เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กองทัพเรือมะกันทดลองยิงปืนแม่เหล็กไฟฟ้าไวกว่าเสียงสำเร็จ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 ธันวาคม 2553 13:39 น.

    [​IMG]

    <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="500"><tbody><tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">สถานีปืนเรลกันพลังแม่เหล็กไฟฟ้าของกองทัพเรือสหรัฐฯ</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เอเอฟพี - กองทัพเรือสหรัฐฯ ประกาศความสำเร็จในการทดลองปืนใหญ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่สามารถยิงได้ไกล 110 ไมล์ทะเล หรือ 200 กิโลเมตร ด้วยความเร็วกว่าความเร็วเสียงถึง 5 เท่า

    ในการทดลองที่ศูนย์ดัลเกรน เซอร์เฟซ วอร์แฟร์ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในเวอร์จิเนีย อาวุธแห่งอนาคตดังกล่าวใช้แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของคลื่นไฟฟ้าในการขับ เคลื่อนกระสุนไปตามรางก่อนที่จะถูกยิงออกไปด้วยความเร็วเหนือเสียง

    การทดลองครั้งล่าสุดนี้ใช้พลังงานสูงถึง 33 เมกะจูล ซึ่งสูงที่สุดเท่าที่เคยทดลองมา และสูงกว่าการทดลองก่อนหน้านี้ ในเดือนมกราคม ปี 2008 ถึง 3 เท่า

    สำหรับพลังงาน 1 เมกะจูลเทียบเท่าได้กับพลังงาน ที่ปลดปล่อยออกจากรถยนต์น้ำหนัก 1 ตัน ที่พุ่งชนกำแพงเมื่อวิ่งมาด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    "การทดลองปืนเรลกัน (railgun) ในวันนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเทคนิคของเทคโนโลยี ซึ่งวันหนึ่งอาจจะสามารถเติมเต็มระบบการต่อสู้ของเรือบนพื้นน้ำดั้งเดิมให้ สมบูรณ์ได้" พลเรือตรีเนวิน คาร์ หัวหน้างานวิจัยของกองทัพเรือสหรัฐฯ เผย

    เขายังระบุว่า พลังงานการยิง 33 เมกะจูลทำให้กองทัพเรือสามารถยิงจรวด หรือขีปนาวุธไปได้ไกลไม่ต่ำกว่า 110 ไมล์ทะเล หรือ 200 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะปลอดภัยสำหรับทหารเรือ และนาวิกโยธิน จากการถูกยิงตอบโต้จากฝ่ายตรงข้าม

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="500"><tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="500"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ปืนเรลกันพลังแม่เหล็กไฟฟ้าศูนย์ดัลเกรน เซอร์เฟซ วอร์แฟร์</td></tr></tbody></table>
    Around the World - Manager Online -
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    น้ำมันปรับลด-หุ้นมะกันทะยานหลังสหรัฐฯขาดดุลการค้าลดลง
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 ธันวาคม 2553 05:09 น.
    [​IMG]
    เอเอฟพี - ราคาน้ำมันปรับลดเมื่อวันศุกร์(10) หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลง ขณะที่ชาติผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกแห่งนี้พยายามต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ด้านวอลล์สตรีท พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี จากตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ

    สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูตของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนมกราคม ลดลง 58 เซนต์ ปิดที่ 87.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 51 เซนต์ ปิดที่ 90.48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

    ธนาคารกลางของจีนเปิดเผยเมื่อวันศุกร์(10) จะเพิ่มเพดานเงินทุนสำรองของธนาคารต่างๆ ขณะที่ปักกิ่ง พยายามจำกัดภาวะเงินเฟ้อ ยอดปล่อยกู้และราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสูงขึ้น

    ด้วยความพยายามของรัฐบาลในการป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจเติบโตร้อนแรง เกินไปได้ผลเพียงเล็กน้อย จึงมีข่าวลือหนาหูขึ้นเรื่อยๆว่า จีนอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งนักลงทุนกังวลว่ามันอาจส่งผลให้การค้าโลกชะลอตัวตามไปด้วย

    ขณะเดียวกันอีกปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับลดในกรอบแคบๆ สืบเนื่องจากนักลงทุนรอผลการประชุมของกลุ่มโอเปกที่เมืองหลวงของเอกวาดอร์ใน วันเสาร์นี้(11) ที่หลายฝ่ายคาดหมายว่าจะมีมติคงกำลังผลิตเอาไว้ แม้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม

    ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อวันศุกร์(10) พุ่งแรงปิดระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน หลังได้ปัจจัยบวกจากตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่ช่วยเพิ่มความหวังว่ามันจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

    ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 40.26 จุด (0.35 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 11,410.32 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 20.87 จุด (0.80 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,637.54 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 7.40 จุด (0.60 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,240.40 จุด

    ก่อนเปิดตลาด รายงานกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯระบุว่าตัวเลขขาดดุลการค้าของประเทศลดลงเกินความ คาดหมายในเดือนตุลาคม สืบเนื่องจากยอดส่งออกที่พุ่งขึ้นหลังได้แรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่า

    Around the World - Manager Online -
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "วิกิรั่ว" ปูดอีกข่าว สถานทูตตื่นนิวเคลียร์พม่า-โสมแดง
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 ธันวาคม 2553 00:26 น.
    [​IMG]

    <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="650"><tbody><tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">เรือ ต้องสงสัย-- ภาพแฟ้มวันที่ 21 พ.ค.2550 เรือกังนาม 1 (Kang Nam I) เรือสินค้าของเกาหลีเหนือ แวะเข้าจอดท่าเรือย่างกุ้งอีกครั้งหลังจากสหประชาชาติใช้มาตรการคว่ำบาตร เกาหลีเหนือที่ฝ่าฝืนการห้ามทดลองนิวเคลียร์ เรือลำนี้เข้าพม่าทุกปีและทุกครั้งจะถูกกองเรือสหรัฐฯ จับตามองอย่างใกล้ชิด โดยต้องสงสัยว่าอาจจะขนอุปกรณ์นิวเคลียร์เข้าพม่า ขณะที่พม่ากล่าวว่าเป็นเรือที่จะไปขนข้าวสารกลับไปเกาหลีเหนือ.-- AFP PHOTO/Khin Maung Win.</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    ASTVผู้จัดการออนไลน์-- สถานทูตตะวันตกในกรุงย่างกุ้งพากันวิตกต่อข่าวความร่วมมือระหว่างพม่ากับ เกาหลีเหนือ แม้จะไม่สามารถยืนยันความเชื่อที่ว่าทั้งสองประเทศได้แบ่งปันเทคโนโลยี นิวเคลียร์ต่อกัน วิกิลีคส์ (Wikileaks) ปูดข่าวนี้ออกมาวันศุกร์ โดยแสดงเนื้อหาในโทรพิมพ์ของสถานทูตสหรัฐฯ

    โทรพิมพ์ยังได้บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดจนข่าวเล่าลือเกี่ยวกับแผนการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในพม่าที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2545

    นายลารี ดินเจอร์ (Larry Dinger) อุปทูตสหรัฐฯ ในกรุงย่างกุ้งส่งโทรพิมพ์ชิ้นหนึ่งในเดือน พ.ย.2552 ระบุว่า ความร่วมมือระหว่างสองประเทศที่ประชาคมระหว่างประเทศส่วนใหญ่ไม่อยากคบค้า สมาคมด้วย "ยังคงมืดดำ" แต่ "อะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน"

    "สิ่งที่ว่านี้จะรวมทั้งนิวเคลียร์ด้วยหรือไม่นั้นยังเป็นคำถามที่ ยังเปิดอยู่และยังเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ในการรายงานของสถานทูตประเทศต่างๆ" โทรพิมพ์ของอุปทูตสหรัฐฯ กล่าว ทั้งนี้เป็นรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์

    รัฐบาลทหารพม่าต้องสงสัยมานานแล้วว่า กำลังพยายามพัฒนาขีดความสามารถทางด้านนิวเคลียร์ด้วยความช่วยเหลือของ คอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า คงจะเป็นไปได้ยากสำหรับประเทศที่ยากจนแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ในเดือน ก.ย.ปีนี้พม่าบอกกับองค์การพลังงานอะตอมระหว่างประเทศ หรือ IAEA (International Atomic Energy Agency) ว่า ไม่มีความใฝ่ฝันใดๆ ที่จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และ กิจกรรมทางด้านนิวเคลียร์ภายในประเทศมีจุดประสงค์ในทางสันติเท่านั้น แต่ก็ไม่ทราบว่าพม่ามีกิจกรรมอะไรเกี่ยวกับนิวเคลียร์

    โทรพิมพ์หลายฉบับที่ส่งจากสถานทูตสหรัฐฯ ที่เผยแพร่โดยวิกิลีคส์ในวันศุกร์นี้ ได้กล่าวถึงความวิตกกังวลของสถานทูตตะวันตกในย่างกุ้ง ที่เฝ้าจับตาความเคลื่อนไหวของชาวเกาหลีเหนือในพม่าที่ดำเนินมานานหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ไซต์งานแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองมิมบุ (Mimbu) ในรัฐสะกาย (Sagaing) ทางภาคตะวันตกของประเทศ ที่ลือกันว่า อาจจะมีสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวกับนิวเคลียร์

    โทรพิมพ์ชิ้นหนึ่งในเดือน ม.ค.2547 ระบุว่า นักธุรกิจชาวต่างชาติผู้หนึ่งได้บอกกับสถานทูตเกี่ยวกับข่าวลือกำลังมีการ สร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขึ้นที่เมืองมิมบุ เจ้าตัวยังระบุว่าเห็นการขนสิ่งของจากเรือบั๊กลำใหญ่ และที่นั่นก็มีสนามบินที่มีรันเวย์กว้างใหญ่มาก "คุณสามารถเอากระสวยอวกาศลงจอดได้เลย"

    โทรพิมพ์สถานทูตกล่าวอีกว่า ข่าวเล่าลือเกี่ยวกับการก่อสร้างสำนักงานนิวเคลียร์ในพม่ามีมาตั้งแต่ปี 2545 และ มีการพบเห็นชาวเกาหลีเหนือในพม่ามากขึ้นเรื่อยๆ

    ในเดือน ส.ค.2547 โทรพิมพ์อีกชิ้นอ้างผู้ให้ข่าวที่ระบุว่า คนงานเกาหลีเหนือกำลังประกอบขีปนาวุธอากาศสู่พื้นและกำลังก่อสร้างอุโมงค์ ใต้ดินในค่ายทหารแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองมิมบุ แม้รายงานจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ก็สอดคล้องกับรายงานที่ได้รับจากแหล่งอื่นๆ

    "พม่ากับเกาหลีเหนือกำลังทำอะไรบางอย่าง อะไรที่เกี่ยวกับปฏิบัติการลับทางทหารหรืออุตสาหกรรมทางทหาร" และ "ส่วนจะเป็นอะไรและมีขนาดไหน ยังเป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาต่อไป" โทรพิมพ์กล่าว.

    <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="550"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="550"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">
    สัมพันธ์ แน่นแฟ้น-- ภาพแฟ้มวันที่ 28 เม.ย.2550 รัฐมนตรีช่วยว่ากากระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือ นายคิมยอง-อิล (Kim Yong-Il) กำลังพูดคุยกับผู้สื่อข่าวที่ท่าอากาศกรุงย่างกุ้ง หลังเสร็จสิ้นการเยือนพม่าเป็นเวลา 4 วัน "วิกีลีคส์" รั่วข่าวในวันศุกร์นี้ ว่าโลกตะวันตกสงสัยพฤติกรรมของเกาหลีเหนือในพม่ามาตลอด.-- AFP PHOTO/Khin Maung Win.</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td></tr></tbody></table>IndoChina - Manager Online -
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทำไม จีนไม่สกัดฤทธิ์หักเขี้ยวเล็บเกาหลีเหนือ
    โดย สุรัตน์ ปรีชาธรรม 11 ธันวาคม 2553 10:59 น.

    [​IMG]

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline"><table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="360"><tbody><tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ชาว เกาหลีถือป้ายยับยั้งสงคราม พร้อมเทียนจุดสว่าง เรียกร้องสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีในกรุงโซล เมื่อวันที่ 29 พ.ย. (แฟ้มภาพ รอยเตอร์)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เอเจนซี-แม้ นานาชาติประสานเสียงเรียกร้องให้ผู้นำจีนช่วยควบคุมพฤติกรรมเกาหลีเหนือ ด้วยเห็นว่าจีนเป็นมิตรสนิทผู้อุปถัมภ์รายเดียวของเกาหลีเหนือ แม้กระทั่งผู้นำจีนเองก็ชักเอือมเกาหลีเหนือแล้วก็ตาม แต่ในที่สุดผู้นำในปักกิ่งก็ยังไม่ใช้ไม้ตายสกัดฤทธิ์เดชของผู้นำโสมแดง เนื่องจากยังถือเสถียรภาพของเกาหลีเหนือมีความสำคัญยิ่งกว่าความโกรธเคือง ของนานาชาติต่อกรณีที่โสมแดงยิงถล่มเพื่อนบ้านโสมขาวเมื่อปลายเดือนพ.ย.ที่ ผ่านมา

    การสำแดงฤทธิ์ของโสมแดงหนล่าสุดนี้ ได้สร้างความหวั่นไหวแก่ผู้นำจีนบางกลุ่ม ถึงกับมีการถกเถียงกันว่าจีนจะปกป้องผู้นำในกรุงเปียงยางไปถึงไหนกัน โดยกลุ่มผู้นำจีนที่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามนี้ ชี้ว่าจีนควรหันมาพิจารณาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากกว่าเรื่องความมั่นคง นั่นก็หมายถึงว่าจีนจะต้องโน้มเอียงมาทางเกาหลีใต้ และชาติตะวันตกมากขึ้น และเพลาให้การสนับสนุนเกาหลีเหนือ...แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่ผู้นำจีนจะทอด ทิ้งโสมแดงไปได้

    นี่คือ แนวการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญศูยน์วิจัยเกาหลี สังกัดมหาวิทยาลัยฟู่ตั้นแห่งนครเซี่ยงไฮ้ ดร. ไช่ เจี้ยน

    “จีนต้องจัดการอย่างระมัดระวังมาก เพื่อให้เกาหลีเหนือมีเสถียรภาพ ซึ่งหากกดดันแรงเกินไป เกาหลีเหนือก็จะล่มสลายอย่างรวดเร็ว” ไช่ เจี้ยน ชี้

    แม้ว่าชาติอำนาจทั่วโลกจับตามองจีนอย่างคาดคั้นให้โต้ตอบผู้นำในกรุง เปียงยาง แต่จีนก็ยังคงยืนหยัดเป็นมิตรที่มั่นคงหนึ่งเดียวในโลกของโสมแดง ทั้งเป็นมิตรที่ทรงอิทธิพล เป็นหนึ่งในห้ายักษ์ใหญ่ของคณะกรรมการประจำคณะมนตรีความมั่นคงแห่ง สหประชาชาติ(ยูเอ็น) ที่มีอำนาจวีโต้มติใดๆของนานาชาติ หลายปีมานี้ เกาหลีเหนือได้ทำฤทธิ์กวัดแกว่งอาวุธอย่างน่าหวาดเสียว ทั้งทำให้ผู้นำในปักกิ่งอับอายขายหน้า ทั้งกรณีทดลองเครื่องยิงอาวุธนิวเคลียร์ กรณีจมเรือเกาหลีใต้เมื่อต้นปี และล่าสุดก็ยิงถล่มเกาะยอนพยองสังหารประชาชนไปสี่คน

    แต่จีนก็ยังอุปภัมถ์ส่งเสบียง อาหารและเชื้อเพลิงแก่พันธมิตรโสมแดงผู้ยากไร้ สกัดมาตรการคว่ำบาตรที่แข็งกร้าวของยูเอ็น ขณะเดียวกันก็ยังจับมือกับสหรัฐอเมริกาบนเวทีการทูต

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="320"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="320"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ชาวเกาหลีเหนือกำลัง เดินผ่านโปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อในกรุงเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือเมื่อวันที่ 29 พ.ย. (2553) ขณะที่ประธานาธิบดี ลี ยอง-บัก แห่งเกาหลีใต้ ประณามกรณีกองทัพโสมแดงยิงปืนใหญ่ 8 นัด ถล่มเกาะยอนพยองของโสมขาวเมื่อวันที่ 28 พ.ย. เป็นเหตุให้พลเรือนเสียชีวิต 2 คน และทหารเสียชีวิต 2 คน ทำลายบ้านเรือนหลายหลัง พร้อมทั้งชี้ว่าผู้นำเกาหลีเหนือจะต้องชดใช้การกระทำยั่วยุในครั้งนี้ (แฟ้มภาพ รอยเตอร์)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ข้อมูลจากวิกิลีกส์ ที่รั่วไหลออกมา ระบุว่าเจ้าหน้าที่การทูตอาวุโสท่านหนึ่งของจีนบอกกับเจ้าหน้าที่อเมริกัน ด้วยความขุ่นเคืองว่า พญามังกรกางปีกป้องโสมแดง เหมือนพ่อแม่ประคบประหงมลูกจน “เสียคน”

    ดร.เดนนี่ รอย ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือ แห่งศูนย์ตะวันตก-ตะวันออก (East-West Centre)ในมลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ชี้ว่าจีนมีอิทธิพล สามารถล้มรัฐบาลโสมแดงโดยการเลิกส่งซับพลายสิ่งของจำเป็น

    “แต่การปกป้องระบอบเกาหลีเหนือ มิให้ล้มครืน ก็เป็นเป้าหมายหมายเลขหนึ่งของจีน” ดร. รอย กล่าว พร้อมชี้ต่อว่า เกาหลีเหนือมีประโยชน์อย่างยิ่งยวดสำหรับจีน โดยเป็นเครื่องมือคานดุลอำนาจกับพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับวอชิงตันมากที่สุดใน ภูมิภาค คือ เกาหลีใต้ และตราบเท่าที่โสมแดงรักษาเขี้ยวเล็บทางทหารอย่างคมกริบไว้ จีนก็อุ่นใจเช่นกันว่าจะไม่มีศัตรูหน้าไหนมาล้มเกาหลีเหนือได้ ซึ่งในความเป็นจริง กองทัพโสมแดงก็คือแนวหน้าการปกป้องของจีนด้วยนั่นเอง

    “จีนเป็นพันธมิตรสนิทกับเกาหลีเหนือ มิใช่ว่าเรารักในระบอบของเกาหลีเหนือ แต่เราต้องรักษาสมดุลอำนาจในคาบสมุทรเกาหลี และผู้นำในปักกิ่งก็ไม่มีทางเลือก จึงต้องสนับสนุนเกาหลีเหนือต่อไป” ดร.ไช่ กล่าว

    อย่างไรก็ตาม ก็มีสัญญาณเผยให้เห็นว่าจีนก็ชักหมดความอดทนกับมิตรรักโสมแดงเช่นกัน ได้แก่การที่จีนร่วมมือกับนานาชาติประณามการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ครั้งที่ สองของเกาหลีเหนือเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้จีนยังเป็นประธานการเจรจา 6 ฝ่าย เพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์โสมเหนือ ร่วมกับสหรัฐฯ รัสเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยการเจรจา 6 ฝ่ายนี้ ถือเป็นหนทางสุดท้ายที่จะปลดเขี้ยวเล็บอาวุธร้ายแรงของโสมแดง

