เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ ที่ 5 กรกฎาคม 2553
    การล่มเศรษฐกิจประชาคมยุโรปและยุโรป
    Posted by indexthai


    [​IMG]
    ก่อนหน้านั้นมีข่าว ธนาคารกลางแห่งยุโรป (อีซีบี) เตรียมเงิน 750,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และไอเอ็มเอฟ 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมเป็นเงิน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สำรองเผื่อหนี้เสีย ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตจากตลาดเงินของยุโรป
    ECB เตือนหนี้เสียแบงก์ยุโรปจะพุ่งเพิ่ม "เอเจนซี - ธนาคารกลางแห่งยุโรป (อีซีบี) กล่าวเตือนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (31 พฤษภาคม) ว่า ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ในเขตยูโรโซน เผชิญอยู่กับความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตระลอกสองของปัญหาสินเชื่อ โดยที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นหนี้เสียคิดเป็นมูลค่าถึง 195,000 ล้านยูโร ภายในช่วง 18 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ เป็นผลกระทบจากวิกฤตในตลาดการเงิน นอกจากนั้น อีซีบียังเปิดเผยถึงการเพิ่มปริมาณการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลต่างๆ ในย่านยูโรโซนอีกด้วย (ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 1 มิถุนายน 2553)
    ในการนี้ อีซีบี บอกว่า แบงก์ในยูโรโซนจะต้องตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มในปี 2010 ถึง 90,000 ล้านยูโร และอีก 105,000 ล้านยูโร ในปี 2011 สูงขึ้นจากที่ต้องแทงบัญชีหนี้สูญไปราว 238,000 ล้านยูโร เมื่อปลายปี 2009 นี้เป็นครั้งแรกที่อีซีบีออกมาให้ประมาณการเรื่องนี้สำหรับปี 2011 ฯลฯ"
    ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวการล้มละลาย และล้มลงของภาคการเงิน และภาคการผลิตจริง ถี่มาก เดือนกันยายน 2008 มีข่าวการล้มลงของ เลห์แมน บราเธอร์ส ที่เป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่
    บีบีซีรายงานคำกล่าวของผู้ตรวจสอบการการปฏิบัติตามแผนช่วยเหลือกิจการที่ประสบปัญหาจากวิกฤตการเงินในสหรัฐอเมริกา หรือ TARP ว่า อาจทำให้สหรัฐอเมริกาต้องลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงถึง 23.7 ล้านล้านดอลลาร์
    ผู้เขียนเคยนำเสนอบทความ ไว้เมื่อปี 2003 (2546) หรือเมื่อประมาณ 6 ปีมาแล้ว เรื่อง สหรัฐอเมริกาสมาชิกประเทศยากจนใหม่: อีก 5 ปีถัดมา ก็พบว่ามีข่าวการล้มลงของภาคการเงินและภาคการผลิตจริงของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก อเมริกาเริ่มจนลงเมื่อตั้งตลาดหุ้นในปี 1890
    ไม่ได้มีการกล่าวแน่ชัดถึงต้นเหตุแห่งหนี้เสียของระบบ เพราะระบบไม่ทราบจริงๆว่า ต้นเหตุของวิกฤติทางเศรษฐกิจ กระทั่งเกิดภาวะหนี้เสีย ของประเทศ และของภูมิภาคต่างๆ เกิดจากอะไร
    หากมีข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ง่ายมาก ต้นเหตุของปัญหามาจากเรื่องเดียวกัน เรื่องเดิมๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
    1929 (2472) ตลาดหุ้นอเมริกาพังทลาย 89 เปอร์เซนต์ แล้วก็เกิดภาวะถดถอยขนาดใหญ่ทางเศรษฐกิจ Great Depression
    1978 (2521) ตลาดหุ้นไทยเริ่มพังทลาย และพังทลาย 62 เปอร์เซนต์ ทำให้ประเทศไทยเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟเป็นครั้งแรก
    1994 (2537) ตลาดหุ้นไทยเริ่มพังทลาย และพังทลาย 88 เปอร์เซนต์ ทำให้ประเทศไทยเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟเป็นครั้งที่ 2
    2000 (2543) ผู้เขียนจะย้ำและนำเสนอบ่อยครั้ง การพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์ของประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2000-2002 ตลาดหุ้นแนสแดกซ์ตก 78 เปอร์เซนต์ ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหายด้วย ทำให้ภาคการเงิน ภาคการผลิตจริง ล้มลงมากเป็นประวัติการณ์ การนำ CDO มาใช้เพิ่มสภาพคล่องของระบบ ไม่แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ยิ่งทำให้เสียหายมากขึ้น เรื้อรังมากขึ้น เกิดหนี้เสียมากเป็นประวัติการณ์
    เงินไหลออกจากเงินเหรียญสหรัฐ ไปถือเงินสกุลต่างๆของโลก ไปถือทรัพย์ทรัพย์ของประเทศต่างๆทั่วโลก ทำให้ค่าเงิน ทุนสำรอง ตลาดหุ้นของประเทศต่างๆ(โลก)สูงขึ้น คือมีทั้งเอเซีย และยุโรป รวมอยู่ในนี้ด้วย แล้วก็โลกพังทลายลงในเวลาต่อมา
    2008 (2551) ตลาดหุ้นยุโรปพังลาย พร้อมกับโลกทั้งโลก ตลาดหุ้นยุโรปตก 71 เปอร์เซนต์ ตลาดหุ้นโลกตก 62 เปอร์เซนต์ ประเทศในยุโรปหลายประเทศต้องเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟ ไม่ว่าไอซ์แลนด์ ฮังการี ยูเครน กรีก สเปน ปอร์ตุเกต อิตาลี ฯลฯ
    [​IMG]
    ผลที่เกิดจากการพังทลายของตลาดหุ้น เกิดกับประเทศใด ก็เป็นแบบเดียวกันทุกประการ
    ไม่ว่าจะเกิดกับประเทศสหรัฐอเมริกา ไทย ประชาคมยุโรปและยุโรป และทุกประเทศทั่วโลก หนี้เสียของเอกชนเป็นเรื่องธรรมดา ย่อมมีได้ ด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่หนี้เสียของระบบ เป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด เกิดจากการพังทลายของตลาดหุ้น
    [​IMG]
    มีข่าว อีซีบีเข้ารับซื้อพันธบัตรจำนวนมากของรัฐบาล กรีซ สเปน และโปรตุเกส ตั้งแต่ วันที่ 3 พฤษภาคม 2553 เพื่อช่วยให้นักลงทุนในตลาดตราสารหนี้เกิดความมั่นใจ และเพื่อช่วยสนับสนุนตัวแพ็คเก็จรักษาเสถียรภาพของเงินยูโรซึ่งเป็นผลงานในดำริของสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
    ช่วงที่นำเสนอข้อมูลนี้ ตลาดหุ้นกรีกที่เคยตกหนักถึง 72 เปอร์เซนต์ และช่วงนี้ก็มีจุดต่ำใหม่อีก ก็ยังไม่จบ คงต้องตามดูต่อไปอีก
    จากการติดตามความเป็นไปของตลาดหุ้นมากกว่า 15 ปี ทำให้ได้คำจำกัดความเหตุการณ์ที่เกิดกับตลาดหุ้น ดังนี้
    ไม่มีตลาดหุ้นใดไม่ถูกปั่น ไม่ว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่หรือตลาดหุ้นเกิดเก่า
    ไม่มีตลาดหุ้นใดไม่ถูกปั่น ไม่ว่าตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว หรือตลาดหุ้นที่ยังไม่พัฒนา
    มีการสวมรอยปั่นหุ้น เมื่อเป็นขาขึ้น ก็ปั่นให้ขึ้นสุดสุด เมื่อเป็นขาลง ก็ปั่นให้ลงสุดสุด
    ตลาดหุ้นยิ่งมีการพัฒนามากเท่าใด จะมีความเป็นอบายมุขมากขึ้นเท่านั้น
    ตลาดทุน-ตลาดเงินตรา-ตลาดเงิน หาใช่ถูกควบคุมโดยรมว.คลังหรือผู้ว่าธ.กลาง ในแต่ละประเทศแต่อย่างใด
    รมว.คลังหรือผู้ว่าธ.กลาง ควบคุม ตลาดทุน-ตลาดเงินตรา-ตลาดเงิน ได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น
    ตลาดทุน-ตลาดเงินตรา-ตลาดเงิน ทุกประเทศ ถูกควบคุมโดยกองทุนโลก (World Fund)
    ตลาดหุ้นขึ้น เป็นตัวทำให้เศรษฐกิจดี ไม่ใช่เศรษฐกิจดี ทำให้หุ้นขึ้น
    ตลาดหุ้นตก เป็นตัวทำให้เศรษฐกิจเสียหาย ไม่ใช่เศรษฐกิจเสียหาย ทำให้หุ้นตก
    [​IMG]
    แสดงให้เห็นว่า ตลาดหุ้นยุโรป(Europe38 Index) ขึ้นและตกในเวลาเดียวกันกับตลาดหุ้นทั้งโลก(G88 Index) ตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นยุโรปสูงขึ้นหลังการพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์ของอเมริกาในปี 2000 ตลาดหุ้นยุโรปมีทั้งหมด 39 ประเทศ มีตลาดเกิดใหม่อีก 1 ประเทศ ที่ผู้เขียนยังไม่ได้นำมารวมคำนวณเป็นดัชนีหุ้น
    [​IMG]..
    แสดงให้เห็นว่า เมื่อตลาดหุ้นยุโรปขึ้น ค่าเงินยูโรก็แข็งค่าขึ้นด้วย (ค่าเงินปอนด์ และเงินฟรังซ์ ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน) ในช่วงเวลาเดียวกัน ตลาดหุ้นยุโรปสูงขึ้น 356 เปอร์เซนต์ ค่าเงินยูโรขึ้น 81 เปอร์เซนต์ ตลาดหุ้นยุโรปตก ค่าเงินยูโรก็ตกด้วย
    ตลาดหุ้นสูงขึ้นค่าเงินสูงขึ้น ตลาดหุ้นตกค่าเงินก็ตกด้วย ตลาดหุ้นพังทลาย ค่าเงินก็พังทลาย
    เมื่อตลาดหุ้นพังทลาย แล้วมีการผูกค่าเงินไว้ จะทำให้ค่าเงินนั้นจะแข็งผิดจริง
    [​IMG]
    .
