เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถึงเวลาฟื้นตัวแล้วหรือยัง (+ทองคำสำรอง)
    วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ 11 พ.ค.52
    http://newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=6635&user=wiwan

    วกมาเขียนถึงทองคำเล็กน้อย สัปดาห์ที่แล้วไฟแนนเชียลไทมส์ ได้ออกมาพาดหัวข่าวว่า บรรดาธนาคารกลางของประเทศในแถบยุโรปได้สูญเสียโอกาสไปถึง 40,000 ล้านดอลลาร์ จากการที่ขายทองคำสำรองออกไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

    โดยธนาคารกลางอังกฤษได้เริ่มก่อนเมื่อ 7 พฤษภาคม 1999 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และธนาคารกลางของหลายชาติ คือ ฝรั่งเศส สเปน เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส ก็ทำตามในปลายปี 1999 ใช่วงนั้นราคาทองคำอยู่ที่ออนซ์ละ 280 ดอลลาร์ ในขณะที่ 10 ปีผ่านไป ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 910 ดอลลาร์

    ธนาคารกลางเหล่านี้ เมื่อขายทองคำ ก็นำเงินที่ได้ไปลงทุนในพันธบัตรค่ะ

    ว่ากันว่าธนาคารกลางในยุโรป ขายทองคำสำรองรวมกันประมาณ 3,800 ตัน โดยธนาคารกลางสวิสขายออกมามากที่สุดคือ 1,550 ตัน ทำให้จนลงไป 19,000 ล้านดอลลาร์ (หักผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในพันธบัตรแล้ว) และธนาคารกลางของอังกฤษ จนลงไป 5 พันล้านดอลลาร์

    อย่างไรก็ดี แม้จะขายทองคำสำรองไปแล้ว แต่เงินทุนสำรองที่อยู่ในรูปทองคำของธนาคารกลางเหล่านี้ก็ยังมีอยู่มาก โดยคาดว่ามีอยู่ถึง 60% ของเงินทุนสำรองทั้งหมด เมื่อเทียบกับธนาคารกลางทั่วโลกที่มีปริมาณเงินสำรองเป็นทองคำในอัตราส่วน 10.5%

    สหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้มีเงินสำรองเป็นทองคำอันดับหนึ่งของโลก โดยมีถึง 8,133.5 ตัน เยอรมนีมีเป็นอันดับที่สองคือ 3,412.6 ตัน โดยไม่ได้ขายไปในช่วง 10 ปีที่แล้วเหมือนอังกฤษ เพราะตกลงกันไม่ได้ว่าขายแล้วจะเอาเงินไปลงทุนอะไรแทน จึงโชคดีไป

    กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ มีทองคำสำรองเป็นอันดับที่สาม คือมี 3,217.3 ตัน และมีแผนที่จะขายออกมาประมาณ 403 ตัน แต่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภาอเมริกัน คาดกันว่ากว่าจะอนุมัติอาจจะเป็นปลายปีนี้

    ธนาคารกลางของฝรั่งเศสมีทองคำสำรอง 2,487.1 ตัน โดยปีนี้ได้ขายทองคำออกไปค่อนข้างมาก และคาดว่าจะขายออกมาอีก

    ธนาคารกลางอิตาลี ก็ไม่ได้ขายทองคำออกมาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีเหตุผลเดียวกับเยอรมนี คือสรุปไม่ได้ว่าจะเอาไปลงทุนอะไรแทน จึงทำให้อิตาลีมีทองคำสำรองเป็นอันดับที่ 5 คือ 2,451.8 ตัน และอันดับถัดมาคือธนาคารกลางของจีน ซึ่งมีปริมาณเงินสำรองเป็นทองคำอยู่ 1,054 ตัน แต่คิดเป็นเพียง 1.6% ของทุนสำรองเท่านั้น

    ดิฉันคิดว่าจีนต้องซื้อทองคำอีกมาก เพราะต้องการหนีจากการพึ่งพิงเงินสำรองในรูปพันธบัตรที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และนี่อาจจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาทองคำยังแข็งแกร่งอยู่ ไม่ลงไปตามที่นักวิเคราะห์หลายค่ายทำนายไว้<!-- End main-->

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    Bloggang.com :
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รู้หรือไม่ ใครคือผู้ถือครอง ทองคํา รายใหญ่ของโลก
    สถานที่ เก็บทองคำ มากที่สุดในโลก ( World's Largest Gold Vault ) เรียกสั้นกว่า เฟด fed อะครับ
    Federal Reserve Bank หรือ ที่รู้จักกันในชื่อสั้นๆว่า เฟด ( Fed ) คือ ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา และที่เฟคสาขานิวยอร์ค คือ สถานที่ เก็บทองคำ มากที่สุดในโลก มากขนาดไหนหรือก็ 10% ของปริมาณทองคำสำรองของทั้งโลก

    รายละเอียด เกี่ยวกับ ทองคำ และ เฟด สาขา นิวยอร์ค

    เฟด สาขา นิวยอร์ค สร้างขึ้นในปี 1924
    ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 33 ถนนลิเบอร์ที(Liberty) รัฐนิวยอร์ค(New York) ประเทศสหรัฐอเมริกา
    ห้องมั่นคง( Strong room ) อยู่ลึกลงจากระดับถนน 24 เมตร ( ประมาณตึก 4 ชั้น ) นั่งอยู่บนชั้นหินแข็ง(Bedrock)
    ห้องมั่นคงแห่งนี้เก็บเฉพาะทองคำเท่านั้น
    รายงาน อย่างเป็นทางการในปี 1927 ปริมาณทองคำที่เก็บไว้ที่นี้มีมากถึง 10% ของปริมาณทองคำสำรองของทั้งโลก ส่วนปริมาณ ณ ปัจจุบัน ไม่เป็นที่เปิดเผย
    แต่คาดว่าน่าจะมีปริมาณทองคำเก็บอยู่ประมาณ 5,000 ตัน มูลค่าประมาณ 160,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เมื่อเดือนมีนาคม 2008
    ทองคำ ทั้งหมดไม่ใช่ของ เฟค แต่ เฟคเป็นเพียงผู้ดูแล ซึ่งทองคำเหล่านี้เป็นของ รัฐบาลของกว่า 48 ประเทศ ทองคำของธนาคารกลางแต่ละประเทศ และองค์กรนานาชาติต่างๆ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    รู้หรือไม่ ใครคือผู้ถือครอง ทองคํา รายใหญ่ของโลก - มีคำตอบ - กูรู
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

    ชีวิตนอกเดอะแมทริกซ์ " Life Outside the Matrix "


    ถ้าวันนี้คุณออกจาก Matrix ได้ คุณจะเห็น......
    1. Obama ไม่ได้เป็นคนที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก แต่เป็นเพียงหุ่นเชิด หรือฉากหน้าของการทำงานบางอย่าง มีกลุ่มบุคคลอีกกลุ่มนึงที่มีอำนาจ และเป็นคนเลือกคู่แข่งประธานาธิบดีสหรัฐ ให้เหลือ 2 คนแล้วให้ประชาชนเลือกอีกที แต่จริงๆ แล้ว เค้าเลือกแล้วว่าจะให้ใครเป็น แล้วให้สื่อต่างๆ เชียร์อีกที และมองย้อนกลับไป President อีกหลายคนก็ถูกเลือกมาให้เป็นครับ
    2. อเมริกาวันนี้ปกครองด้วย Jew หรือ Zionist Jew ไม่มีระบบการปกครองเดิมแล้วตั้งแต่ 1938
    3. Bill Gates ไม่ได้เป็นคนที่รวยที่สุดในโลก แต่มีคนที่รวยกว่าประมาณ 50 เท่า หรือมากกว่านั้น คนกลุ่มนี้ มีทรัพย์สินประมาณ 500 Trillion หรือ $500,000,000,000,000 เครือข่ายครอบคลุมประมาณครึ่งโลก ผ่านบริษัทต่างๆ ในหลายทวีป
    4. โลกร้อนขึ้นจริง แต่เรื่องโลกร้อนเป็นเรื่องโกหก เพื่อทำโครงการอะไรบางอย่าง
    5. JFK, Lincoln ถูกฆ่าโดยคนกลุ่มเดียวกัน
    6. John Lenon, Micheal Jackson, Tupac, Jimmy Hendrix, Princess Diana, Malilyn Monroe และ อีกหลายคน ถูกลอบสังหารจากคนกลุ่มเดียวกัน
    7. ต้องลอบสังหาร เจ้าหญิง Diana เพราะท่านกำลังจะประกาศเรื่องการแต่งงาน และจะมีทายาทกับลูกชายของ Mohamed Alfayed เจ้าของห้าง Harrod ซึ่งเป็นมุสลิม ในขณะที่เจ้าชายวิลเลี่ยมกำลังจะเป็นกษัตรย์ ครองบัลลังค์อังกฤษ การมีน้องชายต่างมารดา เป็นลูกครึ่งมุสลิม เป็นที่ยอมรับไม่ได้
    8. George Soros เป็นฉากหน้าของกลุ่มทุน Hedge Fund นี้เพื่อเข้าโจมตีเศรษฐกิจในทุกภูมิภาคทั่วโลก แล้วให้อีกกลุ่ม(IMF & World Bank)ตามไปตีซ้ำแล้ว อีกกลุ่ม(Goldman Sach, Lehman Brother และ GE Capital) ปล้นชิงทรัพย์สินอีกที
    9. เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกเพิ่งจะเริ่มขี้น ของจริงกำลังจะมา อาจจะปลายปี 2010-2012 ทั้งหมดทำโดยคนกลุ่มเดียวกัน เพื่อเป้าหมายที่สูงสุดบางอย่าง
    10. คนกลุ่มนี้ก่อสงคราม เพื่อปล่อยเงินกู้ และขายอาวุธ เป็นงานหลัก เพราะฉะนั้นธุรกิจหลักคือเรื่องการเงิน การธนาคาร และการทหาร
    11. สงครามหลักๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มาจากน้ำมือคนกลุ่มนี้ ตั้งแต่สงครามครูเสดเป็นต้นมา จุดประสงค์ในข้อ 10
    12. อเมริกา แบ่งได้เป็น 6 ส่วน รัฐบาล, ภาคการเงินการธนาคาร หรือ Financial Sector, การทหาร, ธุรกิจขนาดใหญ่ หรือ Wall Street, ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก หรือ Main Street และ ประชาชน โดย 4 ส่วนแรกคนกลุ่มนี้ยึดครองได้หมดและนานมากเป็น 100 ปีแล้ว แล้วแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลก ที่เราเรียกว่า Globalization หรือ โลกาภิวัฒน์
    13. เหตุการณ์ World Trade Center ถูกจัดฉากทั้งหมด เพื่อพาประเทศเข้าสงครามอิรัก เพื่อออกฏหมายและตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาเพื่อเป็นรัฐบาลเงาของสหรัฐ เช่น DHS, FEMA, NorthCom และอีกมากมาย ทุกหน่วยงานข้ามหัวรัฐธรรมนูญทั้งหมด
    14. Bin Laden ถูกจัดฉากขึ้นมาเพื่อเขย่าขวัญคนอเมริกัน และชาวโลก เป็นไปไม่ได้ที่แสนยานุภาพ และเทคโนโลยี ของสหรัฐ จะจับคนๆ เดียวในถ้ำไม่ได้ เป็นเวลา 8 ปี แต่มีการขยายผลไปมากมาย
    15. สิ่งที่กำลังจะเกิดต่อไปนี้ คือรัฐบาลเงาที่ถุกสร้างขี้นจะเข้ายึดครองประเทศ และยึดอำนาจการบริหารทั้งหมด อย่างแนบเนียน ภายใต้ภาพสงครามการก่อการร้าย
    16. สงครามอีรัค คนอีรัคตายไป 1,300,000 กว่า ทำลายประเทศนี้แล้วสร้างขึ้นใหม่ แต่คนที่ไปสร้างกลับเป็นผู้รับเหมาชาวอเมริกัน และ ยุโรป ได้สัมปทานน้ำมันท้ังหมด บริษัทรับเหมาใหญ่ที่สุดคือ Harriburton ซึ่งเจ้าของคือ Dick Cheney รอง ปธน. นั่นเอง สิ่งทีสร้างคือ Military Complex หรือฐานทัพสหรัฐที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง
    17. ภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในทุกมุมโลก เกิดขึ้นเพราะโครงการของคนกลุ่มนี้ เช่น ซึนามิ, แผ่นดินไหว, น้ำท่วม, โคลนถล่ม, เฮอริเคน และอีกมาก ด้วยโครงการวิทยาศาสตร์ ที่เรียกว่า H.A.A.R.P มีการวิจัยมาเป็น 100 ปี เพื่อควบคุมสภาวะอากาศ บิดเบือนสภาพอากาศ และใช้ประโยชน์ในการสงคราม หรือ Weather Warfare โดยสถานีควบคุมอากาศนี้ มีอยู่ 5 สถานี 3 ในอเมริกา, 1 ในรัสเซีย และอีก 1 ในยุโรป
    18. การปฏิวัติล้มราชวงศ์ต่างๆ โดยอ้างว่าเพื่อหยิบยื่น ประชาธิปไตยเข้าไปในประเทศนั้น เหตุผลก็เพื่อเข้าสถาปนารัฐบาลของตัวเองโดยผ่านระบบเลือกตั้งให้เข้าไปมีอำนาจ และอิทธิพลในประเทศนั้นๆ หรือการตั้งตัวแทน สนับสนุนเงินผ่านตัวแทน เช่นเสื้อเหลือง เสื้อแดงเป็นต้น
    19. ยังมี Agenda อีกมากมายที่กำลังทำลายมนุษยชาติ เช่น Agenda 21, Food Codex, Bluebeam Project, Chemtrail, Water Fluoridation และการทำวัคซีนต่างๆ ในมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิด
    20. โรคเอดส์ โรคสมองเสื่อม โรคภูมิแพ้ โรคออทิสติค หรือโรคใหม่ๆ ที่เกิดในช่วง 100 ปีมานี้ก็เป็นโครงการทดลองของคนกลุ่มนี้เช่นกัน
    สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของใหม่ แต่มีมาเป็นร้อยปีแล้ว ซึ่งรากจริงๆ แล้วมีมาหลายพันปี ของอเมริกา โดนไปอย่างจังๆเมื่อปี 1913 หลักฐานอยู่ในกระเป๋าเงินของคุณเอง ลองเอาแบ๊งคฺ์ 1 เหรียญ ขึ้นมาดู ที่ด้านหลังจะมีตราสัญลักษณ์ซ่อนอยู่มากมาย โดยเฉพาะรูปปิระมิดที่ยังสร้างไม่เสร็จ ดวงตา อัคระต่างๆ "Novus Ordo Seclohum" หรือ New World Order นั่นเอง


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/CI7Yi3No0Dw&hl=en&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    ลองดู Georgia Guidestones หรือ American Stonehenge คือทิศทางของโลกใหม่หรือสิ่งที่คนกลุ่มนี้กำลังทำ และผลักดันให้เกิด นี่ไม่ใช่ทฤษดีสมรู้ร่วมคิด หรือ Conspiracy อะไร เพราะคนที่ตาย ตายจริง เศรษฐกิจพังจริงๆ


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/2Ahrg6lh4iU&hl=en&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>






    โพสต์โดย What's going on in America
     
  4. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    ขอบคุณค่ะ ข่าวที่ว่าทองคำปลอมนั้น เห็นเค้าบอกว่าจะออกอย่างเป็นทางการเดือน กพ.ปีหน้า ป่านนี้คนไม่รู้กันหมดแล้วหรือคะ (ขนาดเรายังรู้เลย)
    ใครๆก็แนะนำว่าให้ซื้อทอง เพื่อป้องกันความเสี่ยง ก็อยากซื้อไว้เยอะๆเหมือนกันนะคะ แต่ว่าคงซื้อได้จำกัดค่ะ
    อยากถามเรื่องหนี้สินล่ะคะ ว่าถ้าเรามีหนี้กับแบงก์ เช่น หนี้บ้าน (ผ่อนยาว) จะมีผลอย่างไรบ้างคะ แล้วดอกเบี้ยภายในประเทศของไทยเนี้ย จะทำให้ประชาชนเดือดร้อนรึเปล่าคะ

    Merry X'mas & A Happy New Year 2011 ค่ะ ทุกท่าน ;aa10:z11
    มีความสุขมากมายนะคะ
    อะไรจะเกิดขึ้นก็แล้วแต่ ความสุขจริงแท้อยู่ที่ใจค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ข่าวทองปลอม อาจจะเป็นข่าวที่มีคนตั้งใจปล่อยก็ได้ค่ะ ฟังหูไว้หู รอดูว่ามันจะจริงไหม
    เรื่องทอง ถ้าไม่มีเงินเป็นของตัวเองก็ไม่ต้องไปหาเงินมาซื้อหรอกค่ะ
    มันจะขึ้นหรือจะลงก็ช่างมัน แต่ถ้ามีทองอยู่แล้วก็ไม่ต้องรีบขาย เก็บไว้ใช้เมื่อถึงคราวจำเป็น
    สิ่งสำคัญคืออาหารและน้ำดื่มสะอาด ควรเตรียมไว้อย่างน้อย 3-5 วัน
    ถ้ามีที่ทาง ก็ซื้อข้าวเกลือน้ำตาลน้ำมันพืช ที่มันไม่เน่าเสียอยู่ได้เป็นปี เก็บไว้เป็นเสบียงระยะยาว
    แบบว่ามีเสบียงไว้กินก็มั่นใจระดับหนึ่ง ถึงไม่มีเงินไม่มีทอง แต่มีกิน ง่ะ
    และฝึกสติปัญญา ไม่ตื่นตกใจจนเกินควรเวลาเจอเรื่องไม่คาดฝัน เพราะเตรียมใจไว้แล้ว
    ไม่ว่าสงครามมันจะเป็นสงครามเศรษฐกิจ หรือสงครามทางทหาร
    พอมันเกิดขึ้นจริง ของกินของใช้มันก็จะแพงขึ้น
    เรื่องที่เป็นหนี้บ้าน ถ้าเงินมันไร้ค่า แต่บ้านมันมีค่าเป็นทรัพย์สิน มันก็น่าชดเชยกันได้
    ไม่รู้คิดถูกรึป่าวนะ แต่ก็ใช้ชีวิตไปตามปกติไปก่อน เพราะมันอาจไม่มีอะไรก็ได้
    ถ้าเงินบาทมันลดค่า บ้านมันก็น่าจะแพงขึ้นนะ เพราะบ้านมันเป็นทรัพย์สินไม่ได้เป็นกระดาษ
    ถ้าเงินมันลดค่า พวกสิ่งของ อาหาร โลหะมีค่า บ้านที่ดิน มันก็จะแพงขึ้น ผกผันกัน
    ถ้าไม่มีเรื่องภัยพิบัติใหญ่โตขนาดเปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์ของโลกเนี่ย มีแค่เรื่อง
    วิกฤติเศรษฐกิจ ก็คงจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเงินซึ่งจะกระทบคนที่ถือเงินสด
    ไว้มากๆ ก็คงจะกระทบมากกว่า มีมากก็หายนะมาก มีน้อยก็หายนะน้อย ถ้าไม่มีอะไรจะเสีย
    ก็ไม่ต้องมีทุกข์ คนมีทองมากก็กลัวว่าทองมันจะลงมากก็ขาดทุนมากเป็นทุกข์มาก ก็จะลุ้น
    ให้ทองมันขึ้นมากๆ จะได้รวยมากๆเป็นสุขมาก บางคนก็มีทองไว้มันจะขึ้นจะลงก็ช่างมัน
    แค่มีทองไว้แล้วอุ่นใจก็มี มันก็อยู่ที่วิธีคิดของแต่ละคน ที่สำคัญคือ ชีวิตของเราเองมันขึ้น
    อยู่กับอะไร อะไรที่ทำให้เราเป็นสุข สงบ เราหามันเจอได้ เราก็จะมีชีวิตที่ไม่เดือดร้อนไป
    กับโลกมากนัก ปรับตัวรับทุกข์รับสุข รับมือกับหายนะได้อย่างมีสติ รู้รักษาตัวรอดได้

    ถ้าเรารู้ว่ามันมีหายนะรออยู่ข้างหน้า เราจะทำใจรับเหตุการณ์นั้นไว้ล่วงหน้า
    เวลามันเกิดจริงก็จะมีสติมีปัญญา ตั้งตัวรับเหตุการณ์นั้นได้ดีขึ้น
    แต่ถ้ามันไม่มีอะไร ก็แล้วไป ไม่เกิดก็ดีแล้ว ถือเป็นการฝึกดูและรับมือกับบททดสอบต่างๆ
    อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์ชีวิต ก็จะรอบคอบสุขุมมากขึ้น

    ส่วนปัญหาดอกเบี้ยบ้านแพงๆ เนี่ย ถ้ารีไฟแนนซ์ไม่ได้ ก็สาหัสอยู่นะคะ
    จากประสบการณ์ตอนปี 2540 พี่ชายเล่าให้ฟังว่า ดอกเบี้ยมันขึ้นเยอะมาก ก็เป็นเอ็นพีแอลไป
    พอเหตุการณ์มันเริ่มสงบ ก็ไปขอเจรจาลดหนี้กับธนาคารเอา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2010
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    อะไรที่มากกว่าทองคำ.......