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="480"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="480"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">เรือบรรทุกเครื่อง บิน ยูเอสเอส จอร์จ วอชิงตัน ของกองทัพนาวีสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมการซ้อมรบกับกองทัพเกาหลีใต้ที่ ทะเลตะวันตก (West Sea) เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ท่ามกลางไฟขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีลุกโหมขึ้นอีก หลังจากที่ทหารเกาหลีเหนือยิงปืนใหญ่ถล่มเกาะยอนพยองของเกาหลีใต้ (แฟ้มภาพ รอยเตอร์)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> และจากข้อมูลวิกิลีกส์ ที่รั่วไหลออกมา ก็ระบุอีกว่า ระหว่างการสนทนาระหว่างเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำกรุงโซล กับรองนายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ รองนายกฯโสมขาวก็ได้เผยว่าเจ้าหน้าที่จีนระดับอาวุโสสองท่านบอกกับเขา (รองนายกฯฃเกาหลีใต้) ว่าจีนไม่ขัดขวางการรวมชาติเกาหลีภายใต้รัฐบาลเกาหลีใต้

    ดร.ไช่ เปิดเผยอีกว่า ผลประโยชน์ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของจีนนั้น ขึ้นอยู่กับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ มากกว่าเกาหลีเหนืออย่างมิต้องสงสัย ด้วยเงื่อนไขดังกล่าวนี้เอง จึงมีการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนระหว่างเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศและกลุ่ม นักวิชาการในจีนเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งในที่สุด กลุ่มผู้นำหัวเก่า ที่ยึดถือความมั่นคงเป็นหลัก ก็ชนะการถกเถียง

    อย่างไรก็ตาม ดร.รอย ชี้ว่า การ เปลี่ยนแปลงระบอบเกาหลีเหนือ อาจสร้างปัญหาเพียงในระยะสั้นแก่จีน อาทิกระแสผู้อพยพจากเกาหลีเหนือที่จะหลั่งไหลมายังจีน ขณะเดียวกัน จีนก็จะต้องเผชิญกับผลลัพธ์ระยะยาวคือความไม่แน่นอนจากการวมชาติเกาหลี จะมีผลเชิงยุทธศาสตร์อย่างไรต่อจีน ยิ่งไปกว่านี้ การล้มโสมแดง ยังแสดงถึงการทรยศต่อความผูกพันทางอุดมการณ์ และความรู้สึกสำนึกในบุญคุณแรงสนับสนุนของผู้นำจีนรุ่นอาวุโสที่มีต่อผู้นำ ในเปียงยาง

    “เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วความเสียเปรียบหลายๆอย่างที่ว่านี้ มีน้ำหนักมากพอที่จีนจะทนแม้กระทั่งพฤติกรรมแย่ๆที่เราเห็นเมื่อเร็วๆนี้” ดร.รอย กล่าว</td></tr></tbody></table>

    China - Manager Online -
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "วิกิลีกส์" กับปฏิบัติการ "แฉ" สะเทือนโลก
    โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 10 ธันวาคม 2553 22:42 น.
    ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ตลอด ระยะเวลากว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คงไม่มีประเด็นข่าวต่างประเทศข่าวใดที่จะสามารถเรียกเสียง ฮือฮา และสร้างความสนอกสนใจให้กับผู้คนทั่วโลกได้มากไปกว่าข่าวการออกมาเปิดโปงเผย แพร่เอกสารลับทางการทูตระดับต่างๆ ของทางการสหรัฐฯ โดยฝีมือของเว็บไซต์จอมแฉอย่าง "วิกิลีกส์" อีกแล้ว

    และปฏิเสธไม่ได้ว่าการออกมาแฉดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะทำให้ประชาชนเดินดินทั่วโลกได้ทราบถึง "พฤติกรรมอันคาดไม่ถึง" ของบรรดานักการเมืองและบุคคลสำคัญระดับแกนนำรัฐบาลของหลายประเทศทั่วโลก แล้ว แต่การแฉที่ว่านี้ ยังทำให้ชื่อของ "วิกิลีกส์" และผู้ก่อตั้งที่มีนามว่า "จูเลียน อาสซานจ์" ดังกระหึ่มไปทั่วโลกไม่แพ้กัน

    ซ้ำยังเป็นการโด่งดังเป็นพลุแตก ภายในระยะเวลาเพียงชั่วข้ามคืนอีกด้วย

    วิกิลีกส์ คืออะไร?

    คงจะเป็นคำถามที่ถูกหลายต่อหลายคนถามถึงกันมากที่สุดในช่วงเวลานี้ และคำอธิบายที่น่าจะชัดเจนที่สุดต่อคำถามดังกล่าว คงหนีไม่พ้นคำตอบที่ ว่า วิกิลีกส์เป็นองค์กรเอกชนระดับนานาชาติที่มุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรมผ่าน สื่อประเภท "new media" โดยไม่แสวงหาผลกำไร

    วิกิลีกส์ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมปี 2006 และเริ่มดำเนินกิจกรรมอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมปี2006 ภายใต้ วัตถุประสงค์หลักคือ การนำเสนอข้อมูลข่าวสาร รวมถึงข้อเท็จจริงและรายงานที่ถูกปกปิดซ่อนเร้นอำพรางไว้ โดยฝีมือของรัฐบาลและองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก โดยทางวิกิลีกส์จะพยายามหาทางนำเอาข้อมูลเหล่า นี้ออกมาเปิดเผยเพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ ดังปรัชญาขององค์กรที่ว่า "เราจะคอยนำสิ่งที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในมุมมืดออกมาสู่แสงสว่าง" และ "เราจะคอยเปิดประตูทุกบาน ที่มีผู้จงใจปิดตายมันไว้"

    ทั้งนี้ ยังมีข้อมูลระบุว่า ภายในช่วง "ขวบปีแรก" ของการก่อตั้ง วิกิลีกส์ก็สามารถหาเอกสารลับในระดับต่างๆ มาอยู่ในความครอบครองของตนได้ มากกว่า 1.2 ล้านชิ้นแล้ว ซึ่งถือเป็นปริมาณที่มากกว่า ข้อมูลในมือของหน่วยงานข่าวกรองและหน่วยงานด้านความมั่นคงของหลายประเทศรวม กันเสียอีก

    ขณะเดียวกัน วิกิลีกส์ยังมีวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญยิ่งอยู่อีก ประการหนึ่ง นั่นก็คือ การหาทางปกป้องบรรดาสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก รวมถึงประชาชนคนธรรมดาทั่วไปที่กล้าลุกขึ้นมาเปิดโปงเรื่องราวไม่ชอบมาพากล ต่างๆ ไม่ให้ถูกจับกุมคุมขัง หรือถูกข่มขู่คุกคามโดย "อำนาจมืด" ในหลากหลายรูปแบบด้วยเช่นกัน

    โดยเป็นที่คาดกันว่า วัตถุประสงค์หลักข้อที่ว่านี้ของวิกิลีกส์ถูกกำหนดขึ้น ไม่นานนักหลังจากที่ "ฉี เตา" นักหนังสือพิมพ์ชาวจีนถูกศาลของรัฐบาลแดนมังกรพิพากษาให้ต้องรับโทษจำคุก เป็นเวลา 10 ปีเมื่อปี 2005 หรือเพียง 1 ปีก่อนการก่อตั้งวิกิลีกส์ จากความผิดฐานที่เขาจงใจเผยแพร่อีเมล์ที่มี เนื้อหาเกี่ยวกับการสังหารหมู่กลุ่มผู้เรียกร้องประชาธิปไตยชาวจีน บริเวณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อปี 1989 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปราว 3,000 ราย

    เมื่อแรกเริ่มเดิมทีนั้น มีข้อมูลระบุว่า พวกสมาชิกรุ่นบุกเบิกส่วนใหญ่ของวิกิลีกส์ มักเป็นพวกกลุ่มต่อต้านรัฐบาล จีน และพวกนักข่าวนักหนังสือพิมพ์หัวเสรี ตลอดจน พวกแฮ็คเกอร์หัวใสจากประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย ไต้หวัน และแอฟริกาใต้

    แต่หนังสือพิมพ์รายวันชื่อดังของอังกฤษอย่าง "เดอะ การ์เดียน" ระบุว่า สมาชิกระดับแกนนำที่มีบทบาทมากที่สุด และโดดเด่นที่สุดของวิกิลีกส์ คือ นาย "จูเลียน พอล อาสซานจ์" นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนทางอินเทอร์เน็ตชื่อดัง ซึ่งเป็น ชาวออสเตรเลียนั่นเอง โดยหนังสือพิมพ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดเป็นลำดับที่ 3 ของเมืองผู้ดีแห่งนี้ถือเป็นสื่อรายแรกๆ ของโลกที่ยกย่องให้ อาสซานจ์ มีสถานะเป็น "ผู้ก่อตั้ง" หรือ "founder" ของวิกิลีกส์อย่างออกนอกหน้า

    ขณะที่นิตยสาร "Wired" ของสหรัฐฯ เคยตีพิมพ์ข้อมูล ที่ระบุว่า อาสซานจ์ มีสถานะที่ไม่ต่างจากการเป็นทั้ง "ดวงใจ" และ"จิตวิญญาณ" ขององค์กรวิกิลีกส์ จากการที่เขาเป็นผู้ที่กุมอำนาจแบบ"เกือบจะ เบ็ดเสร็จ" ทั้งในด้านนโยบาย ด้านการเงิน และด้านการประชาสัมพันธ์ของวิกิลีกส์แต่เพียงผู้เดียวนั่นเอง ขณะที่แกนนำคน อื่นๆ อย่างฟิลลิป อดัมส์, หวัง ตัน, ซี.เจ. ฮิงเค, เบน ลอรี,ชิโก วิเทเกอร์ รวมถึงหวัง หยูไค ดูจะมีบทบาทเป็นเพียงแค่ "ที่ปรึกษา" ให้กับอาสซานจ์เท่านั้น

    วิกิลีกส์เคยได้รับรางวัลระดับนานาชาติมากมายในช่วงที่ผ่าน มา ไม่ว่าจะเป็น รางวัล "New Media Award" จากนิตยสารชื่อดังอย่าง " Economist " เมื่อปี 2008 รวมถึงคว้ารางวัล "สื่อยอดเยี่ยม" แห่งสหราชอาณาจักรจากองค์การนิรโทษกรรมสากล(Amnesty International) เมื่อปีที่แล้ว จากผลงานตีพิมพ์เรื่อง "Kenya: The Cry of Blood - Extra Judicial Killings and Disappearances" ที่เป็นการแฉพฤติกรรมของตำรวจในประเทศเคนยาว่า ทำการฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ทิ้งเป็นผักปลา พร้อมจงใจยัดข้อหาต่างๆให้กับประชาชน เพื่อแลกกับความก้าวหน้าในอาชีพตำรวจ ของตนและผลประโยชน์ที่ไม่สุจริตจำนวนมหาศาล

    อย่างไรก็ดี วิกิลีกส์เพิ่งจะมาโด่งดังเป็นพลุแตกอย่างแท้จริงและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เอาในปี 2010 อันเป็นปีที่ 4 ของการก่อตั้งองค์กรนี่เอง หลังจากที่วิกิลีกส์ "ปล่อยหมัดเด็ด" ด้วยการออกมาแฉความลับและเรื่องสกปรกต่างๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆทั่วโลกถึง 3 ระลอกใหญ่ๆ แล้วในปีนี้

    เริ่มจากการออกมาเปิดโปงเอกสารลับเกี่ยวกับการทำสงครามในอัฟกานิสถาน หรือที่เรียกว่า "Afghan War Diary" จำนวน 91,731 ฉบับ ในช่วงวันที่ 25-28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตามติดมาด้วยการออกมาแฉเอกสารลับเกี่ยวกับการทำสงครามใน อิรักช่วงปี 2004 - 2009 หรือ "the Iraq War Logs" จำนวน 391,832 ฉบับ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา และล่าสุดคือ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่มีการออกมาเผยแพร่เอกสารลับจำนวน 251,287 เรื่อง ที่วิกิลีกส์อ้างว่า ได้มาจากการรั่วไหลของโทรเลขและเอกสารลับทางการทูตของสถานทูตและสถานกงสุล กว่า 274 แห่งของสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศทั่วโลก หรือที่เรียกกันติดปากว่า "US diplomatic cables leak"


    และการออกมาเปิดเผยเอกสารลับและข้อมูลต่างๆ เป็นระลอกที่ 3 ของปีนี้นี่เอง ที่ถือกันว่า เป็นปฏิบัติการ "แฉ" ครั้งที่สะเทือนโลกมากที่สุด เพราะข้อมูลลับที่วิกิลีกส์นำออกมาแฉในล็อ ตนี้ มีผลกระทบในวงกว้างต่อตัวแสดงต่างๆในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างทั่วหน้า และเปรียบเหมือนเป็นการตบหน้ารัฐบาลอเมริกันแบบ "ฉาดใหญ่"

    แถมยังมีสื่อชื่อดังของโลกอย่าง "เอล ปาอิส" ของสเปน , "เลอ มองด์"ของฝรั่งเศส, "แดร์ ชปีเกิล" ของเยอรมนี, "เดอะ การ์เดียน" ของอังกฤษ รวมถึง "นิวยอร์ค ไทม์ส" ของสหรัฐฯ รับลูกนำเอาข้อมูลลับจากวิกิลีกส์ไปแพร่กระจายอีกต่อหนึ่ง จนบรรดาผู้นำรัฐบาลทั่วโลกต้องหนาวๆ ร้อนๆ และอยู่ไม่เป็นสุขตามกัน

    ข้อมูลที่วิกิลีกส์นำออกมาแฉระลอกล่าสุดมีมากมายหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลเรื่องที่ว่าในความเป็นจริงแล้ว จีนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเพื่อนบ้านของตนอย่างเกาหลีเหนือสักเท่าใดนัก และ ขณะนี้บรรดาผู้มีอำนาจในกรุงปักกิ่งได้เริ่มเตรียมความพร้อมรับมือกับการล่ม สลายของเกาหลีเหนือแล้ว หลังมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่ารัฐบาลโสมแดงน่าจะอยู่รอด ได้อีกไม่เกิน 3 ปีหลังจากที่ผู้นำสูงสุดอย่าง "คิมจองอิล" เสียชีวิต โดยข้อมูลลับที่วิกิลีกส์ได้มานั้นถึงขั้นระบุว่า จีนไม่ขัดข้องต่อการ "รวมเกาหลี" ในอนาคต ถึงแม้ประเทศเกาหลีใหม่จะตกอยู่ใต้อิทธิพลของเกาหลีใต้และสหรัฐฯอย่างเต็มรูปแบบทั้งทางด้านการเมืองและระบบเศรษฐกิจก็ตาม

    อีกหนึ่งข้อมูลเด็ดที่วิกิลีกส์นำมาแฉคราวนี้ และสามารถเรียกเสียง ฮือฮาได้ไม่แพ้กัน คือ การเปิดเผยข้อมูลเรื่องความหวาดกลัวและความวิตกกังวลของบรรดาผู้นำชาติ อาหรับต่อความก้าวหน้าในโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านถึงขั้นที่มีผู้นำ อาหรับบางรายร้องขอให้สหรัฐฯโจมตีแหล่งนิวเคลียร์ของอิหร่านเสียให้รู้แล้ว รู้รอด

    รวมถึง ข้อมูลที่ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีซิลวิโอ แบร์ลุสโคนีของอิตาลี มีสัมพันธ์แนบแน่นกับ " 2 คู่หูแห่งวังเครมลิน" คือ ประธานาธิบดี ดมิตรี เมดเวเดฟ และนายกรัฐมนตรีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย ถึงขั้นที่มีการทำโครงการความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและพลังงานที่ "ไม่โปร่งใส" ระหว่างอิตาลีกับรัสเซียเกิดขึ้นหลายโครงการ

    แต่ที่ใกล้ตัวพี่น้องคนไทยมากที่สุดเห็นจะเป็นการแฉเอกสาร ลับที่ระบุว่า เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงเทพฯเคยเอ่ยปากเตือนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทยตั้งแต่เมื่อต้นปีที่แล้วว่า มีความพยายามจาก คนบางกลุ่มในการขัดขวางทางการไทยไม่ให้ส่งตัว "วิกเตอร์ บูท" พ่อค้าอาวุธชื่อดังชาวรัสเซียเจ้าของฉายา "นายหน้าค้าความตาย" เป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีในสหรัฐฯ

    เว็บไซต์ วิกิลีกส์ระบุว่า นายอีริก จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กล่าวเตือน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทยว่า มีความพยายามของผู้เกี่ยวกับนายวิกเตอร์ บูท ในการติดสินบน หรือใช้วิธีการอื่นๆ เพื่อปกป้องไม่ให้มีการส่งตัวบูทในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไป ยังสหรัฐฯ

    รวมถึงข้อมูลที่ว่า รัฐบาลรัสเซียมีพฤติกรรมที่ชอบ "ยืมมือ" พวกกลุ่มอาชญากรข้ามชาติชาวรัสเซียที่ไปทำมาหากินในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงพวกมาเฟียรัสเซียในเมืองพัทยาและที่จังหวัดภูเก็ตของไทยในการ ทำสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ เช่น ให้ช่วยกำจัดศัตรูทางการเมือง และการลักพาตัว เป็นต้น

    พร้อมทั้งแฉด้วยว่า เอกสารสถานทูตสหรัฐในไทยแนะประธานาธิบดีบารัค โอบามาให้โทรศัพท์สายตรงมายังนายอภิสิทธิ์เพื่อแสดงท่าทีต่อการส่งตัววิค เตอร์ บูท ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็ยอมว่า นายอีริก จอห์นมาพบจริงแต่เป็นเพียงการแสดงความเป็นห่วงในเรื่องคดีที่จะมีเรื่องของ อิทธิพลเข้าไปแทรกแซง แต่ปฏิเสธข้อมูลว่านายโอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โทรมาหานั้น ไม่เป็นความจริง

    หรือประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าก็ถูกวิกิลีกส์ก็ถูกแฉเช่นกันว่า ผู้นำรัฐบาลทหารพม่า เคยวางแผนที่จะเข้าร่วมซื้อทีมฟุตบอล "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"

    ทั้งนี้ วิกิลีกส์อ้างข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยจากสถานทูตสหรัฐฯในกรุงย่างกุ้งว่า พลเอกอาวุโสตาน ฉ่วย ใน ฐานะผู้บัญชาการกองทัพพม่า และแฟนบอลสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้รับการเร่งเร้าจากหลานชายของตนให้เข้าร่วมการประมูลซื้อสโมสรดังกล่าวโดย ระบุว่าเขาต้องการที่จะใช้ฟุตบอลเพื่อหันเหความสนใจของประชาชนพม่าจาก สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวจัดทำขึ้นในช่วงเดือนมกราคม 2009 เพียงไม่กี่เดือนหลังจากเดือนพฤษภาคม 2008 ซึ่งรัฐบาลทหารพม่าถูกกล่าวหาว่าปิดกั้นความช่วยเหลือจากนานาชาติหลังจากถูก พายุไซโคลนนากิสเข้าพัดถล่ม ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คน


    แน่นอนว่าการออกมาแฉของวิกิลีกส์ครั้งนี้ได้สร้างความไม่พอใจอย่าง ยิ่งให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ และผู้นำประเทศต่างๆ และความไม่พอใจจากการถูกเปิดโปงนี้เอง ที่ทำให้เกิดกระบวนการบางอย่างใน การนำตัวนายจูเลียน อาสซานจ์มาดำเนินคดี จนนำไปสู่การออกหมายจับของทางการสวีเดนและตำรวจสากล หรือ "อินเตอร์โพล" ในข้อหาข่มขืนแก่เขาในเวลาต่อมา แม้หลายฝ่ายจะออกมาตั้งข้อสงสัยว่าเรื่องดังกล่าวอาจมี "แรงจูงใจทางการเมือง"อยู่เบื้องหลังก็ตาม