    [​IMG]

    แสดงให้เห็นการพังทลายของตลาดหุ้นยุโรป ระหว่างปี 2007 - 2009 เรียงลำดับตามการตกมากน้อย ตกหมดทั้ง 33 ประเทศ เหลือ 6 ประเทศที่ไม่ได้นำมาเสนอ เนื่องจากเป็นตลาดเกิดใหม่ ข้อมูลไม่สมบูรณ์
    [​IMG]
    ผู้เขียนแบ่งระบอบเศรษฐกิจ (สังคม การเมือง) ออกเป็น 3 รูปแบบ ทั้ง 3 รูปแบบนี้ "อยู่ปะปน" กันในที่เดียวกัน คือระบอบบุญนิยมของพระพุทธเจ้า ระบอบทุนนิยมปกติ ระบอบกองทุนนิยม หรือทุนนิยมสามานย์
    ทุนนิยมสามานย์ กำลังทำลายทุนนิยมปกติ
    บุญนิยมของพระพุทธเจ้า มีขนาดเล็กมาก เมื่อเทียบกับ ทุนนิยมปกติ หรือทุนนิยมสามานย์ อาจจะมีขนาดที่หลังจุดทศนิยตำแหน่งที่ 10 เป็นระบบที่แข็งแกร่งมั่นคงจริงของโลก และสามารถ ยืนหยัด ยืยยัน อยู่ท่ามกลางการทำลายล้างโลกของทุนนิยมสามานย์ได้
    ประชาคมยุโรป (European Community) ก่อตั้งเมื่อ 25 มีนาคม ค.ศ. 1957 ภายใต้สนธิสัญญาโรม ในชื่อ ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (European Economic Community) ก่อนจะตัดคำว่า "เศรษฐกิจ" ออกไปเมื่อ ค.ศ. 1992 ประเทศสมาชิก มี 12 ประเทศคือ เบลเยี่ยม เดนมาร์ก เยอรมนี ฝรั่งเศส กรีซ ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส สเปน สหราชอาณาจักร (วิกิพีเดีย)
    ยูโร (euro, €; รหัสธนาคาร EUR) เป็นสกุลเงินที่ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป 13 ประเทศตกลงใช้ร่วมกัน เริ่มใช้วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 (บางประเทศใช้ตามในภายหลัง) 1 ยูโรแบ่งออกเป็น 100 เซนต์ แต่ชื่อเรียกของเซนต์อาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ (วิกิพีเดีย)
    ระบบเศรษฐกิจของประชาคมยุโรปและยุโรปล่มแล้ว เช่นเดียวกับการล่มของประเทศไทย และประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนหน้า
    การล่มเศรษฐกิจประชาคมยุโรปและยุโรป หมายความว่า เป็นเรื่องที่ไม่ได้เป็นไปตามปกติ มีการกระทำ มีการสวมรอยปั่นตลาดหุ้น ปั่นขึ้นปั่นลง โดยกองทุนโลก ทุกวันนี้เงินท่วมโลกแต่โลกจนลง
    http://bit.ly/3OgwDv ทั้งนี้เพราะเงินทุนนั้นเป็นเงินทุนของกองทุนโลก ไม่ใช่เงินทุนของเอกชนโลก อัตราดอกเบี้ยโลกอยู่ที่ระดับต่ำ เป็นตัวแสดงอย่างหนึ่งว่าเงินท่วมโลก
    อาเซียน มีกำหนดจะก่อตั้งประชาคมอาเซียนในปี 2015 (2558) เลียนแบบการตั้งประชาคมยุโรปปี 1957 เห็นช้างถ่ายอุจจาระ ก็ถ่ายอุจจาระตามช้าง มีคำอธิบายทางบวกดีเลิศในการก่อตั้งประชาคมยุโรป แต่แล้วก็ล่มลงในปี 2010 ทั้งยังไม่รู้ว่าต้นเหตุอะไรทำให้ประชาคมล่มลง
    อาเซียนกำลังจะถ่ายอุจจาระตามประชาคมยุโรป

    .............................................................
    ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนท
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ ที่ 28 มิถุนายน 2553
    ความสัมพันธ์ตลาดทุน-ตลาดเงินตรา-ตลาดเงิน ..ค่าเงินหยวน
    Posted by indexthai
    ประเทศไทยเข้าโครงการณ์ ไอ เอ็ม เอฟ มาแล้ว 2 ครั้ง


    [​IMG]
    .
    [​IMG]
    หลังเปิดตลาดหุ้นไทย 3 ปี ปี 2521-2525 SET Index ตก 62 เปอร์เซนต์
    นำพาไทยการเข้าโครงการณ์ IMF ครั้งแรก กู้เงิน IMF 982 ล้านเหรียญสหรัฐ
    ระหว่างปี 2524-2527 ลดค่าเงินบาท 3 ครั้ง รวม 6.225 บาท ลด 23 เปอร์เซนต์

    .
    [​IMG]
    ปี 2537 - 2541 SET Index ตก 88%
    ปี 2356 มีการนำ Maintenance margin & Forced sell มาใช้ในตลาดหุ้น
    ทำให้มีการบังคับขายหุ้นนักลงทุนท้องถิ่นอย่างทารุณยิ่ง ซ้ำเติมหุ้นตกหนัก
    มีการผูกค่าเงินไว้ตายตัว
    ทำให้บาทแข็งผิดจริง
    ทำให้มีการขายบาทที่ A-B-C
    ทำให้บาทมากองท่วมทุนสำรองฯ
    ทำให้ปี 2540 ต้องลอยค่าเงินบาทในที่สุด
    พาไทยการเข้าโครงการณ์ IMF ครั้งที่ 2 กู้เงิน IMF 12,296 ล้านเหรียญสหรัฐ
    ต้องลอยค่าเงินบาท ค่าเงินบาทลอยอย่างรวดเร็ว ตก 54 เปอร์เซนต์
    เมื่อก่อนไม่มีตลาดหุ้น ไม่ต้องเข้าไออ็มเอฟ หลังมีตลาดหุ้น ต้องเข้าไอเอ็มเอฟ 2 ครั้งแล้ว
    การต้องเข้าไอเอ็มเอฟ ไม่ต่างอะไรกับขับรถบรรทุก พลาดตกหน้าผา ลงเหว ละเอียด
    ทรัพย์สินที่เคยเป็นของคนท้องถิ่น ตกเป็นของกองทุน หรือทุนนิยมสามานย์แทบหมด หรือหมด
    .
    [​IMG]
    การพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ปี 2000
    กราฟนี้ต่อไป นำเสนอบ่อยครั้ง เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และจำได้
    เป็นแบบเดียวกันทุกประเทศ ประเทศใดตลาดหุ้นพัง ค่าเงินประเทศนั้นพังด้วย
    ปี 2000 - 2002 ตลาดหุ้นแนสแดกซ์พัง 78% นั่นคือค่าเงินเหรียญสหรัฐพังด้วย
    แสดงให้เห็นว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายตามมา เมื่อเทียบกับ EURO YEN และ BAHT
    .
    [​IMG]
    พังทลายของตลาดแนสแดกซ์ปี 2000 ..กับค่าเงินหยวนและเงินริงกิงกิต
    แสดงให้เห็นถึง การพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ ที่มีสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของเงินหยวนของจีน และริงกิตของมาเลย์เซีย
    ช่วงดังกล่าว YUAN และ RINGGIT ควรจะแข็งค่า (เมื่อตลาดแนสแดกซ์พังทลาย)
    ที่ไม่เห็นว่ามันแข็งค่าขึ้น เพราะมีการผูกค่าเงินไว้ตายตัว
    แสดงว่า YUAN และ RINGGIT มีค่าที่อ่อนผิดจริง (หรือราคาถูกมาก)
    World Fund จึงเข้ามาไล่ซื้อ YUAN และ RINGGIT อย่างมีความสุข ที่ A B และ C
    กระทั่ง YUAN และ RINGGIT แทบหมดไปจากคลัง จีน และ มาเลย์เซีย จึงยอมให้ YUAN และ RINGGIT แข็งค่า
    YUAN และ RINGGIT แข็งค่าในเวลาเดียวกัน ประมาณกลางปี 2005
    หากไม่มีการผูกค่าเงิน YUAN และ RINGGIT จะต้องแข็งค่าตามแนวเส้นไข่ปลา
    ส่งผลทุนสำรองของจีนพุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลก
    ทุนสำรองฯ มาเลย์เซียพุ่งขึ้นมาอยู่ลำดับต้น สูงกว่าไทย
    ปี 2008 ตลาดหุ้นโลกพังทลาย(G88-Index) ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นมาเลย์เซียก็พังทลายช่วงเวลาดังกล่าวเช่นกัน
    กลางปี 2008 จีนคิดกลับมาผูกค่าเงินตายตัวใหม่ ส่วนมาเลย์เซีย ไม่เอาแล้ว ปล่อยให้ลอยค่าตามธรรมชาติ
    มีข่าววจีนขายพันธบัตรที่อเมริกาออกเป็นจำนวนมาก
    นั่นแสดงว่า นั่นเป็นไปได้ว่า จีนเอาเงินที่ขายพันธบัตรที่อเมริกา มาพยุงค่าเงินหยวน
    ต่างจากมาเลย์ ปี 2008 Ringgit ไม่กลับไปผูกค่าเงิน อ่อนค่า (ตามการพังทลายของตลาดหุ้นของตนเอง)
    Ringgit เคยอ่อนค่าเงิน เมื่อปี 2540 แต่กลับไปผูกค่าเงินใหม่ในปี 2541 ..และจึงมาประสบภาวะดังกล่าว
    สรุปว่า ไม่มีใครเก่งกว่า World Fund เขาคือผู้ที่กุม ผู้ที่ขับเคลื่อนศก.โลกตัวจริง
    จีนเก่งมาจากไหน
    อเมริกาที่ว่าแน่ ก็ไม่ได้แน่ ถูก World Fund ถล่มมาก่อนหน้านั้นแล้ว ในปี 2000
    เรื่องของเงินหยวน สงครามยังไม่จบ อย่างเพิ่งนับศพทหาร
    แท้จริง กลางปี 2005 หาใช่ว่าจีน ผ่อนคลายหยวนให้แข็งค่าขึ้น
    แต่ถูก WF ไล่ซื้อหยวน จนแทบหมดต่างหาก หยวนจึงแข็งขึ้น (ทุนสำรองจีนพุ่งขึ้นอันดับ 1 โลก)
    โลกทั้งโลก แพ้ ไม่ว่า อเมริกา ยุโรป จีน ฯลฯ แพ้ต่อ World Fund
    สงครามโลก คือสงครามอวิชชา สงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ..คือการเกิดตลาดหุ้น
    [​IMG]
    .
    [​IMG]
    SSEA Index ของตลาดหุ้นจีน
    สังเกต กลางปี 2005 หลังจากมีการไล่ซื้อ จน YUAN แข็งค่า กลางปี 2005 ..ก็เข้ามาไล่ตลาดหุ้นต่อ
    ใช้เวลาประมาณ 2 ปีกว่า ทำให้ตลาดหุ้นพุ่งแรง บวกขึ้น 502 เปอร์เซนต์
    จากนั้นทุบลงแรง และรวดเร็ว ติดลบ 72 เปอร์เซนต์
    แท้จริง ..เป็นรูปแบบของการหาประโยชน์จากตลาดเงิน-ตลาดทุนจีน(ปั่น) ของ World Fund
    World Fund กำไรแปร้ จากทั้งตลาดเงินและตลาดทุนจีน (ที่มาเงินท่วมโลก)
    จีนได้ประโยชน์จากเงินไหลเข้า จีนเจริญผิดหูผิดตา ตัวเลข GDP 2 หลัก หรือเกือบ 2 หลัก ไม่น้อยกว่า 10 ปีติดต่อกัน
    จีนนำเงิน จากเงินทุนไหลเข้า ไปลงทุนในพันธบัตรที่อเมริกาสูงเป็นอันดับที่ 2
    และตอนหลัง ปี 2008 มีข่าวจีนถอนการลงทุนพันธบัตรในอเมริกา
    เชื่อว่านำมาพยุงค่าเงินหยวน ที่เสียหาย จากการพังทลายของตลาดหุ้นจีนในปี 2008
    ตามดู การย่อยยับเศรษฐกิจ ตลาดทุน-ตลาดเงิน-ตลาดเงินตรา ของจีน ..น่าสนใจ
    .
