เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มองปัญหาเงินบาทในมุมกว้าง คอลัมน์ เศรษฐกิจต้องรู้ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ


    ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553


    เราเผชิญกับ “ปัญหา” การ แข็งค่าของเงินบาท ทำให้พยายามมองหามาตรการเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือจัดการกับการแข็งค่าของเงินบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก ซึ่งเป็นการมองปัญหาที่ไม่ครบถ้วน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าทำไมธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงไม่แก้ปัญหาอย่างเด็ดขาด เช่น ตรึงค่าเงินบาทเอาไว้ ผู้ส่งออกจะได้ไม่ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกัน ก็มีการเสนอให้ ธปท.หยุดปรับขึ้นดอกเบี้ย มิฉะนั้นแล้ว ก็จะมีเงินไหลเข้ามาซื้อพันธบัตรไทยเพิ่มขึ้นอีก (เพราะดอกเบี้ยโลกอยู่ที่ระดับต่ำ) และหากจะต้องมีมาตรการควบคุมการไหลเข้าของเงินทุน ก็อย่าทำให้กระทบกับตลาดหุ้น หรือหากจะควบคุม ก็ควบคุมเฉพาะเงินที่ไหลเข้าไปลงทุนตลาดพันธบัตรเพียงอย่างเดียว ซึ่งย่อมทำให้ผู้ประกอบการในตลาดพันธบัตรรู้สึกน้อยใจว่าถูกกระทบแต่ฝ่าย เดียว
    แต่ หากพยายามประติดประต่อพัฒนาการที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจโลก เพื่อให้เห็นภาพรวมของปัญหา แล้วจะสามารถเข้าใจความท้าทายได้อย่างชัดเจนขึ้น


    1. ภูมิหลังของปัญหา


    คนส่วนใหญ่จะสรุปว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากความโลภของภาคเอกชน (โดยเฉพาะ Wall Street หรือภาคการเงินของสหรัฐ) ฮอลลีวูดจึงได้สร้างหนัง Wall Street ภาค 2 ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนกลับชี้ให้เห็นว่าผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐ (โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ) นั้นมีส่วนอย่างมากในการสร้างวิกฤตที่เกิดขึ้น เพราะดำเนินนโยบายกดดอกเบี้ยลงต่ำอย่างต่อเนื่องเกือบ 20 ปี ทำให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อฟองสบู่ภาคธุรกิจอินเทอร์เน็ตแตกในปี 2000 ก็รีบลดดอกเบี้ยเพื่อลดผลกระทบไม่ให้เศรษฐกิจตกต่ำลงมาก แต่กลายเป็นการสร้างฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์แทนที่ จะเห็นได้ว่าธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณว่าหากเสี่ยงแล้วมีกำไรก็เก็บกำไรเอา ไว้ แต่หากขาดทุนธนาคารกลางก็จะช่วยอุ้มไม่ให้ได้รับความเสียหายมากนัก เสมือนการสร้างเงื่อนไขว่าถ้าแทงหวยแล้วถูกรางวัลก็รับรางวัลทั้งหมดไป แต่ถ้าไม่ถูกเอาเงินคืนได้ครึ่งหนึ่ง
    ภาคเอกชนสหรัฐจึงกล้าได้กล้าเสีย เพราะไม่ต้องกลัวเสียหายมาก และวิกฤตครั้งล่าสุด ทางการสหรัฐก็ยังมีพฤติกรรมอย่างเดิม คือกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลัง (ขาดดุลงบประมาณ 10% ของ จีดีพี หรือ 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) และใช้นโยบายการเงินกดดอกเบี้ยลงใกล้ศูนย์ ทำให้ราคาสินทรัพย์ลดลงไม่มาก ทั้งนี้ การอุ้มราคาสินทรัพย์ไม่ให้ลดลง ช่วยให้ธนาคารไม่ต้องตัดหนี้เสียมาก คือไม่ต้องเพิ่มทุนมากนั่นเอง ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับกรณีวิกฤตปี 1997 ของไทย ไอเอ็มเอฟชี้นำให้ไทยปรับขึ้นดอกเบี้ย เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (จาก 7% เป็น 10%) ทำให้ธุรกิจล้มละลาย และราคาสินทรัพย์ปรับลงอย่างมาก (จึงมีคนเคยรวยเป็นจำนวนมาก) ผลคือคนไทยสูญเสียความเป็นเจ้าของ โดยต้องยอมขายหุ้นส่วนหนึ่งให้ต่างชาติ ทำให้ต่างชาติเข้ามามีส่วนเป็นเจ้าของธุรกิจไทยโดยเฉพาะธนาคารและบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง
    ขณะ ที่สหรัฐและยุโรปกลับทำตรงกันข้าม คือพยายามอุ้มไม่ให้ราคาสินทรัพย์ลดลง เพื่อรักษาความเป็นเจ้าของ เราจึงไม่เห็นต่างชาติ เช่นเอเชียและตะวันออกกลางเข้าไปเพิ่มทุนธนาคารและบริษัทอเมริกาและยุโรป อย่างที่น่าจะเกิดขึ้น
    2. การแก้ปัญหาแบบ “อมโรค”
    การ กดดอกเบี้ยลงต่ำเกือบศูนย์นั้น เป็นการไม่ยอมรับความจริงว่า ราคาสินทรัพย์ควรปรับลดลงอย่างมาก ซึ่งการพยุงให้ราคาสินทรัพย์สูงกว่าความเป็นจริง ส่งผลให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่ำ นั่นคือกำไรต่ำ รายได้ต่ำ และจ้างงานต่ำเป็นเงาตามตัว เศรษฐกิจจึงจะไม่ฟื้น หรือฟื้นตัว อย่างเชื่องช้า ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจฟุบตัว เพราะเศรษฐกิจนั้นเหมือนการถีบจักรยาน หากถีบช้าเกินไปก็อาจล้มลงได้โดยง่าย ดังนั้น ธนาคารกลางของอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นจึงต้องการกดดอกเบี้ยลงทั้งดอกเบี้ยระยะสั้นและระยะยาว โดยพิมพ์เงินออกมาซื้อพันธบัตรทุกประเภท (ทั้งของรัฐและเอกชน) ทั้งที่เป็นพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งสภาวการณ์ดังกล่าวน่าจะ ยืดเยื้อต่อไปอีกอย่างน้อย 1-2 ปี
    ดัง นั้น จึงต้องเข้าใจสภาพของเศรษฐกิจโลกใหม่หลังวิกฤตเศรษฐกิจว่า เป็นสภาพที่ธนาคารกลางของประเทศหลักที่มีสัดส่วน 60% จีดีพีโลกและเป็นประเทศที่เป็นเจ้าของเงินสกุลหลักของโลก (คือดอลลาร์สหรัฐ ยูโร และเยน) จะตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์เงินออกมาอย่างไม่ลดละ เพื่ออุ้มเศรษฐกิจของตัวเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ราคาทองคำปรับ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะทองคำกำลังจะกลายเป็นเงินสกุลหลักของโลกชนิดเดียวที่มีอุปทาน หรือปริมาณผลิตจำกัด
    3. ผลกระทบต่อไทยและเอเชีย
    สิ่ง ที่ท้าทายประเทศไทย คือ เศรษฐกิจเรากำลังจะกลับไปสู่การขยายตัวปกติ เพราะเราไม่ได้เผชิญกับวิกฤตภาคธนาคารที่ต้องมีการตัดหนี้เสียและเพิ่มทุน ธปท.จึงต้องการปรับดอกเบี้ยกลับไปสู่ระดับปกติ เช่นในกรอบนโยบายเป้าหมายเงินเฟ้อ (inflation targeting) ของ ธปท.นั้น หากเป้าหมายเงินเฟ้ออยู่ที่ 2% ต่อปี ก็ต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายจากปัจจุบันที่ 1.75% ไปที่ 3% แปลว่าต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นอีก 1.25% แต่ในสภาวะโลกที่ดอกเบี้ยของเงินสกุลหลักอยู่ใกล้ศูนย์ก็จะกระตุ้นให้เงิน ทุนไหลเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น เมื่อเศรษฐกิจไทยขยายตัวดีและเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลไทย 2 ปี ผลตอบแทน (ดอกเบี้ย) 2.4% เปรียบเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐให้ ผลตอบแทนเพียง 0.4% ก็น่าจะสรุปได้ว่าเงินทุนจะไหลเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยโดยไม่ต้อง กลัวความเสี่ยง เพราะกำไรแน่ๆ ทั้งจากส่วนต่างดอกเบี้ยและเงินบาทที่มีแต่จะแข็งค่าขึ้น
    ข้อสรุปคือ หากโลกเขาจะกดดอกเบี้ยลงต่ำแล้วไทยจะดันดอกเบี้ยให้สูงกว่าของโลกอย่างมากได้อย่างไร
    4. หากไม่ขึ้นดอกเบี้ยและแทรกแซงค่าเงินบาท
    หาก ธปท.ไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็จะเพิ่มความเสี่ยงอย่างมากที่จะปล่อยให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อและฟองสบู่ใน ราคาสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่นในหุ้นหรือภาคอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงแรกนั้นคงไม่มีใครต่อว่า เพราะดูเสมือนทุกคนรวมทั้งรัฐบาลก็จะพอใจที่เศรษฐกิจคึกคักอย่างมาก แต่ความคึกคักจะกลายเป็นความคึกคะนองและฟุ้งเฟ้อได้ในที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้กำหนดนโยบายไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
    และหากจะเข้าไปแทรกแซงโดยการซื้อเงินดอลลาร์และขายเงินบาทออกมา เพื่อช่วยไม่ให้เงินบาทแข็งค่าก็จะเป็นภาระอย่างมากต่อธนาคารกลาง ดังที่ผมเคยเขียนถึงมาแล้วในครั้งก่อนหน้านี้ แต่ที่สำคัญคือ จะต้องเข้าใจว่าสิ่งเกิดขึ้น คือ ธนาคารกลางเอเชียกำลังซื้อเงินสกุลหลักของโลกเป็นจำนวนมาก คือถือดอลลาร์ เยนและยูโรเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลตอบแทนต่ำมาก เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 2 ปี ได้ดอกเบี้ยเพียง 0.4% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ (ที่ไม่ต้องการลงทุนในประเทศของตนเพราะดอกเบี้ยต่ำใกล้ศูนย์) ขนเงินมาลงทุนในไทยและเอเชียโดยได้ผลตอบแทนสูงกว่า เท่ากับว่าได้รับการอุดหนุนจากธนาคารเอเชียนั่นเอง
    5. ทางเลือกอื่นๆ
    หาก ไม่แทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเลย ก็จะส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว และกระทบต่อธุรกิจส่งออกของไทยอย่างมาก เพราะภาคเศรษฐกิจจริงปรับตัวได้ช้ากว่าการไหลเข้าของเงินทุนที่ทำได้โดย ทันที และเกือบจะไม่มีต้นทุนในการเคลื่อนย้ายเลย การปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วย่อมจะทำให้เงินเฟ้อลดลงอย่างมาก ซึ่งมีผลให้ดอกเบี้ยจริง (ดอกเบี้ยจริงคือ ดอกเบี้ยลบด้วยอัตราเงินเฟ้อ) ปรับขึ้น และชะลอการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่เศรษฐกิจไทยคงจะต้องชะลอตัวลงอย่างมากจนกระทั่งดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ของ ประเทศหลักนั้นเหมาะสมกับสภาวะการชะลอตัวของไทยดังกล่าว เว้นแต่ว่า เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วจะฟื้นตัวทำให้เขาต้องปรับดอกเบี้ยขึ้น และดอกเบี้ยของเราก็จะสามารถปรับขึ้นตามไปด้วย
    และ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการคาดการณ์ว่า ในที่สุดธนาคารกลางของเอเชียอาจต้องเลือกมาตรการควบคุมการไหลเข้าของเงินทุน หากมีเม็ดเงินไหลเข้ามาอย่างมาก เพื่อให้สามารถปรับดอกเบี้ยภายในประเทศขึ้นได้ อันจะเป็นการรักษาวินัยทางการเงินและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ กล่าวคือการเข้าไปควบคุมการไหลเข้าของเงินทุนในสถานการณ์ดังกล่าว สามารถอธิบายเหตุผลได้ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า แม้มีมาตรการดังกล่าว การแข็งค่าของเงินบาทก็น่าจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ผู้ส่งออกก็จะต้องปรับตัว เพียงแต่จะมีเวลาปรับตัวที่สมเหตุสมผลครับ

    Yikgamyok: สงครามค่าเงิน ไพ่ใบแรกที่อเมริกาใช้เล่นงานจีน
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ภายใน ค.ศ. 2011 สหรัฐอเมริกาจะล่มสลาย

    14 Sep 2010
    “ภายในปีนี้ นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะประกาศกฎอัยการศึก และภายใน ค.ศ. 2011 สหรัฐอเมริกาจะล่มสลาย รัฐต่างๆจะแยกตัวออกมารวมกันเป็นรัฐเอกราชใหญ่ๆ 6 รัฐ และรัสเซียกับจีนจะผงาดขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจ”

    ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ เพราะข้อความดังกล่าวเป็นคำทำนายของนายอิกอร์ พานาริน ที่เป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก

    นาย อิกอร์ พานาริน มิใช่หมอดูชั้นต่ำที่ชอบสร้างข่าวให้ตัวเองโด่งดังด้วยการดูดวงชะตาของดารา แต่เขาเป็นอธิการบดีวิทยาลัยของกระทรวงการต่างประเทศสำหรับนักการทูตในอนาคต ของรัสเซีย เป็นอดีตโฆษกของหน่วยงานอวกาศรัสเซียและเป็นนักวิเคราะห์ของเคจีบี ที่สำคัญคือ เขาไม่ได้ทำนายชะตากรรมของสหรัฐอเมริกาจากดวงดาว แต่คำทำนายของเขาได้มาจากการศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆทางสังคมในสหรัฐมาเป็นเวลา นับสิบปีแล้ว

    คำทำนายของเขามีขึ้นในระหว่างการบรรยายให้แก่นักศึกษา คณาจารย์และนักการทูตเมื่อวันอังคารที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ที่วิทยาลัยการทูต โดยทางกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียได้เชิญผู้สื่อข่าวระหว่างประเทศเข้า ร่วมรับฟังด้วย

    หากมองจากหน้าที่การงานของเขาแล้ว เราไม่สามารถดูแคลนคำทำนายของเขาได้เลย เพราะใครที่ยืนอยู่ในตำแหน่งสูงๆย่อมสามารถมองเห็นอะไรได้ไกลๆ ยิ่งใครศึกษาประวัติศาสตร์โลกด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้คิดได้ว่าคำทำนายของเขาไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมันมีเหตุผลสนับสนุนอยู่เช่นกัน

    เหตุผลแรกก็คือกฎความจริงแห่งความอนิจจังที่ว่า “มีขึ้นก็ย่อมมีลง”

    เหตุผล ประการต่อมาก็คือ ประวัติศาสตร์ได้ยืนยันความจริงดังกล่าวให้เราได้เห็นแล้วจากการที่ชาติมหา อำนาจที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรและล้ำหน้าทางวิทยาการในอดีตอย่างเช่น อียิปต์ บาบิโลน เปอร์เซีย โรมัน และออตโตมานเติร์ก ยังเคยล่มสลายมาแล้ว ทำไมสหรัฐอเมริกาจะล่มสลายไม่ได้

    และเหตุผลเดียวกันที่ทำให้อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ดังกล่าวล่มสลายก็คือความเสื่อมทรามทางศีลธรรม

    นาย อิกอร์ พานาริน ก็ให้เหตุผลสนับสนุนคำทำนายของเขาเช่นเดียวกันว่า ขณะนี้คนอเมริกันกำลังอยู่ในสภาพเสื่อมทรามทางศีลธรรม เกิดความสับสนและความตึงเครียดทางด้านจิตใจซึ่งจะเห็นได้จากกรณีที่นักเรียน และนักศึกษาในสถาบันการศึกษาหลายแห่งใช้อาวุธปืนกราดยิงหรือใช้อาวุธมีดทำ ร้ายเพื่อนนักเรียนนักศึกษาด้วยกันบ่อยครั้ง นักโทษในคุกและพวกเกย์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

    เมื่อหันมาพิจารณาทางด้าน เศรษฐกิจ เขาก็ยกเหตุผลสนับสนุนคำทำนายของเขาว่า ดัชนีหุ้นที่ร่วงกราวรูด ผลผลิตมวลรวมของสหรัฐที่ตกต่ำ การที่รัฐบาลสหรัฐเอาเงินจำนวนมากมายมหาศาลไปกอบ I ้วิกฤตสภาพคล่องของบริษัท ซิตี้กรุ๊ป ซึ่งเป็นธนาคารยักษ์ใหญ่และบริษัทการเงินอีกหลายแห่งนั้น เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนว่าความเป็นใหญ่ในตลาดโลกของสหรัฐอเมริกากำลังมาถึง วาระสุดท้ายแล้ว

    การที่ประธานาธิบดีสหรัฐจะประกาศกฎอัยการศึกซึ่ง เป็นการหวนกลับมาใช้ระบอบเผด็จการเหมือนฮิตเลอร์ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะขณะนี้คนอเมริกันตกงานมากขึ้นจากการปิดกิจการของธุรกิจต่างๆ ทำให้รัฐบาลสหรัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีจากธุรกิจและประชาชนได้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีภาระใช้จ่ายเลี้ยงดูคนตกงานที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น

    ยิ่งหากประชาชนขาดความเชื่อมั่นในสถาบันการเงินแห่กันไปถอนเงินที่ ธนาคารต่างๆ แต่กลับถอนเงินฝากของตัวเองไม่ได้ การจลาจลปล้นชิงทรัพย์สินเพื่อระบายความแค้นก็คงจะลามไปทั่วประเทศ เมื่อถึงเวลานั้น หากกำลังตำรวจไม่สามารถปราบปรามจลาจลได้ มันก็เป็นความจำเป็นที่รัฐบาลสหรัฐจะต้องประกาศกฎอัยการศึกและส่งทหารเข้า ควบคุมประเทศ หลังจากนั้นดินแดนแห่งเสรีภาพก็จะกลายเป็นดินแดนแห่งเผด็จการไปในชั่วข้าม คืน

    อะไรๆในโลกนี้เป็นไปได้เสมอ คนไทยเรามีประสบการณ์เรื่องนี้ดี

    นาย อิกอร์ พานาริน ยืนยันว่าคำทำนายของเขามิได้เกิดขึ้นจากความอคติต่อสหรัฐอเมริกาในฐานะที่ เขาเป็นชาวรัสเซียที่เป็นคู่อริกับสหรัฐ และเขาก็มิได้มีเจตนาแช่งให้สหรัฐล่มสลาย เพราะปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสหรัฐนั้นไม่จำเป็นต้องมีใครไปแช่ง มันก็ต้องพังไปตามกฎแห่งความจริงอยู่แล้ว

    นอกจากนี้ นายอิกอร์ พานาริน ยังได้ทำนายว่าในอีกไม่นานรัสเซียกับจีนจะผงาดพ้นขึ้นมาจากความปั่นป่วนทาง เศรษฐกิจและเข้มแข็งขึ้นจนกลายเป็นสองชาติมหาอำนาจผู้นำโลก และเขาอยากจะให้ทั้งสองชาตินี้ร่วมมือกันจนถึงขั้นที่สร้างสกุลเงินใหม่ขึ้น มาใช้แทนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

    ที่มา : อ.บรรจง บินกาซัน
    ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน
    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=412905
    เครดิต http://forum.serithai.org/index.php?topic=3715.0
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    14 Sep 2010
    วันโลกาวินาศแห่ง ศก.สหรัฐฯ จะได้เห็นกันในเร็ววันแน่นอน
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

    เอเอฟพี - ระบบเศรษฐกิจรายใหญ่โตที่สุดของโลก ซึ่งก็คือสหรัฐอเมริกา ได้ตกต่ำลงสู่ขอบเหวแห่งการล่มสลายแล้ว เพราะถูกบีบคั้นรอบด้านด้วยปัญหาการว่างงานและปัญหาหนี้ภาครัฐที่ควงสว่านลง สู่ก้นบึ้งของอเวจี เสียงเตือนในประการนี้จากบรรดานักเศรษฐศาสตร์ค่ายต่างๆ นับวันแต่จะสะท้อนก้องกังวานไปทั่ววงการ

