เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เชื่อเศรษฐกิจทุนนิยมกำลังล่มสลาย

    โดย Business+ - 6 มกราคม 2553

    [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] สำนักข่าวบีบีซี ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้คนประมาณ 29,000 คน ใน 27 ประเทศทั่วโลก ในช่วงวันที่ 19 มิถุนายน-13 ตุลาคม 2552 เกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจของโลกในยุคปัจจุบัน เพื่อรำลึกถึงวาระครบรอบ 20 ปี แห่งการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ซึ่งได้บ่งชี้ถึงการพังทลายของโลกคอมมิวนิสต์และชัยชนะของระบบการตลาดการค้า เสรี

    ผลจากการสำรวจความคิดเห็นดังกล่าว มีผุ้คน 11% เชื่อว่า ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมยังทำงานได้ดีอยู่ และมีจำนวน 23% เชื่อว่าระบบเศรษฐกิจทุนนิยมกำลังจะประสบกับการล่มสลาย และโลกต้องการระบบเศรษฐกิจแบบใหม่เข้ามาแทนที่ และมีจำนวนมากกว่า 50% มีความเห็นว่า

    "ปัญหาของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมสามารถแก้ไขได้ด้วยการสร้างกฎเกณฑ์บางอย่างเข้าไปกำหนดระบบเศรษฐกิจ และการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ"

    ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในขณะนี้ ได้ส่วผลเสียหายอย่างมหาศาลต่อบรรดาอดีตประเทศคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคยุโรป ตะวันออก ผู้คนจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามอย่างจริงจังถึงความชอบธรรมของระบบเศรษฐกิจ ทุนนิยม

    นอกจากนี้ยังมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ความคิดบางประการของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เช่น แนวคิดเรื่องการแพร่กระจายความร่ำรวยไปสู่ผู้คนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ยังคงอยู่ในความสนใจของผู้คนจำนวนมาก โดยคนส่วนใหญ่ใน 22 ประเทศได้สนับสนุนแนวความคิดที่ว่า รัฐบาลควรกระจายความมั่งคั่งไปสู่ทุกคนอย่างเท่าเทียมกันมากกว่าที่เป็นอยู่

    ข้อมูลจาก: นิตยสาร Business+ ฉบับที่ 250 December 2009
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การล่มสลายของ America Inc.
    นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2551

    [​IMG]

    ลัทธิ ทุนนิยม ซึ่งเป็น "ยี่ห้อ" ของอเมริกา ได้ล่มสลายไปพร้อมๆ กับการล้มของวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ใน Wall Street อเมริกาจะสามารถฟื้นศรัทธาใน "แบรนด์" America Inc. ของตนให้กลับคืนมาได้อย่างไร

    การล่มสลายของวาณิชธนกิจที่มีอายุเก่าแก่ของสหรัฐฯ การอันตรธานไปในชั่วพริบตาของเงินมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ จากการขาดทุนในตลาดหุ้นภายในเวลาเพียงวันเดียว และแผนกอบกู้วิกฤติการเงินสหรัฐอเมริกา ที่จะใช้เงินภาษีอากรของประชาชนถึง 700,000 ล้านดอลลาร์

    คงจะไม่มีครั้งใดอีกแล้วที่การล่มสลายของ Wall Street จะหนักหนาสาหัสไปมากกว่าครั้งนี้

    แต่ในขณะที่คนอเมริกันยังคงตั้งคำถามว่า ทำไมพวกเขาจึงต้องจ่ายเงินเป็น แสนๆ ล้าน เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่มสลาย ยังมีบางคนที่มองเห็นว่า ยังมี "ค่าใช้จ่าย" ที่อาจจะสูงกว่านั้นอย่าง มากที่สหรัฐฯ จะต้องจ่ายด้วยในครั้งนี้

    เพียงแต่อาจเป็นค่าใช้จ่ายที่จับต้อง ไม่ได้ นั่นคือความเสียหายที่วิกฤติการเงินครั้งนี้ก่อให้เกิดขึ้นกับ "แบรนด์" ที่มีชื่อว่า America Inc.

    แท้จริงแล้ว "ความคิด" คือสินค้าส่งออกที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งของสหรัฐฯ และความคิดพื้นฐานที่สุด 2 อย่าง ของสหรัฐฯ ที่สามารถครอบงำความคิดของโลกมานานตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 จนถึงทุกวันนี้ เมื่อ Ronald Reagan ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็คือ ลัทธิทุนนิยมแบบอเมริกัน ซึ่งสนับสนุนการเก็บภาษีในระดับต่ำ การมีกฎเกณฑ์แต่เพียงเบาบาง และการลดขนาดรัฐบาลให้เหลือเพียงขนาดเล็ก

    ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทุนนิยมแบบอเมริกันยืนยันว่า คือเครื่องยนต์ที่จะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ลัทธิ Reaganism สามารถพลิกกระแสที่คงอยู่มานานนับร้อยปีของการมีรัฐบาลขนาดใหญ่ได้สำเร็จ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์กลายเป็นระเบียบประจำวัน ซึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น แต่ยังเป็นเช่นเดียวกันทั่วโลก

    ความคิดสำคัญอย่างที่ 2 ที่สหรัฐฯ ส่งออกไปขายทั่วโลกคือ การที่สหรัฐฯ เป็นผู้ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยเสรีไปทั่วโลก ซึ่งถูกมองว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุด อันจะนำไปสู่ระเบียบโลกที่เจริญมั่งคั่งและเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น

    อำนาจและอิทธิพลของอเมริกา หาได้อยู่ที่เพียงรถถังและดอลลาร์ แต่อยู่บนความจริงที่ว่า คนส่วนใหญ่เห็นพ้องต้อง กันว่า รูปแบบของรัฐบาลแบบอเมริกันเป็น โมเดลที่เข้าท่า และต้องการที่จะจัดรูปร่างสังคมของพวกเขาตามอย่างอเมริกา นี่คือสิ่งที่ Joseph Nye นักรัฐศาสตร์เรียกว่า เป็น "อำนาจในภาคนุ่มนวล" ของอเมริกา

    เป็นเรื่องยากที่จะวัดว่า ความคิดทั้งสองประการดังกล่าวซึ่งเรียกได้ว่าเป็น "ยี่ห้อ" หรือ "แบรนด์" ของอเมริกานั้น ได้รับความเสียหายและถูกลดทอนความน่าเชื่อถือไปมากเพียงใดในขณะนี้

    ในช่วงระหว่างปี 2002 ถึง 2007 เมื่อโลกยังคงเพลิดเพลินกับช่วงเวลาแห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคย พบเห็นมาก่อน เป็นเรื่องง่ายที่จะไม่มีใครสนใจ คำพูดของนักสังคมนิยมในยุโรป และนักประชานิยมในละตินอเมริกา ที่พยายามจะประณามโมเดลเศรษฐกิจแบบอเมริกันว่าเป็น "ทุนนิยมคาวบอย"

    แต่มาบัดนี้ เครื่องยนต์ที่เคยสร้างการเติบโตคือเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้น กลับเสียหายจนใช้การไม่ได้เสียแล้ว และยังทำท่าจะฉุดลากโลกทั้งโลกให้พลอยล้มคว่ำ ตามไปด้วย

    ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ร้ายในครั้งนี้ ก็คือโมเดลเศรษฐกิจแบบอเมริกันนั่นเอง

    ภายใต้มนตราของการลดบทบาทรัฐบาลให้น้อยลง ทำให้สหรัฐฯ ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการควบคุมตรวจสอบภาคการเงิน และปล่อยให้มันสร้างความเสียหาย อย่างมโหฬารให้แก่สังคมโดยรวม

    ประชาธิปไตยแบบอเมริกายังเสื่อมเสียไปก่อนหน้านี้อีก ในทันทีที่พบหลักฐานที่กลับตาลปัตรว่า Saddam หาได้มีอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูงไว้ในครอบครองไม่ รัฐบาล Bush ก็ดิ้นหาความชอบธรรมใหม่ให้แก่สงครามอิรัก ด้วยการโยงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ "วาระแห่งเสรีภาพ"

    ทันใดนั้น การส่งเสริมประชาธิปไตย กลับกลายไปเป็นอาวุธสำคัญที่สุดในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ ไปเสียแล้ว แต่สำหรับคนมากมายทั่วโลก การโยงเรื่องประชาธิปไตยเข้ากับอิรัก ฟังดูเหมือนคำแก้ตัวของสหรัฐฯ เพื่อหวังที่จะครองโลกต่อไปเท่านั้น

    ทางเลือกที่สหรัฐฯ เผชิญในขณะนี้ไปไกลเกินกว่าแค่เพียงแผนกอบกู้เศรษฐกิจ หรือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสียแล้ว แต่แบรนด์ America กำลังถูกทดสอบอย่างหนักหน่วงและเจ็บปวด

    ขณะที่โมเดลของประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือรัสเซีย กลับยิ่งดูเข้าท่า มากกว่าการฟื้นชื่อเสียงที่ดีงามของสหรัฐฯ และการฟื้นความน่าดึงดูดใจของแบรนด์ America เป็นปัญหาที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการพยายามจะฟื้นเสถียรภาพภาคการเงินของ สหรัฐฯ

    Barack Obama และ John McCain คนใดคนหนึ่ง จะต้องเป็นผู้แบก ภาระในการแก้ปัญหานี้ในอนาคตอันใกล้ คงจะแก้ปัญหานี้แตกต่างกันไปตามสไตล์ของแต่ละคน

    แต่สิ่งที่แน่ๆ คือ นี่จะเป็นงานที่หนักหนาสาหัสที่สุดและต้องใช้เวลานานหลายปี และการแก้ปัญหาคงจะยังเริ่มต้นไม่ได้ ตราบใดที่สหรัฐฯ ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอะไรที่ผิดพลาดไป ส่วนไหนของโมเดลแบบอเมริกันที่ยังคงมั่นคงดีอยู่ และส่วนไหนที่ยังต้องปรับปรุง ที่สำคัญคือส่วนไหนที่ควรจะตัดทิ้งไป

    นักวิเคราะห์หลายคนเห็นว่า การล่มสลายของ Wall Street นับเป็นจุดจบของยุค Reagan ดูเหมือนพวกเขาจะคิดถูก ถึงแม้หาก McCain อาจได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนก็ตาม

    แนวคิดที่มีความสำคัญในประวัติ-ศาสตร์มักเกิดขึ้นในบริบทแห่งยุคที่มี ความหมายในเชิงประวัติศาสตร์ และไม่อาจจะอยู่รอดได้เมื่อบริบทที่แวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป

    นี่ก็คือเหตุผลว่า ทำไมการเมืองจึงมักจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างซ้ายกับขวาเป็นวัฏจักรเช่น นี้อยู่เสมอ โดยการเปลี่ยนแปลงรอบหนึ่งอาจกินเวลานานนับชั่วคน

    ลัทธิ Reaganism หรือที่คนอังกฤษ เรียกว่า Thatcherism เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมกับยุคนั้น นับตั้งแต่ยุค "ข้อตกลงใหม่" (New Deal) ของ Franklin Roosevelt ในทศวรรษ 1930 รัฐบาลทั่วโลกก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงทศวรรษ 1970 หลาย ประเทศกลายเป็นรัฐสวัสดิการที่มีขนาดใหญ่เทอะทะและเศรษฐกิจก็ถูกขัดขวาง

    ความก้าวหน้าจากระบบราชการที่ใหญ่โตงุ่มง่าม ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้ ในตอนนั้น โทรศัพท์มีราคาแพงและขอยากมาก การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นเรื่องหรูหราสำหรับคนรวยเท่านั้น และคนส่วนใหญ่ต้องฝากเงินในธนาคารที่จ่ายดอกเบี้ยต่ำเพราะถูกควบคุมโดยรัฐ

    โครงการสวัสดิการสังคมบางอย่างของสหรัฐฯ ไม่จูงใจให้ครอบครัวคนจนในอเมริกาขยันทำงานหรือรักษาความเป็นครอบครัวเอาไว้ ทำให้ครอบครัวอเมริกันแตกสลาย การปฏิวัติของ Reagan-Thatcher ทำให้การว่าจ้างและปลดคนงาน ทำได้ง่ายขึ้น แม้จะต้องแลกมาด้วยการสร้างความเจ็บปวดอย่างใหญ่หลวง เมื่ออุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมหดตัวหรือปิดตัวลง

    แต่ขณะเดียวกันลัทธินี้ก็ได้วางรากฐานที่ทำให้เกิดการเติบโตเกือบ 3 ทศวรรษ ทำให้เกิดภาคเศรษฐกิจใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศและไบโอเทค

    ในระดับโลก การปฏิวัติของ Reagan ได้ขยายสู่ "ฉันทามติวอชิงตัน" (Washington Consensus) ซึ่งสหรัฐฯ และสถาบันที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐฯ เช่นกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก ผลักดันให้ชาติกำลังพัฒนาเปิดเสรีเศรษฐกิจ

    ถึงแม้ฉันทามติวอชิงตันจะถูกด่าประณามจากผู้นำประชานิยมอย่าง Hugo Chavez แห่งเวเนซุเอลา แต่หลักการนี้ก็ได้ช่วยผ่อนคลายวิกฤติหนี้สินของละติน อเมริกาในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เมื่อปัญหาเงินเฟ้อขั้นรุนแรงกำลังสร้างความเจ็บปวดให้แก่อาร์เจนตินาและ บราซิล

    นโยบายที่เป็นมิตรกับตลาดที่คล้าย คลึงกับฉันทามติวอชิงตันก็เปลี่ยนจีนและอินเดียให้กลายเป็นมหาอำนาจทาง เศรษฐกิจอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

    ถ้าต้องการหลักฐานมากกว่านี้ ก็ลองมองไปที่ตัวอย่างที่สุดโต่งที่สุดในโลกของประเทศที่มีรัฐบาลขนาดใหญ่ นั่นคือเศรษฐกิจที่วางแผนจากส่วนกลางอย่างอดีต สหภาพโซเวียตและประเทศคอมมิวนิสต์ อื่นๆ

    ในทศวรรษ 1970 ประเทศเหล่านั้น ต่างล้าหลังประเทศคู่แข่งที่เป็นทุนนิยมในเกือบทุกๆ ด้าน การล่มสลายของประเทศ เหล่านั้นหลังจากการพังทลายของกำแพงเบอร์ลินยืนยันว่า รัฐสวัสดิการขนาดใหญ่กำลังมาถึงทางตันทางประวัติศาสตร์

    เช่นเดียวกับสิ่งใดๆ ในโลกล้วนเป็นอนิจจัง การปฏิวัติของ Reagan ก็หนีไม่พ้น หลังจากที่บรรดาสาวกได้เชิดชูลัทธินี้เป็นอุดมการณ์ที่สูงส่งแตะต้องไม่ได้ แต่ไม่ใช่คำตอบสำหรับการขจัดส่วนเกินของรัฐสวัสดิการ

    แนวคิด 2 ประการของลัทธินี้กลาย เป็นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ห้ามแตะต้องหนึ่งคือแนวคิดที่ว่าการลดภาษีจะ ทำให้รัฐได้ภาษีกลับคืนมามากขึ้นในท้ายที่สุด และ สองคือ ตลาดการเงินสามารถควบคุมตัวมันเองได้

    ก่อนทศวรรษ 1980 กลุ่มอนุรักษ-นิยมมีนโยบายการคลังแบบอนุรักษนิยมกล่าวคือ จะไม่ใช้จ่ายเกินกว่าเงินภาษีที่เก็บได้ แต่เศรษฐกิจแบบ Reaganomics ริเริ่มแนวคิดที่ว่า การลดภาษีเกือบทุกชนิด จะกระตุ้นการเติบโต จนในที่สุดรัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น (ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Laffer curve)

    แต่แท้ที่จริงแล้ว แนวคิดดั้งเดิมแบบ อนุรักษนิยมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะหากลดภาษีโดยไม่ลดการใช้จ่ายไปพร้อมกันด้วย ในที่สุดประเทศจะขาดดุลงบประมาณ

    ดังนั้นนโยบายลดภาษีของ Reagan ในทศวรรษ 1980 จึงทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณครั้งใหญ่ ส่วนการเพิ่มภาษีในยุค Clinton ในทศวรรษ 1990 ทำให้เกินดุลงบประมาณ และการลดภาษีในรัฐบาล Bush ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ยิ่งทำให้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก

    ความจริงที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในยุค Clinton ซึ่งใช้นโยบายขึ้นภาษีก็ยังคงสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วพอๆ กับยุค Reagan ซึ่งใช้นโยบายลดภาษี ยังคงไม่สามารถสั่นคลอนความเชื่อมั่นที่ว่า การลดภาษีจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างแน่นอนลงไปได้

    ยิ่งกว่านั้น โลกาภิวัตน์กลับกลายเป็นสิ่งที่ช่วยปกปิดจุดบกพร่องของเหตุผลดังกล่าวมานาน หลายทศวรรษ ต่างชาติยังดูเหมือนเต็มใจที่จะถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไว้ตลอดไป ซึ่งทำให้รัฐบาลอเมริกันสามารถ ใช้นโยบายขาดดุลงบประมาณ

    ในขณะที่ยังคงสามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีชาติกำลังพัฒนาใดจะทำได้โดยไม่ถูกตำหนิ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้รองประธานาธิบดี Dick Cheney เคยกล่าวต่อประธานาธิบดี Bush ว่า บทเรียนจากทศวรรษ 1980 คือ การขาดดุลเป็นเรื่องที่ไม่เป็นไร

    ส่วนความเชื่อประการที่สองของยุค Reagan คือการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ทาง การเงินนั้นได้รับการผลักดันโดยผู้ที่เชื่อถือ ศรัทธาในแนวคิดนี้อย่างแท้จริงและบริษัทใน Wall Street ในทศวรรษ 1990 แม้แต่ Democrats ก็ยังยอมรับแนวคิดนี้มาเป็นสรณะด้วย

    ผู้ที่สนับสนุนยืนยันว่า กฎเกณฑ์เข้มงวดที่ใช้มานานตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ Great Depression อย่างกฎหมาย Glass-Steagall Act (ซึ่งแยกธนาคารพาณิชย์กับวาณิชธนกิจ) เป็นตัวสกัดกั้นนวัตกรรมและบ่อนทำลายความสามารถในการแข่งขันของสถาบันการ เงินสหรัฐฯ

    พวกเขาพูดถูก

    การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ก่อให้เกิดนวัตกรรมอย่างท่วมท้นและเกิดผลิตภัณฑ์ ทางการเงินใหม่ๆ อย่างตราสารหนี้ประเภท collateralized debt obligations (CDO) ซึ่งได้กลายมาเป็นต้นตอของวิกฤติการเงินในวันนี้นั่นเอง

