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้...]

    http://palungjit.org/threads/รวมคำทำนายเรื่องภัยพิบัติ-ปี-2555-2560-โดยพระอริยะสงฆ์ของไทย.273906/
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Beyond 2012 - Evolving Perspectives On the Next Age - Full Length Feature

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/Bedecrwv-Mk?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/Bedecrwv-Mk?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></object>
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ NoOTa [​IMG]
    อรัมภบท



    ตั้งใจอย่างมากที่จะอัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์มาขับร้อง
    แต่เจ้าตัวก็เกิดจะไม่สบายด้วยไข้หวัด
    ยังไงก็ยังอยากจะร้อง
    เพลงนี้..ใช้ใจฟังนะคะ เสียงอาจจะแปลกๆแหบๆ
    ก็เพราะร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย..
    แต่..“ใจเต็ม ๑๐๐”

    ขอให้ปีใหม่นี้ คิดดี ทำดี
    และพบเจอ แต่สิ่งดีๆ
    ตลอดปี และตลอดไป
    ขออวยชัยให้มี สุขสมหวัง
    มีพลัง ในการต่อสู้ ...
    สวัสดีปีใหม่ค่า..



    [​IMG]





    “พรปีใหม่”
    บทเพลงพระราชนิพนธ์
    อัญเชิญมาขับร้องโดย music_lover_man

    พร้อมอัญเชิญ ส.ค.ส พระราชทานปี ๒๕๕๓
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    ==เพลงพระราชนิพนธ์ พรปีใหม่==
    ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
    คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ

    :สวัสดีวันปีใหม่พา:
    :ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์:
    :ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม:
    :ต่างสุขสมนิยมยินดี:
    ::ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า::
    ::ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี::
    ::โปรดประทานพรโดยปรานี::
    ::ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย::
    :ให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์:
    :ทุกวันทุกคืนชื่นชมให้สมฤทัย
    :ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่:
    :ผองชาวไทยจงสวัสดี:
    ::ตลอดปีจงมีสุขใจ::
    ::ตลอดไปนับแต่บัดนี้::
    ::ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์::
    ::สวัสดีวันปีใหม่เทอญ::

    [​IMG]

    <OBJECT id=WMP7 classid=CLSID:6BF52A52-394A-11d3-B153-00C04F79FAA6 width=330 height=180>
























    </OBJECT>


    [​IMG]
    http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1152
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทาน ส.ค.ส.ปี พ.ศ.2554 แก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่

    ส.ค.ส.พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในปีพุทธศักราช 2554 นี้เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
    ในฉลองพระองค์สากลสีครีมผ้าปักพระกระเป๋าเป็นผ้าลายริ้วสีเหลืองสลับเทา ฉลองพระองค์ชั้นในเป็นเชิ้ตขาวทรงผูกเนคไทลายริ้วสีเหลืองสลับเทา
    ประทับบนเก้าอี้ด้านข้างพระเก้าอี้ที่ประทับทั้งสองข้างมีโต๊ะสูงโต๊ะด้านซ้ายวางแจกันแก้วก้านสูงปักดอกไม้หลากสีโต๊ะ
    ด้านขวาวางแจกันแก้วขนาดเล็กปักดอกไม้หลากสีเช่นกัน ทรงฉายกับสุนัขทรงเลี้ยง 2 สุนัข คือคุณทองแดงที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541
    หมอบอยู่หน้าพระเก้าอี้ด้านขวาและคุณทองแท้ที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2542 หมอบอยู่หน้าพระเก้าอี้ด้านซ้าย

    ด้านหลังพระเก้าอี้ที่ประทับประดับเป็นผ้าม่านสีเทาอ่อนมีแจกันดอกไม้ขนาดใหญ่ปักดอกกุหลาบและดอกไฮเดรนเยียหลากสีตั้งอยู่
    2 แจกันแจกันด้านซ้ายมีตราพระมหาพิชัยมงกุฎประดับอยู่ ส่วนแจกันด้านขวามีผอบทองประดับอยู่ถัดไปทางด้านหลังทั้งสองด้านมีกระถางไม้ประดับตั้งอยู่

    มุมบนด้านซ้ายมีตัวอักษรสีเหลืองข้อความว่า ส.ค.ส. สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๔ มุมบนด้านขวามีข้อความภาษาอังกฤษ Happy New Year 2011

    ด้านล่างของ ส.ค.ส.มีข้อความเป็นตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีน้ำเงินว่า
    ขอจงมีความสุข ความเจริญ มุมล่างขวา
    มีข้อความ ก.ส. 9 ปรุง 121923 ธค.53
    พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร, ผู้พิมพ์โฆษณา
    Printed at the Suvarnnachad publishing , D Bramaputra , Publisher

    กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกันด้านละ 3 แถวทุกหน้า มีแต่รอยยิ้ม

    ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์<!-- google_ad_section_end -->
    เครดิต
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->คุชินาดะ<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4214433", true); </SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2011
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "ในหลวง" ทรงมีพระราชดำรัสวันขึ้นปีใหม่ ให้รักและเมตตาต่อกัน ประเทศชาติจึงสร้างสรรค์สุขได้
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 ธันวาคม 2553 20:55 น.
    [​IMG]

    พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีพระราชดำรัสอวยพรให้ประชาชนชาวไทยมีความสำเร็จสมประสงค์ในสิ่งที่ปรารถนา ย้ำให้มี "ความรักความเมตตา-น้ำใจไมตรี-อภัยกัน" จึงสามารถสร้างสรรค์ความสุขให้แก่ตนและประเทศชาติได้

    คลิกที่นี่ เพื่อฟังพระราชดำรัส

    วันนี้ (31 ธ.ค.) เนื่องในวาระวันขึ้นปีใหม่ ปีพุทธศักราช 2554 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรัสอวยพรปีใหม่ให้แก่ประชาชนชาวไทย มีใจความดังนี้

    ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย

    บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ทุกท่านทุกๆ คน ให้มีความสำเร็จสมประสงค์ในสิ่งที่ปรารถนา.

    ความปรารถนาของทุกคน คงไม่แตกต่างกันนัก คือต้องการให้ตนเอง มีความสุขความเจริญ และให้บ้านเมืองมีความสงบร่มเย็น. ในปีใหม่นี้ ข้าพเจ้าจึงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นคนไทยมีความสุขถ้วนหน้ากัน ด้วยการให้. คือ ให้ความรักความเมตตากัน ให้น้ำใจไมตรีกัน ให้อภัยกัน ให้การสงเคราะห์อนุเคราะห์กัน โดยมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน ด้วยความบริสุทธิ์และจริงใจ. ทุกคนทุกฝ่าย จะได้สามารถร่วมมือ ร่วมความคิดอ่านกัน สร้างสรรค์ความสุข ความเจริญมั่นคง ให้แก่ตนและประเทศชาติ อันเป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องการให้สำเร็จผลได้ ดังที่ตั้งใจปรารถนา.

    ขออานุภาพแห่งคุณพระ ศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคน ให้มีความสุข ไม่ม่ทุกข์ ไม่มีภัย ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน.