    นอกจากนั้น นานาประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแฉของวิกิลีกส์คราวนี้ ยังพยายามหาทางกดดันอาสซานจ์ในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการยึดทรัพย์สินและบัญชี เงินฝากของเขาในประเทศต่างๆ จนทำให้อาสซานจ์ทนแรงกดดันไม่ไหวและต้องยอมติดต่อขอเข้ามอบตัวต่อตำรวจ อังกฤษแล้วในที่สุด

    อย่างไรก็ดี ปรากฏการณ์ "แฉ" สะเทือนโลกของวิกิลีกส์ ได้สะท้อนให้ทุกคนเห็นตรงกันประการหนึ่งถึงสัจธรรมข้อที่ว่า "ความลับไม่มีในโลก" และทำให้ทุกคนหวนนึกถึงสุภาษิตคำพังเพยไทยที่ว่า "กำแพงมีหู ประตูมีช่อง" ได้เป็นอย่างดี และการเปิดโปงข้อมูลลับต่างๆ ของวิกิลีกส์ยังทำให้บรรดาผู้นำทางการเมืองทั่วโลกต้องตระหนักและพึงระลึก ไว้เสมอว่า "อย่าคิดว่าประชาชนจะไม่รู้เท่าทัน" เช่นที่แล้วมาในอดีต

    คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">จูเลียน พอล อาสซานจ์ กลายเป็นตัวแสบสำหรับสหรัฐฯและผู้นำอีกหลายชาติ</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">หมายจับอาสซานจ์ของตำรวจสากล ถูกมองว่ามี "การเมือง"แอบแฝง</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">แบร์ลุสโคนีกับ "2 คู่หูแห่งวังเครมลิน"มีสัมพันธ์แนบแน่นและมีความร่วมมือที่"ไม่โปร่งใส"หลายโครงการ</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">การแฉเอกสารทางการทูตของสหรัฐฯ สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">บารัค โอบามา และฮิลลารี คลินตันโดนตบหน้าฉาดใหญ่</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">วิกเตอร์ บูทและประเทศไทยก็ถูกแฉโดยวิกิลีกส์เช่นกัน</td></tr></tbody></table>
    Daily News - Manager Online -
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ผ่าน “เก้าอี้ว่างตัวนั้น” สู่ค่ำคืนอันทรงเกียรติของนักวิทย์โนเบล
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 ธันวาคม 2553 02:20 น.
    [​IMG]

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline">หลัง ผ่านพิธีฉลองโนเบลสันติภาพที่มีเพียง “เก้าอี้ว่างตัวนั้น” ของ “หลิวเสี่ยวโป” บรรดานักวิทย์โนเบล พร้อมด้วยผู้ทรงเกียรติในสาขาวรรณกรรมและเศรษฐศาสตร์ ยกเว้นเจ้าของรางวัลสาขาแพทย์ ต่างเข้ารับพระราชทานรางวัลจากกษัตริย์สวีเดน ในค่ำคืนวันที่ 10 ธ.ค.ตามธรรมเนียมมาตั้งแต่ปี 1901

    พิธีมอบรางวัลโนเบลสาขาสรีรศาสตร์และการแพทย์ ฟิสิกส์ เคมี วรรณกรรมและเศรษฐศาสตร์ ได้เริ่มขึ้นในค่ำคืนวันที่ 10 ธ.ค. เมื่อเวลา 22.30-24.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ณ สต็อคโฮล์ม คอนเสิร์ตฮอลล์ สวีเดน โดยกษัตริย์กุสตาฟที่ 16 (King Carl XVI Gustaf) แห่งสวีเดนได้ทรงมอบรางวัลแก่ผู้ทรงเกียรติ แต่ ศ.โรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ดส์ (Robert Edwards) ผู้ได้รับรางวัลในสาขาสรีรศาสตร์ฯ ไม่สามารถมาร่วมงานได้เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ซึ่งภรรยาของเขา รัธ เอ็ดเวิร์ดส์ (Ruth Edwards) เข้ารับรางวัลแทน

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="399"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="399"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">กษัตริย์กุสตาฟที่ 16 (กลาง) พร้อมด้วย ราชินีซิลเวีย แห่งสวีเดน (ซ้าย) และมกุฎราชกุมารีวิคตอเรียแห่งสวีเดน (ขวา) ในพิธีมอบรางวัลโนเบล (รอยเตอร์)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> สำหรับผู้เข้ารับรางวัลในครั้งนี้ ได้แก่ อังเดร ไกม์ (Andre Geim) และ คอนสแตนติน โนโวเซลอฟ (Konstantin Novoselov) ผู้รับรางวัลสาขาฟิสิกส์ ริชาร์ด เฮค (Richard Heck) ไออิชิ เนกิชิ (Ei-ichi Negichi) และ อากิระ ซูซุกิ (Akira Suzuki) ผู้รับรางวัลสาขาเคมี มาริโอ บาร์กัส โยซา (Mario Vargas Llosa) ผู้รับรางวัลสาขาวรรณกรรม และ ปีเตอร์ ไดมอนด์ (Peter A. Diamond) กับ เดล มอร์เทนเซ็น (Dale T. Mortensen) ผู้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์

    (คลิกอ่านผลงานของผู้ได้รับรางวัลโนเบลประจำปี 2010)

    ส่วนพิธีมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งเป็นสาขารางวัลที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลกนั้น ได้เริ่มขึ้นก่อนพิธีการครั้งนี้ 3 ชั่วโมงครึ่ง ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ โดย หลิว เสี่ยว โป นักโทษการเมืองชาวจีนไม่ได้รับอนุญาตให้มารับรางวัลได้ ในพิธีดังกล่าวจึงได้มอบรางวัลให้แก่ “เก้าอี้ว่าง” ที่มีเพียงภาพถ่ายของหลิว เสี่ยว โป เป็นตัวแทน

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="399"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="399"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ประธานคณะกรรมการรางวัลโนเบลแห่งนอร์เวย์วางใบประกาศและเหรียญรางวัล ณ เก้าอี้ว่างของหลิวเสี่ยวโป (เอพี)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> พิธีฉลองในกรุงสตอคโฮล์มนั้นเป็นงานเลี้ยงที่หรูหรา ซึ่งจัดขึ้นในฮอลล์คอนเสิร์ตของเมืองหลวงแห่งสวีเดน และผู้เข้ารับรางวัลจะได้รับพระราชทานเลี้ยงกาลาดินเนอร์ ที่เมนูอาหารถูกเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด โดยผู้รับรางวัลทั้งหมดจะได้รับรางวัลเป็นเงินมูลค่า 10 ล้านโครน หรือ 45 ล้านบาทในวันถัดไปหลังพิธีมอบรางวัล

    วันที่ 10 ธ.ค. ตรงกับวันเสียชีวิตของ อัลเฟรด โนเบล (Alfred Nobel) ผู้ก่อตั้งรางวัลนี้ขึ้นมา และได้มอบรางวัลมาตั้งแต่ปี 1901 โดยมีผู้ได้รับรางวัลแล้ว 840 คน และวันเดียวกันนี้ยังถือเป็น “วันโนเบล” ที่ชาวสวีดิชจะมีกิจกรรมเพื่อฉลองวันสำคัญนี้

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="222"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="222"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ราชินีซิลเวีย แห่งสวีเดน (รอยตอร์)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="399"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="399"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ริชาร์ด เฮค พยุงตัวเองด้วยไม้เท้าเข้ารับพระราชทานรางวัลจากกษัตริย์กุสตาฟที่ 16 แห่งสวีเดน (รอยเตอร์) </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="399"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="399"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">อากิระ ซูซุกิ รับพระราชทานรางวัลจากกษัตริย์กุสตาฟที่ 16 </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline"> ไออิชิ เนกิชิ รับพระราชทานรางวัลจากกษัตริย์กุสตาฟที่ 16 (รอยเตอร์)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="226"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="226"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">อังเดร ไกม์ โค้งคำนับหลังรับพระราชทานรางวัล (รอยเตอร์)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="226"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="226"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">คอนสแตนติน โนโวเซลอฟ (รอยเตอร์)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ผู้รับรางวัลโนเบลประจำปีนี้ </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ผู้รับรางวัลโนเบลประจำปีนี้นั่งแถวหน้า (รอยเตอร์)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">เหรียญที่ผู้เข้ารับรางวัลโนเบลได้รับ (รอยเตอร์)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">งานเลี้ยงกาลาดินเนอร์อันหรูหราในคอนเสิร์ตฮอลล์ (เอพี)</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>Science - Manager Online -

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="left" background="images/bg_comment.gif"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline">ความคิดเห็นที่ 18</td> <td class="body4" align="right" background="images/bg_comment.gif" valign="baseline" width="100"> +13 </td> <td align="center" background="images/bg_comment.gif" valign="baseline" width="5">
    </td> <td align="center" background="images/bg_comment.gif" valign="baseline" width="25">
    [​IMG]</td> <td align="center" background="images/bg_comment.gif" valign="baseline" width="25">[​IMG]</td> <td align="center" background="images/bg_comment.gif" valign="baseline" width="55">[​IMG]</td> <td align="center" background="images/bg_comment.gif" valign="baseline" width="62">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="top" width="15">[​IMG]</td> <td class="body" align="left" valign="top"> รัฐบาลของโอบามา ยังคงประจำการทหารในอิรัค อัฟกานิสถาน เครื่องบินโดรนของอเมริกา คร่าชีวิตพลเรือนปากีสถาน อิรัค อัฟกานิสถาน ไปเท่าไร แต่ทำไม โอบามา ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

    หลิวเสี่ยวปอ ทำให้คนในประเทศเกิดความขัดแย้งแตกแยก แต่ทำไม เสี่ยวปอ ยังได้สาขาสันติภาพ ฝรั่งบอกว่า รัฐบาลจีนขังเสี่ยวปอเพราะเขาเรียกร้องให้รัฐเปิดทางให้ประชาชนเข้าถึง ข่าวสาร แต่พอผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ ต้องการเผยแพร่ข่าวสารที่ชาวโลกควรรับรู้ แต่เขากลับถูกจับ
    เห็นได้ชัดว่า ฝรั่ง 2 มาตรฐานครับ รางวัลนี้เชื่อถือไม่ได้เลย
    คุณ อ้างไม่ได้นะครับว่า สิ่งที่แอสซานจ์ทำเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของแต่ละประเทศ เพราะสิ่งที่เสี่ยวปอทำก็คุกคามความมั่นคงของจีนเช่นเดียวกัน สองมาตรฐานชัดๆ

    พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นผู้ที่ทำให้แผ่นดินจีนสงบเรียบร้อย ไม่มีการรบราฆ่าฟันกันอีกนับตั้งแต่ปี 1949 แต่ทำไมพรรคคอมฯ จีน ไม่ได้รางวัลนี้ทั้งที่ควรได้ที่สุดด้วยซ้ำ

    สรุป โอบามา ทำสงคราม - ได้รางวัลสันติภาพ
    เสี่ยวปอ ทำให้ประเทศแตกแยก ประชาคมโลกเกิดความคิดแตกแยกเป็นสองฝ่าย - ได้รางวัลสันติภาพ
    แอสซานจ์ วิกิลีกส์ - โดนจับไม่รู้ชะตากรรม ฐานเป็นภัยคุกคามความมั่นคง ทั้งที่เขาก็ทำสิ่งเดียวกับที่เสี่ยวปอทำ

    รางวัล โนเบล มันสำหรับ พวกที่เชิดชูประชาธิปไตย ไม่ใช่สำหรับพวกที่รักสันติภาพจริงครับ เพราะฉะนั้นควรเปลี่ยนชื่อรางวัลเป็น democracy price ครับ
    free assange ฝรั่ง 2 มาตรฐาน</td></tr></tbody></table>http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9530000174211
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2010
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ผู้ก่อตั้ง"วิกิลีกส์"ถูกขังเดี่ยว

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 11 ธันวาคม 2553 06:19


    [​IMG]


    ตำรวจอังกฤษแยก "อัซซานจ์" ขังเดี่ยว เพื่อความปลอดภัย ขณะอดีตผู้สนับสนุน "อัซซานจ์" เตรียมเปิด "โอเพนลีกส์" แข่งวิกิลีกส์


    ทนายความของนายจูเลียน อัซซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ เผยว่าตำรวจอังกฤษนำตัวนายอัซซานจ์จากห้องขังหลักในเรือนจำวันส์เวิร์ธ ไปขังเดี่ยว เพื่อความปลอดภัย ก่อนที่เขาจะปรากฎตัวต่อศาลกรุงลอนดอนเป็นครั้งที่ 2 ในวันอังคาร หลังจากถูกจับตามหมายจับของสวีเดน ซึ่งอัยการต้องการสอบปากคำเขาเกี่ยวกับข้อหาข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศหญิง 2 คน
    ทนายความของนายอัซซานจ์ร้องเรียนว่าลูกความของตัวเองไม่ได้รับ อนุญาตให้พักผ่อนหย่อนใจในเรือนจำ และมีปัญหาในการโทรศัพท์ติดต่อกับภายนอก นอกจากนั้น นายอัซซานจ์ยังไม่ได้รับอนุญาตให้มีแลปทอปในห้องขัง แต่ทนายความร้องขอให้ส่งให้เขา 1 เครื่อง
    "เรากำลังเตรียมการร้องเรียน ทางกฎหมายและเขามีปัญหาในการเขียนด้วยมือ เราจึงคิดว่าจะช่วยได้มากหากเขามีแลปทอป" ทนายความระบุโดยไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดนายอัซซานจ์จึงมีปัญหาในการเขียน พร้อมเสริมว่านายอัซซานจ์มีกำลังใจดีแต่หงุดหงิดที่ไม่สามารถตอบโต้ข้อกล่าว ที่ว่าวิกิลีกส์อยู่เบื้องหลังจากโจมตีทางไซเบอร์บริษัทบัตรเครดิตที่ระงับการทำธุรกรรมกับวิกิลีกส์
    "เขาบอกว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย และนี่เป็นความพยายามรวมวิกิลีกส์ ซึ่งเป็นองค์กรเผยแพร่ เข้ากับองค์กรแฮค" ทนายความเผย
    ทั้งนี้ เวบไซต์ของสำนักงานอัยการและตำรวจเนเธอร์แลนด์ เป็นเหยื่อรายล่าสุดของการถูกโจมตีด้วยไซเบอร์ ซึ่งน่าจะเชื่อมโยงกับการจับกุมวัยรุ่นอายุ 16 ปีที่สนับสนุนวิกิลีกส์และโจมตีทางไซเบอร์เวบไซต์บัตรเครดิต
    นอกจากนั้น ทนายความของนายอัซซานจ์ยังปฏิเสธข่าวที่ว่าสหรัฐเตรียมดำเนินคดีกับวิกิลีกส์ แต่เสริมว่าหากดำเนินคดีภายใต้กฎหมายจารกรรมจะถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้องตาม รัฐธรรมนูญ และก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออกสำหรับองค์กรสื่อ ทั้งหมด
    ขณะเดียวกัน อดีตผู้สนับสนุนวิกิลีกส์ซึ่งเกิดแตกคอกับนายอัซซานจ์ กล่าวว่าจะทำโครงการแข่งกับวิกิลีกส์เพื่อเผยแพร่เอกสารลับไปยังสื่อโดยตรง โดยจะใช้ชื่อว่า โอเพนลีกส์


     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จากวิกิลีกส์สู่เมืองไทย...อิสรภาพใหม่บนแก้วเหล้าใบเดิม

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 10 ธันวาคม 2553 08:00


    [​IMG]


    บริบททางสังคมมักจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา จนอาจกล่าวได้ว่าการมีเสรีภาพที่สมบูรณ์แบบอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย


    ท่ามกลางการกีดกันไม่ให้เข้าถึงบางเรื่อง บางอย่าง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ยังเป็นปัญหาและคำถามที่ต้องการคำตอบแบบไม่เคยหมดสิ้น
    วงเสวนา ความมั่นคงของรัฐ VS อิสรภาพโลกออนไลน์ จากวิกิลีกส์ถึงเมืองไทย” มีมุมมองสะท้อนความท้าทายระดับโลก สู่รัฐไทย ประเทศเล็กๆ แต่ปัญหาไม่เล็กเหมือนดังตัว...
    ความมั่นคงรัฐเรื่องโกหกทั้งเพ
    นายนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า กรณีวิกิลีกส์ เป็นเรื่องความมั่นคงของชาติจริงหรือไม่ ไม่สำคัญเท่าความมั่นคงของคน และสังคม ที่ผ่านมาระบบอำนาจนิยมนำไปสู่การทำลายล้าง ใช้สื่อปั้นแต่ง ครอบงำสิทธิเสรีภาพ
    “เรื่องความมั่นคงของรัฐเป็น เรื่องโกหกทั้งเพ สังคมไทยชอบปิดบังข้อมูลข่าวสารแล้วบอกว่าคนไทยโง่ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องการปิดกั้นการเข้าถึงมากกว่า สังคมต้องมองเรื่องความดี ความเป็นธรรม หากจะเป็นธรรมรัฐต้องเปิดกว้าง ถ้าปิดถือว่าฮั้วกัน แล้วมาอ้างความมั่นคงของรัฐ
    ทั้งนี้มีข่าวสารเป็นแสนชิ้นถูกเผยแพร่ออกมา เรื่องนี้ไม่ใหม่แค่ตอกย้ำเรื่องที่รู้มานานแล้วคือเป็นแค่เรื่องหลอกลวงของ ชนชั้นปกครอง และกลุ่มอำนาจผลประโยชน์ จากนี้ความรู้จะไม่ใช่อำนาจอีกต่อไป แต่เป็นข้อมูลข่าวสารที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของการต่อสู้ภาคประชาสังคม เพื่อมีส่วนร่วมทางการเมือง และควบคุมตรวจสอบชนชั้นปกครองในการใช้อำนาจ
    เขากล่าวว่า ที่ผ่านมาหลายคนพยายามนำประเด็นเหล่านี้มาเอาผิดกัน ไม่ต่างกับการนำอำนาจกฎหมายและนโยบายเพื่อสร้างความชอบธรรมโดยการปิด เว็บไซต์ หรือปิดกั้นสื่ออินเทอร์เน็ตต่างๆ
    อย่างไรก็ตาม การพยายามใช้ความมั่นคงของรัฐมา ปิดกั้นสื่อ เป็นประเด็นต้องทบทวนว่าเป็นการครอบงำ หรือแทรกแซงการเติบโตของพลเมืองหรือไม่ โดยมีหลักการพิจารณาที่สำคัญคือ สื่อต้องทำหน้าที่บอกความจริงต่อสังคม กระตุ้นให้มีการเปิดพื้นที่การแสดงออก
    ข่าวสารคืออำนาจ

    นายโสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แนวโน้มที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับสหรัฐในไทยมีโอกาสเป็นไปได้สูง คำถามคือแล้วจะกระทบแรงแค่ไหน ตัวความมั่นคงคืออะไรกันแน่ จริงๆ แล้ววิกิลีกส์เป็น แค่ตัวกลางที่เสนอข่าวขึ้นมา และได้รับการรับรองว่าเป็นเรื่องจริง และจะยิ่งทำงานได้ดีเมื่อมีระบบการันตีว่ามีระบบความปลอดภัยแหล่งข่าว
    “แรกๆ ดูเหมือนพระเอก ไปๆ มาๆ ถูกวิจารณ์ค่อนข้างเยอะ ผมขอแบ่งรับแบ่งสู้ไม่อาจตอบได้ว่าไม่เกี่ยวกับความมั่นคงเลย แต่ถ้าพูดว่าทำลายโดยตรงอาจจะไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับประเภท และเนื้อหาข้อมูลเป็นแบบไหน มีผลกระทบทางดีหรือทางร้าย”
    เขาให้ข้อสังเกตว่า การเปิดเผยข้อมูลลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นช่องทางใหม่ที่ประชาชนมีโอกาสเป็นผู้เผยแพร่ ทำให้ข้อมูลข่าวมีอำนาจมากขึ้น แต่ถ้ารัฐบาลโปร่งใสไม่มีอะไรต้องกลัว
    ขณะที่นายอัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เสริมว่า ในมุมของการสื่อสารและสื่อ หลายสิบปีที่ผ่านมาสังคมอยู่ในยุคของคลื่นลูกที่ 2 ที่สื่อมวลชนมีพลานุภาพสูงสุด ประชากรในสังคมถูกจับตามอง วันนี้เป็นคลื่นลูกที่ 3 หรือยุคสังคมข้อมูลข่าวสาร ที่เขย่าการรับรู้ของคนสังคม เป็นโอกาสที่พัฒนาสู่การมีเครื่องมือทางเทคโนโลยีเพื่อการแสดงออก
    “ถึงจุดเปลี่ยนที่ต้องรอดูว่าจะเกิดอะไรตามมา แต่สุดท้ายความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ระหว่างเสรีภาพของสื่อใหม่ของนักข่าวพลเมืองที่ใครก็สามารถเผยแพร่ข่าวได้ กับความรับผิดชอบอยู่ตรงไหน สุดท้ายประโยชน์สาธารณะต้องสูงกว่า”
    รอยต่อการเปลี่ยนแปลง
    พันเอกธีรนันท์ นันทขว้าง รองผู้อำนวยการกองการเมือง กล่าวว่า ข้ามมาจากยุคของนอนเทรดดิชั่นแนลซีเคียวริตี้ สู่ยุคโซเชียลมีเดีย วิกิลีกส์เป็น รอยต่อ และจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง วันนี้โลกเปลี่ยนเป็นฮิวแมน ซีเคียวริตี้ ที่ความคิดฝ่ายบริหารยังไปไม่ทัน กลไกที่เหมาะคือภาคประชาสังคม จากนี้จะมีการโต้แย้งรุนแรงขึ้นอีก
    เขาเล่าว่า ประเด็นความมั่นคงแห่งรัฐเป็นการตกค้างความคิดหน่วยงานด้านความมั่นคง การปฏิรูป และธรรมาภิบาลในหน่วยงาน หากไม่มองเรื่องอุดมคตินิยม ปัญหาธรรมาภิบาลจะมาแน่นอน ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับสังคมยอมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
    “เมื่ออยู่ยุคเปลี่ยนผ่านต้องอดทนและมันจะไปสู่จุดที่ต้องยืน สมัยก่อนอารยธรรมสร้างมา 3 พันปี วันนี้ความขัดแย้งมีมาไม่กี่เดือน บริบทสังคมในระยะยาวหน่วยงานความมั่นคงต้องถอยไปยังจุดที่ควร”
    นายกานต์ ยืนยง ผู้อำนวยการ สยาม อินเทลลิเจนท์ ยูนิต มองว่า ขณะนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ยังไม่รู้จะเป็นอย่างไร ที่แน่ๆ คือ การบริหารงานภาครัฐอดีตองค์กรภาครัฐกำหนดนโยบายจะเปลี่ยนสู่ภาคประชาชนมาก ขึ้น ขณะที่รัฐมีปัญหาปกปิดความลับเพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง
    เขากล่าวว่า เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น หากยังเพิกเฉยไม่ทำสิ่งอันควรทำอาจเกิดความรุนแรงซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด ขึ้น หลายประเทศในเอเชียกำลังอยู่ในภาวะเปลี่ยนแปลง มีสิ่งที่แตะต้องพูดถึงไม่ได้ แต่เชื่อว่าอินเทอร์เน็ตจะเปลี่ยนโลก ต้องรอดูและเผื่อใจ
    ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป
    นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ เครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า สถานการณ์สิทธิเสรีภาพอินเทอร์เน็ตประจำปีนี้อยู่ในขั้นวิกฤติ เพราะมีการใช้กฎหมายพิเศษ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการให้อำนาจ ศอฉ. ปิดกันเว็บไซต์อย่างไรก็ได้ ทั้งสามารถดำเนินคดีกับใครก็ได้ที่เข้าข่ายขัดความมั่นคงของรัฐในสายตา ศอฉ.
    จุดนี้เป็นตัวชี้วัดที่ทำให้เสรีภาพสื่อและเสรีภาพอินเทอร์เน็ตใน ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะถดถอย ทำให้ประเทศตกอยู่ในสายตาขอนานาประเทศเรื่องความลดระดับเรื่องสิทธิและ เสรีภาพทางการเมือง และถูกมองว่ารัฐไทยมองอินเทอร์เน็ตเป็นศัตรูทางการเมือง
    ทั้งนี้ ภาพรวมตัวเลขการเข้าถึงสื่ออินเทอร์เน็ตในไทย คาดว่า ปีนี้จะมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 21 ล้านราย จาก 18 ล้านรายเมื่อปีก่อน ข้อมูล กทช.ไตรมาส 2 ปี 2553 ระบุผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มีจำนวน 2.4 ล้านรายเติบโตขึ้น 23% ทั้งมีข้อมูลว่าการใช้งานนอนวอยซ์ และดาต้า เซอร์วิสผ่านมือถือเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอัตราคงที่แม้ว่าไม่มี 3จีก็ตาม
    ที่น่าสนใจคือ ปีนี้เป็นปีทองของโซเชียลเน็ตเวิร์ค โดยเฉพาะเฟซบุ๊คจากผลสำรวจพบว่า มีอัตราการเติบโตมากถึง 235% จาก 4.6 ล้านรายเป็น 6.6 ล้านราย
    นางสาวอรชพร นิมิตรกุลพร รักษาการผู้อำนวยการ คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ เล่าว่า จากประสบการณ์การทำงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ชัดเจนว่าภาครัฐใช้เว็บไซต์ของตัวเองส่งผ่านข้อมูลมายังประชาชน ในแง่การแสดงออกทางความคิดพื้นที่ของประชาชนมีน้อย ประชาชนมีความกลัวสูง การแก้ปัญหามองในภาพใหญ่ถ้าข้อมูลไม่พอก็อาจทำได้ยาก ทำให้หาจุดลงตัวลำบาก แต่เชื่อว่าแต่ละคนจะมีหนทางของตนเอง

    พ.ร.บ.คอมพ์ถูกสอดไส้
    นายจอน อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ชี้ว่า อำนาจรัฐทั่วโลกเหมือนกันหมด คือต้องการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยอ้างเรื่องความมั่นคง หรือศีลธรรมอันดีงาม หรือไม่ก็เพื่อการต่อสู้กับสงครามก่อการร้าย
    เขากล่าวว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ถูกสอดไส้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการจำกัดเสรีภาพ การจำกัดเสรีภาพมีหลายรูปแบบ ไม่ได้มีเฉพาะ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่มีกฎหมายหมิ่นประมาท และตัวบทอื่นๆ ฉะนั้นมาตราทั้งหลายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพต้องยกเลิกให้ได้ และต้องยกเลิกโดยพลังของประชาชน ไม่ใช่ยกเลิก พ.ร.บ.ทั้งหมด แต่ต้องยกเลิกเนื้อหาที่จำกัดเสรีภาพออกไป
    “ประเทศไทยค่อนข้างมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นทุกรูปแบบตราบใดที่ ไม่พูดถึงสถาบันกษัตริย์ เรื่องนี้เป็นความจริงในทางปฏิบัติ แต่ไม่ใช่ในทางทฤษฎี ความน่ากลัวของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมถึงกฎอัยการศึก และ พ.ร.บ.ความมั่นคง คือการเปิดโอกาสให้มีการเซ็นเซอร์การแสดงความคิดเห็น ซึ่งจริงๆ แล้ว คนที่ทำลายสถาบันก็คือคนที่แสดงตัวว่าปกป้องสถาบัน เพราะเป็นการปิดปากประชาชน เมื่อปิดปากประชาชน เขาก็ไปคุยกันในที่ลับ ที่บ้าน หรือที่อื่นๆ ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้” นายจอน กล่าว


     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มะกันจะใช้กฎหมายอะไร มาจัดการกับ Wikileaks?

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 11 ธันวาคม 2553 01:00
    กาแฟดำ
    มีคนถามอย่างกว้างขวางว่ารัฐบาลสหรัฐ ไม่มีกฎหมายอะไรมาจัดการกับ Wikileaks
    ที่เอา "เอกสารลับ" กว่า 250,000 ฉบับออกมาแฉเลยหรือ?
    ไฉนรัฐบาลสวีเดนจึงใช้ข้อหา ละเมิดทางเพศผู้หญิงสองคนมาจับ นายจูเลียน อัสซานจ์ แทนที่จะเป็นประเด็นเรื่องความลับและความมั่นคง?
    คำตอบก็คือว่าคดีเรื่องผู้หญิงเกิดขึ้นก่อน แต่กรณีความลับราชการ ยังเป็นเรื่องที่รัฐบาลสหรัฐวิ่งกันวุ่น เพื่อหาลู่ทางจัดการกับนายอัสซานจ์
    นักกฎหมายของรัฐบาลมะกันส่วนใหญ่ ชี้ไปที่กฎหมายจารกรรม หรือ Espionage Act 1917 ซึ่งระบุความผิดสำหรับการกระทำ หรือบุคคลที่กระทำการอันเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูล ที่เกี่ยวกับการป้องกันประเทศ หรือข้อมูลที่บุคคลไม่มีสิทธิจะมีไว้ในครอบครอง หากใช้เป็นภาษาต้นฉบับในกฎหมาย จะบอกว่าความผิดอาญาในเรื่องนี้เกี่ยวกับ "...relating to the national defense" to "any person not entitled to receive it."
    นักกฎหมายมะกันบอกว่านายอัสซานจ์เข้าข่ายนี้แน่ เพราะเอกสารลับนั้นเป็นเรื่องความมั่นคงหลายเรื่อง และเขาไม่ใช่คนที่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะครอบครองมันได้ แต่ยังมีอีกข้อความหนึ่งในกฎหมายฉบับนี้ ที่ต้องพิสูจน์ว่ามีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่าอาจจะสามารถใช้ความลับราชการนี้ เพื่อ "สร้างความเสียหาย" ให้กับสหรัฐอเมริกาได้ หรือ "...reason to believe" that the secret information "could be used to the injury of the United States."
    "เหตุผลที่จะเชื่อได้..." และ "อาจจะสามารถสร้างความเสียหาย..." นั้นกว้างพอที่จะทำให้ เจ้าของวิกิลีกส์ถูกจับขึ้นศาลได้อย่างแน่นอน ซึ่งย่อมแปลว่าในการดำเนินคดีนี้จนเอาผิดนายอัสซานจ์ได้นั้น จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเขามี "เจตนาทางร้าย" หรือ "Bad Faith" ในการกระทำครั้งนี้
    ประเด็นนี้แหละที่จะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะนายอัสซานจ์พยายามจะยืนยันมาตลอดว่าเขาทำเช่นนี้ด้วย "เจตนาดี" เพราะต้องการให้รัฐบาลสหรัฐ ดำเนินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคง ด้วยความโปร่งใสเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบความเป็นไปทุกขั้นตอน
    Wikileaks สามารถสู้คดีนี้ด้วยการอ้างว่าทำเพื่อ "ประโยชน์สาธารณะ" และอ้างเสรีภาพแห่งข่าวสารซึ่งได้รับการรองรับอย่างแข็งขันในรัฐธรรมนูญของ สหรัฐ อีกทั้งนายอัสซานซ์อาจจะต่อสู้ด้วยประเด็นที่ว่า แม้แต่รัฐมนตรีกลาโหม โรเบิร์ท เก็ตส์ เองก็ยังพูดไว้ว่าการเปิดเผยเอกสารลับครั้งนี้มีผล "เพียงเล็กน้อย" ต่อการดำเนินทางการทูตของอเมริกา
    ถ้าเป็นเช่นนี้ ทำไมนายอัสซานจ์จะไม่ขอให้รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐมาเป็นพยานฝ่ายจำเลยเล่า?
    แต่หากรัฐบาลสหรัฐจะดำเนินคดีกับ Wikileaks จริง ก็น่าจะมีหลักฐานมากมาย ที่จะพิสูจน์ว่าการเปิดเผยเรื่องลับอย่างนี้ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินของบุคคลอื่นมากมาย เช่น การเปิดเผยโทรเลขลับจากรัฐมนตรีต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน ไปถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงสหรัฐทั่วโลกว่าด้วย "จุดอ่อนไหว" ที่เป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ทางความมั่นคงของสหรัฐ
    หรือที่วิกิลีกส์เคยเผยแพร่เอกสารลับ ที่เป็นรายงานทางทหารจากภาคสนาม ที่ระบุชื่อของพลเรือนชาวอัฟกันที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งย่อมแปลว่าคนเหล่านั้นตกอยู่ในห้วงอันตราย อาจจะถึงแก่ชีวิตเมื่อใดก็ได้
    แน่นอนว่าบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญสหรัฐ ที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชนใน First Amendment จะเป็นข้อต่อสู้ที่แข็งขันที่สุดของนายอัสซานจ์ เพราะเขาก็ทำหน้าที่สื่อในการหาข้อมูล เพื่อเผยแพร่ให้เกิดประโยชน์กับสาธารณชน หากดูจากประวัติศาสตร์ในคดีที่ละม้ายกัน ก็น่าเชื่อได้ว่าศาลอาจจะยืนอยู่ข้างคนที่เผยแพร่ และยังไม่เคยมีหนังสือฉบับใดในอเมริกา ที่เคยถูกข้อหาอาญาเพราะตีพิมพ์ความลับราชการ เหตุเพราะ First Amendment ของเขาขลังมาก
    คดีเกรียวกราวที่สุดในลักษณะนี้ ก็คงหนีไม่พ้นการที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ที่พิมพ์ The Pentagon Papers ซึ่งเป็นเอกสารลับของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ว่าด้วยการทำสงครามเวียดนามเมื่อราว 30 ปีก่อน ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ฟ้องศาลขอให้ระงับการตีพิมพ์ แต่ศาลสูงสุดสหรัฐตัดสินด้วยคะแนน 6 ต่อ 3 ให้สื่อสามารถตีพิมพ์เนื้อหาจากเอกสารลับนั้นได้ เป็นคำตัดสินบนพื้นฐานของเสรีภาพแห่งข่าวสาร ที่รัฐธรรมนูญสหรัฐปกป้องเอาไว้ให้คนของเขาอย่างเหนียวแน่น
    ในคำตัดสินนั้น ศาลระบุว่ารัฐบาลไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่า การเผยแพร่เอกสารเหล่านั้นจะทำให้เกิด "ความเสียหายอย่างร้ายแรง" จนทำให้ต้องระงับการเผยแพร่เอกสารเหล่านั้น และในคำพิพากษาส่วนบุคคลนั้น ตุลาการหลายท่านในขณะนั้น ก็ยืนยันว่าหากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ยังตีพิมพ์ต่อไปอย่างไม่ลดละ ก็สามารถจะใช้กฎหมายจารกรรม 1917 มาเล่นงานได้
    นี่คือประเด็นที่ต้องพิจารณากันอย่างรอบด้านสำหรับการฟ้องร้อง Wikileaks หากจะต้องทำให้เป็นประจักษ์ว่าการขโมยเอกสารลับทางราชการเป็นคดีอาญาที่ต้อง ลงโทษให้เกิดความเข็ดหลาบ แต่รัฐบาลโอบามาก็ต้องเตรียมตั้งรับการโต้แย้งว่าในหลายๆ ส่วนของเอกสารลับนั้น เขาก็ตัดเอาถ้อยความหรือสถิติที่ไม่เหมาะสมจะเปิดเผยออกไปเสียก่อนแล้ว ซึ่งแปลว่าเขายืนยันว่าเขาได้ดำเนินการอย่างระมัดระวัง และไม่เปิดเผยข้อมูลที่อาจจะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศสหรัฐหรือชาติอื่นๆ ที่ปรากฏในเอกสารลับเหล่านั้น
    แต่ผมว่าถ้าจะติดคุกทั้งที นายอัสซานจ์ก็คงจะภูมิใจมากกว่าที่จะถูกศาลตัดสินเรื่อง Wikileaks เอาความลับมาเปิดเผยมากกว่าเรื่องละเมิดทางเพศเป็นไหนๆ
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    LONDON Battle Ground !!! ....... Prince Charles Attacked

    [FONT=&quot]Raw Footage ช่วงนาทีที่รถพระที่นั่งของเจ้าฟ้าชายชาร์ลและนางคามิลลา ผ่านเข้าไปในถนนที่กำลังมีการ ชุมนุมประท้วงของนักศึกษา สรุปว่ารถเสียหายยับเยิน แต่สมาชิกระดับสูงของบิลเดอร์เบิร์กท่านนี้ปลอดภัยดีครับ ไม่น่า(???)เลย.......