    แต่สมาชิก Republican บางคนยังคงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอะไรคือชนวนของ ปัญหาในวันนี้ เห็นได้จากการที่พวกเขายังคงเสนอแผนกู้วิกฤติการเงินใหม่แทนที่แผน 7 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อจะเสนอให้ลดภาษีมากยิ่งขึ้นอีกสำหรับกองทุน hedge fund

    ปัญหาก็คือ Wall Street แตกต่างจากภาคเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างเช่น Silicon Valley อย่างมาก

    การมีกฎเกณฑ์ที่เบาบางเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อภาคไฮเทค แต่สถาบันการเงินนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลสามารถควบคุมให้ภาคการเงินมีความโปร่งใส และจำกัดความเสี่ยงที่พวกเขาจะทำกับเงินของคนอื่น

    ภาคการเงินยังแตกต่างจากภาคอื่นๆ ตรงที่หากสถาบันการเงินล้ม ก็จะส่ง ผลเสียหายไม่เพียงแต่ผู้ถือหุ้นและพนักงาน ของสถาบันการเงินนั้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย

    สัญญาณที่บ่งชี้ว่าการปฏิวัติ Reagan ได้เบี่ยงเบนไปจนเป็นอันตราย เห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงทศวรรษที่แล้ว สัญญาณ เตือนแรกคือการเกิดวิกฤติการเงินเอเชียในปี 1997-1998

    ประเทศอย่างเกาหลีใต้และไทย ซึ่งทำตามคำแนะนำและแรงกดดันของสหรัฐฯ ให้เปิดเสรีตลาดทุนในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ทำให้เงินร้อนเริ่มทะลักเข้าสู่ไทยและเกาหลีใต้ ก่อให้เกิดฟองสบู่การเก็งกำไร แล้วเงินร้อนเหล่านั้นก็เร่งรีบถอนออกไปทันที่เกิดสัญญาณแรกของปัญหาใน เอเชีย

    แต่ประเทศอย่างจีนกับมาเลเซียไม่ได้เดินตามคำแนะนำของสหรัฐฯ และยังคงปิดตลาดการเงินของตน หรือควบคุม อย่างเข้มงวด ซึ่งพบว่าพวกเขาได้รับผลกระทบน้อยกว่า

    สัญญาณเตือนที่สองอยู่ที่การขาดดุลงบประมาณสะสม ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของสหรัฐฯ เอง จีนและอีกหลาย ชาติเริ่มซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากปี 1997 โดยมีเจตนาเพื่อจะรักษาค่าเงินของตนให้อ่อน รักษาโรงงานผลิตสินค้าของตนและคุ้มครองตัวเองจากวิกฤติการเงิน

    การกระทำดังกล่าวเหมาะสมกับสหรัฐฯ ในยุคหลังเหตุการณ์ 9/11 เป็นอย่างยิ่ง เพราะหมายความว่า สหรัฐฯ ยังคงสามารถลดภาษี มีเงินใช้จ่ายเพื่อการบริโภคอย่างเหลือเฟือ มีเงินสนับสนุนสงครามที่แสนแพง 2 ครั้ง และขาดดุลการคลังต่อไปได้ในเวลาเดียวกัน

    แต่การทำเช่นนั้นทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าอย่างมหาศาลและยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยสูงถึง 7 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีในปี 2007 แต่สถานการณ์ขาดดุลการค้าอย่างน่ากลัวเช่นนี้ไม่อาจจะคงอยู่ได้ตลอดไป ไม่ช้าก็เร็วต่างชาติก็จะฉุกคิดได้ว่า สหรัฐฯ ไม่ใช่ที่ที่พวกเขาควรจะฝากเงินไว้อีกต่อไป

    การอ่อนค่าของดอลลาร์บ่งชี้ว่า สหรัฐฯ กำลังเริ่มเดินมาถึงจุดจุดนั้นแล้ว ซึ่งชัดเจนและตรงข้ามกับคำกล่าวของ Cheney ข้างต้น เพราะแท้ที่จริงแล้ว การขาดดุลเป็นเรื่องที่สำคัญ

    แม้แต่ในสหรัฐฯ เอง ผลเสียของการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ก็ชัดเจนก่อนหน้าที่ Wall Street จะล้มในครั้งนี้เสียอีก

    ในแคลิฟอร์เนีย ค่าไฟฟ้าพุ่งขึ้นจนเกินควบคุมในปี 2000-2001 ซึ่งเป็นผลมาจากการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในตลาดพลังงานของแคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งบริษัทที่ไร้จริยธรรมอย่าง Enron ได้เข้าไป "เล่นพนัน" เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

    Enron และบริษัทอื่นอีกหลายแห่ง ล้มในปี 2004 เนื่องจากไม่มีการควบคุมมาตรฐานบัญชีอย่างเพียงพอ ความไม่เท่าเทียมในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นตลอดทศวรรษที่แล้ว เนื่องจากผลดีที่ได้จากการเติบโตทางเศรษฐกิจไปอยู่ในมือของคนรวยและคนที่มี การศึกษาดีมากกว่า

    ขณะที่รายได้ของชนชั้นแรงงานกลับไม่เพิ่มขึ้น สุดท้าย การยึดครองอิรักที่ผิดพลาดและการไม่สามารถรับมือกับ Hurricane Katrina ได้เผยให้เห็นถึงความอ่อนแอของภาครัฐตั้งแต่ระดับสูงสุดจนถึงต่ำสุดของ สหรัฐฯ

    ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ข้าราชการได้รับการสนับสนุนที่น้อยเกินไปและ เกียรติยศศักดิ์ศรีตกต่ำลงตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมานับตั้งแต่ยุคของ Reagan เป็นต้นมา ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่ายุค Reagan ควรจะจบสิ้นไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่ที่ไม่เป็นเช่นนั้น ไม่เพียงเป็นเพราะการที่พรรค Democrats ไม่มีผู้สมัครประธานาธิบดีเหตุผลที่เพียงพอจะโน้มน้าวประชาชนได้ แต่ยังเป็นเพราะสหรัฐฯ มีบางอย่างที่แตกต่างจากยุโรป

    ชนชั้นแรงงานในยุโรปจะออกเสียงเลือกพรรคสังคมนิยม คอมมิวนิสต์และพรรคอื่นๆ ที่เอียงซ้าย ซึ่งเป็นการเลือกตามผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเองตามปกติ

    หากแต่ที่อเมริกา ชนชั้นแรงงานสามารถเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในการสนับสนุนพรรคซ้ายหรือพรรคขวา ชนชั้นแรงงานเคยเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตร พรรค Democrats ในยุคที่เรียกว่า "ข้อตกลงใหม่" ของ Roosevelt และยังคงเข้า ร่วมกับนโยบาย "Great Society" ของ Lyndon Johnson ในทศวรรษ 1960

    แต่พวกเขากลับเริ่มต้นหันไปลงคะแนนให้ Republican ในยุค Nixon กับ Reagan แล้วกลับไปสนับสนุน Clinton ของ Democrats ในทศวรรษ 1990 แต่แล้วก็หันกลับไปสนับสนุน Republican อีกครั้งในสมัย George W. Bush

    เวลาที่ชนชั้นแรงงานอเมริกันลงคะแนนให้แก่ Republican นั้น มักจะเป็น เพราะประเด็นทางวัฒนธรรมอย่างเช่นศาสนา ความรักชาติ คุณค่าของครอบครัว และสิทธิการเป็นเจ้าของปืน ซึ่งสำคัญกว่าประเด็นเศรษฐกิจในขณะนั้น

    คนกลุ่มนี้ก็จะเป็นผู้ตัดสินใจการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนนี้อีกครั้ง อย่างน้อยก็เป็นเพราะชนชั้นแรงงานมีอยู่มากในรัฐที่เรียกว่า swing state ซึ่งเป็นรัฐที่ไม่แน่นอนว่าจะสนับสนุนพรรคใด อย่างเช่น โอไฮโอและเพนน์ซิลเวเนีย

    พวกเขาจะเลือก Obama ซึ่งมีการศึกษาสูงจาก Harvard ที่ดูไกลตัวแต่อาจสะท้อนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของพวกเขาได้ถูกต้องกว่า หรือจะเกาะติดกับคนที่พวกเขารู้สึกคุ้นเคยมากกว่าอย่าง McCain กับ Sarah Palin

    ในอดีตนั้น ต้องรอให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 1929 จนถึง 1931 เสียก่อน Democrats จึงสามารถกลับมาเถลิงอำนาจได้อีกครั้ง ส่วนผลสำรวจความนิยมผู้สมัครประธานาธิบดีปีนี้ก็บ่งชี้ว่า สหรัฐฯ อาจกำลังมาถึงจุดจุดนั้น อีกครั้งในเดือนนี้ (ตุลาคม)

    องค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างของแบรนด์อเมริกันคือประชาธิปไตย และความเต็มใจของสหรัฐฯ ที่จะสนับสนุนประชาธิปไตยทั่วโลก อุดมการณ์นี้สอดแทรกอยู่ในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ไม่เคยขาดตลอดศตวรรษที่แล้ว

    ตั้งแต่สันนิบาตชาติ (Leage of Nations) ของ Woodrow Wilson ถึง "เสรีภาพทั้ง 4" (Four Freedoms) ของ Roosevelt จนถึงการที่ Reagan ชักชวน Mikhail Gorbachev ให้ "ทลายกำแพงนี้ลงเสียเถิด"

    การส่งเสริมประชาธิปไตยของสหรัฐฯ โดยผ่านการทูต การให้ความช่วยเหลือต่อกลุ่มสังคมในประเทศอื่นๆ การสนับสนุนเสรีภาพสื่อและอื่นๆ ไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งมาก่อน

    แต่ปัญหาในขณะนี้คือ การที่รัฐบาล Bush อ้างประชาธิปไตยเป็นความชอบธรรมในการก่อสงครามอิรัก ทำให้หลายคนมองคำว่า "ประชาธิปไตย" ของสหรัฐฯ ว่า เป็นคำรหัสที่หมายถึงการแทรกแซงทางทหารและเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองใน ประเทศอื่น

    ความไร้เสถียรภาพที่เกิดขึ้นในอิรักก็ไม่ได้ช่วยให้ภาพลักษณ์ของประชา ธิปไตยดีขึ้นแต่อย่างใด และตะวันออก กลางคือกับระเบิดสำหรับรัฐบาลอเมริกันโดยเฉพาะ

    เนื่องจากสหรัฐฯ สนับสนุนชาติพันธมิตรที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างเช่นซาอุดีอาระเบีย และกลับปฏิเสธกลุ่ม Hamas และ Hizbullah ซึ่งขึ้นสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้ง สหรัฐฯ จึงสูญเสียความน่าเชื่อถือเมื่ออ้างถึงการส่งเสริมเสรีภาพ

    โมเดลประชาธิปไตยของเมริกายังมัวหมองอย่างหนักจากการที่รัฐบาล Bush ใช้การทรมาน หลังจากเหตุการณ์ 9/11 สหรัฐฯ ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่า พร้อมที่จะสลัดทิ้งการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความ มั่นคง

    ค่ายกักขังผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย Guantanamo Bay สภาพของนักโทษในเรือนจำ Abu Ghraib ของอิรัก กลายเป็นภาพที่มาแทนที่เทพีเสรีภาพในฐานะสัญลักษณ์ของอเมริกาไปเสียแล้วใน สายตา ของคนที่ไม่ใช่อเมริกัน

    ไม่ว่าใครจะชนะเลือกตั้งประธานา ธิบดีสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้ การเปลี่ยน แปลงเข้าสู่วงจรใหม่ของการเมืองอเมริกันและการเมืองโลกก็จะเริ่มต้นขึ้น อย่างแน่นอน คาดว่า Democrats จะสามารถเพิ่มเสียงข้างมากได้ทั้งในสภาผู้แทนและวุฒิสภา

    ความไม่พอใจของประชาชนกำลังเพิ่มขึ้น เมื่อการล่มสลายของ Wall Street ลามไปสู่ Main Street หรือประชาชนทั่วไป และทุกคนดูจะเห็นพ้องต้องกันว่า จำเป็นจะต้องมีการฟื้นกฎระเบียบเพื่อควบคุมหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจ

    ในระดับโลก สหรัฐฯ จะไม่สามารถ ธำรงความเป็นเจ้าโลกไว้ได้อีกต่อไป เห็นได้จากเหตุการณ์ที่รัสเซียส่งทหารรุกล้ำเข้าไปในจอร์เจีย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ซึ่งสหรัฐฯ ทำอะไรรัสเซียไม่ได้เลย

    ความสามารถของสหรัฐฯ ในการกำหนดความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ผ่าน ข้อตกลงการค้า IMF และธนาคารโลกก็จะลดลง เช่นเดียวกับทรัพยากรทางการเงินของสหรัฐฯ ก็จะลดลงด้วย และในหลายส่วนของโลก แนวคิด คำแนะนำหรือแม้กระทั่งความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ จะเป็นที่ยินดีต้อนรับน้อยลง

    ภายใต้สภาวการณ์ข้างต้น ผู้สมัครประธานาธิบดีคนใดจะมีภาษีดีกว่าในการ "รีแบรนด์" อเมริการะหว่าง Barack Obama กับ John McCain

    เป็นที่ชัดเจนว่า Barack Obama แบกภาระความผิดพลาดที่ผ่านมาของรัฐบาลน้อยกว่า สไตล์การทำงานแบบไม่ยึดติดกับพรรคของเขา ก็สามารถจะอยู่เหนือความแตกแยกทางการเมืองสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

    โดยพื้นฐานแล้วเขาดูเป็นนักปฏิบัติมากกว่านักอุดมการณ์ แต่ความสามารถในการสร้างฉันทามติของเขาจะต้องถูกทดสอบอย่างหนัก เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจในเรื่องยากๆ ทั้งยังจะต้องสามารถ เกลี้ยกล่อมไม่แต่สมาชิกพรรค Republican แต่ยังรวมถึงสมาชิก Democrats ของเขาเอง ซึ่งไม่มีใครควบคุมได้

    ส่วน McCain กล่าวโทษ Wall Street และต้องการให้ปลด Chris Cox ประธาน SEC ออก เขาอาจจะเป็น Republican เพียงคนเดียวที่สามารถนำพาพรรคเข้าสู่ยุคหลัง Reagan ได้

    แต่บางคนรู้สึกว่า McCain ยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างแน่นอนเลยว่า ตัวเขาเองจะเป็นคน Republican แบบไหนกันแน่ และเขาควรจะใช้หลักการใดในการนิยามอเมริกายุคใหม่

    อเมริกาจะสามารถฟื้นอิทธิพลของตัวเองได้ในที่สุด ในขณะที่โลกทั้งโลกกำลังจะประสบกับเศรษฐกิจขาลง แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนอยู่ดีว่า โมเดลแบบจีนหรือรัสเซียจะดีไปกว่าโมเดลแบบอเมริกัน อีกประการคือ สหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวจาก การถดถอยครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้งในช่วงระหว่างทศวรรษ 1930 ถึง 1970 อันเนื่องมาจากการที่ทั้งระบบของสหรัฐฯ และ ชาวอเมริกันต่างก็มีความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัว

    อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ จะฟื้นตัวขึ้นมาได้อีกหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเปลี่ยนแปลงที่ลึกถึงระดับพื้นฐานของตัวเอง

    ประการแรก สหรัฐฯ จะต้องหลุดพ้นจากการผูกติดกับยุค Reagan และนโยบายลดภาษีและผ่อนคลายกฎเกณฑ์ นโยบายลดภาษีอาจดูเป็นเรื่องดี แต่ไม่จำเป็นว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจหรือจะทำให้รัฐจัดเก็บภาษีได้เพิ่ม ขึ้นเสมอไป

    เมื่อดูจากสถานการณ์ด้านการคลังในระยะยาวของสหรัฐฯ ชาวอเมริกันควรจะได้รับการบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า พวกเขาอาจจะต้องจ่ายและรับผิดชอบอนาคตของตัวเอง

    การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ หรือจะพูดว่าเป็นความล้มเหลวของผู้คุมกฎในการติดตามตลาดการเงินที่ เคลื่อนไหวอย่าง รวดเร็วนั้น ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงอย่างที่เราก็ได้เห็นกันแล้ว ข้าราชการอเมริกันทั้งหมด ซึ่งไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนอย่างเพียงพอ อ่อนแอและสูญเสียขวัญกำลังใจ จะต้องได้รับการฟื้นฟูใหม่ รวมทั้งได้รับการยกย่องให้เกียรติ อีกครั้ง เพราะมีงานบางอย่างที่มีแต่เพียงรัฐบาลเท่านั้นที่จะทำให้สำเร็จได้

    ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงแก้ไขความผิดพลาดที่ผ่านมาอยู่นั้น แน่นอนว่าบางครั้งก็อาจจะเกิดปัญหา "ทำเกินไป" ในขณะที่สถาบันการเงินสหรัฐฯ จำเป็นจะต้องได้รับการตรวจสอบควบคุมอย่างเข้มงวด แต่ไม่แน่ว่าภาค เศรษฐกิจอื่นๆ จะจำเป็นต้องถูกควบคุมในระดับเดียวกันไปด้วย

    การค้าเสรียังคงเป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับการเป็นเครื่องมือทางการทูตของสหรัฐฯ นอกจากนี้สหรัฐฯ ควรจะช่วยให้ชนชั้นแรงงานของตน สามารถปรับตัวรับสภาพการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดีกว่านี้ แทนที่จะมัวแต่คอยปกป้องงานเดิมๆ ของพวกเขา หากการลดภาษีมิใช่หนทางสู่ความเจริญรุ่งเรืองโดยอัตโนมัติ ถ้าเช่นนั้นการให้สวัสดิการสังคมอย่างไม่จำกัดก็ไม่อาจเกิดผลดีเสมอไปเช่น กัน

    ค่าใช้จ่ายมหาศาลที่จะใช้ในการกอบกู้ภาคการเงินสหรัฐฯ รวมทั้งความอ่อนแอของเงินดอลลาร์ในระยะยาว มีความหมายว่า เงินเฟ้อกำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตและหากยังขืนดำเนิน นโยบายการคลังอย่างไม่รับผิดชอบต่อไป ก็อาจจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาให้หนักขึ้น