    [​IMG]
    ปี 2551 (2008) มี 4 ประเทศ เข้าโครงการณ์ IMF
    IMF อนุมัติเงินกู้ ฮังการี 15.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ
    IMF อนุมัติเงินกู้ ยูเครน 16.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ
    IMF อนุมัติเงินกู้ ปากีสถาน 7.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ
    IMF อนุมัติเงินกู้ ไอซ์แลนด์ 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
    .
    ตลาดหุ้นปากีสถาน สูงขึ้นหลังการพังทลาย Nasdaq ปี 2000 +1,361 เปอร์เซนต์
    ตลาดหุ้นปากีสถาน สูงสุดที่ต้นปี 2008 แล้วพังทลายลงมา
    ตกแรงและเร็ว
    มีหยุดพักการซื้อขาย 3 เดือน
    เปิดตลาดขึ้นมา ตกต่อ ..รวมตก 69 เปอร์เซนต์ ..เข้า MF
    .
    ตลาดหุ้น Iceland ขึ้นและตกในรูปแบบเดียวกัน เวลาเดียวกัน เข้า IMF เช่นกัน
    ตลาดหุ้น Iceland ตกแรงเป็นประวัติการณ์ 98 เปอร์เซนต์
    มีข่าวคนกระโดด ในตึกสนามบินสุวรรณภูมิ จากชั้น 4 ตาย เป็นคน Iceland
    เหตุที่ตลาดหุ้น Iceland ตกแรง เพราะนำดัชนีตลาดหุ้นที่เบี่ยงเบนสูง ICEX15 Index มาเป็นตัวชี้นำ
    ตอนนี้ Iceland เลิกใช้ ICEX15 Index เป็นดัชนีชี้นำตลาดหุ้นแล้ว
    ตอนนี้ Iceland ใช้ OMX Iceland All - Share PR แทน
    ยกเลิกตลาดหุ้นไปเลย ..ดีที่สุด
    [​IMG]
    บุญนิยม ทุนนิยม กองทุนนิยม(ทุนนิยมสามานย์)
    ระบบเศรษฐกิจไทย โลก ทุกวันนี้ กลายเป็นกองทุนนิยม(ทุนนิยมสามานย์) มากขึ้น
    ก่อให้กิดการทำลายระบบตลอดเวลา
    ไม่ว่าตลาดจะขึ้น หรือ ตก ล้วนก่อความเสียหายให้ระบบ
    ไทย โลก จะเดือดร้อน ทุกข์เข็ญ ลำเค็ญมากขึ้น เรื่อยๆ
    .
    [​IMG]
    เรียบเรียงจาก รายการ "จากโลกาภิวัฒน์ สู่ท้องไร่ท้องนา" ทีวี13 สยามไท อาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน 2553
    ..............................................................
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคาร ที่ 18 พฤษภาคม 2553
    บุญนิยม ทุนนิยม กองทุนนิยม ..ความแตกต่าง
    Posted by indexthai
    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>
    .
    ระบอบประชาธิปไตยใน 3 รูปแบบ
    .
    [​IMG]
    ระบอบบุญนิยมสาธารณะโภคี
    1) บุญนิยม (Booniyomism) เป็นระบบที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นระบบที่เกิดจากการ ลด ละ เลิก กิเลส ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน แรงงานและผลิตผลที่เกิดจากแรงงาน มอบให้ระบบ ทำให้ทรัพย์กรของระบบเพิ่มขึ้นตลอดเวลา(วงกลมตรงกลาง) คนในระบบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่างกัน เป็นระบบก่อให้เกิดความเข้มแข็ง ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แข็งแกร่งมาก วงกลมเล็กที่อยู่รอบๆวงกลมทรัพยากร คือภาพตัวแทนของคน หรือองค์กร มีขนาดเท่ากัน หมายถึงไม่ความแตกต่างกันทางฐานะ และโอกาส
    ระบบบุญนิยม "สาธารณะโภคี" เป็นระบบสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองโลกุตระ ไม่มีการสะสมสมบัติเป็นของส่วนตน กินใช้และเป็นอยู่ด้วยการประหยัดมัธยัสถ์ รับประทานอาหารมังสวิรัต ละเว้นอบายมุขทั้งปวง นับถือศีลด้วยกายวาจา และใจ เจริญสติด้วยมรรคองค์ 8 ขยันขันแข็งทำงาน สามัคคี มีพลัง มีความเป็นธรรมในระบบ ชุมชนอยู่กันด้วยความอบอุ่นร่มเย็น แรงงานและผลิตผลที่เกิดจากแรงงานมอบไว้ให้เป็นของส่วนกลาง ที่เรียกว่าสาธารณะโภคี
    ระบบนี้จะเข้มแข็ง และมั่นคงขึ้นตลอดเวลา
    [​IMG]
    ระบอบทุนนิยม
    2) ทุนนิยม (Capitalism) เป็นระบบที่มีคู่โลกมานา มีการแย่งชิงผลประโยชน์และอำนาจกัน เอารัดเอาเปรียบกัน มีคอร์รับชัน ทั้งคอร์รัปชั่นซึ่งหน้า คอร์รปชั่นผ่านกฎหมาย ผ่านนโยบาย ทำให้เกิดการปล้นโดยถูกต้องตามกฎหมาย มือใครยาวสาวได้สาวเอา ทำให้เกิดความแตกต่างทางฐานะความเป็นอยู่มาก คนมั่งมีก็มั่งมีเหลือล้น ที่ยากจนก็ ยากจนอย่างเหลือหลาย ทรัพยากรของระบบต่างถูกแย่งชิงกันตลอดเวลา ทรัพยากรของระบบจึงเสื่อม เสียหาย และลดน้อยลงตลอดเวลา วงกลมที่อยู่รอบๆวงกลมทรัพยากร คือภาพตัวแทนของคน หรือองค์กร มีหลายขนาด มีขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก มีความแตกต่างกันมาก หมายถึงมีความแตกต่างกันทางฐานะ และโอกาสมาก
    ระบบนี้จะอ่อนแอ เอารัดเอาเปรียบกันตลอดเวลา
    [​IMG]
    ระบอบกองทุนนิยม
    3) กองทุนนิยม (Fundism) เป็นเรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่ทราบ ธุรกรรมของระบบนี้คือการซื้อขายหุ้น ซื้อขายพันธบัตร ซื้อขายอนุพันธ์(ตลาดล่วงหน้า) เป็นธุรกรรมของการซื้อขายกระดาษ เป็นธุรกรรมอบายมุข เป็นอบายมุขที่กองโตที่สุดในโลก ทำให้ระบบเสียหายรุนแรง
    ปี 2000 คือจุดเริ่มต้นความเสียหายของโลกยุคปัจจุบัน เป็นต้นเหตุให้เงินท่วมโลก แต่โลกจนลง ทุนนิยมจะตกเป็นของกองทุนนิยม ระบบตลาดเงินและตลาดทุนจะผันผวนมาก ทำให้กองทุนกลายมาเป็นเจ้าของทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทุนสำรองฯที่อยู่ตามธนาคารกลางของประเทศต่างๆ คือเงินของ "กองทุนนิยม" เป็นส่วนใหญ่
    วงกลมใหญ่ ที่ซ้อนอยู่บนวงกลมขนาดต่างๆ(ทุนนิยม และบุญนิยม)ที่อยู่รอบๆวงกลมทรัพยากร คือภาพตัวแทนของ "กองทุนนิยม" มีขนาดใหญ่
    ระบบนี้จะก่อให้เกิดการทำลายทุนนิยม ทำให้เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ของประเทศ ของภูมิภาค และของโลก เสื่อมทรุดลงตลอดเวลา

    ความเสียหายจาก ทุรกรรมของ "กองทุนนิยม" ปรากฏให้เห็นแล้วทั่วโลก อเมริกา เกิดหนี้เสีย และตามมาด้วยหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นในปี 2009 เหตุการณ์เดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นในยุโรป จีน และรัสเซีย
    ด้วยความผิดปกติดังกล่าว จะทำให้ "ทุนนิยม" ที่มีอยู่เดิม ปั่นป่วน เสื่อม และ เสียหาย ตลอดเวลา
    แต่ "บุญนิยมสาธารณะโภคี" จะยืนแกร่ง ต้านได้ทุกสภาพการณ์ที่เลวร้ายของเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองโลก
    [​IMG]
    จากรายการ "โลกาภิวัฒน์ สู่ท้องไร่ ท้องนา" ทีวีช่อง 13 สยามไท (15/5/2553)​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันศุกร์ ที่ 19 มีนาคม 2553
    35 ปีแห่งการพ่ายแพ้ทางการเงิน
    Posted by indexthai
    [​IMG]

    การพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ของสหรัฐอเมริกาปี 2000 ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย และไหลออกนอกประเทศ เข้าไปซื้อเงินและหุ้นของประเทศต่างๆ ทำให้สภาพคล่องและตลาดหุ้นของประเทศต่างๆสูงขึ้น แต่การที่เงินไหลเข้าประเทศใดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ รูปแบบการบริหารและการจัดการของตลาดเงินและตลาดทุนของแต่ละประเทศด้วย
    การผูกค่าเงินไว้ตายตัวเงินหยวนของจีน และเงินริงกิตของมาเลยเซีย ทำให้เงินทั้ง 2 สกุลนี้อ่อนผิดจริง จึงมีการเข้ามาเก็บเงินของทั้ง 2 สกุลนี้อย่างรุนแรง กระทั่งไม่สามารถยืนค่าเงินในระดับเดิมไว้ได้ ทำให้ค่าเงินแข็งขึ้นทะลุเพดานเดิมขึ้นมาในกลางปี 2005
    ประเทศไทยแม้ไม่ได้ผูกค่าเงินไว้ตายตัวแล้ว แต่การเปิดตลาดอนุพันธ์ในตลาดทุน ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าอย่างรุนแรง ส่งผลให้สภาพคล่องท่วมประเทศไทยอย่างแรง ทำให้ประเทศไทยต้องหาทางแก้ไขปัญหาสภาพคล่องท่วมประเทศอย่างเคร่งเครียด
    คือ..