    <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> Manager Online -
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "บุคคลแห่งปี" ของผม

    โดย : กาแฟดำ
    วันที่ 1 มกราคม 2554

    ถ้าถามผมว่าใครควรจะเป็น “บุคคลแห่งปี” สำหรับปี 2553 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ผมจะไม่ลังเลที่จะบอกว่าเขาและเธอคือ “คนไทยไร้สีไร้สังกัด”
    ทุกคนที่สามารถเอาตัวเองผ่านมาอีกปีหนึ่ง โดยที่ยังไม่ยอมเสียความมั่นใจในบ้านเมืองของตนมากเกินไปนัก

    หากจะพูดภาษาชาวบ้าน ผมก็ต้องบอกว่าคนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ยอมสังกัดค่ายไหนสีไหน หรือต้องสวามิภักดิ์ต่อคนกลุ่มใด นั่นแหละ คือ “วีรบุรุษ” และ “วีรสตรี” ของผม

    ที่อยู่รอดปลอดภัยผ่านปี 2553 มาได้โดยไม่บ้า ไม่เสียสติไป เพราะแรงกดดันจากทุกๆ ด้านในสังคมการเมืองนั่นแหละ ผมถือว่าเป็น "ความอึด” สุดยอดที่หาไม่ได้ในชาติบ้านเมืองนัก

    ผมนับถือคนไทยที่พยายามดำเนินชีวิตไปตามปกติในภาวะที่บ้านเมืองตก อยู่ในภาวะของการเผชิญหน้าระหว่างสีเหลืองสีแดง ระหว่างกลุ่มการเมืองแก่งแย่งผลประโยชน์ต่างๆ ระหว่างกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “ซ้าย” กับ “ขวา” และระหว่างกลุ่มคนที่อ้างว่าตนเองรักชาติมากกว่าอีกกลุ่มหนึ่งอย่างน่าเศร้า สลด

    คนไทยไร้สีไร้สังกัดทั้งหลายต้องอดต้องทน ท่ามกลางความกลัวว่าประเทศชาติจะถูกคนที่ยืนอยู่คนละข้างเหล่านี้รุมทึ้ง กระชากลากถูไปในทิศทางที่ตนต้องการ

    คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับวาทกรรมของ แต่ละฝ่ายที่อวดอ้างความรักชาติของตนนั้นคือ “คนจริง” ของสังคมไทย เพราะเขาเหล่านั้นมีความเชื่อมั่นในความเป็นชาติไทยมากกว่าคนที่ตะโกน โหวกเหวกว่าพวกเขาหวงแหนประเทศนี้มากกว่าคนอื่น

    เพราะคนไทยไร้สีไร้สังกัดยืนอยู่บนจุดที่มองเห็นว่าแต่ละกลุ่มที่ออก มาอ้างความเป็นเจ้าของประเทศนั้น ต่างมี “วาระ” ของตนที่ไม่จำเป็นต้องเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่คนส่วนใหญ่ต้องการเห็น

    “บุคคลแห่งปี” ของผม คือ คนไทยที่เข้าใจความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตย” ว่ามิใช่เพียงแค่การให้นักเลือกตั้งกำหนดชะตากรรมของประเทศ และมิใช่การอ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับไหนดีกว่าฉบับไหน หรือต่อสู้เพื่อใครหรือคนกลุ่มใดเท่านั้น

    เพราะ “บุคคลแห่งปี” ของผมมองทะลุ รู้ทันว่าอะไรคือสาระ อะไรคือวาทกรรม และอะไรคือท่วงทีลีลาของนักแสวงหาประโยชน์จากเวทีการเมืองเท่านั้น

    คนไทยไร้สีย่อมรู้ดีว่าใครต่อสู้เพื่ออุดมการณ์แห่งประชาธิปไตยจริงๆ และใครเป็นเพียงผู้กล่าวอ้างศัพท์แสงที่ฟังดูดี แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ทำเพื่อตนเอง เพื่อกลุ่มตน และบางคนก็ทำเพื่อสนองอัตตาตนเท่านั้นด้วยซ้ำไป

    เมื่อ “รู้ทัน” คนเหล่านั้นแล้ว คนไทยไร้สังกัดก็ย่อมจะเหน็ดหน่ายกับการแสดงออกที่เอ่ยอ้างอุดมการณ์ด้วยวา ทะ และยิ่งเมื่อเกิดความรุนแรงทั้งภาษาและพฤติกรรมในที่สาธารณะอย่างที่ไม่เคย ปรากฏมาก่อน คนไทยส่วนใหญ่ที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ ซึ่งเป็น “บุคคลแห่งปี” ของตน ย่อมจะต้องหวั่นไหวและสิ้นหวัง

    ในท้ายที่สุด ความศรัทธาต่อความเป็นคนไทย ความเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งสาระจะต้องอยู่เหนือวาทกรรม และ “ความมีสติ” จะต้องกลับมาสู่สังคมไทยเพื่อช่วยกันแสวงหาทางออกให้แก่ประเทศชาติอย่าง แท้จริงได้ เขาเหล่านั้นจึงดำเนินชีวิตไปตามปกติ ด้วยสติ ด้วยความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการ “รักษาระยะห่าง” จาก “เฉดสี” ที่ต่างฝ่ายต่างป้ายใส่กัน โดยไม่จำเป็นต้องว่ากันบนพื้นฐานของเหตุและผล

    ความมีสติ ความอดทน ความบึกบึนของคนไทยไร้ค่ายไร้สี ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมไทยนี่แหละครับ ที่ทำให้ผมยกย่องว่าเป็นคุณสมบัติแห่ง “บุคคลแห่งปี 2553” ของผม อย่างน่าภาคภูมิใจยิ่ง


    "
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2554

    อัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับสูง และปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัวและยอดขาดดุลงบประมาณ ที่น่าเป็นห่วงในยุโรปและสหรัฐ ทำให้คาดว่า เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงแน่ในปี 2554 นี้ โดยบรรดานักเศรษฐ ศาสตร์ทุกสำนักต่างพากันปรับลดการคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจใน ประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ในทางตรงกันข้าม เศรษฐกิจในเอเชียจะยังคงเป็นหัวรถจักรขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ต่อไป

    ทั้งนี้ ในรายงานเศรษฐกิจฉบับย่อประจำปี 2554 ที่เผยแพร่ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา สหประชาชาติ หรือยูเอ็น แถลงว่า คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะโตร้อยละ 3.1 ในปี 2554 และร้อยละ 3.5 ในปี 2555 ต่ำกว่าการคาดการณ์ในปี 2553 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3.6 แต่ก็ยังห่างไกลที่จะช่วยการสร้างงาน หลังจากอัตราการว่างงานพุ่งพรวดจากวิกฤติเศรษฐกิจ ส่วนรายงานเศรษฐกิจฉบับสมบูรณ์ของยูเอ็น คาดว่าจะเผยแพร่ในเดือนมกราคม

    ในรายงานระบุว่า การฟื้นตัวของ เศรษฐกิจโลกได้เริ่มขยับอย่างหลวม ๆ แล้วตั้งแต่กลางปี 2553 และดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจทั้งหมด ล้วนแต่ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจโลกขยายตัวอย่างอ่อนแอ หลายประเทศล้มเหลวในการให้ความร่วมมือด้านนโยบายทางการเงิน และทำให้ตลาดโลกมีความเปราะบางมากขึ้น

    ร็อบ วอส ผู้ควบคุมการเขียนรายงานเรื่อง “สถานการณ์และโอกาสของเศรษฐกิจโลกปี 2554” กล่าวว่า พวกเรายังไม่ได้ออกจากป่ารกชัฏเลย และปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ก็ยังปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้า เราคาดว่าถนนที่ทอดไปสู่การฟื้นตัวยังอีกยาวไกลและขรุขระ

    ตามรายงานเศรษฐกิจของยูเอ็น การขาดการเติบโตของการจ้างงาน เป็นตัวเชื่อมที่อ่อนแอที่สุดของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การไม่มีการสร้างงานเพิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้า ความไม่แน่นอนในตลาดเงินตรา ก็ล้วนแต่เป็นแรงผลักให้เกิดความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจมากขึ้น

    ยูเอ็นระบุในรายงานว่า จิตวิญญาณ ของความร่วมมือระหว่างประเทศยักษ์ใหญ่กำลังเสื่อมถอยลดลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการตอบโต้วิกฤติอ่อนกำลังลง การตอบโต้ทางการเงินที่ขาดความร่วมมือกัน กลายเป็นต้นตอของความยากลำบากและความไม่ แน่นอนในตลาดเงิน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจประสบปัญหายากลำบาก ยิ่งขึ้น หากความเสี่ยงบางอย่างกลายเป็นความจริงขึ้นมาก ซึ่งในกรณีแนวโน้มว่าจะเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจรอบ 2 ที่หนักกว่าเดิม กำลังปรากฏให้เห็นราง ๆ ในยุโรป ญี่ปุ่นและสหรัฐ

    แนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยในสหรัฐลดลงครั้งใหม่ และความตึงเครียดในตลาดปริวรรตเงินตรา ซึ่งอาจจะกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้ด้วยการกีดกันหรือปกป้องทางการค้า ล้วนแต่อยู่ในความเสี่ยงที่ว่านี้ทั้งนั้น

    องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือโออีซีดี คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของประเทศสมาชิก 33 ประเทศ จะเติบโตรวมกันร้อยละ 2.8 ในปี 2553 หลังจากหดตัวร้อยละ 3.4 ในปี 2552 โออีซีดี คาดการณ์อัตราการขยายตัวในโออีซีดี ในปี 2554 ไว้ที่ร้อยละ 2.3 ต่ำกว่าการ คาดการณ์ในเดือนมิถุนายน ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.8

    โออีซีดี ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส แถลงว่า มีปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลายอย่าง ซึ่งรวมทั้งภาระหนี้สินของรัฐบาลที่หนักอึ้งในหลายประเทศของยุโรป โออีซีดี เตือนด้วยว่า ความไม่สมดุลทางการค้าที่ถ่างกว้างขึ้น อาจเป็นปัญหาหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากหลายประเทศเริ่มดำเนินการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า

    อย่างไรก็ตาม ประเทศนอกโออีซีดี จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งจะช่วยพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จีนได้รับการคาดหมายจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟว่า จะมีเศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยเกือบร้อยละ 10 ในปี 2553 และ 2554, อินเดียโตร้อยละ 8.4 ในปี 2554, รัสเซียร้อยละ 4.3 และบราซิล ร้อยละ 4.1 โออีซีดีบอกอีกว่า การค้าโลกจะยังคงแข็งแกร่งต่อไป เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.3 ในปี 2553 ก่อนที่จะตกลงมาเหลือร้อยละ 8.3 ในปี 2554 และร้อยละ 8.1 ในปี 2555 การเติบโตทางการค้าจะแข็งแกร่งอย่างมากในหลายประเทศในเอเชียและบราซิล

    อัตราการว่างงานในประเทศสมาชิกโออีซีดี จะยังคงอยู่เหนือระดับร้อยละ 8 ในปี 2553 และ 2554 ก่อนที่จะลดลงมาเหลืออยู่ที่ร้อยละ 7.5 ในปี 2555 นอกจากนี้ โออีซีดียังย้ำข้อเรียกร้องให้ประเทศในยุโรปเร่งปฏิรูปตลาดแรงงานเพื่อควบ คุมปัญหาการว่างงานในระยะยาว และเพิ่มอัตราการจ้างงาน

    ส่วนเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออก ซึ่งรวมถึงจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ตามข้อมูลการคาดการณ์ของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี ระบุว่า จะขยายตัวร้อยละ 8.8 ในปี 2553 แต่อัตราการเติบโตจะค่อย ๆ ลดลงในปี 2554 เพราะภาพรวมเศรษฐกิจโลกอ่อนแอ และรัฐบาลของหลายประเทศเลิกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

    เอดีบี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ระบุในรายงานเศรษฐกิจเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า อัตราการขยายตัวในประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออก จะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.3 ในปี 2554 อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของภูมิภาค ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายอย่าง ซึ่ง รวมทั้งภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศ

    ในสหรัฐ เจ้าหน้าที่ธนาคารกลาง หรือเฟด ยังคงมองภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐในแง่ร้ายจนถึงปี 2554 และปรับ ลดการคาดการณ์สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจลง โดยเศรษฐกิจสหรัฐจะโตเพียงร้อยละ 2.4-2.5 ในปี 2553 น้อยกว่าที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3-3.5 เฉพาะในปี 2554 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ร้อยละ 3-3.6 ซึ่งก็ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนมิถุนายน ความคิดเห็นในแง่ร้ายดังกล่าว ช่วยอธิบายถึงสาเหตุที่ว่า ทำไมเฟดจึงตัดสินใจทุ่มเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ในการประชุมเมื่อเดือน พฤศจิกายน โดยเฟดมีแผนการทุ่มเงิน 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าซื้อพันธบัตรกระทรวงการคลังเป็นเวลา 8 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นความพยายามที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำต่อไป และกระตุ้นการใช้จ่ายให้มากขึ้น

    เฟดจัดประชุมเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา และจะตรวจสอบถึงผลกระทบมาตรการดังกล่าว เฟดยังเปิดประตูถอนตัวออกจากการเข้าซื้อพันธบัตร หากเศรษฐกิจแข็งแกร่งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หรือไม่ ก็อาจเข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มหากเศรษฐกิจอ่อนแอ การคาดการณ์ของเฟดว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นไปอย่างช้า ๆ โดยตลาดแรงงานค่อย ๆ ดีขึ้น เหมือนกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์เอกชน สำนักข่าวเอพีสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำเมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา พบว่า พวกเขาคาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเพียงร้อยละ 2.7 ใน ปี 2554 หลังจากเติบโตเพียงร้อยละ 2.6 ในปี 2553
    ธนาคารกลางสหรัฐ คาดว่า ราคาสินค้าจะยังคงอยู่ในการควบคุม ภาวะเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 อยู่ที่ร้อยละ 1.7 ในปี 2554 เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ที่ร้อยละ 1.6

    สมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติสหรัฐ หรือเอ็นเอบีอี ซึ่งเผยแพร่ผลการคาดการณ์อย่างเป็นเอกฉันท์จากคณะนักเศรษฐศาสตร์สหรัฐ 51 คน กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า อัตราการว่างงานที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และภาระหนี้สินที่หนักอึ้ง จะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะชะงักงัน หรือกลับเข้าสู่ภาวะถดถอย
    ความวิตกกังวลที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มผู้คาดการณ์เศรษฐกิจ คือยอดขาดดุล พวกเขาคาดว่า มันจะหดตัวลงเพียงประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลืออยู่ที่ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่เอ็นเอบีอี เรียกว่า “ร้ายแรงมาก” ขณะเดียวกัน คาดการณ์ว่า นายจ้างจำนวนมากจะเพิ่มการ จ้างงานไม่ถึง 150,000 ตำแหน่งต่อเดือนก่อนที่จะเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังของปี 2554 อัตราการว่างงานในสหรัฐคาดว่าจะยังอยู่เกือบร้อยละ 10 จนถึงต้นปี 2554 และคาดว่าจะลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 9.2 ภายในสิ้นปี 2554
    ธนาคารกลางสหรัฐ ระบุว่า ภายในปี 2555 ซึ่งเป็นปีที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะเผชิญหน้ากับการเลือกตั้งอีกครั้ง อัตราการว่างงานจะเหลือร้อยละ 7.7-8.2 เพิ่มจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 7.1-7.5 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ธุรกิจ กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐดูเหมือน ว่าจะได้รับอานิสงส์จากข้อตกลงเรื่องภาษีและสิทธิประโยชน์ของผู้ว่างงาน เมื่อ เร็ว ๆ นี้ระหว่างประธานาธิบดีโอบามากับสมาชิกรัฐสภาของพรรครีพับลิกัน โดยข้อตกลงดังกล่าวจะขยายเวลาการลดภาษี ปี 2544 และ 2546 ออกไปอีก 2 ปี และยังคงให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ว่างงานต่อไปจนถึงสิ้นปี 2554 นอกจากนี้ยังจะมีการลดภาษี ภาคแรงงานและธุรกิจเพื่อให้มีการลงทุนในเครื่องมือใหม่

    ส่วนเศรษฐกิจในยูโรโซน คณะกรร มาธิการยุโรปได้ทบทวนการคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของ 16 ประเทศ ที่ใช้เงินยูโร แม้ว่าจะมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤติหนี้สิน แต่ก็ระบุว่า คาดว่ายอดขาดดุลในประเทศที่อ่อนแอ เช่น โปรตุเกสและสเปนจะสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ ในการคาดการณ์เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการยุโรป กล่าว ว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยูโรโซน ในปี 2553 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.7 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เกือบ 2 เท่า อย่างไรก็ตาม การขยายตัวในปี 2554 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.5 เนื่องจากเศรษฐกิจ โลกอ่อนแอ และผลกระทบจากมาตรการ รัดเข็มขัดในหลายประเทศทั่วยุโรป แต่คาดว่า ในปี 2555 เศรษฐกิจจะโตได้ร้อยละ 1.8