    ขณะที่ชาติอื่นๆ อาจจะรับฟังคำแนะนำของอเมริกาน้อยลง ก็ยังมีอีกหลาย ชาติที่จะได้รับประโยชน์ หากทำตามหลักการบางอย่างของโมเดล Reagan แน่นอน ย่อมไม่ใช่การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในตลาดการเงินแต่อย่างใด

    ถ้าหันไปมองในยุโรป พนักงานยังได้รับวันหยุดยาว เวลาทำงานสั้น มีหลักประกันการทำงานและสวัสดิการอื่นๆ ที่มากเกินไป ซึ่งมีแต่จะทำให้ความสามารถในการผลิตของยุโรปอ่อนแอ และจะไม่มีความยั่งยืนทางการเงิน

    การรับมือวิกฤติ Wall Street อย่าง ไม่ทันท่วงทีของสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่สหรัฐฯ ต้องการ ก็คือการเมืองของสหรัฐฯ เอง การปฏิวัติ Reagan อาจจะเคยสามารถทำลายการครอบงำอเมริกามานานถึง 50 ปีของฝ่ายเสรีนิยมและพรรค Democrats ได้ และเปิดโอกาสให้ลองนำวิธีการที่แตกต่างออกไปมาใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในยุค นั้น

    แต่หลังจากหลายปีผ่านมา สิ่งที่เคย เป็นความคิดใหม่ๆ ที่ดีกว่านั้น ได้กลับกลายเป็นความคิดที่ล้าสมัยและดันทุรังไปแล้วในวันนี้

    คุณภาพของการต่อสู้กันทางการเมืองในสหรัฐฯ ลดลง จากการที่แต่ละพรรคต่างไม่ยอมจำกัดคำถามอยู่เพียงความคิดของอีกฝ่าย แต่กลับเลยไปถึงเรื่องส่วนตัว ทั้งหมดนี้ทำให้สหรัฐฯ ยากที่จะปรับตัวเข้ากับความจริงใหม่และปัญหาใหม่ที่กำลังเผชิญอย่างยากลำบาก

    ดังนั้น สิ่งที่จะได้รับการทดสอบที่สำคัญที่สุดของโมเดลแบบอเมริกัน แท้จริงแล้วคือความสามารถของสหรัฐฯ ในการสร้างตัวเองขึ้นใหม่อีกครั้ง การสร้างแบรนด์ที่ดีไม่ใช่การทาลิปสติกให้กับหมู (เป็นคำพูดของหนึ่งในสองผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ)

    แต่เป็นการที่จะต้องมีสินค้าที่ถูกต้องสำหรับขาย ตั้งแต่แรกเริ่ม ประชาธิปไตยของอเมริกาก็มีงานที่หนักหน่วงรออยู่ข้างหน้า

    เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปลและเรียบเรียง
    นิวสวีค 13 ตุลาคม 2551

    การล่มสลายของ America Inc. - Positioning Magazine
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การล่มสลายของเกษตรกรในยุคโลกาภิวัฒน์


    โดย..พิทยา ว่องกุล
    สายโซ่แห่งปัญหาที่ร้อยรัดโลกไว้เส้นเดียว ได้แก่ ฐานคิดทฤษฎีระบบทุนนิยม หรือเศรษฐกิจเสรีนิยม ซึ่งทำให้โลกพัฒนามาเป็นจักรพรรดิทุนนิยมขั้นสูงสุด ที่แสดงออกมาในด้านอำนาจครอบโลก ได้แก่
    - จักรพรรดินิยมดอลลาร์ เป็นสกุลเงินตราของโลก เป็นเงินทุนสำรองของทุกประเทศ และเป็นสื่อกลางในการเก็งกำไรค่าเงินของโลก ดอลลาร์สามารถเปิดประตูประเทศต่างๆ ได้อย่างทะลุทะลวงด้วยระบบการเงินเสรี ทำให้ทุนใหญ่ขยายอิทธิพลและย่ำยีทุนเล็กในประเทศต่างๆ ไปทั่วโลก และพันธนาการเงินตราประเทศต่างๆ ให้ขึ้นต่อดอลลาร์อย่างแยกไม่ออก ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงค่าเงินดอลลาร์ หรือปัญหาเศรษฐกิจขาลงของสหรัฐอเมริกาในขณะนี้ จึงส่งผลกระทบกระเทือนต่อทุกประเทศ ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาได้กลายเป็นปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกไปแล้ว โดยปริยาย
    - จักรพรรดินิยมด้านอาหาร ระบบทุนนิยมเสรีที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้บรรษัทเมล็ดพันธุ์พืชและการผลิตอาหาร ได้ขยายสาขาออกเป็นบริษัทลูกกระจายไปตามทวีปต่างๆ อาศัยเงินทุนที่เหนือกว่ามากมาย เทคโนโลยีและการผูกขาดตลาด เข้าแข่งขันโดยเสรีกับเกษตรกรรายย่อย และบริษัทธุรกิจการเกษตรในประเทศอื่นๆ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรษัทธุรกิจการเกษตรข้ามชาติร่วมกับบริษัทใหญ่ด้านการเกษตรในแต่ละประเทศ ทำลายเกษตรกรรายย่อยให้พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ด้วยกลไกการตลาดที่เหนือกว่า และวิธีการประกอบธุรกิจที่เรียกว่า เกษตรพันธสัญญา ซึ่งกำหนดกฎเกณฑ์และโอกาสการเอารัดเอาเปรียบเกษตรกรไว้มากมาย จนก่อให้เกิดปัญหาความล่มสลายของเกษตรกรไปทั่วโลก ประชากรโลกที่ไร้ที่ดินทำกินและอดอยากยากจนจึงเพิ่มขึ้นทุกขณะ...
    การทำให้ประชากรโลกยากจน เป็นสงครามแห่งการทำลายที่ไร้อาวุธ และเต็มไปด้วยข้ออ้างสวยหรูว่าแข่งโดยเสรี ผลิตโดยเสรี ค้าโดยเสรี หรือเศรษฐกิจเสรี บรรษัททุนข้ามชาติในประเทศที่พัฒนาแล้ว พยายามผลักดันแนวทางนี้ว่าเป็นกระแสโลกาภิวัตน์ ทุกประเทศต้องยอมรับโดยให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ยุติการปกป้องและสนับสนุนเกษตรกรภายในประเทศ แล้วปล่อยให้บรรษัทธุรกิจการเกษตรข้ามชาติสามารถเข้าทำลายเพื่อผูกขาดการ ผลิตในภายหลัง จักรวรรดินิยมธุรกิจการเงินและการค้าระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ธนาคารเพื่อพัฒนาเอเชีย (ADB) หรือธนาคารเพื่อพัฒนาภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก แท้จริงแล้วเป็นกิจการหนึ่ง หรือพัฒนาการขั้นสูงสุดของระบบทุนนิยม ซึ่งดำเนินการโดยรัฐบาลประเทศพัฒนาแล้ว หรือตัวแทนระบบทุนนิยมในประเทศที่เจริญแล้ว เพื่อเอารัดเอาเปรียบประเทศที่กำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดทั่ว โลก โดยให้กู้เงินเพื่อเอาดอกเบี้ยในกิจการใหญ่ๆ และการพัฒนาระยะยาว ภายใต้คำพูดอันสวยหรูว่า "ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม"
    แท้จริง เบื้องหลังผู้บริหารสถาบันการเงินระหว่างประเทศและองค์การการค้าโลก ล้วนแล้วเป็นตัวแทนแนวความคิดเศรษฐกิจเสรีนิยมจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสำคัญขององค์การเหล่านี้ มักถูกกำหนดและถูกยึดครองด้วยตัวแทนประเทศอภิมหาทุน ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป อีกทั้งหากเจาะลึกลงไปอีกจะพบว่า รัฐบาลประชาธิปไตยเหล่านี้มาจากพรรคการเมืองที่จำเป็นต้องใช้การลงทุนสูงใน การโฆษณาหาเสียงรับเลือกตั้ง (ประเทศพัฒนาแล้ว) ส่วนพรรคการเมืองในประเทศกำลังพัฒนาหรือพัฒนาน้อยที่สุด ก็ต้องลงทุนสูงในการซื้อเสียงหรือทุจริตการเลือกตั้ง การให้เงินกู้ขององค์กรการเงินระดับโลกเหล่านี้ จึงมีกฎระเบียบบังคับประเทศลูกหนี้ในด้านเปิดการค้าเสรี การแปรรูป (Privatization) รัฐวิสาหกิจ การเงินเสรี การลงทุนไร้พรมแดน ธรรมาภิบาล (Good Governance) และการทำให้เป็นประชาธิปไตย (Democratize) เพื่อเปิดประตูประเทศทั่วโลกให้บรรษัททุนข้ามชาติเข้าไปได้
    ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไร หากบรรษัทอุตสาหกรรมข้ามชาติและบรรษัทธุรกิจการเกษตรข้ามชาติที่ผลิตเมล็ด พันธุ์พืช สารเคมีและพืชผลเกษตรทั่วโลก จะให้การสนับสนุนพรรคการเมืองอเมริกัน กระทั่งมีอิทธิพลเหนือรัฐบาลอเมริกัน และผลักดันการค้าเสรีพืชผลการเกษตร รวมถึงพืชตัดต่อพันธุกรรม (GMOs) ผ่านรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ออกมาในรูปแบบการชูคำขวัญ "การค้าเสรี" การจัดตั้งองค์การการค้าโลกเพื่อให้สินค้าของตนส่งออกไปขายได้ทั่วโลก และเข้าไปแย่งตลาดภายในประเทศต่างๆ เพื่อการผูกขาดในอนาคต และทำลายความมั่นคงด้านอาหารของประเทศต่างๆ ไปโดยปริยาย
    นอกจากนี้ บรรษัทธุรกิจการเกษตรข้ามชาติ ยังใช้อำนาจทุนเป็นใหญ่เข้าไปมีอิทธิพลเหนือกระทรวงเกษตรในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีหรือข้าราชการระดับสูง เช่น กระทรวงเกษตรของสหรัฐหรือไทย เป็นต้น
    สำหรับประเทศไทย ประชาชนเคลือบแคลงใจว่า กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในปัจจุบันได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจเงินของบรรษัทธุรกิจการเกษตรและสารเคมีไป เรียบร้อยแล้ว โดยมีบริษัทธุรกิจการเกษตรยักษ์ใหญ่ภายในประเทศเข้าร่วมวงไพบูลย์ เพื่อครอบงำและผลักดันนโยบายการเกษตรเสรีอีกด้วย ดังนั้นแนวทางการพัฒนาด้านเกษตรไทย กระทรวงเกษตรฯ จึงเปิดช่องให้มีการลงทุนขนาดใหญ่ของต่างชาติและทุนภายในประเทศ ทั้งในรูปแบบไร่นาเกษตรขนาดใหญ่ (Plantation) ที่กำลังก่อตัว และการเกษตรแบบพันธสัญญาที่เกิดขึ้นและขยายตัวกว้างขวางแล้ว นับเป็นการเปิดช่องให้บรรษัทเหล่านี้เอาเปรียบเกษตรกรไทย โดยปราศจากมาตรการคุ้มครองจากรัฐ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่สังคมไทยต้องรับรู้ ได้แก่ ปัญหาข้าราชการระดับสูงกระทรวงเกษตร เป็นพวกเดียวกับบริษัทธุรกิจการเกษตรทั้งในและต่างประเทศนั่นเอง
    ในยุคโลกาภิวัตน์ การขยายตัวของบรรษัทธุรกิจการเกษตรข้ามชาติออกไปยังละตินอเมริกา แอฟริกาและเอเชีย โดยอาศัยความเหนือกว่า 3 ประการ ได้แก่
    ประการแรก ความยิ่งใหญ่ของทุนเหนือกว่าลิบลับในการแข่งขัน ทำลายทุนเล็กกว่าได้ในเวลาต่อมา รวมไปถึงทุนในประเทศขนาดใหญ่ก็จะค่อยๆ พ่ายแพ้ในช่วงเวลาอันยาวนาน
    ประการที่สอง เสนอการเปิดเสรีการค้าสินค้าเกษตรและขจัดการกีดกันการค้าทั่วโลก (แต่ตัวเองกลับสนับสนุนและคิดยุทธวิธีคุ้มครองเกษตรกร และบรรษัทพืชผลการเกษตรของตน เช่น สหรัฐและสหภาพยุโรปมีกฎหมายคุ้มครองเกษตรกรในรูปแบบต่างๆ มีการคุ้มครองไม่เปิดเสรีในสิ่งที่เรียกว่า ความมั่นคงทางอาหาร มีกฎหมายให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐในการอนุญาตให้จีเอสพี เพื่อนำเข้าและไม่นำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น การกีดกันว่าด้วยสุขอนามัยสินค้าเกษตร และการแพร่ระบาดของแมลงหรือเชื้อรา รวมไปถึงการตั้งภาษีสินค้าเกษตรนอกโควตาสูงลิบ จนไม่สามารถส่งไปขายได้ หรือมิฉะนั้นพ่อค้าก็ต้องหันมากดราคาพืชผลภายในประเทศให้ต่ำลง นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผลิตผลการเกษตรไทยราคาตกต่ำขณะนี้
    ล่าสุด สหรัฐอเมริกามีมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ โดยอาศัยเครื่องมือควบคุมแหล่งที่มาของอาหาร ขณะขนส่งจากแหล่งผลิตไปสหรัฐเชื่อมโยงกับดาวเทียม เป็นเหตุให้ประเทศอื่นๆ ต้องเสียต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงมากขึ้น
    ประการที่สาม การซื้อตัว (สนับสนุน) พรรคการเมืองและข้าราชการระดับสูง เพื่อใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือกำหนดนโยบายและให้ความช่วยเหลือบรรษัทในด้าน ต่างๆ เช่น นโยบายโซนนิ่งพืชผลการเกษตร การหาเงินกู้ต่างประเทศมาจัดการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น น้ำ เขื่อน คลองส่งน้ำ โดยอ้างว่าพัฒนาน้ำเพื่อการเกษตรและเก็บค่าน้ำ แต่เจตนาแฝงเร้นก็คือ เอางบประมาณแผ่นดินไปสนับสนุนบรรษัททุนข้ามชาติและบรรษัททุนเกษตรในประเทศ ฯลฯ นั่นเอง
    จะเห็นว่าความเหนือกว่าทั้งในด้านอำนาจทุนใหญ่ การผลักดันให้เกิดการค้าเสรีไปทั่วโลก และการซื้ออำนาจรัฐประเทศต่างๆ เอาไว้ใช้สอย ทำให้บรรษัทธุรกิจผลิตผลการเกษตรเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว ขยายตัวอย่างกว้างขวาง ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกโดยไม่รู้ตัว นั่นคือ การทำให้เกษตรกรรายย่อยยากจน มีหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และล่มสลายจนเหลือน้อยในที่สุด
    ที่มา : http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=15/Dec/2546&news...
    เครดิต khanittha - การเงินการธนาคาร ปี 4 ค่ะ - การล่มสลายของเกษตรกรในยุคโลกาภิวัฒน์
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เมตตาทุนนิยม


    ปรีชา ประกอบกิจ




    From BrandAge - Magazine




    เคยได้ยินคำว่า “เมตตาทุนนิยม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Com passionate Capitalism กันบ้างไหมครับ
    ก่อน อื่นต้องออกตัวก่อนว่าที่หยิบยกคำๆ นี้ขึ้นมา ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด เพียงแต่อยากให้เห็นถึงแนวคิดในการดำเนินธุรกิจอีกแนวทางหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังเป็นแนวทางที่ถูกพูดถึงในโลกธุรกิจมาช้านาน เพียงแต่อาจไม่แพร่หลายนักในประเทศไทย
    คำๆ นี้ถูกพูดถึงเป็นครั้งแรกโดย “ริช เดอโวส” หนึ่งในสองผู้ก่อตั้งธุรกิจแอมเวย์ขึ้นมาเมื่อราวๆ ทศวรรษที่ 1970 หรือร่วมๆ สามสิบปีที่แล้ว
    ในฉบับที่ผ่านมา ถ้าจำกันได้ ผมได้ฉายภาพ “การขาย” ตามแบบฉบับของแอมเวย์ซึ่งกลั่นออกมาจากความคิดของ “ริช เดอโวส” มาครั้งหนึ่ง
    นอกจากการเป็น “นักขาย” ระดับกูรูของโลก เจ้านายสูงสุดของผมคนนี้ยังถือเป็นนักธุรกิจที่มีแนวทางการบริหารที่เป็นแบบฉบับของตนเอง

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินธุรกิจที่ยึดแนวทาง “เมตตาทุนนิยม” ที่ผมกำลังพูดถึง

    ในขณะที่หลักการทั่วๆ ไปของทุนนิยม (Capitalism) คือ การลงทุนสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาโดยยอมรับกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอัน เนื่องจากการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นไปได้ทั้งประสบผลสำเร็จมีผลกำไร หรือประสบความล้มเหลว มีปัญหาการขาดทุนตามมา


    เมื่อ ได้รับผลกำไร ส่วนหนึ่งจะถูกนำไปปันผลให้กับผู้ถือหุ้น อีกส่วนหนึ่งจะถูกนำมาขยายการลงทุนต่อเพื่อสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจ แต่สำหรับ “เมตตาทุนนิยม” จะไม่ได้มองเพียงแค่ผลกำไร หรือขาดทุน ตามแนวทางของทุนนิยมทั่วๆ ไปเท่านั้น
    หลัก การของเมตตาทุนนิยมแบบย่อๆ ก็คือ การดำเนินธุรกิจที่ไม่ได้มองแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง หากให้ความสำคัญกับองค์ประกอบอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเราควบคู่ไปด้วย ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิต หรือไม่มีชีวิต
    ริช พยายามขายไอเดีย “เมตตาทุนนิยม” นี้ มาตั้งแต่ในช่วงที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับสงครามเย็น เป็นการเผชิญหน้าระหว่างโลกเสรี กับโลกคอมมิวนิสต์ ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายที่ยึดมั่นในแนวทางของทุนนิยมอย่างเต็มตัว ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งมองถึงความเท่าเทียมกันความเสมอภาคกันเป็นที่ตั้ง
    มุม มองของ ริช เดอโส ในขณะนั้นแม้จะโน้มเอียงมาทางทุนนิยมเหมือนอเมริกันชนทั่วๆ ไป แต่ผู้ก่อตั้งอาณาจักรแอมเวย์เห็นว่า ถ้าโลกเรายังยึดมั่นแต่แนวทาง Capitalism มองผลประโยชน์ มองผลกำไรอย่างเดียว แต่ถ้าไม่มี Compassionate หรือ “ความมีเมตตา” จะทำให้หายนะได้เช่นกัน และท้ายที่สุดก็จะพ่ายแพ้ต่อคอมมิวนิสต์
    ริช เดอโวส นั้นตกผลึกกับแนวทางที่ว่านี้จนถึงขั้นกลั่นออกมาเป็น “สมการความคิด” ทั้งยังเขียนหนังสือภายใต้ชื่อ Compassionate Capitalism ไว้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว


    เมื่อแปรเปลี่ยนเป็นสมการยังทำให้ผู้สนใจใคร่รู้ทำความเข้าใจกับแนวคิดนี้ง่ายยิ่งขึ้น สมการที่ว่าด้วย “เมตตาทุนนิยม” ของริช เป็นดังนี้


    MW = NR + HE x T


    MW : Material Welfare หมายถึง ข้าวของเครื่องใช้ หมายถึงสิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น
    NR : Natural Resources หมายถึง ทรัพยากรธรรมชาติที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต Material Welfare อาทิ รถยนต์ที่วัตถุดิบส่วนใหญ่มาจากเหล็ก อะลูมิเนียม พลาสติก ฯลฯ แต่ก่อนจะมาเป็นเหล็ก ต้องมาจากแร่เหล็กที่ผ่านขั้นตอนการถลุงเสียก่อน จากนั้นถึงจะมาขึ้นรูปเป็นตัวถังรถ ส่วนพลาสติกมีที่มาจากเม็ดพลาสติก เป็นผลพลอยได้ที่มากับน้ำมันดิบ
    HE : Human Energy หมายถึงแรงงานที่ใช้ในการผลิต
    T : Tool หมายถึง เครื่องไม้เครื่องมือ ซึ่งอาจหมายรวมไปถึงเครื่องจักร กรรมวิธี กลยุทธ์ในเชิงธุรกิจ
    เมื่อนำมาเข้าสมการทำให้เราเห็นภาพว่า สินค้า ข้าวของเครื่องใช้แต่ละชิ้น กระทั่งบริการต่างๆ ล้วนมาจากการใช้แรงงานคน (Human Energy) มาทำให้วัตถุดิบทางธรรมชาติต่างๆ (Natural Resources) แปรเปลี่ยนเป็นผลผลิต
    ผลผลิต เหล่านี้จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณเมื่อมีการนำเครื่องไม้เครื่องมือ เครื่องจักรที่ทันสมัย หรือกลยุทธ์ในเชิงธุรกิจ เข้ามาช่วยในการดำเนินธุรกิจ
    แต่สำหรับ ริช เดอโวส แล้ว แนวทางของเขาจะขยับขึ้นเป็นอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการชี้ให้เห็นว่าถ้าธุรกิจต่างๆ ใส่ Compassionate หรือ “ความมีเมตตา” เพิ่มเข้าไปดังสมการข้างล่าง จะทำให้ธุรกิจต่างๆ ประสบความสำเร็จเป็นเท่าทวีคูณ





    MW= (NR + HE x T) x C




    ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเราใส่ Compassionate เข้าไปที่ Natural Resour ces ผลที่ตามมาก็คือ ทำให้การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ต่างๆ มีประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่ขุดเอามาใช้จนหมด ตัดไม้ทำลายป่าจนหมด ใช้น้ำอย่างไม่คุ้มค่า ปล่อยน้ำหรืออากาศเสีย ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา
    เช่นเดียวกับในประเด็นของ Human Energy เมื่อเรามีความมี “เมตตา” ให้กับเพื่อนร่วมงาน ดูแลแรงงานอย่างดี เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผลผลิตที่ได้รับย่อมเพิ่มขึ้นไปด้วย หรือในประเด็นของ TOOL เมื่อ เราพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือให้มีประสิทธิภาพสูงสุด กลยุทธ์ธุรกิจต่างๆ ไม่ได้มุ่งเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้หวังผลในทางธุรกิจแต่ฝ่ายเดียว โอกาสที่ธุรกิจจะได้รับการยอมรับในวงกว้างย่อมมีมากขึ้นตามไปด้วย


    จะเห็นว่าถ้าเราได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างไปพร้อมกับความเมตตาในทุกๆ ขั้นตอนตามหลักคิดของ Compassionate Capitalism ผลลัพธ์ ที่ออกมาย่อมยั่งยืนกว่า มีผลผลิตมากกว่า ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจได้รับการคำนึงถึง ขณะเดียวกันเมื่อสินค้าหรือบริการที่ผลิตออกไปไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ปัญหาภาวะเรือนกระจกที่กำลังทำลายชั้นบรรยากาศของโลกคงทุเลาเบาบางลง
    เมื่อท่องคาถา Compassionate ไว้ในใจ นึกดูโลกของเราจะน่าอยู่เพิ่มขึ้นแค่ไหน
    ในทางกลับกัน ริช เดอโวส เตือนว่า ในธุรกิจที่ไม่ได้ยึดมั่นกับแนวทาง “เมตตาทุนนิยม” ไม่ได้ให้ความสำคัญกับศีลธรรมจรรยา หรือจริยธรรม สักวันหนึ่งก็ต้องล่มสลาย
    คงจำกรณีของ “เอนรอน” ของสหรัฐอเมริกาได้ใช่ไหมครับ
    เมื่อให้ความสำคัญกับการกอบโกยผลกำไรเป็นประเด็นหลัก และลืมนึกถึงศีลธรรมจรรยา ทำให้ “เอนรอน” ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งถึงแก่การล่มสลาย ตัวผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องมีคดีความติดตัวกระทั่งทุกวันนี้
    ถึงตรงนี้หลายคนอาจย้อนถามกลับว่า ปัจจุบันธุรกิจทั้งหลายต่างให้ความสำคัญกับ CSR (Corporate Social Responsibility ) กันอยู่แล้ว เท่านี้ยังไม่พออีกหรือ คำตอบของ ริช เดอโวส ก็คือ ยังไม่พอครับ
    ความแตกต่างคือ “เมตตาทุนนิยม” จะเข้าไปเกี่ยวพันในทุกขั้นตอนของธุรกิจ ทุกเวลาทุกนาที ต่างจาก CSR ที่เกิดขึ้นในบางช่วงเวลาเท่านั้น
    สำหรับ “ริช เดอโวส” แล้ว ความคิดเรื่อง “เมตตาทุนนิยม” ยังเกิดขึ้นก่อนจะมีการก่อตั้ง “แอมเวย์” ขึ้นมาเสียอีก


    นั่นทำให้เรายึดมั่นกับการดำเนินธุรกิจในรูปแบบนี้ตั้งแต่แรกก่อตั้งแล้ว
    ผมกล้ายืนยันว่า ถึงแม้เราจะเป็นทุนนิยมอย่างเต็มตัว แต่สิ่งที่แอมเวย์มอง เราไม่ได้มองแค่ National Resource หรือ Human Energy เท่านั้น แต่มองถึง TOOL ที่นำมาใช้ด้วย ทุกขั้นตอนมี Compassionate เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญยิ่งกว่า
    TOOL หรือแผนการตลาดที่เรานำมาใช้พิสูจน์ให้เห็นตลอดมาว่ามีความยุติธรรมในทุกขั้นตอน เช่นเดียวกับประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม เห็นได้จาก

    “แอลโอซี” สินค้าตัวแรกของเรา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอเนกประสงค์ที่ยืนยงมาถึงทุกวันนี้ ผลิตขึ้นมาโดยมีคุณสมบัติ ย่อยสลายตามธรรมชาติ ทั้งยังไม่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำลำคลอง หรือสิ่งแวดล้อมแอลโอซี ดำรงคุณสมบัตินี้มาร่วมๆ ห้าสิบปีเข้าให้แล้ว



    เช่นเดียวกับคำว่า Stake Holder หรือผู้ถือหุ้น ในมุมมองของเรา “ผู้ถือหุ้น” ไม่ได้มีเพียงตระกูลผู้ก่อตั้ง ผู้ถือหุ้น พนักงาน ซัพพลายเออร์ แต่หมายรวมไปถึงผู้คนทั้งหมดบนโลกใบนี้
    เมื่อคุณมี Compassionate ดำรงไว้กลางจิตใจ วันใดวันหนึ่งข้างหน้า สังคมจะมอบสิ่งนั้นตอบแทนกลับมาให้ตัวคุณเอง
    Last Updated on Monday, 11 October 2010 06:33
    AmnetG เมตตาทุนนิยม
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทุนนิยมล่มสลาย โลกยุคต่อไปจะหันมาใช้เศรษฐกิจพอเพียง...


    โดย : กัลยาณเกลอ วันที่ : 3 พ.ย. 51
    ตอน ๑

    หากสังเกตุ การล่มลงอย่างไม่เป็นท่าของคอมมิวนิสต์ และบัดนี้ เริ่มเห็นเค้าลางแห่งการล่มสลายของทุนนิยม หรือ ทุนนิยมเสรี ซึ่งเป็นค่ายสำคัญของโลกที่มีการออกแบบระบบต่าง ๆ ฝังรากมานานทั่วโลกโดยได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นกระบวนการ มีวิธีคิด มีค่านิยม ผ่านกระบวนการในระบบการศึกษาที่แต่ละประเทศที่หลงผิดส่งลูกหลานไปเรียน กัน...ฯลฯ แล้วคนพวกนี้ ก็กลับมาเป็นผู้บริหารในแผ่นดินแม่ของตนแล้วก็พากันเดินตามก้นเขาต่อ ไป...เหตุปัจจัยเหล่านี้ ครอบงำมานาน แต่ ณ บัดนี้ เค้าลางล่มสลายเริ่มมีให้เห็นว่า นั่นคือ ความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของระบบและระบอบ ...

    ตอน ๒

    แต่ขณะเดียวกันอีกแง่มุมหนึ่ง บุคคลที่ยิ่งใหญ่แต่ไร้คนมองหรือเห็นคุณค่า หากทว่ายิ่งใหญ่ในระดับโลก อย่างน้อย ๑ ท่าน ที่ขอยกตัวอย่างได้ปรากฏเกิดมานานแล้ว ซึ่งนั่นก็คือ ในหลวงของเรา พระองค์ท่าน ก็ทรงผ่านกระบวนการศึกษามาแบบเช่นที่โลกนิยมนั้นด้วย..แต่ปรากฏว่า แนวพระราชดำริ และแนวปฏิบัติของพระองค์ กลับมีบุคคลิกเป็นตัวของตัวเอง ต่างจากตำราในแนวทุนนิยม ฯลฯ โดยสิ้นเชิง และพระองค์ท่านได้พระราชทานแนวทางที่เหมาะสมกับสังคมไทยและยังสอดรับ - สอดคล้องกับแนวทางแห่งพระพุทธศาสนาได้อย่างน่าอัศจรรย์ กว่า ๔๐ ปีมาแล้ว แต่คนยังมองไม่เห็นค่าจนนำมาปฏิบัติมากนัก...หากทว่า จากนี้ไป อย่าว่าแต่ในประเทศไทยเลย แม้แต่ทั่วโลกก็เชื่อมั่นว่า...จะขานรับ ฯลฯ

    ตอน ๓

    เปรียบประหนึ่ง ครั้งพุทธกาลในท่ามกลางลัทธิต่าง ๆ มากมายพระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้ก็ศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ กว่า ๑๘ ศาสตร์ ยากกว่าใครจะเทียมเทียบ และในด้านการฝึกทางจิตพระองค์ก็ฝึกจนเกินกว่าที่มนุษชาติจะสามารถฝึก ได้...ดังพุทธประวัติที่เรียนรู้กันมา พระพุทธองค์ ก็ไม่ได้ติดข้องในเส้นทางที่ศึกษาผ่าน และพระองค์ก็พบเส้นทางด้วยพระองค์เองจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...อัน เป็นแนวทางที่สร้างทั้งประโยชน์ตน - ประโยชน์ท่าน ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นเวลามากว่า ๒๕๐๐ ปี ตัวอย่าง...คำสอนในเรื่อง สันโดษ เรื่องเดียวก็พอ ซึ่งเรื่องนี้ ก็สอดรับกับแนวเศรษฐกิจพอเพียง ที่ ใ นหลวงของประเทศไทยทรงพระราชทานมายาวนาน...แต่แน่นอน คนที่ไม่เข้าใจย่อมมีมากที่จะสามารถเข้าถึงความลึกซึ้งและการจะนำมาประยุกต์ ใช้ได้...เช่น มรว.คึกฤทธิ์ ก็ยังเข้าใจผิดในคำสอนเชิงนี้ ถึงขนาดกล่าวออกมาว่า... หากใคร หรือ วัดใด นำเรื่อง สันโดษ มาสอนจะทำให้บ้านเมืองเรือหายแน่ ๆ (เรือ = ฉิบ) ซึ่งแท้จริง เรื่องความสันโดษนี้ลึกซึ้งยิ่งนัก... และหากจะให้เข้าใจง่าย ๆ โดยภาษา ก็คือ ใจพอ...หรือใจที่รู้จักพอ นั่นเอง

    ตอน ๔

    ใจพอ = พอเพียง จะสอดรับกันได้อย่างชัดแท้ในความเข้าใจ และจะเข้ากันได้ ในทุกเทคโนโลยีที่โลกยุคนี้มีหรือพัฒนา...ไม่ว่า จะก้าวหน้าไปในระดับไหนในอนาคต ก็ไม่ขัดแย้งกันแต่จะขานรับได้ดี ที่สุด ขอเพียงเข้าใจ คำว่า พอเพียง หรือ ใจพอ ให้ถ่องแท้ ในการนำมาพัฒนาโลก ยกตัวอย่าง...เช่น ในด้านการพลังงาน.. ทรัพยากรของชาติ ทั้งบนอากาศ - อวกาศ - ชั้นบรรยากาศ เหนือแผ่นดิน - เเผ่นน้ำของไทย ทั้งทรัพยากรของชาติเสมอผืนแผ่นดิน ผืนน้ำ และทรัพยากรของชาติใต้แผ่นดินแผ่นน้ำทุกตารางนิ้วอันเป็นทรัพยากรของชาติไทย ย่อมเป็นทรัพย์สมบัติของคนไทยทุกคนที่พึงจะได้รับ... ประชาชนทุกคนย่อมได้รับผลประโชน์จากการใช้ทรัพยากรอย่างสมบูรณ์

    ตอน ๕

    หากคนใจพอ หรือ คนเข้าใจความพอเพียงจริงแท้...ได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน เขาก็จะทำเพื่อประชาชนคนไทยทุกคน แม้ระบบปัจจุบัน จะมีการนำเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ก็จะมีการวางมาตรการเพื่อให้เกิดการปันหุ้นให้กับคนไทยทุก ๆ คน คนไทยทุกคนต้องเป็นเจ้าของหุ้น.... แต่เพราะ คนที่เข้ามาบริหารที่ผ่านมาไม่ได้มีความพอเพียง ไม่มีความเป็นผู้ใจพอ...อยู่ในกมลสันดาน มาเป็นผู้นำ ฯ กระบวนการทางความคิด จึงไม่ได้คิดถึงประชาชนทั้งประเทศ แต่กระบวนการทางความคิดกลับพยายามเล่นแร่แปรธาตุเพื่อให้เป็นของตน หรือ หมู่คณะของตนตามทิฐิที่หลอมรับมาจากทุนนิยม จึงอาศัยระบบ-ระบอบตามกระแสทุนนิยมเสรี โดยผ่านกระบวนการรัฐสภา ฯ หาทางออกกฏหมาย เพื่อให้ทรัพยากรทั้งหมด ทั้งปวงนั้นตกมาเป็นของคนที่ถือหุ้นเท่านั้น แถมไม่ต้องให้มีการเสียภาษี... โดยที่เจ้าของประเทศที่แท้จริง อันคือประชาชนคนไทย ต้องนั่งทำตาปริบ ๆ ดูคนพวกนั้นคว้านซื้อหุ้นแล้วเอาไปขายหวังกอบโกยไม่มีหยุดหย่อน โดย ไม่เห็นประชาชนทั้งประเทศอยู่ในสายตา เช่น นำไปขายให้เทมาเส็ก...ทั้ง ไม่ยอมเสียภาษีใด ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาติแม้สตางค์เเดงเดียว... ก็ขอนำเสนอเพียงเท่านี้ก่อน...