    อาทิ I รูคนดังอย่าง นูรีล รูบินี ผู้เป็นนักเศรษฐศาสตร์คนแรกๆ ที่เตือนถึงหายนะแห่งวิกฤตตลาดหนี้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์กลุ่มซับไพรม์ ตลอดจนเตือนว่าภาวะฟองสบู่ในตลาดบ้านที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ จะแตกสลายอย่างแน่นอน

    เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา รูบินีกล่าวต่อที่ประชุมทางเศรษฐกิจในอิตาลีว่า “สหรัฐฯ นั้นใช้บุญเก่าหมดแล้ว หากเกิดแรงกระแทกช็อกเข้าไปครั้งใดจะสามารถดึงสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ภาวะถดถอยได้”

    ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์อื่นๆ ที่อาจไม่ได้เป็นข่าวบ่อยเท่ารูบินีก็พากันเรียงหน้าเทกันมาในข้างที่เห็น นิมิตอันตรายในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ภายในอนาคตอันใกล้นี้

    ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยบอสตัน ลอเรนซ์ คอตลิคอฟฟ์ ซึ่งเตือนไว้นานมากแล้วตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 ว่าให้ระวังอันตรายจากการเดินนโยบายสาธารณะแบบขาดดุล ได้ออกมาย้ำอีกครั้งถึงลางมรณะของระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยกล่าวไว้ในสิ่งพิมพ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คือ นิตยสาร F&D Finance & Development Magazine ฉบับเดือนกันยายน 2010 ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    โดยมีการนำเสนอภาพการปะทะกันทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจของโลก คือ สหรัฐฯ กับจีน ประเทศซึ่งถือพันธบัตรกระทรวงการคลังอเมริกันไว้มากกว่า 843,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ท่านศาสตราจารย์ชี้ประเด็นว่า

    ความขัดแย้งด้านการค้าอันเป็นประเด็นเล็กๆ ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อาจทำให้คนบางกลุ่มคิดว่า คนอื่นๆ อาจตัดสินใจเทขายระบายความเสี่ยงในการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเมื่อความเชื่ออย่างนั้นถูกสำทับด้วยความวิตกในภาวะเงินเฟ้อ ย่อมอาจนำไปสู่การแตกตื่นเทกระจาดขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับส่งผลไปกระตุ้นให้สาธารณชนผวาถึงเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ และโกลาหลกันไปถอนเงินฝากออกจากธนาคาร เพื่อไปซื้อสินทรัพย์ที่คงทนกว่า

    สิ่งที่ตามมาคือ การจุดชนวนให้เกิดภาวะสภาพคล่องฝืดเคืองรุนแรงในแวดวงของบรรดาธนาคารพาณิชย์ และตลาดเงิน ตลอดจนบริษัทประกันภัยทั้งปวงเพราะผู้ถือกรมธรรม์ขอไถ่ถอนเพื่อหาความ ปลอดภัยให้ตนเอง

    “ในระยะเวลาเพียงสั้นแบบนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ ย่อมต้องออกธนบัตรเพิ่มขึ้นมาหลายล้านล้านดอลลาร์ เพื่อแก้ปัญหาและสร้างหลักประกัน แล้วเงินใหม่เหล่านั้นย่อมจะทวีความรุนแรงของปัญหาเงินเฟ้อ จนอาจทำให้ถึงขึ้นไฮเปอร์” ศ.คอตลิคอฟฟ์เขียนเตือน

    ด้านสถาบัน StrategyOne Institute รายงานเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10) ในเรื่องผลการสำรวจความวิตกต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรอบใหม่ พบว่าชาวอเมริกัน 65% เชื่อว่าจะต้องเกิดขึ้นแน่

    เดวิด บรูกส์ ผู้เขียนบทนำของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ นำเสนอไว้ว่า

    “เป็นความจริงที่ว่า ปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นปัญหาระดับโครงสร้าง มิใช่ปัญหาชั่วคราวที่มาๆ ไปๆ ตามวงจรขึ้นลง”

    นอกจากนั้น บรูกส์ชี้ว่า สหรัฐฯ ทยอยสูญเสียพลังการครอบงำโลก ในลักษณะที่คล้ายมากกับตอนที่อาณาจักรอังกฤษเริ่มเสื่อมสลายเมื่อกว่าหนึ่ง ศตวรรษที่ผ่านมา

    “เราอยู่ในท่ามกลางการฟื้นตัวของปัญหาว่างงานรอบใหม่ ความยากลำบากในตลาดแรงงานของเรานั้นลึกซึ้งและตึงตัวมาก” บรูกส์ระบุไว้อย่างนั้น

    ในเวลาเดียวกัน จอม I รูคนดังระดับโลกอย่างพอล ครุกแมน เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ แสดงความกังวลถึงชะตากรรมย่ำแย่ที่จะเกิดขึ้นกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของ สหรัฐฯ ที่ขณะนี้ยังเปราะบางมาก โดยเตือนไม่ให้ประชาชนวิ่งกลับไปดึงพรรครีพับลิกันได้กลับสู่อำนาจ

    “ยากที่จะบอกได้ว่ามันจะเสียหายรุนแรงเพียงใดกับความคิดที่เสนอเมื่อ ต้นสัปดาห์นี้โดย จอห์น โบห์เนอร์ ผู้นำเสียข้างน้อยในสภาผู้แทนฯ ถ้าแนวคิดดังกล่าวถูกนำไปดำเนินการจริง” ครุกแมนเขียนไว้ในบทบรรณาธิการเมื่อเร็วๆ นี้ โดยฟันธงด้วยว่า

    “มันคือการที่ปริมาณงานน้อยลงผนวกดับการขาดดุลที่มหาศาลมากขึ้น - ช่างเป็นการผสมผสานที่ลงตัวสมบูรณ์เหลือเกิน”

    ส่วนหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ซึ่งปกติจะเชียร์ข้อเรียกร้องของโบห์เนอร์ในเรื่องหั่นภาษี กลับนำเสนอบทวิจารณ์เขียนโดย เวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอีกผู้หนึ่งที่พูดฟันธงว่า “ข้อเท็จจริงนี้จำเป็นที่เราจะต้องกล้าเข้าไปเผชิญ นั่นคือ แทบจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเราจะถูกตีกระหน่ำอย่างยาวนาน”

    และไอเอ็มเอฟเองก็ส่งเสียงเตือนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเช่นกันว่า หนี้ของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงอย่างเหลือเกิน ประกอบกับภาคการเงินที่สั่นคลอน กำลังคุกคามว่าจะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ล้มเหลว

    “การยึดจำนองและขายทอดตลาดสินทรัพย์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ นั้น นับว่ามหาศาลและขยายขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่วงของการให้ยกเว้นภาษีแก่ผู้ซื้อได้หมดรอบลง สิ่งนี้อาจยิ่งซ้ำเติมสภาพย่ำแย่ในด้านของระดับราคาอสังหาริมทรัพย์สาหัสมาก ยิ่งๆ ขึ้นไป” ไอเอ็มเอฟร้องเตือนไว้อย่างนั้น

    ที่มา
    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9530000128097
    เครดิต ภายใน ค.ศ. 2011 สหรัฐอเมริกาจะล่มสลาย
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE height=36 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="80%"><B><BIG><BIG>อัดฉีดเพิ่มอีกครั้ง โอบามาต่ออายุ Tax Cuts อาทิตย์นี้นโยบายที่เป็นบวกกับตลาดเยอะจริงๆ </BIG></BIG></B></TD><TD vAlign=top noWrap align=right width="20%"><!--InformVote=0-->[​IMG]
    <SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[0], 0);</SCRIPT>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!--VoteBody--><!--MsgIDBody=0-->โอบามายืดอายุของ TAX CUTS ไปอีก ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
    Posted by Economikon on ธันวาคม 7, 2010 · ให้ความเห็น (แก้ไข)

    ดูจากท่าทีแล้วก็กระตุ้นเศรษฐกิจกันอีกรอบนึงน่ะครับ เราก็ควรจะเห็นการตอบสนองของตลาดในทางที่บวกครับ

    เนื่องจากว่าทางอเมริกาตอนนี้โอบามาเจอปัญหาของ gridlock หรือเสียงในสภามีไม่มากพอที่จะทำให้กฎหมายออกมาได้ ดังนั้นประธานาธบดีจึงต้องยอมเปิดทางให้กับคำขอร้องของฝั่งพรรค Republican ที่จะต้องการให้เก็บนโยบาย Tax cut ของประธานธบดีบุชต่อไปอีกสองปี แถมด้วยอีกหนึ่งนโยบายคือ การหักค่าใช้จ่ายได้เต็มสำหรับสินค้าพวกอุปกรณ์ ที่ตามกฎแล้วจำเป็นต้องหักค่าใช้จ่าย(depreciation and expense)หลายช่วงปี เพื่อที่จะ ได้เสียภาษีน้อยลง
    สรุปนโยบายนี้ก็คือ Government spending นั่นเอง

    ก็หวังว่าจะทำให้ประชากรมีความรู้สึกว่ามีเงินเพิ่มขึ้น(wealth)แล้วจะกระตุ้นการใช้จ่ายในที่สุดน่ะครับ ตลาดหุ้นไทยเองวันนี้ก็เหมือนจะปรับตัวรับข่าวมาบ้างแล้ว

    http://economikon.com/2010/12/07/tax-cuts-extended/

    อันนี้คือผลกระทบจากนโยบายนี้ครับผม นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐในปี 2011 จะโตขึ้นกว่าที่เคยคาดไว้: http://www.economikon.com/2010/12/08/tax-cuts-impacts
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2010
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เฟดไม่ชัดเจนฟื้นศก.“ซัมเมอร์”ขอลาออก
    23/09/2010
    การประชุม “เฟด” ยังไม่คืบหน้าเรื่องการปรับดอกเบี้ยเงินกู้ แต่มีท่าทีว่าจะหาวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบอื่นๆ ส่วนที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐประกาศลาออกสิ้นปีนี้

    คณะกรรมการกำหนดนโยบายธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดเปิดเผยผลการประชุมเมื่อวัน อังคารว่า จะหาเครื่องมือทางการเงินเพื่อช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจหากจำเป็นแม้ สหรัฐจะหลุดพ้นจากภาวะถดถอยไปแล้ว แต่เศรษฐกิจไม่มีการฟื้นตัวอย่างเต็มที่มาเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม เฟดเชื่อว่าการฟื้นตัวในอุตสาหกรรมก่อสร้างจะทำให้ตลาดแรงงานของสหรัฐขยายตัว

    นักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นนิวยอร์กมองว่าการประชุมของเฟดครั้งนี้มีความหมาย ในทางจิตวิทยาที่จะให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าเฟดจะผ่อนคลายนโยบายบางอย่าง เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งมีทางเป็นไปได้ว่าจะมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีกรอบ เนื่องจากในการประชุมของเฟดคราวนี้ไม่ได้ย้ำเรื่องปัญหาเงินเฟ้อสูง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจสหรัฐทั้งหมด

    แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่เฟดและรัฐบาลสหรัฐต้องเร่งแก้ไขคือ การว่างงานที่สูงเกือบ 10% และคนตกงานที่มีอยู่ทั่วประเทศ 15 ล้านคน ซึ่งในจำนวนคนว่างงานเหล่านี้ 8 ล้านคนเป็นคนอเมริกันที่ถูกปลดออกจากงานในช่วงเศรษฐกิจถดถอยเดือนธันวาคม 2007-มิถุนายน 2009

    มีการวิเคราะห์กันว่า การประชุมของเฟดครั้งล่าสุดจะมีผลต่อคะแนนเสียงของพรรคเดโมแครตซึ่งเป็นพรรค รัฐบาล เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมเพื่อเลือกวุฒิสมาชิก ผู้ว่าการรัฐ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐในวันที่ 2 พฤศจิกายนศกนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้อาจทำให้พรรคเดโมแครตสูญเสียที่นั่งในรัฐสภา เพราะมีรายงานว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนอเมริกันไม่สนับสนุนพรรคเดโมแครตต่อ ไปคือ ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐทรุดหนัก และจะส่งผลกระทบไปถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2012

    อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐที่คำนวณล่าสุดเมื่อไตรมาสสองอยู่ที่ 1.6% แต่มีการประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสสามว่าจะลดลงอยู่ที่ 1.4% ทั้งนี้ นายเบน เบอร์นันคี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ได้คาดการณ์เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ภายในปี 2011 พร้อมทั้งกล่าวว่าเฟดเตรียมเพิ่มมาตรการทางการเงินหากจำเป็นเพื่อให้ เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างเต็มที่

    ในเวลาเดียวกันมีข่าวว่า นายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระดับสูงของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เตรียมลาออกจากตำแหน่งภายในสิ้นปีนี้เพื่อไปรับตำแหน่งอาจารย์ในมหา วิทยาลัยฮาร์วาร์ด การลาออกของนายซัมเมอร์จะมีผลต่อการวางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐที่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวแสดงความเสียใจต่อการสละตำแหน่งที่ปรึกษาด้าน เศรษฐกิจของนายซัมเมอร์ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะที่อันตรายอย่างยิ่ง

    ก่อนหน้านั้นมีข่าวว่าผู้นำสหรัฐต้องการให้นายซัมเมอร์อยู่เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจไปจนถึงปีหน้า นายซัมเมอร์ถือว่าเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระดับสูงของประธานาธิบดีสหรัฐ รายที่สามที่ประกาศลาออก หลังจากนายปีเตอร์ ออร์สแซค ผู้อำนวยการฝ่ายงบประมาณของทำเนียบขาว และนางคริสตินา โรเมอร์ หัวหน้าสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ลาออกพร้อมกันในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เหลือแต่นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลัง ที่ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐที่ยังอยู่ในตำแหน่ง




    <TABLE border=0 width="70%"><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 8%; VERTICAL-ALIGN: text-top">ที่มา : </TD><TD>หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ประจำวันที่ 23 ก.ย. 53</TD></TR></TBODY></TABLE>
    https://www.k-weplan.com/Article.aspx?mid=47&articleid=2500
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" border=0 cellSpacing=2 borderColor=#000000 cellPadding=2 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="95%">ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำในตลาดโลก
    1.เงินดอลลาร์สหรัฐ หากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงโดยปัจจัยอื่นคงที่ราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น เพราะการซื้อทองคำเหมือนการป้องกันความเสี่ยงมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
    2.ความกลัวเรื่องเงินเฟ้อ หากเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นโดยปัจจัยอื่นคงที่ราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะอัตราเงินเฟ้อส่งผลให้มูลค่าของพันธบัตร และเงินสดลดลง แต่มูลค่าทองคำกลับสามารถต้านแรงกดดันเงินเฟ้อได้
    3.ความเสี่ยงทางการเมืองและระบบการเงิน ในช่วงที่มีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ และความกังวลอย่างสูงเกี่ยวกับระบบการเงินโลก ราคาทองคำมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากทองคำถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย
    4.อุปสงค์และอุปทานของโลก ถ้าความต้องการซื้อมีมากกว่าปริมาณของทองคำโดยปัจจัยอื่นคงที่จะทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น เช่น ความต้องการทองคำในประเทศกำลังพัฒนาที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วคือ จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง หรือปริมาณของทองคำถูกเพิ่มขึ้นในตลาดขณะที่ความต้องการเท่าเดิมโดยปัจจัยอื่นคงที่จะทำให้ราคาทองคำลดลง เช่น การขายทองคำออกมาจำนวนมากของธนาคารกลาง
    ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำในประเทศไทย
    1.ราคาทองคำในตลาดโลก หากราคาทองคำในตลาดโลกเพิ่มขึ้นโดยปัจจัยอื่นคงที่ ราคาทองคำในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น
    ในทางกลับกันหากราคาทองคำในตลาดโลกลดลงโดยปัจจัยอื่นคงที่ ราคาทองคำในประเทศจะลดลง
    2.ค่าเงินบาท/ดอลล่าห์สหรัฐ หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงโดยปัจจัยอื่นคงที่ ราคาทองคำในประเทศจะเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันหากค่าเงินบาทแข็งค่าโดยปัจจัยอื่นคงที่ ราคาทองคำในประเทศจะลดลง
    3.อุปสงค์และอุปทานในประเทศ ถ้าความต้องการซื้อมีมากกว่าปริมาณของทองคำโดยปัจจัยอื่นคงที่จะทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น เช่น เทศกาลก่อนตรุษจีนราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น
    จากบทความนี้คงทำให้นักลงทุนได้เข้าใจปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบกับราคาทองคำ และสามารถวิเคราะห์ราคาทองคำเพื่อกำหนดกลยุทธ์การลงทุนได้ สำหรับความรู้ด้านการเงินการลงทุนนักลงทุนสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหลักสูตรต่างๆ ที่ทางสถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุน (TSI) ได้จัดขึ้นเป็นประจำที่ www.tsi-thailand.org



    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" border=0 cellSpacing=2 borderColor=#000000 cellPadding=2 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="95%">


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สกุลเงิน ดอลล์ - ยูโร กับเงินสกุลไทย
    เศรษฐกิจ เอเซีย กับ สหรัฐ - ยุโรป
    ประวัติศาสตร์บอกว่า เศรษฐกิจใน สหรัฐ และใน ยูโรป จะอยู่ในช่วงขาลง 3 - 5 ปี และอยู่ในช่วงขาขึ้น 3 - 5 ปี เศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงทุกๆ 8ปีโดยเฉลี่ย รอบนี้เศรษฐกิจสหรัฐกำลังอยู่ในช่งขาลง เริ่มตั้งแต่ปี 2006 คาดว่าจะสิ้นสุดในปี 2011 และจะกลับมาเป็นช่วงขาขึ้นในปลายปี 2011 หรือต้นปี 2012
    ในขณะที่สหรัฐอยู่ในภาวะเศรษฐกิจย่อมแย่ในขณะนี้ และประเทศในกลุ่มยุโรปก็อยู่ในภาวะเดียวกัน แต่ในเอเซียกำลังรุ่ง นักลงทุน (และนักเก็งกำไร) ซึ่งที่เคยเป็นมา จะย้ายเงินลงทุนไปมาระหว่าง สหรัฐ - ยุโรป แต่ในเมื่อ ทั้งสหรัฐและยุโรป มีภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั้งคู่ เงินทุนจึงไหลเข้ามาลงทุน (และเก็งกำไร) ในประเทศแถบเอเซียเป็นจำนวนมาก จนกว่าเศรษฐกิจในสหรัฐ และ หรือยุโรปจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง เงินทุนก็จะไหลออกจากประเทศในแถบเอเซีย
    ค่าเงินสหรัฐและยุโรปตกต่ำถึงชั้นวิกฤตหรือไม่ ไม่มีทางเป็นไปได้ สหรัฐมีทองคงคลังมากที่สุดในโลก เยอรมันมีมากเป็น อันดับสอง ในขณะที่เงินดอลล์และเงินยูโรตกต่ำ ราคาทองขึ้นสูงเป้นประวัติการณ์ เมื่อปี 2003 เงินดอลล์อยู่ที่ 42/ดอลลาร์ ปัจจุบันอยู่ที่ 31/ดอลลาร์ หรืออ่อนค่าลงประมาณ 25% ในขณะที่ราคาทองเมื่อปี 2003 ออนซ์ละ 14,000 บาท ปัจจุบันออนซ์ละ 37,000 บาท หรือสูงกว่า 160

    ผู้ที่ถือครองเงินสกุล ดอลล์ - ยุโร "ซัฟเฟอร์" ต่อไป
    เงินบาทแข็งค่าเกือบหนึ่งบาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงระยะเวลาเพียงเดือนเศษ ธนาคารประเทศไทยนั่งตาปริบๆ ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะประเทศ ไทยเนื้อหอม เงินทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด เศรษฐกิจไทยก็ เติบโตไม่หยุด จีดีพีโตเกินคาด มากกว่า 5% ที่ตั้งไว้เมื่อต้นปี และอาจจะมากกว่า 7% ที่พูดกันเมื่อกลางปี
    เมื่อเศรษฐกิจดีอัตราเงินเฟ้อก็พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจจะเกินกว่า 3.5% ตามที่คิดกันว่าควรจะเป็น แต่ที่แน่ๆ ประชาชนบนท้องถนนรู้ว่าของมัน แพงกว่า 10%
    เพื่อเป็นการยับยั้งไม่ให้เงินเฟ้อสูงกว่าระดับยอดหญ้า "แคนแอฟอร์ด" รัฐก็ต้องขึ้นดอกเบี้ย
    เมื่อสองวันก่อนขึ้นดอกเบี้ยจาก 1.5 เป็น 1.75% และคาดว่าจะต้อง ขึ้นอีก 1 - 2ครั้ง ก่อนสิ้นปีก็จะทำให้เงินทุนไหลเข้า อย่างต่อเนื่อง เงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้นอีก
    กระทรวงพาณิชย์พยายามเกลี้ยกล่อมผู้ประกอบการค้าให้ "ฟัน" ลูกค้า เบาๆ แต่ "รีเทล" ก็ได้ฟันไปแล้ว
    ในขณะที่ สหรัฐฯ ยุโรป กำลังแย่ เอเซียกำลังรุ่ง นักลงทุนก็ต้องย้ายเงิน เข้ามาในเอเซีย (รวมถึงไทยด้วย) หมายความว่าเงินบาทจะแข็งค่าต่อไป
    ก็ขอให้ผู้ที่ถือครองเงินสกุล ดอลล์ - ยุโร "ซัฟเฟอร์" ต่อไป

    Living in Thailand
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2010
  7. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    มาดูโพสของ คุณ Nexttonothing เมื่อคืนวานนี้ครับ กำลังเข้มข้นน่าติดตามทีเดียว


    [​IMG]



    สหรัฐอเมริกา (United States)
    CREDIT : ข้อมูลทางสถิติจาก National inflation association และ Armstrong Economics

    เวลาที่ท้องฟ้า มืดครึ้ม ในเวลาที่มันไม่ควรจะมืด อากาศดูชื้นๆ กลิ่นดินกลิ่นหญ้า โชยมาเตะจมูก
    ลักษณะแบบนี้คุณอาจจะพูดกับเพื่อนว่า

    “ดูเหมือนฝนกำลังจะตก ?”