    ด้านไอเอ็มเอฟ แถลงว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ หรือเอ็มอีเอ็นเอ ยังคงแข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน ก็ย้ำว่า การพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันของภูมิภาคนี้ยังมีความเปราะบางหากราคา น้ำมันดิบร่วงลงอีก รายงานภาพรวมเศรษฐกิจโลกครึ่งปีของไอเอ็มเอฟ ประเมินว่า การเติบโตของภูมิภาคนี้ อยู่ที่ร้อยละ 4.1 ในปี 2553 และร้อยละ 5.1 ในปี 2554 เมื่อเทียบกับร้อยละ 2 ในปี 2552 และการเติบโตของเอ็มอีเอ็นเอ จะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากที่เคยย่ำแย่ในปี 2552
    ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันในตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย ผู้ผลิตน้ำมันใหญ่สุดของโอเปก สามารถรอดพ้นจากความเลวร้ายของเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำ ด้วยการใช้เงินจากรายได้น้ำมันมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการให้บริการสังคม ราคาน้ำมันที่แข็งแกร่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจภูมิภาค ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีในช่วงต้นเดือนธันวาคม ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับนักวิเคราะห์ที่เชื่อว่าปริมาณน้ำมันจะ ตึงตัว จะผลักให้ราคานำมันพุ่งเหนือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2554

    เนื่องจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นนี้เอง ทำให้ไอเอ็มเอฟประเมินในเดือนตุลาคมว่า ประเทศในอ่าวเปอร์เซียและประเทศที่ผลิตน้ำมันอื่น ๆ ในภูมิภาคจะได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัดรวมกัน ถึง 150,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2554 เพิ่มจาก 70,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2552 อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจนอกภาคพลังงานยังคงถดถอย ไอเอ็ม เอฟเรียกร้องให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ลดการพึ่งพาน้ำมันดิบ ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความหลากหลาย และ แก้ปัญหาเรื้อรังที่ถูกปกคลุมจากวิกฤติ การเงิน เช่น ภาระหนี้ของบริษัทในรัฐดูไบ

    สำหรับในลาตินอเมริกา และแคริบเบียน การส่งออกแข็งแกร่งและราคาสินค้าอุปโภคก็สูงขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในปี 2554 คาดว่าจะยังคงรักษาอัตราการเติบโตไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ประมาณร้อยละ 4 แม้ว่าจะน้อยกว่าร้อยละ 5.6 ที่ประเมินไว้ในปี 2553

    บราซิล จะยังคงมีอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการส่งออกของประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกัน ภูมิภาคนี้ยังจะได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นกับ ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียด้วย.

    02/01/2011
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 07 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4251 ประชาชาติธุรกิจ


    ผ่าผลประกอบการบริษัทมะกัน ไม่ใช่ฟื้นเพราะยอดขาย แต่รีดไขมันได้ผล




    หากมองตัวเลขผลประกอบการที่บริษัทอเมริกันทยอยประกาศล่าสุด อาจมองเห็นภาพการ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของธุรกิจหลังจากภาวะถดถอย ขณะที่บางบริษัททำผลกำไรได้ดีเกือบแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

    แต่เมื่อวิเคราะห์ตัวเลขในเชิงลึกกลับ พบว่า ผลงานที่ออกมาดังกล่าวไม่ได้เกิดจากยอดขายที่ดีวันดีคืน หากแต่เป็นเพราะการปรับเปลี่ยนเครื่องมือและวิธีการใหม่ (retool) ของบริษัทแต่ละแห่ง เพื่อรับมือกับรายได้ที่ลดลง และความไม่แน่นอนทางธุรกิจ

    ผลการวิเคราะห์ของ วอลล์สตรีต เจอร์นัล พบว่า บริษัทอเมริกันที่อยู่ในทำเนียบสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส 500 รายงานผลกำไรในไตรมาส 2 อยู่ที่ 189 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และยังครองสถิติเป็นไตรมาสที่ทำผลกำไรมากสุดเป็นอันดับ 6 โดยที่ยังไม่ปรับตามตัวเลขเงินเฟ้อ

    เอสแอนด์พีประเมินว่า การเติบโตในไตรมาสที่ 3 จะยังคงแข็งแกร่ง แม้จะชะลอความร้อนแรงลง

    ด‰านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า ในไตรมาส 2 ปีนี้ อัตราผลกำไรต่อปีของ บริษัทอเมริกันหลังหักภาษีแล้วน่าจะอยู่ที่ระดับ 1.208 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.9% จากไตรมาสแรก และเพิ่มขึ้น 26.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

    ทั้งนี้ อัตราผลกำไรต่อปีดังกล่าวนับเป็นสถิติสูงสุด แม้จะยังไม่ได้ปรับตามภาวะเงิน เฟ้อ โดยผลกำไรหลังหักภาษีในไตรมาส 2 ทำสถิติมากเป็นอันดับ 3 นับจากปี 2490 เป็นรองเฉพาะช่วง 2 ไตรมาสในปี 2549 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมาก

    ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนว่า บริษัท ยักษ์ใหญ่สามารถฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจขาลงได้อย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งมากกว่า สภาพเศรษฐกิจโดยรวม และมีส่วนช่วยดันให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นในปีนี้

    ทว่า การบรรลุเป้าหมายในการฟื้นตัว อย่างแข็งแกร่งนี้ บริษัทต่าง ๆ ใช้แนวทางเลย์ออฟพนักงานจำนวนมาก รวมถึงยุบหน่วยธุรกิจที่ทำกำไรน้อย การปรับการดำเนินงานไปอยู่ในภูมิภาคที่มีต้นทุนต่ำกว่า และใช้กระบวนการรีดไขมันเพื่อให้องค์กรกระฉับกระเฉงมากขึ้น



    ยกตัวอย่าง "เท็กซัส อินสตรูเมนต์ส" ตัดสินใจยุบแผนกผลิตชิปสำหรับใช้ในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีสัดส่วน 20% ของ ยอดขาย แต่ทำกำไรน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ อื่น ๆ ส่วน "อิเล็กทรอนิก อาร์ตส" ก็ลดการปล่อยวิดีโอเกมใหม่ ๆ ลงเกือบ ครึ่งหนึ่ง ด้าน "สตาร์บัคส์" ก็ปิดสาขาในสหรัฐถึง 648 แห่ง และปรับขั้นตอนการดำเนินงานใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยักษ์น้ำดำ "โคคา-โคลา" ใช้อำนาจซื้อที่มีอยู่มหาศาลในมือ ซื้อกิจการบรรจุขวดได้ในราคาถูก

    แต่ผลกำไรที่ทำสถิติดังกล่าว กลับ สวนทางกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยหรือลดลง เมื่อเทียบกับปี 2551 ที่เป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤตการเงินจนลากฉุดให้เศรษฐกิจโลกถูกกระแทกอย่างหนัก

    "เอ็ด ยาร์เดนี" ประธานยาร์เดนี รีเสิร์ช บริษัทที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ มองว่า ถึงแม้ผลกำไรของบริษัทจะยังแข็งแกร่ง แต่บรรดาผู้บริหารไม่ได้มีแผนที่จะเพิ่มการจ้างงานพนักงานใหม่ รวมถึงเพิ่มการใช้จ่ายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือในระยะอันใกล้ เพราะบริษัทมักควบคุมการใช้จ่ายหลังจากผ่านพ้นช่วงต่ำสุดของภาวะถดถอยไปอีก 2 ปี จากนั้นค่อยเริ่มลงทุนในช่วงที่ความต้องการบริโภคมีความสม่ำเสมอแล้ว ดังนั้น การใช้จ่ายของภาคธุรกิจจึงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในช่วงนี้

    ด้าน "จอห์น ริกซิเตลโล" ประธานบริหารของอิเล็กทรอนิก อาร์ตส กล่าวว่า เราโฟกัสไปที่การเปลี่ยนแปลงแบบถาวร ซึ่งไม่จำเป็นต้องเลิกทำแม้ว่ายอดขายจะ ดีขึ้นแล้วก็ตาม

    ผลการวิเคราะห์ของวอลล์สตรีตฯพบว่า แม้ผลกำไรในไตรมาส 2 ปีนี้ของบริษัทในเอสแอนด์พี 500 จะเพิ่มขึ้น 10% จาก ปี 2551 แต่รายได้กลับลดลง 6% ซึ่งหมายความว่าทุก ๆ 1 ดอลลาร์ของ ยอดขาย บริษัทมีกำไรราว 8.4 เซนต์ ซึ่งมากกว่าเมื่อเทียบกับปี 2551 ที่มีผลกำไรราว 7 เซนต์

    นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐที่มีสัดส่วนยอดขายส่วนใหญ่จากต่างประเทศพากันคาดหวังถึงรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้า มากกว่าที่จะโฟกัสยอดขายในตลาดสหรัฐ ซึ่งผู้บริโภคต่างพากันรัดเข็มขัดกันถ้วนหน้า

    อย่างกรณีของโค้ก ยอดขายในตลาดอเมริกาเหนือมีสัดส่วน 26% ของรายได้รวมในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่มีสัดส่วนรายได้จากการดำเนินงานรายไตรมาสเพียง 18% เท่านั้น ส่วนการส่งสินค้าของโค้กทั่วโลกเพิ่มขึ้น 5% เทียบกับ 2% ในอเมริกาเหนือ

    น่าสนใจว่า ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นของบริษัทอาจไม่ได้ถูกขับเคลื่อนจากยอดขายใน ต่างประเทศอย่างที่เข้าใจ เพราะบริษัทใน เอสแอนด์พี 500 รายงานยอดขายนอกบ้านลดลงมากกว่ายอดขายในสหรัฐในปีที่แล้ว

    "โฮเวิร์ด ซิลเวอร์แบลตต์" นักวิเคราะห์อาวุโสของเอสแอนด์พี อธิบายว่า ผู้บริหารต่างควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด บริษัทจึง ไม่ใช้จ่ายในเรื่องต่าง ๆ มากนัก นอกจากจะเป็นการบำรุงรักษาตามที่จำเป็น

    อิเล็กทรอนิก อาร์ตส ปรับลดการใช้จ่ายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยใช้วิธีลดไลน์สินค้าลง จากในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเดือนมิถุนายน ปี 2552 บริษัทเปิดตัววิดีโอเกมกว่า 70 รายการ แต่ในปีงบประมาณที่ สิ้นสุดเดือนมิถุนายน ปี 2554 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวเกมเพียง 40 รายการ โดยเน้นไปที่เกมดัง ๆ ที่ทำรายได้ให้บริษัทมากที่สุด อาทิ Madden NFL และ FIFA Soccer

    อิเล็กทรอนิก อาร์ตส ยังลดค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) เหลือ 275 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาส 2 จาก 356 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเดียวกันของปี 2551 พร้อมทั้งเลย์ออฟพนักงาน 2,000 คน และย้ายงานด้านนี้ไปยังจีน อินเดีย และแคนาดา ซึ่งการปรับเปลี่ยนเหล่านี้ช่วยให้บริษัทกลับมามีกำไร 96 ล้านดอลลาร์ จากก่อนหน้านี้ที่ขาดทุน 95 ล้านดอลลาร์

    เช่นเดียวกับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรม "ปาร์กเกอร์ ฮานนิฟิน" ที่มีกำไรเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัวในไตรมาสที่สิ้นสุดเดือนมิถุนายน แต่ยอดขายกลับเพิ่มขึ้นเพียง 25% โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากการปรับลดต้นทุน รวมถึงการใช้พนักงาน พาร์ตไทม์มากขึ้น

    ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นเกิดขึ้นในหลาย เซ็กเตอร์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การเงิน และสินค้าคอนซูเมอร์ โดยกำไรในบริษัทเทคโนโลยีพุ่ง 33% ในไตรมาส 2 เทียบกับช่วงเดียวกันของ ปี 2551 ขณะที่รายได้เพิ่มแค่ 7% ส่วนกำไรสุทธิในอุตสาหกรรมการเงินและรถยนต์ ซึ่งเป็นแคทิกอรี่ที่ผู้บริโภคซื้อตามความ พึงพอใจก็ฟื้นตัวจากการขาดทุนมหาศาล

    ไม่ว่าจะเป็น "ฟอร์ด มอเตอร์" ที่เมื่อ 2 ปีก่อนรายงานผลขาดทุน 8.7 พันล้านดอลลาร์ ครั้นมาถึงปีนี้ แม้ฟอร์ดจะมียอดขายต่ำกว่าระดับเมื่อปี 2551 ราว 15% แต่บริษัทกลับสามารถทำผลกำไรติดต่อกัน 5 ไตรมาส อยู่ที่ 2.6 พันล้านดอลลาร์ และเดินตามรอยที่จะทำให้ปีนี้เป็นปีที่มีผลกำไรมากสุด เช่นเดียวกับกรณีของ "สตาร์บัคส์" ที่ทำกำไรจากการดำเนินงานได้เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดในไตรมาส 2 ปีนี้

    ส่วนโคคา-โคลาก็ควบรวมกิจการ บรรจุขวด ซึ่งช่วยประหยัดเงินได้ราว 500 ล้านดอลลาร์ต่อปี นอกจากนี้ โค้กยังปรับงานด้านการตลาดให้กระฉับกระเฉงมากขึ้น อย่างช่วงฟุตบอลโลกที่ใช้แคมเปญเดียวทั่วโลก แทนที่จะแยกตามประเทศ โค้กมีรายได้ในไตรมาส 2 ลดลง 4% เทียบกับปี 2551 แต่มีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นถึง 85%

    แต่ที่สวนทางกับเทรนด์นี้ คือ บริษัทวัตถุดิบพื้นฐาน อาทิ น้ำมัน เคมีคอล เหล็ก ซึ่งทำกำไรก้อนโตในปี 2551 จากการบูมของคอมโมดิตี้ โดยกำไรในไตรมาส 2 ปีนี้ของยักษ์ "เอ็กซ์ซอน โมบิล" เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า แต่กลับน้อยกว่าปี 2551 ถึง 35%

    warin 07-10-2010
    ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจปี2554
     
  13. ้ำspw

    ้ำspw Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +33
    เจ้ขวัญครับ...ที่บ้านเจ้เงินเฟ้อเปล่า ลูกๆเจ้ขวัญ 2 คนสบายดีนะครับ

    ปีใหม่นี้ ขอให้ครอบครัวเจ้ขวัญ มีความสุขในวันปีใหม่ คิดสิ่งใดขอให้สมความปรารถนานะครับ :VO

    จากคนอ่านข้อความเจ้ขวัญมานาน
     
  14. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    เวียดนามตื่นทองหนีเศรษฐกิจเสื่อม