    Prajan.com
     
  6. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ทางเดินของเศรษฐีที่พระพุทธองค์
    ทรงพระเมตตาชี้ทางไว้

    1.อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร
    ในกิจการหน้าที่ของตน
    2.อารักขสัมปทา รายได้ทรัพย์ที่ได้จากการประกอบอาชีพตน
    ก็ให้รู้จักจัดเก็บรักษาไว้ แบ่งกิน แบ่งทาน แบ่งเก็บ
    3.กัลยาณมิตร การรู้จักเลือกคบคนผู้เป็นบัณฑิต
    4.สมชีวิตา รู้จักจับจ่ายใช้สอยให้เหมาะสมแก่ฐานะตน

    นี่คือทางเดินของเศรษฐี หลวงตามหาบัวท่านบอกไว้
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    NWO Documentary...... " Fall Of The Republic "

    [FONT=&quot]สำหรับ ท่านใดที่ยังคับข้องใจเรื่องอนาคตของเงินดอลล่า ลองดูสารคดีชุดนี้ครับ แล้วจะรู้ว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเชียร์ ยังไงก็มาครับ เมื่อไหร่และอย่างไรเท่านั้นเอง.... [/FONT]
    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/WY96VRfY8es&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/WY96VRfY8es&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>




    The Gold War Phase II.<wbr>.<wbr>.<wbr>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<wbr>home.php?sk=group_17040824<wbr>6326805&ap=1

    โพสต์โดย What's going on in America

    Dec 25 2010, 2:04 PM
    Vince (guest): Merry Christmas &<wbr> Happy new year 2011

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 25 2010, 2:53 PM
    Guest6000 (guest): ราคาน้ำมันช่วงหลังปีใหม่ คุณJimmy คิดว่าจะมีโอกาสลดหรือเปล่<wbr>า?<wbr> ผมคิดว่างานนี้ขึ้นยาวเสีย<wbr>แล้ว.<wbr>.<wbr>.<wbr>(<wbr>ขอให้ผิดเถอะ)<wbr>

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 25 2010, 2:59 PM
    JimmySiri: ยินดีด้วย คุณถูกครับ สงสัยจะยาว เพราะธนาคารกลางทั่วโลกหยุ<wbr>ดซื้อพันธบัตรแบบฉับพลัน เผลอๆจะเทออกมาอีก ร่วมด้วยช่วยกันเทดอลล่ากั<wbr>นบานเลยตอนนี้ จะเป็นเทรนหลักของปี 2011 ครับ เพราะฉะนั้นน่าจะยาวไป เลยสะท้อนออกมาเป็นการพุ่ง<wbr>ขึ้นของดอกเบี้ยพันธบัตรใน<wbr>รอบที่ผ่านมา ทำ High Yield ในรอบ 20 ปี ไม่ธรรมดาครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 25 2010, 5:51 PM
    Guest628 (guest): อ.<wbr>ครับจีนประกาศขึ้นดอกเบี้ย<wbr>มีผลต่อทองมากแค่ไหนครับนา<wbr>นป่าวอิอิ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 26 2010, 1:24 AM
    JimmySiri: อย่าให้เป็นถึง อ.<wbr> เลยครับ ข้อมูลทุกอย่างเป็นที่เปิด<wbr>เผยและทุกคนมิสิทธิ์เข้าถึ<wbr>งได้หมด โดยเฉพาะเวลานี้ที่ทุกอย่า<wbr>งถูกเปิดออก เพราะรู้ไปก็ไม่มีใครทำอะไ<wbr>รพวกอีลิตเหล่านี้ได้แล้วน<wbr>อกจากการเตรียมความเพร้อมข<wbr>องตัวเอง

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 26 2010, 1:31 AM
    JimmySiri: เรื่องจีนในทางทฤษฏีและจิต<wbr>วิทยาใช่ครับ คือจะทำให้รู้สึกว่าสภาพคล<wbr>่องและเม็ดเงินในตลาดของจี<wbr>นจะตึงตัวขึ้น หรือจะพูดง่ายว่าเงินที่จะ<wbr>เข้ามาที่ทองคำน้อยลง หรือเงินที่อยู่ในทองคำจะถ<wbr>ูกดึงออกไป ซึ่งก็เป็นบางส่วนครับ ที่เค้าทำก็คงเป็นการสกัดเ<wbr>งินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นด้วย<wbr>วิธีการดูดการดูดสภาพคล่อง<wbr>หรือกระแสเงินกลับเข้าส่วน<wbr>กลาง ซึ่งเป็นเรื่องภายในครับ ซึ่งเงินเฟ้อตอนนี้เป็นปัญ<wbr>หาของรัฐบาลทั่วโลกครับ ที่ถูกหลอกใน G20 ให้กลับไปกระตุ้นเศรษฐกิจต<wbr>ัวเองด้วยการ "<wbr>อัดเงิน"<wbr> เข้าสู่ระบบ เพราะปัญหาที่แท้จริงไม่ได<wbr>้อยู่ตรงนั้น

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 26 2010, 1:37 AM
    JimmySiri: ปัจจัยที่ดันราคาทองคำจริง<wbr>ก็คงเป็นเรื่องใหญ่เช่น QE2,<wbr> EU,<wbr> ดอลล่า,<wbr> เศรษฐกิจสหรัฐ,<wbr> เงินเฟื้อ โดยเฉพาะสหรัฐมีหลายประเด็<wbr>นมาก เช่นตลาดพันธบัตร,<wbr> การผ่องถ่ายและการลดการถือ<wbr>ครองทรัพย์สินในสกุลดอลล่า<wbr>โดยรวมจากทั่วโลก ถ้าแบงค์ชาติเรายังทำก็คงเ<wbr>ป็นกระแสโลกไปแล้วครับ ตอนนี้สิจะมากจะน้อย จะช้าจะเร็ว แล้วแบงค์ชาติหรือธนาคารกล<wbr>างเหล่านี้ไปที่ไหน ก็ต้องทองคำครับเป็นอันดับ<wbr>ต้น เพราะ "<wbr>เงินสกุลหลัก"<wbr> มีปัญหาทุกตัว ทั้งหมดนี้เป็นภาพรวมคร่าว<wbr>ๆ นะครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 26 2010, 1:42 AM
    JimmySiri: โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารกลางนี<wbr>่แหละที่ "<wbr>เท"<wbr> ทองออกมาตลอดหลายสิบปี แต่ตอนนี้กลับต้องมาไล่เก็<wbr>บ ซึ่งซัพพลายมันไม่ได้มีมาก<wbr>ขนาดนั้นครับ มีแต่ทองกระดาษซึ่งตลาดกระ<wbr>ดาษก็ใกล้แตกเต็มที่เพราะข<wbr>ายล่วงหน้ากันอย่างน้อยก็ 7 เท่าของที่มีอยู่จริงพอถึง<wbr>เวลาส่งมอบก็ไม่มี ก็ต้องเคลียร์เป็นเงินสดบว<wbr>ก ส่วนต่างกันไป แต่ถ้าทำมากๆเข้า ทองคำจริงๆ ก็จะพุ่งไม่หยุดครับ เพราะมันหยุดไม่ได้แล้ว กลายเป็น Fear หรือความกลัวซ้อนความกลัว ก็จะยิ่งเร่งขึ้นอีก ซึ่งทั้งระบบมันผูกกันอยู่<wbr>หมดครับ ดอลล่า ทองคำ น้ำมัน สินแร่อื่นๆ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 26 2010, 1:53 AM
    JimmySiri: All Road Lead To Gold.<wbr>.<wbr>.<wbr>ก็คือถนนทุกสายกำลังมุ่งหน<wbr>้าไปที่ทองคำและแร่เงินครั<wbr>บ เพื่อป้องกันความเสี่ยง ไม่ใช่เรื่องการเก็งกำไร ซึ่งตลาดเก็งกำไรจริงๆแล้ว<wbr>เป็นสัดส่วนที่เล็กมากเมื่<wbr>อเปรียบเทียบกับการเข้าซื้<wbr>อเพื่อลดความเสี่ยงของกลุ่<wbr>มธนาคารกลาง คงต้องมองให้ลึกและกว้างคร<wbr>ับ เพราะในขณะที่เรามองเพียงแ<wbr>ค่ว่าทองถูกทองแพง ซื้อแล้วจะมีกำไรไม๊ จะซื้อจะขายเมื่อไหร่ มันทำให้กลายเป็นโลกอีกใบท<wbr>ี่ครอบเราไว้ครับ แล้วเราจะมองไม่เห็นว่าควา<wbr>มจริงมันคืออะไร แต่ถ้าอ่านภาพรวมทั้งหมดแล<wbr>้วก็คงจะตอบคำถามของคุณ 628 ได้ดีกว่านะครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Welcome!!

    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จีนลุยคุมเงินเฟ้อ-ฟองสบู่ฉลองคริสต์มาส ขึ้นดบ.เงินฝากเงินกู้ ดบ.ซื้อบ้าน
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 ธันวาคม 2553 16:26 น.
    [​IMG]
    ชาวจีนเดินผ่านธนาคารประชาชนจีน ซึ่งเป็นธนาคารกลาง ขณะนี้จีนกำลังลุยระดมเครื่องมือการเงินเพื่อปราบอัตราเงินเฟ้อ ที่ขณะนี้สูงกระฉูด ถึง 5.1 เปอร์เซนต์ และป้องกันฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัญญาณร้อนขึ้นอีก แบงค์ชาติจีนได้ปรับเพิ่มอัตราเงินสดสำรองธนาคารผู้ปล่อยกู้ รวม 6 ครั้งในปีนี้ และปรับเพิ่มดอกเบี้ย 2 ครั้งในสองเดือนมานี้ (ภาพเอเอฟพี)

    รอยเตอร์-ธนาคาร กลางจีนประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สอง เพื่อปราบเงินเฟ้อครั้งประวัติการณ์ ตามติดด้วยประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านป้องกันฟองสบู่แตก นายกฯเวิน จยาเป่า แถลงสำทับรัฐบาลจะสามารถคุมเงินเฟ้อ และกระแสเก็งกำไรในตลาดอสังหาฯอยู่หมัด

    ธนาคารประชาชนจีน หรือ ธนาคารกลาง ประกาศแถลงผ่านเว็บไซต์ขององค์กรในวันเสาร์(25 ธ.ค.) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานสำหรับสินเชื่อทั่วไป อีก 25 จุด มาอยู่ที่ 5.81 เปอร์เซนต์ และปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานเงินฝาก อีก 25 จุด มาอยู่ที่ 2.75 เปอร์เซนต์ โดยมีผลบังคับใช้ในวันอาทิตย์(26 ธ.ค.) นับเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่สองในรอบสองเดือนนี้

    การเคลื่อนไหวคุมเข้มภาคการเงินดังกล่าวนี้ เป็นไปตามกระแสคาดการณ์เมื่อต้นเดือน(ธ.ค.)หลังจากที่ผู้นำจีนกำหนดให้การ ควบคุมภาวะเงินเฟ้อ เป็นภารกิจหมายเลขหนึ่งในปีหน้า (2554) พร้อมปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินมาเป็นแบบ “ระมัดระวังรอบคอบ” และในวันศุกร์(24 ธ.ค.) ธนาคารกลางก็ยังได้ย้ำอีกว่าจะระดมเครื่องมือทางการเงินเพื่อลดแรงกดดัน เงินเฟ้อและฟองสบู่ในภาคสินทรัพย์

    ในเดือนนี้สำนักข่าวรอย เตอร์สำรวจความคิดเห็นของกลุ่มนักวิเคราะห์ ต่างเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าจีนจะขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง ครั้งละ 25 จุด ภายในสิ้นปีหน้า

    ขณะนี้จีนกำลังเผชิญแรงกดดันราคาอย่างหนักหน่วง และได้เพิ่มอัตราเงินสดสำรองของธนาคารผู้ปล่อยกู้ เพื่อลดสภาพคล่องหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดในวันที่ 19 พ.ย.รวมการปรับเพิ่มอัตราเงินสดสำรองธนาคาร 6 ครั้งในปีนี้ และในวันที่ 19 ต.ค.ธนาคารกลางยังต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบสามปี แต่เงินเฟ้อจีนก็ยังหัวแข็งทนทายาด โดยรายงานตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือนพ.ย.ระบุอัตราเงินเฟ้อจีน พุ่งกระฉูดทำสถิติในรอบกว่าสองปี ที่ระดับ 5.1 เปอร์เซนต์

    พร้อมกันนี้ จีนยังต้องเพลาความร้อนแรงในภาคอังหาริมทรัพย์เพื่อขจัดฟองสบู่ โดยได้เริ่มมาตรการคุมเข้มตลาดอสังหาฯในปลายปีที่แล้ว แม้เมื่อไม่นานมานี้ราคาบ้านชะลอตัวลงบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงเกินเอื้อมกำลังทรัพย์ของกลุ่มชนชั้นกลางในหลายๆ เมือง นอกจากนี้การทำธุรกรรมในภาคอสังหาฯและราคาที่ดินซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่ง ให้ราคาบ้านสูง ยังส่งสัญญาณดีดตัวขึ้นในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

    ในวันอาทิตย์(26 ธ.ค.) กระทรวงพัฒนาเมืองและชนบท และที่อยู่อาศัย ก็ประกาศเพิ่มดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน อีก 25 จุด นับเป็นการปรับเพิ่มครั้งสองที่ในปีนี้ โดยอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยระยะยาวกว่า 5 ปี จะอยู่ที่ 4.30 เปอร์เซนต์ และสินเชื่อฯระยะเวลา 5 ปี หรือสั้นกว่า จะอยู่ที่ 3.75 เปอร์เซนต์

    หลังจากประกาศมาตรการเพิ่มดอกเบี้ย นายกรัฐมนตรี เวิน จยาเป่าก็แถลงผ่านวิทยุจีนในวันอาทิตย์(26 ธ.ค.) แสดงความเชื่อมั่นรัฐบาลจะสามารถควบคุมภาวะเงินเฟ้อและราคาอสังหาฯ รวมทั้งหยุดกระแสเก็งกำไรในตลาด

    “เราได้เพิ่มอัตราเงินสดสำรองธนาคารมาแล้ว 6 ครั้ง และขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง เพื่อดูดซับสภาพคล่องที่ล้นเกินในตลาด และปรับเข้าสู่ระดับที่สมเหตุผล เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ”.

    China - Manager Online -
     
  9. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2010
  10. Poohrich Assawanuwat

    Poohrich Assawanuwat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +341
    อย่าไปว่าใครเขาเลย ไม่ต้องไปวิจารณ์เขา ไม่ต้องไปสงสารเขา สงสารตัวเองให้มาก ๆ เข้าไว้ดีกว่า แล้วเตรียมรอ
    ปีหน้านี่แหละ ยิ่งกว่าต้มยำกุ้งเลย
    เชื่อมะ
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การเชื่ออะไรง่ายๆ หรือศรัทธาใครขึ้นมาก็เชื่อเขาง่ายๆ ไม่ใช่วิสัยของบัณฑิต
    และบัณฑิตผู้รู้จริงย่อมไม่ปรารถนาให้คนอื่นมาเชื่อคำพูดของตนแบบงมงาย
    ดังนั้น จึงต้องหมั่นเพียรค้นคว้าข้อมูลเพื่อเป็นวัตถุดิบในการพิจารณา ใช้ตำราให้เป็น ใช้ข้อมูลไห้เป็น
    ถ้ายังไม่มีญาณหยั่งรู้เรื่องราวต่างๆได้เอง ไม่มีญาณทัศนะที่รู้ชัดรู้แจ้ง ก็ต้องอาศัย
    การค้นคว้าจากบัณฑิตผู้รู้จริง ข่าวสารจากหลายๆแหล่ง เปิดใจดูความจริงของโลกถึงแม้
    มันเหลือเชื่อหรือเป็นไปไม่ได้ในความคิดของเรา การอ่านและค้นคว้าอย่างมีเหตุผล
    จะสร้างความเข้าใจเบื้องต้น ความรู้ความเข้าใจจะเกิดจากวิจารณญาณของตนเอง
    เมื่อเข้าใจเรื่องราวได้ถูกต้องตามจริง การตัดสินใจจะแม่นยำกว่าการเลือกที่เชื่อหรือไม่เชื่อ
    อย่างงมงาย เมื่อไม่เลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อแบบงมงาย ปัญญารู้จะเกิดกับเราได้เอง ผ่าน
    ประสบการณ์ที่เราฝึกตัวเองผ่านการอ่านคิดวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆด้วยตนเอง

    จะมีผลดีต่อตัวเองคือ รู้ทันตนเอง รู้ทันโลก รู้ทันคนอื่น ไม่ตกเป็นเหยื่อหรือเป็นเครื่องมือของคนอื่นได้ง่ายๆ
    เพราะมีปัญญาเป็นของตนเอง ค่อยๆเจริญสติปัญญาของตนเองไปตามวาระ ตามความจริงที่รู้แจ้งแก่ใจตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2010
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    'แอสซานจ์'จะเขียนประวัติตัวเอง วิกิฯแฉสนง.ยาเสพติดUS'สปาย'โลก
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>26 ธันวาคม 2553 20:18 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    จูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ (แฟ้มภาพ)

    เอเอฟพี - จูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ เซ็นสัญญาเขียนหนังสืออัตชีวประวัติให้กับสำนักพิมพ์ของสหรัฐฯ และอังกฤษ รับเงินเหนาะๆ กว่าล้านดอลลาร์ โดยแอสซานจ์ระบุว่าจะนำไปใช้ต่อสู้คดีความของเขาและหล่อเลี้ยงวิกิลีกส์ต่อไป ขณะที่เว็บไซต์จอมปูดก็ยังคงทำหน้าที่แฉอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดระบุว่า สำนักงานปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ อีกด้านหนึ่งนั้นกระทำหน้าที่เป็นหน่วยสืบราชการลับที่มีขอบเขตกว้างขวางกว่าเรื่องยาเสพติดเป็นอย่างมาก

    แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์จอมแฉบันลือโลก ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทมส์ของอังกฤษฉบับวันอาทิตย์ที่ 26 ระบุว่า เขาได้เซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์ 2 แห่งเพื่อที่จะเขียนหนังสืออัตชีวประวัติ นั่นก็คือชีวประวัติของตัวเขาเอง ด้วยมูลค่าสัญญารวมมากกว่า 1 ล้านปอนด์ (1.5 ล้านดอลลาร์) ทั้งนี้แอสซานจ์บอกว่า เงินจำนวนดังกล่าวจะนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการต่อสู้ทางคดีความของตัวเขาซึ่งถูกตั้งข้อหาล่วงละเมิดทางเพศหญิงสาวชาวสวีเดน 2 คน

    แอสซานจ์ ชาวออสเตรเลีย ระบุว่า สำนักพิมพ์ 2 แห่งที่เขาทำสัญญาไว้แล้ว ได้แก่ สำนักพิมพ์อัลเฟรด เอ. นอปส์ของสหรัฐฯ และสำนักพิมพ์แคนอนเกต ของอังกฤษ โดยสัญญาทั้งสองฉบับมีมูลค่า 800,000 ดอลลาร์ และ 325,000 ปอนด์ (500,000 ดอลลาร์) ตามลำดับ

    “ผมไม่ได้ต้องการจะเขียนหนังสือเล่มนี้ แต่ผมจำเป็นต้องทำ” แอสซานจ์ กล่าว “ผมหมดไป 200,000 ปอนด์แล้วกับค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย และผมก็ยังต้องการต่อสู้คดีความและต้องการให้วิกิลีกส์ดำเนินการได้ต่อไป”

    ทั้งนี้นับตั้งแต่ที่วิกิลีกส์ของแอสซานจ์ตีแผ่เอกสารลับทางการทูตของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เป็นต้นมา เว็บไซต์แห่งนี้ก็ต้องประสบกับปัญหาทางการเงินอย่างหนักขึ้นเรื่อยๆ สืบเนื่องจากบริษัทบัตรเครดิตยักษ์ใหญ่ของโลกทั้ง “วีซ่า” และ “มาสเตอร์การ์ด” รวมทั้ง “เพย์พอล” บริษัทผู้ให้บริการด้านธุรกรรมทางการเงินด้วยระบบออนไลน์ ต่างพากันระงับช่องทางที่จะให้ผู้สนับสนุนบริจาคเงินผ่านไปให้แก่วิกิลีกส์ได้ นอกจากนี้แบงก์ ออฟ อเมริกา ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ก็ได้ระงับช่องทางการทำธุรกรรมทุกอย่างกับเว็บไซต์ดังกล่าวอีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม แม้วิกิลีกส์จะถูกตัดท่อน้ำเลี้ยงและถูกระงับโดเมนบนเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐฯ ทว่าเว็บจอมแฉแห่งนี้ก็ยังคงเดินหน้าเปิดโปงข้อมูลลับทางการทูตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ของแดนลุงแซมรายงานในฉบับวันเสาร์ (25) โดยอ้างข้อมูลที่ได้รับจากวิกิลีกส์ ระบุว่า สำนักงานปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติของสหรัฐฯ (US Drug Enforcement Administration หรือ DEA) ได้กระทำหน้าที่นอกเหนือไปจากขอบเขตการปราบปรามการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ จนกระทั่งพวกนักการเมืองต่างประเทศพยายามติดต่อเพื่อให้เป็นเครื่องมือสืบเสาะข้อมูลของคู่แข่งทางการเมืองตน นอกจากนี้ตัวสำนักงานเองก็คอยรายงานข้อมูลเกี่ยวกับนักการเมืองท้องถิ่นให้แก่นักการทูตอเมริกันประจำประเทศนั้นๆ ด้วย