    เช่นกัน สถานการณ์ เศรษฐกิจโลก ในขณะนี้เมฆดำก่อตัวหนาทึบ เหมือนเป็นลางบอกเหตุว่า พายุฝนกำลังจะมา
    ยิ่งเฉพาะประเทศที่ขึ้นชื่อเป็นประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา แล้วล่ะก็
    ฟ้าทั้งแลบทั้งร้องกันกระหึ่ม คงเหลือเวลาอีกไม่นาน ก่อนที่ พายุเศรษฐกิจลูกนี้จะโหมกระหน่ำ
    ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายไปทั้งโลก

    ผมเชื่อว่า สิ่งที่กำลังจะเกิด ยากที่หลีกเลี่ยง จะมาช้าหรือมาเร็ว “มันก็มาแน่ๆ”
    วิกฤตการเงินครั้งนี้ จะยิ่งใหญ่กว่าทุกๆครั้งที่เราเคยเห็น
    Hamburger Crisis ปี 2008 ที่ว่าร้ายแรงจะกลายเป็นเรื่อง จิ๊บๆ กับสิ่งที่กำลังจะเกิด

    คุณมีทางเลือก 2 ทาง

    1.หลบลงหลุมหลบภัย ป้องกันตัวเองทุกวิถีทาง หรือ

    2.พลิกเปลี่ยนวิกฤตนี้ให้เป็น “โอกาส”

    หากเลือกได้ผมไม่ได้อยากให้ วิกฤตนี้เกิดขึ้น เพราะไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบร้ายแรงขนาดไหน
    แต่เป็นเพราะผมคิดว่ามันหลีกเลี่ยงได้ยากมาก กับสิ่งที่สหรัฐได้ทำมาและ “ยังไม่ยอมหยุดทำ”
    ประเทศที่เคยเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ผลิตสินค้า Made in USA. ที่น่าเชื่อถือและเป็นผู้นำตลาด
    บัดนี้คนรุ่นหลังๆกินบุญเก่าจากคนรุ่นก่อนจนหมดสิ้น หนำซ้ำยังทำบาปเพิ่ม คงถึงเวลาที่ ผลจากการกระทำ (กรรม)จะสนอง

    .................................................................

    นิทานเรื่อง “ชาวเกาะ” (ISLANDERS)

    Credit to Peter Schiff
    แปลเรียบเรียงใหม่โดย Nexttonothing


    สมมุติว่ามี เกาะร้างอยู่เกาะนึง มีคนติดเกาะอยู่ทั้งหมด 5 คน
    4คนเป็นเอเชียอีก 1คนคือเมริกัน

    เพื่อความอยู่รอดทั้ง 5 คนจึงแบ่งงานกันทำ

    [​IMG] คนที่ 1 มีหน้าที่ จับปลา

    [​IMG] คนที่ 2 มี หน้าที่ ล่าสัตว์

    [​IMG] คนที่ 3 มีหน้าที่ เก็บฟืนก่อกองไฟ

    [​IMG] คนที่ 4 มีหน้าที่ ทำกับข้าว

    ทีนี้พอมาถึง อเมริกัน ???? ทำหน้าที่อะไรดี ????
    อเมริกันบอกว่า ขอทำหน้าที่ “กิน” ก็แล้วกัน
    จากนั้นในแต่ละวัน ระหว่างที่ทุกๆคนต่างออกไปทำงาน ตามหน้าที่ของแต่ละคน
    อเมริกันก็ นอนอาบแดด เล่นน้ำทะเล รอไปเรื่อยๆ เมื่อถึงตอนเย็นทุกคนก็มารวมตัวกันเพื่อดินเนอร์

    อเมริกันก็ทำหน้าที่ กิน กิน แล้วก็กิน อาจจะไม่ได้กินทั้งหมด แบ่งให้เพื่อนๆบ้างเพื่อให้มีแรงเหลือเพื่อทำงานในวันต่อๆไป
    นานวันเข้า ชาวเกาะเริ่มคิดได้ พอทวงถาม อเมริกันกลับบอกว่า หน้าที่ของตนนั้นสำคัญที่สุด
    เพราะหาก อเมริกัน “ไม่กิน” (Consume) ทุกๆคน จะตกงาน !! (Unemployed)
    ตัวเค้าเองคือศูนย์กลางของเกาะแห่งนี้.......

    แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย

    วันนึง เมื่อ ชาวเกาะทุกคนรวมตัวกัน เริ่มคิดได้และเหลืออดกับการกระทำนี้ คงหนีไม่พ้นที่อเมริกันจะโดนเตะ ออกจากเกาะ
    และเมื่อนั้น ชาวเกาะจะได้ กิน ในสิ่งที่ตัวเองลงแรงและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

    ..................................................................


    ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้แต่ “บริโภค” นำเข้าสินค้าจากทั่วโลก
    แล้ว “พิมพ์” ดอลล่าห์ คืนให้เป็นการตอบแทน
    การขาดดุลการค้า (Trade Deficit) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะ เอาแต่ นำเข้า (กิน)
    ไม่ยอมผลิต (ทำงาน) เพื่อส่งออก การไม่มีสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นผู้บริโภครายใหญ่ ไม่ได้หมายถึงการล่มสลายหรือตกงานของประเทศผู้ผลิต
    เอเชียก็จะยังคงเดินหน้าผลิตและทำงานอย่างหนัก เพียงแต่ จะเลิกป้อน สินค้าให้กับสหรัฐ แล้วหันมาบริโภคกันเอง

    จีนเองก็เช่นกัน เค้ามีประชากร เป็นพันล้านคน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง ส่งสินค้ามาให้อเมริกา “ขาดอเมริกาจีนก็อยู่ได้”
    แถมจะอยู่ได้ดีกว่าเก่าซะด้วยซ้ำ

    [​IMG] แรงงานจีนนั้นทำงานมาอย่างหนัก เก็บหอมรอมริบ ยังไม่ได้บริโภคเต็มอิ่มเท่าที่ควร
    คุณภาพชีวิตอยู่อย่างอัตขัตขัดสนเพราะเค้านั้น “ประหยัด”
    แต่การใช้จ่ายอย่างประหยัดไม่ได้หมายความว่า “เค้าจน”
    เพราะ –สินทรัพย์- (Assets) เค้ามีเก็บออมอยู่เยอะพร้อมจะใช้จ่ายได้

    ในทางกลับกัน

    [​IMG] ประชาชนสหรัฐนั้นขี้เกียจแต่ บริโภคเต็มที่ ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย คุณภาพชีวิตอยู่อย่างหรูหรา เพราะเค้านั้น “ใช้เงินมือเติบ”
    แต่การสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า “เค้ารวย”
    เพราะหากมองที่ -หนี้สิน- (Debt)
    มันสะสมและเพิ่มพูนขึ้นทุกวันๆ พร้อมที่จะล้มละลายได้ทุกเมื่อ


    วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงสภาพความเป็นจริงของ สหรัฐกันครับ

    สถานะภาพที่ 1 : เป็นหนี้ (DEBT)

    อเมริกาในวันนี้ ไม่ใช่อเมริกาที่คุณ “เคย” รู้จักมา หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป
    ไปในทางที่ “แย่ลง”

    ถ้าจะมีอะไรที่จะทำให้ สหรัฐอเมริกาและดอลล่าห์ล่มสลาย สิ่งนั้นก็คงไม่พ้น “หนี้” ที่สหรัฐก่อขึ้นมาเอง
    หากคุณอึ้งกับปริมาณเงินที่ สหรัฐพิมพ์ออกสู่ระบบ ในบทความก่อนหน้านี้ คุณจะต้องยิ่งอึ้งกับปริมาณหนี้ที่รอวันชำระ
    ปริมาณเงิน 1 Trillion นั้นมากขนาดไหน คุณได้เห็นแล้ว
    แต่ตัวเลขหนี้สาธารณะของ สหรัฐนั้น ปัดเป็นเลขกลมๆในตอนนี้มีมากถึง “14 Trillion !!” (90% ของ GDP)


    [​IMG]


    ภูเขาหนี้ลูกนี้ ไม่มีใครจะสามารถบริหารจัดการได้ นับวันมีแต่จะโตขึ้นๆ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น “ทุกวินาที”
    อัตราการเพิ่มของหนี้ก้อนนี้ไม่ใช่ธรรมดา

    ในอดีต สหรัฐเองก็มีหนี้
    “ในปี 1950 ปริมาณหนี้ในตอนนั้นมีมูลค่า 250 Billion แต่เพิ่มขึ้นไปสูงถึง 500 Billion ในปี 1975”
    เพิ่มขึ้นเท่าตัว ใช้เวลาทั้งหมด 25 ปี

    แต่สหรัฐในยุคใหม่นี้

    จากปี 2003 ระดับหนี้ 7 Trillion เพิ่มสูงถึง 14 Trillion ในปี 2010
    “เพิ่มขึ้นเท่าตัวเหมือนกัน แต่ใช้เวลาเพียงแค่ 7 ปี !!!

    เร่งสปีดติดเทอร์โบแถมยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

    ทางออกสำหรับสหรัฐจึงมีเพียง 2 ทาง

    1.ถางป่าเอาต้นไม้ทั้งหมดมา เป็นวัตถุดิบในการพิมพ์เงินเพื่อจ่าย

    2.เบี้ยว (Default)

    ไม่ว่าจะเป็นทางไหน ผลเสียย่อมตกกับเจ้าหนี้ แต่คนที่จะต้องเจ็บปวดที่สุดก็คือ ประชาชนชาวสหรัฐเอง
    ยังไม่หมดเพียงเท่านี้

    วิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ผ่านมาในปี 2008 ธนาคารกลางสหรัฐเลือกที่จะอุ้มหนี้เสียจากบริษัท Fannie Mae and Freddie Mac
    ซึ่งมีมูลค่าถึง 6.3 Trillion พอกดเครื่องคิดเลขรวมเข้าไปแล้ว หนี้ของสหรัฐจึงสูงถึง 20.3 T


    สถานะภาพที่ 2 : รายจ่ายสูง (Overspending)


    สหรัฐมี ภาระ ในส่วนของสวัสดิการรัฐ ที่สัญญาว่าจะจัดสรรให้กับประชาชน มากมาย (Unfunded Liabilities for Social Security)
    ไม่ว่าจะเป็น

    -สวัสดิการรักษาพยาบาล (Medicaid& Medicare)

    -สวัสดิการการชดเชยการว่างงาน (Unemployment Benefit) หรือแม้แต่

    -คูปองอาหาร (Food Stamp)(43 ล้านคนในอเมริกาขณะนี้ไม่มีความสามารถแม้แต่จะซื้ออาหาร
    ต้องพึ่งพิง Food Stamp จากรัฐ คิดเป็น 14% จากประชากรทั้งประเทศ)

    ยอดรวมแล้ว มีค่าใช้จ่ายที่จะต้องจัดสรรงบประมาณเข้าไปอีก 60 Trillion !!
    ไอ้ตอนหาเสียงก็ สัญญาประชานิยมทุกอย่างว่าจะจัดสรรให้ ไม่ได้คิดถึงว่าถ้าถึงเวลาจะเอาเงินมาจากไหน ขอแค่ได้คะแนนเสียงเข้าไปนั่งในสภาก่อน ??

    ยิ่งเข้าปี 2010 ประชากรชาวอเมริกายุค เบบี้บูม (Babyboomer)
    จะเริ่มเข้าสู่ “วัยเกษียณ”
    การหยุดทำงานของประชากรวัยนี้พร้อมๆกัน จะทำให้รายได้จากภาษีของรัฐลดลงอย่างฮวบฮาบ ในขณะที่รายจ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุ เพิ่มสวนขึ้นแทน


    สรุปเช็คบิลแล้ว จึงมีหนี้สินรวมรายจ่ายที่จะตามมาถึง 14T+6T+60T = “80T !!!”
    มากมายเกินกว่าจะจินตนาการได้
    นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ ธนาคารกลาง นั้นจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0%
    ไม่สามารถปรับขึ้นได้ เพราะจะยิ่งทำให้ภูเขาหนี้ลูกนี้โตเร็วขึ้นกว่าเดิม

    สถานะภาพที่ 3 : ตกงาน (Unemployed)

    ลองมองไปรอบกายคุณทุกวันนี้ มีสินค้าชนิดไหนบ้างที่เป็นสินค้า MADE IN USA.??
    ทีวีก็ โซนี่ ซัมซุง / รถยนต์ก็ โตโยต้า ฮอนด้า / เสื้อผ้า สินค้าอุปโภค บริโภค หลายชนิดก็ จีนแดง
    (แม้แต่ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความ ผมใช้เมาส์ยี่ห้อ Microsoft แท้ๆ
    แต่พอพลิกดูด้านล่างก็ไม่วายผลิตที่จีน : MADE IN CHINA)

    จากประเทศผู้ผลิต รายใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมสิ่งทอ หรือ วิทยุ-โทรทัศน์ ในอดีต
    อุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่มีเหลือในสหรัฐอีกต่อไป เอเชียคือผู้ผลิต ส่วนอเมริกาคือผู้บริโภค

    นอกจากจะตกงานระดับประเทศแล้ว ภายในประเทศเอง อัตราการว่างงาน “อย่างเป็นทางการ” ในสหรัฐ ก็สูงถึง 9.8%
    นั่นคือทุกๆ สิบคนจะมีคนตกงาน 1 เกือบ 10% ของประชากรนี้จะต้องพึ่งพิงอยู่กับสวัสดิการชดเชยการว่างงาน

    [​IMG]


    แต่ตัวเลข ที่ประกาศออกมาอย่างเป็นทาง ยัง.........

    - ไม่นับรวม คนที่ทำงานตกงานจากงานประจำแล้วหันไปทำ พาร์ทไทม์

    - ไม่นับคนที่ยอมแพ้เลิกหางานอีกต่อไป

    - ไม่นับคนที่ไม่ได้มาแจ้งรับสวัสดิการจากรัฐ

    ที่ไม่นับเพราะมันจะยิ่งทำให้ รัฐบาลนั้นดูแย่ แต่ถ้านับ ...............

    21.7% ของประชากรในตอนนี้ ตกงาน !!!!

    รัฐบาลตัดสินใจออกสวัสดิการชดเชยการว่างงาน 99 สัปดาห์รวด แต่ผลที่ตามมาก็คือ 99 สัปดาห์ผ่านไป
    คนเหล่านี้ก็ยังหางานทำไม่ได้ (คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า “ไนน์ตี้ไนน์เนอร์” 99ER)

    ตำแหน่งเสมียนทำบัญชีธรรมดาๆ ในสหรัฐตอนนี้ ประกาศรับ 4 ตำแหน่งแต่มีผู้แห่มาสมัครถึง 2000 คน
    ที่ รัฐ Ohio 700 คนสมัครในตำแหน่ง “ภารโรง” ที่ว่างเพียงตำแหน่งเดียว
    ยิ่งหากนับเฉพาะคนที่อายุต่ำกว่า 25 ปี เช่น นักศึกษาเพิ่งจบใหม่ อัตราการว่างงานจะสูงถึง 54%

    แม้แต่คนที่มีงานทำอยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นงานที่จ้างโดยภาครัฐซะส่วนนึง (ข้าราชการ)
    และเป็นงานในภาคบริการอีกส่วนนึง (Service Sector Jobs) (เช่น พนักงานสปา เด็กเสริฟ)
    แต่สิ่งที่สหรัฐต้องการคืองานภาค อุตสาหกรรมและการผลิต (Production Jobs) (หนุ่มสาวโรงงาน)
    เพื่อที่จะสามารถสร้างผลผลิต แข่งขันทางด้านการค้ากับต่างประเทศได้

    ทั้งมีหนี้สินล้นพ้นตัวพร้อมรายจ่ายบานตะไทหนำซ้ำยังตกงาน สหรัฐ อยู่ในภาวะที่ หมื่นเหม่ ต่อการล้มละลายทางเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    [​IMG] ขอเคลียร์ 1.

    บ่อยครั้งที่ผมพูดถึงเรื่องพวกนี้ เคยมีเพื่อนถามผมว่า สหรัฐอเมริกาที่แสนจะยิ่งใหญ่ มีบริษัทชั้นนำอย่าง Apple
    ที่ผลิต IPhone-IPad , บริษัท Google , หรือแม้กระทั่ง Microsoft ของ บิลเกต
    จะล่มสลายได้ยังไง? ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อ

    แต่ความจริงก็คือ

    ทั้งสามบริษัทรวมกันแล้ว สร้างรายได้ภาษีให้กับรัฐประมาณ ปีละ 12 Billion
    ในขณะที่ การขาดดุลงบประมาณ (Budget deficit)
    ของรัฐบาลโอบาม่า นั้นอยู่ที่ประมาณ 1.29 Trillion !!!!

    นั่นเท่ากับว่า

    สหรัฐต้องการบริษัทอย่าง Apple อีก 107.5 บริษัท Google อีก 107.5 บริษัทและ Microsoft อีก 107.5 บริษัท
    ถึงจะสร้างรายได้ให้พอเพียงกับการถลุงเงินเล่นของรัฐบาล

    ทีนี้ทำไม ในเมื่อมันแย่ซะขนาดนั้น อะไรที่ทำให้สหรัฐยังไม่ล่ม ??

    คำตอบก็คือ “ดอลล่าห์”ครับ

    ดอลล่าห์เป็นเงินสกุลพิเศษ มีพลังอำนาจเหนือเงินทุกสกุลบนโลก เพราะมันคือ “World’s Reserved Currency”
    นอกจากจะมีตำแหน่งเป็นเงินสกุลหลักของโลก ยังได้สิทธิ์พิเศษคือ “พิมพ์ได้ไม่อั้น” อีกด้วย?????

    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่ทั่วโลกก็ยอมรับและเชื่อถือระบบนี้กันมานาน
    ธนาคารกลางทั่วโลกล้วนมีทุนสำรองส่วนหนึ่งเป็น ดอลล่าห์ เงินดอลล่าห์ไปที่ไหนประเทศไหนใครก็รับ
    นี่คือสิ่งที่ยังค้ำไม่ให้ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐล่มสลายลงไปต่อหน้าต่อตา

    แต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป ....