    บางทีการบริโภคข้อมูลข่าวสารที่หนักมากจนเกินไป โดยเฉพาะจากบล๊อกนี้ที่ถือว่าเป็นเรื่องที่อาจจะหนักกว่าที่อื่นที่คุณเคยได้อ่านมา แต่ทั้งหมดไม่ได้เพื่อขู่ให้คุณกลัวหรือกังวลครับ ถึงแม้ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้อาจจะทำให้คุณรู้สึกอย่างนั้นก็ตาม ถ้าคุณตามอ่านมาจนถึงวันนี้ผมก็ถือว่าคุณเป็นคนนึงที่ "เลือก" ที่จะอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง

    แล้วสิ่งเหล่านี้แหละครับที่จะทำให้จิตใจและจิตวิญญานของคุณแข็งแกร่งขึ้น "โดยที่คุณไม่รู้ตัว" ซึ่งผมเชื่อว่ามันจะทำให้มุมมองของคุณต่อโลก การมองคนรอบข้างหรือสิ่งที่อยู่รอบตัวคุณเปลี่ยนแปลงไปครับ ให้อภัยคนง่ายขึ้น เอารัดเอาเปรียบคนอื่นน้อยลง รักโลกที่เราอยู่ รักธรรมชาติ รักและห่วงใยมนุษย์ด้วยกันเพิ่มมากขึ้น มีความห่วงใยมากพอที่จะเตือนคนรอบข้าง บางท่านคิดถึงกระทั่งต้องเตือนยังไงเค้าถึงจะฟัง และอธิบายยังไงให้คนอื่นเข้าใจก็มีครับ นั่นคือหลากหลายคอมเมนต์หรือความคิดเห็นของเพื่อนๆ ที่ส่งเข้ามาในรอบ 1-2 ปีที่ผ่านมาครับ

    นั่นแหละครับคือ "Dignity" หรือจิตใจแห่ง "ความเป็นมนุษย์" ที่กำลังลดน้อยถอยลงไปทุกวัน เพราะความผิดบาปทั้งหลายที่กำลังแผ่ขยายและปกคลุมไปทั่วโลกใบนี้

    นานมาแล้วครับที่ผมเคยโพสต์ เรื่องราวของ " Nick Vujicic " บางทีคุณอาจจะลืมเค้าไปแล้ว ในขณะที่มีคนอีกไม่น้อยกวา 3 ล้านคนบนโลกใบนี้ที่มีโอกาสได้รับรู้เรื่องราวของเค้าในช่วงเวลาที่ผ่านมา ลองมาทบทวนกันหน่อยครับ อาจจะช่วยทำให้คุณคิดหรือตอบคำถามบางอย่างที่คุณกำลังสงสัย หรือกำลังรอคำตอบจากผมอยู่ก็ได้ครับ


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/Gc4HGQHgeFE?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01 width=500 height=306 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    แต่มีบางครั้งในชีวิตนะครับที่คุณล้มลง
    แล้วคุณรู้สึกว่าไม่มีกำลังที่จะลุกขึ้น
    ผมล้มลงอยู่ตรงนี้ ก้มหน้าอยู่ตรงนี้ ผมไม่มีแขนไม่มีขา

    ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะลุกขึ้น
    คุณรู้มั๊ย ผมจะพยายามเป็นร้อยครั้ง

    เพื่อที่จะลุกขึ้นทุกครั้งที่ผมล้มลง
    ถ้าผมล้มแล้วผมยอมแพ้ คุณคิดว่าผมจะลุกขึ้นได้มั๊ย
    แต่ถ้าผมพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะไม่ใช่จุดจบ
    มันสำคัญนะครับว่าคุณจะสิ้นสุดลงยังไง

    แล้วคุณจะผ่านมันไปอย่างเข้มแข็ง
    คุณต้องอาศัยกำลังใจที่จะลุกขึ้น
    ...Nick Vujicic...




    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/zKtw6cculF4?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01 width=500 height=400 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    Lived with what you have, Not what you don't have.
    " That's called LIFE "

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/H8ZuKF3dxCY?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01 width=500 height=400 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    I need to know the truth, who I am? Why I'm here?
    Where I'm going while I am not here?



    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/Tl58qufXfYk?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01 width=500 height=306 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>​



    " I am Nothing. God lived in me.
    And I now lived in his Strenght. "......Nick Vujucic

    ***โดยเฉพาะในวีดีโอสุดท้าย ถ้าคุณรู้สึกได้ ผมอยากให้สังเกตุน้ำเสียง สีหน้า แววตาและพลังที่เค้าถ่ายทอดออกมาครับ นั่นแหละครับคือ "พลังแห่งความเชื่อและความหวัง" ซึ่งเค้าสามารถที่จะแปรเปลี่ยนมันให้มาเป็น "พลังแห่งชีวิต" ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของเค้าได้นั่นเองครับ


    The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/home.php?sk=group_170408246326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2010/12/blog-post.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2010-12-21T18:06:00+07:00>6:06 หลังเที่ยง</ABBR> 0 comments [​IMG] [​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-5089107257554408121")); } </SCRIPT>เพลง New World Order......by ศิลปินภูมิจิต


    อย่างที่ผมเคยบอกครับ "ขอให้คนไทยเริ่มตื่นขี้น จะมากน้อยหรือจะกี่คนก็ไม่สำคัญ เพราะถ้าเค้าเหล่านั้นตื่นขึ้นแล้ว "ความหวัง" ก็จะเกิดขึ้นตามมา" และนี่ก็คงเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ตื่นขึ้นแล้วเช่นกันครับ


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/csFnBDMWpqg?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01 width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    เครดิต : ศิลปินกลุ่มภูมิจิต


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1



    โพสต์โดย What's going on in America
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Dec 22 2010, 3:54 AM
    Guest288 (guest): ขอขอบพระคุณ คุณจิมมี่ที่เอื้อเฟื้อให้<WBR>ข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแ<WBR>ก่คนไทยหลายคนที่ไม่มีโอกา<WBR>สจะเข้าถึงข้อมูลดี ๆ เป็นแนวทางแห่งแสงสว่างให้<WBR>ได้พอจับทางเดินค่ะ

    [​IMG]
    [​IMG]
    Dec 22 2010, 3:56 AM
    Guest288 (guest): อยากรบกวนถามคุณจิมมี่ค่ะว<WBR>่า ถ้าเขาทุบทองอาทิตย์นี้ไม่<WBR>ค่อยลง เราก็ต้องระวังอย่างมากในอ<WBR>าทิตย์หน้าใช่ไหมค๊ะ สำหรับคนเล่น จีเอฟค่ะและถ้าจะสะสมแท่งก<WBR>็รอสัปดาห์หน้าดีไหมค๊ะ ขอบคุณค่ะ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 22 2010, 4:01 AM
    JimmySiri: ใช่ครับ ระวังช่วงรอยต่อวันหยุดที่<WBR>จะมีวอลุ่มต่ำ เท่าที่เห็นก็มีความพยามที<WBR>่จะเอาลงทุกคืน ปัจจัยเกาหลีก็เบาลงไปแล้ว โอกาสลงมีสูงขึ้นครับ GF ตอนนี้จะ L จะ S ก็เสี่ยงเพราะราคามายืนอยู<WBR>่บนเส้นแบ่ง ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน แต่ในทางเทคนิค กราฟเริ่มบีบเข้าหากันเหมื<WBR>อนกำลังจะ Break Out ทะลุกรอบไปซักทางอย่างแรง ซึ่งก็ยังบอกไม่ได้ว่าไปทา<WBR>งไหนครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 22 2010, 4:03 AM
    JimmySiri: เพราะปัจจัยพื้นฐานมันต้อง<WBR>ขึ้น แต่โมเมนตั้มของกราฟมันกลั<WBR>บวิ่งลง แล้วค่อนข้างชัน ในระยะสั้น ความแน่นอนไม่มีครับ ส่วนภาพร่างหรือปัจจัยของต<WBR>ลาดในด้านอื่นๆ ยังเหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็น จีนเร่งซื้อเร่งเก็บ แต่ก็ไม่อยากซื้อแพง ยุโรปก็โดนไล่ทุบมาตลอดและ<WBR>คิดว่าคงยาวไปจนเละคามือ เกาหลีก็มาเปลี่ยนท่าทีเอา<WBR>ดื้อๆ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 22 2010, 4:08 AM
    JimmySiri: พ้นสัปดาห์นี้ไปก็น่าจะชัด<WBR>เจนขึ้นในระดับหนึ่งครับ อย่างเมื่อคืนทะลุ 1390 ไปเท่านั้นแหละ โดนเลย ช่วงนี้เลยต้องวิ่งเรียบเส<WBR>้น $<WBR>1,<WBR>385 อยู่อย่างนี้ครับ สรุปสั้นๆ ใน 2 สัปดาห์นี้ ถ้าไม่มีปัจจัยแรงๆอะไรเข้<WBR>ามา ผมยังมองลงได้อีกครับ แต่คงไม่ลึกมากเพราะแรงรับ<WBR>แน่นอยู่ แต่ระวังช่วงรอยต่อวันหยุด<WBR>ใหญ่ครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 22 2010, 5:31 AM
    JimmySiri: วิกีลีคล๊อคเป้าแล้วครับ คือ Bank of America

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 22 2010, 5:31 AM
    JimmySiri: Assange Confirms that Bank of America Is the Target of Bank Leak


    There has been widespread speculation that WikiLeaks would target Bank of America.<WBR>

    This has now been confirmed.<WBR>

    Specifically,<WBR> Agence Press France is reporting:<WBR>

    Assange also confirmed that WikiLeaks was holding a vast amount of material about Bank of America which it intends to release early next year.<WBR>

    [​IMG]
    [​IMG]

    Welcome!!
    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri

    "Operation Wikileaks" ปฏิบัติการป่วนโลก.......Bank of America


    <OBJECT id=flashObj style="CLEAR: right; FLOAT: right" codeBase=http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=9,0,47,0 height=225 width=300 classid=clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000>
























    <embed src="http://c.brightcove.com/services/viewer/federated_f9?isVid=1&isUI=1" bgcolor="#FFFFFF" flashVars="videoId=697852824001&playerID=673439667001&playerKey=AQ~~,AAAAAEBQhPI~,35stD8-Ka9GKFxZcCQe95tSFjP99jVtJ&domain=embed&dynamicStreaming=true" base="http://admin.brightcove.com" name="flashObj" width="300" height="225" seamlesstabbing="false" type="application/x-shockwave-flash" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="always" swLiveConnect="true" pluginspage="http://www.macromedia.com/shockwave/download/index.cgi?P1_Prod_Version=ShockwaveFlash"></embed></OBJECT>เพียงแค่กระแสข่าวของวิกีลีคที่ประกาศจะปล่อยข้อมูลออกมาเกี่ยวกับธนาคารใหญ่ของสหรัฐ ที่คาดการณ์กันว่าน่าจะเป็น Bank of America (BAC) ส่งผลให้ราคาหุ้นของของธนาคารดังกล่าวร่วงลงไป 3.5% แตะที่ระดับ 52 weeks low ด้วยมูลค่าหุ้นที่หายไปถึง 4,000,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (4 Billion) เข้าไปแล้วครับ

    จากข้อมูลเดิม.....
    8.สถาบันการเงินสหรัฐที่ล้มไปแล้วกว่า 300 แห่ง และมีอีก 920 แห่ง(อย่างไม่เป็นทางการ)ที่กำลังรอเพื่อเข้าสู่สภาวะล้มละลาย


    เรามารอดูกันครับว่า Wikileaks เค้าจะทำอะไรและเพื่ออะไร ที่จะมาตีระบบธนาคารที่กำลัง "ง่อนแง่น" และรอเวลาอยู่ ณ ขณะนี้ แต่ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน ฟันธงครับ!!!

    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America
     
  8. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    ขอบคุณมากๆค่ะ สำหรับความคิดเห็น

    ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ก็คงไม่เกิดกับเราคนเดียว ก็คงต้องดำรงชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความมีสติ โดยส่วนตัวเรา คงมีผลไม่มาก มีน้อยก็กระทบน้อยนะคะ ไม่มีเลยก็ไม่มีผลอย่างที่คุณพูด ถ้าเราอยู่อย่างพอเพียง ช่วยเหลือตัวเอง ปลูกข้าวปลูกผัก หาปลากินเองได้ คงไม่อดตาย ข้าวสาร น้ำตาล เกลือ น้ำมัน อะไรพอตุนได้ ก็จะลองตุนไว้ดู
    สำหรับทอง ก็คงถือไว้เท่าที่พอทำได้ มีไว้อุ่นใจเท่านั้นค่ะ ถ้าไม่ได้ก็ไม่โลภมาก สิ่งสำคัญคือ เราต้องมีชีวิตต่อไปให้ได้ อย่าไปซีเรียสมาก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด บางทีเราก็ควบคุมไม่ได้นะคะ ตัวเล็กๆอย่างเรา พอจะทำได้คือถ้าพอจะช่วยอะไรใครได้บ้าง เล็กๆน้อยๆ ก็ถือว่าตัวเองมีคุณค่าและโชคดีมากพอ ที่มีศักยภาพที่จะช่วยผู้อื่นได้
    และถือว่าตัวเองโชคดี ที่มีโอกาสได้รับข้อมูลข่าวสารมาเรื่อยๆ ถึงเวลามีอะไรเกิดขึ้น จะได้มีสติ ไม่ตกใจเกินเหตุ และอาจช่วยดึงสติให้คนอื่นๆได้ด้วย
    แต่ก็ขอให้อย่าเกิดขึ้นเลยนะคะ อยากให้เป็นปกติแบบนี้ต่อไปดีกว่า ดีต่อคนหมู่มาก อย่างไรก็ดี โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ขอบุญจงรักษาทุกท่านค่ะ
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    'แอสซานจ์'ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ถูกยก'บุคคลแห่งปี'ของเลอ มองด์
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>23 ธันวาคม 2553 04:03 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    จูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์
    เอเอฟพี - จูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ ถูกยกให้เป็น "บุคคลแห่งปี" ของหนังสือพิมพ์เลอ มองด์ ของฝรั่งเศส 1 ใน 5 สื่อมวลชนที่ร่วมมือกับเว็บไซต์จอมแฉแห่งนี้เผยแพร่เอกสารลับทางการทูตของสหรัฐฯ

    รายงานข่าวระบุว่า เลอ มองด์ จะประกาศชื่อของ แอสซานจ์ อย่างเป็นทางการ ในนิตยสารแทรกรายสัปดาห์ของหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีกำหนดวางแผงในวันศุกร์นี้(24)

    ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้โหวตให้ แอสซานจ์ เป็นบุคคลแห่งปี ด้วยคะแนนถึงร้อยละ 56 ตามมาด้วย หลิว เสี่ยวโป เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพผู้ขัดขืดจีน ที่ได้รับเสียงสนับสนุนร้อยละ 22 ขณะที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊คและบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ รั้งอันดับ 3 ได้คะแนนโหวตเพียงร้อยละ 6.9

    Around the World - Manager Online - '
     
  10. konngaam

    konngaam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2008
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +369
    เรื่องทองปลอมโดยการชุบหนาขึ้นนี่มีจริงนะครับได้เห็นมาแล้ว ยังไงก็ระวังกันไว้สักหน่อยแล้วกันครับ
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
    Dec 22 2010, 9:29 PM
    Vince (guest): FEMA urges all Americans to prepare for earthquakes or
    other disasters http://tristate-media.com/<WBR>drr/<WBR>news/<WBR>local_news/<WBR>article_3028d7a8-09ff-11e0<WBR>-b94c-001cc4c03286.html
    [​IMG]
    Daily Republican Register: Local News - FEMA urges all Americans to prepare for earthquakes or other disasters


    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 23 2010, 12:13 AM
    JimmySiri: นั่น คุณวินซ์เอาอีกแล้ว ครั้งที่แล้วก็เรื่องมิเตอ<WBR>ร์ไปทีนึงแล้ว ครั้งนี้จะแม่นเหมือนเดิมห<WBR>รือเปล่าครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 23 2010, 12:13 AM
    JimmySiri: เมื่อเช้าผมเพิ่งดูรายงานเ<WBR>รื่องแรงสั่นสะเทือนที่เกิ<WBR>ดขึ้นพร้อมกันเกือบทั่วทุก<WBR>
    มุมโลก อย่างรุนแรงผิดสังเกตุครับ เป็นเรื่องแปลกมาก เพราะไม่เคยเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
    อย่างนี้มาก่อน ดูแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไห<WBR>ร่ แต่คนที่เค้าเก็บข้อมูลเค้<WBR>าตื่นเต้นกับเรื่องนี้มากเ<WBR>
    พราะเค้าก็ไม่เคยเห็นว่ามั<WBR>นทำไมเกิดขึ้นพร้อมๆ กันอย่างนี้ เดี่ยวขอค้นก่อนไม่รู้ว่าจ<WBR>ะเจอ
    หรือเปล่านะครับ อาจจะมีอะไรที่เชื่อมโยงกั<WBR>น FEMA ถึงออกมาเตือนแบบนี้ น่าคิดครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 23 2010, 12:18 AM
    JimmySiri: เจอแล้วครับ [ame="http://www.youtube.com/watch?v=LJ_0Yq4ZMO4"]http://www.youtube.com/<WBR>watch?v=LJ_0Yq4ZMO4[/ame] [ame="http://www.youtube.com/watch?v=LJ_0Yq4ZMO4"] [/ame]
    [​IMG]


    [​IMG]

    Dec 23 2010, 12:23 AM
    JimmySiri: ใครที่สนใจติดตามเรื่องนี้<WBR>อยู่ก็ลองดูๆ นะครับ เพราะมันไปตรงกับคำ
    พยากรณ์<WBR>ของนักพยากรณ์คนไทยท่านนึง<WBR>ที่เค้าคาดการว่าจะเกิดซึน<WBR>ามิในประเทศไทยอีก
    ครั้งในว<WBR>ันที่ 30 ธันวาคมนี้ จะเป็นความบังเอิญหรืออย่า<WBR>งไรก็ไม่ทราบได้ครับ ด้วยความ
    หวังว่าคงไม่มีอะไ<WBR>รรุนแรงนะครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Welcome!!
    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โดย <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Kamen rider<!-- google_ad_section_end -->
    หายนะ อเมริกา ตาม พระคัมภีร์ วิวรณ์ บทที่17....