    ในเอกสารลับฉบับหนึ่งระบุเดือนสิงหาคมปี 2009รายงานว่า ประธานาธิบดีริคาร์โด มาร์ติเนลลี ของปานามา ได้ส่งข้อความด่วนผ่านทางโทรศัพท์มือถือแบล็กเบอร์รีไปยังสถานทูตสหรัฐฯ เพื่อขอให้สำนักงานดีอีเอ ติดตามความเคลื่อนไหวของพวกนักการเมืองฝ่ายศัตรูของเขา

    ขณะที่บันทึกลับอีกฉบับหนึ่งระบุเดือนพฤษภาคม ปี 2008 จากสถานทูตอเมริกาในกินี รายงานว่า เจ้าพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่สุดของประเทศกินีก็คือ อูสมัน คอนเต ซึ่งเป็นบุตรชายของลานซานา คอนเต ประธานาธิบดีในขณะนั้น และฉบับต่อมาระบุเดือนมีนาคมปีเดียวกัน รายงานว่า บรรดานักการทูตพบว่าก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกินีจะทำลายของกลางซึ่งเป็นยาเสพติดที่ยึดมาได้นั้น ปรากฏว่ายาเสพติดเหล่านั้นได้ถูกสับเปลี่ยนเป็นแป้งก่อนแล้ว

    ส่วนเอกสารลับอีกฉบับระบุเดือนตุลาคม ปี 2009 จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงเม็กซิโกซิตี รายงานว่า บรรดานายทหารชั้นสูงของเม็กซิโกเคยร้องขอที่จะกระชับความร่วมมือกับสำนักงานดีอีเอของสหรัฐฯ ให้มากขึ้น ทั้งนี้เพราะพวกเขาไม่ไว้วางใจตำรวจของตน

    นิวยอร์กไทมส์ยังรายงานโดยอ้างบันทึกลับอีกฉบับระบุเดือนมีนาคมปี 2009 บอกว่า ที่เซียร์ราลีโอน อัยการสูงสุดของประเทศได้เรียกร้องเงินสินบนจำนวน 2.5 ล้านดอลลาร์จากจำเลยหลายคนในคดีค้าโคเคนครั้งใหญ่ด้วย

    นอกจากนี้ยังมีเอกสารลับอีกหลายฉบับเกี่ยวกับพม่า ระบุว่า ดีไอเอ ได้แจ้งในรายงานถึงรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับวิธีการที่คณะปกครองทหารของพม่าเสริมสร้างความมั่นคั่งให้แก่ตนเองและพวกพ้องด้วยการค้ายาเสพติด ตลอดจนกิจกรรมทางการเมืองต่างๆ ของบรรดาพรรคการเมืองคู่แข่งของคณะทหารด้วย

    Around the World - Manager Online - '
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รัสเซียประท้วงใหญ่ต้านเหยียดเชื้อชาติ

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 27 ธันวาคม 2553 04:57

    [​IMG]

    ชาวรัสเซียหลายพันคน เดินขบวนกลางกรุงมอสโก ประท้วงกระแสเหยียดเชื้อชาติ ที่จุดชนวนให้เกิดความรุนแรงขึ้นกลางเมืองหลวงของประเทศ
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ระหว่างการเดินขบวนวานนี้ (26 ธ.ค.)กลุ่มผู้ประท้วงพากันตะโกนว่า "รัสเซียเปิดกว้างสำหรับทุกคน" พร้อมถือป้ายเขียนข้อความว่า "รัสเซียไม่นิยมเผด็จการ รัสเซียไม่นิยมนาซี"
    สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า มีผู้เข้าร่วมการเดินขบวนครั้งนี้ประมาณ 2,500 คน โดยมีนายวลาดิมีร์ ริซคอฟ ผู้นำฝ่ายค้าน และนางนิกิตา เบลิคห์ ผู้ว่าการแคว้นลิคอฟ ซึ่งนิยมประชาธิปไตย เข้าร่วมในการแสดงพลังครั้งใหญ่ของชาวรัสเซียในรอบหลายเดือนครั้งนี้ด้วย
    ขณะหนังสือพิมพ์อาร์บีซี เดลี่ รายงานผ่านทางเว็บไซต์ อ้างนายวิคเตอร์ เชนเดอโรวิค คอลัมนิสต์ และนักจัดการรายการวิทยุยอดนิยมขณะกล่าวปราศรัยต่อกลุ่มผู้ชุมนุมว่า สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในกรุงมอสโก มาจากความเน่าเปื่อยที่สะสมอยู่ในสังคมของรัสเซีย และตอนนี้ก็ได้ผงาดขึ้นมา
    ทั้งนี้ เหตุการณ์ยิงแฟนฟุตบอลรัสเซีย ที่คาดว่าเป็นฝีมือของผู้ต้องสงสัยชาวมุสลิม จุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งด้านเชื้อชาติขึ้นในเมืองหลวงของรัสเซีย โดยกลุ่มชาตินิยมรัสเซียสุดขั้ว จัดการชุมนุมครั้งใหญ่ขึ้นหลายครั้งทั่วกรุงมอสโก
    ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจเผยว่า มีความเป็นไปได้ที่การเหยียดเชื้อชาติ จะเป็นสาเหตุของการหาตกรรมชนกลุ่มน้อยจากเอเชียกลาง และชาวมุสลิมจากทางตอนใต้ของประเทศที่เกิดขึ้นหลายครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึงคดีเด็กชายวัยเพียงแค่ 14 ปี ถูกจับกุมในฐานะเป็นผู้ต้องสงสัยสังหารพลเมืองของคีร์กีซสถาน ซึ่งเป็นอดีตดินแดนของสหภาพโซเวียต โดยมีมูลเหตุจากการเหยียดเชื้อชาติ

     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปฏิรูปการศึกษา ควรเริ่มต้นที่การอ่าน

    โดย : ดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร cwait@truemail.co.th
    วันที่ 23 ธันวาคม 2553 12:55

    ศักยภาพของบุคคลที่จะสามารถปรับปรุงได้หรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถในการอ่านในเชิงคิดวิเคราะห์หนังสือหรือบทความที่อ่านเป็นสำคัญ

    การอ่านเป็นเรื่องของทักษะมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของการอ่านมากอ่านน้อย ตามที่ปรากฏบ่อยๆในหลายๆสื่อว่ามีผลการสำรวจคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยวันละไม่กี่บรรทัด ทำให้เกิดการเปรียบเทียบว่าประเทศที่เจริญแล้วหรือประเทศที่กล่าวว่าเป็นคู่แข่งของเรา ว่าประชาชนของเขาได้เข้าถึงสื่อและมีการอ่านกันอย่างแพร่หลายมากกว่าคนไทยหลายเท่าตัว เช่นนี้เป็นบทสรุปที่ค่อนข้างผิวเผินอย่างมาก

    จริงๆแล้ว ความสามารถในการอ่านหรือที่เรียกว่าทักษะในการอ่าน (Reading Skills) น่าจะเป็นสาระสำคัญมากกว่าจำนวนบรรทัดหรือจำนวนหน้าหนังสือที่อ่าน จำนวนเล่มหนังสือที่อ่าน หรือระยะเวลาที่ใช้อ่าน
    ทักษะในการอ่านเริ่มต้นจากระดับแรกสุดคือ อ่านออก (Reading Words) ซึ่งเป็นการอ่านในขั้นเริ่มต้นของการเรียนรู้ภาษาอย่างเป็นทางการ นั่นคือสิ่งที่เด็กๆได้รับการเรียนภาษาในขั้นปฐมวัยที่เรียกว่าอ่านออกเขียนได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีคนไทยที่เรียกว่าอ่านออกเขียนได้ (Literacy Rate) สูงกว่าร้อยละเก้าสิบ ตามที่ปรากฏในเอกสารขององค์การสหประชาชาติ ฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ ประเทศไทยจัดว่าอยู่ในระดับสูงประเทศหนึ่งในโลก

    ระดับต่อมาที่สูงขึ้นในเรื่องของการอ่านก็คืออ่านอย่างมีความเข้าใจ หรือที่เรียกว่า อ่านเอาเรื่อง (Reading Comprehension) ระดับนี้สำหรับเด็กนักเรียนในโรงเรียนจะต้องมีความสามารถที่จะอ่านได้สูงขึ้นถึงขนาดที่จะขยายเป็นเรียงความ หรือเข้าใจในประเด็นที่เป็นสาระสำคัญคือสามารถย่อความได้ การอ่านเอาเรื่องถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้ผู้อ่านที่สนใจในเรื่องใดเป็นพิเศษจะติดตามอ่านสิ่งที่ตนเองสนใจต่อไป

    ระดับที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่งคือการ อ่านเรื่องราวที่ซับซ้อน (Reading Complex Literature) ความสามารถของผู้อ่านในระดับนี้จะสูงถึงขนาดที่ทำให้สามารถวิเคราะห์ถึงเรื่องราวที่อ่านได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล ความซับซ้อนเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการแบ่งระดับของผู้อ่านได้ชัดเจนขึ้น ผู้ที่ศึกษาวิชาการในแขนงต่างๆจะต้องอ่านอย่างมีสมาธิ และสามารถทำความเข้าใจความซับซ้อนของเนื้อหา สามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นที่ไม่สามารถเข้าใจความซับซ้อนเช่นว่านั้นได้ และแน่นอนว่าจำนวนคนที่มีศักยภาพเช่นว่านี้จะมีไม่มากนัก

    ระดับความสามารถในการอ่านที่สูงสุดคือการ อ่านหนังสือที่เป็นความก้าวหน้าในทางวิชาการ (Reading Sophisticated Nonfiction) นั่นก็คือความสามารถในการอ่านเรื่องที่ซับซ้อนและเป็นเรื่องจริงที่มิใช่นิยาย ความสามารถในการอ่านระดับนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นด้านวิทยาศาสตร์อย่างเดียวเท่านั้น แต่อาจเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา หรือศาสตร์อื่นใดก็เป็นได้ สิ่งที่สำคัญก็คือเป็นความสามารถในระดับสูงที่จะมีผลต่อการประดิษฐ์คิดค้นและสืบสานเรื่องราวเพื่อการพัฒนาในมิติต่างๆได้ แน่นอนที่สุดว่าบุคคลที่มีความสามารถในการอ่านเช่นว่านี้ยิ่งจะมีน้อยมากในแต่ละสังคม แต่ก็เป็นสิ่งที่รัฐจะต้องหาทางสนับสนุนสามารถยกระดับให้มีประชาชนรักการอ่านและเสริมสร้างทักษะการอ่านในระดับนี้ให้สูงยิ่งๆขึ้นไปให้ได้

    การอ่าน และทักษะการอ่านถือเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐจะต้องให้ความสนใจมากกว่าการเพิ่มจำนวนประชากรอ่านออกเขียนได้ให้มากขึ้นเท่านั้น รัฐจะต้องมีเป้าหมายให้สูงกว่านี้ ถ้ารัฐเพียงแต่จะตั้งเป้าให้ประชาชนคนไทยสามารถอ่านออกเขียนได้มากขึ้นเท่านั้น ก็เท่ากับช่วยให้คนไทยอ่านออกแต่ไม่ได้ช่วยพัฒนาประเทศได้ เป้าหมายของรัฐจะต้องสูงกว่านั้น รัฐจะต้องตั้งเป้าหมายให้ประชาชนคนไทยเพิ่มจำนวนคนอ่านหนังสือที่อ่านอย่างมีความเข้าใจ (Reading Comprehension) อ่านเรื่องราวที่ซับซ้อน (Reading Complex Literature) และเป้าหมายสูงสุดคือเพิ่มจำนวนประชากรที่มีความสามารถในการอ่านในสิ่งที่เป็นความก้าวหน้าในทางวิชาการ (Reading Sophisticated Nonfiction) ให้เพิ่มมากขึ้นมากเท่าที่จะมากได้ด้วย

     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มองปัจจัยพื้นฐานและความหมายท้าทายทางเศรษฐกิจในอนาคต

    โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
    วันที่ 27 ธันวาคม 2553 03:00

    ในช่วงปลายปีเก่าถึงต้นปีใหม่ก็จะมีการเขียนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในปีใหม่ แต่ผมขอนำเสนอทางเลือกใหม่ในการมองอนาคตโดยพูดถึงปัจจัยพื้นฐาน
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>และแก่นสารของความท้าทายทางเศรษฐกิจของประเทศสำคัญๆ รวมทั้งไทยที่สรุปได้ดังนี้

    1. สหรัฐอเมริกา

    ประธานาธิบดีโอบามาได้ลงนามผ่านกฎหมายลดภาษี 858,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้นักวิเคราะห์ต่างปรับการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2011 ขึ้นไปที่ 3% แต่ความสำคัญอยู่ที่การเดิมพันว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวได้ดีและฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ในปี 2013 หรือไม่ หากในช่วงนั้นพบว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 4-5% ต่อปีก็น่าจะทำให้ประธานาธิบดีโอบามาชนะการเลือกตั้งทั่วไปได้เป็นประธานาธิบดีอีกหนึ่งสมัย (4 ปี) และกล้าที่จะปรับขึ้นภาษีคนรวย พร้อมกับปรับลดรายจ่ายและเพิ่มรายรับด้านอื่นๆ ช่วยให้การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐปรับลดลงต่อเนื่อง และเกิดความมั่นใจว่าสหรัฐมีวินัยทางการคลัง ดังนั้นแม้ว่านายเบอร์นันเก้จะต้องปรับดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นตามความรุ่งเรืองของเศรษฐกิจและเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แต่ดอกเบี้ยระยะยาว (ซึ่งขึ้นอยู่กับวินัยทางการคลังด้วย) ก็จะไม่สูงมาก ตอกย้ำว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีเสถียรภาพและความมั่นคงตามไปด้วย

    แต่หากการลดภาษีครั้งนี้เป็นการเดิมพันที่ผิดพลาด สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือในปีหน้าการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐจะสูงถึง 10% ของจีดีพีติดต่อกันเป็นปีที่ 3 (ปี 2009 และ 2010 ก็ขาดดุลงบประมาณปีละ 10% ของจีดีพี) ดังนั้นหากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวในปี 2012 กล่าวคือนักเศรษฐศาสตร์มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเพียง 2-3% ในปี 2012 และปีต่อๆ ไป เนื่องจากมาตรการลดภาษี 858,000 ล้านดอลลาร์นั้นส่วนใหญ่เป็นการกระตุ้นการบริโภคในปัจจุบัน แต่มิได้กระตุ้นการลงทุนการจ้างงานและการสร้างความสามารถในการแข่งขันในอนาคต สิ่งที่จะตามมาคือการขาดดุลงบประมาณสูงมากต่อไปอีกเรื่อยๆ ในปี 2013 และปีต่อๆ ไปเพราะเป็นช่วงที่ค่าใช้จ่ายจากนโยบายประชานิยมต่างๆ (โดยเฉพาะการประกันสังคมและด้านสาธารณสุข) จะพอกพูนขึ้นอย่างมากจากข้อผูกพันเดิมตลอดจนการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุ ในขณะที่ผู้สูงอายุโดยรวมก็มีอายุยืนยาวขึ้น ในสภาวการณ์ดังกล่าว หากนักลงทุนมองว่ารัฐบาลสหรัฐจะต้องขาดดุลงบประมาณที่ 7-8% ต่อจีดีพีในอนาคตก็จะเกิดความระส่ำระสายอย่างมาก เพราะการขาดดุลในระดับสูง (หลังจากที่หนี้สาธารณะสูงเกิน 100% ของจีดีพีแล้ว) จะทำให้เกิดภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับกรีกในปี 2010 จึงอาจเกิดขึ้นกับสหรัฐในปี 2013 ก็ได้

    2. สหภาพยุโรป

    แก่นสารของปัญหาของยุโรปคือ การเมืองในประเทศ (โดยเฉพาะประเทศเยอรมนี) จะยอมให้นำภาษีประชาชนในประเทศของตนไปกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศยุโรปอื่นที่มีปัญหา เพียงพอที่จะรักษาความเป็นปึกแผ่นของยุโรปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิทักษ์รักษาเงินยูโรหรือไม่ เท่าที่เห็นในปัจจุบันก็ต้องบอกว่าตลาดยังขาดความมั่นใจอย่างมาก เพราะการตั้งกลไกเพื่อกอบกู้ประเทศที่มีปัญหาเพื่อพิทักษ์รักษาเงินยูโรนั้นทำอย่างครึ่งๆ กลางๆ และผู้นำหลักของยุโรปยังขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด เช่น เห็นชอบการจัดตั้งกลไกถาวรเพื่อจัดการกับวิกฤติในอนาคตที่จะต้องมาถึงแน่ๆ เพราะการยืดหนี้กรีกและไอร์แลนด์ถึงปี 2013 นั้นเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่กลไกถาวร (เรียกว่า European Stability Mechanism) นั้นมีแต่หลักการยังไม่มีรายละเอียด นอกจากนั้นข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเช่นการเพิ่มเงินในกองทุนฉุกเฉิน การให้ใช้เงินฉุกเฉินอย่างยืดหยุ่นและทันท่วงที และการให้ออกพันธบัตรสหภาพยุโรปมาทดแทนพันธบัตรรายประเทศ ก็ถูกคัดค้านจนต้องพับแผนไปก่อนหน้า ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าประเทศที่ได้รับการยืดหนี้ก็อาจมีปัญหาต้องพักชำระหนี้ไปก่อนที่ ESM จะออกมา ในขณะที่ปัญหาอาจจะลามไปสู่ประเทศโปรตุเกสและสเปน ทำให้เงินยูโรอาจอ่อนค่าลงอีกเมื่อเปรียบเทียบกับเงินดอลลาร์