    ด้วยภาระหนี้สินและวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น บีบให้ สหรัฐต้อง พิมพ์ พิมพ์ และก็ พิมพ์ เพื่อความอยู่รอด
    แต่การทำแบบนี้ก็เป็นการทำให้ความน่าเชื่อถือของ ดอลล่าห์ นั้นค่อยๆเสื่อมลงๆ ไปตามลำดับ

    สิ่งเดียวที่ทำให้ระบบเงินกระดาษ (Fiat Currency) คงอยู่ได้ ก็คือ “ความเชื่อถือ”
    วันใดที่ความเชื่อถือหายไปจาก ดอลล่าห์ เมื่อนั้นดอลล่าห์ก็จะมีค่าไม่ต่างจากกระดาษ

    [​IMG] ขอเคลียร์ 2


    อีกประเด็นนึงที่น่าคิดก็คือ สหรัฐอเมริกา มีทองคำเป็นทุนสำรอง มากที่สุดในโลก (8000 ตัน)
    สิ่งนี้ เหมือนจะช่วย ปลดหนี้ให้กับทางสหรัฐได้ ??

    ถามว่าปลดได้มั๊ย? คำตอบคือได้ครับ !!!!

    หนี้สาธารณะ 14 Trillion ของสหรัฐหากใช้ทองคำทั้งหมดที่มีในคลังจ่าย หนี้จะหายวับไปในทันที

    แต่มีข้อแม้อยู่นิดเดียวนั่นคือ
    ราคาทองต้องอยู่ที่ 53,639 $/oz !!!!

    อ่านไม่ผิดหรอกครับ เพราะหากเอา 14 Trillion หารด้วยทองคำ 8000 ตัน
    ราคาที่ได้ต้องอยู่ที่ห้าหมื่นเหรียญกว่าๆ ถึงจะพอจ่าย
    หรือต่อให้ เอาปริมาณทองหมดทั้งโลก มาจ่ายหนี้ ให้สหรัฐ ราคาทองก็ต้องอยู่ที่ 15,873$/oz ถึงจะพอจ่ายอยู่ดี

    นั่นทำให้ ราคาทองที่ระดับ 1400$/oz ตอนนี้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจาก “ถูก”
    นั่นทำให้ทิศทางของราคาทองคำในระยะยาวเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก “ขึ้น”

    นอกจากนี้ ยังมีข้อแม้อีกอย่างนึงนั่นก็คือทอง 8000 ตันของสหรัฐนั้น “ต้องมีอยู่จริง !!”
    สาเหตุที่พูดแบบนี้ก็เพราะ ทองคำที่อ้างว่ามี 8000 ตัน ไม่ได้ผ่านการตรวจนับ (Audit) มากว่า 50 ปีแล้ว !!!
    อย่างนี้ทำให้คิดได้ว่า “มันน่าสงสัยอย่างแรง”

    ทองคำสำรองที่ Fort Knox รัฐแคนตั๊กกี้ ถูกเก็บนอนอยู่กว่าครึ่งศตวรรษ
    ไม่มีการตรวจนับ แต่กลับลงบันทึกเป็นตัวเลขว่ามี อยู่ทุกปีๆ ในรายงานของ World Gold Council
    งานนี้มันมีพิรุธ&งานนี้มันน่าสงสัย

    แต่ความกระจ่างก็กำลังจะปรากฏ ต้องขอบคุณ ท่านวุฒิสมาชิก รอน พอล (Ron Pual)
    นักการเมืองน้ำดีของสหรัฐ ที่กำลังจะเสนอผ่านกฎหมายตรวจสอบ ธนาคารกลาง (Audit the FED)
    รวมถึงเข้าขอตรวจนับทองคำที่ Fort Knox ในปีหน้า
    เรื่องนี้เราจะได้ติดตามกันต่อไป

    ..............................................................


    หากคิดว่า ประเทศที่ยิ่งใหญ่อย่างอเมริกาไม่มีวันล่มสลาย ดอลล่าห์ไม่มีวันตาย ก็ไม่ต่างอะไรจากการคิดว่า ไมค์ ไทสัน
    แพ้ไม่เป็น แต่ท้ายที่สุด “เค้าก็แพ้”

    นอกจากจะแพ้เป็นแล้ว ยังโดนน็อคแบบหมดสภาพ
    สิ่งที่สหรัฐกำลังเผชิญ เค้าก็พยายามจะแก้ปัญหา แต่กลายเป็นว่าวิธีแก้กลับทำให้มันแย่ลงไปกว่าเดิม
    สิ่งที่เราพอจะทำได้คือเตรียมตัวให้พร้อมรับวิกฤตการเงิน (Currency crisis) ครั้งนี้
    หรือจะให้ดียิ่งไปกว่านั้น พยายามพลิก วิกฤตนี้ให้เป็น “โอกาส”
    วิกฤตนี้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เช่นเดียวกับโอกาส ก็จะเปิดให้เพียงครั้งเดียว
    จึงถือได้ว่าเป็นสุดยอดแห่ง โอกาส “ทอง” (จริงๆ) โดยแท้


    ปล. ขอบคุณเหมือนเช่นเคยที่สละเวลาอ่านจนจบ จากนี้ไปก็จะขออนุญาติพัก
    เจอกันใหม่ปีหน้าเลย ปีนี้ถือว่าเรา “รู้จักกันแล้ว” ปีหน้าจะไม่ย้อนมาปูพื้นกันอีกแล้วนะครับ
    ว่ากันเต็มที่ไปเลย โปรดติดตาม ............

    โชคดีมีความสุขทุกคนครับ
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลูก 'แมดอฟฟ์' ฆ่าตัวตายวันครบ 2 ปี 'พ่อ' ถูกจับโกง 'แชร์ลูกโซ่' $65,000ล.
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>13 ธันวาคม 2553 08:03 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ อดีตนักการเงินชาวอเมริกันคนดังผู้กำลังรับโทษในคุก

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> เอเจนซี/เอเอฟพี - มาร์ก แมดอฟฟ์ บุตรชายคนโตของ เบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ อดีตนักการเงินชาวอเมริกันคนดังผู้กำลังติดคุกในความผิด “แชร์ลูกโซ่” มูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ได้ฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอในอพาร์ตเมนต์ที่นครนิวยอร์กของเขาเมื่อวันเสาร์(11) อันเป็นวันครบรอบ 2 ปีที่บิดาของเขาถูกจับกุมด้วยข้อหาฉ้อโกงที่มีมูลค่าสูงที่สุดเท่าที่วอลล์สตรีทเคยประสบ

    มาร์ก แมดอฟฟ์ วัย 46 ปี ซึ่งเคยทำงานอยู่ในกิจการของบิดา “ต้องตกอยู่ภายใต้แรงบีบคั้นอย่างชนิดไม่เคยหยุดยั้งบรรเทาลงเลยตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมา จากการกล่าวหาผิดๆ และจากการเหน็บแนมเสียดสี” ทนายความของเขาระบุในคำแถลงภายหลังที่ทราบว่าเขาฆ่าตัวตาย ทั้งนี้ศพของเขาถูกพบในอาพาร์ตเมนต์ของเขาเอง ซึ่งตั้งอยู่ในย่านโซโห ของนครนิวยอร์ก

    บิดาของเขา เบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ ซึ่งปัจจุบันอายุ 72 ปี กำลังรับโทษจำคุกเป็นเวลา 150 ปี ภายหลังรับสารภาพต่อศาลว่าได้หลอกลวงรับเงินทองจำนวนมหาศาลจากผู้ต้องการลงทุน แต่แทนที่จะนำไปลงทุนจริงๆ เขาก็กลับแปรสภาพให้เป็น “แชร์ลูกโซ่” นั่นคือนำเอาเงินลงทุนที่ได้รับก้อนใหม่ๆ ไปจ่ายให้แก่พวกที่ลงทุนก่อนๆ ทั้งนี้เขาสามารถดำเนินแชร์ลูกโซ่ของเขาอยู่เป็นเวลานับสิบปี และจูงใจนักลงทุนกระเป๋าหนักที่หวังผลตอบแทนสูงๆ ได้เป็นจำนวนมาก จนกรณีของเขาน่าจะเป็นการฉ้อโกงทางการเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

    “มาร์ก แมดอฟฟ์ ปลิดชีวิตของเขาเองในวันนี้ นี่เป็นโศกนาฏกรรมที่น่าสยดสยองและไม่มีความจำเป็น” มาร์ติน ฟลูเมนโบม ทนายความของมาร์ก แมดอฟฟ์ และของ แอนดริว น้องชายของเขา ระบุในคำแถลง “มาร์กเป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์ในอาชญากรรมอันใหญ่โตร้ายแรงของบิดาของเขา”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ร่างไร้วิญญาณของมาร์ก แมดอฟฟ์ บุตรชายคนโตของ เบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ถูกนำลงจากอพาร์ตเมนต์ที่นครนิวยอร์ก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> บุตรชายวัย 2 ขวบของมาร์ก แมดอฟฟ์ ยังอยู่ในอพาร์ตเมนต์แห่งนั้น เมื่อตอนที่พ่อตาของเขาไปพบศพ ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ ขณะที่สื่ออเมริกันรายงานว่า มาร์ก แมดอฟฟ์ ได้ติดต่อทางอีเมล กับภรรยาของเขา สเตฟานี ผู้ซึ่งกำลังอยู่ในฟลอริดาพร้อมบุตรชายของพวกเขาอีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นเธอเล่าให้ญาติๆ ฟังว่ารู้สึกเป็นห่วงเขามาก จึงเป็นเหตุให้พ่อตาของเขารีบไปตรวจดูอพาร์ตเมนต์ที่เกิดเหตุในตอนเช้าวันเสาร์

    ทั้ง มาร์ก และ แอนดริว แมดอฟฟ์ ตลอดจนสมาชิกในครอบครัวอีกหลายคน ต่างเคยทำงานอยู่ในบริษัทจัดการการลงทุน เบอร์นาร์ด แอล. แมดอฟฟ์ อินเวสต์เมนต์ ซีเคียวริตีส์ แอลแอลซี ซึ่งได้ล้มครืนลงมาเมื่อมีการเปิดโปงแผนแชร์ลูกโซ่ ตัวเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ ซึ่งเคยเป็นประธานตลาดหลักทรัพย์แนสแดค อีกทั้งมีชื่อเลื่องลือในฐานะนักการเงินผู้สามารถ ได้ถูกจับกุมในวันทื่ 11 ธันวาคม 2008 หลังจากที่บุตรชายทั้งสองของเขาได้ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ มาร์กและแอนดริว แมดอฟฟ์ บอกว่า บิดาของพวกเขาได้สารภาพเรื่องการฉ้อโกงนี้ให้พวกเขาฟัง 1 วันก่อนหน้านั้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=223 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=223>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>อพาร์ตเมนต์ที่เกิดเหตุในมหานครนิวยอร์ก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> พวกนักลงทุนที่ต้องสูญเสียเงินไปมากมาย ต่างคิดเห็นว่าภรรยา, บุตรชายทั้งสอง, ตลอดจนสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ ของเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ น่าจะต้องมีส่วนรู้เห็นกับการฉ้อโกง จวบจนถึงเวลานี้ไม่มีสมาชิกในครอบครัวคนใดเลยที่ถูกตั้งข้อหาทางอาญา และพวกเขาก็ปฏิเสธหนักแน่นว่าไม่ทราบเรื่องการทุจริตของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเลย ถึงแม้ยังคงมีข่าวลืออยู่เรื่อยๆ ว่าทางการยังกำลังเตรียมการเพื่อเล่นงานพวกเขา

    แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับมาร์ก แมดอฟฟ์ เล่าว่า ช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา มาร์ก แมดอฟฟ์ ไม่ได้ติดต่อพูดจากับบิดาหรือมารดาของเขาเลย อีกทั้งได้เคยพยายามที่จะหางานทำในด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ในวอลล์สตรีท ทว่าไม่ประสบความสำเร็จ

    ถึงแม้ไม่ถูกตั้งข้อหาทางอาญา แต่ มาร์ก แมดอฟฟ์ พร้อมด้วยบุคคลในครอบครัวคนอื่นๆ ก็ถูกยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง จาก เออร์วิง พิคาร์ด ผู้ได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นทรัสตี เพื่อทำหน้าที่หาเงินมาคืนให้กับบรรดาเหยื่อที่ถูกฉ้อโกง

    พิคาร์ดระบุว่า สมาชิกในครอบครัวแมดอฟฟ์เหล่านี้ควรต้องทราบเรื่องการฉ้อโกงที่มีมูลค่าถึง 65,000 ล้านดอลลาร์นี้ รวมทั้งจะต้องคืนเงินที่พวกเขาได้ใช้ไปในการดำเนินชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟื่อย

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัสตีผู้นี้ยังได้ยื่นฟ้องหลานปู่ 5 คนของเบอร์นารด์ แมดอฟฟ์ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงบุตรของมาร์ก แมดอฟฟ์ ด้วย เพื่อเรียกให้ชำระเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์ซึ่งถูกโอนให้แก่หลานๆ เหล่านี้ ทั้งนี้พิคาร์ดได้รีบเร่งยื่นฟ้องจำเลยในคดีต่างๆ เพื่อเรียกเงินเป็นจำนวนทั้งสิ้นกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ สืบเนื่องจากอายุความของคดีมีกำหนดสิ้นสุดลงในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    Around the World - Manager Online -
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สัญญาณอันตรายภาคอสังหาริมทรัพย์จีน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>13 ธันวาคม 2553 07:30 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เอเยนซี่ - ผลสำรวจพบสัญญาณความเสี่ยงฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์จีน โดยบ้านอาศัยในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะในเมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยนนั้น มีราคาในตลาดสูงจากมูลค่าพื้นฐานมากที่สุด

    บ้านอาศัย ที่ขายในเมืองฝูโจวมีมูลค่าพื้นฐานเพียง 3,998 หยวน (600 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ขณะที่ราคาขายในตลาดกลับสูงถึง 13,457 หยวน จากผลสำรวจในรายงานประจำปีว่าด้วยตลาดที่อยู่อาศัยในจีน ซึ่งเผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์สถาบันสังคมศาสตร์ของจีน (CASS) เมื่อวันพุธ (8 ธ.ค.)

    การสำรวจโดยสถาบันการเงินและเศรษฐกิจการค้า ซึ่งอยู่ในสังกัดของ CASS ครอบคลุมเมืองขนาดกลางและขนาดใหญ่ 35 เมืองในช่วงเดือนก.ย. ที่ผ่านมา

    ความเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ในเมืองฝูโจว และอีก 6 เมืองนั้น พบว่า ดัชนีฟองสบู่ (buble index) สูงกว่าร้อยละ 50 ของราคาในตลาด

    ดัชนีฟองสบู่กำหนดขึ้น โดยพิจารณาจากดัชนีย่อย 11 ตัว ซึ่งรวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานภาคสาธารณะ ตลอดจนรายได้สุทธิเฉลี่ยต่อหัวประชากร

    เมืองชั้นหนึ่ง เช่น กรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ และนครเซินเจิ้นอยู่ในกลุ่ม 11 เมือง ซึ่งมีดัชนีฟองสบู่ร้อยละ30-50 ของราคาในตลาด

    35 เมือง ที่สำรวจ มีฟองสบู่โดยเฉลี่ยร้อยละ29.5 และพบว่ามีฟองสบู่น้อย หรือไม่มีเลยในเมืองไท่หยวน, ฮูเหอเฮ่าเท่อ , ไห่โข่ว , อิ๋นชวน, เสิ่นหยาง, เซี่ยะเหมิน , และอู๋หลู่มู่ฉี

    รายงานยังระบุว่า อัตราราคาบ้าน ที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในจีนจะชะลอลงในปีหน้า หลังจากรัฐบาลดำเนินมาตรการเข้มงวด เพื่อบรรเทาความร้อนแรงของตลาด

    ทั้งนี้ เมื่อเดือนต.ค. ที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 เพื่อต่อสู่กับภาวะเงินเฟ้อ และลดสภาพคล่อง ที่ล้นเกินในตลาด นอกจากนั้น ล่าสุด กระทรวงการเคหะและการพัฒนาเมืองและชนบทบท ได้ร่วมมือกับกระทรวงที่ดินและทรัพยากรในการตรวจตราการทำงานของคณะผู้ปกครองท้องถิ่นในการบังคับใช้นโยบายของรัฐบาลกลางเกี่ยวกับบ้านที่อยู่อาศัย

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญของ CASS ระบุว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงเผชิญปัญหาและการท้าทายมากมาย โดยนายหนิง เผิงเฟย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสำหรับเมืองและการแข่งขัน (the Research Center for city and Competitiveness) ในสังกัด CASS มองว่า เป้าหมายของรัฐบาลขาดความชัดเจน และนโยบายไม่มีความสอดคล้องกัน นอกจากนั้น เศรษฐกิจมหภาคของจีนพึ่งพาภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก และประชาชนอาจหันไปลงทุนในภาคนี้ เมื่อประสบกับภาวะเงินเฟ้อ

    ขณะเดียวกันจากตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า นักลงทุนประเภทสถาบันต่างชาติแห่เข้ามาลงทุนในตลาดบ้านอาศัยในจีน เนื่องจากผลตอบแทนที่สูงจากการลงทุน และพื้นฐานเศรษฐกิจ ที่แข็งแกร่งของจีน โดยมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติยื่นใบสมัครเข้ามาลงทุน 114 รายในเดือนพ.ย. สูงกว่าในเดือนต.ค. 2.71 เท่า เพื่อเปิดบริษัทใหม่ หรือส่งเสริมเงินทุน

    คนจีนในกลุ่มทำงานนั่งโต๊ะ มีเงินเดือนประจำ ซึ่งไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบายการเคหะของรัฐอย่างทั่วถึง จำเป็นต้องพึ่งความช่วยเหลือจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ และมีคนจำนวนมากกำลังรอฟองสบู่แตก ผู้เชี่ยวชาญของจีนระบุ
    China - Manager Online -
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เงินเฟ้อจีน ทำนิวไฮที่ 5.1 เปอร์เซ็นต์ ในรอบกว่าสองปี
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>12 ธันวาคม 2553 17:30 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>นักช็อปจีนกำลังคัดเลือกผักในซูเปอร์มาร์เกต เมืองเหอเฝย มณฑลอันฮุย เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อจีนพุ่งแตะระดับ 5.1 เปอร์เซ็นต์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบกว่าสองปี นักวิเคราะห์คาด อาจส่งผลให้เกิดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก (ภาพเอเอฟพี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เอเอฟพี - อัตราเงินเฟ้อจีนพุ่งแตะระดับ 5.1 เปอร์เซ็นต์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบกว่าสองปี นักวิเคราะห์คาด อาจส่งผลให้เกิดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก เพื่อควบคุมราคาที่พุ่งสูง

    สำนักสถิติแห่งชาติจีน ระบุวันเสาร์ (11 ธ.ค.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ ซีพีไอ ปรอทวัดเงินเฟ้อตัวสำคัญ เพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด อยู่ที่ระดับ 5.1 เปอร์เซ็นต์ในเดือน พ.ย.ปีต่อปี ขณะที่ราคาอาหารยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ เทียบกับ 4.4 เปอร์เซ็นต์ ในเดือน ต.ค.

    โดยราคาอาหารในเดือน พ.ย.ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยหลักดันภาวะเงินเฟ้อ ได้ถีบตัวสูงขึ้น 11.7 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ขณะที่ ราคาสินค้าอุปโภคเพิ่มขึ้น 1.9 เปอร์เซ็นต์ปีต่อปี เทียบกับ 1.6 เปอร์เซ็นต์ในเดือน ต.ค.

    ส่วนข้อมูลหลักอื่นๆ ได้เผยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจากบรรดาโรงงานในจีน ยังคงเพิ่มขึ้น 13.3 เปอร์เซ็นต์ จาก 13.1 เปอร์เซ็นต์ในเดือน ต.ค.แม้รัฐบาลจีนได้มีการสั่งปิดโรงงานที่ปล่อยมลพิษสูง และได้ปันส่วนพลังงานไปยังอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูง

    สำหรับการลงทุนสินทรัพย์ถาวรในเขตเมือง ซึ่งเป็นมาตรวัดการใช้จ่ายภาครัฐด้านโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ในช่วงเดือน ม.ค.ถึง เดือน พ.ย.เพิ่มขึ้น 24.9 เปอร์เซ็นต์ พุ่งสูงขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับในรอบ 10 เดือนแรก ที่เพิ่มขึ้น 24.4 เปอร์เซ็นต์

    ขณะที่ การค้าปลีกในปีนี้ ซึ่งเป็นปรอทวัดการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่สำคัญ เพิ่มขึ้น 18.7 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เทียบกับ 18.6 เปอร์เซ็นต์ ในเดือน ต.ค.