    แปลได้ บางบท เคยฟัง กับอ่านๆๆ มา

    17:1 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในเจ็ดองค์ที่ถือขันเจ็ดใบนั้น มาหาข้าพเจ้าและพูดว่า "เชิญมาที่นี่เถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูการพิพากษาลงโทษหญิงแพศยาคนสำคัญที่นั่งอยู่บนน้ำมากหลาย

    หญิงแพศยา ใช้แทน พฤติกรรมของ อเมริกา ครับ นิสัย อยู่ด้วยผลประโยชน์ หลอกลวง สำส่อนไปทั่ว เห็นๆ กันอยู่ ....คือเค้าใช้คำได้แรงและ น่า รังเกียจ มาก....แล้ว ตกลงในความเป็นจริง อเมริกา ทำตัว น่ารังเกียจ ขนาดนั้น เชียวหรือ ท่อนนี้จะกล่าวถึง จุดจบบางประการของ อเมริกา

    "น้ำมากหลายที่ท่านได้เห็นหญิงแพศยานั่งอยู่นั้น ก็คือชนชาติ มวลชน ประชาชาติ และภาษาต่างๆ

    17:2 คือหญิงที่บรรดากษัตริย์ทั่วแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีด้วย และคนทั้งหลายที่อยู่ในแผ่นดินโลกก็ได้มัวเมาด้วยเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของเธอ"

    ความสัมพันธ์ ประเทศทั้งหลาย ในโลก กับ อเมริกา อำนาจ วัฒนธรรม ข่าวสาร เศรษฐกิจ ครอบคุมทั่ว โลก ทุกประเทศ จะถูก ระบบอเมริกา กลืน เดินตามเอมริกาเป็นแถบ เพราะวัฒนธรรม ทางวัตถุของเอมริกา จะตอบ สนอง กิเลส มนุษย์ ได้ สุดๆ ....ทุกประเทศจะ นิยม เหมือนกับ หลงไหล มัวเมา เหล้า องุ่น ให้เห็นว่า เป็นคุณค่า เป็นอารยธรรม ที่แสนวิเศษ ตามอำนาจ พลัง ข่าวสาร ที่ อเมริกา ประเคน หลอกล่อ ยัดเยียด ให้


    17:4 หญิงนั้นนุ่งห่มด้วยผ้าสีม่วงและสีแดงเข้ม และประดับด้วยเครื่องทองคำ เพชรพลอยต่างๆและไข่มุก หญิงนั้นถือถ้วยทองคำที่เต็มด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนและของโสโครกแห่งการล่วงประเวณีของตน

    การล่วงประเวณี ให้ดู ประวัติศาสตร์ครับ หลังจากอังกฤษ หมดอำนาจ มหาอำนาจ..อเมริกาเข้ามาแทนที่...ด้วย...การที่พยายามจะเป็นเจ้าโลก....อเมริกาได้ทำ...อะไรไว้ในโลกบ้าง.......อเมริกาใช้ทุกวิถีทาง แห่ง ระบบ ทุนนิยม...สร้างความหายนะ อะไรกับ โลกใบนี้บ้าง.....ดูดกลืนทรัพยากรณ์ จากประเทศต่างๆ...เข้าไป ยุ่ง เข้าไป แหย่ ใคร บ้าง........หยาดน้ำตาเท่าไหร่..เลือดเท่าไหร่..ทำความแค้น ให้ ประเทศใหนบ้าง...ถ้วยทองคำที่เต็มด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนและของโสโครกแห่งการล่วงประเวณีของตน หมายถึง อานาจทางการเงินเศรษกิจ บน ความหายนะ ของ ประเทศต่างๆ


    17:7 ทูตสวรรค์องค์นั้นจึงถามข้าพเจ้าว่า "เหตุไฉนท่านจึงอัศจรรย์ใจ ข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านรู้ถึงความลึกลับของหญิงนั้น และของสัตว์ร้ายที่มีเจ็ดหัวและสิบเขาที่เป็นพาหนะของหญิงนั้น

    หมาย ถึง อเมริกา และ บรรดา ประเทศ คูค้า คู่ร่วมผลประโยชน์ อุ้มชูกันอยู่


    17:16 เขาสิบเขาที่ท่านได้เห็นอยู่บนสัตว์ร้าย จะพากันเกลียดชังหญิงแพศยานั้น จะกระทำให้นางโดดเดี่ยวอ้างว้างและเปลือยกาย และจะกินเนื้อของหญิงนั้น และเผานางเสียด้วยไฟ

    เขาสิบเขา น่าจะเป็นกลุ่ม ประเทศ พันธมิตร ทาง เศรษ กิจ ที อเมริกาพึ่งพาอยู่...อยู่ด้วยผลประโยชน์......ไม่จริงใจ..ในที่สุด...ถึงคราวแตกหัก.....อเมริกาเจอ เอาคืน...สุดท้าย เจอ ไฟ ซึ่ง เป็นนิวเคลีย แน่ๆ


    17:18 และผู้หญิงที่ท่านเห็นนั้นก็คือนครใหญ่ ที่มีอำนาจเหนือกษัตริย์ทั้งหลายทั่วแผ่นดินโลก"

    ประเทศ มหาอำนาจ อเมริกาแน่นอน บท นี้


    ผมแปลนำทางให้แล้ว ใครจะต่อ อันนี้เอาจากอีกที่หนึ่ง


    ทูต
    สวรรค์องค์ที่สองได้ประกาศให้รู้ว่า บาบิโลนมหานครนั้นล่มจมแล้ว ล่มจมแล้ว
    บาบิโลนมหานคร ได้ถูกพูดถึงชัดเจนยิ่งขึ้นในบทที่ 16:18-19 และในบทที่ 18 ซึ่งได้กล่าวถึงบาบิโลนเป็นมหานครอย่างน้อย 9 แห่ง


    14:8 ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเป็นองค์ที่สองตามไปประกาศว่า บาบิโลนมหานครนั้นล่มจมแล้ว ล่มจมแล้วนครนั้นทำให้ประชาชาติทั้งปวงดื่มเหล้าองุ่น แห่งความกำหนัดของเธอในการร่วมประเวณี

    16:18-19 "และเกิดมีฟ้าแลบ มีเสียงต่างๆ มีฟ้าร้อง และเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ซึ่งตั้งแต่มีมนุษย์มาเกิดบนแผ่นดินโลกไม่เคยมีแผ่นดินไหวร้ายแรงเช่นนี้เลย มหานครนั้น ก็แยกออกเป็นสามส่วน และบ้านเมืองของนานาประชาชาติก็ล่มจม พระเจ้ามิได้ทรงลืมมหานครบาบิโลน พระองค์ทรงให้มหานครนั้นดื่มถ้วยแห่งพระพิโรธอันใหญ่หลวงของพระองค์"

    17:5 และที่หน้าผากของหญิงนั้นเขียนชื่อแฝงความหมายไว้ว่าบาบิโลนมหานคร แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย และแม่สิ่งทั้งปวงที่น่าสะอิดสะเอียนแห่งแผ่นดินโลก

    17:18 และผู้หญิงที่ท่านเห็นนั้นคือ นครใหญ่ ที่มีอำนาจเหนือกษัตริย์ทั้งหลายทั่วแผ่นดินโลก

    18:2 ท่านได้ร้องประกาศเสียงกึกก้องว่า "บาบิโลนมหานครล่มจมแล้ว ล่มจมแล้ว กลายเป็นที่อาศัยของผีปีศาจเป็นที่สิงอยู่ของผีโสโครกทุกอย่างที่ไม่สะอาด

    และน่าเกลียด"

    18:7 นครบาบิโลนได้เย่อหยิ่งจองหอง และเสเพลมากเท่าใด ก็จงให้นครนั้นได้รับการทรมานและความระทมทุกข์มากเท่านั้น เพราะว่านครนั้นทนงใจว่า เราดำรงอยู่ในตำแหน่งราชินี ไม่ใช่หญิงม่าย เราจะไม่ประสบความระทมทุกข์เลย

    18:10 พวกกษัตริย์จะยืนอยู่แต่ห่างๆ เพราะกลัวภัยแห่งการทรมานแห่งนครนั้น และกล่าวว่า"วิบัติแล้ว วิบัติแล้วบาบิโลนมหานคร ที่ยิ่งใหญ่เจ้าได้รับการพิพากษาโทษให้พินาศไปภายในชั่วโมงเดียวเท่านั้น"

    18:15-17 บรรดาพ่อค้าที่ได้ขายสิ่งของเหล่านั้น จนเป็นคนมั่งมีเพราะนครบาบิโลนนั้นจะยืนอยู่แต่ไกล เพราะกลัวภัยจากการทรมานของนครนั้นพวกเขาจะไห้คร่ำครวญด้วยเสียงดังว่า วิบัติแล้ว วิบัติแล้วมหานครนั้น ที่ได้นุ่งห่มผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วงและผ้าสีแดงเข้ม ที่ได้ประดับด้วย ทองคำ เพชรพลอยต่างๆ และไข่มุกนั้นเพียงในชั่วโมงเดียวทรัพย์สมบัติเหล่านั้นพินาศ ศูนย์ไปสิ้น และนายเรือทุกคน คนที่โดยสารเรือพวกลูกเรือและคนทั้งหลาย ที่มีอาชีพทางทะเลก็ได้ยืนอยู่แต่ห่างๆ

    18:18-21 และเมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นควันไฟไหม้นครนั้นก็ร้องว่า นครใดเล่าจะเป็นเหมือนมหานครนี้และเขาก็โปรยผงคลีลงบนศีรษะของตน พลางร้องไห้คร่ำ ครวญว่า วิบัติแล้ว วิบัติแล้วมหานครนี้อันเป็นที่ซึ่งคนทั้งปวง ที่มีเรือกำปั่นเดินทะเลได้ เป็นคนมั่งมีขึ้นด้วยทรัพย์สมบัติของนครนั้นภายในชั่วโมงเดียวนครนั้นก็เป็นที่ร้างเปล่า แน่ะเมืองสวรรค์บรรดาธรรมิกชน อัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะทั้งหลายจงร่าเริงยินดีเพราะนครนั้นเถิด เพราะ พระเจ้าได้ทรงพิพากษาลงโทษนครนั้นให้ท่านทั้งหลายแล้ว แล้วทูตสวรรค์ องค์ที่มีฤทธิ์มากก็ได้ยกหินก้อนหนึ่งเหมือนหินโม่ใหญ่ทุ่มลงไปในทะเล แล้วว่า บาบิโลนมหานครนั้นจะถูกทุ่มลงโดยแรง อย่างนี้แหละและจะไม่มี เห็นนครนั้นอีกต่อไปเลย และจากภาพที่บรรยาย เราจะพบว่ามหานครบาบิโลนเป็นศูนย์กลางของโลกไม่ว่าระบบการเมือง (17:2,18) ระบบเศรษฐกิจ (18:11,15,19) ระบบศาสนา (17:3,6, 18:24) และสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง (17:5, 18:2)

    ทูตสวรรค์องค์ที่สามได้ประกาศให้รู้ว่า ผู้ที่บูชาสัตว์ร้ายและรูปของมันคือ ผู้ที่มีเครื่องหมายของสัตว์ร้ายจะต้องรับพระพิโรธจากพระเจ้าเขาจะต้องถูกทรมานด้วยไฟ และกำมะถันตลอดไปนิตย์ ไม่มีการพักผ่อนเลยทั้งกลางวันและกลางคืน

    2. มหานครบาบิโลนล่ม 18:1-19:5

    ในช่วงก่อนที่มหานครบาบิโลนจะล่ม ยอห์นได้ยินเสียงร้องที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถแยกแยะได้เป็นสี่ประเภทด้วยกัน



    1. เสียงแห่งการลงโทษ (18:1-3)



    เสียงร้องดังกึกก้องจากทูตสวรรค์ว่า บาบิโลนล่มจมแล้วนครนี้ได้กลายเป็นที่อาศัยของความชั่วทั้งปวง โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับศาสนา เพราะประชาชาติได้มัวเมาหลงไหลกับนครนี้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่เต็มไปด้วยการบูชารูปเคารพและเต็มไป


    ด้วยความผิดบาป บาปของนครนี้ได้กองสูงขึ้นถึงสวรรค์แล้ว (18:5)


    2. เสียงเรียกให้แยกออกจากนครนี้ (18:4-8)



    เสียงเรียกจากสวรรค์บอกให้ชนชาติของพระเจ้าให้ออกจากนครนี้ (18:4) เพื่อพวกเขาจะได้ไม่มีส่วนในความผิดบาปของนครนี้ และจะได้ไม่ต้องรับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับนครนี้ และภัยพิบัตินี้ได้แก่ โรคระบาด ความระทมทุกข์ การกันดารอาหาร และไฟจะเผานครนี้จนพินาศสิ้นภายในวันเดียว (18:8) บาบิโลนที่เคยเย่อหยิ่งทะนงใจว่าตนอยู่อย่างราชินี (ยิ่งใหญ่มั่นคง มีพร้อมทุกสิ่ง) ไม่ใช่หญิงม่าย (ต่ำต้อย ไร้ที่พึ่ง ขาดแคลน) แต่เพียงวันเดียวทุกอย่างก็เปลี่ยนไป



    3. เสียงร่ำไห้คร่ำครวญ (18:9-19)



    จากเหตุการณ์ความพินาศของบาบิโลนได้ทำให้มีคนสามกลุ่มที่พิลาปร่ำไห้


    áละคร่ำครวญ

    - บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกที่ผูกพันกับมหานครนี้ พวกเขาร่ำไห้เพราะเห็นความพินาศของบาบิโลน และกลัวภัยแห่งการทรมานนครนั้นจะถึงตน (สะท้อนภาพว่าบาบิโลนเป็นศูนย์กลางทั้งด้านศาสนาและการเมือง)

    - บรรดาพ่อค้าในแผ่นดินโลก พวกเขาร่ำไห้ เพราะนครนี้เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ มีการค้าขายทุกชนิดแม้ชีวิตมนุษย์ พวกเขาทั้งหลายกลายเป็นคนมั่งมีเพราะนครนี้ แต่บัดนี้ทุกอย่างก็พินาศสูญสิ้น และพวกเขาก็กลัวภัยจากการทรมานนครจะถึงตนด้วย

    - บรรดาเรือ ผู้มีอาชีพทางทะเลทั้งหลาย ต่างก็โปรยผงลงศีรษะของตนและร้องไห้คร่ำครวญ เพราะพวกเขากลายเป็นคนมั่งมีได้เพราะนครนี้ บัดนี้กลายเป็นนครร้างเปล่าแล้ว และพวกเขาก็กลัวภัยพิบัติจากนครนี้จะถึงตนด้วย (สะท้อนภาพให้เห็นว่าบาบิโลนเป็นศูนย์กลางคมนาคมของโลก)

    น่าสังเกต คือคนเหล่านั้นทุกกลุ่มต่างก็ยืนอยู่แต่ห่างเพราะกลัว (18:10,15,17) ต่างก็คร่ำครวญว่า วิบัติแล้ว วิบัติแล้ว (18:10,16,19) ต่างก็บอกว่า ภายในชั่วโมงเดียวเท่านั้น (18:10,17,19) และภาพที่ทุกกลุ่มร่ำไห้คร่ำครวญแสดงออกถึงการหวั่นวิตกในผลประโยชน์ของตนมากกว่า


    4. เสียงแห่งความชื่นชนยินดี (18:20-24)



    หลังจากเสียงพิลาปร่ำไห้ของบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับบาบิโลนแล้ว เสียงที่ยอห์นได้ยินคือ การเชิญชวนคนของพระเจ้าให้ร่าเริงเพราะพระเจ้าได้ทรงพิพากษานครนี้แล้ว นครนี้ได้ฆ่าคนของพระเจ้ามากมาย (18:24) ตรงข้ามกับเสียงความชื่นชมยินดีบนสวรรค์คือ ความว่างเปล่า และเงียบสงบของบาบิโลนเพราะบาบิโลนถูกกลืนหายลงไปในทะเลเหมือน


    หินโม่ใหญ่ที่ถูกทุ่มลงในทะเล ความสนุกสนานวิทยาการต่างๆ การงานทั้งหลายและความร่าเริงจะหมดหายไป (18:22-23)

    บาบิโลนมีความเป็นมาอย่างไร และในพระธรรมวิวรณ์ยอห์นต้องการชี้ว่ามหานครบาบิโลน คือที่ไหน นี่เป็นคำถามที่ยังคงแสวงหาคำตอบ

    เริ่มจากพระธรรมปฐมกาลบทที่ 10 ได้บันทึกว่านิมโรดพรานใหญ่ยิ่งต่อพระพักตร์พระเจ้า เป็นผู้ทรงสร้างเมืองบาบิโลน (ปฐมกาล 10:9-10) บาบิโลนตั้งอยู่ในแผ่นดินชินาร์ (ปฐมกาล 10:10) ซึ่งเป็นที่ตั้งเดียวกับหอบาเบล (ปฐมกาล 11:1-9) และเป็นที่ราบอันอุดมสมบูรณ์บริเวณแม่น้ำยูเฟรติส บาบิโลนได้กลายเป็นจักรวรรดิภายใต้การนำของกษัตริย์ฮัมมูราบี (Hammurabi) ในช่วงก่อนคริสตศักราช.1726 - 1686 และเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องกฎหมายของฮัมมูราบีซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลก แต่ช่วงที่บาบิโลนรุ่งเรืองที่สุดนั่นอยู่ในช่วงของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก่อน

    คริสตศักราช 600 ทรงสร้างเมืองขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนลอยฟ้าซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ด

    สิ่งมหัศจรรย์ของโลกโบราณ และชนชาติอิสราเอลถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยอยู่ที่บาบิโลน ในปีก่อนคริสตจักรศักราช 587 จักรวรรดิบาบิโลนได้ล่มสลายลงเมื่ออาณาจักรมีเดียเข้ามายึดครอง ต่อมาตกอยู่ภายใต้การปกครองของเปอร์เซีย, กรีก, โรม ปัจจุบันบาบิโลนอยู่ในประเทศอิรัก สวยลอยฟ้าเป็นเมืองโบราณ หรือพิพิธภัณฑ์สถาน

    สำหรับคริสตจักรในยุคแรก หรือช่วงเวลาของยอห์นผู้เขียนพระธรรมวิวรณ์ มหานคร บาบิโลนเป็นภาษาสัญลักษณ์ หมายถึง อาณาจักรโรม แต่ขณะเดียวกันก็จะเกี่ยวข้องกับความเป็นศูนย์กลางของอาณาจักร นิมิตที่ยอห์นได้รับ เสียงจากทูตสวรรค์ที่ประกาศว่า บาบิโลนมหานครนั้นล่มจมแล้ว (14:8) วิบัติแล้ว วิบัติแล้ว บาบิโลนมหานครที่ยิ่งใหญ่ เจ้าได้รับการพิพากษาโทษให้พินาศไปภายในชั่วโมงเดียวเท่านั้น (18:10) มหานครบาบิโลนที่เอ่ยถึงนี้น่าจะหมายถึง ประเทศหรืออาณาจักรไหนกันแน่ มีผู้ให้ข้อคิดเห็นแตกต่างกันมากมาย พอสรุปได้อย่างน้อย 3 แห่งด้วยกัน

    1. อาณาจักรโรมที่ถูกฟื้นขึ้นมาใหม่ ซึ่งอาจหมายถึงกลุ่มประเทศในยุโรปที่จะรวมตัวกันเป็นสหราชอาณาจักร เหมือนอาณาจักรเดียวกันที่ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางต่างๆ ของโลก เมื่อการคมนาคมของยุโรปได้ผูกพันเป็นเอกภาพและเงินยูโรถูกใช้เป็นสกุลเดียวกันทั่วยุโรป ภาพของยุโรปเป็นอาณาจักรโฉมใหม่เริ่มถูกกล่าวถึงมากขึ้น

    2. อาณาจักรบาบิโลนที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ซึ่งอาจหมายถึง ประเทศในตะวันออกกลาง อิรักหรืออิหร่านที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกอาหรับก่อนแล้วขยายครอบคลุมไปทั่วโลก



    (b-wow)

    3. มหาอำนาจประเทศหนึ่งในโลกนี้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา ศาสนาและการอำนาจทางการเมือง หลังจากค่ายคอมมิวนิสต์ในยุโรปและสหภาพรัสเซียล่มสลายแล้วมีมหาอำนาจเดียว

    ที่เหลืออยู่ คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นทั้งศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกและมีอิทธิพลทางทหารและอาวุธมากที่สุด