    3. ญี่ปุ่น

    ญี่ปุ่นเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยและความนิยมของรัฐบาลปัจจุบันก็เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาเงินฝืดทำได้ด้วยความยากลำบาก การเสนอให้ลดภาษีนิติบุคคลเป็นเรื่องที่น่าจะเป็นประโยชน์ แต่การเพิ่มหนี้สาธารณะจากการขาดดุลที่เพิ่มขึ้นทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่แจ่มใสเลย เพราะหนี้สาธารณะสูงถึง 200% ของจีดีพีแล้ว ในขณะที่ประชาชนก็แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว (เพราะญี่ปุ่นไม่ยอมให้ชาวต่างชาติที่มีอายุน้อยพร้อมทำงานและเสียภาษีเข้ามาตั้งรกรากในประเทศ เช่น สหรัฐที่เปิดรับแรงงานต่างชาติมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ) ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นนับวันจะมีบทบาทลดลง เว้นแต่บริษัทข้ามชาติของญี่ปุ่นที่จะต้องลงทุนนอกประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นสภาวะที่ เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวเพียง 1-2% และภาวะเงินฝืดจึงอาจเป็นปัญหาเรื้อรังต่อไป

    4. จีน

    ประเทศจีนเผชิญปัญหาว่า จีดีพีขยายตัวดีน่าพอใจ (8-9% ต่อปี) แต่ยังคุมปัญหาเงินเฟ้อไม่ได้ ซึ่งคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อน่าจะคุมอยู่ภายในกลางปีหน้า ทำให้เงินเฟ้อในเดือน พ.ย. ที่ 5% นั้นใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้วและจะค่อยๆ ลดลงในครึ่งหลังของปีหน้า ทำให้เงินเฟ้อทั้งปี 2011 อยู่ที่ประมาณ 4.5% แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น (และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจนคุมไม่อยู่) ก็คงเกิดจากการขยายตัวมากเกินไปของสินเชื่อ ทำให้ทางการต้องออกมาตรการที่เข้มข้นขึ้นไปอีกเพื่อจำกัดการขยายตัวของสินเชื่อ รวมทั้งการควบคุมราคาสินค้าจำเป็น ซึ่งจะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนอย่างมาก จึงเห็นภาพที่เศรษฐกิจจีนขยายตัวสูงที่สุดในโลกแต่ราคาหุ้นไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้เลย

    ในระยะสั้นนั้นรัฐบาลจีนให้ความสำคัญสูงสุดกับการควบคุมค่าครองชีพและราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อมิให้ประชาชนเดือดร้อน แต่ในระยะกลางและระยะยาว จีนเร่งการลงทุน สร้างโรงงาน พัฒนาเทคโนโลยี และแสวงหาทรัพยากร เพื่อเตรียมพร้อมกับสภาวะที่ประเทศจีนจะขาดแคลนแรงงานใน 10-20 ปีข้างหน้า กล่าวคือประชาชนจีนจะต้องมีผลิตภาพ (productivity) ต่อหัวสูงจากการลงทุนสร้างโรงงาน (ให้มีงานทำ) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในเทคโนโลยี การลงทุนในการศึกษา ฯลฯ เพื่อส่งต่อความมั่งคั่งจากปัจจุบันไปสู่ลูกหลานที่มีจำนวนลดลงในอนาคต

    5. ประเทศไทย

    การเข้าสู่การเลือกตั้งทำให้ต้องมุ่งเน้นการรักษาอำนาจทางการเมืองโดยการนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจประชานิยม (จะเรียกอย่างอื่นก็ยังเป็นประชานิยมอยู่ดี) คือการกระจายผลประโยชน์เฉพาะหน้าให้กับคนส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การตรึงราคาน้ำมันดีเซลนั้นเคยมีประสบการณ์ในอดีตมาแล้วว่าทำให้ภาครัฐใช้เงินหลายหมื่นล้านบาทหากราคาตลาดโลกสูงขึ้นอย่าต่อเนื่องก็จะทานเอาไว้ไม่อยู่เพียงแต่ช่วยให้ประชาชนใช้น้ำมันราคาถูกเกินจริงไปพักหนึ่ง แทนที่จะนำเงินดังกล่าวไปลงทุนให้เกิดผลประโยชน์ระยะยาว กล่าวคือมาตรการต่างๆ ที่ถูกนำเสนอ (ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน) จะทำให้เกิดความพอใจในชั่วขณะแต่จะไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยในอนาคตขยายตัวเร็วขึ้นหรือมีความมั่นคงขึ้น ทำให้เงินที่ใช้จ่ายออกไปจะเป็นภาระในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลขาดดุลงบประมาณเท่ากับ 3-4% ของจีดีพีและพบว่าจะไม่สามารถลดการขาดดุลดังกล่าวได้หากไม่ปรับขึ้นภาษี (จึงมีการนำเสนอขอขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นระยะๆ)

    นโยบายประชานิยมนั้นหากรัฐบาลใดจะนำเสนอเพิ่มควรทำเมื่องบประมาณเกินดุลได้เสียก่อนจึงจะถือได้ว่ามีเงินส่วนเกินมาใช้จ่าย สำหรับสิ่งที่ควรทำ (แม้จะเป็นเรื่องยาก) เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมจริงๆ มีอยู่มาก เช่น 1. ก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมใหม่มาทดแทนมาบตาพุด ซึ่งขยายตัวเต็มที่แล้วแต่ความต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศยังมีอยู่ 2. ผลิตแรงงานที่ตรงต่อความต้องการของตลาดไม่ใช่ตั้งเป้าว่าต้องมีหนึ่งมหาวิทยาลัยต่อหนึ่งจังหวัด 3. สร้างระบบรางเพื่อขนส่งสินค้าอันจะลดต้นทุนการขนส่งและการพึ่งพาพลังงานนำเข้า 4. ปฏิรูปภาคเกษตรกรรมโดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ไม่ใช่พยุงราคาสินค้าเกษตร 5. (ซึ่งรัฐบาลมีดำริอยู่แล้ว) คือการแก้กฎหมายร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน เพราะกฎหมายปัจจุบันสร้างปัญหาอย่างมาก เนื่องจากถูกนำไปตีความในทิศทางที่สร้างความเสียหายอย่างยิ่งต่อการลงทุน มิได้ชักจูงการร่วมลงทุนแต่อย่างใดครับ

     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    บ.ต่อเรือเวียดนามผิดนัดชำระหนี้

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 24 ธันวาคม 2553 17:32

    [​IMG]

    ฮานอย - วินาชิน บ.ต่อเรือเวียดนาม ผิดนัดชำระหนี้ผู้ปล่อยกู้ระหว่างประเทศ
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>วินาชิน บริษัทต่อเรือเวียดนาม ผิดนัดชำระหนี้เงินกู้งวดแรก 60 ล้านดอลลาร์ จากทั้งหมด 600 ล้านดอลลาร์ที่กู้จากเครดิตสวิส ขณะที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์เกรงว่าเรื่องอื้อฉาวของวินาชิน ซึ่งมีหนี้เกิน 4,000 ล้านดอลลาร์ สะท้อนปัญหาของรัฐวิสาหกิจ
    แต่รายงานข่าวระบุว่าเป็นเรื่องดีที่วินาชินเต็มใจจ่ายดอกเบี้ย ทั้งยังยอมพบกับเจ้าหนี้กลางเดือนม.ค. เพื่อหารือเรื่องการชำระเงินต้น ขณะที่รัฐบาลกล่าวว่าวินาชินต้องชำระหนี้เอง แต่ก็มีการคาดหมายว่ารัฐบาลจะก้าวเข้ามาช่วยเหลือในที่สุด โดยมีรายงานว่ารัฐบาลลดหย่อนด้านภาษีแก่วินาชินด้วยการขยายเวลาให้ถึงปลายปีหน้า
    ปัญหาของวินาชินและผลกระทบที่อาจมีต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้หลายคนนึกถึงวิกฤตดูไบเมื่อปีที่แล้ว เมื่อผู้ครองนครดูไบขอเลื่อนการชำระหนี้บริษัทดูไบเวิลด์ไป 6 เดือน

     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คริสต์มาสผวา

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 25 ธันวาคม 2553 18:50

    [​IMG]

    ตุ๊กตาซานตาคลอสวางขายอยู่ริมทางเท้าในกรุงแบกแดด อิรัก ขณะกลุ่มอัลไกดาขู่ว่าชาวคริสต์ในอิรักเสี่ยงถูกโจมตี
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    NWO Documentary...... " IRAQ for Sale " The war profiteer


    เบื้องหลัง ความเป็นจริง และการแสวงหาผลประโยชน์จากสงครามอิรัคใน " IRAQ FOR SALE " The war Profiteer เวอร์ชั่นเต็ม ความยาว 1 ชั่วโมง 20 นาที

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/Sa09c2Dhx4c?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x402061&color2=0x9461ca width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2010/12/nwo-documentary-iraq-for-sale-war.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2010-12-27T12:11:00+07:00>12:11 หลังเที่ยง</ABBR> 0 comments [​IMG] [​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-7126408876121492723")); } </SCRIPT>"แฉ" เบื้องหลัง US Federal Reserve By Robert T. Kiyosaki


    และแล้วก็ถึงคราวที่โรเบิร์ต คิโยซากิ แห่ง Rich Dad Poor Dad ออกมาเปิดโปงเบื้องลึกเบื้องหลัง และความเป็นจริงที่คนไม่เคยรู้เกี่ยวกับความเป็นตัวตนของ US Federal Reserve หรือ FED


    ตรงๆ เต็มๆ ตามสไตล์ไม่มียั้งมือ เพราะฉะนั้นแฟนๆ ผู้อ่าน Rich Dad จากทั่วโลก อย่าพลาดครับ!!!



    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/vTxprxHDTuA?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x234900&color2=0x4e9e00 width=560 height=340 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2010/12/us-federal-reserve-by-robert-t-kiyosaki.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2010-12-27T11:59:00+07:00>11:59 ก่อนเที่ยง</ABBR> 0 comments [​IMG] [​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-5972315261580973684")); } </SCRIPT>ตัวจริง เสียงจริง.......คำพยากรณ์โดยชนเผ่ามายัณ สำหรับปี 2012


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/SGpNZmniJ_Q?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x402061&color2=0x9461ca width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    Do you hav a message to humanity?

    "To all my brothers and sisters who listen to this message. These words are not mine, but words from our ancesters. In the prophecy of the Maya says: in the time of 12 baktun and 13 ahau is the return of the ancesters and the man of wisdom. Let the morning come, let the dawn come. So I'm leaving this message, dont' be afraid. Take this message and spread it to the world."


    "ถึงพี่น้องผู้ที่ฟังข้อความนี้อยู่ คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่ของฉันเอง แต่เป็นคำพูดจากบรรพบุรุษของเรา ในคำพยากรณ์ของเผ่ามายากล่าวไว้ว่า ในช่วงเวลาแห่งปี 2012 คือการกลับมาของบรรพบุรุษของเรา ผู้เต็มไปด้วยสติปัญญา(light bearer) ให้ความสว่างเข้ามาเถิด(Morning Star) ให้ความมืดมิดเข้ามาเถิด(Darkness) ดังนั้นฉันจะฝากข้อความเหล่านี้ไว้ ไม่ต้องกลัว รับข้อความนี้ไว้และแพร่กระจายมันไปทั่วโลก"


    Link : Subliminal Message 3 of 14 ( Devil and The Mayan King)

    ***และเรื่่องราวตรงส่วนนี้มีความสอดคล้องและตรงกันกับหลายๆ บริบทของหนังสือวิวรณ์ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลครับ


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2010/12/2012.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2010-12-27T11:51:00+07:00>11:51 ก่อนเที่ยง</ABBR> 0 comments [​IMG] [​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-7354515818004030439")); } </SCRIPT>9 คำพยากรณ์ทางเศรษฐกิจ สำหรับปี 2011 By David Chu



    1. The U.S. will implement QE3/4 when the $600 billion of QE2 is not enough (already it is not enough as admitted by the Fed's chairman Benjamin Shalom Bernanke recently on CBS' 60 Minutes). Except it won't be called as such in the lamestream media. QE3/4 will be in the trillions of U.S. dollars (USD) of quantitative easing, i.e., fake digital money printing from the Fed to sop up unwanted U.S. Treasuries. The unstated and ONLY purpose of QE2 and QE3/4 is to buy up all of the U.S. Treasury debts that the foreign nations are beginning to refuse to buy while they are quietly dumping what they possess on the U.S. and world markets in exchange for real and tangible assets and resources.


    สหรัฐจะมีการประกาศ QE3/4 เมื่อปริมาณเงิน 600 Bil. จาก QE2 ไม่เพียงพอแล้ว (ซึ่งเบอนันเก้ ก็ออกมาพูดเปิดทางไว้แล้วว่าไม่เพียงพอ ในรายการ 60 Minutes)

    2. The major export nations like China, Russia, Brazil, India, Argentina, and others will engage in and increase their non USD-denominated trading among themselves, as exemplified by the recent China-Russia trade agreements whereby they would start trading in Rubles and Yuans, and not use USD as is typically transacted in international trades for commodities and oil. This will put increasing devaluation pressures on the USD. So, look forward to the US Dollar Index to drop further from the low 80s now to the low 70s or even lower in 2011.


    ประเทศผู้ส่งออกที่สำคัญ คือ จีน รัสเซีย บราซิล อินเดีย อาเจนติน่า และอื่นๆ จะเพิ่มปริมาณข้อตกลงทางการค้าระหว่างกัน โดยการชำระราคาจะไม่ทำในสกุลดอลล่า (คือขยายเพิ่มจากจีนและรัสเซีย)


    3. Retail food prices in the U.S. will increase in the low to medium DOUBLE digit ranges (10% to 40%) for everything from the junk/GMO "foods" served by corporations like McDonald's to healthy/organic foods supplied by companies like Whole Foods Market. This will take place noticeably in the first half of 2011.


    ราคาสินค้าในหมวดอาหารในประเทศสหรัฐ ในทุกหมวดจะพุ่งสู่งขึ้นอย่างน้อย 10-40%


    4. The real estate market in Canada will finally begin its collapse suddenly after the new year celebrations are over, mimicking the real estate crash of the U.S. that began in late 2008. Over heated markets like Vancouver will suffer the most as the average house price there is around $1 million Canadian (the Canadian dollar is almost on par with the USD). The average homeowner in Vancouver is spending about 70% of its BEFORE-tax income on paying mortgages. This financial situation is totally unsustainable. To illustrate a parallel, past example why it is going to be the case: In 2005, the "median" California family spent almost 73% of their AFTER-tax income on their "median" California house ($477,700), and look what happened to the real estate market in California. A 50+% devaluation of the Vancouver real estate market is very likely over the next 1-3 years. But the crash will begin in early half of 2011.


    ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของแคนาดาจะเริ่ม "ล้ม" ทันทีหลังจากเทศกาลปีใหม่


    5. The Chinese real estate market, the last investment vehicle in China for those Chinese with money, will also begin its collapse suddenly, hitting hard cities like Shanghai, Beijing, Fuzhou, etc. According to a very recent article by UK's Daily Mail Online, there are as many as 64 MILLION empty homes in China with no one occupying these brand new homes! This China real estate crash will have serious implications for the real estate market in Vancouver. There won't be m/any Chinese millionaires plunking down $1+ million CASH for buying real estate in Vancouver, as has been the case over the recent years.


    ตลาดอสังหาริมทรัย์ของจีน ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสุดท้ายทางเศรษฐกิจจะเริ่ม "ล้ม" อย่างฉับพลัน โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่าง เซี่ยงไฮ้ กวางเจา ฟูโจว และอื่นๆ


    6. Inflation will run rampant in China as it is already doing so with retail food prices. See my recent article (www.rense.com/Currency Wars For Dummies.pdf) as to the real causes of huge inflation in China. Unless China allows its Yuan to appreciate (increase in value) against the ever falling USD, rampant inflation in China will continue its course unabated. If China allows its Yuan to appreciate by any significant amount (7% or more), such an action will DECIMATE its export industries and manufacturers, because of the extremely thin profit margins that their exporters have to work with. China will raise its interest rates to try to stop inflation but that will not do the job. In fact, raising interest rates will only cause more foreign currencies to go into China in search of higher yields, unless China imposes strict restrictions on the importation of foreign currencies and investments.


    อัตราเงินเฟ้อในจีนจะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งราคาอาหาร


    7. The EU will continue its financial collapse, as nations like Spain, Portugal, and Italy will join Greece and Ireland in facing the stark choice between (Option 1) bailing out THEIR banksters or (Option 2) having THEIR nation go bankrupt. The IMF/World Bank model of "rescuing" these EU nations were perfected on the so-called Third World nations such as Argentina (viz., John Perkins' book, "Confessions of an Economic Hitman"). In 2001, Argentina defaulted on its IMF loans, i.e., it was forced to take Option 2, and its people suffered tremendously as the majority of its middle class was literally wiped out overnight. The Banksters in Argentina (with such strange and exotic names like JPMorgan Chase, Citibank, etc.) were able to fly out their billions of USD on private jets before the forced conversion and devaluation of the Argentina pesos/savings were implemented on the masses. Millions of Argentineans keep their savings as USD in their banks before the collapse. When the forced conversion and devaluation of those USD savings were imposed on its citizens, the banks were closed and ATMs withdrawals were limited to a few hundred pesos (less than $50 USD) per person per day. Overnight, Argentineans saw their savings lose over 75% in value (the peso went from 1:1 to 4:1, requiring 4 pesos to buy 1 USD overnight). And then the multi-national corporations came in like financial vultures and bought up the natural resources and public utilities for pennies on the USD. THAT is IMF's Option 2 for Spain, Portugal, and Italy. Option 1 is long term financial servitude and slavery for the citizens of the bankrupt country as is happening to Ireland.


    ประเทศสมาชิกในกลุ่มสหภาพยุโรปจะ "ล้ม" ลงอย่างด้วยปัญหาหนี้เสีย สเปน โปรตุเกส และอิตาลี่ จะมีชะตากรรมเดียวกับกรีซและไอร์แลนด์ โดยมีเพียง 2 ทางเลือกคือ หนึ่งเข้าไปอุ้มประเทศเหล่านั้น หรือสอง ปล่อยให้ประเทศเหล่านั้นล้มละลายลง กลายเป็นประเทศในโลกที่ 3 ที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับอาเจนตินา ในปี 2001


    8. Silver and gold will continue to climb in 2011. Silver will increase much more than gold in 2011, as the "Crash JP Morgan, Buy Silver" viral campaign started by Max Kaiser in early November will take off exponentially in 2011. Silver will breach $50 per ounce in 2011.