    นายเซิ่ง ไหลอวิ้น โฆษกสำนักสถิติแห่งชาติจีน เผยว่า “หลายฝ่ายต่างคาดไม่ถึงว่า ราคาในเดือนพ.ย.จะพุ่งสูงขึ้นได้ถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ตาม นโยบายควบคุมเงินเฟ้อที่รัฐบาลจีนได้ประกาศเมื่อวันที่ 17 พ.ย.ยังคงต้องใช้เวลาสักพัก จึงจะเห็นผล”

    นายไบรอัน แจ็คสัน นักวางแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจอาวุโส ประจำรอยัลแบงค์ออฟแคนาดา กล่าวว่า
    “ตัวเลขเงินเฟ้อนี้ แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลจีนจำเป็นต้องงัดมาตรการใหญ่ออกมาใช้อีก อาทิ ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยการปรับเพิ่มดอกเบี้ยอ้างอิง”

    และคาดการณ์ว่า “ก่อนสิ้นปีนี้ จีนจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอีก 25 จุด และจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 75 จุด ในปีหน้า”

    ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนได้ออกมาตรการรับมือภาวะเงินเฟ้อ ล่าสุด โดยสั่งการธนาคารพาณิชย์เพิ่มสัดส่วนทุนสำรองเป็นครั้งที่ 6 ในปีนี้ อีก 0.5% เพื่อดูดซับสภาพคล่องล้นเกินในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นตัวขับดันภาวะเงินเฟ้อให้สูงยิ่งขึ้น
    China - Manager Online -
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จีนเพิ่มสัดส่วนทุนสำรอง ธ.พาณิชย์ ระลอก 3
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>12 ธันวาคม 2553 11:40 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=480 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>คนงานขี่รถจักรยานผ่านตู้คอนเทนเนอร์ ที่ท่าเรือเมืองหนานจิง, มณฑลเจียงซูเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.2553 โดยยอดนำเข้าและส่งออกของจีนประจำเดือนพ.ย.แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งอาจเปิดทางให้ธนาคารกลางจีนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างเร็วที่สุดในสุดสัปดาห์นี้ - รอยเตอร์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> รอยเตอร์ - ธนาคารกลางจีนสั่งธนาคารพาณิชย์เพิ่มสัดส่วนทุนสำรองเป็นครั้งที่ 3 ภายใน 1 เดือน หวังสกัดเงินเฟ้อ ที่พุ่งสูงในประเทศ

    ธนาคารกลางจีนยังคงพยายามควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และการปล่อยสินเชื่อในประเทศ ที่เพิ่มสูง โดยล่าสุด เมื่อวันศุกร์ (10 ธ.ค.) ได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มสัดส่วนทุนสำรองอีก 0.5% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคมเป็นต้นไป ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนทุนสำรองของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 18.5%

    การสั่งเพิ่มสัดส่วนทุนสำรองธนาคารพาณิชย์ เพื่อดูดซับสภาพคล่อง ที่ล้นเกินในระบบเศรษฐกิจครั้งล่าสุดนี้ เป็นที่คาดหมายกันอย่างกว้างขวางมาก่อนหน้าแล้ว หลังจากที่รัฐบาลจีนประกาศเปลี่ยนจุดยืนจากการดำเนินนโยบายการเงินอย่างผ่อนคลายพอประมาณ มาเป็นการดำเนินการอย่างระมัดระวังเมื่อต้นเดือนนี้

    การประกาศเพิ่มสัดส่วนทุนสำรองเกิดขึ้น ภายหลังจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของจีนประจำเดือน พ.ย.ซึ่งมีความแข็งแกร่ง และเกิดขึ้นก่อนหน้าการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อประจำเดือนพ.ย.ในวันเสาร์ (11 ธ.ค.) ซึ่งปรากฏว่า เงินเฟ้อของจีนพุ่งสูงสุดในรอบ 28 เดือน โดยเพิ่มถึง 5.1% จาก 4.4% ในเดือน ต.ค.

    นาย หลู่ เจิงเว่ย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของอินดัสเทรียล แบงก์ ในนครเซี่ยงไฮ้ คาดว่า ธนาคารคารกลางจีนจะสั่งเพิ่มสัดส่วนทุนสำรองของธนาคารพาณิชย์อีกหลายครั้งในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า และคาดว่าสัดส่วนทุนสำรองน่าจะเพิ่มถึง 23% ในปีหน้าก็เป็นได้

    ทั้งนี้ เมื่อเดือน ต.ค.ธนาคารกลางจีนได้สร้างความประหลาดใจแก่ตลาด โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี และนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่า ธนาคารอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในระยะอันใกล้นี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ

    อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเพิ่มสัดส่วนทุนสำรองธนาคารพาณิชย์มากกว่าการขึ้นดอกเบี้ย ส่งสัญญาณว่า ในการดำเนินนโยบายการเงินอย่างเข้มงวด เจ้าหน้าที่จีนยังคงเลือกวิธีการที่นุ่มนวลในขณะนี้ และแสดงว่า เจ้าหน้าที่จีนเชื่อว่า แรงกดดันด้านราคาอยู่ในภาวะที่ยังสามารถควบคุมได้
    China - Manager Online -
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Certainly Possible และ Price Reversal ในสินค้าโภคภัณฑ์ ?

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    <DD class=columnist-name>ดร.พีรพล ประเสริฐศรี <DD class=by-line>In Step with AFET Futures :ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและวางแผน ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) </DD><DD class=by-line>วันที่ 9 ธันวาคม 2553 01:00</DD>เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ ฯพณฯ Ben Bernanke ประธานระบบธนาคารกลางของสหรัฐ (U.S. Federal Reserve System หรือ FED)
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101209/show_ads_impl.js"></SCRIPT> ได้ให้สัมภาษณ์รายการ 60 Minutes ทางช่อง CBS ฟรี TV ในสหรัฐ เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายทางการเงินต่าง ๆ ของ FED ดังปรากฏตามรายละเอียดตามหน้าหนังสือพิมพ์ในช่วงที่ผ่านมาไปแล้ว ผู้อ่านที่สนใจสามารถหารับชมได้ทาง youtube.com นะครับ
    การสัมภาษณ์ครั้งนี้ Bernanke ได้กล่าวคำศัพท์สวยน่าฟังอีกแล้ว (ชอบเป็นการส่วนตัวครับ) นั่นคือ “Certainly Possible” ซึ่งแปลว่า “เป็นไปได้อย่างแน่นอน” ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของ FED จะทำการอัดเงินเข้าระบบด้วยการซื้อพันธบัตรอีก หรือ ทำ Quantitative Easing (QE) อีกเป็นคำรบ 3 หากมีความจำเป็น (ทั้ง ๆ ที่การทำ QE ที่ผ่านมาทั้ง 2 รอบได้ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่ได้ผล)
    Bernanke พยายามเน้นย้ำให้สาธารณชนทั่วโลกทราบว่า นโยบาย QE ที่ FED ได้ดำเนินอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่การพิมพ์เงินออกมา (PRINTING MONEY) เหมือนอย่างที่กล่าวหากัน โดยให้เหตุผลว่า นโยบาย QE เป็นนโยบายทางการเงินที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรเท่านั้น และ หลังจากการทำ QE นี้ ปริมาณเงินในระบบไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างมีนัย
    อีกประเด็นหนึ่งที่ Bernanke พยายามจะสื่อให้แก่ผู้คนอเมริกันก็คือ เรื่องที่ผู้คนมีความกลัวต่อปัญหาเงินเฟ้อกันเกินเหตุ พร้อมทั้งแสดงความเชื่อมั่น 100% เต็มว่า FED จะสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ด้วยนโยบายดอกเบี้ย (โดยหากจำเป็น FED สามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ภายใน 15 นาที) โดยระบุชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้อัตราเงินเฟ้อมีระดับที่สูงกว่า 2% ต่อปี (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน Bloomberg, Bernanke Says More Fed Purchases ‘Certainly Possible’ Dec 6th, 2010)
    การออกมาให้สัมภาษณ์ของ Bernanke ในครั้งนี้ ก็เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาครับ ได้รับโดนโจมตีอย่างกว้างขวาง บ้างก็หาว่า Bernanke โกหกเกี่ยวกับนโยบาย QE ว่าไม่ใช่การพิมพ์เงิน (ทั้งๆ ที่เป็นการพิมพ์เงินออกมาโดยไม่มีต้นทุน)
    บ้างก็แสดงความเห็นว่าจะเชื่อ Bernanke อีกได้อย่างไรว่าจะสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ ทั้งๆ ที่ Bernanke เองก็ได้ประเมินและดำเนินนโยบายการเงินที่ผิดพลาดมาหลายครั้งในช่วงก่อนวิกฤติ Sub-prime เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
    ส่วนตัวผมก็เชื่อ Bernanke บ้างในบางเรื่องครับ เช่น เรื่อง FED สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ภายใน 15 นาที แต่ไม่เชื่อครับว่า FED จะทำภายใต้ข้อจำกัดในปัจจุบัน และเชื่ออีกว่าการดำเนินนโยบายแบบที่ FED กำลังดำเนินอยู่ ณ ขณะนี้ มีวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการกดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำ นั่นคือ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเพื่อช่วยกระตุ้นการส่งออกของสหรัฐ (ซึ่งเป็นการกดดันนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของจีนไปด้วยในตัว)
    ราคาของสินค้าไม่ว่าจะเป็นทองคำ เงินแท่ง น้ำตาล กาแฟ ยางพารา ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างปรับตัวตอบรับบทสัมภาษณ์ “Certainly Possible” ของ Bernanke (เพราะเชื่อมั่นว่าน่าจะมี QE 3.0 ออกมาอีก) โดยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปอีกหลังจากเพิ่มขึ้นมาแล้วพอสมควรจากนโยบาย QE 2.0 เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
    โดยเฉพาะสินค้าทองคำที่เป็นที่ฮือฮาพอสมควรในบ้านเรา เนื่องจากราคาได้เพิ่มขึ้นสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุระดับ 2 หมื่นบาทเป็นครั้งแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2553
    แต่ ณ สิ้นวันทำการของวันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2553 ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ ณ ราคาปิด ที่ตลาด NYSE ในสหรัฐ กราฟแสดงราคาทองคำ และน้ำมันดิบ (ซึ่งพอจะถือได้ว่าเป็นตัวแทนของสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมด) ที่มี Exchange Traded Fund (ETF) ได้แก่ GLD (SPDR Gold Trust Shares) และ USO (United States Oil Fund) เป็น Proxies รวมถึง ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ Commodity Research Bureau (CRB) ต่างพร้อมใจกันมีรูปแบบ
    ซึ่งเป็นรูปแบบของการวิเคราะห์ทาง Technique ที่เรียกว่าสัญญา Reversal หรือ สัญญาณการกลับตัวของราคา ได้แก่ รูปแบบของ Key Reversal; Outside Reversal หรือ Bearish Engulfing Pattern แสดงความเป็นไปได้ของการกลับตัวของราคาไปในทิศทางตรงข้าม เช่น ในกรณีนี้จากขาขึ้นไปเป็นขาลง
    ในทองคำรูปแบบที่เกิดขึ้นถือเป็น Key Reversal ครับเนื่องจาก Reversal นี้เกิดขึ้นที่ระดับ all time high แต่สำหรับน้ำมัน และดัชนี CRB นั้นรูปแบบที่เกิดขึ้นถือได้เป็นแค่ Outside Reversal หรือ Bearish Engulfing Pattern (เนื่องจากรูปแบบที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดที่ระดับ all time high เหมือนทองคำ) แต่ก็ถือว่าเป็นรูปแบบ Reversal ที่มีนัยพอสมควร
    ก็คงต้องเฝ้าติดตามต่อไปว่าการ Form รูปแบบ Reversal ของราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ในครั้งนี้ เป็นเพียงแค่การปรับฐานเพื่อทำกำไรระยะสั้น หรือ ภาวะกดดันไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Deflation หรือ De-leveraging จากวิกฤติหนี้ทั้งในยุโรปและในรัฐบาลท้องถิ่นของสหรัฐเอง หรือ จากภาวะการว่างงานในระบบเศรษฐกิจตะวันตก จะกลับมาปะทุทำให้เกิดเป็นการเปลี่ยน Trend รอบใหญ่ของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ คำตอบคงจวนจะออกมาในอนาคตอันใกล้นี้แล้วครับ
    Certainly Possible
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Lunch Time

    โดย : เสถียร ตันธนะสฤษดิ์
    วันที่ 1 ธันวาคม 2553 03:00
    ท่ามกลางข่าวคราวประเภทเฮฟวี่เวท ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทั้งในบ้านเราเอง และต่างประเทศ คราวนี้ผมขออนุญาตคุยเรื่องเบาๆ
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101209/show_ads_impl.js"></SCRIPT>แต่ก็ยังคงข้องเกี่ยวกับตลาดการเงินอยู่ บังเอิญในช่วงที่ 2 เกาหลีเขาทะเลาะกัน ซึ่งทำให้ผม “ตื่นตัว” ไปด้วย แล้วก็เฝ้าติดตามข่าวและผลกระทบต่อตลาดการเงินบ้านเรา ผมก็ไปพบข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่ง รายงานโดยสำนักข่าว Bloomberg (ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย) มันเป็นข่าวที่ทำให้ผมระลึกไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ มากมายตั้งแต่สมัยเป็นนักค้าเงินใหม่ๆ ก็เลยจะลองมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

    ข่าวที่ว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งโตเกียว (Tokyo Stock Exchanpe ; TSE) ตัดสินใจจะเพิ่มชั่วโมงในการซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยการลดเวลาอาหารกลางวัน (Lunch Time) ลงมาครึ่งชั่วโมง เวลาอาหาร กลางวันใหม่จะเริ่ม 11.30 และสิ้นสุดในเวลา 12.30 แทนที่จะเริ่มหม่ำตอน 11 โมง โดยมีผลในปีหน้านี้แหละ

    ก่อนที่จะเล่าประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตของผมที่เกี่ยวกับเรื่อง Lunch Time ก็ขออนุญาตเล่าถึงเรื่องของการลดเวลากินเพิ่มเวลา trade ของ TSE สักเล็กน้อยถึงพอประมาณก่อนนะครับ เพราะเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเราก็จะเห็นพัฒนาการของตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคและการชิงไหวชิงพริบในทางธุรกิจตลาดหลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ TSE ประการแรกก็คือในปัจจุบัน TSE จะเปิดทำการระหว่าง 9 โมงเช้า ถึง 11 โมงเช้า และภาคบ่ายเริ่ม 12.30 และสิ้นสุดตอนบ่าย 3 โมงเย็น ญี่ปุ่นเลือกที่จะไม่ขยายเวลาทำการ (ยังคงเป็น 9 โมงเช้า ถึง บ่าย 3 โมงเย็น) แต่ใช้วิธีลดเวลาอาหารกลางวันลงมาแทน การตัดสินใจครั้งนี้ของ TSE นั้น ผู้บริหารของ TSE เชื่อว่าจะทำให้ปริมาณการซื้อ / ขายของตลาดโตเกียวเพิ่มขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์

    เรามาลองดูนะครับว่าตลาดหุ้นหลักๆ เขามีชั่วโมงในการซื้อ / ขาย นานเท่าไรในแต่ละวัน
    โตเกียว (ใหม่) 5 ชั่วโมง
    แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน (มากกว่า) 8 ชั่วโมง
    สิงคโปร์ 6 ½ ชั่วโมง
    นิวยอร์ก 6 ½ ชั่วโมง

    แล้วท่านทราบมั้ยครับว่าในตลาดที่พัฒนาแล้วเหล่านี้ ตลาดไหนที่ทานกลางวันกันนานที่สุด คำตอบก็ไม่ใช่ญี่ปุ่นครับแต่เป็นฮ่องกง Lunch time ที่นี่ 2 ชั่วโมงครับ และเป็นที่แน่นอนแล้วว่าตลาดฮ่องกงก็ต้องรักษาระยะห่างในการแข่งขันกับตลาดอื่นด้วยการเพิ่มเวลาการค้าขายด้วยการลดเวลาทานกลางวันลงมาเป็นชั่วโมงครึ่งในปี 2011 หลังตรุษจีน และเหลือ 1 ชั่วโมงในปี 2012 มาตรการนี้เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่ตลาดฮ่องกงได้ปรับเวลาซื้อขายให้ได้ใกล้เคียงกับตลาดหลักทรัพย์ของจีน ซึ่งในปัจจุบันก็ได้แซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นอันดับสองของโลกตามหลังอเมริกาอยู่

    การแข่งขันกันของตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ ดังกล่าวคงไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องชั่วโมงการค้าขายหรอกครับ แต่ประเด็นเรื่องนี้ทำให้ผมฉุกคิดไปถึงเรื่องวัฒนธรรมการกินของพวกเราชาวเอเชียกับทางฝรั่งในยุโรปและอเมริกาโน่น ในสมัยหนึ่งที่ผมมีโอกาสไปเป็น Trader ที่สิงคโปร์และฮ่องกงในระยะเวลาสั้นๆ

    ก็ได้เห็นว่า Lunch time ก็เป็นช่วงเวลาที่บรรดาผู้มีอาชีพในตลาดการเงินไม่ว่าจะเป็นตลาด FX, ตลาดหุ้น หรือตลาดอื่นๆ ก็ยังคง “ทำธุรกิจ” กันต่อไปบนโต๊ะอาหาร ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ใช่ว่าฝรั่งเขาขี้เกียจนะครับ แต่ตัวอย่าง Lunch time ในฮ่องกง ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ก็หมายถึงการที่เขาเหล่านั้นมานั่งกินกันเป็นเรื่องเป็นราว

    หากแต่ว่า Lunch time ของฝรั่งอาจเป็นเพียงทานแซนด์วิช อยู่หน้าจอเท่านั้น ตัวอย่างของ TSE ที่ผมเล่ามานี้ทางผู้บริหารตลาดเองก็ได้ทำการ survey ก่อนตัดสินใจ ผลการสำรวจปรากฏว่า 70% ของผู้ได้รับการ survey ไม่เห็นด้วยครับ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ามันจะเป็น trend ของโลกนี้แล้วกระมังที่ทุกอย่างถูกเร่งรีบ (แม้เวลาจะกิน) และ “extremely efficient” เพราะตลาดหลักทรัพย์ของสิงคโปร์ก็กำลังพิจารณาเพิ่มชั่วโมงซื้อ / ขาย จาก 6 ชั่วโมงครึ่งในปัจจุบันไปเป็น 8 ชั่วโมง โดยการยกเลิก Lunch time ไม่ต้องกินมันแล้วอาหารกลางวัน

    ตัวอย่างในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีลักษณะการซื้อ / ขายสินค้าในลักษณะที่ตลาดเป็นคู่ค้าของทุกคน (Exchanged Traded) การที่มี Lunch time หมายถึงการไม่มีราคาซื้อ / ขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาดังกล่าว การเพิ่มเวลาด้วยการลด Lunch time ลงก็หมายความว่าปริมาณการซื้อ / ขายก็คงจะเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย ซึ่งแตกต่างจากตลาดอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งไม่มีตลาดกลางเป็นคู่ค้า ทุกคนต่างเป็น counterparty ซึ่งกันและกัน (Over the Counter : OTC)

    เพราะฉะนั้น แม้จะมี Lunch time ในระหว่างเวลานั้น ก็ยังคงสามารถหาราคาของอัตราแลกเปลี่ยนได้ แต่อาจจะไม่ค่อยมีสภาพคล่องเท่าไรนัก เพราะบรรดา trader และผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย / แปซิฟิก (โตเกียว, ฮ่องกง, สิงคโปร์ เป็นหลัก) ออกไปกินข้าวกัน ผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับ Lunch time ที่คงต้องจำไปนานเกี่ยวกับเรื่อง Lunch time นี้มาเล่าให้ฟังในช่วงปี 1991-1994 ผมทำงานอยู่ที่ธนาคาร CitiBank ในกรุงเทพ ในช่วง Lunch time ของตลาดโตเกียว ซึ่งโดยปกติจะไม่มีใคร Quote ราคาอัตราแลกเปลี่ยนให้กัน