    ของโลกทุกวันนี้

    ต่อด้วยบท 18
    18:1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ข้าพเจ้าก็ได้เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านมีอำนาจใหญ่ยิ่ง และรัศมีของท่านได้ทำให้แผ่นดินโลกสว่างไป

    18:2 ท่านได้ร้องประกาศด้วยเสียงกึกก้องว่า "บาบิโลนมหานครล่มจมแล้ว ล่มจมแล้ว กลายเป็นที่อาศัยของผีปิศาจ เป็นที่คุมขังของผีโสโครกทุกอย่าง และเป็นกรงของนกทุกอย่างที่ไม่สะอาดและน่าเกลียด

    18:3 เพราะว่าประชาชาติทั้งปวงได้ดื่มเหล้าองุ่นแห่งความเดือดดาลในการล่วงประเวณีของนครนั้น และบรรดากษัตริย์บนแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีกับนครนั้น และพ่อค้าทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลกก็ได้มั่งมีขึ้นด้วยทรัพย์ฟุ่มเฟือยของนครนั้น"

    18:4 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งประกาศมาจากสวรรค์ว่า "ชนชาติของเรา จงออกมาจากนครนั้นเถิด เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่มีส่วนในการบาปของนครนั้น และเพื่อท่านจะไม่ต้องรับภัยพิบัติที่จะเกิดแก่นครนั้น

    18:5 เพราะว่าบาปของนครนั้นกองสูงขึ้นถึงสวรรค์แล้ว และพระเจ้าได้ทรงจำความชั่วช้าแห่งนครนั้นได้

    18:6 นครนั้นได้ให้ผลอย่างไร ก็จงให้ผลแก่นครนั้นอย่างนั้น และจงตอบแทนการกระทำของนครนั้นเป็นสองเท่า ในถ้วยที่นครนั้นได้ผสมไว้ก็จงผสมลงเป็นสองเท่าให้นครนั้น

    18:7 นครนั้นได้เย่อหยิ่งจองหองและมีชีวิตอย่างหรูหรามากเท่าใด ก็จงให้นครนั้นได้รับการทรมานและความระทมทุกข์มากเท่านั้น เพราะว่านครนั้นทะนงใจว่า `เราดำรงอยู่ในตำแหน่งราชินี ไม่ใช่หญิงม่าย เราจะไม่ประสบความระทมทุกข์เลย'

    18:8 เหตุฉะนั้น ภัยพิบัติต่างๆของนครนั้นจะเกิดขึ้นในวันเดียว ความตาย และความระทมทุกข์ การกันดารอาหาร และไฟจะเผานครนั้นให้พินาศหมดสิ้น เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า ผู้ทรงพิพากษานครนั้น ทรงอานุภาพยิ่งใหญ่"

    18:9 บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกที่ได้ล่วงประเวณีกับนครนั้น และได้มีชีวิตอย่างหรูหราร่วมกันนั้น เมื่อได้เห็นควันไฟที่ไหม้นครนั้น ก็จะพิลาปร่ำไห้คร่ำครวญเพราะนครนั้น

    18:10 พวกกษัตริย์จะยืนอยู่แต่ห่างๆเพราะกลัวภัยแห่งการทรมานของนครนั้น และจะกล่าวว่า "อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย บาบิโลนมหานครที่ยิ่งใหญ่ นครที่แข็งแรง เพราะเจ้าได้รับการพิพากษาโทษให้พินาศไปภายในชั่วโมงเดียวเท่านั้น"

    18:11 บรรดาพ่อค้าในแผ่นดินโลกจะร่ำไห้คร่ำครวญเพราะนครนั้น เพราะว่าไม่มีใครซื้อสินค้าของเขาอีกต่อไปแล้ว

    18:12 สินค้าเหล่านั้นคือ ทองคำ เงิน เพชรพลอยต่างๆ ไข่มุก ผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วง ผ้าไหม ผ้าสีแดงเข้ม ไม้หอมทุกชนิด บรรดาภาชนะที่ทำด้วยงา บรรดาภาชนะไม้ที่มีราคามาก ภาชนะทองสัมฤทธิ์ ภาชนะเหล็ก ภาชนะหินอ่อน

    18:13 อบเชย เครื่องเทศ เครื่องหอม กำยาน เหล้าองุ่น น้ำมัน ยอดแป้ง ข้าวสาลี สัตว์ต่างๆ แกะ ม้า รถรบ และทาส และชีวิตมนุษย์

    18:14 และผลซึ่งจิตของเจ้ากระหายใคร่ได้นั้นก็ล่วงพ้นไปจากเจ้าแล้ว สิ่งสารพัดอันวิเศษยิ่งและหรูหราก็พินาศไปจากเจ้าแล้ว และเจ้าจะไม่ได้พบมันอีกเลย

    18:15 บรรดาพ่อค้าที่ได้ขายสิ่งของเหล่านั้น จนเป็นคนมั่งมีเพราะนครนั้น จะยืนอยู่แต่ไกลเพราะกลัวภัยจากการทรมานของนครนั้น พวกเขาจะร้องไห้คร่ำครวญด้วยเสียงดัง

    18:16 ว่า "อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย มหานครนั้น ที่ได้นุ่งห่มผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วง และผ้าสีแดงเข้ม ที่ได้ประดับด้วยทองคำ เพชรพลอยต่างๆและไข่มุกนั้น

    18:17 เพียงในชั่วโมงเดียว ทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่นั้นก็พินาศสูญไปสิ้น" และนายเรือทุกคน คนที่โดยสารเรือ พวกลูกเรือ และคนทั้งหลายที่มีอาชีพทางทะเล ก็ได้ยืนอยู่แต่ห่างๆ

    18:18 และเมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นควันไฟที่ไหม้นครนั้นก็ร้องว่า "นครใดเล่าจะเป็นเหมือนมหานครนี้"

    18:19 และเขาทั้งหลายก็โปรยผงคลีลงบนศีรษะของตน พลางร้องไห้คร่ำครวญว่า "อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย มหานครนั้น อันเป็นที่ซึ่งคนทั้งปวงที่มีเรือกำปั่นเดินทะเลได้กลายเป็นคนมั่งมีด้วยเหตุจากสิ่งของมีค่าของนครนั้น เพราะภายในชั่วโมงเดียวนครนั้นก็เป็นที่รกร้างไป"

    18:20 เมืองสวรรค์ พวกอัครสาวกอันบริสุทธิ์ และพวกศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย จงร่าเริงยินดีเพราะนครนั้นเถิด เพราะพระเจ้าทรงแก้แค้นต่อนครนั้นให้ท่านทั้งหลายแล้ว

    18:21 แล้วทูตสวรรค์องค์หนึ่งที่มีฤทธิ์มาก ก็ได้ยกหินก้อนหนึ่งเหมือนหินโม่ใหญ่ทุ่มลงไปในทะเลแล้วว่า "บาบิโลนมหานครนั้นจะถูกทุ่มลงโดยแรงอย่างนี้แหละ และจะไม่มีใครเห็นนครนั้นอีกต่อไปเลย

    18:22 และจะไม่มีใครได้ยินเสียงนักดีดพิณเขาคู่ นักเล่นมโหรี นักเป่าปี่ และนักเป่าแตร ในเจ้าอีกต่อไป และในเจ้าจะไม่มีช่างในวิชาช่างต่างๆอีกต่อไป และจะไม่มีใครได้ยินเสียงโม่แป้งในเจ้าอีกต่อไป

    18:23 และในเจ้าจะไม่มีแสงประทีปส่องสว่างอีกต่อไป และจะไม่มีใครได้ยินเสียงเจ้าบ่าวเจ้าสาวในเจ้าอีกต่อไป เพราะว่าบรรดาพ่อค้าของเจ้าได้เป็นคนใหญ่โตแห่งแผ่นดินโลกแล้ว และโดยวิทยาคมของเจ้าได้ล่อลวงบรรดาประชาชาติให้ลุ่มหลง

    18:24 และในนครนั้นเขาได้พบโลหิตของพวกศาสดาพยากรณ์และพวกวิสุทธิชน และบรรดาคนที่ถูกฆ่าบนแผ่นดินโลก"<!-- google_ad_section_end -->

    เครดิต http://palungjit.org/threads/หายนะ-อเมริกา-ตาม-พระคัมภีร์-วิวรณ์-บทที่17.9723/

    http://www.geocities.com/janejira_jc/Rev/Rev_6.html<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2010
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หนังสือ Maxed Out ไวรัสการเงินของอเมริกากำลัง"ระบาดทั่วโลกแล้ว



    [​IMG]
    "Maxed Out"คือ หนังสือขายดีของ James d.scurlock ผมเคยอ่านนานแล้ว เกี่ยวกับ "ความร้ายกาจของธุรกิจการเงินที่มีต่อสังคม" จะว่าไปแล้วผมก็ทำงานธนาคาร..เอ๊กๆ!!(แต่ไม่เกี่ยว ผมไม่ใช่เจ้าของ จึงพูดได้ หุ หุ...) ..เรื่องมีอยู่ว่า ธุรกิจการเงินแท้จริงแล้วสามารถสร้างและทำลายคนได้ เนื่องจากปัจจุบัน"แม้แต่คนที่มีการศึกษา"ยังตกเป็นเครื่องมือของ"เหยื่อล่อ ..ทางการเงิน"สิ่งนั้นก็คือ "ความโลภ"นั้นเอง

    สมัยก่อนเรามักถูกสอนโดย "ปู่ย่าตายาย"ว่าอย่าสร้างหนี้ จงใช้จ่ายแต่พอตัว ..สิ่งเหล่านี้ถูกแทนที่ด้วย"เอาของที่คุณอยากได้ไปก่อน แล้วค่อยจ่ายทีหลัง" ประเด็นปัญหามันอยู่ที่"หนี้"ที่คุณสร้างมันไม่ใช่หนี้ธรรมดา แต่มันเป็น"หนี้ทวีคูณ" --เพราะ"ดอกเบี้ย"ของสินค้าเหล่านี้อาจดูน้อยๆ..ผ่อนเดือนละไม่เท่าไหร่ แต่พอคำนวณเข้าจริง"มันเกือบเท่าตัว" ...ปัญหาหนี้เหล่านี้มีรากเหง้าจาก ประเทศที่"ศิวิไลทางการเงิน"อย่างอเมริกาที่คิด Product ทุกรูปแบบ ตั้งแต่คุณอยู่โรงเรียนก็ออก "Debit Card"ให้ พอคุณอยู่มหาลัย แทนที่จะให้เราจ่ายเงินสด..กลับปลูกฝังให้เราจ่ายผ่านบัตร พออายุถึงเริ่มทำงานก็ส่ง "Credit Card" มาให้ ..พอสักพักก็ส่ง "Car Loan" ตามด้วย "Home Loan" ..นี่แหละครับหลักการ Maxed Out คือ"ปลอกลอกคุณ"--ให้เป็นหนี้ให้มากที่สุด บวกดอกเบี้ยอีกหัวบาน และท้ายสุดก็รวมหนี้คุณเป็นก้อนเล็กๆ --"ให้คุณผ่อนจ่าย(ชั่วชีวิต)"

    เดี๋ยวนี้เด็กหลายๆคน จ่าย Credit Card แค่ Minimum Required โดยไม่เคยรู้เลยว่า แท้จริง"เขาจ่ายเกิน(ราคาของ)ไปกี่เท่าตัว" อย่างบัตร Credit แท้จริงคือ"การสร้างนิสัยแห่งการเป็นหนี้ชั่วชีวิต" และสังเกตุไหมว่า ถ้าคุณจ่ายผ่านบัตร "คุณจะควักจ่ายง่ายกว่าเงินสด" และนี่เองเป็นสาเหตุที่ทำไมธนาคารอยากให้คุณทำบัตรเครดิต ..ผมว่าคุณน่าจะเอะใจบ้างว่า ทำบัตรเครคิตใบเดียว แถม"ของมาสิบอย่าง".."ธนาคารเขาไม่โง่หลอกครับ..ทุกอย่างที่ให้คุณ เขารู้ว่าเขาจะเอาอะไรจากคุณ!!" So Nothing is Free in this World !!

    หัวใจความสำเร็จของ Maxed Out คือ พยายามให้คุณซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นให้มากที่สุด แต่พยายามให้คุณผ่อนให้นานที่สุด (สรุปคือคุณผ่อนแต่ ดอกเบี้ย เงินต้นทบไปเรื่อยๆ ..จนวาระสุดท้ายของชีวิต --"น่ากลัว!!") คุณรู้ไหมเขาขายบัตรเครดิตอย่างไร (ง่ายๆ) ผมก็บอกคุณว่า "พี่ครับ!!บัตรเครดิตนี่สุดยอด พี่คิดดูนะ..มีที่ไหนแต่ละเดือน ธนาคารสรุปยอดการใช้จ่ายมาให้คุณ ฟรี!! เหมือนคุณมีเลขาส่วนตัว ..สมมุติพี่มีบัตรเครดิตหลายใบ พี่ก็แบ่งแต่ละใบ เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ..เท่านี้พี่ก็สามารถควบคุมรายจ่ายในบ้านทั้งหมด ..พอปลายเดือนธนาคารก็สรุปเป็นStatement มาให้พี่(ฟรี) รายปีไม่ต้องจ่ายอะไร ..สมัครตอนนี้พี่เอาไปเลย "พัดลม Samsumg" ..สรุป คุณ(งง) อ้าปากค้า สมัครทันที" ก็นี่แหละ ชีวิต!!

    "Home Loan" นี่ตัวแรงเลย ..มัน American Dream คือสร้างฝันให้ทุกคน"ต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง "พอจุดฝันนี้ติด"--Demand มหาศาลของบ้านก็เกิดขึ้น ..พอ Demand มาก ราคาก็"พุ่ง"--ยิ่งพุ่งคนก็ก็ยิ่งซื้อ --ปั่น Bubble กันเข้าไป (รอบ Sub-prime ที่ผ่านมา)เขามีการสร้างแนวคิด การลงทุนในบ้านอย่าง"สวยหรู" เช่น ทุก 7 ปีราคา"บ้านจะทบต้น"....ถามจริงๆเถอะ คุณเชื่อไหม?? --ราคาบ้านมันขึ้นอยู่กับ Demand & Supply ดูตอนนี้ซิครับที่อเมริกา บ้านราคาตกเอา ตกเอา ก็เพราะ Demand มันไม่มี "มีแต่คนจะขายใช้หนี้"ราคาก็ตกเรื่อยๆ แต่หนี้ไม่ได้ตกตาม สรุป (คุณก็จ่ายหนี้ต่อไป)

    อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผม Anti ระบบ"ธนาคาร" --"ไม่ใช่ครับ" ผมเพียงแต่เตือน ให้ทราบถึงสิ่งที่อยู่"เบี้องหลัง" ..การค้าทุกประเภทล้วนมุ่งหวังกำไร --ไม่มีอะไรดีสุดๆ "อะไรที่มันดูเหมือนว่าดีเกินจริง มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีเกินจริงนั่นเอง" ...ปัจจุบันเราถูกสอนให้มีทุกอย่างที่คนอื่นมี ถ้าไม่มีเงินก้ไปกู้มามี .."แนวคิดต่างหากที่เป็นปัญหา" ..พฤติกรรมของคน มันได้บ่งบอกอยู่แล้วว่า "คนที่จะรวยหรือจน" ดังนั้น มันไม่ใช่โชคชะตา มันขึ้นอยู่กับ"คุณ"ต่างหาก

    ผมเคยอ่านหนังสือของ Rich Dad Poor Dad ที่เขาสอนว่ามีทั้ง Good Debt และ Bad Debt คืออะไรที่"กู้เพื่อไปสร้างรายได้ก็เป็นสิ่งที่ดี(Good Debt)" แต่ถ้ากู้ไปซื้อของไม่จำเป็นก็เป็น Bad Debt --ตัวผมเองสมัยเปิดร้านอาหารที่ออสเตรเลีย ก็เอาบ้าง ผม Maxed Out บัตรเครดิตผมที่มีอยู่ ประมาณ 6 ใบ จากนั้นผมก็ไป กู้ธนาคารเพิ่มเพื่อขยาย"สาขา"ร้านอาหาร

    ..สรุปได้ว่าผม Leverage อย่างมหาศาล ตามตำรา MBA พอทำเปิดได้ ผมก็เริ่ม"ตึง"คือ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ไหนจะหนี้ธนาคาร ไหนจะหนี้บัตรเครดิต ผมเลยคุยกับลูกน้องว่า "เอางี้ผมจะให้ Stock Option คุณ" ..(พูดง่ายๆคือ ผมไม่มีเงินจ่าย เลยจะให้เขาเป็นหุ้นส่วน แบบที่นิยมใน ​Silicon Valley น่ะครับ) สรุป "เน่าครับ"ร้านนั้นปิดไปเลย ได้ฮา..น้ำตาแตก --ผมถึงบอกว่า "ตำรากับชีวิตจริง" มันหนังคนละม้วน ... นี่แหละครับ ไม่ว่าคุณจะเก่งระดับผู้ประกอบการก็ใช้ว่า Maxed out จะหลอกคุณไม่ได้ ---"มันอยู่ที่คุณ It's Only you" หุ หุ.....
    Pawawit Book Summary: หนังสือ Maxed Out ไวรัสการเงินของอเมริกากำลัง"ระบาดทั่วโลกแล้ว
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    [FONT=&quot]คนอเมริกันกับยุคแห่ง [/FONT][FONT=&quot]Subprime[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ดอกเบี้ยเครดิต คาร์ด 79.9 %