    (1) วันที่ 19 ธันวาคม 2549 ทางการได้ออกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า 30 เปอร์เซ็นต์ มีผลให้ SET ตกวันเดียว 108 จุด มูลค่าตลาดหุ้นเสียหาย 8.1 แสนล้านบาท ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในเย็นวันเดียวกัน โดย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศ "ในส่วนของการนำเงินเข้ามาลงทุนในหุ้น จะไม่มีการกันสำรองฯ 30 เปอร์เซ็นต์”
    [​IMG]
    SET Index วันที่ 19-20 ธันวาคม 2549 วันที่ 19 ธันวาคม 2549 SET Index ตก 108.4 จุด มูลค่าตลาด(Market Cap.)ตก 858,000 ล้านบาท
    จากประกาศของรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง วันรุ่งขึ้นตลาดหุ้นพุ่งขึ้นมา 75 จุด จากต่ำสุดวันก่อนหน้า
    ที่เป็นเช่นนี้ เพราะมีเงินทุนไหลเข้าแรง ทำไมเงินจึงไหลเข้าประเทศไทยรุนแรง กระทั่งต้องออกมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์เงินทุนไหลเข้า วันที่ออกมาตรการวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ตลาดหุ้นตอบสนองในทางลบรุนแรง กระทั่งต้องยกเลิกมาตรการดังกล่าว
    จากประโยค "ในส่วนของการนำเงินเข้ามาลงทุนในหุ้น จะไม่มีการกันสำรองฯ 30 เปอร์เซ็นต์” แสดงว่า แท้ที่จริงแล้ว เงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดทุนเป็นสำคัญ ประโยคดังกล่าว เข้าทางบอลกลุ่ม World Fund ที่เป็นเจ้าของการเคลื่อนย้ายทุนของโลก เป็นจุดประสงค์ของ World Fund ที่นำเงินเข้ามาเก็งกำไรและปั่นตลาดหุ้นไทยอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นการนำเงินเข้ามาลงทุนทางตรงแต่อย่างใด
    เหตุการณ์ได้เสีย วันที่ 19-20 ธันวาคม 2549
    ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า และตลาดอนุพันธ์ สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ราคาตกมากเท่าใดกำไรมากเท่านั้น และราคาขึ้นมากเท่าใดกำไรก็มากเท่านั้นเช่นกัน นักลงทุนไทยและประเทศไทยที่รู้ไม่เท่าทันเสียหายยับ แต่ World Fund กำไรท่วมจากตลาดอนุพันธ์ TFEX
    ยกตัวอย่าง ตลาดอนุพันธ์ SET50 TFEX "หาก Short หรือ Long ได้ถูกทิศทาง" จะมีกำไร 1 จุดละ 1,000 บาทต่อสัญญา วันที่ 19 ธันวาคม 2549 TFEX Index ตก 103 จุด ก็กำไร 103,000 บาท ต่อสัญญา วันที่ 20 ธันวาคม 2549 TFEX Index บวก 75 จุด ก็กำไร 75,000 บาท ต่อ สัญญา รวม 2 วัน กำไร 178,000 บาท ของเงินประกัน 50,000 ต่อสัญญา นั่นคือ 2 วันนี้ทำเงินได้ 3.56 เท่าของเงินประกัน หรือกำไร 256 เปอร์เซนต์ของเงินประกัน หาธุรกรรมใดในโลกนี้ ที่ทำประโยชน์ได้มโหระทึก ด้วยระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้ นอกจากตลาดอนุพันธ์
    SET50 TFEX "หาก Short หรือ Long ไม่ถูกทิศทาง ก็จะขาดทุนย่อยยับ"
    การเปิดตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าและตลาดอนุพันธ์
    1) ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) ประกอบด้วย ข้าวหอมมะลิ(BHMR) ข้าวขาว 5%(BWR5) ยางแผ่นรมควันชั้น 3 (SRR3) มันสำปะหลังเส้น(TC)
    วันที่ 28 พฤษภาคม 2547 เปิดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (รัฐบาลทักษิณ)
    2) ปัจจุบัน บมจ. ตลาดอนุพันธ์ ได้เปิดซื้อขายอนุพันธ์ทั้งสิ้น 4 ประเภทด้วยกัน
    วันที่ 28 เมษายน 2549 เปิดซื้อขาย SET50 Index Futures (รัฐบาลทักษิณ)
    วันที่ 29 ตุลาคม 2550 เปิดซื้อขาย SET50 Index Options (รัฐบาลสุรยุทธ์)
    วันที่ 24 พฤศจิกายน 2551 เปิดซื้อขาย Single Stock Futures (รัฐบาลสมัคร-สมชาย)
    วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 เปิดซื้อขาย Gold Futures (รัฐบาลอภิสิทธิ์)
    ในลำดับถัดไป บมจ.ตลาดอนุพันธ์ฯ จะเปิดซื้อขายฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยหรือพันธบัตรรัฐบาล (Interest rate Futures)
    ที่มา : TFEX : Thailand Futures Exchange
    ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าและตลาดอนุพันธ์ เป็นที่มาหลักของเงินไหลเข้าท่วมประเทศ

    [​IMG]
    ความสัมพันธ์ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ กับการเปิดตลาดอนุพันธ์
    ประเทศไทยเคยมีทุนสำรองฯสูงสุดถึง 38,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อก่อนมีวิกฤติเศรษฐกิจระหว่างปี 2535 -2538 หรือเมื่อ 15-18 ปีที่ผ่านมา ทุกวันนี้ประเทศไทยมีทุนสำรองฯ สูงถึง 154,890 ล้านเหรียญสหรัฐ (5 มีนาคม 2553) สูงถึง 4 เท่าของที่เคยสูงสุด การเปิดตลาดอนุพันธ์ คือต้นเหตุหลักของเงินทุนไหลเข้า
    ทุนสำรองการเงินระหว่างประเทศ (ล้านเหรียญสหรัฐ)

    [​IMG]
    ที่มา : CIA - The World Fact Book
    ยืนยัน การเปิดตลาดอนุพันธ์ ทำให้ทุนสำรองฯของประเทศไทยช่วง 4 ปี (2006-2009) เพิ่มเป็นอัตราที่สูงกว่าประเทศใด สูงกว่าประเทศจีนเสียอีก ดังรายละเอียดที่นำเสนอนี้
    1) ปี 2008 ทุนสำรองของมาเลย์เซียสูงกว่าไทย ปี 2009 ทุนสำรองของไทยกลับสูงกว่ามาเลย์เซีย ปี 2009 ทุนสำรองมาเลย์เซียลด 6 เปอร์เซ็นต์ ทุนสำรองของไทยเพิ่ม 28 เปอร์เซ็นต์
    2) ปี 2009 ทุนสำรองของประเทศไทยเพิ่ม 28 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับปีก่อนหน้า เพิ่มเป็นอัตราส่วนที่สูงมากที่สุดในบรรดา 6 ประเทศที่นำเสนอ
    3) ปี 2006 – 2009 (2549-2552) ทุนสำรองจีนเพิ่ม 113% ทุนสำรองไทยเพิ่ม 118% ช่วง 4 ปี ทุนสำรองประเทศไทยเพิ่มเป็นอัตราส่วนสูงกว่าประเทศจีน
    ปี 2004 (2547) ตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
    ปี 2006 (2549) ตั้งตลาดอนุพันธ์
    เป็นต้นเหตุหลักของเงินไหลเข้าประเทศไทย
    ทุนสำรองฯ ที่สูงขึ้น ไม่ได้แสดงว่าประเทศไทยมั่งคั่งขึ้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ยังแสดงการกู้เงินถึง 8 แสนล้านบาท การกู้เงินที่สูงเป็นประวัติการณ์นี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเงินท่วมประเทศ โดยคิดว่าจะช่วยลดภาวะเงินท่วมประเทศได้
    (2) วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาตรการ 4 ข้อ เพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องล้นระบบ
    ธปท.เคยอนุมัติกลต.ให้ให้มีการลงทุนต่างประเทศโดยตรง 30,000 ล้านดอลลาร์สรอ. เอกชนที่นำเงินไปลงทุนต่างประเทศ เจอสภาวะการพังทลายของตลาดทุนโลกในปี 2551 ทำให้โลกขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ มูลค่าธุรกรรมตกลงทั้งโลก ทำให้คนนำเงินไปลงทุนขาดทุนย่อยยับ ยกตัวอย่างเช่นการไปลงทุนกับ ตราสาร CDO (Collateralized debt obligation) กับสถาบันการเงินที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อสถาบันการเงินของอเมริกาล้มลง (ล้มทั้งระบบ) เงินที่นำไปลงทุน ก็สูญ
    ธปท.เพิ่มให้อีก 20,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. รวมเป็น 50,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. คนไทยน้อยรายที่จะขนเงินไปลงทุนต่างประเทศได้ คนที่มีเงินถุงเงินถังจริงจัง ก็คือ World Fund นั่นเอง ยังหรอก ยังไม่ถึงเวลาที่ World Fund ขนเงินออกจากประเทศไทย หากวันนั้นมาถึง 50,000 ล้านดอลลาร์ สรอ.ก็ไม่พอ ด้วยมาตราการเช่นนี้ World Fund ต้องขอบคุณธปท.ไว้ในใจล่วงหน้า
    สภาพคล่องที่ท่วมประเทศ หรือที่ผู้เขียนใช้คำว่า "เงินท่วมประเทศ" เกิดจากการเปิด “ตลาดเกษตรล่วงหน้า” และ "ตลาดอนุพันธ์" การนำเสนอต่อไปนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอ สินค้าในตลาดอนุพันธ์ ที่มีความนิยมมาก เป็นตัวอย่าง
    คำว่าตลาดอนุพันธ์ หรือตลาดล่วงหน้า มีความหมายอันเดียวกัน
    ตลาดอนุพันธ์ ที่เกี่ยวข้องกับการทำ Arbitrage คือการหาประโยชน์จากส่วนต่างของราคาสินค้า 2 ตลาด และ Hedging คือการซื้อ-ขายสินค้าล่วงหน้า
    "ตลาดอนุพันธ์" ถูกสร้างขึ้นโดยความไม่รู้ของนักการเงิน โดยเชื่อว่าเป็น "Financial Engineering" ที่ล้ำยุคแบบหนึ่ง
    อธิบายข้อดีของตลาดอนุพันธ์ว่า "เป็นตลาดประกันความเสี่ยง" ก็คือตลาดที่ไม่มีความเสี่ยงนั่นเอง ที่เป็นผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยอย่างท่วมท้น