    ด้วยเหตุผลที่เล่าไปเมื่อสักครู่ มีอยู่วันหนึ่งกำลังคุยเล่นๆ อยู่กับเพื่อนที่นั่งอยู่ติดกัน ก็มีคนสังเกตว่าราคาของเงินดอลลาร์ เมื่อเทียบกับมาร์คเยอรมันมันดูแปลกๆ บนหน้าจอ Reuter ในตอนแรกก็ยังไม่ตื่นตัวผมยังเย้าเพื่อนไปเลยว่าสงสัย maid ที่แบงก์แห่งหนึ่งฉวยโอกาส trader ไม่อยู่เข้ามา "เล่น" screen ด้วยการ update ราคาบนจอ พอสักเวลาหนึ่งประมาณ 1-2 นาที พวกเราเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของราคา จึงเข้าประจำที่ และสอบถามไปที่เพื่อนเราที่สิงคโปร์ปรากฏว่าราคาที่ดูแปลกๆ ที่จริงมันไม่แปลก เงินมาร์คอ่อนตัวไปจริงๆ และในขนาดที่มาก ด้วยเหตุผลที่ว่าประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต มิคาอิล กอร์บาชอร์ฟ โดนจับตัวเหตุการณ์หลังจากนั้นก็วุ่นวายและสับสนมาก ในแบบภาษาฝรั่งที่ว่า All the Hells break loose นั่นแหละ

    กลับมาที่ตลาดหลักทรัพย์ ผมคิดว่าพัฒนาการ ของตลาดมีความเป็นไปในลักษณะที่รวดเร็วมาก ผมคงไม่มีสติกำลังไปแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ได้เท่าไหร่นัก แต่ผมก็อยากเห็นตลาดของเรามีขนาดที่ใหญ่ขึ้น มีขาใหญ่น้อยลง (ซึ่งจะทำให้แมลงเม่าน้อยลงด้วย) และมีพลังเพียงพอที่จะไม่โดน "marginalize" โดยตลาดอื่นๆ ครับ
    Lunch Time -
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    บริหารเงินลงทุนให้มั่งคั่ง '4 เซียน' ถ่ายทอดประสบการณ์

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 8 พฤศจิกายน 2553 01:00
    4 เซียนเปิดเคล็ดลับบริหารเงินสำหรับ 'ผู้บริหาร' วางแผนลงทุนปี 2554 อย่างไร? ได้รับผลตอบแทนเกิน 10% ขึ้นไป 'ทองคำ-ตลาดหุ้น' ยังเป็นดาวเด่น
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101209/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ในปี 2554 ดอกเบี้ยยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ราคาทองคำจะทรงตัวในระดับสูงแต่ผันผวน ราคาน้ำมันมีทิศทางขาขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังมีแนวโน้มอ่อนตัวในลักษณะ Sideway Down ค่าเงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าขึ้น สภาพคล่องทั่วโลกยังทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่การลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภทจะมีความผันผวนมากกว่าในปีนี้
    นี่คือ "บทสรุป" ของผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่มองว่าการจัดพอร์ตลงทุนในปี 2554 จะต้องให้สอดคล้องและวางแผนรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ไว้ให้ดี
    นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการห้างทองแม่ทองสุกและเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ เล่าถึงเคล็ดลับการบริหารเงินลงทุนส่วนตัวให้ฟังว่า 95% จะนำไปลงทุนใน "ทองคำ" ส่วนใหญ่จะได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในลักษณะอื่นๆ คาดว่าปี 2553 อาจได้รับผลตอบแทนสูงกว่า 20% ขณะที่ในปี 2552 ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 25%
    ในปี 2554 หมอกฤชรัตน์ บอกว่า ทองคำยิ่งน่าสนใจ เพราะราคามีโอกาสขึ้นไปแตะ 20,000-22,000 บาท เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ระดับ 18,000-19,000 บาท เพราะตอนนี้นักลงทุน (ทั่วโลก) นิยมลงทุนในทองคำ เห็นได้จากในปีนี้ที่ราคาทองคำแกว่งตัว 20% มา 3 รอบแล้ว แถมมีแนวโน้มจะแกว่งตัวต่อเนื่องอีกด้วย
    คำแนะนำของเซียนทองคำรายนี้ ควรแบ่งเงินมาลงทุนในทองคำแท่งประมาณ 80% ส่วนอีก 20% ให้ลงทุนใน Gold Futures "เชื่อผมเถอะครับ! หากรีบลงทุนในตอนนี้ ปีหน้าพวกคุณจะได้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 15% ดีกว่านำเงินไปลงทุนอย่างอื่น"
    ส่วนตัวเชื่อว่าราคาทองคำในช่วงไตรมาส 2 ปี 2554 จะขึ้นไปแตะ 22,000 บาท เพราะทั่วโลกจะเริ่มเห็นภาพชัดเจนแล้วว่า การที่สหรัฐอเมริกาใส่เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) รอบสองจะช่วยให้ภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นหรือไม่...ถามว่ามีปัจจัยใดที่จะทำให้ราคาทองคำ "ไม่ขึ้น" หลักๆ มี 3 ปัจจัย คือ 1.ตัวเลขการว่างงานของสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ 2. ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวอย่างชัดเจน และ 3. ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
    หมอกฤชรัตน์ เล่าต่อว่า นอกจากลงทุนในทองคำแล้ว ยังแบ่งเงินประมาณ 5% มาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่จะซื้อที่ดิน ตอนนี้ก็มีอยู่ราวๆ 200 ไร่ ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล สะสมมานาน 3-5 ปีแล้ว
    "ผมตั้งใจว่า เมื่อใดที่ราคาทองคำตกต่ำจะแบ่งที่ดินออกมา 10-15% ของมูลค่าพอร์ต นำมาสร้างคอนโดมิเนียมขาย ราคาประมาณ 1-1.5 ล้านบาท เหตุผลที่สนใจทำคอนโดมิเนียม เพราะเมื่อ 18 ปีก่อน เคยร่วมหุ้นกับเพื่อนทำอสังหาริมทรัพย์ที่มหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 70 ไร่ ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร"
    ถามว่าไม่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นบ้างหรือ! จริงๆ ก็ชอบแต่เห็นว่าลงทุนแล้วไม่ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า "ผมเคยเล่นหุ้นเมื่อปี 2540 ตอนนั้นฟองสบู่แตก ลงทุนแล้วไม่รุ่งก็เลยเข็ด" ยิ่งตอนนี้ตลาดหุ้นเล่นยากมากขึ้น เพราะมีแต่หุ้นอินไซด์ หุ้นพื้นฐานดีๆ ราคาถูกแทบหาไม่เจอ ที่สำคัญจะลงทุนแต่ละตัวก็ต้องศึกษาข้อมูลรอบด้าน
    "ผมเคย (เจ็บ) มาแล้ว ฉะนั้นเล่นทองคำดีกว่าง่ายกว่ากันเยอะ" หมอกฤชรัตน์ เล่าให้ฟัง
    วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์วิจัยกสิกรไทย และนายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย เล่าถึงเคล็ดลับการบริหารเงินให้ฟังว่า หากสิ้นปี 2553 นักลงทุนรายใดต้องการได้รับผลตอบแทน 10-15% ให้จัดพอร์ตการลงทุนแบบ Aggressive (เชิงรุก) ซึ่งตัวเองก็จัดพอร์ตเช่นนี้เหมือนกัน
    วิธีการก็คือ แบ่งเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น 30% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 15-20% ที่เหลือก็ลงในทองคำ น้ำมัน และตราสารพันธบัตร เหตุผลที่เชียร์ลงทุนในตลาดหุ้นค่อนข้างมาก เพราะเชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 15-20% เนื่องจากเชื่อว่า SET Index ปี 2554 จะยืนระดับ 1,040 จุด
    "ปีหน้าให้หันมาลงทุนในโภคภัณฑ์มากขึ้น เพราะราคาข้าวโพด ข้าวสาลี และน้ำตาล มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 20% และคาดว่าจะเติบโตประมาณ 15-20% ต่อไปอีก 1 ปีข้างหน้า"
    “พี่ก้อย” วิวรรณ บอกว่า หากนักลงทุนรายใดยอมรับความเสี่ยงได้น้อยให้จัดพอร์ตแบบอนุรักษนิยม ลงทุนในหุ้น 10% พันธบัตร 50% ตลาดเงิน/เงินสด 25% อสังหาริมทรัพย์ 10% ทองคำ 5% การลงทุนในลักษณะนี้เชื่อว่าผลตอบแทนสูงสุดจะอยู่ในส่วนของตลาดหุ้นประมาณ 15% รองลงมาเป็นพันธบัตร 4% ตลาดเงิน/เงินสด 1% และอสังหาริมทรัพย์ 6% ทองคำ 10%
    สำหรับนักลงทุนที่พอรับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่งให้จัดพอร์ตแบบปานกลาง ลงทุนหุ้น 20% พันธบัตร 32% ตลาดเงิน/เงินสด 20% อสังหาริมทรัพย์ 20% ทองคำ 5% และหุ้นต่างประเทศ 3% การลงทุนในลักษณะนี้จะให้ผลตอบแทนในส่วนของตลาดหุ้นประมาณ 15% พันธบัตร 4% ตลาดเงิน/เงินสด 1% อสังหาริมทรัพย์ 6% ทองคำ 10% หุ้นต่างประเทศ 15%
    อุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย เล่าให้ฟังว่าส่วนตัวจะจัดพอร์ตลงทุนแบบ Aggressive (เชิงรุก) เพราะเป็นคนยอมรับความเสี่ยงได้สูง โดยจะแบ่งการลงทุนออกเป็น 3 กลุ่ม 30-40% จะลงทุนในตลาดหุ้น 30% ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่เหลือจะลงในทองคำและเครื่องประดับ ที่ผ่านมาได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ
    การลงทุนในแบบ Aggressive ส่วนใหญ่จะได้รับผลตอบแทนจากตลาดหุ้นประมาณ 15% อสังหาริมทรัพย์ราวๆ 6% และทองคำเฉลี่ย 15% ส่วนตัวมองว่า ช่วงนี้ไม่เหมาะที่จะลงทุนในพันธบัตร เพราะผลตอบแทนต่ำมาก (ลากเสียงยาว) ปีหน้าก็ไม่ควรลงทุนเช่นกัน
    ถามว่าหากปีหน้า SET Index ทะลุ 1,100 จุด ควรจัดพอร์ตการลงทุนแบบใด เธอบอกว่า 50% ลงทุนในตลาดหุ้น 25-30% ลงในอสังหาริมทรัพย์ ที่เหลือลงในทองคำ เหตุผลที่เชียร์ลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าเดิม เพราะเชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 40%
    กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย เล่าเคล็ดลับการบริหารเงินสั้นๆ ว่า ส่วนตัวจะทุ่มเงินทั้ง 100% ซื้อหุ้นล้วนๆ แต่จะลงทุนแบบ Dollar Cost Average คือลงทุนหุ้นทุกเดือน หรือทุกไตรมาสในระยะยาว การลงทุนลักษณะนี้จะทำให้นักลงทุนชนะตลาดเสมอ เพราะเราจะไม่ให้ความสำคัญกับราคาหุ้น สาเหตุที่แนะนำกลยุทธ์นี้ เป็นเพราะส่วนตัวประสบความสำเร็จมาแล้ว เล่นวิธีนี้มานานกว่า 10 ปี ได้กำไรเกือบทุกครั้ง
    ถามว่าแนะนำการลงทุนในปี 2554 อย่างไร กวี บอกว่า หากดัชนีขึ้นไปเหนือระดับ 1,000 จุด ให้นักลงทุนรีบขายหุ้นออกแล้วให้กลับไปซื้อใหม่ตอน 800-850 จุด เน้นหุ้นพลังงาน ปิโตรเคมี โรงกลั่น ธนาคาร โรงพยาบาล ประกัน และหุ้นตัวเล็กๆ รับรองได้กำไรจากการลงทุนคุ้มค่าแน่นอน
    "หุ้น BANPU และหุ้น PTTCH น่าจะเป็นดาวเด่นในปีหน้า เพราะกำไรคงขยายตัวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ PTTCH มีโอกาสเติบโตได้ 100% ส่วนหุ้นกลุ่มเกษตร อสังหาริมทรัพย์ และอิเล็กทรอนิกส์ ปีหน้าไม่ค่อยน่าลงทุนแล้ว"
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    'หัวกะทิ' กบข. บริหารพอร์ต 4.85 แสนล้านบาท

    โดย : ชาลินี กุลแพทย์, ตะวัน สุรัติเจริญสุข
    [​IMG]

    ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ ผู้อำนวยการฝ่ายลงทุนต่างประเทศและบริหารผู้จัดการกองทุน อธิบายหลักการวิเคราะห์การลงทุนให้ฟังว่า กบข.จะวิเคราะห์เหมือน "ขนมชั้น" ในลักษณะ Top-Down (จากบนลงล่าง) มีการกลั่นกรองกันเป็นชั้นๆ ในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบก็ต้องเอาชนะดัชนี MSCI World ให้ได้ที่ผ่านมาบางปีก็ชนะ บางปีก็ยอมรับว่า "แพ้"
    "ทุกวันก่อนกลับบ้านผมต้องดูว่าดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดเท่าไร พอกลับบ้านตอนดึกๆ ก็ต้องเปิดดูอีกรอบว่าตลาดต่างประเทศวันนี้เป็นอย่างไร" ดร.เอ็ด เล่าภารกิจประจำวันให้ฟังในฐานะ "หัวหน้าทีม" ลงทุนต่างประเทศ
    ถามถึงทิศทางการลงทุนในปี 2554 เลขาธิการ กบข. มองว่า การที่สหรัฐอเมริกาใช้มาตรการ Quantitative Easing 2 (QE2) อัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจอีก 6 แสนล้านดอลลาร์ เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะดีขึ้นแต่คงยังไม่กลับมาปกติ เฟด (ธนาคารกลางสหรัฐ) น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปเพราะตั้งใจจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อน จะทำให้ยังมีเงินทุนย้ายจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปมาเอเชีย ทำให้ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
    ดร.จักรพันธ์ ให้ข้อมูลว่า ปีนี้ กบข.มองจีดีพีจะโต 7.9% ปี 2554 คาดว่าจีดีพีจะโตลดลงเหลือ 4-4.5% กบข.มอง SET Index สิ้นปี 2553 อยู่ประมาณ 1,000 จุดต้นๆ และในปี 2554 มองที่ประมาณ 1,060 จุด ปีหน้ายังมองตลาดหุ้นเป็น "ขาขึ้น" แต่จะสโลว์กว่าปีนี้ กบข.มองว่าในปีหน้าค่าเงินดอลลาร์จะอยู่ระดับ 28.5-29 บาทต่อดอลลาร์
    "ถ้ามองภาพรวมปีหน้าคงไม่เปลี่ยนจากปีนี้มาก สหรัฐอเมริกาและยุโรป Growth ยังต่ำกว่าเอเชีย เพียงแต่ว่าเอเชียอาจจะสโลว์ดาวน์ลงบ้าง เพราะจีนอัตราเงินเฟ้อเขาออกมาสูงกว่าที่คาด นักลงทุนก็กังวลว่าจีนจะมีมาตรการออกมาควบคุมเงินเฟ้อ แต่ภาพระยะกลางยังไงเงินทุนไหลเข้าก็ต้องมาเอเชียอยู่ดี" ดอกเตอร์หนุ่มวิเคราะห์
    ขณะที่ โสภาวดี เสริมว่า ปีหน้า กบข.มองหุ้นยังเป็น "ขาขึ้น" แต่จะไม่ขึ้นไปตลอดและไม่ขึ้นมากเหมือนปีนี้ เพราะว่า "มันขึ้นมาเยอะแล้ว" แต่ต้องยอมรับว่ายังมีฟันด์โฟลว์ ที่จะไหลเข้ามายังเป็นปัจจัยบวกอยู่ จริงๆ นักลงทุนต่างชาติได้กำไร (มาก) ระดับหนึ่งแล้วถ้ามีมาตรการอะไรออกมา หรือมีข่าวลบก็อาจจะทำให้หุ้นมีความผันผวนได้มาก
    ในฐานะผู้บริหารกองทุน ดร.ตรีพล มองว่า ปีหน้าการเลือกหุ้นที่ดีจะเป็นตัวที่สำคัญมากว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีหรือไม่ กบข.มองหุ้นทั่วโลกจะเป็น Sideway Up มีขึ้น-มีลงสลับกันจะไม่ขึ้นตลอด ผิดกับช่วง 1-2 ปีนี้ (2552-2553) ลงทุนตัวไหนก็ได้กำไรหมด แต่ปี 2554 "จะไม่ใช่" ลงทุนผิดตัวมีโอกาสขาดทุนได้
    "สังเกตดูสิช่วงแรกหุ้นขึ้นหมดทั้งกระดาน แต่พอฟันด์โฟลว์ต่างประเทศไหลเข้าหุ้นที่ขึ้นจะมีเฉพาะ "บิ๊กแคป" ปีหน้าถ้าหุ้นยังไม่ปรับตัวลงมามาก ต้องเฟ้นกันมาก สำหรับหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเต็มมูลค่าแล้ว กบข.ได้ทยอยขายทำกำไรออกไปบางส่วนแล้ว เราย้ายเงินไปลงทุนในหุ้นที่ราคายังไม่สะท้อนผลการดำเนินงาน" เลขาธิการ กบข. เสริมขึ้น
    พร้อมทั้งระบุว่า กบข.เตรียมปรับสัดส่วนการลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของตลาดหุ้นสหรัฐ และยุโรป จะทยอยปรับลดสัดส่วนการลงทุน โดยจะไปเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศเกิดใหม่มากขึ้น นอกจากนี้ในปี 2554 กบข.ยังสนใจลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันดิบ ทองแดง และดีบุก
    ดร.แมน อธิบายว่า กบข.ไม่ได้ลงทุนเฉพาะหุ้นแต่ในพอร์ตมีการกระจายไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ขนาดพอร์ตในปัจจุบัน 485,904 ล้านบาท การกระจายไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ กบข.ประเมินว่าสามารถลดความเสี่ยงลงได้ 30-40% เพราะสินทรัพย์แต่ละประเภทมีวัฏจักรขึ้นลงไม่พร้อมกัน
    ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้น ดร.แมน มองว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลการเทรดรายวันเห็นชัดว่าตลาดแกว่งตัวค่อนข้างผันผวน "ขึ้นมาก-ลงมาก" กว่าเดือนก่อน (ตุลาคม) เยอะ นี่ก็เป็นดัชนีตัวหนึ่งที่ กบข.ใช้มอนิเตอร์ตลาด เพราะฉะนั้นที่ผ่านมา กบข.ก็อาจจะมีการขายหุ้นทำกำไรออกไปบ้างเหมือนกัน
    อย่างไรก็ตาม ในมุมมองการลงทุนของ กบข.ก็ไม่ได้เป็นลบต่อตลาดหุ้น ดร.ตรีพล บอกว่า ขณะนี้เงินจากทั่วโลกมีค่อนข้างเยอะ ระยะกลางถึงยาวตลาดหุ้นเอเชียยังน่าสนใจ ส่วนละตินอเมริกาและรัสเซียก็น่าสนใจเช่นกันเพราะเขามีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติค่อนข้างมาก
    เวลามีเงินท่วมตลาด ดร.ตรีพล เล่าย้อนประวัติศาสตร์กลับไปดูช่วงประมาณปี 2004 (ปี 2547) ช่วงนั้นก็มีเงินท่วมตลาดเหมือนตอนนี้ หลังฟองสบู่ดอทคอมแตกเฟดก็ใช้นโยบายการเงินกด "ดอกเบี้ยต่ำ" ผ่านจากนั้น 1-2 ปีคนก็ไม่รู้จะเอาเงินไปลงทุนอะไรก็เริ่มทยอย (กล้า) เข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นเพราะฉะนั้นในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า (2554-2555) เงินก็ยังน่าจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย และตลาดเกิดใหม่อยู่
    ผู้อำนวยการฝ่ายลงทุนต่างประเทศ กบข. ให้จับตาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่เป็นตัวสนับสนุนการผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่จะมีราคาปรับตัวสูงขึ้น และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ กบข.สนใจกระจายเงินลงทุนไปลงทุนใน "สินค้าโภคภัณฑ์"
    ด้านปัจจัยความเสี่ยงทางการเมือง เลขาธิการ กบข. มองว่า ไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรรุนแรงเท่ากับเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา วันนี้คนไทยน่าจะเรียนรู้บทเรียนนั้นแล้ว ส่วนที่รัฐบาลจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่ (คาดว่าช่วงต้นปี 2554) ก็เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย วันนี้ต้องยอมรับว่าปัจจัยการเมืองส่งผลกระทบต่อการลงทุนน้อยลงกว่าในอดีต
    "สิ่งที่พี่คิดว่าน่ากลัวที่สุดในแง่ของเศรษฐกิจและการลงทุน คือเรื่องของการ "ก่อการร้าย" มากกว่า" โสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการ กบข. กล่าวปิดท้าย