    เวียดนามตื่นทองหนีเศรษฐกิจเสื่อม


    • 26 ธันวาคม 2553 เวลา 12:23 น. |
    • เปิดอ่าน 1,148 |






    เวียดนามกำลังเผชิญกับช่วงเวลาอัสดงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน หลังจากที่เคยคาดหวังจากชาวโลกว่าจะเป็นดาวจรัสแสงดวงใหม่แห่งเอเชีย....
    โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
    เวียดนามกำลังเผชิญกับช่วงเวลาอัสดงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน หลังจากที่เคยคาดหวังจากชาวโลกว่าจะเป็นดาวจรัสแสงดวงใหม่แห่งเอเชีย ด้วยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่คึกคัก ไม่แพ้จีน ทรัพยากรมนุษย์ที่ล้นหลาม และภาคการเมืองที่แข็งแกร่ง
    อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้ เวียดนามยังผุดเมกะโปรเจกต์มากมาย เพื่อรองรับอนาคตอันเรืองรอง ทำให้เพื่อนบ้านได้แต่อิจฉา หนึ่งในนั้นคือโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูง มูลค่าหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อมต่อกรุงฮานอยกับเมืองไซ่ง่อน หรือ โฮจิมินห์ ซิตี และท่าเรือน้ำลึก ในเมืองดานังทางตอนกลางของประเทศ เพื่อรองรับการเป็นเส้นทางสาย R3 ที่จะเชื่อมต่อทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในส่วนของแผ่นดินใหญ่
    [​IMG]
    มาวันนี้ ไม่เพียงฝันสดสวยของเวียดนามจะดับวูบลงเท่านั้น แต่ยังเผชิญกับสถานการณ์อันเลวร้ายเสียจนกระทั่งประชาชนเริ่มสิ้นหวังกับ เศรษฐกิจของประเทศ
    สิ่งที่แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน คือปรากฏการณ์ตื่นทองในเวียดนาม
    กระแสตื่นทองในเวียดนามเริ่มรุนแรงขึ้นตั้งแต่เดือน ส.ค. ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดที่รัฐบาลเวียดนามประกาศลดค่าเงินด่อง เพื่อกระตุ้นการส่งออก ด้วยความหวังว่าจะช่วยกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งปัญหาส่งออกของเวียดนามรุนแรงขึ้นทุกขณะ จนยังผลให้เวียดนามต้องขาดดุลการค้าต่อเนื่อง และเป็นเหตุผลให้รัฐบาลต้องรีบลดค่าเงินอีกครั้ง หลังจากทำเช่นนี้มาแล้วถึง 3 ครั้งในเวลาไม่ถึง 2 ปี
    ทว่า การลดค่าเงินยังผลให้เงินด่องอ่อนค่าลงอย่างน่าใจหาย จนในที่สุด ชาวเวียดนามมองไม่เห็นค่าของเงินด่องมากไปกว่าเศษกระดาษที่เรียกว่าธนบัตร ด้วยเลข 0 พ่วงท้ายเลขหลักที่เพิ่มมากขึ้นในป้ายราคาสินค้า ซึ่งหมายความว่า เวียดนามกำลังจมปลักอยู่กับภาวะเงินเฟ้อรุนแรงถึงระดับตัวเลข 2 หลัก
    หนึ่งในคนที่มองเห็นโอกาสในทองคำมากกว่าเงินกระดาษ คือ โดไฮนิน คุณครูสาวในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ที่พยายามเก็บหอมรอมริบเป็นเงินจำนวนหนึ่ง แต่ให้สัมภาษณ์กับเอพีว่า ไม่คิดจะนำเงินจำนวนนี้ไปฝากไว้กับธนาคารในประเทศ เพราะค่าเงินลดลงฮวบฮาบ หนทางที่ดีที่สุด คือฝากเงินจำนวนนี้ไว้ในรูปของทองคำ
    ไม่เฉพาะแค่คุณครูรายนี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักลงทุนรายย่อยที่เคยฝากความหวังไว้กับตลาดหุ้น แต่กลับต้องพบว่าตลาดหุ้นของเวียดนามล้มครืนลง แทนที่จะเติบโตทัดเทียมกับศูนย์กลางการเงินในภูมิภาค
    “ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อเงินด่อง ซึ่งเป็นสกุลเงินท้องถิ่นเสื่อมถอยลงอย่างน่าตกใจ” เหงียนกวงอา อดีตประธานศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาของเวียดนาม กล่าว
    ปรากฏการณ์ตื่นทอง ยังผลให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่อุปโภคบริโภคทองคำมากที่สุดในโลก เมื่อคำนวณตามสัดส่วนต่อหัวประชากร มากกว่าจีนและอินเดีย ซึ่งบริโภคทองคำมากที่สุดในโลกเช่นกัน แต่วัดที่ปริมาณเป็นสำคัญ
    อีกทั้งยังผลให้ตลาดมืดทองคำและเงินด่องเติบโตรวดเร็วจนรัฐบาลไม่อาจกวาด ล้างได้ทันกาล เนื่องจากประชาชนแห่แหนกันซื้อทองคำในตลาดมืด เนื่องจากมีราคาต่ำกว่าเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็สามารถแลกเงินด่องเป็นสกุลเงินต่างชาติในอัตราสูงกว่าอัตราแลก เปลี่ยนของทางการเช่นกัน
    [​IMG]
    รัฐบาลเองก็ไม่สามารถต้านทานกระแสความตื่นตูมของประชาชน ได้แต่อนุญาต|ให้นำเข้าทองคำเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา และให้เวลานำเข้าจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อรักษาระดับราคาทองคำให้สอดคล้องกับราคามาตรฐานในตลาดโลก หลังจากกระแสตื่นทองในเวียดนาม ทำให้ราคาทองคำสูงกว่าความเป็นจริงอย่างน่าตระหนก
    แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของรัฐบาลเวียดนามจะล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง
    ในช่วงเวลาเดียวกับที่มีการอนุมัติให้นำเข้าทองคำ รัฐบาลเวียดนามต้องประสบกับความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงที่จะส่งผลกระทบต่อความ เชื่อมั่นของประชาชนต่อค่าเงินด่อง นั่นคือปัญหาที่บริษัท วินาชิน รัฐวิสาหกิจการต่อเรือของเวียดนามจะล้มละลายลง ด้วยมูลค่าหนี้สินสูงถึง 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ถึง 4.5%
    สถานการณ์ของ วินาชิน ร้ายแรงถึงขั้นที่ค่าเงินทรุดลงอีกรอบ พร้อมกับตลาดหุ้นที่ยิ่งส่อแววไม่อาจรุ่งเรืองได้เหมือนเมื่อปีทองที่ผ่านมา 2 ปีที่แล้วได้อีกครั้ง
    และถึงขั้นที่นายกรัฐมนตรี เหงียนตันดุง ต้องแสดงความรับผิดชอบการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐวิสาหกิจขนาดยักษ์รายดัง กล่าว โดยชี้ว่า ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการบริหารที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง อีกทั้งยังขยายกิจการต่อยอดในธุรกิจหลายภาค โดยไม่สอดคล้องกับธุรกิจหลักที่เกี่ยวข้องกับการต่อเรือเดินสมุทร
    ผลที่ตามมาคือ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก เริ่มหั่นเครดิตของเวียดนามและวินาชิน อาทิ มูดี้ส์ ที่หั่นระดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลเวียดนามเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จาก Ba3 ลงมาอยู่ที่ B1 ขณะที่บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ เตือนไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่า วิกฤตวินาชิน จะกระทบต่อภาวะหนี้สินของธนาคารในประเทศ
    แต่ในความเป็นจริงการกระทำของรัฐบาลเวียดนาม เพื่อพยุงกิจการของ วินาชิน ยิ่งบั่นทอนค่าเงินด่อง และกระตุ้นกระแสตื่นทองให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น
    เนื่องจากรัฐบาลเวียดนามกลับร้องขอให้ธนาคารในประเทศชะลอการเก็บหนี้สิน ของ วินาชิน แต่การทำเช่นนี้จะยังผลให้ธนาคารตกอยู่ในความเสี่ยงแทน เพราะไม่สามารถเก็บดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่ชาวเวียดนามไม่กล้าฝากเงิน เพราะหันไปพึ่งพาสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงอย่างทองคำแทน
    ปัญหาที่เวียดนามกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ เป็นผลมาจากความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป ว่าจะกลายเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ของภูมิภาค จึงลงทุนลงแรงในอุตสาห กรรมและสาธารณูปโภคอย่างรวดเร็วจนเกินไป ทว่า ละเลยปัจจัยเสี่ยงที่จ้องเข้ามากลุ้มรุมประเทศ ยังผลให้เมื่อเกิดความผิดพลาดอย่างหนึ่ง ความผิดพลาดอื่นๆ จึงติดตามมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบความเชื่อถือต่อรัฐบาล
    การวิ่งเข้าหาทองคำของคนเวียดนามจึงมิได้หมายถึงว่าชาวเวียดนามมั่งคั่งขึ้น
    แต่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพเศรษฐกิจที่กำลังหาที่ยึดเหนี่ยวได้ยากเต็มทีสำหรับประชาชนคนตาดำๆ ... !
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอให้คุณและครอบครัวมีแต่ความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดขอให้สำเร็จทุกประการเช่นกัน :VO
    บ้านเจ๊ อยู่ในภาวะหนี้เฟ้อ เงินฝืด ไม่มีเงินเหลือเก็บไปซื้อทอง ง่ะ
    มีแต่เงินซื้อข้าวกะปัจจัย4ไม่อดอยากขัดสนก็ถือว่าโชคดีแระ
    ไม่เจอน้ำท่วม เลย์ออฟ ห่างไกลอุบัติเหตุและภัยพิบัติ รอดพ้นปี 2010
    แบบไม่เดือดร้อนจากภัยพิบัติเหมือนคนอีกมากมายบนโลก ก็เรียกว่าโชคดี
    มากแระ ไม่รู้ปีนี้จะรอดอีกป่าว ทั้งภัยพิบัติจากโลก สงครามโลก และ
    เศรษฐกิจโลกถดถอย มันน่าหวาดเสียวจริงจริ๊ง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2011
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทูตสหรัฐคนใหม่ทักทายผ่านคลิปชมไทย'เป็นมิตรและมีน้ำใจ'