    [/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อ 2 -3 ปีที่ผ่านมาเราคงได้ยินคำว่าวิกฤติซับไพรม([/FONT][FONT=&quot]Subprime[/FONT][FONT=&quot])มาแล้ว คำนี้ใช้ในความหมายของอสังหาริมทรัพย์ กล่าวคือคนที่ไม่มีเครดิต,เครดิตไม่ดีก็สามารถซื้อบ้านได้ ไม่ต้องวางเงินดาวน์ก็อพยพเข้าอยู่ได้ เพราะนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงินเปิดให้ท่านกู้ยืมได้ถึง 120 % ไม่เหมือนอดีตที่จะซื้อบ้านต้องมีเงินในมือและวางเงินดาวน์ 10-12 % ขึ้นอยู่กับว่ามีมากน้อยแค่ไหน [/FONT][FONT=&quot][/FONT] [FONT=&quot] เมื่อคนมีเงินไม่มาก,คุณสมบัติไม่ครบ แต่เข้าไปอยู่บ้านได้สักระยะหนึ่งความสามารถในการผ่อนบ้านลดลง ขาดผ่อนส่งจึงเข้ามาสู่ขั้นตอนของการยึดบ้าน เมื่อยึดบ้านมากๆก็เกิดวิกฤติขึ้นมา สถาบันการเงินที่ยึดบ้านไปก็ขายบ้านไม่ได้ ครั้นทุกอย่างเพิ่มพูนขึ้นสถาบันการเงินนั้นก็ไปไม่ไหว นี่คือคำว่า[/FONT][FONT=&quot]”วิกฤติซับไพรม” รัฐบาลต้องนำเงินภาษีอากรของประชาชนเข้าไปช่วยสถาบันการเงินที่ล้ม ช่วงหลังช่วยไม่ไหวก็ต้องปล่อยให้ล้ม[/FONT]
    [FONT=&quot] คำว่า[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Subprime[/FONT][FONT=&quot] ความหมายก็คือ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]near-prime[/FONT][FONT=&quot] และ [/FONT][FONT=&quot]non-prime[/FONT][FONT=&quot] กล่าวอีกนัยหนึ่งคือไม่ได้มาตรฐานที่วางไว้ อย่างเช่นมาตรฐานที่วางไว้คือ [/FONT][FONT=&quot]Prime ยกตัวอย่าง [/FONT][FONT=&quot]The prime rate[/FONT][FONT=&quot] หมายถึงมาตรฐานหรือดัชนีชี้วัดที่ธนาคารพาณิชย์วางไว้เพื่อนำไปคำนวณการปล่อยเงินกู้แก่ผู้บริโภค([/FONT][FONT=&quot]consumer loan products[/FONT][FONT=&quot])ประกอบด้วยดอกเบี้ยเพื่อการซื้อบ้าน,ซื้อรถยนต์และดอกเบี้ยเครดิต คาร์ด [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ปัจจุบัน [/FONT][FONT=&quot]The prime rate[/FONT][FONT=&quot] อยู่ที่ 3.25 % เมื่อไปกำหนดอัตราดอกเบี้ยซื้อบ้านประเภท 30 ปีตายตัว ดอกเบี้ยอาจจะอยู่ระหว่าง 4.8-5.2 % ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงิน หมายความว่าผู้กู้จะได้อัตรานี้ หากเป็นคนที่ถือว่าอยู่ในระดับ [/FONT][FONT=&quot]prime [/FONT][FONT=&quot] หากเครดิตไม่ดี,ไม่มีเครดิต อัตราดอกเบี้ยอาจจะสูงขึ้นไปอีก เพราะผู้ปล่อยกู้ถือว่าท่านไม่ได้มาตรฐาน ย่อมเกิดความเสี่ยงตามมา [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ดังนั้นการปล่อยกู้ใดๆของสถาบันการเงิน ยังขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของผู้ขอกู้ด้วย อาทิเช่น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]คะแนนเครดิต([/FONT][FONT=&quot]credit rating[/FONT][FONT=&quot]) ของผู้กู้,หนี้ของผู้กู้,รายได้,ทรัพย์สินมีมากน้อยแค่ไหน,มีอะไรมาวางเป็นหลักประกัน([/FONT][FONT=&quot]collateral[/FONT][FONT=&quot])บ้าง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] ในสังคมอเมริกันหากใครมีคะแนนเครดิต([/FONT][FONT=&quot] FICO[/FONT][FONT=&quot])ต่ำกว่า 640 ถือว่าเป็นพวก[/FONT][FONT=&quot] Subprime[/FONT][FONT=&quot] การวัดเครดิตของบุคคลนั้นก็จะมีข้อมูลจากประวัติเครดิตของแต่ละคนว่าสร้างไว้ดีเลวแค่ไหน บางคนจ่ายเงินล่าช้า,ขาดส่งหนี้และเคยยื่นฟ้องล้มละลาย คนเหล่านี้จะถูกจัดไปอยู่ในกลุ่ม [/FONT][FONT=&quot]Subprime[/FONT][FONT=&quot] ดังนั้นดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินจะปล่อยกู้เกิดความเสี่ยงจึงแพงกว่ากลุ่มคนที่ถูกจัดอยู่ในระดับมาตรฐานหรือ [/FONT][FONT=&quot]prime[/FONT][FONT=&quot] คนกลุ่ม [/FONT][FONT=&quot]prime[/FONT][FONT=&quot] จะถูกจัดคะแนนเครดิตไว้ 700 ขึ้นไป [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]FICO[/FONT][FONT=&quot] ของสหรัฐจัดไว้ระหว่าง 300-850 ขณะที่ [/FONT][FONT=&quot]the VantageScore จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2006 โดยบริษัทรายงานเครดิต 3 แห่งคือ Equifax, Experian, และ TransUnion รวมตัวกันขึ้นมาเพื่อแข่งกับ [/FONT][FONT=&quot]FICO[/FONT][FONT=&quot]โดยตรง [/FONT][FONT=&quot]the VantageScore จัดไว้ระหว่าง 501-990 เป็นระดับ A ถึง F ดังนี้ A: 901-990, B: 801-900,C:701-800,D:601-700 และ F:501- 600[/FONT]
    [FONT=&quot] คนที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม [/FONT][FONT=&quot]subprime[/FONT][FONT=&quot] เมื่อผ่อนชำระหนี้ตรงตามเวลา,ไม่ขาดส่งหรือส่งมากกว่าขั้นต่ำ ในระยะหนึ่งก็จะถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับมาตรฐานได้เช่นกัน [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อเกิดวิกฤติอสังหาริมทรัพย์และวิกฤติการเงิน รัฐบาลก็ออกกฎหมายเพื่อปรับปรุงระบบเครดิตขึ้นมาเมื่อปี 2009 เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot]the Credit Card Accountability, Responsibility and Disclosure Act ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2010 เป็นต้นไป หลักการก็คือห้ามไม่ให้บริษัทออกบัตรเครดิตออกให้พวก [/FONT][FONT=&quot]subprime[/FONT][FONT=&quot] เกินกว่า 500 ดอลลาร์ ห้ามชาร์จเงินกินเปล่า([/FONT][FONT=&quot]upfront fees[/FONT][FONT=&quot])เกินกว่า 25 % ของมูลค่าเครดิต คาร์ด[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] คราวนี้ก็มีบริษัท[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Premier Bankcard[/FONT][FONT=&quot] แห่งเซาท์ ดาโคต้า เสนอออกบัตรเครดิตไปยังผู้บริโภคทั่วไปเมื่อเดือนกันยายน-ตุลาคม 2009 คาร์ดแต่ละใบเครดิต 300 ดอลลาร์ อัตราดอกเบี้ย 79.9 % ต่อปี [/FONT][FONT=&quot](APRs)[/FONT][FONT=&quot]คาร์ดนี้ออกโดย [/FONT][FONT=&quot]First Premier Bank[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ถามว่าเครดิตขนาด 79.9 % ต่อปีนี้ผิดกฎหมายหรือไม่ ตอบได้ว่าไม่ผิดตราบใดที่บริษัทผู้ออกบัตรแจ้งไว้อย่างชัดเจนแก่ผู้บริโภคเพราะไม่ผิดกฎหมายรัฐบาลกลางที่ชื่อว่า [/FONT][FONT=&quot]the Truth in Lending Act.[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]อัตราดอกเบี้ยนี้ทำให้วงการเครดิต คาร์ดถึงกับช้อคเพราะ [/FONT][FONT=&quot]The CreditCards.com[/FONT][FONT=&quot] รายงานอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่เรียกว่าเครดิตแย่ ([/FONT][FONT=&quot]bad credit[/FONT][FONT=&quot]) อยู่ที่ 14.15 % ต่อปี ณ วันที่ 12 ก.พ.2010 [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่แต่เพียงเท่านี้เครดิต คาร์ดที่ออกโดย [/FONT][FONT=&quot]The First Premier [/FONT][FONT=&quot]ยังเรียกเก็บค่ากินเปล่า([/FONT][FONT=&quot]upfront fee[/FONT][FONT=&quot]) 75 ดอลลาร์ หรือ 25 % ( จาก 300 ดอลลาร์)ตามที่กฎหมายกำหนด [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อเดือนธันวาคมได้มีการทดสอบตลาดโดยบรรดาธนาคารที่ออก[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Gold card[/FONT][FONT=&quot] กำหนดอัตราดอกเบี้ย[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]([/FONT][FONT=&quot]APR[/FONT][FONT=&quot]) 9.9 % มีเงินกินเปล่าค่าเปิดบัญชี 29 ดอลลาร์,เงินกินเปล่าครั้งแรกครั้งเดียว 95 ดอลลาร์ นอกจากนี้ยังจ่ายค่ารายปีทุกปี 48 ดอลลาร์ ค่าบริการรายเดือน 7 ดอลลาร์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ดังนั้นนอกจากจะเสียค่าปากถุงครั้งแรกครั้งเดียว 124 ดอลลาร์( 29+95)แล้ว ทุกปียังจะต้องเสียอีก 132 ดอลลาร์( 48+84 หรือ 7 [/FONT][FONT=&quot]x12) และยังไม่นับรวมดอกเบี้ย 9.9 % หากท่านจ่ายไม่ตรงเวลาหรือพอกหนี้ไว้ สังคมอเมริกันเป็นสังคมเสรี ดังนั้นเมื่อมีข้อเสนอขึ้นมาก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านเลือกใช้หรือไม่ เขาไม่ได้บังคับ[/FONT]
    [FONT=&quot]คนที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม [/FONT][FONT=&quot]subprime[/FONT][FONT=&quot] ก็เหมือนคนขับรถที่ได้ตั๋วหลายใบเช่นเกิดอุบัติเหตุบ่อย,ขับรถด้วยความเร็ว,ขับรถเมา จนบริษัทประกันภัยปกติไม่อาจรับได้จึงต้องไปหาบริษัทประกันภัยพิเศษต้องเสียค่ากรมธรรม์ ([/FONT][FONT=&quot]insurance premiums[/FONT][FONT=&quot]) แพงกว่าปกติ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ปัจจุบันคนอเมริกันประมาณ 70 ล้านคนที่มีปัญหาเครดิตและถูกจัดอยู่ในกลุ่มมีคะแนนเครดิตต่ำกว่า 640 บางคนอยากสร้างเครดิตของตัวเองกลับมามีทางเลือกอื่นหรือไม่ ? เรื่องนี้แซนดี้ ชอร์ ที่ปรึกษาด้านเครดิตจาก[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Novadebt[/FONT][FONT=&quot] บริษัทที่ปรึกษาจากรัฐนิว เจอร์ซี่แนะนำว่าคนเหล่านี้ควรไปปรึกษากับบริษัท[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]credit counselor[/FONT][FONT=&quot] หรือองค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อให้ที่ปรึกษาเหล่านี้หาทางออกให้ในวิธีการสร้างเครดิตของตัวเองกลับมาใหม่โดยไม่ต้องไปใช้บัตรเครดิต เช่นการใช้ เดบิท คาร์ดหรือ [/FONT][FONT=&quot]secured card[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]A secured card เป็นคาร์ดที่ออกโดยธนาคาร โดยท่านอาจจะวางเงินสดล่วงหน้าไว้ 500 ดอลลาร์และสามารถชาร์จได้ถึง 500 ดอลลาร์ หรืออาจวาง 1,000 ก็แล้วแต่ท่าน เมื่อทำไประยะหนึ่งธนาคารก็เริ่มจะให้เครดิตในฐานะที่เป็นคนจ่ายเงินเข้าสม่ำเสมอ เป็นการฟื้นเครดิตได้ทางหนึ่ง โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมอื่นใด บริษัทหรือธนาคารไหนออก A secured card บ้างขอให้เข้าไปดูที่ www.Bankrate.com [/FONT]
    [FONT=&quot] ในอดีตบุคคลที่จะฟื้นเครดิตของตนกลับมาปกติต้องใช้เวลาระหว่าง 8-16 เดือน ปัจจุบันระบบเครดิตถูกตรึงมากขึ้น ทำให้ผู้ที่จะสร้างเครดิตกลับมาให้เป็นปกติอาจต้องใช้เวลา 16-24 เดือน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] อย่างไรก็ตามแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะถูกกำหนดไว้ 9.9 % หรือ 79.9 % เมื่อบริษัทส่งบิลมาเรียกเก็บและท่านจ่ายหมด ท่านก็ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย เป็นกฎเกณฑ์ของเครดิต คาร์ด [/FONT][FONT=&quot][/FONT].
    Apacnews.net
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อยู่ท่ามกลางเงินซูปเปอร์เฟ้อ...เมื่อดอลลาร์จ่อล่มสลาย

    Wednesday, 19 May 2010


    คน รวยๆ ในโลกปัจจุบันต่างกลัวว่าเงินดอลลาร์จะล่มจม เพราะนโยบายพิมพ์เงินอย่างต่อเนื่องและมโหฬารของ FED แน่นอน คนฉลาดๆ ย่อมต้องมองข้ามช็อตไปแล้วว่าถ้าวิกฤตเกิดขึ้นจริง พวกเขาจะรอดได้ยังไง....การศึกษาวิกฤตในประวัติศาสตร์ย่อมเป็นหนทางหนึ่งของ คนฉลาด....MBA ย่อมเล็งเห็นความต้องการดังกล่าว และแน่นอน



    เราก็เป็นคนฉลาด จึงจะเริ่มนำ Content ประเภทนี้มานำเสนอในสไตล์ของเราอย่างต่อเนื่อง...ทุกท่านได้โปรดสดับ


    “The first panacea for a mismanaged nation is inflation of the currency ; the second war. Both bring a temporary prosperity ; both bring a permanent ruin” Ernest Hemingway ; Notes on the Next War : A Serious Topical Letter, first published in Esquire September 1935

    ตราบใดที่โลกยังใช้เงินตราเป็นเครื่องมือ ในการแลกเปลี่ยนสินค้า โลกก็คงหนีไม่พ้นวิกฤตการเงิน เหมือนดั่งที่เออร์เนส เฮมิ่งเวย์กล่าวไว้ไม่มีผิดเพี้ยน อดีตประธานาธิบดี ฟอร์ดแห่งสหรัฐอเมริกา ยังเตือนไว้ในทำนองเดียวกันนี้ว่า “ภาวะเงินเฟ้อเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของสาธารณชน”

    จริงอยู่ที่ว่าสงครามเป็นตัวทำลายล้างทุก อย่างให้พังพินาศราพณาสูร ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ทว่าพิษร้ายของเงินเฟ้อกลับเป็นตัวการที่เล่นงานเศรษฐกิจทั้งชาติให้ต้อง ประสบกับวิบากกรรมไม่น้อย ปรากฏการณ์เงินเฟ้อเป็นปรากฏการณ์หนึ่งทางเศรษฐกิจที่ยากต่อการควบคุม (out of control) และดูเหมือนว่าจะเป็นวัฏจักรที่เกิดขึ้นวนเวียนซ้ำซาก กลายเป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศ ระดับโลก เพราะเงินเฟ้อไม่เพียงแต่จะเป็นตัวรบกวนกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทั้งในเรื่องการค้าขาย ทำมาหากิน และการส่งออก ผูกโยงไปกับประชาคมโลก อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือมิใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศใดประเทศหนึ่งแล้วก็แก้ปัญหากันเองใน ประเทศก็จบไปเท่านั้น หากแต่เงินเฟ้อเป็นตัวการแพร่เชื้อโรคร้ายกระจายไปยังประเทศอื่น สร้างความหนักใจให้กับรัฐบาล ผู้บริหารประเทศ ผู้ส่งออก รวมไปถึงเป็นปัญหาที่สร้างความทุกข์ระทมให้กับมวลหมู่ประชาชนผู้หาเช้ากิน ค่ำโดยถ้วนหน้าเช่นเดียวกัน

    เงินตราเหตุแห่งหายนะ

    “เงิน” คือ พระเจ้า ก็จริงอยู่ แต่ถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะแม้ว่าเงินจะสามารถบันดาลทุกสิ่งอย่างได้ดังใจปรารถนาก็ตาม แต่เงินก็เป็นเหตุแห่งหายนะหนึ่งที่สร้างความปั่นป่วนให้ระบบการเงินโลกต้อง ซวนเซและล้มไม่เป็นท่า ก็ลองดูปัญหาหรือวิกฤตต่างๆ ในอดีตและปัจจุบันล้วนแล้วแต่มีรากเหง้ามาจากต้นเหตุที่เงินแทบทั้งสิ้น และก็เพราะเงินอีกไม่ใช่หรอกหรือ ที่ทำให้คนเราต้องการเสพ ต้องการมี passion ให้กับชีวิตที่อู่ฟู่ หรูหรา ทำให้ ณ เวลานี้ ทั่วโลกกำลังระส่ำกับวิกฤตเรื่อง เงินๆ ทองๆ อย่างที่เป็นอยู่

    อย่างกรณีของเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอัตราการส่งออกมากสุดเป็น อันดับหนึ่งของโลก เป็นตัวอย่างที่อธิบายเรื่องนี้ได้ดี เพราะเคยผ่านช่วงเวลาแห่งหายนะและความยากลำบากในเรื่องวิกฤตการเงินมาก่อน แต่เยอรมนีก็นำเอาประสบการณ์หรือวิกฤตค่าเงินเฟ้อมาเป็นตัวพลิกสถานการณ์ให้ กลับมาสร้างความยิ่งใหญ่ในฐานะผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลกได้อีกครั้งจนถึง ปี 2552 (ปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่ส่งออกมากสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้วยมูลค่าการส่งออก 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เยอมนีมีมูลค่าการส่งออก 1.17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีแทบสิ้นเนื้อประดาตัวในการเรียกร้องให้ชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามเป็น จำนวนเงินมหาศาล ถึง 269,000 ล้านมาร์ก (2,790 มาร์กเทียบเท่ากับทองคำบริสุทธิ์ 1 กิโลกรัม) หรือคิดเป็นเงินกว่า 23,600 ล้านปอนด์ หรือ 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การจัดการกับเรื่องเงินของรัฐบาลเยอรมนีในสมัยนั้น ทำโดยการเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศ โลกเราปัจจุบันก็แก้ปัญหาเรื่องเงินๆ ไม่ต่างจากเยอรมนีสงครามซึ่งกินเวลา ทั้งสิ้น 6 ปี นำความสูญเสียและความเสียหายมาสู่ประเทศต่างๆ มากมาย ที่ชัดเจนคือการเสียชีวิตของทหารและพลเรือนซึ่งอยู่ในวัยที่เป็นกำลังทาง เศรษฐกิจ การขาดแคลนสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน รวมถึงที่อยู่อาศัย เครื่องจักรและเครื่องมือการผลิตที่เหลืออยู่ ก็มีสภาพชำรุดเสื่อมคุณภาพ นอกจากนี้ยังขาดแคลนวัตถุดิบอันเนื่องมาจากต้องนำกำลังคนส่วนหนึ่งไปผลิต อาวุธสงคราม

    [​IMG]

    สภาพการเงินของเยอรมนีที่ร่อแร่ในขณะนั้นจึงไม่อาจที่จะชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามได้หมด ดูบทวิเคราะห์สถานภาพการเงินของ John Maynard Keynes ใน The Economic Consequences of the Peace ว่า ไม่ว่าจะอย่างไร เยอรมนีก็ไม่อาจหาเงินจำนวนมหาศาลดังกล่าวนั้นมาชดใช้หนี้สินที่ติดตัวอยู่ ในเวลานี้ได้ เพราะมูลค่าเงินมากเกินค่าความเป็นจริง

    ประกอบกับบทวิเคราะห์ที่ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ยิบของ Costantino Bresciani-Turroni ใน The Economics of Inflation; A study of Currency Depreciation in Post-War Germany อธิบาย ถึงสาเหตุของการเสื่อมค่าของเงินมาร์กในช่วงระหว่างสงครามโลก ว่าเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายด้านรายจ่าย (financing expenditure) ในสัดส่วนที่สูงของรัฐบาล และการล่มสลายของระบบการเงินมาร์ก ซึ่งวิเคราะห์ได้จากสถิติของราคาค่าเงินมาร์ก การเคลื่อนไหวของ floating debts อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของเงินมาร์ก และราคาของสินค้าแต่ละประเภท ประกอบกับการส่งสัญญาณทางด้านจิตวิทยาในความไม่มั่นใจเรื่องอนาคตของค่าเงิน มาร์กได้ครอบงำความคิดของคนเยอรมันไปแล้วในขณะนั้น

    แนวทางการแก้ปัญหาในช่วงแรกของรัฐบาล เยอรมนีขณะนั้นจำเป็นต้องพิมพ์ธนบัตรเข้าสู่ระบบจำนวนมากชนิดที่เป็นสาเหตุ ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง (hyper inflation) ชนิดที่เรียกว่าฉีกร่างของชาวเยอรมันขาดกระจุยกระจาย ระบบการเงินที่เคยมั่นคง และเป็นความหวังเดียวในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็โดนรุมทึ้งจากประเทศผู้ชนะสงคราม โดยการถอนเงินจากธนาคารเยอรมนีรวดเดียวพร้อมๆ กัน 100 ล้านปอนด์ ในปีแรกที่สงครามสงบ ขณะเดียวกันก็ทำท่าว่าจะถอนแบบนี้ทุกๆ ปีจนกว่าจะได้รับชำระครบ โดยไม่แยแสว่าคนเยอรมันจะเอาปัญญาที่ไหนมาจ่าย หรือว่าจะมีความเป็นอยู่อย่างไร