    ๐ ในทุก 7 ปี กบข.มีโอกาส 'ติดลบ' 1 ครั้ง
    โสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการคณะกรรมการ กบข. บอกว่า เป้าหมายการลงทุนของ กบข.คือต้องเอาชนะ "เงินเฟ้อ" ซึ่งผลตอบแทนย้อนหลังสุทธิเฉลี่ยตั้งแต่ตั้งกองทุนเมื่อเดือนมีนาคม 2540 ถึงเดือนตุลาคม 2553 ได้ผลตอบแทนปีละ 7.27% และในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ต.ค.2553) ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน 7.47%
    ทว่าตามสถิติทุกๆ ใน 7-10 ปี กบข.มีโอกาสสร้างผลตอบแทน "ติดลบ" ซึ่งมันเกิดขึ้นได้
    ดร.แมน ชุติชูเดช ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารความเสี่ยงการลงทุน กล่าวเสริมว่า ในรอบ 7 ปี กบข.มีโอกาสสร้างผลตอบแทน "ติดลบ" ได้ 1 ครั้ง หน้าที่ของเราคือการ "สร้างสมดุล" ของ Risk Return ระหว่างระยะสั้นและระยะยาว ตรงนี้สมาชิก กบข.ไม่ค่อยเข้าใจซึ่งระยะสั้นผลตอบแทนมีโอกาสแกว่งตัวติดลบได้ แต่สุดท้ายแล้วเป้าหมายคือ "ชนะเงินเฟ้อในระยะยาว"
    จริงๆ แล้วเป้าหมายของ กบข.ไม่ใช่แค่ชนะเงินเฟ้อ แต่เราตั้งโจทย์ยากขึ้นอีกนิดคือเอาชนะ "เงินเฟ้อ+ค่าเงิน" อาจจะบวกเพิ่มจากเงินเฟ้อไปอีก 2%
    ในแง่ของการบริหารพอร์ตถ้าเราจะชนะ "เงินเฟ้อ+ค่าเงิน" ได้ ก็ต้องเพิ่มการลงทุนใน "หุ้น" ซึ่งมีความสามารถในการเอาชนะเงินเฟ้อได้ดีที่สุด แต่สมาชิกก็อาจจะกลัวตรงนี้ ฝ่ายลงทุนจึงต้องสร้างสมดุลของการลงทุนที่เฉลี่ยระดับความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภท แต่ถึงอย่างไรก็ตามตามสถิติในทุกๆ 7 ปี มันมีโอกาสที่จะติดลบได้
    "ในปี 2550 ถึงผลตอบแทนเราจะติดลบก็ยังลบน้อยกว่าตลาดที่หุ้นลงมาถึง 50% ปีนั้นเราติดลบ 5% ต้องถือว่าเราชนะตลาดนะแต่ว่าไม่มีใครเข้าใจ เราอยากจะบอกสมาชิกว่าถ้าตอนเกษียณแล้วอยากได้ผลตอบแทนเยอะๆ มันต้องกล้าเสี่ยง เพราะในระยะยาวผลศึกษาระบุว่าลงทุนหุ้นเท่านั้นที่จะชนะเงินเฟ้อได้" โสภาวดี กล่าวเสริม

    กบข.เปิดให้สมาชิกเลือกแผนการลงทุนได้ 4 แนวทาง
    เป็นครั้งแรกของสมาชิก กบข. 1,156,492 ราย ที่สามารถเลือกแผนการลงทุนที่ลงตัวกับจังหวะชีวิตได้แล้ว 4 ทางเลือก ในโครงการ "My Choice..My Chance" เพิ่งเริ่มในเดือนกรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมา
    1.แผนผสมหุ้นทวี ลงทุนตราสารทุน (หุ้น) 35% ตราสารหนี้ 57.5% และอสังหาริมทรัพย์ 7.5% เหมาะกับสมาชิกที่มีอายุน้อย มีระยะเวลาการออมนาน
    2.แผนหลัก ลงทุนตราสารทุน (หุ้น) 22% ตราสารหนี้ 70.5% และอสังหาริมทรัพย์ 7.5% เหมาะสำหรับสมาชิกที่มีระยะเวลาในการลงทุนที่นานพอสมควร และยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง
    3.แผนตราสารหนี้ ลงทุนตราสารหนี้ (สั้น-ยาว) 100% เน้นเสี่ยงน้อย ค่อยๆ ออม มีโอกาสได้รับผลตอบแทนและความเสี่ยงในระดับจำกัด
    4.แผนตลาดเงิน ลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 100% มีความเสี่ยงต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับแผนการลงทุนอื่นทุกแผน แต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนต่ำสุดเช่นกัน
    ดร.แมน ชุติชูเดช ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารความเสี่ยงการลงทุน แนะนำว่า ถ้าสมาชิกใกล้เกษียณมีอายุประมาณ 55 ปีขึ้นไป ก็อาจจะเลือก "แผนตลาดเงิน" เน้นความปลอดภัยของเงินต้นไว้ก่อน แต่ถ้าเป็นช่วง "วัยกลางคน" 40-50 ปี ก็อาจจะเลือก "แผนหลัก" (ลงทุนหุ้น 22%) แต่ถ้าอายุน้อยช่วง 20-40 ปี ควรจะเลือก "แผนผสมหุ้นทวี" (ลงทุนหุ้น 35%) เพราะยังเหลืออายุราชการอีกนาน
    โสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการคณะกรรมการ กบข กล่าวเสริมว่า ในระยะยาวการลงทนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนดีที่สุด อาจจะเสี่ยงมากหน่อยในระยะสั้นแต่ระยะยาวพิสูจน์แล้วว่าแทบไม่เสี่ยง ปัจจุบันสมาชิก กบข.ประมาณ 95% อยู่ใน "แผนหลัก" (ลงทุนหุ้น 22%) ถ้าไม่เลือกเองก็จะถูกให้อยู่ใน "แผนหลัก" ทั้งหมด


    <!-- Begin Media Content --><SCRIPT type=text/javascript>$(function() {$('#media-content').tabs();});</SCRIPT><!-- Tags Keyword -->
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หุ้น 'เดินเรือ' ซึมนาน-คลานเป็นเต่า

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 02:00
    เศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวและไร้วี่แววปัจจัยบวกใหม่ๆ ทำให้นักวิเคราะห์เกือบทุกค่ายมองภาพรวมหุ้นกลุ่มเดินเรืออยู่ในกลุ่มUnder Perform ตลาด
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101209/show_ads_impl.js"></SCRIPT>อาจต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรกว่าที่จะกลับมาเป็นขาขึ้นเต็มตัวอีกครั้ง
    “ธุรกิจชิปปิ้งตอนนี้มันยังไม่ถึงจุด Bottom (ต่ำสุด) เลยด้วยซ้ำ” ม.ล.จันทรจุฑา จันทรทัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ เปรยออกมาด้วยเสียงที่มีน้ำหนัก
    เขาบอกว่า ลูกค้าที่อยู่ในพอร์ตตอนนี้มีอยู่ทั่วโลกตั้งแต่สหรัฐอเมริกา ยุโรป เอเชีย ขณะนี้เศรษฐกิจที่สหรัฐอเมริกากับยุโรปยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่จีนและอินเดียเห็นการขยายตัวชัดเจน คาดว่าอาจต้องใช้เวลาอีก 3 ปีที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรปจะฟื้นตัว ปีสองปีนี้ยังไม่ดี
    สิ่งที่กังวลมากที่สุด หม่อมไอซ์ บอกว่าคือปรากฏการณ์ที่กองเรือทั่วโลกจะอยู่ในภาวะ “โอเวอร์ซัพพลาย” ทำให้ดัชนีค่าระวางเรือ (BDI) ปี 2554 จะลดลงต่ำกว่าปี 2553 ประมาณ 10-15% และปี 2555 ยังน่าจะลดลงอีก 10% ถามว่ามีโอกาสจะได้เห็นช่วงพีคเต็มที่เหมือนเมื่อ 3 ปีที่แล้วอีกหรือไม่ เขาตอบห้วนๆ ว่า คงอีกสัก 10-15 ปีอาจจะได้เห็นกันอีกรอบ
    ถามถึงความเคลื่อนไหวของหุ้น TTA เขายอมรับว่า ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็น้อยลงไปตามภาวะอุตสาหกรรม คงจะไม่เห็นราคาหุ้นขึ้นชาร์ทปริมาณซื้อขายเยอะๆ เหมือนอดีต ส่วนตัวเสียดายว่าตลาดหุ้นไทยไม่มีหมวดหุ้นกลุ่มโฮลดิ้ง คอมปะนี ทำให้ TTA ขาดโอกาสได้รับความสนใจไปเพราะไปอยู่ในหมวดเดินเรือซึ่งอยู่ในช่วง "ขาลง" ทั้งที่มีธุรกิจวิศวกรรมใต้น้ำกับพลังงานมาเสริม แต่ภาพรวมแล้วหุ้นของบริษัทยังน่าจะ Out Perform เมื่อเทียบกับเพื่อนในอุตสาหกรรมเดียวกัน (เช่น PSL, RCL)
    “ตอนนี้ธุรกิจเดินเรือทั้งสามกลุ่มแย่เหมือนกันหมด แต่เรือเทกองแห้งของเรายังถือว่าแย่น้อยกว่าใครเพื่อนนะ” เขาตอบอย่างมีนัยแอบแฝง
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    “อริยา ติรณะประกิจ” ลงทุนตราสารหนี้...เพราะไม่ถูกโฉลกกับหุ้น

    โดย : สรวิศ อิ่มบำรุง
    ตอนนี้พยายามบอกตัวเองว่าอย่าไปอ่อนไหวกับความผันผวนในระหว่างทางที่ลงทุน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นแมงเม่าตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101209/show_ads_impl.js"></SCRIPT>“ไม่มีคำว่าสายเกินไป สำหรับการเริ่มต้นใหม่ในสิ่งที่ถูกต้อง” คำกล่าวนี้คงไม่ต่างอะไรกับเส้นทางสายการลงทุนของ “อริยา ติรณะประกิจ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ที่หลังจากมั่นใจว่า “หุ้น” ไม่น่าจะใช่การลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง เธอก็ขยับมาหา “ตราสารหนี้” ที่ใช่ พร้อมปรับเปลี่ยนสไตล์การลงทุนในหุ้นที่เหลืออยู่ ให้เหมาะกับบุคลิกของตัวเองไปด้วยในตัว
    อริยา บอกว่า ปกติเป็นคนอนุรักษนิยมไม่ค่อยชอบความเสี่ยงเท่าไรนักบุคลิกค่อนข้างจะเหมาะกับการลงทุนในตราสารหนี้มากกว่า ซึ่งปัจจุบันพอร์ต การลงทุนประมาณ 70 - 75% ก็จะลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก โดยมีหุ้นประมาณ 20% และทองคำอีกประมาณ 5 - 10% แต่ถ้าย้อนไปช่วงที่อายุน้อยๆ ช่วงที่เริ่มต้นทำงาน ก็จะมีการลงทุนในหุ้นมากหน่อยประมาณ 50% แต่ช่วงนั้นเงินลงทุนก็น้อยด้วยเช่นกัน โดยคาดหวังกำไรจากหุ้นสมัยที่ใครๆ ก็เล่นหุ้นกัน จนมาเจอวิกฤติต้มยำกุ้งปี 40 ทุกคนเจ็บตัวหมด รู้สึกเหมือนดวงตัวเองไม่ค่อยถูกกับหุ้น เวลาซื้อหุ้นตัวไหนก็มักจะลง เวลาขายหุ้นตัวไหนก็มักจะขึ้น
    ในอดีตก็เคยมีประสบการณ์กับหุ้นมีข่าวเช่นกัน เคยเล่นหุ้นตามข่าว ผลปรากฏว่าขาดทุนมากกว่ากำไรเรียกว่าเหนื่อยฟรี หากจะลงทุนตามข่าว เพราะขาดทุนมากกว่ากำไร เพราะการจับจังหวะตลาด (Market Timing) ก็ไม่ดี แล้วตัดสินใจในบางครั้งก็ตามอารมณ์ตลาดมากไปหน่อย ทำให้ผลตอบแทนโดยภาพรวมเมื่อคำนวณออกมาไม่ค่อยดีนัก คิดว่าตัวเองอยู่เฉยๆ ไม่ลงทุนในหุ้นแล้วลงทุนในตราสารหนี้ยังได้ผลตอบแทนมากกว่าอีก จึงเริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นเท่าไรนัก
    เดิมเคยคิดว่าจะเซ็ทกำไรไว้ทุก 15% จะขาย แต่จริงๆ แล้วทำไม่ได้ อาจเพราะตัวเองไม่มีวินัยพอก็ได้ เวลาเห็นราคาหุ้นขึ้นก็อยากจะได้อีกเป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกคน แล้วนี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราลงทุนในหุ้นด้วยตัวเองแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ เพราะสุดท้ายก็โลภมากอยากจะได้เพิ่มเรื่อยๆ ก็ปล่อยต่อไปเรื่อยๆ เลยใช้ไม่ได้ผล สุดท้ายจึงเปลี่ยนสไตล์การลงทุนโดยลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงมาจนเหลือประมาณ 20% ในนี้รวมกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) อยู่ด้วย
    “แม้ปัจจุบันจะพยายามมองภาพการลงทุนระยะยาวมากขึ้น ในระหว่างทางราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงก็ปล่อยไปถือว่าลงทุนเอาปันผลในระยะยาว แต่ต้องยอมรับว่าเวลาเจอหุ้นตกหนักๆ เราก็อดตื่นตระหนก (Panic) ไม่ได้อยู่ดี อย่างวิกฤติการเงินครั้งล่าสุด เวลาที่เจอหุ้นลงเยอะๆ เราก็ขายลดความเสี่ยงไปด้วยส่วนหนึ่งซึ่งแน่นอนก็ทำให้ขาดทุนไปพอสมควร ในกองทุนหุ้นที่ไปลงทุนต่างประเทศ (FIF) เองก็ตัดใจขาย ขอขาดทุน 50% ดีกว่าไม่เหลืออะไร และจนปัจจุบันก็ยังไม่กลับไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศอีกเลย”
    อริยา ยังบอกอีกว่า ปัจจุบันตราสารหนี้ที่ลงทุนส่วนใหญ่จะลงทุนผ่านกองทุนรวมโดยมีทั้งอายุสั้น-กลาง-ยาวผสมกันไป ประมาณ 60% เป็นพันธบัตรรัฐบาล แต่ก็มีหุ้นกู้ผสมเข้าไปด้วยเพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุน และมีการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศด้วยประมาณ 25% เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้หลากหลายมากขึ้น
    โดยเป้าหมายของการลงทุนในตอนนี้เป็นไปเพื่อดูแลเรื่องความเจ็บป่วยของตัวเองเป็นหลัก ในช่วงที่อายุยังน้อยเป็นคนที่ไม่ค่อยซื้อประกันคิดว่าตัวเองไปลงทุนเองน่าจะได้ผลตอบแทนมากกว่า แต่ตอนหลังๆ คิดว่าตัวเองอาจจะคิดผิดก็ได้ เพราะตอนอายุน้อยๆ ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องเจ็บป่วย แต่พออายุเริ่มมากขึ้นความเจ็บป่วยก็เริ่มมาหา โรคบางอย่างปัจจุบันก็ซื้อประกันไม่ทันแล้ว เพราะเขาไม่รับทำ โดยทางสมาคมตลาดตราสารหนี้ก็มีประกันสุขภาพให้พนักงานเช่นกัน แต่เราก็ต้องมองหาประกันสุขภาพส่วนตัวเพิ่มเติมด้วย เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลปัจจุบันค่อนข้างแพงและนี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลงทุนในตราสารหนี้ค่อนข้างมาก แม้ว่า
    ผลตอบแทนจะน้อยก็จริงแต่ได้แน่ๆ ไม่ต้องลุ้น เวลาที่เราเจ็บป่วยต้องการใช้เงินก็สามารถที่จะหมุนออกมาได้ทันที
    “สำหรับคนทำงานที่ไม่ค่อยมีเวลาในการติดตามการลงทุน คิดว่าการให้มืออาชีพบริหารก็มีข้อดี แต่ว่าเราเองก็ต้องทำใจยอมรับด้วยเหมือนกันว่า ผลตอบแทนของมืออาชีพมักจะเป็นไปตามภาวะตลาดเช่นเดียวกัน คือเมื่อตลาดลงก็ลงด้วย เมื่อตลาดขึ้นก็ขึ้นด้วย จึงแบ่งเงินประมาณ 50% ลงทุนเองแล้วอีก 50% ให้ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพบริหารให้แทน โดยจะมีการรีวิวการลงทุนของตัวเองปีละครั้ง จะมองภาพการลงทุนที่ยาวขึ้น ว่า จะซื้อหรือขายในเทอมของปีแล้ว ตอนนี้พยายามบอกตัวเองว่าอย่าไปอ่อนไหวกับความผันผวนในระหว่างทางที่ลงทุน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นแมงเม่าตัวหนึ่งเท่านั้นเอง”
    ส่วนตัวอริยาเองเลือกลงทุนใน บลจ. โดยดูจากจริยธรรมความน่าเชื่อถือของตัวผู้บริหาร ประกอบกับผลการดำเนินงานในอดีตด้วย เรียกว่าขอความสบายใจในการลงทุนจากจุดนี้ด้วยเช่นกัน
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "อาบพร รอดบุญ" พอเพียงไม่ใช่ประหยัด..แต่ใช้เงินอย่างเหมาะสม

    โดย : กาญจนา หงษ์ทอง
    <!-- Begin Media Content --><SCRIPT type=text/javascript>$(function() {$('#media-content').tabs();});</SCRIPT>ทุกวันนี้เราอาจจะเห็นผู้คนในปัจจุบันที่มักใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เกินตัวกันเยอะ
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101209/show_ads_impl.js"></SCRIPT>และบางคนนิยมซื้อของแบรนด์เนม มากเกินกำลังของตัวเอง จนเป็นหนี้เป็นสิน เหล่านี้เป็นค่านิยมที่ผิด
    ***