    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/VmdRynjwW3k&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/VmdRynjwW3k&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [FONT=&quot]
    The Gold War Phase II.<wbr>.<wbr>.<wbr>by Jimmy Siri บน Facebook http://www.facebook.com/<wbr>home.php?sk=group_17040824<wbr>6326805&ap=1[/FONT]


    โพสต์โดย What's going on in America
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Chat Box

    <!-- IE6 -->



    <!-- IE6 -->

    <!-- IE6 -->

    Dec 11 2010, 6:02 PM

    Guest984 (guest): อยากให้คุณจิมมี่ช่วยแชร์แ<WBR>นวทางการเตรียมตัวให้พร้อม<WBR>กับ
    สถานการณ์ที่กำลังเข้าม<WBR>า ขอบคุณค่ะ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 11 2010, 6:32 PM
    JimmySiri: คงจะเร็วๆ นี้ครับ เพราะกำลังเรียบเรียงและรว<WBR>บรวมประเด็นต่างๆ เข้า
    ด้วยกัน เพราะประเด็นและปัจจัยทุกอ<WBR>ย่างมันชัดเจนขึ้นมามากพอส<WBR>มควรแล้ว แต่คงจะเป็น
    ในลักษณะเปิดกว<WBR>้าง ระดมความคิดกันเหมือนที่ผ่<WBR>านๆมาครับ ถ้ามีดีวีดีหนัง 2012
    ลองเอามาเปิดดูอีกซักรอบคร<WBR>ับ แล้วจับประเด็นแบบช๊อตต่อช<WBR>๊อต คำพูดต่อคำพูด
    โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องตล<WBR>าดหุ้น เศรษฐกิจและเงินดอลล่า เค้าบอกเราไว้ในนั้นแล้วคร<WBR>ับ
    ว่า "<WBR>California is going down"<WBR> แล้วอะไรจะตามมา

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 11 2010, 6:40 PM
    JimmySiri: เพราะสถานการณ์จริง ณ วันนี้ ก็เป็นอย่างนั้น โลกคงไม่ถล่มทลายลง
    ขนาดในห<WBR>นัง 2012 แต่อะไรที่อยู่ในนั้นเกือบ<WBR>ทุกอย่างจะเกิดขึ้นครับ ในหนังเรื่องนี้เค้า "<WBR>
    ซ่อน"<WBR> อะไรไว้มากจริงๆ ถ้าอ่านในสิ่งที่ผมเขียนมา<WBR>ตลอด ดูหนัง 2012 แล้วจะเข้าใจ
    ครับว่าเค้ากำ<WBR>ลังบอกอะไรเรา ดูแบบทุกคำพูดนะครับ ช๊อตต่อช๊อต โดยเฉพาะประเด็น
    แคลิฟอเนีย ตลาดหุ้น เศรษฐกิจ เงินดอลล่าและสงคราม เค้าอาจจะเรียงตามนี้จริงๆ ครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 11 2010, 6:49 PM
    JimmySiri: แต่ถึงจะไม่เรียงตามนี้ ถ้าล้มอะไร "<WBR>ซักอย่าง"<WBR> ที่ผมกล่าวถึงลง ทุกอย่าง
    ก็จะเกิดขึ้นอยู่ด<WBR>ี ลองประเมิณดูสิครับ เพราะแคลิฟอเนียมีขนาดเศรษ<WBR>ฐกิจใหญ่เป็นอันดับ
    8 ของโลก แล้วในความเป็นจริงแคลิฟอเ<WBR>นียล้มละลายทางตัวเลขไปเมื<WBR>่อ 2 ปีที่แล้วครับ
    คำถามคือเมื่อไหร่และอย่าง<WBR>ไรเท่านั้นเอง

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 11 2010, 6:51 PM
    JimmySiri: นอกจากแคลิฟอเนียแล้วอีกอย<WBR>่างน้อย 8-<WBR>9 รัฐก็อยู่ในสภาพเดียวกันกั<WBR>บ
    แคลิฟอเนีย และอีก 40 กว่ารัฐที่เหลือก็ไล่ตามกั<WBR>นมาเรื่อยๆ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 11 2010, 6:54 PM
    JimmySiri: 1-<WBR>2 วันที่ผ่านมา Yield พันธบัตรชนิด 10 และ 30 ปี พุ่งขึ้นน่ากลัว
    ครับ และเบอร์นันเก้ก็ประกาศแล้<WBR>วว่าพร้อมเข้าซื้อพันธบัตร<WBR>เพิ่มทันที ในความหมายก็คือ
    พร้อมที่จะ "<WBR>ปั๊มเงิน"<WBR> เพิ่มทุกเมื่อ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 11 2010, 6:57 PM
    JimmySiri: อีกเรื่องหนึ่งที่น่าติดตา<WBR>มคือกการยั่วยุจีนด้วยการแ<WBR>จกรางวัลโนเบลในครั้งนี้
    สรุปก็คือเค้า Prop หรือสุมไฟทุกอย่างรอไว้ในอ<WBR>นาคตนั่นเองครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Welcome!!
    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

    Financial Collapse by Jim Willie


    อีกหนึ่งบทสนทนาที่น่าสนใจโดย Jim Willie ผู้เชี่ยวชาญทางการลงทุนในตลาดโลหะ เรามาฟังเค้าพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเป็นตัวขับเคลื่อนราคาทองคำอย่างรุนแรง คือ QE2*** ( Quantitative Easing II ) ทั้งของสหรัฐและญี่ปุ่น ที่ทำให้จีนต้องเคลื่อนตัวและปรับทิศทางที่ไม่ค่อยจะมีทางให้ออกเท่าไหร่, Currency War (สงครามค่าเงินหรืออัตราแลกเปลี่ยนที่กำลังเป็นไปอย่างร้อนแรง ระหว่างชาติมหาอำนาจของโลก คือ สหรัฐ ญี่ปุ่น และจีน) ในบทสนทนานี้จะพูดถึงการ Collapse หรือการล้มของระบบการเงินของสหรัฐ ซึ่งจะรุกลามไปที่ตลาดทุน การธนาคาร และเศรษฐกิจทั้งระบบ ซึ่งก็รวมถึงเงินสกุลหลักของโลกก็คือ "ดอลล่า" นั่นเอง

    และนี่ก็เป็นอีก Scenario หรืออีกภาพหนึ่งของเงินดอลล่า ที่ต้องอ่านใจ ( กลุ่ม NWO )กันในระดับโลกครับ ส่วนอีกภาพหนึ่งคือการเกิดสงครามใหญ่ก่อนแล้วดอลล่าจะล้มตามมาที่หลัง ( โดยวุฒิสมาชิก รอน พอล Rep, TX ) ซึ่งนักวิเคราะห์โดยส่วนใหญ่ให้น้ำหนักในภาพแรกมากกว่า แต่ด้วยความเป็น รอน พอล แคนดิเดตเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ท่านนี้ไม่ธรรมดาครับ

    <EMBED height=344 type=application/x-shockwave-flash width=425 src=http://www.youtube.com/v/rheH8RD0-7Q?fs=1&hl=en_US&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01 allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    ปล.คงต้องขออภัยและคงยังโพสต์บทความได้ไม่เต็มที่ครับ คงได้แค่แวะเวียนมาบางครั้ง เนื่องจากกระท่อมน้อยที่สร้างใหม่อยู่ตรงรอยต่อของหุบเขาพอดี อินเตอร์เน็ตก็ดันไปหยุดตรงปากทางเข้าซะงั้น เฮ้อออออ จะใช้ Air Card ก็ยังทำใจรับกับ Speed ของมันไม่ได้เท่าไหร่ ตอนนี้ก็เลยมาอาศัยอินเตอร์เนตคาเฟ่ ของ CAT ครับ ( ไหนๆ ก็มาอยู่พัทยาแล้ว ก็เลยทำตัวเหมือนฝรั่งซะหน่อย 555 แต่ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบครับผม )


    อย่างที่ทราบครับประเด็นตอนนี้ที่น่าติดตามคือ
    1.QE II ที่ผ่านมาแค่คิดแค่คุยกันครับว่า "ถ้ามี" ถ้าทำขึ้นมาแล้ว $1400 ยังน้อยไปครับ กำหนดการอยู่ที่เดือนหน้าหรือเดือนพฤศจิกายน
    2.Currency War ผ่านทางตลาดพันธบัตรระหว่างประเทศ
    3.อาจจะมีการเริ่มโจมตีอิหร่านของอิสราเอลในเร็วๆ นี้ โดยมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือสหรัฐและลึกกว่านั้นคือวาติกัน
    4.มีลุ้นครับว่า USDX หรือดอลล่าอินเด็กซ์รอบนี้ ว่าจะหลุด 72 หรือไม่ ซึ่งจะมีนัยสำคัญมาก แต่ถ้าไปเฉี่ยวๆ หรือลงไป "แตะแล้วเด้ง" ก็อาจจะได้เห็นการลากไปอีกซักระยะหรืออีกซักปีเป็นอย่างน้อยครับ ก็ไปลุ้นเอาที่ปี 2011 แต่ถ้าไม่เด้ง พวกเราก็ต้องเด้งเองครับ คือเด้งที่จะเตรียมพร้อมรับมือครับ
    5.การล้มตัวครั้งใหม่และครั้งใหญ่ของตลาดหุ้นดาวน์โจนส์ ในลักษณะเดียวกับปี 1928-1930 ถ้าเป็นไปได้ลองค้นดูโพสต์เก่าๆ ในเรื่องนี้ครับ ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม มุขเก่าๆ ดัชนีและกรอบเวลาได้หมดแล้วครับ คือ ที่ 3 ปีจากการทรุดตัวในปี 2007 และปั่น(ล้วนๆ)กลับขึ้นมาที่ 11,000-12,000 จุด
    6.สุดท้าย ยังจำเรื่องการไต่สวนการบิดเบือนราคาทองคำและเงินโดยกลุ่มขาใหญ่โดย CFCT ได้ไม๊ครับ จะมีการเปิดเผยผลการไต่สวนเร็วๆนี้ และอาจจะเป็นภายในเดือนตุลาคมนี้ครับ โดยเชื่อว่าจะมีผลกระทบกับราคาของทองคำและเงินไปในทางบวก จะรุนแรงแค่ไหนคงต้องรอลุ้นกันดูครับ ระวังเรื่องนี้จะเป็นเซอร์ไพรส์ใหญ่ก็แล้วกัน!!! ​


    โพสต์โดย What's going on in America
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

    Gold and Silver Prices Signal the Destruction of the Dollar


    Gold and Silver Prices Signal the Destruction of the Dollar



    <EMBED height=306 type=application/x-shockwave-flash width=500 src=http://www.youtube.com/v/doSpeRyBHw8?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>​


    ลองมาลุ้นกันครับว่าการทรุดตัวลงของดอลล่าในรอบนี้ พวกเค้าจะปล่อยเลยหรือไม่ คือเมื่อ USDX ล่วงลงแตะ 72 เมื่อไหร่ (ซึ่งราคาทองยังต้องไปอีกไกล) ก็คงใกล้ที่จะถึงเวลา "End Game" เข้าไปทุกที ที่ต้องรอดูก็คือ เมื่อไหร่ที่พวกเค้าจะถอดปลั๊กจากระบบการเงิน การธนาคารโลกทั้งหมด ก็คงถึงเวลาแล้วที่หายนะจะเริ่มขึ้น!!! ลองถามตัวเราเองดูครับว่า เราพร้อมหรือยัง ไม่ว่าผลกระทบจะรุนแรงขนาดไหน โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าผลของมันจะไม่ธรรมดาครับ อาจจะไม่เกิดกับเราโดยตรง แต่ถ้าเกิดหนักบ้าง เบาบ้างกับคนรอบข้างของเรา ก็คงจะมากระทบเราในที่สุด ​




    การไหลทะลักของเงินเข้ามาในประเทศไทยและภูมิภาคเอเซีย พร้อมๆ กันหลายประเทศ จนทำให้ตลาดหุ้นดูดี เงินบาทแข็ง มองในเง่ดีก็ดีครับ แต่จะมองอีกด้านก็ต้องระวังว่าจะเป็นการเข้ามา "วางระเบิด!!!" ซึ่งทำพร้อมๆ กันกับอินเดียและในอีกบางประเทศซึ่งเป็นศูนย์กลางหรือฮับทางการเงิน การธนาคารและเศรษฐกิจการค้า หากมองในมุมนี้บวกกับกรอบเวลาต่างๆ จะไปสอดรับกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2012 หรือก็คือ New World Order หรือ การจัดระเบียบโลกใหม่นั่นเอง​




    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2010/10/gold-and-silver-prices-signal.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2010-10-04T12:37:00+07:00>12:37 หลังเที่ยง</ABBR>[​IMG][​IMG]




    13 comments:


    <DL id=comments-block class=avatar-comment-indent><DT id=c4249790056338170765 class="comment-author ">

    <DD class=comment-footer>9 ตุลาคม 2553, 16:37 <DT id=c1376704881872940562 class="comment-author ">
    ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...
    <DD id=Blog1_cmt-1376704881872940562 class=comment-body>สวัสดีครับท่านแม่ทัพและเพื่อนๆ ทุกท่าน

    - War.. War.. and War..
    สงครามที่ไม่ใช่เพียงใช้อาวุธอเข้าถล่มกันอย่างเดียวแล้ว..???
    ณ วันนี้เรากำลังเผชิญสงครามรูปแบบใหม่ที่กำลังทวีความรุนแรง
    ทุกขณะแต่เป็นสงครามที่ใช้ "เงินกระดาษทุ่มใส่กัน"
    ฟังดูน่าจะดีไม่น้อย อิอิ
    มันคือ "Currencies War" ที่กำลังจะเกิดขึ้น
    เอ๊ะ.. หรือได้เกิดขึ้นแล้ว...???
    แล้วจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งนี้เกิดจากใคร...???
    แล้วมดตัวน้อยตัวนิดอย่างเราจะรอดได้อย่างไร...???
    เพื่อนๆคงจะรู้คำตอบดี ก่อนที่เราจะนอนจมอยู่บนกองเงินกระดาษ
    In Focus: สงครามก่อการร้าย — สงครามค่าเงิน ความเสี่ยง 2 รูปแบบที่โลกกำลังเผชิญ

    - เมื่อพี่หยวนไม่สนใจ น้องดอลลี่เลยต้องทำตัวไร้ค่าประชดซะ..
    เข้าสู่ระบบไทยรัฐออนไลน์ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

    - ทำให้พี่ IMF กับ พี่ World Bank แตกความคิดกัน
    โพสต์ทูเดย์

    - พี่ IMF ยืนกรานหัวชนฝาต้องให้ "บาท" แข็ง เอ้ย.. ค่าเงินของแต่ละประเทศ "แข็ง"
    IMF ชี้ค่าเงินหลายสกุลต้อง “แข็ง” ส่งเสริมการขยายตัวของ ศก.เอเชีย | TARADTHONG.COM

    - บทวิแคะน่าคิดจาก โกลด์แมน ซัค ปี 2011 อย่ากระพริบตา..
    โกลด์แมน แซค คาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจแย่ลงใน 6-9 เดือนข้างหน้า

    - แล้วหันกลับมาดูธนาคารชาติ แห่งประเทศสารขัน (มีหน้าที่ล่าสังหารนักลงทุนภายในประเทศ 555)
    http://www.thaihomeonline.com/investment-news.php?id=002454

    - เจ๊ไป เฮียมา ผู้ที่เราต้องฝากชีวิตความเป็นอยู่ของเราให้ท่านดูแล Please... Help Me. (เห็นหน้าแล้วมีความหวังขึ้นเยอะเลยมั้ง)
    http://www.khaosod.co.th/view_news....nid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1DMHhNQzB4TUE9PQ==

    ปล. บทความอ่านเล่นๆ นะครับ
    Leo
    <DD class=comment-footer>10 ตุลาคม 2553, 13:54 [​IMG] </DD><DT id=c9070020442614461518 class="comment-author ">[​IMG]
    ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า... </DT><DD id=Blog1_cmt-9070020442614461518 class=comment-body>สงสัยราคาทองโลก 12xx คงเป็นอดีตไปแล้ว 13xx ก็คงตามมาติดๆ ถึงสิ้นปี 2010 จะจบที่ 14xx หรือเปล่า ต้องติดตามห้ามกระพริบตา
    - รายงาน CFTC Gold as of 5/10/2010 ตั้งแต่ติดตามมา ถ้าจำไม่ผิดนี่เป็นครั้งแรกมั้งครับที่ Commercial Bank เข้า Long (6673) มากกว่า Short(4145) มีนัยยะสำคัญอะไรหรือเปล่าหนอ?
    http://www.321gold.com/cot_gold.html

    Leo
    </DD><DD class=comment-footer>10 ตุลาคม 2553, 14:09 </DD></DL>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2010
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    07/04/2553 <SCRIPT>function pagego(){ var page_go_number = document.getElementById('pagegonumber').value - 1; window.location = '?pn='+(25*page_go_number)+'&id=1085326&cat_w=53968';}</SCRIPT>

    CFTC ออกมาตรการเพื่อสกัดกั้นการเก็งกำไร <NOBR style="FONT-SIZE: 8pt">[No. 0]</NOBR>
    <TABLE style="PADDING-BOTTOM: 10px" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 5px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 5px; PADDING-TOP: 5px">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกมีความผันผวนแกว่งตัวขึ้นลงอย่างรุนแรง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นผลมาจากการเข้ามาเก็งกำไรของบรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์ และสถาบันการเงินต่างๆ ราคาทองขึ้นลงวันละ 20-30 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเรื่องธรรมดา บางวันหนักหน่อยก็ 50-60 ดอลลาร์สหรัฐ บางวันลงที 100 ดอลลาร์สหรัฐ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว การผันผวนของราคาทองส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นที่ตลาด COMEX ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สและออฟชั่นส์ของสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบ โลหะมีค่าและโลหะที่ใช้ในอุตสาหกรรม รวมไปถึงสินค้าทางการเกษตร โดยปกติแล้วราคาสินค้าต่างๆในตลาด COMEX มักจะเป็นตัวชี้นำราคาที่ส่งมอบทันทีในตลาดอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาทองคำ เนื่องจากตลาด COMEX เป็นตลาดที่มีการซื้อขายสัญญาโกลด์ฟิวเจอร์สและออฟชั่นส์ที่มีปริมาณสูง ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายสัญญาเป็นหลักแสนต่อวัน (1 สัญญาต่อ 100 ออนซ์ หรือประมาณ 200 บาททองคำ) ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยว่าหากคืนใดที่ราคาทองคำในตลาด COMEX มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรง จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของราคาทองคำในตลาดโลกได้เลยที เดียว
    การผันผวนของ ราคาทองคำ แร่เงินและทองแดงในตลาด COMEX นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลการซื้อขาย ซึ่งก็คือ US Commodity Futures Trading Commission หรือเรียกย่อๆว่า “CFTC” ต้องพิจารณาออกมาตรการจำกัดโควต้าในการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สและออฟชั่นส์ ของทองคำ แร่เงินและทองแดง เพื่อลดความผันผวนของราคาและสกัดกั้นการเข้ามาเก็งกำไรจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และสถาบันการเงินต่างๆ หลายท่านคงยังจำกันได้ เมื่อช่วงปี พศ.2550-2551 กองทุนเฮดจ์ฟันด์หลายแห่งได้เข้ามาเก็งกำไรในการซื้อขายน้ำมันดิบ ทำให้ราคาพุ่งขึ้นจาก 50 ดอลลาร์สหรัฐ ไปถึงเกือบๆ 150 ดอลลาร์สหรัฐ (ต่อบาร์เรล) อย่างรวดเร็ว แถมปล่อยข่าวจะขึ้นไปถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐ ตอนนั้นทำเอาระบบเศรษฐกิจปั่นป่วนไปทั่วโลก หลังจากที่ปั่นราคาขึ้นมาเป็นที่พอใจ ก็ถึงคราวทุบราคา แล้วก็ทำการเก็งกำไรขาลง หรือถือ short position แทน ราคาน้ำมันก็ร่วงลงอย่างน่าตกใจ ราคาลงมาถึงระดับ 35 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล การผันผวนของราคาน้ำมันดิบในครั้งนั้น ทำให้ CFTC ต้องดำเนินการออกมาตรการจำกัดโควต้าในการซื้อขายน้ำมันดิบในทันที การออกมาตรการดังกล่าวถือได้ว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ราคาน้ำมันดิบไม่แกว่งตัวอย่างรุนแรงเหมือนก่อน หลังจากนั้นกองทุนเฮดจ์ฟันด์และสถาบันการเงินต่างๆก็เริ่มหันมาเก็งกำไรใน ตลาดอื่นแทน ซึ่งก็หนีไม่พ้นตลาดทองคำ ทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นจาก 900 ดอลลาร์สหรัฐ ไปถึง 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ ในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นทาง CFTC ก็เลยพิจารณานำมาตรการจำกัดโควต้าการซื้อขายมาใช้ในตลาดทองคำบ้าง