    ราคาแร่เงินและทองคำ จะไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแร่เงินจะมีอัตราเร่งที่สูงกว่าทองคำในปี 2011 (เป็นมาหลายปีแล้ว) โดยแร่เงินจะแตะระดับ $50/ออนซ์ในปี 2011


    9. A major war will break out somewhere in the world in 2011 (if not in 2011 then definitely in 2012) involving the U.S. and/or one of its proxy allies, i.e., Israel, South Korea, etc. The very recent massive war exercises conducted by South Korea and the U.S. were meant to provoke a military response from North Korea. Fortunately, the North Koreans didn't take the bait. This will be the final American Bubble to inflate as the U.S. will try to use "shock and awe" on either North Korea or Iran or even maybe a country in Africa in a futile attempt to bypass and cover up the greatest economic and financial collapse in world's history.


    สงครามใหญ่จะอุบัติขึ้นในปี 2011 (ถ้าไม่ใช่ในปีหน้านี้ก็จะต้องเกิดอย่างแน่นอนในปี 2012)


    ________ David Chu is a professional engineer who has worked throughout the United States for over 19 years. In 2008, he wrote the book, NO FORECLOSURES!, to help Americans fight the Banksters by delaying and stopping foreclosures. For more information on his book, please go to Guerilla Principles to Save Your Family and Stick It to the Banks! | NO FORECLOSURES! or you may email him at david@no2foreclosures.info.


    ***ทั้งหมดเป็นเพียงคำทำนายโดยนาย David Chu นะครับ ในความเห็นของผม หลายๆคำทำนายแทบจะไม่ใช่คำทำนาย เพราะก็เป็นอย่างที่เห็นๆกันอยู่ และถ้าไม่เกิดขึ้นจริงก็แปลกแล้วล่ะครับ



    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America

    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Vince (guest): "<WBR>โอบามายก"<WBR>จ็อบส์"<WBR> ต้นแบบอเมริกันดรีม"<WBR> นิยามคำพูดที่ใช้เป่าหูคนอ<WBR>เมริกันตั้งแต่เด็กจนโตมาห<WBR>ลายชั่วอายุคนให้ติดแหง่กอ<WBR>ยู่แต่ในฝันที่ตัวเองไม่ได<WBR>้เป็นคนฝัน แต่เป็นฝันที่คนอื่นยัดเยี<WBR>ยดให้

    โอบามายก"จ็อบส์" ต้นแบบอเมริกันดรีม
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>27 ธันวาคม 2553 </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    หากสตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) รู้เข้าคงหน้าบาน เพราะระหว่างการประชุมสื่อมวลชนเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯยกซีอีโอของแอปเปิลเป็นตัวอย่างในการอธิบายถึงความสำคัญของการล่าฝันในอเมริกันชน หรือที่เรียกกันว่า American Dream โดยโอบามาใช้จ็อบส์เป็นกรณีศึกษาเพื่อให้มวลชนเข้าใจถึงความสำเร็จของการดำเนินชีวิตตามทัศนคติอเมริกันดรีม ถือเป็นการตอกย้ำอิทธิพลของซีอีโอแอปเปิลในยุคโลกดิจิตอล

    การยกตำแหน่งต้นแบบอเมริกันดรีมของโอบามาครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะคำถามจากผู้สื่อข่าวสำนักข่าวซีบีเอสนิวส์ (CBS News) นามว่ามาร์ก โนลเลอร์ (Mark Knoller) ถึงกรณีการแบ่งภาคของชนชั้นกลางและผู้มั่งคั่งซึ่งชัดเจนมากในสังคมอเมริกันขณะนี้ ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงเรื่องการกำหนดเพดานภาษีในสหรัฐฯ บนความกังวลว่าอาจเอื้อประโยชน์ต่อชาวอเมริกันที่มีความมั่งคั่งเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ท่ามกลางคำยืนยันจากโอบามาว่าเป็นการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

    โอบามาชี้แจงว่าปัญหารายได้กระจุกตัวอยู่ในประชาชนเฉพาะกลุ่มนั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1920 หรือเมื่อ 90 ปีที่แล้ว โดยแม้ชาวอเมริกันเพียง 1 ใน 10 หรือ 1 ใน 100 ของประชากรอเมริกันเพียง 1% เท่านั้นที่มีรายได้มาก แต่ชนชั้นกลางก็ยังคงเป็นส่วนที่เข้มแข็งที่สุดของประเทศมาตลอด ทั้งหมดนี้ทำให้โอบามาเชื่อว่าเป็นความสำคัญมากสำหรับประชาชนในประเทศที่จะดำเนินชีวิตตามคติ American Dream ซึ่งจะทำให้ทุกคนมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองได้

    โอบามากล่าวถึงจ็อบส์ว่าเป็นผู้สร้างสินค้านวัตกรรมที่มีลักษณะเฉพาะตัวมากกว่า 2 ชิ้น การที่จ็อบส์มีฐานะร่ำรวยจึงเป็นเรื่องดีซึ่งรัฐบาลโอบามาต้องการส่งเสริม แถมสิ่งที่เกิดขึ้นยังเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดตลาดที่มีการแข่งเสรีในสหรัฐอเมริกา

    นี่คือความเคลื่อนไหวล่าสุดของประธานาธิบดีสหรัฐฯต่อซีอีโอแอปเปิล โดยเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่าระหว่างการเดินทางมาเยือนซานฟรานซิสโก โอบามาได้นัดหมายนอกตารางกับสตีฟ จ็อบส์ เพื่อพบกันเป็นการส่วนตัว โดยหลายรายงานชี้ว่าโอบามาต้องการขอคำแนะนำเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ

    การเดินทางเยือนซานฟรานซิสโกครั้งนั้น ประธานาธิบดีโอบามาได้เดินทางไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านของมาริสสา เมเยอร์ (Marissa Mayer) ผู้บริหารหญิงของกูเกิล รวมถึงการเข้าพบอัยการประจำเขตซานฟรานฯ

    สำหรับคตินิยมเรื่อง "ความฝันอเมริกัน" หรือ American Dream นั้นเป็นความเชื่อของชาวอเมริกันว่า ด้วยการทำงานหนัก กล้าหาญและมีความมุ่งมั่น โดยไม่คำนึงถึงชั้นสังคม บุคคลสามารถบรรลุสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้เสมอ โดยชาวอเมริกันได้ยึดถือคตินิยมนี้สืบมาหลายชั่วคน

    สตีฟ จ็อบส์นั้นมีชื่อเต็มว่า สตีเฟน พอล จ็อบส์ เกิดวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 ปัจจุบันเป็นผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิล คอมพิวเตอร์ และ พิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ และเป็นบุคคลชั้นนำในวงการอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งแอปเปิลคอมพิวเตอร์ ร่วมกับสตีฟ วอซเนียกในปีค.ศ. 1976 จ็อบส์ได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลแรกที่มองเห็นศักยภาพทางการค้าของส่วนติดต่อผู้ใช้แบบกราฟิกและเมาส์ จนมีการผนวกเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าไว้ในเครื่องแอปเปิล แมคอินทอช

    ล่าสุด มีรายงานว่าจ็อบส์เป็นบุคคลที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 42 ของสหรัฐฯ ด้วยยอดรายได้สุทธิ 6.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

    CyberBiz - Manager Online -
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วิกฤติเศรษฐกิจในอาร์เจนตินา

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    <!-- /tagline --><!-- subtitle -->
    <!-- /subtitle --><!-- jumpto -->


    ผลิตภัณฑ์มวลประชาชาติเบื้องต้น (GNP) ในปี ค.ศ.1999-2004 ช่วงเกิดวิกฤติในช่วงปี ค.ศ.1999-2002 ค่า(GNP)ติดลบติดด่อกัน 4 ปี

    [​IMG]
    วิกฤติเศรษฐกิจในอาร์เจนตินา (Argentine economic crisis ) เป็นช่วงที่เศรษฐกิจในอาร์เจนตินาล่มสลาย ประเทศอยู่ในภาวะล้มละลาย ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติเบื้องต้น (GNP) ลดต่ำลงจนติดลบติดต่อกันยาวนานถึง 4 ปีเต็ม คนตกงานกว่าครึ่งค่อนประเทศแม้กระทั่งหมอก็ยังตกงาน เกิดขึ้นในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 ถึง ปี ค.ศ. 2002
    ปี 1983
    <SUP class=reference id=cite_ref-A_0-0>[1]</SUP>เมื่อรัฐบาลทหารได้คืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1983 นายราอูล อัลฟองซิน ก็ได้รับเสียงสนับสนุนให้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ช่วงที่อัลฟองซินดำรงตำแหน่งอยู่นี้ <SUP class=reference id=cite_ref-.E0.B8.A7.E0.B8.B4.E0.B8.81.E0.B8.A4.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.AF_1-0>[2]</SUP>ภาวะเศรษฐกิจภายในอาร์เจนตินาย่ำแย่ลงอย่างหนัก รัฐบาลไม่มีปัญญาจ่ายหนี้เงินกู้จากต่างประเทศ อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเดือนละ 200% หรือ ปีละเกือบ 3000% รัฐบาลขาดเสถียรภาพอย่างหนัก นายอัลฟองซินได้ลาออกก่อนจะหมดวะระเพียง 6 เดือน
    จุดเริ่มต้นใน ปี ค.ศ. 1989

    <SUP class=reference id=cite_ref-.E0.B8.A7.E0.B8.B4.E0.B8.81.E0.B8.A4.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.AF_1-1>[2]</SUP>นายคาร์ลอส ซามูล เมเนม ได้รับเลือกเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จากพรรคนิยมเปรอง แต่เมื่อได้ดำรงตำแหน่งกลับทำตรงกันข้ามกับแนวคิดเปรอง (ลัทธิเปรอง) เนเนมได้ใช้นโยบายเศรษฐกิจตาม"ฉันทมติวอชิงตัน" ซึ่งนำความหายนะมาสู่อาร์เจนตินาซึ่งหลักๆได้แก่ การเปิดเสรีการค้าอย่างเต็มที่ ทั้งทางด้านการค้าและการเงิน การแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นของต่างชาติ
    ปี 1991


    <SUP class=reference id=cite_ref-.E0.B8.A7.E0.B8.B4.E0.B8.81.E0.B8.A4.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.AF_1-2>[2]</SUP>รัฐบาลของเมเนมได้แปรรูปรัฐวิสหกิจอย่างจริงจังโดยมีรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ โดมิงโก คาวัลโย เป็นผู้ที่ได้ใช้นโยบาย "ฉันทมติ วอชิงต้น" มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นคงที่ ค่าเงินที่ 1 เปโซ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ได้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจขายสัมปทานของรัฐออกไป 250 แห่ง ซึ่งรัฐบาลอาร์เจนตินาได้รับเงินถึง 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน การแปรรูปรัฐวิสาหกิจได้นำไปสู่การผูกขาด ซึ่งโดยรวมหลักของนโยบายเสรีนิยมใหม่ของเมเนมวางอยู่บนความพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ มีการตัดลดงบประมาณให้สมดุล ลดภาษีนำเข้า เพื่อเป็นแรงจูงใจในการลงทุนจากต่างชาติ มีการคอร์รับชั่นเกิดขึ้นอย่างมากมายในรัฐบาลของเมเนม
    • การแปรรูปสายการบินแห่งชาติ
    • การแปรรูปโทรศัพท์
    • การแปรรูปการไฟฟ้า
    • การแปรรูปทางด่วน
    • การแปรรูปน้ำประปา
    • การแปรรูปรถไฟ
    ปี 1999

    <SUP class=reference id=cite_ref-.E0.B8.A7.E0.B8.B4.E0.B8.81.E0.B8.A4.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.AF_1-3>[2]</SUP>ประธานาธิบดี เฟอร์นานโด เดลารัว ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาเพื่อสอบสวนกรณีคอร์รัปชั่นในยุคประธานาธิบดี เมเนม ในวันที่ 7 มิถุนายน ปี ค.ศ. 2001 ได้มีคำพิพากษาสั่งจำคุกอดีตประธานาธิบดีเมเนมเป็นเวลา 6 เดือน มีข้อกล่าวหา การยักยอกเงิน 100 ล้านเหรียญจากการลอบขายอาวุธ และ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง นาย โดมิงโก คาวาโย ก็โดนข้อหาเดียวกัน เมเนมได้หนี้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศชิลี
    วิกฤติเศรษฐกิจ

    <SUP class=reference id=cite_ref-.E0.B8.A7.E0.B8.B4.E0.B8.81.E0.B8.A4.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.AF_1-4>[2]</SUP>รัฐบาลของเฟอร์นานโด เดลารัว เข้ารับตำแหน่งในปี ค.ศ.1999 ต้องรับภาระปัญหาต่างๆที่รัฐบาลเมเนมได้ก่อเอาไว้ หนี้ต่างประเทศก้อนโตจำนวนกว่า 132 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ อัตราค่าเงินเปโซที่กำหนดให้แข็งค่าเกินจริงแบบคงที่ ทำให้ภาคการส่งออกมีปัญหา ภาครัฐมีรายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย ทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายหนี้และดอกเบี้ย ประธานาธิบดีเดลารัวได้ลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลตามคำแนะนำจากไอเอ็มเอฟ (IMF) เพื่อแลกกับเงินกู้จำนวน 8 พันล้านเหรียญ โดยมีการปลดข้าราชการ ตัดงบประมาณชุมชนและงบสวัสดิการสังคมต่างๆ สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายหนัก เมื่อมาตรการตัดลดรายจ่ายยิ่งทำให้เศรษฐกิจชลอตัวลง

    อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินเปโซเมื่อปล่อยลอยตัวในต้นปี 2002 อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วจาก 1 เปโซต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 3.8 เปโซต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ภายในระยะเวลาเพียง 7 เดือน




    อัตราเงินเฟ้อรายเดือน ในปี ค.ศ.2002


    <SUP class=reference id=cite_ref-.E0.B8.A7.E0.B8.B4.E0.B8.81.E0.B8.A4.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.AF_1-5>[2]</SUP>ผลจากการขาดงบประมาณรายจ่ายเพราะเก็บภาษีได้ลดลงรวมกับการขาดดุลการชำระเงินเพราะการกำหนดค่าเงินคงที่ ทำให้รัฐบาลโดนบีบให้ลดค่าเงินเปโซ และยอดหนี้ต่างประเทศสูงขึ้นจากร้อยละ 50 ต่อGDPในปี ค.ศ. 2001 กลายมาเป็น ร้อยละ90 ต่อGDPในปี ค.ศ.2002 รัฐบาลต้องพิมพ์ธนบัตร์ออกมาทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น เฟอร์นันโด เดรารัว จึงเชิญ โดมิงโก คาวัลโย อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจสมัยเมเนม มาแก้ปัญหาในปี ค.ศ. 2001 คาวัลโย ใช้มาตราการลดรายจ่ายโดยการตัดเงินเดือนข้าราชการร้อยละ 20 และตัดเงินบำนาญลงร้อยละ 13 ต้ดงบประมาณกระทรวงต่างๆ และห้ามถอนเงินจากธนาคารเกินอาทิตย์ละ 250 เหรียญ แต่สถานการณ์กลับยิ่งเลวร้ายลง เมื่ออัตราการว่างงานได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 ประชากร 1ใน3ของประเทศมีชีวิตต่ำกว่าเส้นความยากจน ไอเอ็มเอฟบีบให้ธนาคารทุกแห่งเปลี่ยนเงินฝากของประชาชนเป็นพันธบัตรรัฐบาลที่อายุไถ่ถอน 10 ปี เพื่อรัฐบาลจะได้นำเงินไปจ่ายดอกเบี้ยของหนี้สินต่างประเทศ มีการประท้วงเกิดขึ้นจนเกิดการจราจลไปทั่วประเทศ
    ในเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2001 นายโดมิงโก คาวัลโย ลาออก ก่อน ประธานาธิบดี เดรารัว เพียงไม่กี่ชั่วโมง มีการประท้วงใหญ่หน้าทำเนียบประธานาธิบดี ประเทศเกิดภาวะสุญญากาศทางอำนาจมีการแต่งตั้งผู้รักษาการตำแหน่งประธานาธิบดี อดอลโฟ โรดริเกซ ซา ขึ้นมาบริหารได้เพียงอาทิตย์เดียวก็ถูกกดดันให้ลาออก เมื่อประกาศว่าจะพักชำระหนี้ต่างประเทศจำนวน 141,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของอาร์เจนตินา นายเดดัวโด ดูฮาลเด้ ได้ขึ้นมาแทนและได้ประกาศลดค่าเงินเปโซร้อยละ 30 และให้แปลงเงินฝากสกุลดอลลาร์ให้เป็นเปโซทั้งหมดผลทำให้ธุรกิจที่มีหนี้สินเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐล้มละลายเป็นจำนวนมาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลดลง 11%
    ผลกระทบต่อการกระจายรายได้

    <SUP class=reference id=cite_ref-A_0-1>[1]</SUP>
    <TABLE style="MARGIN: 1em auto" width="100%"><TBODY><TR><TD align=right width="50%"><TABLE style="BORDER-RIGHT: gray thin solid; BORDER-TOP: gray thin solid; BACKGROUND: #fefefe; BORDER-LEFT: gray thin solid; LINE-HEIGHT: 1; MARGIN-RIGHT: 1em; BORDER-BOTTOM: gray thin solid" cellSpacing=0 cellPadding=2 border=1><CAPTION>ค่าการกระจายรายได้ในอาร์เจนตินา</CAPTION><TBODY><TR><TH>ช่วงเวลา</TH><TH>สูงกว่าค่าเฉลี่ย</TH><TH>ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย</TH></TR><TR><TD>พ.ค. 2001</TD><TD>11.6%</TD><TD>35.9%</TD></TR><TR><TD>ต.ค. 2001</TD><TD>13.6%</TD><TD>38.3%</TD></TR><TR><TD>พ.ค. 2002</TD><TD>24.8%</TD><TD>53.0%</TD></TR><TR><TD>ต.ค. 2002</TD><TD>27.5%</TD><TD>57.5%</TD></TR><TR><TD>พ.ค. 2003</TD><TD>26.3%</TD><TD>54.7%</TD></TR><TR><TD>ครึ่งปีหลัง 2003</TD><TD>20.5%</TD><TD>47.8%</TD></TR><TR><TD>ครึ่งปีแรก 2004</TD><TD>17.0%</TD><TD>44.3%</TD></TR><TR><TD>ครึ่งปีหลัง 2004</TD><TD>15.0%</TD><TD>40.2%</TD></TR><TR><TD>ครึ่งปีแรก 2005</TD><TD>13.6%</TD><TD>38.5%</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>'

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วิกฤติเศรษฐกิจในอาร์เจนตินา - วิกิพีเดีย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...