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 3 มกราคม 2554
    เอกอัครราชทูต สหรัฐฯ ทักทายคนไทยก่อนมารับตำแหน่ง10 ม.ค.ผ่าน YouTube กับประโยคแรก"สวัสดีค่ะ"ชมไทยเป็นประเทศที่สวยงาม อบอุ่นเป็นมิตรและมีน้ำใจ
    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/L-4XjMrXXiI&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/L-4XjMrXXiI&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>
    เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยคนใหม่ Kristie Kenney เป็น สาวดิจิตัลและ social media เต็มตัว...เล่นทวิตเตอร์ตลอด, ล่าสุดทักทายคนไทยก่อนมารับตำแหน่งวันที่ 10 มกราฯนี้ด้วยวีดีโอคลิปทาง YouTube กับประโยคแรก"สวัสดีค่ะ"...
    นอกจากนั้นยังระบุว่า "จะได้เป็นส่วนหนึ่งของมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ ระหว่างชาวไทยและชาวอเมริกัน..."แถมยังหวาน "สิ่งแรกที่ยากจะทำคือการได้พบคนไทย...อยากเห็นภูเขาและทะเล สัมผัสกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของไทย ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก...และได้มีโอกาสใช้ขีวิตอยู่ในประเทศที่สวยงาม อบอุ่นเป็นมิตรและมีน้ำใจ"
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    2554 : ปีกระต่ายที่ว่องไวแต่ไม่ตื่นตูม

    โดย : กาแฟดำ
    วันที่ 3 มกราคม 2554


    ขอกล่าวคำ "สวัสดีปีใหม่" มายังท่านผู้อ่าน "กรุงเทพธุรกิจ" ทุกท่านในวันจันทร์แรกของปี "กระต่าย" ซึ่งควรจะเป็นปีแห่งความคึกคักและนุ่มนวล
    หลังจาก "ปีเสือ" ที่วุ่นวายสับสนและดุเดือดรุนแรงมาตลอด

    ปีกระต่ายควรจะเป็นปีแห่งการ "เลียแผล" จากที่ปีเสือสร้างความเจ็บปวดให้กับเราในหลายๆ ด้าน เพราะเสือดุขณะที่กระต่ายควรจะคล่องแคล่วว่องไว และสุภาพเรียบร้อยกว่า

    ปีกระต่ายควร จะเป็นปีแห่งการโน้มน้าว พูดจาด้วยเหตุด้วยผล ไม่เหมือนปีเสือที่กระโชกโฮกฮาก ต่างใช้วิธีคำรามใส่กัน เพราะคิดว่านั่นเป็นวิธีข่มขู่ให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องยอมตามตัวเอง

    แน่นอนว่า การแยกเขี้ยวใส่กันอย่างเสือที่ไม่ชาญฉลาดนั้นย่อมไม่ได้ผล เพราะอีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถใช้วิธีการดุดันมาตอบโต้เช่นกัน

    ลงท้าย ไม่มีใครได้เป็น "เสือ" ตัวจริง หากแต่เป็นแค่นึกว่าตัวเองเป็นเสือ เข้าใจผิดว่าตนเองมีอำนาจและพลังที่จะทำลายคู่ต่อสู้ได้...แต่เอาเข้าจริงๆ ก็หาได้มีความเก่งกาจสามารถที่แท้จริงไม่ เป็นแค่เอาหนังเสือมาใส่ให้กับตัวเอง หลอกคนอื่นว่าตนมีมิติแห่งพลังที่สามารถจะทำลายล้างคนอื่นได้

    แต่เมื่อไม่มีฝ่ายไหนเป็น "เสือจริง" แล้ว ลงท้ายก็มีแต่ส่งเสียงและแสดงลีลาท่าทางดุไปอย่างนั้นเอง ไม่มีน้ำยาจริงๆ แต่อย่างไรผลสุดท้ายการส่งเสียง และแสดงความเป็นผู้ยิ่งใหญ่จอมปลอมนั้น ก็ทำให้ป่ารอบด้านเสียหายไปเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำให้ตัวเองมีความน่าเกรงขาม หรือทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามต้องมาสวามิภักดิ์ เพราะการใช้กำลังและส่งเสียงดุเดือดเลือดพล่านของ "เสือ" นั้น ไม่ได้ทำให้ใครต้องกลัวได้เลย

    เหตุก็เป็นเพราะ "เสือ" ไร้คุณธรรมและพฤติกรรมที่แสดงออกไม่ได้เป็น "เจ้าป่า" ที่มีความประพฤติที่น่านับถือ และยกให้เป็นผู้นำอย่างแท้จริงได้เลยแม้แต่น้อย

    ดังนั้น ปีกระต่ายที่ กำลังเริ่มต้นจึงควรจะเป็นปีที่ทุกฝ่ายหันมาใช้วิจารณญาณอย่างมีสติ ไม่ข่มขู่คุกคามกันและกัน ไม่ใช้กำลังหรืออำนาจที่ไร้เหตุไร้ผลมาแก้ปัญหาของคนส่วนใหญ่ ที่ต้องการจะให้ทุกฝ่ายใช้ปัญญานิ่มนวลแทนการใช้กำลังห่ามๆ

    แน่นอนว่า กระต่ายปีนี้จะต้องไม่ใช่ "กระต่ายตื่นตูม" และต้องพิจารณาทุกอย่างด้วยสติสัมปชัญญะ และด้วยความสำนึกร่วมกันว่าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องต้องการให้ได้ เฉพาะฝ่ายตนแต่เพียงข้างเดียว เพราะการอยู่ร่วมกันหมายถึงการยอมรับว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องมีสิทธิมีเสียง เหมือนตนเช่นกัน

    กระต่ายปี 2554 ต้องไม่ตื่นตูมเพราะปีที่ผ่านมาเรา "ตื่นเต้น" และ "ตื่นตระหนก" เกินเหตุในหลายกรณีแล้ว ทำให้เกิดความโกลาหลในสังคมเพราะการตีความความเป็นไปจากแง่มุมของตนแต่เพียงอย่างเดียว

    กระต่ายต้องไม่ "ตื่นตูม" เพราะทุกความเคลื่อนไหวในสังคมไทยนั้นจะต้องมองหาเหตุและผลอย่างจริงจังและ ลุ่มลึก ไม่มองเพียงแค่ผิวเผินฉาบฉวย และกระต่ายของปีใหม่นี้จะต้องไม่วิ่งพล่านไปมาโดยขาดทิศทาง เพราะ "ความคล่องแคล่ว" กับ "ความตื่นตระหนก" นั้น มีเส้นแบ่งอยู่บางมาก หากไม่ใช้ความคิดคำนึงให้ลึกซึ้งก็อาจจะหลงเข้าใจผิดได้ว่า ที่เห็นกระต่ายวิ่งไปมาอย่างคึกคักนั้นบางทีอาจไม่ใช่ "ความคล่องตัว" หรือ "ความว่องไว" หากแต่เป็นแค่ความ "ตื่นกลัว" ที่เป็นอันตรายต่อสังคมเป็นส่วนรวมด้วยซ้ำ

    ขอให้เป็นปีกระต่ายแห่งความว่องไว คล่องแคล่ว คิดบวก พร้อมประนีประนอมโดยไม่เสียหลักการ เพราะเราจะเอาใจเขามาใส่ใจเราอย่างจริงจัง

    สวัสดีปีใหม่มายังท่านผู้อ่านทุกท่านครับ


    2554 :
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จีน-รัสเซียเปิดท่อส่งน้ำมัน

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    จีน-รัสเซีย เปิดใช้ท่อส่งน้ำมันสายแรก สร้างความมั่นคงด้านพลังงานระหว่างกัน
    วานนี้ (2ม.ค.)รัสเซีย ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก และจีน ซึ่งถือเป็นประเทศที่บริโภคพลังงานมากสุดในโลก ร่วมกันเปิดท่อส่งน้ำมัน ความยาวมากกว่า 3,600 กิโลเมตรเชื่อมระหว่างเขตไซบีเรียของรัสเซียกับโรงกลั่นน้ำมันในเมืองต้าชิง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน
    ทั้ง2ประเทศคาดว่า ท่อส่งน้ำมันแห่งนี้ จะทำให้การส่งออกน้ำมันของรัสเซียไปจีน เป็นไปด้วยความรวดเร็วมากขึ้น จากปัจจุบันที่ส่งน้ำมันไปจีนผ่านเส้นทางรถไฟ
    ด้านรัสเซีย คาดการณ์ว่า จะส่งออกน้ำมันไปจีน ผ่านท่อส่งน้ำมันสายใหม่นี้จำนวน 15 ล้านตันต่อปี หรือประมาณ 300,000 บาร์เรลต่อวัน ภายในช่วง 2 ทศวรรษข้างหน้า