    ก่อน ที่จะออกมาตราการใหม่ขึ้นมา ทาง CFTCได้เปิดบ้านต้อนรับบรรดาผู้คว่ำหวอดในวงการ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการกองทุน โบรกเกอร์และเทรดเดอร์ ทั้งในฝั่งอเมริกาและยุโรป มาร่วมกันแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการออกมาตรการดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่ก็คัดค้านโดยอ้างว่าการที่ราคาแกว่งตัวขึ้นลงรุนแรงนั้น เป็นไปตามกลไกของตลาด ไม่ได้เกิดจากการควบคุมราคา (Price Manipulation) จากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และการจำกัดจำนวนสัญญาหรือ position ที่ถืออยู่ก็ถูกควบคุมด้วยจำนวนเงินที่วางมาร์จิ้นเอาไว้ นอกจากนี้มาตรการดังกล่าวจะทำให้เกิดความผันผวนของราคาในตลาดต่างประเทศ(นอก สหรัฐอเมริกา) ซึ่งยากในการควบคุมดูแล ก็เป็นธรรมดาครับ พวกที่คัดค้านนี้คงได้กำไรจากการเก็งกำไรในตลาดนี้มหาศาล ก่อนหน้าที่ทาง CFTC จะเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ GATA (Gold Anti-Trust Action Committee) ได้ส่งข้อมูลให้กับ CFTC ว่ามีการร่วมมือกันระหว่าง Bullion Banks และสถาบันการเงินบางแห่งเช่น JP Morgan Chase Bank และ Goldman Sachs ได้ถือสัญญา short เป็นจำนวนมาก ซึ่งสถาบันเหล่านี้ได้ทำการยืมทองคำจากแบงค์ชาติ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากๆ ต่ำจนเรียกว่าเกือบจะยืมฟรีๆก็ว่าได้ โดยทำการปล่อยขายในตลาด แล้วนำเงินไปลงทุนในตลาดอื่น แถมยังถือสัญญา short ในตลาดฟิวเจอร์สไปด้วย ทำกันอย่างนี้ ก็กำไร 3 เด้งกันไปเลย ซึ่งทางแบงค์ชาติของสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรปก็พอใจ เพราะเป็นการกดดันราคาทองไปในตัว และส่งผลให้เงินกระดาษดูมีค่าต่อไป ไม่ว่าจะพิมพ์กันมามากมายขนาดไหนก็ตาม
    หลังจากเปิด รับฟังความเห็นสาธารณะในวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา CFTC ก็ยังคงเปิดรับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะผ่านทางเว็ปไซต์จนถึงวันที่ 30 เมษายนนี้ หลังจากนั้นทาง CFTC จะทำการรวบรวมข้อมูลและข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อนำมากำหนดรายละเอียดของมาตราการจำกัดโควต้า ในเบื้องต้นคาดว่ารูปแบบคงจะคล้ายกับมาตรการจำกัดโควต้าที่ใช้กับตลาดน้ำมัน ดิบอยู่ ส่วนจะเริ่มบังคับใช้เมื่อไหร่นั้น เท่าที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงใน CFTC หลายคนต้องการให้มีผลบังคับใช้ให้เร็วที่สุด นอกจากนี้การออกมาตรการดังกล่าวก็สอดคล้องกับความประสงค์ของประธานาธิบดี สหรัฐ นายบารัค โอบาม่า ที่ไม่ต้องการให้ธนาคารและสถาบันการเงินเข้าไปเก็งกำไรหรือเป็นเจ้าของกอง ทุนเฮดจ์ฟันด์ รวมถึงการทำธุรกรรมใดๆที่ไม่ใช่ผลประโยชน์ของลูกค้า ผมเลยมั่นใจว่า CFTC จะนำมาตรการหรือกฎใหม่ออกมาบังคับใช้ เพื่อลดการเข้ามาเก็งกำไรอย่างแน่นอน แต่ผมยังเดาไม่ออกว่า CFTC จะใช้ยาแรงขนาดไหน ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะแรงมากนัก เพราะจะทนต่อแรงคัดค้านไม่ไหว มาตราการใหม่น่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคมปีนี้ เอาแบบว่ากลับมาจากการพักผ่อนฤดูร้อนก็เริ่มกันเลย เรื่องกำหนดเวลานี้ ผมเดาขึ้นมาเองนะครับ ต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการจาก CFTC ต่อไป
    หาก CFTC บังคับใช้มาตรการจำกัดโควต้าในการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สในตลาด COMEX แล้วราคาทองในตลาดโลกน่าจะเป็นอย่างไร แน่นอนที่สุดราคาทองจะผันผวนน้อยลง โดยดูตัวอย่างจากราคาน้ำมันดิบ หลังจากมีมาตรการจำกัดโควต้า ราคาน้ำมันดิบไม่ได้แกว่งตัวรุนแรงเหมือนก่อน และที่สำคัญต้องมาพิจารณารายละเอียดของมาตรการที่จะออกมาว่ามีรูปแบบอย่างไร และใครจะได้รับสิทธิ์ในการยกเว้นจากมาตรการดังกล่าวบ้าง และได้รับการยกเว้นมากน้อยขนาดไหน ยกตัวอย่างเช่น หากสถาบันการเงินหรือธนาคารที่มีลักษณะเป็น Bullion Banks ได้รับการยกเว้น ราคาทองก็น่าจะลง เพราะกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ต้องการปั่นราคาขึ้น คงหมดแรงไปซะก่อน แต่ถ้าหาก Bullion Banks เหล่านี้ไม่ได้รับการยกเว้น ราคาทองน่าจะเป็นขาขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะพวกนี้จะต้องถูกบังคับให้ลดการถือครอง short position ลง ซึ่งจะทำให้ราคาทองขึ้นไปโดยปริยาย
    http://www.thairath.co.th/content/eco/75185
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    By : ห้างเพชรทองกุลศรีสุวรรณ <NOBR>[​IMG]</NOBR> (อ่าน 12 | ตอบ 0) </NOBR>(07/04/2553 10:10:13)
    CFTC
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4161 ประชาชาติธุรกิจ
    [​IMG]

    ฟองสบู่เก็งกำไรทองใกล้แตก เตือนดีมานด์เทียมดันราคาพุ่งเกินจริง!



    ชำแหละ จุดเสี่ยงเก็งกำไรทอง เผยราคาที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องฉุดความต้องการทองคำที่แท้จริงลดลง สภาทองคำโลกเผยไตรมาส 3 ตกลง 34% ฟากดีมานด์ทองคำกระดาษในตลาดซื้อขายล่วงหน้าพุ่ง จับตานักลงทุนชั้นนำระดับโลกพากันขายทองออกจากพอร์ต


    จากการประมวลบทวิเคราะห์ต่างประเทศในเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เกาะติดตลาดทองคำโลก พบว่าหลายเว็บไซต์ได้วิเคราะห์ให้เห็นถึงสัญญาณอันตรายของตลาดทองคำโลกที่ กำลังเข้าสู่ช่วง "ราคาสูงสุด" แล้ว โดยสัญญาณประการแรกมาจากการที่ความต้องการทองคำที่แท้จริงกำลังลดลงอย่าง ฮวบฮาบสวนทางกับราคาทองคำ และถูกแทนที่ด้วยดีมานด์ทองคำที่มาจากการซื้อขายผ่านกระดาษในรูปของธุรกรรม ล่วงหน้าหลายประเภท ทั้งฟิวเจอร์และออปชั่น

    เน็ด ดับเบิล ชมิดต์ อดีตนักการเงินที่เชี่ยวชาญด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายทั่วโลก ปัจจุบันเป็นเจ้าของสิ่งพิมพ์ที่รายงานสถานการณ์ตลาดทองคำ "THE VALUE VIEW GOLD REPORT" ตั้งข้อสังเกตในบทวิเคราะห์ถึงสัญญาณอันตรายของทองคำ หลังจากทองพุ่งทะยานเหนือระดับ 1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และส่งผลให้ความต้องการทองคำที่แท้จริงทรุดฮวบลง โดยตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่เหมือนกันระหว่างทองคำและน้ำมันในช่วงที่ระดับราคาพุ่งทะยานทำสถิติ สูงสุด คือ ความต้องการน้ำมันดิบได้ลดลงมา หลังจากราคาน้ำมันขึ้นไปถึงระดับ 140 เหรียญ ซึ่งสถานการณ์ของทองคำก็ไม่ต่างกัน ความต้องการทองคำได้ลดลง 34% ในช่วงที่ราคาทองคำพุ่งทะยานเหนือระดับ 1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์

    ชมิดต์ ได้อ้างอิงข้อมูลของสภาทองคำโลก (World Gold Council) ซึ่งระบุว่า ความต้องการทองคำที่จับต้องได้ลดลงถึง 34% ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากการพุ่งทะยานขึ้นของราคาทองคำที่ได้อานิสงส์จากการไหลเข้า เงินลงทุนต่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันได้นำไปสู่การตกต่ำของยอดขายอัญมณีและทองรูปพรรณในตลาดสำคัญ ๆ หลายแห่ง โดยเฉพาะอินเดียและตะวันออกกลาง

    ในบทวิเคราะห์ของชมิดต์ ยังอ้างอิงความเห็นของโรซานา วอซนิแอค ผู้จัดการฝ่ายวิจัยการลงทุนของสภาทองคำโลก ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่า กระแสเก็งกำไรในตลาดซื้อขายทองคำล่วงหน้าและการคาดการณ์ว่า จะมีการกว้านซื้อทองคำแท่งมากยิ่งขึ้นจากภาคทางการ ทำให้มีแนวโน้มปรับราคาขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าความต้องการทองคำจริง ๆ จะไม่มีมากนักก็ตาม

    สัญญาณประการถัดมามาจากการไหลเข้าตลาดคอมมอดิตี้ อย่างมหาศาลของเงินทุนเพื่อการเก็งกำไร ดังปรากฏในรายงานข่าวของวอลล์สตรีต เจอร์นัล เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมาซึ่งชี้ว่า กระแสการลงทุนได้ไหลเข้าสู่ตลาดคอมมอดิตี้ในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยอ้างข้อมูลของบาร์เคลย์ส แคปิตอล ที่ประเมินว่า มีเงินลงทุนไหลเข้าสู่ตลาดคอมมอดิตี้ในปี 2552 ราว 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าระดับสถิติ 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ตลอดทั้งปี 2549

    ขณะที่ รอยเตอร์ได้อ้างข้อมูลจากคณะกรรมการกำกับดูแลตลาดล่วงหน้า (CFTC) ที่สัญญาฟิวเจอร์ทองคำประเภทให้สิทธิซื้อสุทธิในลักษณะของการเก็งกำไรมี ปริมาณลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน สวนทางกับสัญญาฟิวเจอร์ที่ให้สิทธิขายใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาแทน

    ข้อมูล ล่าสุดนับถึงสัปดาห์ที่แล้วสัญญาฟิวเจอร์ทองคำประเภทให้สิทธิซื้อสุทธิที่ จัดอยู่ในกลุ่มเก็งกำไรอยู่ที่ 871 ตัน ลดลง 32 ตัน เมื่อเทียบกับปริมาณธุรกรรมสูงสุด เมื่อ 1 เดือนก่อน ทั้งนี้สัญญาฟิวเจอร์ในลักษณะเก็งกำไรมีสัดส่วนประมาณ 32% ของการซื้อขายในตลาดล่วงหน้า

    นอกจากนี้เว็บไซต์ Commodity News-Commodities Trading-Futures Market-Bullion-Gold-Crude Oil-MCX-NCDEX-NYMEX-LME-Global Markets|Commodityonline ยังตีแผ่สัญญาณการเคลื่อนไหวของบรรดานักลงทุนชั้นนำระดับโลกว่า เกือบทั้งหมดต่างพากันขายทองออกไปจากพอร์ตแล้ว หรือบางรายรวมถึงจิม โรเจอร์ ที่เคยคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำ จะขึ้นไปถึง 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ไม่พบว่ามีการลงทุนในตลาดทองคำในช่วงนี้เลย เป็นเพราะมีความเป็นไปได้ว่า นักลงทุนเหล่านี้ได้เข้าสู่ตลาดทองไปก่อนหน้านี้ โดยเข้าซื้อทองตั้งแต่ราคายังอยู่ที่ 700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อประมาณปีครึ่งที่ผ่านมา และ เทขายเก็บกำไรไปเรียบร้อยแล้ว

    เมื่อ วันจันทร์ที่ผ่านมา (23 พ.ย.) ราคาทองคำที่ตลาดโคเม็กซ์ในสหรัฐได้พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดระหว่างซื้อขายที่ ระดับ 1,174 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนลดลงมาปิดที่ 1,164 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามในตลาดฮ่องกงทองคำถูกเทขายทำกำไร จนราคาปรับลงมาปิดตลาดที่ 1,163.50-1,164.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในวันอังคาร (24 พ.ย.) ทั้งนี้ทองคำในปีนี้ได้ปรับราคาขึ้นไปทั้งสิ้น 32% ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ ทรุดลง 7.5%
    http://www.prachacha...&day=2009-11-26
    ฟองสบู่เก็งกำไรทองใกล้แตก - กระดานทองคำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2010
  16. a-pin-ya

    a-pin-ya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +672
    ทางออกของปัญหาเศรษฐกิจล่ม คือ ล้มกระดาน ใครที่รวยอภิมหาเศรษฐี อย่างนายธนาคาร ทำให้กลายเปนคนธรรมดา ก็จัดการริบทรัพย์เป็นของรัฐ อาจจะด้วยการสร้างสงครามใหญ่
     
  17. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    ผมอยากให้ทุกท่านได้เห็นกราฟราคาทองคำในอดีตจนถึงปัจจุบันที่เกิดขึ้นจริงครับ






    [​IMG]

    มีการออกมาย้ำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าจากนักวิชาการ หรือนายกสมาคมค้าทองคำก็ตามว่าทองคำกำลังเกิดภาวะฟองสบู่

    เค้าเตือนกันมาตั้งแต่ทองคำเพียงออนซ์ละ900+ดอลเท่านั้น

    แล้วถ้าเรามาดูความจริง ทองยังคงทะยานไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง

    ดูราคาตอนนี้ซิครับ new high แล้ว new high อีก

    ใครที่ยังไม่มั่นใจในการถือครองทองคำไว้เป็นทรัพย์เพื่อป้องกันความเสี่ยงนะ ครับ โปรดติดตามข่าวสารการล่มสลายของเงินUSDไว้อย่าได้ขาดครับ

    เพราะการพิมพ์เงินออกมาจากอากาศของอเมริกาครับ พิมพ์แล้วพิมพ์อีก และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพิมพ์

    ตอนนี้ผมได้ข่าวมาอีกแล้วว่า อเมริกาเพิ่งออก QE2 มาหมาด ๆ อย่างที่รับรู้กันไปแล้ว คือพิมพ์เงิน 6แสนล้านUSDออกมาใช้ ตอนนี้เบอนันเก้ประกาศว่าอาจต้องมีเพิ่มอีกถ้าQE2ยังไม่พอ(กูรูฟันธงว่า น่าจะอีกประมาณ 4แสนล้าย USD)
    จับการประกาศของFEDวันที่ 14 ธันวาคมนี้ ก็อีกแค่สองวันข้างหน้านี้เอง

    แน่นอนครับยิ่งอัดฉีดเงินกระดาษหรือเงินจากอากาศเข้าระบบมาก ๆ แล้วก็มาก ๆ มันมองได้หลายมุมนะครับ

    มุมหนึ่งคือเจ้าตัวหมดตูด

    อีกมุมหนึ่งน่ากลัวกว่าและสะเทือนโลกยิ่งกว่าซือนามิ นั่นคือ เค้าต้องการ end game ครับ เพื่อจัดระเบียบโลกใหม่

    คือต้องการให้ USD อ่อนค่าลงจนแทบไม่เหลือค่าในสายตาประชาคมโลก
    แล้วก็เกิดความปั่นป่วนในระบบการเงินการธนาคารขึ้นทั่วโลก เพื่อให้ทั่วโลกยอมรับกับระเบียบการเงินใหม่ที่พวกเขาจะจัดให้มีขึ้น

    แต่มันไม่ง่ายครับที่พวกเขาจะทำกันตามอำเภอใจ เพราะประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของเขาฉลาดพอที่จะไม่ยอมให้ USD จบลงตอนนี้

    เจ้าหนี้รายใหญ่ซึ่งนำโดยจีน และรัสเซีย ตอนนี้ก็พยายามผ่องถ่ายเงินที่ตนถืออยู่ในรูป USD ให้กลายเป็นทองคำครับ ถ้าทองจริงไม่พอ เค้ายังไปซื้อเหมืองทองในแอฟริกา หรือซื้อเป็นเงิน หรือทองแดงแทน

    ผมอยากจะบอกว่า ตอนนี้มันใกล้ถึงจุดวิกฤติของโลกแล้วนะครับ ทางออกดูเหมือนจะไม่มากนัก

    ท่านที่ไม่ค่อยรู้เรื่องเหล่านี้ ศึกษาไว้บ้างนะครับ เพื่อว่าถ้าสถานการณ์ออกไปทางไหนท่านจะได้เตรียมรับมือถูก(รวมทั้งสงครามโลกที่อาจถูกจุดชนวนขึ้นจากเรื่องนี้ด้วย)

    ไม่เฉพาะเพื่อช่วยเหลือตัวเองเท่านั้นนะครับ คุณยังมีส่วนช่วยเหลือคนรอบข้างด้วย

    ผมขอย้ำก่อนส่งท้ายนะครับ ว่าทุกคนเตือนว่าจะเกิดฟองสบู่ในทองคำ
    แต่หลังจากอเมริการพิมพ์เงินใช้เองแล้ว ทองคำทยานตลอดครับ เพราะอะไรเหรอครับ เพราะคำว่าทองคำคือทรัพย์ที่ดีที่สุดในการป้องกันความเสี่ยงไงครับ



    แล้วพบกันใหม่โพสหน้าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2010
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วิกิลีกส์แฉทูตสิงคโปร์จวก “รบ.ทักษิณ-ฝ่ายค้าน” คอร์รัปชันแหลก
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 ธันวาคม 2553 11:43 น.
    [​IMG]
    บิลาฮารี คอสิกัน เลขาธิการถาวรประจำกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์
    เอเอฟพี - นักการทูตสิงคโปร์วิจารณ์ผู้นำประเทศในเอเชียว่าทุจริตคอร์รัปชัน, ไร้ความสามารถ และ โง่ ทั้งยังประณามการเมืองไทยยุคทักษิณว่าคอร์รัปชันทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน โทรเลขกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งวิกิลีกส์นำมาเปิดเผยวันนี้ (12) ระบุ

    โทรเลขของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งวิกิลีกส์มอบให้สำนักข่าวแฟร์แฟกซ์ของออสเตรเลีย มีเนื้อหาวิจารณ์บุคคลสำคัญของหลายประเทศเช่น มาเลเซีย, อินเดีย, ญี่ปุ่น และ ไทย

    “ปัญหาหลักของมาเลเซีย คือ การขาดผู้นำที่มีความสามารถ” บิลาฮารี คอสิกัน เลขาธิการถาวรประจำกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ กล่าวกับ เดวิด ซิดนีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก ในโทรเลขเมื่อเดือนกันยายน ปี 2008

    ด้วยเหตุนี้ “สถานการณ์ในมาเลเซียจึงสับสนและอันตราย” ทั้งยังถูกกระตุ้นโดย “ความขัดแย้งด้านเชื้อชาติที่อาจเกิดขึ้นได้” จนอาจทำให้ชาวจีนกลุ่มน้อยต้องหลบหนีเข้ามาในสิงคโปร์ บิลาฮารี กล่าว

    ปีเตอร์ โฮ เจ้าหน้าที่สิงคโปร์อีกคนหนึ่งกล่าวว่า นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก ของมาเลเซียเป็น “คนฉวยโอกาส” ซึ่ง “ไม่เคยลังเล” ที่จะวิพากษ์วิจารณ์สิงคโปร์ “เมื่อสบโอกาสเหมาะ”

    โฮ ยังระบุว่า ข้อกล่าวหาที่ว่า นาจิบ มีส่วนพัวพันกับการสังหารสตรีชาวมองโกเลียในปี 2006 จะเป็นรอยด่างที่คอย “หลอกหลอน” เขาไปตลอดเส้นทางการเมือง แม้ว่าเขาจะปฏิเสธมันก็ตาม

    นอกจากนี้ บิลาฮารียังเคยวิจารณ์รัฐบาลไทยในปี 2008 โดยประณาม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นว่า “ทุจริต” รวมไปถึง “นักการเมืองคนอื่นๆ และฝ่ายค้านด้วย”

    บันทึกข้อความเมื่อปี 2009 ระบุว่า ทอมมี โกะห์ ทูตสิงคโปร์ซึ่งดูอ่อนโยนและมีวาทศิลป์เมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชน เคยวิจารณ์ญี่ปุ่นและอินเดียอย่างไม่ไว้หน้า