    ตลาดประกันความเสี่ยง หรือไม่มีความเสี่ยง จะเป็นประโยชน์เฉพาะผู้ที่มีข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ ในกลไกตลาดอย่างลึกซึ้งเท่านั้น โดยเฉพาะ World Fund ที่ซึ่งได้กลายเป็นผู้ควบคุมกลไกของเศรษฐกิจโลกอย่างเบ็ดเสร็จ จะได้ประโยชน์สูงสุด ส่วนคนท้องถิ่น และ Hedge Fund บางกลุ่ม จะขาดทุน จากขาดทุนแบบธรรมดา ถึงขาดทุนย่อยยับ ดังเช่นการล้มละลายของธนาคารแบริ่งของอังกฤษ โดยนายนิค ลีสัน เทรดเดอร์ชื่อดัง เป็นผลมาจากการเก็งกำไรที่ผิดทิศทางในตลาดล่วงหน้านั่นเอง
    นักเก็งกำไรท้องถิ่นอาจจะมีบ้างที่ได้ประโยชน์สูง แต่เป็นส่วนน้อย
    ตลาดอนุพันธ์ จะดีเฉพาะผู้เล่น (Players) ที่ชาญฉลาด ทำให้เข้ามาโกยเงินไปจากประเทศต่างๆ หรือภูมิภาคต่างๆ ส่วนประเทศท้องถิ่น (ระบบเศรษฐกิจของท้องถิ่น) จะย่อยยับจาก อภิมหาเงินทุน ที่เคลื่อนย้ายเข้า-ออกประเทศ
    แม้สงครามนี้เพิ่งเริ่มต้นในปี 2549 ก็พบแล้วว่ามันทำความย่อยยับให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย เห็นได้จากมาตรการวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ส่วนมาตรการวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2553 คงต้องจับตาดูต่อไป ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย
    อบายมุข
    ตลาดอนุพันธ์ เป็นการซื้อขายกระดาษ เป็นสินค้าที่ไม่มีตัวตน จึงเรียกได้ว่าเป็นตลาดอบายมุข
    น่าเชื่อว่าศาสนาและวัฒนธรรมของตะวันตกจะไม่รู้จักคำว่า "อบายมุข" แต่ศาสนาและวัฒนธรรมตะวันออกรู้จักคำว่า "อบายมุข" ลึกซึ่ง
    เพื่อง่ายแก่ความเข้าใจถึงตลาดอนุพันธ์ ให้คิดถึงสลากกินแบ่งรัฐบาล "ที่ตัวสินค้าเกิดจากการหมุนกงล้อให้เกิด ตัวเลข" ขึ้นมา โดยกำหนดว่า การหมุนกงล้อรอบใดเป็นรางวัลอะไร
    แต่สินค้าในตลาดอนุพันธ์ ไม่ต้องใช้วิธีหมุนกงล้อ "ใช้วิธีอ้างอิง" ตัวเลขดัชนีตลาดหุ้น ตัวเลขราคาหุ้น ตัวเลขราคาทองคำ ตัวเลขราคาน้ำมัน และตัวเลขราคาสินค้าเกษตร แล้วนำตัวเลขดังกล่าวมาทำการซื้อขาย
    มีการอ้างอิงกับราคาสินค้าเกษตรด้วย โดยแท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรเกี่ยวกับเกษตรกร เกษตรกรตัวจริงจะไม่มีเวลามาติดตามและซื้อ-ขาย "ตัวเลขราคาสินค้าเกษตรได้”
    แต่หากใครมีข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ กับตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า จะสามารถทำกำไรจากตลาดเกษตรล่วงหน้าได้ ก็จะไม่ไปทำนาทำสวนให้ลำบาก หนักแรง สู้ดำนาและทำสวนบนเครื่องคอมพิวเตอร์กับตลาดเกษตรล่วงหน้าไม่ได้ กำไรแน่นอน ไม่มีความเสี่ยง (ประกันความเสี่ยง)
    อุปมาอุปมัย ระหว่างคนดำนากับคนขายหวย หากคนดำนาตาย คนขายหวยจะตายด้วย เพราะไม่มีข้าวกิน แต่หากคนขายหวยตาย ชาวนาจะไม่ตาย เนื่องจากยังมีข้าวกิน อาชีพของชาวนาก่อให้เกิดผลผลิตต่อระบบ อาชีพขายหวย (ขายล๊อตเตอรี่) ไม่เกิดผลผลิตต่อระบบ เป็นอาชีพที่เอารัดเอาเปรียบชาวนา
    ธุรกรรมสลากกินแบ่งรัฐบาล และ ธุรกรรมของตลาดอนุพันธ์ จึงไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด เป็นธุรกรรมที่ค้าตัวเลขแบบเดียวกัน เป็นมิจฉาอาชีวะ เป็นอบายมุข ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตต่อระบบ (Non productivity) เป็นธุรกรรมที่เอารัดเอาเปรียบระบบ เบียดเบียนระบบ เอารัดเอาเปรียบสังคม
    โอกาสที่จะถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล (Probability) น้อยมาก ส่วนธุรกรรมของตลาดอนุพันธ์มีโอกาสได้กำไร (ถูกรางวัล) ทุกวัน ขึ้นก็กำไร-ตกก็กำไร บางวันกำไรหลายรอบ ได้เงินดีกว่าการถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 1 หลายเท่า
    หากเปรียบเทียบกับเชื้อโรค สลากกินแบ่งรัฐบาลเทียบได้เท่ากับโรคผิวหนัง เช่นโรคหิด (โรคเฉพาะที่) แต่ตลาดตราสารอนุพันธ์เทียบได้กับโรคเอดส์ (โรคของระบบ)
    โรคหิด หรือโรคเฉพาะที่ มีโอกาสรักษาหายได้ แต่แปลก โรคสลากกินแบ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ นอกจากจะรักษาไม่หายแล้วยังทำให้เกิดโรคข้างเคียงเพิ่มขึ้น เช่นโรคหวยใต้ดิน โรคหวยบนดินและโรคหวยออนไลน์
    ส่วนโรคตลาดอนุพันธ์ที่เป็นโรคของระบบ ยิ่งยากมากขึ้นไปอีก มันก็จะทำความเสียหายให้ระบบตลอดเวลา
    ธปท.ดูเหมือนจะเน้นแต่ด้าน Real Trade คือคิดถึงแต่ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการ การผลิต การพาณิชย์ การขนส่ง การนำเข้า การส่งออก การท่องเที่ยว
    แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ที่ Real Trade การไหลเข้าออกของเงินทุน เกิดจากการเข้ามาหาประโยชน์ในธุรกรรมซื้อขายกระดาษในตลาดหุ้น และล่าสุดจากธุรกรรมอบายมุข หรือจากตลาดอนุพันธ์
    หรือปัญหามันเกิดจาก Paper Trade แล้วส่งผลกระทบต่อ Real Trade
    ประเทศไทย สร้างปัญหาขึ้นมาเอง แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา กลับแก้แต่ปลายเหตุของปัญหา เป็นเช่นนี้มา 35 ปีแล้ว เคยเป็นมาอย่างไรก็อย่างนั้น โดยไม่ทราบ หรือปฏิเสธที่จะทราบว่าต้นเหตุของปัญหาเกิดจากอะไร แก้แต่ปลายเหตุของปัญหา โดยไม่แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ปัญหาจึงยุติลงไม่ได้ ปัญหาจึงหนักขึ้นเรื่อยๆ สินทรัพย์ของคนไทยตกเป็นของ World Fund เพิ่มขึ้นตลอดเวลา
    ยกตัวอย่าง
    ธนาคารกสิกรไทยเหลือผู้ถือหุ้นที่เป็นคนไทย 3 เปอร์เซนต์
    ธนาคารกรุงเทพเหลือผู้ถือหุ้นที่เป็นคนไทย 11 เปอร์เซนต์
    ฯลฯ
    การแก้ปัญหาตลอด 35 ปีที่ผ่านมา เป็นการยอมจำนนต่อปัญหามาโดยตลอด
    1) การยอมจำนนต่อปัญหาในอดีต
    35 ปีที่ผ่านมา หลังการเปิดตลาดหุ้น ประเทศไทยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ “ขนาดหนัก” จนต้องเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟถึง 2 ครั้ง มีต้นเหตุมาจากตลาดทุนทั้ง 2 ครั้ง
    1.1) การพังทลายของตลาดหุ้นครั้งแรกเกิดในปี 2521 ประเทศไทยต้องลดเงินบาทถึง 3 ครั้ง จาก 20 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาเป็น 27 บาทต่อเหรียญสหรัฐ สถาบันการเงินและภาคการผลิตจริงล้มลงจำนวนมาก ต้องเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟครั้งแรก
    1.2) การพังทลายของตลาดหุ้นที่ 2 เกิดในปี 2537 ครั้งนี้ประเทศไทยต้องลอยค่าเงินบาท เงินบาทตกจาก 26 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาเป็น 56 บาทต่อเหรียญสหรัฐ สถาบันการเงินและภาคการผลิตจริงล้มลงทั้งประเทศ ที่ดินเกษตรกรทั่วประเทศ 38.5 ล้านไร่ถูกยึด ต้องเข้าโครงการไอเอ็มเอฟเป็นครั้งที่ 2
    หากแก้ปัญหาครั้งแรกถูกทิศทาง ประเทศไทยก็ไม่ต้องเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟเป็นครั้งที่ 2
    กองทุนเพื่อการพัฒนาสถาบันการเงิน ตั้งขึ้นหลังการเกิดวิกฤติครั้งแรก ปรัชญาว่า หากมีสภาพคล่องให้สถาบันการเงินเมื่อสถาบันการเงินมีปัญหา จะทำให้สถาบันการเงินไม่ล้ม แต่เมื่อเกิดปัญหาจริง กลับไม่สามารถพยุงฐานะการเงินไว้ได้ หลังจากอัดฉีดสภาพคล่องตามความเชื่อเต็มที่ ก็ไม่สามารถรักษาฐานะสถาบันการเงินไว้ได้ สถาบันการเงินล้มลงครั้งแรก 54 แห่ง (ถูกปิดกิจการ) แต่ทุกวันนี้ถูกปิดกิจการไปมากกว่า 70 แห่ง ที่เหลือก็ทยอยตกเป็นของต่างชาติตลอดเวลา นอกจากไม่สามารถพยุงฐานะสถาบันการเงินไว้ได้แล้ว การล้มลงของสถาบันการเงิน ยังก่อหนี้สาธารณะกว่า 1.44 ล้านล้านบาท
    การพังทลายของตลาดหุ้นในปี 2537 รวมทั้งให้มีการบังคับขายหุ้นนักลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นพังทลายอย่างรุนแรง เป็นที่มาของความเสียหายของค่าเงินบาท ทางการได้เข้าไปปกป้องค่าเงินบาทเต็มกำลัง แต่ก็ไม่สามารถปกป้องค่าเงินบาทไว้ได้อีก พ่ายแพ้อีก ต้องลอยค่าเงินบาทในที่สุด ยอมจำนน
    นั่นคือทางการต้องพ่ายแพ้ถึง 2 ด้าน คือพ่ายแพ้ต่อการพยุงฐานะของสถาบันการเงิน และพ่ายแพ้ต่อการปกป้องค่าเงินบาท
    2) การยอมจำนนต่อปัญหาในปัจจุบัน
    2.1) มาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์เงินทุนไหลเข้า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 เป็นการแก้ปลายเหตุของปัญหาอีก โดยไม่แก้ที่ต้นเหตุของเงินทุนไหลเข้า ออกมาตรการได้วันเดียว ก็ต้องพ่ายแพ้อีก เงินทุนยังคงไหลเข้าประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลที่นำเสนอข้างต้น คือการยอมจำนนนนนั่นเอง
    2.2) มาตรการ 4 ข้อ ตามประการของธนาคารแห่งประเทศไทย มีผลบังคับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2553 แสดงถึงถึงความพยามต่อสู้กับทุนไหลเข้านั่นเอง แบบไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว "ยอมแล้ว จำนนแล้ว”