     
  19. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    สวัสดีปีใหม่ คุณขวัญ และสมาชิกประจำ กท. ทุกๆท่านค่ะ
    ขอให้มีความสุขสวัสดีทั่วหน้า คิดหวังสิ่งใด จงสมปรารถนา ปลอดภัย ไร้โรคา พ้นจากภัยพิบัติทุกอย่าง มีแต่ความสุขความเจริญนะคะ
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ศก.โลก 2011 เผชิญความเสี่ยงสูง “US-จีน” แบ่งขั้วแก้ปัญหาคนละทาง
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>3 มกราคม 2554 19:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    บีบีซี นิวส์ - นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจากหลายสำนักมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2011 ว่า กำลังเผชิญกับภยันตรายที่สำคัญ นั่นก็คือ ความไม่ลงรอยในการกำหนดทิศทางของระบบการเงินโลก ทั้งนี้ สืบเนื่องจากความแตกต่างคนละขั้วของภาวะการฟื้นตัวและปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจระหว่างพวกประเทศร่ำรวยที่เกิดภาวะเงินฝืด กับกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่เกิดภาวะเงินเฟ้อ ตลอดจนการเปลี่ยนถ่ายพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโลกมาสู่กลุ่มหลังที่ไม่ทันท่วงที นอกจากนี้ วิกฤตในยุโรปก็ยังจะเป็นปัญหาท้าทายสำหรับปีนี้ต่อไป

    รอเบิร์ต วอร์ด ผู้อำนวยการอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (EIU) ให้สัมภาษณ์บีบีซี นิวส์ ชี้ว่า แนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่กำลังสวนทิศทางกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่กำลังผงาดขึ้น โดยเฉพาะจีน กับเศรษฐกิจกลุ่มประเทศตะวันตกที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง โดยเฉพาะสหรัฐฯ จะนำมาซึ่งการไม่อาจบรรลุฉันทามติในการกำหนดทิศทางของระบบการเงินโลกต่อจากนี้

    ทั้งนี้ สองมหาอำนาจเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งและสองของโลก ยังมีข้อแตกต่างประการสำคัญ นั่นก็คือ พญามังกรจะควบคุมระบบเศรษฐกิจอย่างเคร่งครัดโดยภาครัฐ ซึ่งตรงกันข้ามกับพญาอินทรีที่ชื่นชอบระบบตลาดแบบเสรีสุดๆ โดยปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามหลักกลไกตลาด ด้วยเหตุนี้ความสับสนอลหม่านจึงเกิดขึ้นจากจุดนี้

    วอร์ด ชี้ว่า ความแตกต่างแปลกแยกข้างต้นนำมาซึ่งการก่อสงครามค่าเงินระหว่างกัน โดยที่พวกประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วพยายามหาทางลดค่าเงินของตน เพื่อจะกระตุ้นความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลกและแก้วิกฤตเงินฝืด ดังจะเห็นได้ชัดจากการที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศพิมพ์ธนบัตรจำนวนมหาศาลเป็นประวัติการณ์โดยการจะรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณครั้งที่ 2 (QE2) โดยที่ประเทศเล็กๆ ก็ตอบโต้ด้วยการควบคุมค่าเงินของตนไม่ให้แข็งค่าขึ้นมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่อ่อนยวบลง

    นอกจากนี้ วอร์ด ยังกล่าวต่อไปว่า กระบวนการเปลี่ยนถ่ายพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโลกจากมือของกลุ่มประเทศตะวันตกไปสู่ตะวันออกในจังหวะฝีก้าวที่ช้าเกินไปนั้นกำลังนำมาซึ่งอันตรายอันใหญ่หลวงสำหรับเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ด้วยเช่นกัน

    นอกเหนือจากภยันตรายข้างต้นแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากภาวะแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในจีนและหลายประเทศในเอเชียด้วย โดย วอร์ด ทำนายว่า ภาวะเงินเฟ้อในจีนจะรุนแรงจนรัฐบาลคุมไม่อยู่ ขณะที่ เอ็ดเวิร์ด เมียร์ นักวิเคราะห์อาวุโสแห่งเอ็มเอฟ โกลบอล ก็มองว่า เงินเฟ้อจะเป็นภัยคุกคามทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย พร้อมกับเตือนด้วยว่าธนาคารกลางต่างๆ โดยเฉพาะในเอเชีย ควรเพิ่มความเข้มงวดเชิงนโยบายอย่างเร่งด่วนเพื่อที่จะขจัดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ

    ส่วน แคปปิตัล อีโคโนมิกส์ ที่ปรึกษาค้นคว้าด้านเศรษฐกิจมหภาค ระบุว่า เป้าหมายสำคัญของทั้งจีนและประเทศที่เหลือในเอเชีย ก็คือ การควบคุมภาวะเงินเฟ้อไม่ให้รุนแรงจนเกินไป และทำให้แน่ใจว่ากระแสเงินร้อนที่ไหลทะลักเข้าอย่างรวดเร็วนั้น จะไม่ทำให้เศรษฐกิจระดับมหภาคเกิดความไร้สมดุล และ/หรือเกิดภาวะฟองสบู่ในภาคสินทรัพย์ซึ่งจะสั่นคลอนเสถียรภาพทางการเงิน

    วอร์ด ชี้แจงว่า รัฐบาลปักกิ่งอาจจำเป็นที่จะต้องคุมภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะเป็นตัวบ่อนทำลายฐานะทางการเงินของบรรดาชนชั้นกลางในแผ่นดินมังกร เขาระบุว่า หากคุมภาวะเงินเฟ้อด้วยมาตรการเพิ่มรัดกุมในด้านนโยบายการเงิน ผลที่จะได้รับก็คือการลดความร้อนแรงเกินไปของเศรษฐกิจจีนซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อประเทศอื่นๆ

    สำหรับเศรษฐกิจยุโรปในปี 2011 ถูกมองว่า อาจบังเกิดเรื่องเลวร้ายต่างๆ ตามมาอีก โดยเฉพาะปัญหาการขาดดุลงบประมาณในสเปนที่อาจเลวร้ายลงเรื่อยๆ นอกเหนือจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการแก้วิกฤตของโปรตุเกสโดยปราศจากความช่วยเหลือของสหภาพยุโรปหรือองค์การนานาชาติ หลังจากก่อนหน้านี้ กรีซ และไอร์แลนด์ เป็นสองประเทศแรกที่ได้รับความช่วยเหลือด้านเงินกู้เป็นมูลค่าหลายพันล้านยูโรเพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ

    “วิกฤตเศรษฐกิจในยุโรปก็เป็นอีกหนึ่งความหวาดวิตกของพวกเรา” เมียร์ กล่าว โดยที่ วอร์ดเองก็เห็นด้วย

    เมียร์ กล่าวต่อไปว่า “สเปนมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ และก็กำลังล้มป่วยเช่นกัน”

    “หากเศรษฐกิจสเปนซวนเซ และพังพินาศลง มันจะเป็นข่าวร้ายมากสำหรับทุกๆ คน ไม่ใช่แค่เพียงของยุโรปเท่านั้น แต่เป็นของทั่วโลกเลยทีเดียว” พร้อมกับเตือนด้วยว่า มันอาจทำให้เงินสกุลยูโรถึงคราวอวสานเลยก็เป็นได้

    “ถ้าหากยูโรล่มสลายแล้วล่ะก้อ มันจะทำให้การล้มละลายของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ เลห์แมน บราเธอร์ส ก่อนหน้านี้ กลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปเลย” เพราะมันจะทำให้ประเทศยูโรโซนทั้งหมดเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ

    Around the World - Manager Online - ȡ.
     

แชร์หน้านี้

Loading...