    “ญี่ปุ่นเหมือนผู้แพ้พุงพลุ้ยที่พยายามฟื้นสัมพันธ์กับจีนและ อาเซียน” และ “การที่บทบาทของญี่ปุ่นในภูมิภาคเสื่อมลงเรื่อยๆก็เนื่องมาจากความโง่, ผู้นำที่ไม่ดี และ การขาดวิสัยทัศน์ของญี่ปุ่นเอง” โทรเลขซึ่งบันทึกการสนทนาระหว่าง โกะห์ กับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุ

    โกะห์ยังวิจารณ์ “เพื่อนโง่ๆ ชาวอินเดีย” ของเขาว่าอยู่ในฐานะ “ครึ่งๆ กลางๆ” ในอาเซียน โทรเลขฉบับดังกล่าวเผย

    ขณะนี้รัฐบาลสิงคโปร์ยังไม่มีการตอบโต้ใดๆ แต่หนังสือพิมพ์ สเตรท ไทม์ส ซึ่งสนับสนุนรัฐบาลได้เผยแพร่ถ้อยคำวิจารณ์เหล่านี้ลงบนเว็บไซต์แล้ว
    Around the World - Manager Online -
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Thursday, 11 November 2010 19:24
    ผลกระทบเฟดอัดฉีด QE 2 เงินเฟ้อ/ฟองสบู่นอกสหรัฐพุ่ง
    ศูนย์วิจัย กสิกรไทย รายงานคาดการณ์ผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อและการเกิดฟองสบู่นอกสหรัฐอเมริกา ว่า ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2553 ที่ผ่านมาเป็นไปตามที่คาด โดยเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในกรอบร้อยละ 0.0-0.25 ตามเดิม พร้อมกับประกาศโครงการซื้อสินทรัพย์รอบสอง (Quantitative Easing Measures II: QE 2) มูลค่าประมาณ 6.0 แสนล้านดอลลาร์ จนถึงกลางปี 2554 ซึ่งเท่ากับว่า จะมีการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวด้วยวงเงินประมาณ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่อเดือนนับจากนี้ ทั้งนี้ เฟดระบุเพิ่มเติมว่า จะมีการทบทวนจังหวะการเข้าซื้อ รวมถึงขนาดของโครงการซื้อสินทรัพย์รอบสองนี้ เป็นระยะๆ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า จุดยืนเชิงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของเฟดดังกล่าว (และน่าที่จะมีการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มขึ้นอีกตามระดับความเสี่ยงต่อการ ชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ในระยะข้างหน้า) อาจเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดผลกระทบทางอ้อม (Side Effect) ต่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศอื่นๆ นอกสหรัฐ ซึ่งย่อมจะทำให้ธนาคารกลางของประเทศเหล่านั้น มีความจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงิน ควบคู่ไปกับมาตรการด้านอื่นๆ ในการดูแล-ควบคุมความเสี่ยงเงินเฟ้อและภาวะฟองสบู่ เพื่อที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ที่ต้องรับมือกับความแปรปรวนของกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ

    แนวทางของเฟดผ่อนคลายเพิ่มขึ้น

    แนวโน้มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ ที่อาจจะอยู่ในระดับต่ำยาวนานกว่าที่คาด ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเพิ่มเติมแรงหนุนต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ในการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2553 ด้วยมาตรการซื้อสินทรัพย์รอบสอง (QE 2) นอกเหนือไปจากการยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Funds Rate) ไว้ที่กรอบร้อยละ 0.0-0.25 ซึ่งเป็นระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ต่อไปอีกระยะหนึ่ง

    ที่มา: Econoday

    เฟดเพิ่มระดับการผ่อนคลายเชิงปริมาณ โดยได้ประกาศมาตรการ QE 2 วงเงิน 6.0 แสนล้านดอลลาร์ ในการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งเกือบร้อยละ 90 เป็นพันธบัตรอายุ 2.5-10 ปี ในช่วงจากนี้จนถึงกลางปี 2554 นอกเหนือไปจากการใช้เม็ดเงินราว 2.5-3.0 แสนล้านดอลลาร์ ที่ได้จากการครบกำหนดไถ่ถอนของหลักทรัพย์ที่เฟดถือครองในช่วงเวลาเดียวกัน (ภายใต้ QE รอบแรกวงเงิน 1.7 ล้านล้านดอลลาร์) กลับมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ดังนั้น จึงสามารถประเมินในเบื้องต้นได้ว่า โครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ของเฟดทั้งในส่วนที่มาจาก QE 1+QE 2 จะมีมูลค่าประมาณ 1.1 แสนล้านดอลลาร์ ต่อเดือน แต่มูลค่าการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ต่อเดือนอาจเพิ่มสูงขึ้นในระยะข้างหน้า หากความเสี่ยงในช่วงขาลงของเศรษฐกิจสหรัฐ มีมากขึ้น
    เฟดผ่อนคลายระเบียบเพดานการถือครองหลักทรัพย์เพื่อการเปิดทางสำหรับมาตรการ QE 2 โดยระบุว่า สัดส่วนการถือครองหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งๆ ของเฟด อาจเพิ่มขึ้นสูงเกินกว่าเพดานที่ร้อยละ 35 เป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ เฟดได้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 12.5 ของยอดคงค้างรวมในปัจจุบัน ซึ่งหากมีการเข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มเติมอีก 1 ล้านล้านดอลลาร์ ตามที่นักวิเคราะห์บางส่วนประเมินไว้ ก็อาจทำให้สัดส่วนของพันธบัตรรัฐบาลที่ถือครองโดยเฟดพุ่งขึ้นเป็นร้อยละ 27 ของยอดคงค้างรวม

    สภาพคล่องท่วม/ความเสี่ยงฟองสบู่นอกสหรัฐ
    คงไม่สามารถปฏิเสธว่า แนวทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เพิ่มไปจากการยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ใน กรอบร้อยละ 0.0-0.25 ด้วยการประกาศโครงการซื้อสินทรัพย์ทางการเงินรอบสอง (QE 2) ซึ่งมีวงเงินเริ่มต้น 6.0 แสนล้านดอลลาร์ ระยะเวลาราว 8 เดือน (จนถึงกลางปี 2554) นั้น จะกลายเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ปัญหาสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลกยังคง มีอยู่ต่อไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ซึ่งก็อาจเป็นนัยว่า “ผลกระทบทางอ้อม” ต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงฟองสบู่ราคาสินทรัพย์นอกสหรัฐ อาจเป็นสถานการณ์ที่ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

    ทั้งนี้ จากประสบการณ์ของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา สะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า การวางแนวทางนโยบายการเงินที่ผิดพลาดไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และการเงินของประเทศ อาจกลายเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดช่วงเวลาของภาวะตกต่ำยาวนานทางเศรษฐกิจ ภายหลังจากข้อตกลง Plaza Accord 1985 ที่ทางการ 5 ประเทศเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราร่วมกันเพื่อทำให้เงินดอลลาร์ อ่อนค่าลงนั้น ทางการญี่ปุ่นที่ต้องรับมือกับปัญหาการแข็งค่าของเงินเยน ได้วางแนวทางนโยบายการเงินในเชิงผ่อนคลายด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อ สนับสนุนเศรษฐกิจ ซึ่งหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกิดขึ้นก็คือ เศรษฐกิจญี่ปุ่นสามารถขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงเวลาหนึ่ง พร้อมๆ กับการก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของภาวะฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่น

    การหมุนขั้วนโยบายการเงินเป็นเชิงคุมเข้มในจังหวะเวลาที่ช้าเกินไปของธนาคาร กลางญี่ปุ่น กลายเป็นตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้ผลกระทบที่มีต่อภาคธนาคารของญี่ปุ่นมีความรุนแรง และญี่ปุ่นต้องเผชิญกับความตกต่ำทางเศรษฐกิจพร้อมกับภาวะเงินฝืดยาวนานใน ช่วงเวลาหลังฟองสบู่แตกตัวลง แม้ว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเงินในปัจจุบันจะมีความแตกต่างไปจาก ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของญี่ปุ่นในบางประเด็น โดยแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ในขณะนี้ มีต้นเหตุมาจากความกังวลต่อแนวทางการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของเฟด
    อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า บทเรียนสำคัญที่ธนาคารกลางชาติต่างๆ สามารถนำมาปรับใช้กับสถานการณ์ในปัจจุบันเพื่อรับมือกับ “ผลกระทบทางอ้อม” ที่มีต่อเสถียรภาพของสกุลเงินและเศรษฐกิจโดยรวม ก็คือ การวางแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับพลวัตทาง เศรษฐกิจ เพื่อคงไว้ซึ่งเป้าหมายในการดูแลเสถียรภาพ ท่ามกลางกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศที่อาจมีความผันผวนมากขึ้น

    สำหรับประเทศไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า “ผลกระทบทางอ้อม” ประการแรก ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็คือ การปรับตัวแข็งค่าของเงินบาทในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และน่าที่จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า (เครือธนาคารกสิกรไทยคาดว่า เงินบาทอาจทดสอบระดับ 29.00 และ 28.00 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงที่เหลือของปี 2553 และในปี 2554 ตามลำดับ) ซึ่งทางการไทยก็ได้ทยอยผลักดันมาตรการแก้ไขและลดทอนผลกระทบจากการแข็งค่าของ เงินบาท ควบคู่ไปกับการเข้าดูแลเสถียรภาพและลดทอนความผันผวนของเงินบาท โดยธปท.ในตลาดปริวรรตเงินตรา
    อย่างไรก็ตาม “ผลกระทบทางอ้อม” ที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด ก็คือ การก่อตัวขึ้นของภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์หลายประเภทของไทย (ทั้งตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และตลาดอสังหาริมทรัพย์) รวมไปถึงภาวะเงินเฟ้อ ที่อาจสร้างแรงกดดันต่อจุดยืนเชิงนโยบายของธปท.เพิ่มมากขึ้นในช่วงปีข้าง หน้า ซึ่งอาจครอบคลุมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการควบคุมการปล่อยสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์
    แม้ทิศทางการแข็งค่าของเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย อาจเป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ก็คาดว่า ธปท.และธนาคารกลางในภูมิภาค อาจจำต้องพิจารณาใช้มาตรการดูแลการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศในระดับ ความเข้มข้นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งมาตรการดังกล่าว อาจไม่ได้มุ่งเป้าหมายไปที่เสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนเพียงอย่างเดียว เท่านั้น หากแต่เพื่อเสริมสร้างให้การดำเนินนโยบายการเงินด้วยเครื่องมืออัตรา ดอกเบี้ยเพื่อดูแลภารกิจด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและระดับราคาในประเทศมี ประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น

    ขณะที่ ทางการไทย และประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ที่ไม่มีข้อจำกัดทางด้านการคลัง ก็อาจพิจารณาจุดยืนนโยบายการคลังเป็นเชิงผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศที่ต้องรับมือกับความเสี่ยงหลายด้าน รวมถึงการชะลอตัวของการส่งออกในปีข้างหน้า
    ผลกระทบเฟดอัดฉีด QE 2 เงินเฟ้อ/ฟองสบู่นอกสหรัฐพุ่ง
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

    สงครามค่าเงิน ไพ่ใบแรกที่อเมริกาใช้เล่นงานจีน


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    สงครามค่าเงิน ไพ่ใบแรกที่อเมริกาใช้เล่นงานจีน


    ชอบคำพูดของคุณพี่ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์มากเลยที่กล่าวไว้ในรายการคลื่นความคิด ทาง FM 101 RR1 ที่พูดถึงการปะทะกันของอำนาจแบบอ่อนและอำนาจแบบแข็งระหว่างจีนกับอเมริกา ผู้ซึ่งเป็นคู่ต่อกรในบทบาทอภิมหาอำนาจของโลกในยุคปัจจุบัน โดย คุณพี่ชัชรินทร์บอกว่า อเมริกานั้นใช้กิเลสตัณหาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วนจีนใช้รากเหง้าทางวัฒนธรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และกล่าวต่อว่าจีนไม่มีทางชนะในเกมที่ใช้อำนาจแบบอ่อนเอาชนะอเมริกาได้ เพราะอเมริกามีเครื่องมือที่สำคัญคือโลกออนไลน์ และสื่อมวลชนในระดับโลกเป็นเครื่องมือ แต่จีนยังไม่มี นี่ยังไม่นับว่าอเมริกามีเทคโนโลยีด้านการทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือ กว่าจีนหลายขุม กว่าที่จีนจะพัฒนาให้มาตามทันอเมริกาได้ อเมริกาก็คงพัฒนาไปอีกไกลโขแล้ว แต่ข้อได้เปรียบของ จีนในเวลานี้ก็คือ จีนมีอำนาจทางการเงินสูงที่สุดในโลกเวลานี้ มีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงที่สุด มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่โต อำนาจทางการซื้อสูง และมี GDP ที่โตเฉลี่ยเกือบ 10% ทุกปี และจีนยังถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐไว้ในมือมากที่สุด ซึ่งก็คือมีสถานะเป็นเจ้าหนี้อเมริกานั่นเอง อีกทั้งสถานะทางการเงินของอเมริกาในเวลานี้ก็ถือได้ว่าตกต่ำถึงขีดสุด รัฐบาลมีหนี้สินล้นพ้นตัว เจอพิษไข้วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ของตนเองเข้าไปยังไม่ฟื้นเลย อเมริกาจึงคิดอุบาย นำกลยุทธ์เพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบอย่างไม่อั้น ก่อนหน้านี้ได้ทำไปแล้วครั้งนึงช่วงต้นของวิกฤติเมื่อต้นปี 2009 แต่ยังไม่ได้ผล ที่เขาเรียกกันว่า เฮลิคอปเตอร์มันนี่ และงวดนี้รัฐสภาสหรัฐได้ผ่านความเห็นชอบของข้อเสนอผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ นายเบอร์นันเก้ ออกมาตรการ QE 2 ออกมาอีก ซึ่งรายละเอียดของมาตรการนี้เป็นดังนี้


    Quantitative Easing (QE) คืออะไรในทางเศรษฐศาสตร์มาตรการ QE ถือเป็นนโยบายด้านการเงิน (Monetary Policy) ซึ่ง ถูกใช้โดยธนาคารกลาง โดยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่ม เป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินเพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อเพื่อ กระตุ้นเศรษฐกิจอีกทอดหนึ่ง ทั้งนี้วิธีการในการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบทำได้โดยการที่ธนาคารกลางเข้าซื้อ สินทรัพย์ทางการเงินจากสถาบันการเงินซึ่งอาจเป็นพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน หรือแม้กระทั่งตราสารหนี้ประเภทที่มีลูกหนี้สินเชื่อบ้านเป็นหลักทรัพย์ค้ำ ประกัน


    ทำไมต้องใช้มาตรการ QE โดย ปกติแล้วธนาคารกลางโดยส่วนใหญ่จะเลือกใช้วิธีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นอันดับแรกในยามที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย รวมถึงเกิดปัญหากับสถาบันการเงิน แต่เมื่อธนาคารได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงต่ำเกือบ 0% แล้วยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำได้อีก มาตรการ QE จึงถูกนำมาใช้ ดังนั้นผมจึงอยากจะชี้ประเด็นนี้ให้ทุกท่านทราบว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐ ญี่ปุ่น ที่ประกาศว่าจะใช้มาตรการQE รอบ 2 นั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นข่าวร้ายต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งแสดงว่ามาตรการ QE ที่ทำไปรอบแรกไม่เป็นผลเปรียบเสมือนคนไข้ที่ต้องให้ยาแรงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ สำหรับมาตรการ QE นั้น ไม่ได้มีแต่ประโยชน์ แต่มีโทษที่ต้องระมัดระวังด้วย เพราะการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบนั้นมีโอกาสที่จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้ ดังนั้นหากท่านที่ติดตามบทความของผมคงจำได้ว่า ผมเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่อง Exit Strategy ซึ่งคือมาตรการตรงกันข้ามกับ QE เนื่องจากเป็นการดึงสภาพคล่องออกจากระบบนั่นเอง เพื่อลดความเสี่ยงเงินเฟ้อ ซึ่งผมเชื่อว่าจะกลับมาอีกครั้งหากพบสัญญาณของเงินเฟ้อ


    QE มีผลกระทบต่อการลงทุนอย่างไรการที่มาตรการ QE เป็นการ เพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งโดยหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว การที่ปริมาณเงินมากขึ้นย่อมมีผลกระทบให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือพูดง่ายๆ คือ มาตรการ QE ส่งผลดีให้ราคา สินทรัพย์ ได้แก่พันธบัตร หุ้น ทองคำ ให้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม จะส่งผลกระทบให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง เนื่องจากความเสี่ยงของมาตรการ คือ เงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการลดมูลค่าของเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการ QE ของ ธนาคารกลางสหรัฐ ในรอบแรกนี้ดูเหมือนจะส่งผลบวกต่อราคาสินทรัพย์มากกว่าคาดการณ์ไว้เสียอีก ผมประเมินคร่าวๆว่าเม็ดเงินส่วนใหญ่ที่ทางธนาคารกลางสหรัฐอัดฉีดเข้าไปแล้ว ประมาณ 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ น่าจะถูกใช้ไปในทางเศรษฐกิจประมาณ 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่เหลือประมาณ 4 แสน ล้านเหรียญสหรัฐ น่าจะอยู่ในตลาดการเงินมากกว่า เนื่องจากเป็นวงเงินที่ใช้ในการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลซึ่งผู้ที่ได้รับ ประโยชน์ คือ นักลงทุนและรัฐบาล ซึ่งหมายถึงสามารถเปลี่ยนรูปไปลงทุนอะไรต่อเนื่องก็ได้ นอกจากนี้การที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลงจึงถือว่าเป็นปัจจัยหนุนให้เงิน ทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในเอเชีย รวมถึงส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทองคำและน้ำมันดิบ


    QE1 เริ่มเมื่อไหร่และมีผลอย่างไร มาตรการ QE ครั้งแรกของสหรัฐถูกประกาศในช่วงต้นปี2552 หลัง จากธนาคารกลางสหรัฐปรับลดอัตราดอกเบี้ยแล้วไม่สามารถช่วยเรียกความเชื่อมั่น จากตลาดการเงินได้ ซึ่งหลังจากประกาศใช้แล้วถือว่าส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนซึ่งผม ถือว่าส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในแง่การบริโภคและการลงทุนไม่มากก็น้อย แต่ในส่วนที่เห็นชัดเจน คือ ราคาสินทรัพย์ทาง การเงิน ได้แก่ ราคาพันธบัตร ราคาหุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่วนค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง ทั้งนี้จากการศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์หลายๆ สำนักเห็นตรงกันว่า เงินทุนที่ธนาคารกลางสหรัฐอัดฉีดเข้าสู่ระบบทุกๆ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง 0.50% ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นประมาณ 8% ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่า 2% การเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ในตลาดโลกส่งผลต่อเนื่องมาถึงไทยเช่นกัน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยอายุตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป ปรับลดลงตามตลาดพันธบัตรสหรัฐเช่นกันการอ่อนค่าของเงินเหรียญสหรัฐส่งผลให้ ค่าเงินบาทแข็ง ซึ่งเป็นปัจจัยต่อเนื่องถึงเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและพันธบัตร ของไทย