    มาตรการต่างๆที่ทำมา ตลอด 35 ปี ไม่ใช่การประสบผลสำเร็จในแก้ปัญหา แต่เป็นการยอมจำนนต่อปัญหา โดยไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรมากกว่า ไม่ทราบว่าต้นเหตุของปัญหาเกิดจากอะไร แล้วก็แก้แต่ปลายเหตุของปัญหา หรือเป็นเพียงการรักษาโรคตามอาการ เป็นการเปิดช่องทางให้ World Fund ทำมาหากินบนตลาดทุนและตลาดเงินของประเทศไทย ตลอด 35 ปี อย่างง่ายสะดวก อย่างไม่มีอะไรจะทัดทาน
    องค์ประกอบทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เสื่อมทรุด ตลอดเวลา

    เขียนจากเค้าโครงเรื่อง “35 ปีของการพ่ายแพ้ทางการเงินของประเทศไทย”
    Daily News - Manager Online - 35
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ ที่ 5 ตุลาคม 2552
    ความผิดปกติของเศรษฐกิจโลกยุคปัจจุบัน
    Posted by indexthai
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    ความผิดปกติของเศรษฐกิจโลกยุคปัจจุบัน
    ประยุกต์มาจากการบรรยายเรื่องนี้ที่โรตารีเจริญนคร ส่วนใหญ่ของข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ ครอบคลุมเนื้อหาสาระที่นำเสนอไว้ในการบรรยายทุกประการ
    การบรรยายนี้มีมูลค่า 7.635 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 255.8 ล้านล้านบาท (33.5 Baht/USD)หรือ เท่ากับมูลค่าทุนสำรองฯโลกที่ผิดปกติในปี 2008 หากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เข้าใจ และแก้ปัญหาได้อย่างถูกทาง ทุนสำรองฯโลกก็จะกลับสู่ความเป็นปกติ จะทำให้เศรษฐกิจโลกมั่นคงดังเดิม
    ผู้เขียนจบการศึกษาจากคณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เข้าทำงานกับบริษัทเอกชนทั้งไทย แและต่างประเทศที่มาตั้งสำนักงานอยู่ที่ประเทศไทย เป็นเวลาพอสมควร ช่วงสุดท้ายเป็นงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ แล้วได้ลาออกจากงานประจำ เป็นคนนิยมในกับตัวเลข บ้าตัวเลข แม้จะออกจากงานแล้ว ก็ยังนิยมตัวเลขต่อเนื่อง เห็นว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น มีมากดี น่าจะทำให้เกิดงานที่น่าสนใจ และได้ซื้อขายหุ้นไปด้วย พอดีกับเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเจริญ จึงช่วยให้ผมทำงานได้อย่างมีความสุข ผมได้สร้างดัชนีที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นไทย ค่าเงินภูมิภาค ดัชนีตลาดหุ้นภูมิภาค ดัชนีตลาดหุ้นโลก รวมแล้วประมาณ 200 ดัชนี
    มีบทความทางด้านเศรษฐกิจ ตีพิมพ์ตามสื่อสิ่งพิมพ์ออกมาเป็นระยะๆ ใช้นามปากกาว่า indexthai รู้สึกว่า มีคนหมั่นไส้นามปากกานี้ นามปากให้ความหมายว่า เป็นตัวชี้ประเทศไทย มันจะวิเศษวิโสมากไปหรือเปล่า ผมไม่ได้คิดไปถึงขนาดนั้น ผมเพียงตั้งชื่อนามปากกาที่ให้ความหมายว่าเป็นคนสร้างดัชนีทางด้านเศรษฐกิจได้ หรือเป็นผู้ที่สร้างดัชนีเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก หากใครสนใจ และทุกวันนี้ก็มีคอมพิวเตอร์แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยาก สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
    แต่มารู้สึกภายหลังว่า นามปากกานี้ไม่เพียงเป็นคนสร้างดัชนี และมีความรู้เกี่ยวข้องกับดัชนีเท่านั้น มันทำให้เข้าใจถึงเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจได้ลึก ไม่เพียงของประเทศไทยเท่านั้น แต่รู้เรื่องเศรษฐกิจของทั้งโลกด้วย แล้วนำมาชี้บอกคนในระบบ รู้สึกว่าน่าจะมีอีกนามปากกาคือ indexworld
    33 ปีที่ตั้งตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นไทย นำพาประเทศไทยเข้าโครงการไอเอ็มเอฟมา 2 ครั้งแล้ว ตลาดหุ้นตกหนัก ส่งผลให้สภาพคล่องของระบบเสียหาย ทำให้ภาคการเงินและภาคการผลิตจริงล้มลงทั้งประเทศ ทำให้ราคาสินทรัพย์ของประเทศตกลง หลักประกันตกลง ทำให้ค่าเงินบาทเสียหาย ไม่ได้รับความเชื่อมั่น และไหลออก แทบหมดประเทศ กระทั่งต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากไอเอ็มเอฟ
    ประเทศใดก็ตาม ที่ตลาดหุ้นตกแรง เหมือนกับที่เกิดกับประเทศไทย 2 ครั้งที่ผ่านมา ก็จะเป็นแบบเดียวกันทุกประการ ไม่มียกเว้น แม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาและจีน คือ "สภาพคล่องของระบบเสียหาย ทำให้ภาคการเงินและภาคการผลิตจริงล้มลงทั้งประเทศ ทำให้ค่าเงินเสียหาย ไม่ได้รับความเชื่อมั่น และไหลออกไปถือเงินสกุลอื่น"
    [​IMG]
    Nasdaq Index ดัชนีตลาดหุ้นแนสแดกซ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
    ปี 1999 มีการปรับโครงสร้างดัชนีตลาดแนสแดกซ์ ทำให้ Nasdaq index เบี่ยงเบนสูง ทำให้อ่อนแอสูง ถูกปั่นได้ง่าย World Fund (WF) ได้โอกาส สวมรอยปั่นจากต้นปี 1999 ที่ระดับประมาณ 1,500 จุด ให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และไปสูงสุดที่ประมาณ 5,000 จุด แล้วถล่มขายอย่างรุนแรง ดัชนีตกลงไป 78 เปอร์เซนต์ในช่วงเวลา 2 ปีกว่า
    การตกรุนแรงของตลาดแนสแดกซ์ดังกล่าว เป็นไปตามกลไกที่นำเสนอไว้ช่วงต้น "ทำให้สภาพคล่องของระบบของสหรัฐอเมริกาเสียหาย ทำให้ภาคการเงินและภาคการผลิตจริงล้มลงทั้งประเทศ ทำให้ค่าเงินเสียหาย ไม่ได้รับความเชื่อมั่น และไหลออกไปถือเงินสกุลอื่น"
    ขนาดเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เงินเหรียญสหรัฐจึงมีมากด้วย เมื่อไม่ได้รับความเชื่อมั่น ไหลออก จึงไหลไปท่วมประเทศต่างๆ ทั่วโลก
    กล่าวได้ว่า วิกฤติของเศรษฐกิจโลกที่รุนแรงที่สุดในโลก จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในต้นปี 2000 นี้เอง จากการพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา
    [​IMG]
    ค่าเงินเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับเงินยูโร ค่าเงินเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับบาท
    เงินเหรียญสหรัฐตกลงถึง 47 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับเงินยูโร(หรือเงินยูโรแข็งขึ้น 87 เปอร์เซนต์)
    เงินเหรียญสหรัฐตกลงถึง 36 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับเงินบาท(หรือเงินบาทแข็งขึ้น 56 เปอร์เซนต์)
    แสดงให้เห็นว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายลงเมื่อเทียบกับเงินยูโร และเงินบาท ที่เป็นผลตามมาจากการพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์ในปี 2000 และค่าเงินเหรียญสหรัฐเริ่มพังทลายในปี 2001
    สำหรับสกุลเงินที่ไม่ได้ผูกค่าเงินไว้ตายตัว จะเห็นว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐตกลงในเวลาที่ใกล้เคียงกับการตกลงของตลาดแนสแดกซ์
    [​IMG]
    ค่าเงินเหรียญเมื่อเทียบกับเงินหยวน ค่าเงินเหรียญเมื่อเทียบกับเงินริงกิต
    แต่สำหรับสกุลเงินที่มีการผูกค่าเงินไว้ตายตัว จะเห็นว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐไม่ตกลงทันที
    เป็นเรื่องที่ขาดความเข้าใจ(1) ผลจากการผูกค่าเงินไว้ เมื่อค่าเงินเหรียญพังลายเพราะการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ ทำให้ค่าเงินหยวนและค่าเงินริงกิต อ่อนผิดจริงทันที
    WF ได้โอกาส เข้ามาสะสมและไล่ซื้อ หยวน และ ริงกิต ซื้อหยวนและริงกิต ถึงกลางปี 2005 ทำให้หยวนและริงกิตร่อยหรอหรือหมดไปจากธนาคารกลางของจีนและธนาคารกลางมาเลย์เซีย จึงส่งผลให้หยวนและริงกิตแข็งขึ้น
    หยวนแข็งขึ้นสูงสุดถึง 21 เปอร์เซนต์(เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง 18 เปอร์เซนต์)
    ริงกิตแข็งขึ้นสูงสุดถึง 21 เปอร์เซนต์(เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง 18 เปอร์เซนต์)
    ตัวเลขการเปลี่ยนแปลงเท่ากัน ไม่ทราบ WF จงใจหรือไม่
    เป็นเรื่องที่ขาดความเข้าใจ(2) ผู้บริหารทางการเงิน รวมทั้งวุฒิสมาชิกของประเทศสหรัฐของประเทศสหรัฐอเมริกา ต่างออกมาต่อว่าจีน ว่าควบคุมค่าเงินของจีนให้อ่อนค่า (ไม่ให้แข็งค่า) ที่เป็นผลสินค้านำเข้าจากจีน เพิ่มสูงขึ้นมาก แท้ที่จริงเป็นเรื่องที่ขาดความเข้าใจมากกว่า เป็นเพราะการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์นั่นเอง แล้วมีการผูกค่าเงินระหว่างกันไว้ จึงทำให้หยวนและริงกิตอ่อนผิดจริง
    การแข็งค่าของเงินหยวน และเงินริงกิตช่วงกลางปี 2005 แสดงให้เห็นว่า ทางการจีนและมาเลย์เซีย ได้พ่ายแพ้ ต่อ WF อย่างมีนัยสำคัญ WFใช้เวลาสะสมหยวนและริงกิต ราคาต่ำ จากปี 2001 เป็นเวลา 3-4 ปี จึงทำให้หยวนและริงกิตพุ่งแข็งขึ้น นั่นคือ WFมีกำไรจากเงิน 2 สกุลนี้แล้ว มหาศาล