    "อาบพร รอดบุญ" ประธานบริหาร บริษัทพรีมา ไลฟ์ ไทม์ ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงระบบเครือข่าย เล่าถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ของเธอว่า เมื่อมีรายได้เข้ามาแล้วเธอมีวิธีจัดสรรเอาไว้ 3 ส่วนคือ ส่วนแรกคือเงินออมได้จัดสรรไว้แล้ว โดยลงทุนกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและมีผลตอบแทนสูงกว่าการฝากประจำ อีกส่วนหนึ่งเตรียมไว้สำหรับการใช้จ่ายเฉพาะที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ซื้อของเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพในการทำงานเท่านั้น ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย และไม่เที่ยวกลางคืน
    "ส่วนที่ 3 เป็นเงินที่จัดสรรไว้สำหรับการลงทุน แบบเงินต่อเงิน โดยเน้นการสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจ ไม่ตกเทรนด์ ซึ่งตอนนี้กำลังดำเนินธุรกิจทั้งแบบชั้นเดียว (ผู้ผลิตและส่งออก) และแบบหลายชั้น (ผู้ผลิตและทำการตลาดเครือข่าย) และยังเน้นการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรให้ทำงานมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ รวมถึงตอนนี้ได้ลงทุนซื้อสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ ของบริษัท พรีมา ไลฟ์ ไทม์ ซึ่งในขณะนี้บริษัทฯมีการขายตัวเพิ่มขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ในทุกๆ เดือน คาดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 1 แสนคนในต้นปีหน้า ถ้าพูดถึงภาพรวมก็ต้องบอกว่า บริษัทฯ มีโรงงานของตัวเอง ชื่อ WE LABS ซึ่งทำส่งออกถึง 90% ทำสัญญาขายส่งออกเป็นเงินบาท จึงไม่ต้องวิตกกับปัญหาค่าเงินบาทอ่อนตัว"
    เธอยังเล่าถึงการลงทุนต่ออีกว่า ปัจจุบันยังมีการลงทุนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในอพาร์ตเมนต์ให้เช่า ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่ารายได้เหมือนน้ำซึมบ่อทราย นอกจากนี้ยังซื้อเพชรเก็บเอาไว้ เวลาเลือกซื้อจะแบบต้องมีใบรับประกันเท่านั้น และยังมีการลงทุนในกองทุนรวม ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่มีผลตอบแทนสูงกว่าการฝากประจำ ขณะเดียวกัน ได้ซื้อประกันสุขภาพ ระยะยาว ยี่สิบปีขึ้นไป แต่ได้ผลตอบแทนคืนเป็นช่วงๆ ให้โอกาสลงทุนน้อยตอบแทนสูงเอาไว้ด้วย
    "ในส่วนของการลงทุนในอพาร์ตเมนต์ให้เช่านั้น ถ้าต้องกู้เพื่อมาทำทั้งหมดจะไม่คุ้มเลย แต่ถ้ามีที่ดินเองก็โอเค เพราะมันเป็นธุรกิจที่เหมือนน้ำซึมบ่อทราย แต่ว่าจะได้คืนประมาณ 10 ปีขึ้นไป สำหรับการลงทุนในทองคำ ต้องบอกว่าเป็นคนที่ไม่ลงทุนในทองคำ เพราะเวลาที่ราคาขึ้นลงต้องบอกว่าน่ากลัว ส่วนที่ลงทุนในเพชร ก็เลือกแบบมีใบรับประกัน จะราคาดีไม่มีตก ที่จริง เดี๋ยวนี้คนฮิตซื้อคอนโดปล่อยเช่าหรือปล่อยขาย แต่โดยส่วนตัวคิดว่าไม่คุ้มเลยถ้าไม่ได้มีเงินเย็นรอไว้ เพราะเป็นการลงทุนที่ใช้เงินสูงแต่ผลตอบแทนน้อยมาก ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะมีค่าซ่อมบำรุงจุกจิกอยู่ร่ำไป พอ 4-5 ปี ก็ต้องปรับปรุงซ่อมแซมใหม่อีก เสี่ยงเพราะไม่รู้แน่ว่าคนเช่าไปแล้ว ทำอะไรในสถานที่ไปทำอะไรผิดกฎหมายหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ชาวต่างชาติที่มาทำงานหรือพักอาศัย นิยมอยู่เป็นบ้าน มากกว่าคอนโด ถ้าซื้อขนาดเล็กไป คนก็ไม่เช่า ซื้อขนาดที่เขาอยากเช่า ก็ลงทุนสูงเกินไป ทุกวันนี้ก็คิดว่าลงทุนเยอะแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรที่อยากจะลงทุนเพิ่ม โดยรวมคิดว่าตัวเองเป็นนักลงทุนแบบกลางๆ ไม่เสี่ยงมากไปหรือน้อยไป เวลาลงทุนประเภทต้องมีคนที่น่าเชื่อถือช่วยดูให้ "
    อาบพรบอกว่า ทุกวันนี้เธอใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ซึ่งไม่ได้หมายถึงการประหยัด แต่เป็นการใช้ของทั้งในและนอกประเทศแบบเท่าที่เรามีกำลังหามาได้และเหมาะสมกับฐานะ ไม่ถึงกับต้องกู้ยืมคนอื่นมาเพื่อซื้อใช้
    "ทุกวันนี้เราอาจจะเห็นผู้คนในปัจจุบันที่มักใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เกินตัวกันเยอะ และบางคนนิยมซื้อของแบรนด์เนม มากเกินกำลังของตัวเอง จนเป็นหนี้เป็นสิน เหล่านี้เป็นค่านิยมที่ผิด การใช้ชีวิตแบบพอเพียงนั้น ถ้าต้องการใช้แบรนด์เนม ก็ใช้ของมือสองก็ได้ หรือซื้อของแบบไม่มีแบรนด์เนม แต่เหมาะสมกับฐานะ จะได้มีชีวิตที่ดีไม่เป็นหนี้สิน"
    เธอบอกว่า คนเราควรวางแผนการเงิน เพราะการวางแผนที่ดีและทำงานหนักในตอนนี้ จะสบายยามชราหรือยามที่ทำมาหากินไม่ได้ หากไม่วางแผน เอาไว้ เมื่อถึงคราวเจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือชรา จะลำบากมาก เพราะในชีวิตจริง เราไม่ต้องหวังพึ่งพาผู้อื่นหรือลูกหลาน ให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
    "ทุกวันนี้คนอยากรวยเยอะ แต่ยังวางแผนน้อยมาก ซึ่งจริงๆ แล้วควรจดค่าใช้จ่าย และรายรับทุกอย่าง แต่ก็มักไม่ค่อยทำกัน คนไทยส่วนใหญ่คือเกษตรกรที่เป็นหนี้ แค่ปลดหนี้ได้ก็มีชีวิตดีขึ้นแล้ว ทุกวันนี้โดยส่วนตัวก็พยายามไม่เป็นหนี้เครดิตการ์ด รูดเท่าไหร่ต้องมีกำลังจ่ายเต็มจำนวน"
    อาบพรยังแชร์ประสบการณ์การลงทุนที่ผ่านมา ว่าคนเราย่อมมีเรื่องผิดพลาดในชีวิตเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เธอเองก็เช่นกัน เคยเล่นหุ้นแล้วขาดทุน เนื่องจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากเสียเงิน แล้วยังเสียสุขภาพจิตต้องคอยนั่งเฝ้าและติดตามสถานการณ์ เข็ดมาก อีกเรื่องหนึ่งคือ จะไม่ขายของเป็นเครดิตเงินเชื่ออีกแล้ว เพราะเคยคิดว่าจะทำให้เขากลับมาซื้อสินค้าอีก แต่กลับกลายเป็นหนี้สินดินพอกหางหมูจนไม่สามารถชำระหนี้ได้และสุดท้ายก็โกงเราไปเลย
    ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองเรื่องเงินๆ ทองๆ ของสาวนักบริหารที่ชื่ออาบพร รอดบุญ
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "ฐานิสร์ วัชโรทัย" อดทน...อดกลั้น...อดออม

    โดย : กาญจนา หงษ์ทอง
    วันที่ 26 กันยายน 2553 07:00
    คุณแม่เป็นแบบอย่างของการลงทุนที่ผมเห็นมาแต่เด็ก คุณแม่เป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด รอบคอบและหมุนเงินเก่ง
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101209/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ทั้งๆ ที่คุณพ่อคุณแม่เป็นข้าราชการทั้งคู่ มรดกก็ไม่ได้มากมาย ท่านเริ่มจากการเก็บหอมรอมริบ ทำอะไรไม่เกินตัว

    ฐานิสร์ยังพูดถึงหลักการการลงทุนของเขาว่า ลงทุนอย่างพอเพียง ไม่เกินกำลังของเรา ทำในสิ่งที่ตนเองถนัด หากไม่รู้ต้องศึกษา แต่สุภาษิตฝรั่งเศสว่าไว้ ความรู้ที่ปราศจากการไตร่ตรองนั้นอันตราย เท่ากับการไม่รู้อะไรเลย ไม่ควรลงทุนแบบนักพนัน เห็นเขาได้กำไร ก็เฮตาม การทำ Feasibility Study เป็นเรื่องสำคัญก่อนการลงทุน ทำให้เรามีข้อมูลในการวิเคราะห์และ ตัดสินใจ กลยุทธ์การดำเนินงานที่ดีและโปร่งใสก็จะช่วยให้สามารถคืนทุนได้เร็วกว่า 3 ปีด้วย นอกจากนี้ ควรกระจายความเสี่ยงโดยเลือกลงทุนในหลายรูปแบบ เพราะเป็นเงินที่หลายคนเก็บมาเป็นสิบๆ ปี หากอันหนึ่งมีปัญหา ก็ยังมีอื่นๆ ที่ช่วยประคับประคองไปได้
    เขาเล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันมีพอร์ตหุ้นที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารอยู่หลายตัว ถึงแม้ผลตอบแทนจะไม่หวือหวา แต่ก็ถือว่าใช้ได้และมั่นคง ปัจจัยเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นประเภทอื่น จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตสูงเกินเป้าหมาย ทำให้ตลาดหุ้นไทยทำนิวไฮกว่า 900 จุด สูงที่สุดในรอบ 14 ปีด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวเขาคิดว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยต่อไปน่าจะสดใส แต่คงต้องระมัดระวังเมื่อใกล้ จะถึง 1,000 จุด
    "ผมมองถึงการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์บนที่ดินที่มีอยู่เดิมแล้ว ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่กำลังก่อสร้างกันอยู่ ตอนนี้แผนลงทุนอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ อาจจะเป็นรูปแบบอาคารทันสมัยให้เช่าทำการค้า มากกว่าการขายขาด แต่ส่วนตัวผมยังสนใจร่วมหุ้นลงทุนทำร้านอาหารไทยกับเพื่อนสนิทในต่างประเทศ กำลังมองหาทำเลที่ดีในเมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกา และอังกฤษอยู่ ส่วนที่ดินอีกแปลงหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ก็ได้นำมาใช้ประโยชน์เป็นที่ตั้งของมูลนิธิพระยาอุไทยธรรม ซึ่งทำกิจกรรมเพื่อสังคมและมอบทุนการศึกษาแก่เยาวชนที่ยากไร้ "
    ในส่วนของการออมนั้น ฐานิสร์ให้ทัศนะว่า ไม่สำคัญหรอกว่าจะมีเงินเดือนเท่าไหร่ แต่สำคัญที่ว่า มีรายได้แล้วยังเหลือเก็บหรือเปล่า ครอบครัวก็มีส่วนที่จะฝึกให้เด็กๆ มีวินัยในการออมตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้เขาเห็นคุณค่าของเงิน อาจจะออมจากค่าขนมประจำวัน การทำงานพิเศษ สำหรับตัวเขาเองแล้ว นอกจากการออมปกติโดยกำหนดจำนวนเงินออมแล้ว ก็ซื้อประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ เลือกที่เบี้ยประกันไม่สูงเกินไป และให้ผลตอบแทนดี มีเงินคืนเป็นระยะ นับเป็นการบังคับให้เราออมเงินไปในตัว
    ฐานิสร์ฝากข้อคิดในการวางแผนการเงินนั้น ว่า ให้น้อมนำพระราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานในวันสมรสเมื่อปลายปี 2530 ว่า อดทน อดกลั้น และอดออม ซึ่งทั้งสามคำนี้สั้นๆ แต่เปี่ยมความหมายของการครองเรือน และการสร้างครอบครัวให้มั่นคง นำมาใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะทำงานสิ่งใด ที่ไหน ก็ยึดมั่นต่อหลักนี้เสมอมา

    "
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "ทอง-ตราสารอนุพันธ์"ของชอบ ของ"อภิชาติ ลักษณะสิริศักดิ์"

    โดย : Personal Finance :กาญจนา หงษ์ทอง
    วันที่ 5 กันยายน 2553 03:00

    คนชอบถามว่าราคาทองคำในปัจจุบันยังน่าลงทุนหรือไม่ ผมว่าหากเราคาดหวังผลตอบแทนประมาณ10%ต่อปี ปีนี้และปีหน้าก็ยังถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101209/show_ads_impl.js"></SCRIPT>เพราะเคยผิดพลาดเรื่องการทำธุรกิจมาก่อน ยิ่งพอมาเจอวิกฤติทางเศรษฐกิจ ทำให้ขาดทุนจากการลงทุนเป็นจำนวนมาก เงินออมที่สะสมมาทั้งหมด ก็หมดไปกับการลงทุนครั้งนั้น "อภิชาติ ลักษณะสิริศักดิ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส บอกว่านั่น เป็นบทเรียนราคาแพง ที่ว่าการลงทุนในแต่ละครั้ง ต้องเผื่อการถอยให้ตัวเอง คือ ไม่ลงทุนใช้เงินออมจนหมด และคิดเผื่อความเสี่ยงที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และพยายามลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยลง
    แต่เหนืออื่นใด การวางแผนการเงินและวางแผนการลงทุนที่ดี จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ อภิชาติเล่าถึงแผนการเงินของเขาว่า ทุกวันนี้เมื่อมีรายได้เข้ามาเขาจะจัดสรรตามสัดส่วนดังนี้คือ 40% สำหรับลงทุน 40% สำหรับใช้จ่ายภายในครอบครัว และ 20% สำหรับการออม
    ในส่วนของการลงทุนนั้น อภิชาติบอกว่าจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากเพียงเล็กน้อย เช่น การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ แต่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยลง เช่น การลงทุนในทองคำแท่ง
    ซึ่งการลงทุนในทองนั้น จะเน้นลงทุนในทองคำแท่งเป็นหลัก โดยเพิ่งจะเริ่มลงทุนในทองคำ 2 ปีที่ผ่านมา แต่ในโกลด์ฟิวเจอร์ส ไม่ได้ลงทุน เนื่องจากทำงานในธุรกิจนี้ จึงไม่อยากลงทุน กลัวว่าจะมีมุมมองในราคาโกลด์ฟิวเจอร์สที่เข้าข้างการลงทุนตนเอง สำหรับผู้ที่จะลงทุนในทองคำ หากว่าไม่ชอบความเสี่ยงมาก ก็แนะนำให้ลงทุนในทองคำแท่ง หากชอบความเสี่ยงที่มากขึ้น แต่ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ก็ลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์ส แต่จะต้องมีความพร้อมในการลงทุน โดยจะต้องมีเงินลงทุนที่เหมาะสม มีความรู้ความเข้าใจในกลไกการลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์ส มีความรู้เรื่องการวิเคราะห์ราคาทองคำ ทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค การบริหารภาวะจิตใจในการลงทุน
    "หากแยกย่อยไปลงรายละเอียด ก็จะมีการออมในรูปแบบของการทำประกันชีวิต และประกันสุขภาพ ส่วนการลงทุน ก็มีการลงทุนในทองคำแท่ง อสังหาริมทรัพย์เพื่อการปล่อยเช่า ที่ผ่านมา ก็ค่อนข้างพอใจในผลตอบแทนการลงทุนในทองคำมากที่สุด แต่ชื่นชอบในการลงทุนทางด้านตราสารอนุพันธ์ ลงทุนในตราสารอนุพันธ์มา 7 ปีแล้ว "
    เขาบอกว่า สาเหตุที่ชื่นชอบเพราะว่าสามารถลงทุนได้ทั้งขาขึ้นและขาลงของราคาสินทรัพย์ที่อ้างอิง บวกกับการใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนน้อย แม้ว่าจะมีความเสี่ยงสูง แต่หากว่ามีวินัยในการลงทุน ก็จะปิดความเสี่ยงได้มากพอสมควร
    "โดยในภาวะเศรษฐกิจช่วงนี้ การใช้จ่ายภายในครอบครัวต้องระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งปกติผมจะมีวิธีเช็คสุขภาพทางการเงินของตัวเอง ด้วยการถามตัวเองว่ามีภาระหนี้สินหรือไม่ หากว่ามีก็ถือว่ามีสุขภาพที่ไม่ดีมากๆ แต่หากว่าไม่มีหนี้สินแต่ไม่มีเงินออม ก็ถือว่ายังไม่มีสุขภาพที่แข็งแรง ถ้าหากว่าจะให้มีสุขภาพที่ดี ต้องมีเงินออมไว้ใช้จ่ายอย่างน้อย 30 เดือน ของค่าใช้จ่ายตัวเอง และครอบครัว ผมว่าคนเราควรใช้ชีวิตพอเพียง ในที่นี้หมายถึงไม่มีความเดือนร้อนเรื่องเงินทอง มีปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นครบในการใช้ชีวิต เช่น ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น และมีเงินออมเหลือมากพอที่จะใช้จ่ายในชีวิตของตัวเอง และครอบครัว"
    อภิชาติบอกว่าทุกวันนี้ เขาสังเกตเห็นว่า การใช้เงินของคนรุ่นใหม่ ที่บางคนเพิ่งจบการศึกษาและทำงานได้ไม่ถึง 5 ปี แต่กลับใช้เงินค่อนข้างฟุ่มเฟือยและมักซื้อสินค้าแบรนด์เนม ตัวอย่างเช่น นาฬิกา เพื่อใช้บอกเวลา ไม่จำเป็นต้องซื้อของแพง มีการออกแบบที่สวยงาม และใช้ดูเวลาได้ก็พอแล้ว นอกจากนี้ชีวิตการทำงานอาจจะไม่แน่นอน วันหนึ่งอาจจะตกงาน หรืออาจจะขาดทุนมากมายจากการลงทุน ตัวเองหรือครอบครัวอาจจะเจ็บป่วยหนัก ต้องใช้เงินค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก จึงขอให้นึกถึงการออมเอาไว้บ้าง อย่างน้อย 20 - 30% ของรายได้ในแต่ละเดือน ตัวอย่าง การออมที่ดี เช่น การลงทุนในกองทุน LTF หรือ RMF เพื่อการประหยัดภาษี และการออมในรูปแบบของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น
    เขาบอกว่าคนที่มีการวางแผนทางการเงินที่ดี เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เช่น ตกงาน ก็ยังมีเงินออมไว้ใช้จ่ายอย่างไม่เดือนร้อน ส่วนคนที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย เมื่อมีปัญหาทางการเงิน ก็จะมีความเดือนร้อนเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่ก็จะหาทางออกโดยการยืมเงินญาติๆ หรือไม่ก็เลือกทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงมากขึ้น สุดท้ายก็มักจะไม่ได้ดี
    "แต่ทุกวันนี้ คนไทยส่วนใหญ่ยังมีการวางแผนทางการเงินน้อยอยู่มาก ส่วนใหญ่จะรอแต่อนาคตว่าจะดีขึ้นมาเอง ตัวอย่างเช่น ภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศจะไม่ค่อยมีการวางแผนการเพาะปลูก และการกำหนดราคาขายสินค้าส่งผลให้การเพาะปลูกในบางครั้งจะมีผลขาดทุน ดังนั้น รัฐบาลควรจะเข้ามาส่งเสริมให้มีการวางแผนทางการเงินที่ดีให้กับเกษตรกร เช่น การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดราคาขาย
    และในฐานะที่อยู่ในแวดวงทองคำ อภิชาตเลยทิ้งท้ายด้วยการให้มุมมองเรื่องการลงทุนในทองคำว่า แนวโน้มราคาทองคำยังคงเป็นขาขึ้นอยู่ ในปีนี้และปีหน้า ราคาทองคำ Spot น่าจะเห็นตัวเลข 1,400 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในปีนี้ โดยมีปัจจัยหลัก มาจากความต้องการของ Retail Investor โดยเฉพาะประเทศจีนและอินเดียที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี และเป็นประเทศที่ประชาชนนิยมสะสมทองคำ และความน่าเชื่อถือของสกุลเงินดอลลาร์ที่ลดลง ตามภาวะหนี้สินของรัฐบาลที่มีจำนวนมาก ทำให้ทองคำยังมีฐานะของตนเองเป็นสกุลเงิน เช่นกัน ก็มีความโดดเด่นขึ้นมา โดยจะเห็นได้ว่าธนาคารกลางของประเทศอินเดียและจีน ก็เริ่มสะสมทองคำมากขึ้นในสัดส่วนของเงินทุนสำรองของประเทศ
    "คนชอบถามว่าราคาทองคำในปัจจุบันยังน่าลงทุนหรือไม่ ผมว่าหากเราคาดหวังผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี ในปีนี้และปีหน้า ก็ยังถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน" อภิชาติทิ้งท้าย
    "
     

แชร์หน้านี้

Loading...