    เมื่อเป็นเช่นนั้น ประชาชนที่อดอยากมากพอแล้วในภาวะสงคราม ก็แห่แหนไปถอนเงินออมจากธนาคารบ้าง เพราะกลัวว่าธนาคารเหล่านั้นจะชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามจนหมดหน้าตัก ท้ายที่สุด ธนาคารก็ขาดสภาพคล่อง ครั้นจะไปร้องแร่แห่กระเฌอให้สหรัฐเข้ามาช่วย ก็เป็นการป่วยการเสียเปล่า เนื่องจากสหรัฐเองก็กำลังสาระวนกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำในประเทศเช่นกัน ด้วยเหตุผลที่ว่าเกิดการเก็งกำไรในสินค้าเกษตรในอัตราที่สูงลิ่วจากความเป็น จริง ดังนั้น เมื่อราคาสินค้าเกษตรตกต่ำลง บรรดานักเก็งกำไรจึงถูกธนาคารเรียกให้คืนเงินกู้ที่นำไปลงทุน เมื่อไม่มีปัญญาจ่าย ประกอบกับสินค้าอุตสาหกรรมมีราคาสูงขึ้น ภาวะว่างงานพุ่งขึ้น 20-40% ต่างชาติพากันถอนการลงทุนออกไป สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของเยอรมนีตอนนั้น แทบจะเรียกได้ว่าทุกภาคส่วนหยุกการผลิต ทั้งอุตสาหกรรม textile การค้าขายและการผลิตชะงัก

    [​IMG]

    ความระส่ำของผู้คนเยอรมันบ่งบอกได้เป็น อย่างดี ด้วยการที่ผู้คนต่างยกเลิกที่จะต่อสัญญาประกันทุกประเภท ซึ่งนับเป็นจุดกระทบอย่างมโหฬาร สำหรับประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐสวัสดิการ นั่นเพราะเม็ดเงินในการทำประกันเหล่านี้เอง ที่ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนและเกิดสภาพคล่องได้ดียิ่งกว่าระบบธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นเมื่อทุกคนพร้อมใจกันถอนเงินประกันคืน เงินหมุนเวียนในระบบก็เป็นอันจบลง ขณะเดียวกันเงินเฟ้อยังมีผลทำให้การออมของประชาชน โดยเฉพาะชนชั้นกลางซึ่งเคยสะสมอยู่ในรูปของ พันธบัตร บัญชีออมทรัพย์ ในช่วงสงครามนั้นมีน้อยลง ทั้งนี้เพราะระดับราคาของสินค้าได้เพิ่มขึ้นไปมาก จึงจำเป็นต้องนำเงินในส่วนที่เก็บออมไว้มาใช้จ่าย

    คนที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดคือคนรวย เพราะมีเส้นสาย สามารถหาซื้ออาหารได้ไม่ยาก หรือไม่ก็เป็น landlord มีที่ดินเพาะปลูก ส่วนคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือคนชั้นกลาง ที่หาเช้ากินค่ำ เพราะเงินฝากในธนาคารหายไปชั่วข้ามคืน และไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง

    เมื่อเงินตราไม่สามารถทำหน้าที่สื่อกลาง การแลกเปลี่ยน และเก็บรักษามูลค่าเงินไว้ได้ เพราะปริมาณเงินที่ใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ (money supply) มีระดับสูงหรือมากกว่าที่ควรจะเป็น เยอรมนีมีความพยายามที่จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อ เห็นได้จาก กรกฎาคม ปี 1922 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้วางแผนปฏิรูปการเงิน เพื่อสร้างความหวังให้เกิดเสถียรภาพของอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรามากขึ้น แต่โปรเจ็กต์นี้ดำเนินต่อไปไม่ได้ เพราะการคัดค้านของธนาคาร Reichsbank ปีเดียวกันนั้นเอง การดำเนินการบริหารจัดการของธนาคาร Reichsbank ก็ปฏิเสธที่จะปล่อยให้มีนำทองคำสำรองมาใช้เพื่อการปฏิรูปการเงิน

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สภาพการเพิ่มขึ้นของเงินมาร์กเป็นจำนวนอนันต์นั้นจะทำให้เกิดภาวการณ์ อย่างไรขึ้นบ้างในเยอรมนี แน่นอนว่าทำให้ระดับราคาสินค้าต่างๆ ของเยอรมนีพุ่งขึ้นตามปริมาณเงินที่มากขึ้น ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเท่าตัวทุกๆ 2 วัน ร้านอาหารในเยอรมนีสมัยนั้นต้องปรับเปลี่ยนราคาอาหารกันตลอดเวลา คนขนเงินใส่รถเข็นเพื่อมาซื้อขนมปัง หรือได้เงินมาแล้วก็ต้องรีบไปซื้ออาหารเพื่อเอาเงินไปใช้ก่อนที่ค่าเงินจะลด ลงไปอีก ปริมาณอาหารลดน้อยลงจนเหลือเพียงแค่ขนมปังและมันฝรั่งเพียงเท่านั้น

    [​IMG]

    ดูค่าเงินมาร์กของเยอรมนีเป็นเพียงแค่เงิน กระดาษ (Paper Money) เห็นได้จากในปี 1922 (กรกฎาคม) อัตราเงินดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 100 มาร์ก ตุลาคมปีเดียวกันเพิ่มขึ้นเป็น 645 มาร์ก มิถุนายน (1923) อัตราเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งทะยานเท่ากับ 22,301 มาร์ก ฉะนั้น จึงไม่แปลก หากอด๊อฟ ฮิตเลอร์ ผู้มีวาจาที่จับใจ จะชักจูงคนสิ้นหวังค่อนประเทศ ให้ปลดแอกแบบดื้อแพ่งกับสัญญาระหว่างประเทศต่างๆ ถึงขั้นเข้าร่วมสงครามได้

    ท้ายสุดแล้วการแก้ปัญหาของเยอรมนีเกิดขึ้น ปี 1923 นายกรัฐมนตรี Gustav Stresemann เข้ามาแก้ปัญหาโดยการสร้างค่าเงินใหม่ชื่อ Rentenmark 1 RM มีค่าเท่ากับ 4.2 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเงินดอลลาร์สหรัฐหนุนหลัง หลังจากนำเงินกลับมาใช้ใหม่ อุตสาหกรรมตื่นขึ้นจากภาวะซบเซา ดัชนีสัญญาณแรกเห็นได้จากการค้าปลีก และอุตสาหกรรมสิ่งทอกลับมาคึกคัก

    เยอรมนีฉกฉวยโอกาสนี้เองในการสร้าง เศรษฐกิจขึ้นใหม่อีกครั้งตรงตามที่ John Maynard Keynes ได้เตือนรัฐบาลอังกฤษต่อประเด็นนี้ไปแล้วว่า หากเงินเฟ้อของเยอรมนีถึงจุดที่สูงสุดเกินแบกรับเมื่อใด กลุ่มประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นมหาอำนาจการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะด้านสินค้าโภคภัณฑ์ จะต้องรับผลกระทบไปเต็มๆ กับสินค้าที่จะทะลักทลายมาจากเยอรมนี ด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ประการ หนึ่งคือเยอรมนีเป็นประเทศอุตสาหกรรม ที่ผลิตสินค้าได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก ซึ่งรวมถึงมหาอำนาจการส่งออกในขณะนั้น อย่างอังกฤษด้วย ประการที่สองคือราคาสินค้าที่ถูกแสนถูก ซึ่งนับเป็นแรงจูงใจสำคัญ ที่ทำให้หลายประเทศเลือกที่จะนำเข้าสินค้าราคาถูกจากเยอรมนี แทนที่จะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส หรืออเมริกา

    ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับการที่อเมริกาหยิบยื่นความช่วยเหลือในทุกด้านให้แก่ เยอรมนีตะวันตก ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของสหรัฐ เมื่อคราวสงครามเย็น ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เยอรมนีพลิกวิกฤตเงินเฟ้อมาสู่ประเทศมหาอำนาจได้อีก คำรบหนึ่ง

    [​IMG]

    ยักษ์ล้ม

    ณ วันนี้ อเมริกา ประเทศที่จวนเจียนจะสูญเสียความเป็นขั้วอำนาจ ก็กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจและมีสภาพไม่ต่างจากเยอรมนีที่เคยประสบปัญหา เรื่องค่าเงินมาก่อนหน้านั้น ทว่าเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วอเมริกามักจะไม่เผชิญกับวิกฤตเรื่องค่าเงินเหมือน กับประเทศอื่นๆ มากนัก เพราะความเฉลียวฉลาดของอเมริกาที่ได้วางรากฐานระบบการเงินโลกเอาไว้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เงินดอลลาร์กลายเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของแทบทุกประเทศ

    ปัญหาเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรด เมื่อ 11 กันยายน 2544 และช่วงฟองสบู่ดอทคอมแตก บริษัทหลายแห่งอย่าง เวิลด์คอม หรือ เอ็นรอน ต้องปิดกิจการลง การเงินของอเมริกาก็เริ่มซวนเซ นั้นจึงเป็นเหตุให้ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว (ปี 2544-2547) รัฐบาลอเมริกาพยายามอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเพื่อเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก

    [​IMG]

    วิกฤตเรื่องค่าเงินจากปัญหาซับไพร์มก็เช่น กัน สถาบันการเงินประสบปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง สถาบันการเงินเรียงตัวประกาศล้มละลาย เช่น กองทุน Bear Stern เมอร์ริล ลินช์ แบงก์ ออฟ อเมริกา มอร์แกน สแตนเลย์ โกลด์ แมน แซคส์ อันมีสาเหตุมาจากการแบกรับความเสี่ยงไว้มากเกินไป เช่น การผลักสินเชื่อบ้านที่มีปัญหาให้พ้นตัวแล้วแปลงสินเชื่อที่มีสินทรัพย์จดจำ นองให้เป็นการลงทุนที่ถูกไปให้กับบรรดานักลงทุน ใช้จ่ายและบริโภคกันอย่างฟุ่มเฟือย และแห่แหนเก็งกำไรราคาบ้านและที่ดิน สำรวจกันดู เฉลี่ยแล้วครอบครัวอเมริกันจะมีบ้านกันคนละ 2-3 หลัง เพื่อเก็งกำไร โดยปั่นราคาบ้านให้พุ่งขึ้นเป็นเท่าตัว หวังว่าจะเป็นการลงทุน (invest) อย่างหนึ่ง วิกฤตลุกลามกลายเป็นโดมิโน เมื่อยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกาล้ม ประเทศอื่นก็ซวนเซไปด้วย ธนาคาร Northern Rock ในอังกฤษ Lehman Brothers วาณิชธนกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ก็เป๋ไปเช่นกัน

    ลักษณะการแก้ปัญหาของอเมริกามีสภาพไม่ต่าง ไปจากการแก้ปัญหากรณีค่าเงินเฟ้อของของเยอรมนี โดยธนาคารกลางสหรัฐต้องอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อพยุงไม่ให้วาณิชธนกิจล้ม ละลายหรือเพื่อให้เกิดสภาพคล่องในการบริหารงาน ประกอบกับการใช้นโยบายการเงินการคลังแบบผ่อนคลายด้วยการลดดอกเบี้ยให้ต่ำติด ดินที่ 0% ลดภาษี เร่งการใช้จ่ายภาครัฐให้มากขึ้น ขณะที่อีกหลายประเทศก็ต้องให้รัฐปล่อยเร่งปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยตรง เพื่อไม่ให้ธุรกิจขาดสภาพคล่อง ดังนั้น แนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องเงินอันดับต้นๆ ก็หนีไม่พ้นการเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบไม่ว่าจะเป็นยุคใด สมัยใดก็ตาม

    ท้องอืด ท้องเฟ้อ

    เมื่อใดที่โลกเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ ผลร้ายของเงินเฟ้อส่งผลโดยตรงต่อประชาชนของประเทศนั้น ราคาสินค้าและบริการที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ ทำให้รายได้ที่แท้จริงประชาชนลดน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกมนุษย์เงินเดือนที่ไม่มีเงินงอกเงยออกมาจนกว่าจะสิ้น เดือน จึงได้เห็นข่าวกันอยู่บ่อยๆ ว่า เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ก็มักจะมีเสียงสัญญาณเรียกร้องให้ขึ้นเงินเดือน นอกจากนั้นแล้ว ยังส่งผลต่อระดับราคาโภคภัณฑ์ เช่น ข้าว อาหาร ที่มีราคาเพิ่มขึ้น ตัวอย่างชัดเจนซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลรายการสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น ในรอบ 8 ปี ย่านสุขุมวิท

    เงินเฟ้อยังเป็นผลเสียหายร้ายแรงต่อผู้ที่ เก็บออมเงินในรูป หุ้น พันธบัตร เงินฝาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรและเงินฝาก ก็เนื่องจากเงินที่เก็บออมไว้มีค่าลดต่ำลง คนจึงเลือกที่จะลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ บ้าน ที่ดิน เพื่อไว้เก็งกำไร เพราะต้องการเปลี่ยนสภาพหรือเคลื่อนย้าย เงินออม (saving) ที่ดอกเบี้ยต่ำติดดิน ให้กลายเป็น สินทรัพย์ (asset) ที่สามารถรักษามูลค่า (financial value) ไว้ได้เพื่อรอเวลาเป็นสินทรัพย์นั้นให้กลับเป็นเงินทุนในมูลค่าที่มากกว่า หรือเท่าเดิมโดยไม่ขาดทุน


    Dollar vs Gold

    “IN GOD WE TRUST” ประโยคที่พิมพ์ขึ้นหลังธนบัตรดอลลาร์สหรัฐ เป็นเครื่องหมายการันตีถึงศักดิ์และสิทธิแห่งอำนาจของค่าเงินดอลลาร์ ความมีศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของผู้ถือเงินดอลลาร์สหรัฐ และ สิทธิ แห่งความชอบธรรมในการนำเงินตราสกุลนี้ไปชำระหรือแลกเปลี่ยนที่ไหนในโลกก็ได้ โดยชอบด้วยกฎหมาย นับตั้งแต่ทั่วโลกหันมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ร่วมกัน โดยทุกประเทศจะยอมตรึงค่าเงินของตัวเองไว้กับทองคำ แล้วทองคำก็ผูกติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐอีกทอดหนึ่ง นัยคือ ประเทศต่างๆ ยอมผูกติดค่าเงินตัวเองกับเงินดอลลาร์สหรัฐ

    ประเทศที่เคยใช้ระบบมาตรฐานทองคำที่ผูกค่า เงินกับทองคำและใช้ทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศจึงเริ่มหันมาสะสมเงิน ดอลลาร์สหรัฐกันเป็นทิวแถว นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เงินดอลลาร์ก็เข้ามามีบทบาททางการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากในขณะนั้น แต่ละประเทศต่างต้องการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง ดังนั้นจึงทำให้เกิดการตั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ขึ้นเพื่อปล่อยกู้ให้แต่ละประเทศ โดยมีเงื่อนไขว่าประเทศผู้กู้จะต้องทำตามระเบียบของ IMF ได้กำหนดไว้ โดยแหล่งที่มาของเงินกู้ก็ไม่ได้มาไกลจากไหน ก็การพิมพ์ดอลลาร์ของสหรัฐขึ้นมาให้เพียงพอต่อการกู้นั่นเอง โดยจะว่าไปแล้ว IMF นี่แหละ ที่เป็นเครื่องมือในการปลดพันธนาการที่ต้องอิงแอบกับทองคำ (ในการพิมพ์แบงก์) ให้กับสหรัฐ

    อย่างไรก็ตาม ก็ต้องไม่ลืมด้วยว่า ในยุคสงครามเย็นตอนนั้น อิทธิพลทางการเงินของสหรัฐยังแผ่ไพศาลกว่านี้มากนัก ซึ่งนั่นทำให้หลายประเทศ เชื่อมั่นในฐานรากของสหรัฐ ว่าประเทศนี้จะเป็นยักษ์ที่ไม่มีวันล้ม ฉะนั้น แต่ละประเทศจึงอิงแอบกับสกุลเงินดอลลาร์กันอย่างเอิกเกริก ไม่ว่าจะเป็นการเก็บไว้เป็นทุนสำรอง หรือแม้แต่เพื่อการเก็งกำไร อย่างเช่น ประเทศจีนที่อิงกับค่าเงินดอลลาร์ ปัจจุบันจีนมีทุนสำรองระหว่างประเทศมากถึง 2.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จาก 1.95 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ปี 2551) (ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าหากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงทุกวัน จีนจะยังคงเร่งกักตุนเงินสำรองในรูปเงินดอลลาร์ต่อไปอีกหรือไม่)

    ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเหตุไฉนอเมริกาถึงได้เป็นประเทศมหาอำนาจมาจวบจนทุก วันนี้เพราะในเมื่อเงินดอลลาร์ กลายเป็นอำนาจอย่างหนึ่งที่ผู้คนต่างพากันอยากเป็นเจ้าของหรือถวิลหาไว้ใน มือให้มากที่สุด ติดปีกอำนาจทางเศรษฐกิจให้กับสหรัฐ ทำให้อเมริกาเป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถพิมพ์ดอลลาร์สหรัฐออกมาได้โดยที่ ไม่ต้องมีสินทรัพย์มาหนุนหลัง ใช้เพียงความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์สหรัฐล้วนๆ

    อย่างในช่วงปี 2540 ค่าเงินบาทไทยเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐแตะที่ 44.48 ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นใครถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐสมัยนั้นมากๆ แล้วแลกเป็นเงินบาทไทย ก็เป็นเศรษฐีกับเขาได้เหมือนกัน ซึ่งคุณทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นคนหนึ่งที่เก็งดอลลาร์ในขณะนั้นไว้ได้อย่างแม่นยำ บ้างก็บอกว่าเขามองตลาดทะลุปรุโปร่ง แต่บ้างก็บอกว่าเป็นเพราะสายสัมพันธ์ที่ต่อถึงวงในที่รู้ว่าจะมีการประกาศ ลอยตัวค่าเงินบาท ที่มีทั้ง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี และดร.ทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในขณะนั้น

    อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มนต์ตราแห่ง “IN GOD WE TRUST” กลับ เริ่มเสื่อมถอยไม่คงความขลังดังเช่นที่ผ่านมาเท่าไรนัก เนื่องจากความระส่ำของสถาบันการเงินอันเนื่องจากวิกฤตสินเชื่อตึงตัวประกอบ กับความไม่มั่นใจค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแต่จะอ่อนค่าลงทุนวัน ทำให้นักลงทุนหันไปเก็งกำไรทองคำกันมากขึ้น เพราะทองคำจึงเป็นที่พึ่งในยามที่เงิน หรือ ดอลลาร์ อาจกลายเป็นเพียงเศษกระดาษที่ไม่มีใครอยากครอบครอง ทำให้ในวันนี้ทองคำทำสถิติพุ่งสูงขึ้นเป็น new high แตะที่ระดับประมาณ 17,000 บาท ต่อออนซ์

    แนวโน้มราคาทองคำโลกมีแต่จะพุ่งสูงขึ้นนับ ตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก (ดูตารางประกอบ) เป็นเพราะปริมาณความต้องการทองคำ ในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น ทองคำกลายเป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุนหรือการออมที่มีความน่าสนใจ มีค่าในตัวเอง นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรจึงสะสมทองคำเพื่อเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย สร้างความมั่งคั่งในระยะยาวให้กับผู้ถือ ยิ่งค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปมากเพียงใด ราคาทองคำก็จะยิ่งพุ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

    ราคาเฉลี่ยทองคำในไทย ตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยน
    [​IMG]
    ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

    ด้วยการที่ค่าเงินผูกติดกันไว้อย่างนี้ นี่เอง ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์หรือข่าวที่ว่าประเทศหนึ่งประเทศใดเกิดปัญหาวิกฤต หนี้ ชาติต่างๆ พากันหวาดผวาไปตามๆ กัน อย่างการออกมาประกาศวิกฤตหนี้ของประเทศกรีซ ก็นสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ไม่น้อยให้กับบรรดากลุ่มประเทศยุโรป เพราะหนี้สินของรัฐบาลกรีซ อาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นกับกรณีดูไบของสหรัฐ อาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ก็ได้ และหากเป็นอย่างนั้นจริง ประเทศที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นเยอรมนีเพราะธนาคารพาณิชย์ของเยอรมนีได้เข้าซื้อพันธบัตรของ กรีซไว้จำนวนมาก และนี่แหละคื่อความปั่นป่วนของการเงินโลกที่ผูกติดค่าเงินของประเทศต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน

    อเมริกา แก้ลำ

    สิ่งหนึ่งที่แตกต่างระหว่างการสร้างสรรค์ โดยธรรมชาติ กับสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นมาด้วยน้ำมือมนุษย์ ก็คือ ธรรมชาติมักจะสร้างให้เกิดภาวะที่เรียกว่าสมดุล ในขณะที่มนุษย์มักจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

    และนี่เองคือเหตุผลที่ว่า ทำไมนับแต่มนุษย์มีระบบเศรษฐกิจขึ้นมาตั้งแต่ครั้ง เมโสโปเตเมีย ไทกริสยูเฟติส ลุ่มแม่น้ำไนน์ ลุ่มแม่น้ำสินธุ อารยธรรมจีน เมื่อหลายพันปีก่อน เรื่อยมาจนถึงอาณาจักรที่เรียกว่าวอลล์สตรีท ดาวส์โจนน์ แนสแด็ก นิเคอิ ฯลฯ ในปัจจุบัน การไต่ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของความมั่งคั่ง กระทั่งทุกอย่างล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา จึงได้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นวัฏจักร โดยไม่มีทีท่าว่าจะเข้าสู่คำว่าสมดุลได้สักที

    ยิ่งเมื่อมนุษย์ได้รู้ซึ้งถึงคำว่า Globalization มากขึ้นเท่าใด ความรุนแรงที่เกิดขึ้นก็รังแต่จะขยายมณฑลมากขึ้นเท่านั้น ขณะที่สาเหตุแห่งปัญหากลับเริ่มจากเรื่องที่เล็กลงเรื่อยๆ ยกตัวอย่างดังเช่นกรณีหลังสงครามโลก เพียงการลดค่าเงินมาร์กของเยอรมนี เพื่อชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามจนเกิดเงินเฟ้อ ก็ทำให้โลกทั้งใบพลอยระส่ำไปด้วย หรือแม้แต่ในปัจจุบันที่พญาอินทรีย์อย่างสหรัฐ พิมพ์แบงก์อัดฉีดเข้าสู่ระบบได้เองโดยไม่ต้องอิงค่าทองคำ ตามข้อตกลงที่ Bretton Woods ทั่วโลกก็เกิดอาการที่เรียกว่า“เสพติดดอลลาร์” ขนาน ใหญ่ ชนิดที่ว่า หากเศรษฐกิจสหรัฐทำท่าดิ่งทีไร ทุกประเทศก็ลุ้นตัวโกร่งไปด้วย เนื่องจากได้ถือสกุลเงินดอลลาร์ไว้เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศแทบทั้ง นั้น

    นับแต่ขึ้นสหัสวรรษใหม่ กล่าวได้ว่าไม่มีประเทศใดที่มองไม่ออกหรอกว่า เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีปริมาณเงินในระบบมากกว่าภาคการผลิตจริงที่มีอยู่ หรือที่ภาษาในทางเศษฐศาสตร์เรียกว่า “Over Money Supply” โดย เจ้าสิ่งนี้เอง ที่บีบคั้นให้เกิดระบบการเก็งกำไรขึ้นอย่างมหาศาล ตลาดซื้อขายล่วงหน้า การเก็งกำไรในพันธบัตร สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณระเบิดเวลาชั้นยอดที่รอวันปะทุ

    โดยเฉพาะกับยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐ ที่ไม่ได้เอาใจใส่ในเรื่องการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นของภาครัฐบาล หรือภาคเอกชน โดยเงินที่ขออนุมัติรัฐสภาเพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจส่วนใหญ่ก็มิได้นำไป ลงทุนอะไรใหม่ ส่วนใหญ่นำไปลงทุนในการซื้อกิจการของเอกชน หลังจากให้เอกชนลดทุนลงไปแล้ว เพื่อพยุงราคาหุ้น ผลประกอบการที่ดูดีขึ้นก็เกิดจากการลดทุน เป็นกำไรทางการเงิน ไม่ใช่เป็นเพราะผลประกอบการที่ดีขึ้นจริง

    ดังนั้น เมื่อปริมาณเงินถูกปั๊มออกมาอย่างมาก ไม่สมดุลกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จึงทำให้เกิดการคาดการณ์กันไปทั่วว่าเงินดอลลาร์อาจจะกลายเป็นเศษกระดาษ หรือค่าเงินดอลลาร์จะยังลดค่าของตนต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลต่างๆ ของโลก ซึ่งนั่นทำให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะพยายามลดความเสี่ยงจากการถือเงิน ดอลลาร์ หันไปถือทองคำ เงินยูโร เงินเยน หรือเงินสกุลอื่นในยุโรป รวมทั้งเงินออสเตรเลียและเงินแคนาดา

    มองมุมหนึ่งแล้ว ถือว่านี่คือปัญหาที่ถาโถมเข้าสู่พญาอินทรีย์ ซึ่งทรงอิทธิพลทางการเงินของโลกเข้าอย่างจังเบอเร่อ ทำให้อดที่จะสงสารไม่ได้ เพราะอย่างไรเสีย ภาพลักษณ์ของสหรัฐก็มีสภาพไม่ต่างจากที่หยอดน้ำมันเครื่อง ที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเสริมสภาพคล่องให้กับเศรษฐกิจโลกอยู่ตลอดเวลา แต่หากลองตรึกตรองกันดูดีๆ สักนิดแล้ว จะพบว่าสหรัฐเอง ก็ได้ฉกฉวยโอกาสจากคนทั้งโลกมาหลายปีดีดักอยู่เช่นกัน

    นั่นเพราะการเป็นเงินสกุลหลักของโลกที่ทุก ประเทศต้องถือเอาไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ คือ การที่สหรัฐสามารถพิมพ์กระดาษที่มีต้นทุนต่ำเกือบศูนย์ออกมาให้ชาวอเมริกัน สามารถซื้อสินค้าและบริการใช้ให้เป็นประโยชน์ แปลว่าชาวอเมริกันได้กินได้ใช้ของฟรีนั่นเอง เวลาเดินทางไปไหนมาไหนหรือท่องเที่ยวในไทย ก็ใช้จ่ายกันประดุจราชา ยิ่งประเทศคู่ค้านำเอาดอลลาร์ไปเก็บเอาไว้มากเท่าไรคนอเมริกันก็ยิ่งได้ ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น

    ด้วยเหตุนี้เอง สหรัฐจึงพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้อเมริกันชนสามารถที่จะพยุงความได้เปรียบนี้ไว้ให้นานที่สุดตราบที่ จะทำได้ โดยการหันมาใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการกู้เงินมาอัดฉีดเข้าระบบ เศรษฐกิจของสหรัฐเองนี้ แม้จะตรงตามทฤษฎีของ Keynes อยู่บ้าง แต่ในแง่ความเป็นจริงที่เกิดการซ้อนทับในระบบเงินที่มหาศาลเช่นนี้ การดำเนินนโยบายดังกล่าวจึงเท่ากับเป็นการเพิ่มภาระแก่รัฐบาลและผู้เสียภาษี ในอนาคตแล้ว ยังอาจทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐไม่ปรับตัว หรือต้องใช้เวลาปรับตัวที่มีระยะยาวนานออกไปอีกก็ได้

    หรืออย่างร้ายที่สุด การฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ เหมือนกับเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ฟุบตัวลงไปตั้งแต่ปี 1990 เพราะถูกสหรัฐให้ขึ้นค่าเงินเยนอย่างรวดเร็วในครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1980 ตั้งแต่นั้นมาเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ไม่เคยฟื้นตัวอย่างจริงจังอีกเลย มีขึ้นลงบ้างก็เพียงเล็กๆ น้อยๆ

    และที่สำคัญที่สุด คือการที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนออกมาท้วงติงว่า นโยบายปั๊มเงินออกมาพยุงเศรษฐกิจกันอย่างมโหฬารทั่วโลก จะเป็นสาเหตุให้ปริมาณเงินดอลลาร์และเงินทุกสกุลทะลักออกมามากเกินไป เมื่อเทียบกับผลผลิตหรือรายได้ประชาชาติของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับผลผลิตที่มาจากทรัพยากรของโลก ไม่เฉพาะแต่แร่ธาตุอย่างทองคำ แต่จะรวมไปถึงน้ำมัน ทองแดง อะลูมิเนียม และอื่นๆ ด้วย ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะทำให้สินค้าเหล่านี้มีราคาต่ำลงเทียบกับปริมาณเงินที่ ถูกปั๊มเข้ามาในระบบเศรษฐกิจทั่วโลก

    ผลก็คือจะทำให้เกิดเงินเฟ้อขึ้นอย่าง รุนแรงทั้งโลก ระบบตลาดของสินค้าโภคภัณฑ์ที่จัดระเบียบไว้ทั้งในตลาดปัจจุบันและในตลาดล่วง หน้า อาจจะพังทลายลงถ้าเกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง (hyper inflation) โดยราคาสิ่งของเพิ่มขึ้นทุกวัน สินค้าก็จะหายไปจากตลาด เศรษฐกิจทั้งโลกก็จะตกต่ำถึงขีดสุด เกิด ภาวะ Stagflation กระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจและการจ้างงานด้วย ทางแก้ไขที่ดีกว่าการปั๊มเงินก็น่าจะเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระยะยาว โลกกำลังเผชิญปัญหาเรื่องเงิน แต่จะต่างกันบ้างก็คือตอนนี้ ทั้งโลกไม่ได้ทำสงครามระหว่างกันเอง หากแต่ว่าทำสงครามอยู่กับตัวเองต่างหาก !!!

    ..................................................
    เรียบเรียง ธนาวรรณ อยู่ประยงค์
    อยู่ท่ามกลางเงินซูปเปอร์เฟ้อ...เมื่อดอลลาร์จ่อล่มสลาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2010
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คลิปช็อค!!โดดระเบียงรัฐสภาโรมาเนียกลางศึกอภิปรายประท้วงรัฐ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>24 ธันวาคม 2553 02:01 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ซินหัว/เดลิเมล์ - สำนักข่าวต่างประเทศเผยแพร่วิดีโอสุดช็อก วินาทีที่ชายคนหนึ่งกระโดดลงมาจากระเบียงของรัฐสภาโรมาเนีย สูงกว่า 20 ฟุต เมื่อช่วงสายของวันพฤหัสบดี(23) ขณะที่นายกรัฐมนตรี เอมิล บอค กำลังเตรียมตัวลุกขึ้นกล่าวระหว่างศึกอภิปราย



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> รายงานข่าวระบุว่าชายรายนี้ใช้วิธีรุนแรงดังกล่าวเพื่อประท้วงมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล ขณะที่เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้การลงมติเกี่ยวกับกฎหมายค่าแรงซึ่งกำหนดไว้ต่อจากนี้มีอันต้องถูกยกเลิกไป

    ชายรายนี้ซึ่งอ้างว่าเป็นช่างเทคนิคของสถานีโทรทัศน์ทีวีอาร์ ตะโกนเสียงดังลั่นก่อนกระโดดลงมาจากระเบียงระดับความสูงกว่า 23 ฟุต "พวกแกตัดเงินสำหรับเป็นค่าเลี้ยงดูลูกๆของฉัน" ส.ส.รายหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์บอก พร้อมเล่าต่อว่าเขายังพอมีสติหลังตกลงมากระแทกพื้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุและชายคนดังกล่าวได้รับความช่วยเหลือเบื้องต้น "สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือช่วยชีวิตชายคนนี้" นายกรัฐมนตรีบอคกล่าวขณะเดินลงมาดูเหตุการณ์

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ภาพจากกล้องวงจรปิดทำให้ได้เสียงอันดังลั่นขณะที่ร่างของเขากระแทกพื้น อย่างไรก็ตามน่าอัศจรรย์ที่ชายคนดังกล่าวได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย โดยมีเพียงบาดแผลบริเวณหน้าและเวลานี้กำลังนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อรอทำศัลยกรรม ส่วนคณะแพทย์เปิดเผยว่าจำเป็นต้องจัดจิตแพทย์คอยให้คำปรึกษาแก่เขาด้วย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> โรมาเนียกำลังติดหล่มของภาวะเศรษฐกิจถดถอยและเมื่อไม่นานที่ผ่านมา รัฐบาลได้หั่นค่าแรงลูกจ้างภาคสาธารณะลงถึง 1 ใน 4 นอกจากนี้ยังมีการขึ้นภาษีขายจาก 19 เป็น 24 เปอร์เซ็นต์ เพื่อรักษาตัวเลขขาดดุลงบประมาณให้อยู่ที่ร้อยละ 6.8 ในปี 2010

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    Around the World - Manager Online -
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นิวยอร์ก - ดาวโจนส์บวกต่อหลังข้อมูลเศรษฐกิจหลายตัวชี้สหรัฐฟื้นตัวต่อเนื่อง
    [​IMG]

    หุ้นดาวโจนส์ในตลาดนิวยอร์กปิดตลาดวันพฤหัสบดีบวก 0.12% หรือ 14 จุดที่ระดับ 11,573.49 ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 0.16% หรือ 2.07 จุด ที่ระดับ 1,256.77 ดัชนีแนสแดคลดลง 0.22% หรือ 5.88 จุดที่ระดับ 2,665.60
    กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานตัวเลขผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานใกล้ระดับต่ำสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ 420,000 ราย ขณะที่รายได้และการใช้จ่ายของผู้บริโภคเดือนพ.ย. สูงขึ้น ก่อให้เกิดการคาดหมายว่าการจับจ่ายจะแข็งแกร่งในเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ส่วนราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ก็เพิ่มขึ้น 0.1% หลังจากซบเซามา 4 เดือนติดกัน
    คำสั่งซื้อตามโรงงานลกลงเป็นเดือนที่ 2 ติดกัน ในเดือนพ.ย. แต่หากไม่รวมภาคขนส่ง คำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 2.4% ซึ่งสูงกว่าการคาดหมาย นอกจากนั้น ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย.ยังเพิ่มขึ้น 5.5% สะท้อนว่าตลาดที่อยู่อาศัยที่เป็นหัวใจของวิกฤต กำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ
    ด้านราคาน้ำมันดิบในตลาดนิวยอร์กแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ได้แรงหนุนจากอากาศหนาวเย็นในยุโรปและอเมริกาเหนือ รวมถึงข้อมูลเศราฐกิจสหรัฐ
    น้ำมันดิบส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.03 ดอลลาร์ อยู่ที่ 91.51 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นับเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 5 และขึ้นไปแตะระดับ 91.63 ดอลลาร์ระหว่างการซื้อขาย ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 60 เซนต์ ที่ 94.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากขึ้นไปแตะระดับ 94.54 ดอลลาร์ระหว่างการซื้อขาย
    ค่าเงินดอลลาร์ในตลาดนิวยอร์กลดลงหลังจากจีนรับปากจะสนับสนุนประเทศยูโรโซนที่ประสบปัญหาหนี้ โดยเงินยูโรขยับขึ้นเป็น 1.3118 ดอลลาร์จาก 1.3095 ส่วนดอลลาร์เทียบเยนลดลงเหลือ 82.91 จาก 83.55
    เมื่อวันพฤหัสบดี จีนรับปากจะสนับสนุนประเทศในยุโรป หลังจากกรีซและไอร์แลนด์ขอรับความช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟและอียูไปแล้ว ท่าทีของจีนทำให้นักลงทุนมองโลกแง่ดี
    "เราพร้อมสนับสนุนประเทศยูโรโซนให้เอาชนะวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจฟื้นตัว ในอนาคตอียูจะเป็นหนึ่งในตลาดหลักสำหรับการลงทุนอัตราแลกเปลี่ยนของเรา" โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนกล่าว
    จีนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญรายหนึ่งในวิกฤตหนี้ยุโรป เพราะมีทุนสำรองสกุลต่างประเทศมากที่สุดในโลกที่ 2.65 ล้านล้านดอลลาร์ และนำไปลงทุนในเงินยูโรจำนวนมาก
    ขณะเดียวกัน ฟิตช์ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ลดความน่าเชื่อถือตราสารหนี้สกุลต่างประเทศและท้องถิ่นระยะยาวของโปรตุเกสลง 1 ขั้น เหลือ A+ จาก AA- เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจระยะใกล้เสื่อมถอยและมีแนวโน้มจะเผชิญภาวะถดถอยปีหน้า เมื่อรัฐบาลต้อการลดการขาดดุลให้เหลือ 4.6% ของจีดีพี
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สส.กรีกอนุมัติงบรัดเข็มขัด

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 23 ธันวาคม 2553 12:28

    [​IMG]

    เอเธนส์ - สส.กรีกอนุมัติงบประมาณรัดเข็มขัด ยกเครื่องเศรษฐกิจ ขณะผู้ประท้วงหลายพันเดินขบวน
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>สส.กรีกอนุมัติงบประมาณรัดเข็มขัดปีหน้าไปด้วยคะแนน 156 ต่อ 142 หลังการอภิปราย 5 วัน โดยพรรคสังคมนิยมหนุน ส่วนพรรคขวาจัด และคอมมิวนิสต์คัดค้าน งบประมาณปีหน้ารวมถึงการลดค่าใช้จ่ายในรัฐวิสาหกิจและภาคสาธารณสุขซึ่งบริหารงานผิดพลาด ขึ้นภาษีการขายจาก 11% เป็น 13% ปราบปรามการเลี่ยงภาษี ลดค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม และระงับเงินบำนาญ
    นายกรัฐมนตรีจอร์จ ปาปันเดรอู กล่าวว่ามุ่งมั่นจะสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อดึงประเทศขึ้นจากวิกฤต พร้อมเรียกร้องฝ่ายค้านให้มีความรับผิดชอบ
    ด้านสมาชิกสหภาพแรงงานและพรรคคอมมิวนิสต์ 3,000 คน ชุมนุมเพื่อต่อต้านงบประมาณซึ่งลดค่าใช้จ่าย 14,000 ล้านยูโรสำหรับปีหน้า หวังแก้ปัญหาการเงินของประเทศ สร้างปัญหาแก่การจราจา เพราะมีการนัดหยุดงานในภาคขนส่งอยู่แล้ว
    สมาชิกสหภาพแรงงานคนหนึ่งกล่าวว่าถูกลดค่าแรงมา 5 ครั้งแล้วตั้งแต่เดือนม.ค. ไม่มีใครอยู่ได้กับค่าแรงเพียง 1,000 ยูโร

     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    Phase II.......Part 6 of ( "การทำลายล้าง" และ "ความรอด" 2 )


    Disclaimer : สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่ เป็น "ความเชื่อส่วนบุคคล" ครับ ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ การเมือง และอริยธรรมของมนุษย์ ในการการศึกษาค้นคว้าของผู้เขียน ความคิดต่าง เห็นต่าง ขอให้เป็นดุลยพินิจของท่านผู้อ่านครับ.......