    สังเกตที่กรอบสี่เหลี่ยมด้านล่างขวาของกราฟ YUAN ดูเหมือนว่าจีนพยายามที่จะกลับไปผูกเงินหยวนไว้ตายตัวอีก คงไม่เข้าใจ จึงไม่เข็ด
    ต่างจากมาเลย์เซีย ไม่เห็นว่าได้มีความพยายามที่จะกลับไปผูกค่าเงินไว้ตายตัวอีก มาเลย์เซียเมื่อปี 2540 เคยลอยค่าเงินริงกิตไปแล้ว เกรงว่าเงินจะไหลออก แต่ปี 2541 กลับมาผูกค่าเงินตายตัวใหม่ คือแทนที่เงินจะไหลออกจากทาเลย์เซีย แต่เงินกลับไหลเข้ามาเลย์เซียอย่างท่วมท้น ยังรู้ไม่เท่าทันกลไกเศรษฐกิจการซื้อขายในกระดาษในตลาดทุน ยังรู้ไม่เท่าทัน WF ยังรู้จัก WF น้อยไป
    [​IMG]
    G88-Index ดัชนีตลาดหุ้นรวมโลก 88 ประเทศ
    การตกรุนแรงของตลาดแนสแดกซ์ในปี 2000 ทำให้ค่าเงินเหรียญเสียหาย ไม่ได้รับความเชื่อมั่น และไหลออกไปถือเงินสกุลอื่น ทำให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศต่างๆสูงขึ้น ทำให้ค่าเงินของประเทศต่างๆสูงขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นประเทศต่างๆสูงขึ้น จะเห็นว่า G88-Index เริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2001 ขึ้นไปจนถึงปลายปี 2007 ขึ้น 463 เปอร์เซนต์ แล้วจึงพังทลายลง ปี 2008 ตลาดหุ้นโลกตกตลอดปี ตกจนถึงต้นปี 2009 ตกลงถึง 62 เปอร์เซนต์ จึงเริ่มฟื้นตัว
    เรื่องทั้งหมด อยู่ภายใต้การควบคุม World Fund (WF) โดยสมบูรณ์
    ไม่เฉพาะราคาหุ้น และค่าเงินต่างๆเท่านั้นที่สูงขึ้น ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของประเทศต่างๆก็สูงขึ้น ราคาทองคำ ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าเกษตรต่างๆ ล้วนสูงขึ้นแรงกันทั่วหน้า
    World Fund (WF) ประกอบไปด้วยบรรดากองทุนต่างๆ เช่น Hedge Fund, Pension Fund, Central Banker ของประเทศต่างๆ, Mutual Fund, Provident Fund ฯลฯ ฟันด์เหล่านี้มีเงินมหาศาล รวมกันไม่น้อยกว่า 30-40 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ฟันด์เหล่านี้ มีทั้งฟันด์ที่ไม่มีคุณภาพ และฟันด์ที่ฉลาดล้ำ มีกองทุนขาดทุน และกองทุนที่ทำกำไรมหาศาล กองทุนที่โง่เขลาจะหายไป กองทุนที่ชาญฉลาดจะยิ่งโตขึ้น
    ช่วงที่หุ้นขึ้นระหว่างปี 2536 - 2538 ประเทศไทยมีหน่วยลงทุน (Mutaul Fund) เกิดขึ้นมากว่า 60 กองทุน การพังทลายของตลาดหุ้นในปี 2537 ทำให้กองทุนเหล่านี้ล้มลง ไม่สามารถคืนทั้งทุนและเงินปันผลแก่ผู้ลงทุน ผู้ลงทุนในหน่วยลงทุนต่างหมดตัวกันทั่วหน้า ผู้ซื้อหน่วยลงทุนที่จังหวัดกาญจนบุรีประท้วงโดยเอาอุจจาระราดตัวเอง มาทวงเงินลงทุน แต่ก็ไม่ได้เงินลงทุนคืน
    ความเสียหายโดยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่มีใครรับผิดชอบ แต่โยนความผิดมาให้เอกชน ตั้งปรส. บสท. มายึดทรัพย์เอกชนอีก ประเทศไทย อะไรจะปานนี้ คนและเครื่องมือที่ทำให้ประเทศไทยเสียหาย กลับลอยนวล ไม่ได้รับความผิด ความเสียหายโดยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่มีใครรับผิดชอบ
    ทุกวันนี้ประเทศไทยไม่กล้าตั้งหน่วยลงทุนขึ้นมาอีก เปลี่ยนไปตั้งกองทุนในรูปอื่นแทน เช่น LTF และ RTF เป็นต้น
    G88-Index เป็นหนึ่งในดัชนีที่ผู้เขียนเป็นคนพัฒนาขึ้นมาเอง ทำให้เห็นภาพความเป็นไปของเศรษฐกิจโลกได้อย่างดี เกิดขึ้นที่ไหน เกิดเมื่อใด เป็นอย่างไร และเท่าใด เมื่อก่อนนี้มีไม่ถึง 80 ประเทศ แต่ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 88 ประเทศแล้ว ตลาดหุ้นประเทศซิมแบบเวปิดไป 1 ตลาด ไม่เช่นนั้นก็จะเป็น G89-Index
    [​IMG]
    ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ 155 ประเทศ (รวมทองคำ)
    ที่มา : เวปไซด์ซีไอเอ
    ปี 2007 เพิ่มจากปี 2006 33 เปอร์เซนต์ ปี 2008 เพิ่มจากปี 2007 11 เปอร์เซนต์ ตัวเลขของทั้งโลกเป็นตัวเลขขนาดใหญ่ การเพิ่มตัวเลขมากกว่า 2 หลัก เราเคยเห็นตัวเลขคล้ายๆกันนี้เช่น GDP ของจีนเพิ่ม 9-10 เปอร์เซนต์ ก็นับว่ามากแล้ว แต่ตัวเลขของทุนสำรองฯ เพิ่มมากกว่าอีก
    ตัวเลขเช่นนี้ ไม่ได้เกิดจากภาคการผลิตและการพาณิชย์ของโลก หรือภาคการผลิตจริงของโลก(Real Economy or Real Trade) แต่เกิดจากการซื้อขายกระดาษในตลาดทุน และตลาดตราสารอนุพันธ์ (Paper Trade)
    เป็นเรื่องที่ผิดปกติ
    ปี 2008 ตลาดหุ้นตกทั้งปี และตกถึง 62 เปอร์เซนต์ แต่ทุนสำรองฯเมื่อสิ้นปี 2008 เพิ่มถึง 11 เปอร์เซนต์ ..ผิดปกติ ..เป็นที่มาของเงินทุนท่วมโลก
    [​IMG]
    ลำดับทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ณ.วันสิ้นปี 2008
    จะเห็นว่าทุนสำรองฯของประเทศจีนสูงขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก 2.03 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ทุนสำรองฯของประเทศมาเลย์เซียสูงกว่าประเทศไทยเสียอีก สูงถึง 101.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ของไทยอยู่ที่ 100.4 แสนล้านเหรียญ ของประเทศสหรัฐอเมริกาต่ำกว่าของประเทศไทยเสียอีก มี 70.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้นเอง
    เงินกำลังท่วมโลก เงินท่วมโลก แต่โลกจนลง เงินทุนสำรองฯที่อยู่ตามประเทศต่างๆ ไม่ใช่เงินของประเทศใด แต่เป็นของ WF เป็นส่วนใหญ่ ที่เขานำมาฝากไว้ เขาพร้อมที่จะเคลื่อนย้าย นำเข้าหรือถอนออกเมื่อใดก็ได้ แล้วแต่สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ประเทศจีนหรือประเทศใดจะมั่งคั่งขึ้น หรือยากจนลง ไม่ใช่ปัญหาของ WF เขาสามารถทำกำไรผ่านตลาดทุน (และตลาดเงินตรา) ได้ทั้ง 2 ทาง
    การที่เศรษฐกิจของประเทศจีนเติบโตแรงในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ก็เพราะเงินทุนไหลเข้า ดังที่ล่าวมานั่นเอง แต่ทุกวันนี้ประเทศจีนประสบเหตุความเสียหาย อันเป็นผลมาจากการพังทลายของตลาดหุ้นจีนเช่นกัน เพียงแต่ความเสียหายยังไม่ปรากฎผลเท่านั้น
    [​IMG]
    ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสุทธิของไทย(2000 - 18 กันยายน 2009)
    ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย
    แสดงให้เห็นว่า ทุนสำรองฯของประเทศไทยก็เริ่มสูงขึ้นเมื่อปี 2001 เช่นกัน สูงขึ้นหลังการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์และค่าเงินเหรียญสหรัฐนั่นเอง
    แนวระนาบสีแดง คือระดับทุนสำรองสุทธิฯของประเทศไทย ช่วงก่อนลอยค่าเงินบาทกลางปี 2540 ซึ่งมีประมาณ 3.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เดือนกรกฎาคม 2540 เดือนที่มีการลอยค่าเงินบาท ทุนสำรองฯตกลงเหลือ 1,144 ล้านเหรียญสหรัฐ
    ถึงวันที่ 18 กันยายน 2009 ทุนสำรองสุทธิฯ เป็นสถิติเพิ่มสูงมากเป็นประวัติการณ์ 146,105 ล้านเหรียญสหรัฐ
    เงินกำลังท่วมโลก เงินกำลังท่วมประเทศไทย น้ำท่วมไม่ใช่เรื่องที่ดี น้ำท่วมประเทศ จะท่วมเป็นจังหวัดหรือ 4-5 จังหวัดเท่นั้น แต่เงินท่วมประเทศไทย ท่วมมากกว่าน้ำท่วมประเทศเสียอีก เพราะท่วมไปทั่วทุกจังหวัดของประเทศ
    ลักษณะเช่นนี้ ทำให้เงินไปกองไว้ที่สถาบันการเงินต่างๆมีปริมาณมาก ยากที่ภาคการผลิตจริงจะรองรับได้ และวิกฤติทางการเงินช่วงที่ผ่านมา 2 ครั้ง แสดงถึงการไม่มีความมั่นคงของระบบ เสียหายกันมาก คนไม่กล้าลงทุน ไม่มีคนกล้าขยายงาน คนที่เข้าใจกลไกเศรษฐกิจจะระวังตัว คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะเกิดความเสียหายโดยง่าย โครงการณ์เงินกู้ Fast Track ก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก สถาบันการเงินมีภาระกับดอกเบี้ยจ่ายแก่ผู้ฝากเงินสูง คนกู้เงินก็จะกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยสูง และคนฝากเงินก็จะได้ดอกเบี้ยต่ำ ช่วงกว้างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้(Spread)จะถ่างมากขึ้น ทุกวันนี้ช่วงกว้างดังกล่าวประมาณ 5 เปอร์เซนต์
    เป็นไปได้ว่า ต่อไป คนมีเงินฝากอาจจะต้องจ่ายค่ารักษาบัญชีเงินฝากให้กับธนาคาร จะไม่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝาก เหมือนที่ผ่านมาแล้ว ใครมีเงินฝากมากก็จ่ายมาก ใครมีเงินฝากน้อยก็จ่ายน้อย
    ประเทศไทยและโลกกำลังลำบาก ลำบากจากสาเหตุอันเดียวกัน เงินกำลังท่วมประเทศไทย และกำลังท่วมโลก
    เงินท่วมประเทศไทย และท่วมโลก แต่ประเทศไทยและโลกยากจนลง

    ........................................................................