    QE2 เมื่อไหร่? เท่าไร? มีผลอย่างไร?คงต้องยอมรับตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มสะท้อนประเด็นการที่ธนาคารสหรัฐจะดำเนินนโยบาย QE2 ไป บ้างแล้ว ซึ่งผมนับเริ่มตั้งแต่ช่วงที่ตลาดการเงินมีการพูดถึงในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา แต่ความชัดเจนในเรื่องขนาดของเม็ดเงินในครั้งนี้ และการเริ่มต้นของมาตรการนั้นยังคงต้องรอการประชุม FOMC วันที่3 พ.ย. ซึ่งผมเชื่อว่ายังคงมีโอกาสที่ตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้อีก หากทราบผลอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ในทางตรงข้าม หากการประชุม FOMC แล้วผิดไปจากที่ตลาดคาดการณ์ ไม่ว่า FOMC จะ ยกเลิกหรือปริมาณเงินน้อยกว่าคาดการณ์ ก็จะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อตลาดหุ้นและพันธบัตรมากเช่นกัน ดังนั้นในกรณีที่ท่านเป็นนักลงทุนระยะสั้น ผมแนะนำให้ทยอยขายทำกำไรหุ้นออกบางส่วนก่อนการประชุม FOMC เพื่อลดความเสี่ยงหากธนาคารกลางสหรัฐเปลี่ยนใจหรือวงเงินน้อยเกินไป



    QE 2 คืออะไร
    QE2 (Quantitative Easing 2) เป็นศัพท์เฉพาะของตลาดสำหรับ
    โครงการซื้อสินทรัพย์ระยะยาวของเฟดครั้งใหญ่รอบที่ 2 ซึ่งได้แก่การผ่อนคลาย
    เชิงปริมาณที่เฟดประกาศเมื่อวานนี้
    สาระสำคัญของ QE คือเฟดจะพิมพ์เงินและซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
    โดยหวังที่จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลงอีก หลังจากที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง
    ลงแล้วใกล้ระดับ 0%
    เฟดเปิดเผยว่าจะซื้อพันธบัตรอีก 6 แสนล้านดอลลาร์อันเป็นส่วนหนึ่ง
    ของโครงการตั้งแต่ขณะนี้จนถึงเดือนมิ.ย.ปีหน้า ซึ่งเพิ่มจากวงเงิน 2.5-3.0
    แสนล้านดอลลาร์ที่เฟดจะลงทุนอีกครั้งจากพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอนตั้งแต่
    โครงการ QE รอบแรกในช่วงเวลาดังกล่าว
    ในมาตรการ QE รอบแรกซึ่งสิ้นสุดลงในเดือนมี.ค. เฟดเข้าซื้อ
    ตราสารหนี้ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกันและพันธบัตรรัฐบาลเป็นวงเงิน 1.7
    ล้านล้านดอลลาร์

    เหตุใดเฟดจึงคิดว่าจำเป็นต้องดำเนินการเพิ่มขึ้น
    เฟดคิดว่าอัตราการว่างงานอยุ่ในระดับสูงเกินไป และเงินเฟ้อ
    อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับระดับที่สอดคล้องกับความมีเสถียรภาพด้านราคา
    และการจ้างงานอย่างเต็มที่ในระยะยาว
    นอกจากนี้ เฟดมีความวิตกว่าเงินเฟ้อที่ชะลอลงอาจดิ่งลงเข้าสู่
    ภาวะเงินฝืดที่จะสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยราคาที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง
    อาจสกัดกั้นผู้บริโภคจากการใช้จ่ายและขัดขวางภาคธุรกิจจากการลงทุน

    โครงการ QE2 จะมีระยะเวลานานเพียงใด
    เฟดเปิดเผยว่า จะซื้อพันธบัตร 6 แสนล้านดอลลาร์ภายในช่วง
    สิ้นไตรมาส 2 ของปีหน้าหรือประมาณ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน
    เฟดกล่าวว่า จะทำการทบทวนเป็นประจำเกี่ยวกับอัตราและขนาด
    ของโครงการ QE และทำการปรับโครงการเมื่อจำเป็นเพื่อบรรลุเป้าหมาย
    ทางเศรษฐกิจ

    โครงการดังกล่าวจะได้ผลอย่างไร
    เจ้าหน้าที่เฟดมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับวิธีการทำงานและ
    ประสิทธิภาพของโครงการ
    เจ้าหน้าที่บางรายกล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะส่งผลในขั้นต้น
    โดยลดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งจะผลักดันนักลงทุนเข้าลงทุนใน
    สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น และจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงในวงกว้าง
    มากขึ้น
    ต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงในสหรัฐอาจกระตุ้นให้มีการซื้อและก่อสร้างบ้าน,
    การลงทุนทางธุรกิจและการจ้างงาน
    เฟดและนักวิเคราะห์คนอื่นๆกล่าวว่า การซื้อสินทรัพย์วงเงิน 1.7
    ล้านล้านดอลลาร์ได้ลดต้นทุนการกู้ยืมระยะยาวลงอีกราว 0.5%
    นายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ค ประมาณการว่า
    การซื้อพันธบัตรวงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์มีแนวโน้มที่จะส่งผลใกล้เคียงกัน
    โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนลดลง 0.50-0.75%
    เจ้าหน้าที่รายอื่นๆกล่าวว่า การซื้อสินทรัพย์อาจส่งผลในขั้นต้น
    โดยการเพิ่มการคาดการณ์เงินเฟ้อ และสนับสนุนความเชื่อมั่นโดยส่งสัญญาณ
    ต่อตลาดว่าเฟดจะไม่ปล่อยให้ราคาลดลง
    ทางด้านนายริชาร์ด ฟิชเชอร์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส ระบุว่า
    ความไม่แน่นอนด้านกฏระเบียบและการคลังกำลังสกัดกั้นกิจกรรมทางธุรกิจ
    ไม่ใช่อัตราดอกเบี้ย
    เจ้าหน้าที่บางรายรวมถึงนายนารายานา โคเชอร์ลาโคต้า
    ประธานเฟดสาขามินนีอาโปลิส ระบุว่า ปัญหาการว่างงานส่วนใหญ่เป็นผล
    จากการขาดแรงงานมีฝีมือ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขด้วยนโยบายการเงิน

    ความวิตกบางประการเกี่ยวกับโครงการ QE
    เจ้าหน้าที่เฟดบางรายรวมถึงนายชาร์ลส พลอสเซอร์ ประธานเฟดสาขา
    ฟิลาเดลเฟียแสดงความวิตกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ความน่าเชื่อถือของเฟดอาจ
    ถูกกระทบ หากเฟดดำเนินมาตรการใหม่และไม่ประสบความสำเร็จในการลดอัตรา
    การว่างงาน
    เขาและเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นๆวิตกเกี่ยวกับตลาดที่บิดเบือนและการวาง
    รากฐานสำหรับเงินเฟ้อในอนาคต ซึ่งเพิ่มความยุ่งยากให้กับการยกเลิกนโยบาย
    ผ่อนคลายของเฟดในที่สุด
    มีความวิตกด้วยว่า นักลงทุนบางรายอาจตีความการซื้อสินทรัพย์ของเฟด
    ว่าเป็นการก่อหนี้ของประเทศมากขึ้น
    นายโธมัส โฮนิก ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้ซึ่งไม่เห็นด้วยกับนโยบาย
    ผ่อนคลายของเฟดในการประชุมทุกครั้งของเฟดในปีนี้ ไม่เห็นด้วยอีกครั้งในการประชุม
    ในเดือนนี้ โดยนายโฮนิกระบุเมื่อวันที่ 25 ต.ค.ว่า การผ่อนคลายมากขึ้นจะเป็นการ
    เดิมพันที่อันตรายซึ่งอาจทำให้ตลาดการเงินเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ และทำให้เกิดวิกกฤติ
    อีกครั้ง
    ความวิตกอีกประการหนึ่งได้แก่ การซื้อสินทรัพย์ระยะยาวจะทำให้เฟด
    เสี่ยงต่อการขาดทุนทันทีที่เศรษฐกิจฟื้นตัวและอัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น

    ผลกระทบทั่วโลกของโครงการดังกล่าว
    การคาดการณ์เกี่ยวกับการซื้อพันธบัตรครั้งใหม่ทำให้นักลงทุนต่างชาติ
    เข้าซื้อสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และทำให้
    ดอลลาร์อ่อนค่าลง
    เงินทุนจำนวนมากทำให้ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นในตลาดเกิดใหม่
    และทำให้สกุลเงินอื่นๆแข็งค่าขึ้น ขณะที่ความไม่พอใจเกี่ยวกับผลกระทบ
    ทั่วโลกจากนโยบายการเงินของสหรัฐมีแนวโน้มจะปรากฏในการประชุม
    สุดยอดของกลุ่มประเทศจี-20 ที่กรุงโซลในสัปดาห์หน้า
    นายไรเนอร์ บรูเดอร์ รมว.เศรษฐกิจของเยอรมนีระบุเมื่อวันที่
    23 ต.ค.ว่า นโยบายของสหรัฐเป็นการปั่นอัตราแลกเปลี่ยนโดยทางอ้อม—จบ--

    (รอยเตอร์ โดย กัลยาณี ชีวะพานิช แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง)

    ผลของมาตรการ QE2 นี้จะทำให้ประเทศต่างๆ ในโลกปั่นป่วนทั้งระบบ ตั้งแต่ค่าเงินแข็งเมื่อเทียบกับดอลล่าร์ ส่งออกไปขาดทุน เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดทุนเกิดใหม่ การเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ และมีราคาปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะทอง กับน้ำมัน
    นักวิเคราะห์ไทยอ่าน "สัญญาณ QE2" ให้จับตาดูผลกระทบ 9 ข้อที่มีต่อ "ค่าเงิน-ตลาเทุนไทย" หลังจากที่มาตรการ QE2 ของเฟดประกาศอัดฉีดสภาพคล่องเชิงปริมาณรอบใหม่อีก 6 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา
    โดยนายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล นักวิเคราะห์หุ้นของ บล.ตรินิตี้ มองถึงผลกระทบใน 12 เดือนข้างหน้าจากนี้ไป หลังจากการประกาศปั๊มเงินรอบใหม่ 6 แสนล้านดอลลาร์ ของ QE2 ว่า ผลกระทบข้อที่ 1 จะเกิดเงินทุนไหลออกจากสหรัฐและตลาดประเทศที่พัฒนาแล้ว ไปสู่ตลาดทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market)รวมทั้งตลาดทุนไทย เนื่องจากเม็ดเงินจะมีเพิ่มขึ้นเป็น 7.3 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นสภาพคล่องล้นตลาดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์เลห์แมน บราเธอร์สในสหรัฐ มาจนถึง QE2 ขณะนี้ จะไหลเข้าสู่ตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยสัดส่วนที่เข้าตลาดเกิดใหม่ อาจจะมีตั้งแต่ 2-3% ของพอร์ตลงทุน เพิ่มขึ้นถึง 6-8% ขึ้นอยู่กับประเภทของกองทุน
    โดยเฉพาะการซื้อขายของตลาดหุ้นไทย คาดว่า จะเทรดในราคาที่สูงกว่าในสหรัฐ หรือมีพรีเมี่ยมสูงขึ้นจากปกติ 6-8% เป็นพรีเมี่ยม 25-30% ซึ่งเขายกตัวอย่างว่า ถ้าสหรัฐเทรดกันที่ค่าพี/อี 14 เท่า ในตลาดเกิดใหม่จะอยู่ที่ 17 เท่า
    เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินของตลาดหุ้นที่มีเพิ่มขึ้นสูงมาก
    ผลกระทบข้อที่ 2 ผลตอยแทนผู้ถือหุ้น RoE (Return on Equity)เพิ่มขึ้น เนื่องธุรกิจมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากราคาที่เพิ่สูงขึ้น
    ผลกระทบข้อที่ 3 ดอกเบี้ยที่แท้จริงซึ่งติดลบมานาน จะทำให้คนซื้อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ขณะที่มาตรการ QE เป็นปัจจัยทางออ้มที่ผลักดันให้ดอกเบี้ยลดลงอีก
    ผลกระทบข้อที่ 4ซึ่ง มีต่ออัตราแลกเปลี่ยนในสกุลเงินที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นมาก จนทำให้ธนาคารในประเทศต่างๆ ต้องเข้าแทรกแซง โดยหลายประเทศมีต้นทุนสูง 6-7% ของจีดีพี ทั้งนี้ต้นทุนดังกล่าวถือเป็นการใช้เงินที่ไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
    ผลกระทบข่อที่ 5 เกิดวงตรของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น ทั้งข้าว ข้าวโพด ยาง น้ำตาล และจำพวกโลหะ เป็นต้น
    ผลกระทบข้อที่ 6 เกิดกิจจกรรมในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น จากระดับวอลุ่มเทรดปกติวันละ 3-3.5 หมื่นล้านบาท กลายเป็น 5-6 หมื่นล้านบาทต่อวัน และโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 6 หมื่นล้านบาทต่อวันในปี 2554
    ผลกระทบข้อที่ 7 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะมีกระแสเงินสดที่เพิ้มขึ้น เนื่องจากสามารถขายสินค้าในราคาที่สูงขึ้น ผลส่งให้ผลประกอบการดีขี้น
    ผลกระทบข้อที่ 8 สภาพ คล่องที่เพิ่มขึ้นจนล้น จะส่งผลให้เกิดความผันผวน ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน ราคาพันธบัตร และราคาหุ้น รวมทั้งภาวะเงินเฟ้อที่มีความเสี่ยงมากขึ้นในอนาคต อย่างเช่นกรณีที่เกิดขึ้นในปี 1985 ซึ่งเกิด Plaza Accord ที่ทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นมากมาย โดยต่อมาก็เกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นกรณีเกิด Black Monday ก่อนที่จะกลับใสพลิกตัวขึ้นตามสิ่งแวดล้อมใหม่ของภาวะเศรษฐกืจในระยะต่อมา
    ผลกระทบข้อที่ 9 Wealth Effect ที่เกิดขึ้น จะทำให้คนกล้าเสี่ยงมากขึ้น จากที่เคยเน้นหุ้น big-cap เป็นการลงทุนในหุ้นที่เป็นขนาดกลาง (mid-cap) และขนาดเล็ก(small-cap)ที่มีผลประกอบการดี มากขึ้น
    ทั้งนี้ เมื่อหันมาจับตาดูถึงธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ประกาศมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 2 (QE2) ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลรอบใหม่เมื่อวานนี้ นับเป็นความพยายามที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ และต่อสู้กับภาวะเงินฝืดสหรัฐ
    QE2 (Quantitative Easing 2) เป็นศัพท์เฉพาะของตลาดสำหรับโครงการซื้อสินทรัพย์ระยะยาวของเฟดครั้งใหญ่รอบ ที่ 2 ซึ่งได้แก่การผ่อนคลายเชิงปริมาณที่เฟดประกาศเมื่อวานนี้โดยสาระสำคัญของ QE คือเฟดจะพิมพ์เงินและซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งหวังที่จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลงอีก หลังจากที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลงใกล้ระดับ 0%
    เฟด เปิดเผยว่า จะซื้อพันธบัตรอีก 6 แสนล้านดอลลาร์อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการตั้งแต่ขณะนี้จนถึงเดือนมิ.ย.ปี หน้า ซึ่งเพิ่มจากวงเงิน 2.5-3
    แสนล้านดอลลาร์ที่เฟดจะลงทุนอีกครั้งจากพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอนตั้งแต่
    สำหรับมาตรการ QE รอบแรกซึ่งสิ้นสุดลงในเดือนมี.ค. เฟดเข้าซื้อตราสารหนี้ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกันและพันธบัตรรัฐบาลเป็นวงเงิน 1.7
    ล้านล้านดอลลาร์
    โดยเฟดคิดว่าอัตราการว่างงานอยุ่ในระดับสูงเกินไป และเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับระดับที่สอดคล้องกับความมีเสถียรภาพด้านราคา
    และ การจ้างงานอย่างเต็มที่ในระยะยาว นอกจากนี้ เฟดมีความวิตกว่าเงินเฟ้อที่ชะลอลงอาจดิ่งลงเข้าสู่ภาวะเงินฝืดที่จะสร้าง ปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยราคาที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่องอาจสกัดกั้นผู้บริโภคจากการใช้จ่ายและขัด ขวางภาคธุรกิจจากการลงทุน
    นอกจาก นี้ เฟดเปิดเผยว่า จะซื้อพันธบัตร 6 แสนล้านดอลลาร์ภายในช่วงสิ้นไตรมาส 2 ของปีหน้าหรือประมาณ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน ทั้งนี้ เฟดคาดว่า จะทำการทบทวนเป็นประจำเกี่ยวกับอัตราและขนาดของโครงการ QE และทำการปรับโครงการเมื่อจำเป็นเพื่อบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ
    เจ้าหน้าที่เฟดบางคน กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะส่งผลในขั้นต้น โดยลดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งจะผลักดันนักลงทุนเข้าลงทุนใน
    สินทรัพย์ ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น และจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงในวงกว้างมากขึ้น โดยต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงในสหรัฐอาจกระตุ้นให้มีการซื้อและก่อสร้างบ้าน การลงทุนทางธุรกิจและการจ้างงาน ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่า การซื้อสินทรัพย์วงเงิน 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ได้ลดต้นทุนการกู้ยืมระยะยาวลงอีกราว 0.5%
    นายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ค ประมาณการว่า การซื้อพันธบัตรวงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์มีแนวโน้มที่จะส่งผลใกล้เคียงกัน
    โดย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนลดลง 0.50-0.75% ขณะที่เจ้าหน้าที่รายอื่นๆกล่าวว่า การซื้อสินทรัพย์อาจส่งผลในขั้นต้น โดยการเพิ่มการคาดการณ์เงินเฟ้อ และสนับสนุนความเชื่อมั่นโดยส่งสัญญาณต่อตลาดว่าเฟดจะไม่ปล่อยให้ราคาลดลง
    ทางด้านนายริชาร์ด ฟิชเชอร์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส ระบุว่า ความไม่แน่นอนด้านกฏระเบียบและการคลังกำลังสกัดกั้นกิจกรรมทางธุรกิจ
    ไม่ใช่อัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม มีความวิตกบางประการเกี่ยวกับโครงการ QE โดยเจ้าหน้าที่เฟดบางรายรวมถึงนายชาร์ลส พลอสเซอร์ ประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียแสดงความวิตกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ความน่า เชื่อถือของเฟดอาจถูกกระทบ หากเฟดดำเนินมาตรการใหม่และไม่ประสบความสำเร็จในการลดอัตราการว่างงาน
    เจ้า หน้าที่เฟดคนอื่นๆวิตกเกี่ยวกับตลาดที่บิดเบือนและการวางรากฐานสำหรับ เงินเฟ้อในอนาคต ซึ่งเพิ่มความยุ่งยากให้กับการยกเลิกนโยบายผ่อนคลายของเฟดในที่สุด โดยมีความวิตกด้วยว่า นักลงทุนบางรายอาจตีความการซื้อสินทรัพย์ของเฟด ว่าเป็นการก่อหนี้ของประเทศมากขึ้น
    ส่วน ผลกระทบทั่วโลก มีการคาดการณ์เกี่ยวกับการซื้อพันธบัตรครั้งใหม่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้า ซื้อสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง เงินทุนจำนวนมากทำให้ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นในตลาดเกิดใหม่ และทำให้สกุลเงินอื่นๆแข็งค่าขึ้น ขณะที่ความไม่พอใจเกี่ยวกับผลกระทบทั่วโลกจากนโยบายการเงินของสหรัฐมีแนว โน้มจะปรากฏในการประชุมสุดยอดของกลุ่มประเทศจี-20 ที่กรุงโซลในสัปดาห์หน้า

    Yikgamyok: สงครามค่าเงิน ไพ่ใบแรกที่อเมริกาใช้เล่นงานจีน

     

แชร์หน้านี้

Loading...