    Sequence หรือลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผมดูไว้มีดังนี้ครับคือ


    1.ตลาดหุ้น>เศรษฐกิจ>เงินดอลล่า>เงินสกุลอื่นๆ
    2.ตลาดพันธบัตร>ดอลล่า>ตลาดหุ้น>เศรษฐกิจ>เงินสกุลอื่นๆ
    3.ยูโร>ตลาดหุ้น>เศรษฐกิจ>ดอลล่า>เงินสกุลอื่นๆ
    4.ยูโร>ดอลล่า>ตลาดหุ้น>เศรษฐกิจ>เงินสกุลอื่นๆ (Lindsey Williams)
    5.CA>ตลาดหุ้น>เศรษกิจ>ดอลล่า>เงินสกุลอื่นๆ (2012)
    6.สงคราม>ดอลล่า>ตลาดหุ้น>เศรษฐกิจ>เงินสกุลอื่นๆ (Ron Paul)
    7.การก่อการร้าย>ตลาดหุ้น>เศรษฐกิจ>เงินดอลล่า>เงินสกุลอื่นๆ


    ซึ่งดูแล้วทุกอันมีความเป็นไปได้เกือบจะเท่ากันหมดครับ เพราะต้องยอมรับครับว่า Life Line หรือ "ความเป็นความตาย" ของสหรัฐไม่ได้อยู่ในมือของเค้าเองทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติเจ้าหนี้ต่างๆ เช่นจีน ญี่ปุ่น รัสเซีย และชาติน้ำมันต่างๆ ซึ่งเมื่อขยับเมื่อไหร่ก็จะส่งผลกับดอลล่าและทิศทางของตลาดในทันที


    ส่วนตัวผมมองว่าความอยู่รอดในเรื่องปากท้องหรือเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องยากครับ ซึ่งก็จะวัดกันตรงที่ใครมองเห็นอะไรมากกว่ากัน ทำความเข้าใจกับเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ได้แค่ไหน ประสบการณ์ที่ผ่านมาและ "การเตรียมพร้อม" ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ การเข้าซื้อทองคำและแร่งเงินก็เป็น "เพียง" เครื่องมือตัวหนึ่งที่ทำง่ายคิดง่าย ในวงเล็บ "ถ้ามีทุนพอครับ" จึงเกิดคำถามครับว่าถ้าไม่มีล่ะจะอยู่ไม่ได้หรือคำตอบคืออยู่ได้ครับ เพียงแต่ต้อง "คิด" ให้มากขึ้นอีกหน่อย

    ผมจะขอแก้ ค่านิยม ความความเชื่อ หรือกรอบความคิดหนึ่งที่ผมเริ่มเห็นหลาย "กูรู" ที่พูดกันมากขึ้นในสังคมไทย ณ เวลานี้ นั่นก็คือการที่มี "ผู้รู้" หลายๆท่านออกเขียนบทความหรือให้ความเห็นในลักษณะที่ว่า "ทองคำกำลังเป็นฟองสบู่" แล้วไม่รู้ว่าฟองสบู่ทองคำกำลังจะแตกเมื่อไหร่ เอาล่ะครับ คนที่เก็บสะสมทองคำไว้มากๆเริ่ม....หนาว


    ผมจะขอมองในอีกมุมหนึ่งครับ จะคิดต่างเห็นต่างขอให้เป็นสิทธิของท่านผู้อ่านทุกชาติทุกภาษาเอง โดยเริ่มจากคำถามก็คือ Fundamental หรือปัจจัยพื้นฐานของทองคำอยู่ที่ตรงไหน จำกรอบความคิดนึงที่ผมบอกคุณว่าคุณต้องทำลายมันลงได้ไม๊ครับ นั่นก็คือ "ธนบัตรหรือกระดาษต่างๆที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ของคุณคือเงินจริงๆ เพราะฉะนั้นดอลล่าก็ยิ่งเป็นเงินด้วย"


    ซึ่งในความเป็นจริงแล้วธนบัตรหรือกระดาษเหล่านั้นคือ "หนี้" ครับเป็นหนี้ที่เกิดจากการที่คุณนำทองคำไปฝากไว้ธนาคารกลางของประเทศ แล้วเค้าก็พิมพ์กระดาษาเหล่านี้ออกมาใช้หมุนเวียนแลกเปลี่ยนซื้อขายในตลาด แทนที่จะนำทองคำจริงๆมาทำธุรกรรมกันซึ่งก็คงจะแปลกๆครับถ้าจะทำอย่างนั้น แต่....อาจจะเป็นจริงขึ้นซักวัน "อยู่ช่วงหนึ่ง" ครับในอนาคต แล้วในภาวะที่ความไม่แน่นอนพุ่งสูงขึ้น สิ่งที่คุณจะต้องถือครองคืออะไรครับ ทองคำหรือกระดาษ??? ทองคำก็คือทองคำครับ มันอยู่ของมันเฉยๆ ถ้าไม่เชื่อคุณลองเอาทองเก่าๆที่คุณเก็บไว้ขึ้นมาดูสิครับ ลองมองดูมันแล้วถามตัวเองว่าสร้อยคอหรือแหวนทองคำเส้นนี้หรือวงนี้มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า???


    แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจริงๆ ก็คือปริมาณกระดาษหรือที่เรียกว่าธนบัตรที่ถูกพิมพ์ออกมาสู่ตลาดมากขึ้นๆๆ มาตลอด โดยเฉพาะ "ดอลล่า" ที่ไม่มีอะไรหนุนเลยครับ นอกจาก "ความเชื่อมั่น" แล้วถามว่าวันนี้ความเชื่อมั่นเหล่านั้นอยู่ที่ไหนและมีสภาพเป็นอย่างไร??? เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะไปนำทองคำที่ฝากไว้เหล่านั้นกลับคืนมาก็คือคุณต้องใช้ปริมาณกระดาษหรือที่เรียกว่าธนบัตรเหล่านั้นมากขึ้นนั่นเองครับ

    สรุปคือทองคำไม่ได้แพงขึ้นครับแต่ปริมาณของกระดาษมันเยอะ มันเฟ้อหรือมันถูกลง นี่ก็เป็นหลักคิดง่ายๆครับเพื่อที่จะเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของทองคำ เพราะฉะนั้น...คุณไม่ได้ไปซื้อทองเพื่อซื้อทองครับ



    และเมื่อไหร่ที่เงินกระดาษทุกสกุลเข้าสู่การ "เสื่อม" ลงพร้อมๆกัน ซึ่งไม่ต้องห่วงครับ IMF รอที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพอยู่แล้วที่จะเข็นสกุลเงินใหม่ออกมาหรือหรือที่เรียกว่า New World Currency หรืองเงินตราสกุลใหม่และจะเป็นเงินสกุลเดี่ยวและสกุลเดียวของโลก ที่จะมาแทนที่ Paper Currency ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ "ทันที" ที่ระบบเงินกระดาษปัจจุบันไปไม่ไหว หรือล้มไม่เป็นท่าแล้วเพราะปัญหา "Hyperinflationary Depression" หรือปัญหาเงินเฟ้อขั้นร้ายแรงที่จะก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำในระดับโลก ซึ่งจะเกิดพร้อมๆกันทั่วโลก อันเนื่องมาจากการที่เงินยูโรและดอลล่าล้มตัวลง ในขณะที่เงินสกุลหลักอื่นๆในระบบตะกร้าก็ตามกันไปเพราะอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน


    ผมอยากให้คุณทำความเข้าใจกับข้อความด้านบนนี้ให้ดีครับ มันจะเป็นวิกฤติการที่ยิ่งใหญ่มาก ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์โลกที่คาดว่าจะเกิดในช่วงปลายปี 2011-2015 ก่อนที่ IMF จะ "หาเรื่อง" เข็นเงินสกุลใหม่ออกมาใช้โดย "อ้างว่า" เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่เป็นอยู่ แล้ววางตำแหน่งตัวเองเป็น World Central Bank หรืออภิมหาธนาคารกลางของโลกมนุษย์ใบนี้ ซี่งถ้าคุณไม่เข้าใจ คุณจะมองวิกฤติไม่ออกครับหรือตีมันไม่แตก การเตรียมความพร้อมก็ไม่เกิด ยิ่งถ้าจะพูดกันถึงการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสอันนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หรือจะว่าไปแล้วก็เปรียบได้กับคนป่วยคนหนึ่งที่มีโรครุมเร้าอยู่สารพัด แต่ไม่ "เชื่อ" ว่าตัวเองป่วย แต่กลับบอกว่าตัวเองไม่ได้ป่วย ยังแข็งแรงดี เพราะยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว จีงไม่มีการตรวจหาสาเหตุหรือดูแลรักษาเกิดขึ้น หรือป้องกันที่จะไม่ให้มีโรคใหม่ๆแทรกซ้อนตามมานั่นเองครับ แล้วก็เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่เหมือนคนปกติ จนในที่สุดโรคร้ายเหล่านั้นกัดกินอวัยวะต่างๆของร่างกาย จนกระทั่งทั้งระบบบางส่วนต้องหยุดทำงานลง แล้วด้วยระบบร่างกายทั้งหมดที่เชื่อมต่อกัน ก็ส่งผลให้ทั้งระบบร่างกายหยุดทำงาน หรือก็คือ "ตาย" ลงในที่สุด


    "เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง"

    ผมอยากให้ผู้อ่านทุกท่าน "สลัก" ประโยคนี้ไว้ในใจครับ แค่เขียนอย่างเดียวอาจจลบเลือนไปได้ แต่ถ้าสลักไว้แล้วคงจะอยู่ทนนานครับ และประโยคนี้ก็คือคำถามของคำตอบที่ว่าถ้าไม่มีทุนจะซื้อทองคำหรือแร่เงินจะต้องเตรียมตัวอย่างไร " ปัจจัย 4 " ครับ คือคำตอบที่ตรงไปตรงมา ในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่การเตรียมพร้อมในเรื่องปัจจัย 4 เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งมากกว่าทองคำและเงินซะอีก คือการมีอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดเพียงพอ และปัจจัย 4 ที่เหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพ ส่วนที่เหลืออื่นๆ พระเจ้าท่านทรงประทานไว้ให้หมดแล้วครับ แต่อยากจะให้คิดไปอีกหน่อยว่า จริงๆแล้วท่านสร้างและประทานไว้ให้หมดแล้วล่ะครับ


    แต่กลับเป็นมนุษย์เองที่ทำลายสิ่งเหล่านั้น บุกรุกพื้นที่ที่เป็นแหล่งอาหาร ทำลายสิ่งเหล่านั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง บุกรุกทำลายป่า ระเบิดภูเขาที่ทรงสร้างไว้ให้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร เพราะฉะนั้นคงต้องหาเองครับ และในวันเวลาแห่งความยากลำบากเหล่านั้นต้องมีครับ ต้องเตรียมให้พร้อมด้วยตนเอง ยืนอยู่บนขาของตัวเอง อย่างหวังพึ่งคนอื่นหรือรอรัฐบาล หรือหน่วยงานใดๆ ครับ เพราะเกือบทุกคนก็ต้องการดิ้นรนที่จะมีชีวิตรอดเหมือนกันหมด และคนที่จะยอมเสียสละตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ซึ่ง "มี" ครับแต่น้อยและจะไม่เพียงพอในความยากลำบากเหล่านั้น


    คงจะยังไม่ใช่วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ครับที่สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้น แต่ผมก็จะให้เป็นแนวทางไว้ อ่านสัญญานต่างๆ ที่ส่งออกมาครับ ติดตามข่าวสาร เราต้องรู้ลึก รู้เร็ว และรู้ก่อนครับ เพื่อที่จะเตรียมพร้อม ไม่ต้องไปแก่งแย่งแข่งขัน ฉกชิงวิ่งราว เพื่อที่จะไม่ต้องแย่งซื้อหาสิ่งเหล่านั้นกัน ส่วนข้อมูลเรื่องทองคำและเงินก็คงหาได้จากบล๊อกนี้หรือที่อื่นๆครับ แต่ที่ผมเห็นโดยส่วนใหญ่จะเน้นไปในทิศทางของการเก็งกำไรหรือทำกำไรซะโดยส่วนใหญ่ แต่ผมจะขอเน้นย้ำว่า การลงทุนหรือการเข้าซื้อในช่วงเวลาต่อไปนี้ ขอให้ท่านมุ่งไปที่ "การป้องกันความเสี่ยง" จากการล้มตัวของสกุลเงินต่างๆ ที่จะลากเอาเศรษฐกิจพ่วงตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากครับ


    ***เน้นการป้องกันความเสี่ยงมากกว่าการเก็งกำไร ซื้อๆขายๆ หรือการทำ Day Trade


    ปี 2011 นี้จะเป็นที่สหรัฐและโลกตะวันตกทรุดหนักลงมาก และมีความเป็นไปได้ที่จะล้มลงในช่วงครึ่งหลังของปี หรือเต็มที่ก็ไม่น่าจะเกินกลางปี 2012 เพื่อที่จะผลักให้โลกไม่มีทางเลือก และต้องยอมรับสิ่งใหม่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ หรือ New Order หรือวาระใหม่ของโลกในเกือบจะทุกด้าน หรือที่เรารู้จักกันในนาม New World Order นั่นเอง


    หลังจากการล้มตัวของทางตะวันตกแล้ว โลกก็จะเข้าสู่ Chaos หรือยุคมืดหรือยุคแห่งความสับสนวุ่นวายครับ เกือบจะทุกๆด้าน ทั้งการเงิน เศรษฐกิจ การก่อการร้าย ภัยภิบัติใหญ่ๆและสงคราม ซึ่งและจะกินเวลา 3 ปีครึ่งถึง 7 ปีเป็นอย่างน้อย และความเสียหายต่างๆที่ประเมิณค่าไม่ได้จะตามมาอย่างมหาศาล ซึ่งผมจะเขียนในตอนต่อๆไปครับ



    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1



    โพสต์โดย What's going on in America

    Dec 23 2010, 2:02 PM
    JimmySiri: ราคาทองคำช่วงนี้ยังอยู่ใน<WBR>อารมณ์ของ QE2,<WBR> ปัญหาของยุโรป และเงินเฟ้อครับ แต่ราคาจะไม่เคลื่อนไหวอย่<WBR>างรุนแรง นอกเสียจากเกิดเรื่อง 2 เกาหลี ขี้นมาจริงๆ ซื่งตอนนี้ก็ดูเหมือนเรื่อ<WBR>งราวหักมุมไปเป็นที่เรียบร<WBR>้อยโดยท่าทีที่อ่อนลงของเก<WBR>าหลีเหนือ ความกดดันตรงนี้ก็น้อยลงไป ทองก็เลย "<WBR>เดิน"<WBR> ครับ ในลักษณะ Sideway พร้อมกับรอจังหวะการจู่โจม<WBR>หรือการทุบเป็นระรอกๆ ของกลุ่มแบงค์เกอร์เหล่านั<WBR>้น
    [​IMG]
    [​IMG]
    Dec 23 2010, 2:06 PM
    JimmySiri: ประกอบกับช่วงเทศกาลที่มีว<WBR>อลุ่มต่ำ ถ้าโดนทุบใน 1-<WBR>2 วันนี้ราคาก็ทรุดลงได้อีก ดูเหมือนกราฟจะเริ่มออกอาก<WBR>ารเมื่อคืนที่ผ่านมาครับ ทิศทางขึ้นลงกลับมาเป็น 4:<WBR>6 คงต้องดูราคาปิดนิวยอร์คคื<WBR>นนี้ประกอบ เพื่อจะประเมิณกันใหม่ในวั<WBR>นพรุ่งนี้ ขณะที่พิมพ์อยู่นี้เริมเข้<WBR>านิวยอร์ค ก็เริ่มโดนแล้ว ก็คงต้องมาดูแรงรับกันครับ<WBR>ว่าเด้งได้แค่ไหน

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 23 2010, 2:10 PM
    JimmySiri: ดูแนวรับต่างๆ ดังนี้ครับ 1385><WBR>1373><WBR>1318 จะเห็นว่ามันไต่เส้น 1385 มาซักพัก ซึ่งเหมือนกันเป็นเส้นแบ่ง<WBR>แดนขึ้นลงครับ ลองดูคืนนี้อีกซักคืนว่าจะ<WBR>ออกหัวออกก้อยครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 23 2010, 3:27 PM
    JimmySiri: อ้าว ขาดไป 1 แนวครับคือ 1365 ใช้อันนี้นะครับ 1385><WBR>1373><WBR>1365><WBR>1318 ที่ 1365 จะเป็นแนวเด้งที่แข็งมากๆ โอกาสหลุดลงไปยากพอสมควร แต่ถ้าหลุดลงไป ก็คงลึกลงไปได้อีกครับ แต่เค้าก็ต้องแข่งกับเวลาพ<WBR>อสมควร เพราะกำหนดปิดอยู่ที่ 29 ประกอบกับวันหยุดหลายๆวันต<WBR>่อเนื่องกัน ดูเรื่องวันหยุดของตลาดที่<WBR>จะสลับกันไปมาให้ดีครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Welcome!!
    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การค้าจีน-แอฟริกา โตแรง ! คาดปีหน้าแกร่งขึ้นอีก
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>24 ธันวาคม 2553 13:45 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]

    แฟ้มภาพ – ประธานาธิบดีจีน หู จิ่นเทา และประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ จาค็อบ ซูมา (ขวา) ในพิธีต้อนรับหน้ามหาศาลาประชาคมจีน กรุงปักกิ่ง (24 ส.ค.) ในครั้งนั้น ซูมา เรียกร้องให้จีนเพิ่มการลงทุนในแอฟริกาใต้ เพื่อลดช่องว่างได้เปรียบดุลการค้าจากจีน และเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (ภาพเอเยนซี)

    เอเยนซี - จีนแถลง การค้าจีน-แอฟริกา 11 เดือนแรกประจำปี 2553 เพิ่มขึ้น 43.5 เปอร์เซ็นต์ปีต่อปี พร้อมชี้ แนวโน้มการค้ากับทวีปแอฟริกาจะแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ

    คณะมุขมนตรีจีน เผยรายงานความร่วมมือเศรษฐกิจการค้าระหว่างจีน-แอฟริกาวานนี้ (23 พ.ย.) ชี้ “การค้าสองทางระหว่างจีน-แอฟริกา 11 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่าถึง 114,800 ล้านดอลลาร์”

    มหาอำนาจเศรษฐกิจลำดับสองของโลกอย่างจีน เล็งขยายสัมพันธ์กับแอฟริกา ทวีปที่ร่ำรวยไปด้วยแหล่งพลังงานและวัตถุดิบที่จีนต้องการ เพื่อนำมาป้อนให้เศรษฐกิจจีนโตเร็วแรงเต็มที่

    ช่วงปี 2543-2551 การค้าจีน-แอฟริกาขยายตัว 33.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แม้การแลกเปลี่ยนด้านอื่นจะลดลงเนื่องจากปัญหาวิกฤตการเงินโลก แต่ในที่สุด ปี 2552 จีนก็ได้กลายเป็นคู่ค้าใหญ่สุดของแอฟริกา

    รายงานฯ ชี้ “จีนจะสนับสนุนการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจกับแอฟริกาต่อเนื่อง ขยายขอบเขตความร่วมมือ แสวงหามาตรการใหม่ ๆ และถ่ายทอดวิทยาการที่ก้าวหน้าเพื่อการพัฒนาแก่บรรดาชาติแอฟริกา”

    แม้เสียงวิจารณ์จากตะวันตกว่า “จีนสนับสนุนระบอบนอกคอกของผู้นำอย่าง โอมาร์ ฮัสซัน อัลบาเชียร์ ของซูดาน และโรเบิร์ต มูกาเบ ประธานาธิบดีบนกองเลือดของซิมบับเว” แต่ทว่าทุนจีนก็สามารถไหลหลั่งเข้าสู่ทวีปแอฟริกาไม่ขาดสาย

    เมื่อสิ้นปี 2552 จีนได้อัดเงินเพื่อการลงทุนทางตรงในแอฟริกามูลค่า 9,300 ล้านดอลลาร์ ในภาคธุรกิจทำเหมือง เกษตรกรรม ป่าไม้ และการก่อสร้าง และในช่วงปี 2543-2552 จีนได้ยกหนี้ให้ประเทศแอฟริกา 35 ประเทศ รวมกว่า 300 หนี้ มูลค่า 18,960 ล้านหยวน (2,900 ล้านดอลลาร์)

    สำนักข่าวซินหวารายงานว่า “9 เดือนแรกปีนี้ จีนและแองโกลาพัฒนาการค้าทวิภาคีมูลค่าถึง 19,800 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 80 เปอร์เซ็นต์"

    สำหรับแอฟริกาใต้ ซึ่งสถาปนาสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนเมื่อปี 2541 เมื่อปีที่ผ่านมาก็ค้าขายกับจีนมูลค่าสูงถึง 16,000 ล้านดอลลาร์

    China - Manager Online -
     

แชร์หน้านี้

Loading...