    ความเสียหายของท้องถิ่น
    ........................................................................​
    [​IMG]
    การซื้อขายสุทธิของต่างชาติรายเดือน ปี 2536 - 2537
    ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
    บัญชีแยกประเภท ตามกลุ่มผู้ซื้อขายหุ้น จะปรากฏให้ทราบว่า หากต่างชาติซื้อ คนไทยจะขาย หรือหากต่างชาติขาย คนไทยจะซื้อ กราฟที่แสดงให้เห็นนี้ แสดงเฉพาะการซื้อขายของต่างชาติเท่านั้น
    ปี 2536 พบว่าต่างชาติซื้อสุทธิ 10 เดือนติดต่อกัน ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนตุลาคม โดยเฉพาะเดือนตุลาคม เดือนที่นำระบบ Maintenance margin & Forced sell (อีกหนึ่งของสิ่งผิดปกติในตลาดหุ้น) มาใช้ในตลาดหุ้น ซื้อมากถึง 32,051 ล้านบาท จากนั้นก็ขายออกมาทุกเดือน ถึง 6 เดือนติดต่อกัน โดยเฉพาะเดือนมกราคม 2537 ที่ดัชนีสูงขึ้นถึง 1,750 จุด ขายมากเป็นพิเศษถึง 40,735 ล้านบาท
    กราฟถัดไป แสดงถึงความสัมพันธ์การซื้อขายของต่างชาติ กับการเปลี่ยนแปลงของ SET Index
    [​IMG]
    ความสัมพันธ์การซื้อขายของต่างชาติ กับการเปลี่ยนแปลงของ SET Index
    ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
    นำข้อมูลการซื้อขายของต่างชาติของกราฟก่อนหน้านี้ มาสัมพันธ์กับ SET Index
    กรอบสีน้ำเงินหมายถึงต่างชาติซื้อ กรอบสีแดงหมายถึงต่างชาติขาย
    แสดงให้เห็นว่า
    ที่ SET Index อยู่ที่ระดับต่ำ ต่างชาติเป็นผู้ซื้อสุทธิ (กรอบสีน้ำเงิน)
    ที่ SET Index อยู่ที่ระดับสูงต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ (กรอบสีน้ำแดง)
    แสดงให้เห็นว่าต่างชาติมีกำไรมโหฬารจากตลาดหุ้นไทย (และทุกประเทศทั่วโลก) คนท้องถิ่นเสียหายแต่อย่างเดียว
    [​IMG]
    การซื้อขายสุทธิของต่างชาติรายเดือน ปี 2550(2007) - 2552(2009)
    ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
    เหตุการณ์ซ้ำรอย ต่างชาติขายหุ้นที่ SET Index ที่ระดับสูง และกลับมาซื้อหุ้นที่ระดับต่ำ ปี 2552 ปี 2552(2009) ต่างชาติเริ่มซื้อสุทธิตั้งแต่เดือนมีนาคม และซื้อสุทธิทุกเดือน จนถึงกันยายน 2552(2009) โดยเฉพาะเดือนกันยายนซื้อสุทธิ 22,989 ล้านบาท
    [​IMG]
    การซื้อขายสุทธิของต่างชาติรายปี 2550(2007) - 2552(2009)
    ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
    นำเสนอเป็นรายปี ปี 2551 ขายสุทธิมากถึง 157,118 ล้านบาท ปี 2552(2009) สิ้นสุดกันยายน ซื้อสุทธิ 55,190 ล้านบาท
    ต่างชาติมีกำไร (จากทุกประเทศทั่วโลก) คนท้องถิ่นเสียหายทุกประเทศ
    .........................................................................
    ความเสียหายของประเทศ
    ..........................................................................​
    [​IMG]
    ดัชนีตลาดหุ้นประเทศจีน ดัชนีตลาดหุ้นประเทศรัสเซีย
    ตลาดหุ้นประเทศจีนและประเทศรัสเซีย เป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ เมื่อประมาณ 10 ปีมานี้เอง มาพอดีเจอเหตุการณ์เงินไหลออกจากดอลลาร์ ไหลเข้ามายังประเทศต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดที่เกิดใหม่ สิ้นสุดปี 2008 ประเทศจีนมีทุนสำรองฯสูงที่สุดในโลก ประเทศรัสเซียสูงเป็นลำดับที่ 3 ของโลก 4.35 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
    รูปแบบการขึ้นและตกของตลาดหุ้นจีนแตกต่างจากของโลก เนื่องจากทีการผูกค่าเงินหยวนไว้ตายตัว ทำให้มีการทยอยเก็บหุ้นราคาต่ำ ระหว่างปี 2001 ถึงกลางปี 2005 กระทั่งกลางปี 2005 เงินหยวนไม่สามารถยืนค่าเดิมได้ (ข้อมูลก่อนหน้านี้) แข็งขึ้น จึงมีการไล่ตลาดหุ้นจีนให้สูงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประมาณ 2 ปี จากกลางปี 2005 ถึงปลายปี 2007 ดัชนีตลาดจีนสูงขึ้น 502 เปอร์เซนต์ จากนั้นก็พังทลายลงเวลาเดียวกันกับ G88-Index ตกลง 72 เปอร์เซนต์
    ตลาดหุ้นรัสเซีย มีรูปแบบการขึ้นและตกเช่นเดียวกับ G88-Index แต่ขึ้นแรงและตกแรงอย่างเหลือเชื่อ หลังจากขึ้นมา 2,429 เปอร์เซนต์ แล้วก็ตกลงมาอย่างรวดเร็วถึง 80 เปอร์เซนต์
    รูปแบบการเปลี่ยนแปลงของดัชนีตลาดหุ้น แสดงให้เห็นถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศจีนและรัสเซียแล้ว เพียงแต่ยังไม่ปรากฎให้เห็นในช่วงเวลานี้เท่านั้น มีข่าวว่าประเทศจีนได้ขายพันธบัตรที่ซื้อไว้กับรัฐบาลสหรัฐออกมา 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ดูจากข้อมูลแล้วน่าจะเป็นจริง ทั้งนี้เพราะธนาคารกลางจีนพยายามที่จะกลับไปผูกค่าเงินไว้ตายตัวอีกครั้ง เมื่อ WF พยายามแลกหยวน เอาเงินเหรียญสหรัฐกลับคืน (คิดว่าเงินหยวนได้เสียหาย) ทำให้ทำสำรองของจีนลดลง จีนจึงต้องขายพันธบัตรที่สหรัฐอเมริกา เพื่อให้ได้ดอลลาร์ เพื่อนำมาขายให้กับนักปั่นเศรษฐกิจโลก หรือนักเก็งกำไร หรือ WF ที่ต้องการดอลลาร์ที่ประเทศจีน
    มีข่าวว่ารัสเสียปิดสถานกาสิโนในประเทศ 4 แสนแห่ง โดยเชื่อว่าทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียมีปัญหา ที่จริงการปิดบ่อนกาสิโนก็ถูกต้องแล้ว เนื่องจากเป็นแหล่งอบายมุข อบายมุขไม่เคยส่งผลดีต่อระบบ ไม่ว่าประเทศใดๆ แต่แหล่งอบายมุขที่ใหญ่กว่ากาสิโน คือตลาดหุ้น หากรัสเซียปิดตลาดหุ้น จะทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียไม่เสียหายต่อเนื่องได้
    [​IMG]
    ดัชนีตลาดหุ้นประเทศไอซ์แลนด์ ดัชนีตลาดหุ้นประเทศปากีสถาน
    ปลายปี 2008 - ต้นปี 2009 มีประเทศต่างๆต้องเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟมากเป็นประวัติการณ์ ประมาณ 10 ประเทศไอซ์แลนด์และประเทศประเทศปากีสถาน คือตัวอย่าง 2 ประเทศที่เข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟเมื่อปลายปี 2008
    ตลาดหุ้นตกหนักอาจจะทำให้นักลงทุนหมดตัวได้ ปี 2538 มีนักลงทุนไทยคนหนึ่ง พยายามฆ่าตัวตายที่ตลาดหุ้น ต้นปี 2009 มีต่างชาติกระโดดตึกสนามบินสุวรรณภูมิตาย ทราบว่าเป็นคนจากประเทศไอซ์แลนด์ ผู้เขียนเชื่อว่า เขาอาจจะหมดตัวจากตลาดหุ้น และต่างชาติอีกคนหนึ่งผูกคอตายที่สะพานพระราม 8 หัวห้อยต่องแต่ง สัญชาติอิตาลี เชื่อว่าน่าจะหมดตัวจากตลาดหุ้นเช่นกัน
    หุ้นตกหนักทำให้นักลงทุนหมดตัว ตลาดหุ้นของประเทศใดตกหนัก ก็แสดงถึงการหมดตัวของประเทศนั้นเช่นกัน ไอซ์แลนด์ต้องเปลี่ยนผู้นำประเทศ จากบุรุษมาเป็นสตรีแทน
    ดูการขึ้นและการตกของตลาดหุ้นประเทศปากีสถาน ทำให้มีความเข้าใจว่า แท้จริงตลาดหุ้นหาใช่ดัชนีสะท้อนภาพเศรษฐกิจแต่อย่างใด ประเทศปากีสถานไม่ใช่เป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เคยยากจนอย่างไร ก็ยากจนอย่างนั้น แต่ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นถึง 1,361 เปอร์เซนต์ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 15 เท่า จากนั้นก็พังทลายลงมา 69 เปอร์เซนต์
    ลองดูที่กลไกความเสียหาย WF เอาเงินต่างประเทศ สมมุติว่าเป็นดอลลาร์ มาแลกเงิน Pakistan Rupee ได้ 1 Rupee แล้วนำไปซื้อหุ้นในตลาดหุ้นปากีสถาน ผ่านไป 6 ปี ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 15 เท่า เมื่อขายหุ้น ก็จะทำให้ได้เงิน Rupee มากกว่าเดิม 15 เท่า เอาเงิน rupee ดังกล่าว มาแลกดอลลาร์กลับคืน จะส่งผลให้ทุนสำรองฯของปากีสถานไม่พอให้แลกแน่นอน ทารุณมาก ส่งผลให้ปากีสถานต้องเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟ
    ประเทศไทยเคนเข้าไอเอ็มเอฟ มาแล้วถึง 2 ครั้ง และการแก้ปัญหา ก็ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ต้นเหตุของปัญหายังอยู่ โอกาสที่จะเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟอีก ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม
    การเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟ หรือแม้บางประเทศเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขนาดหนัก ที่ไม่ต้องเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟก็ตาม จะทำให้เกิดความเสียหายที่ต่อเนื่อง ไม่มีอะไรดีขึ้น
    ยกตัวอย่างประเทศสหรัฐอเมริกา ตลาดหุ้นอเมริกาพังทลายถึง 2 ครั้งแล้ว ครั้งแรกในปี 1929 เกิดกับตลาด NYSE ดัชนี DJIA ตกลงถึง 89 เปอร์เซนต์ ที่ทำให้เกิด Great Depression ที่ลือลั่น เสทือนโลกมาแล้ว และครั้งที่ 2 เกิดที่ตลาดหุ้น Nasdad ในปี 2000
    สหรัฐแก้ปัญหาการขาดสภาพคล่องด้วยการ กู้เงินมาปล่อยกู้ต่อ (CDO) และก็ออกเครื่องมือ CDI มาค้ำประกัน CDO แบบว่าให้เกิดความเชื่อมั่นเต็มที่ แต่เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดทิศทาง ยิ่งสู้มากยิ่งเสียหายมาก สุดท้ายเศรษฐกิจของอเมริกสก็ล้มครืนทั้งระบบ ภาคการเงินก็ล้ม ภาคการผลิตจริงก็ล้ม
    ต่างให้ข่าวว่าเป็นปัญหาของ Sub Prime (ความเสียหายของผู้กู้รายย่อย) ดูแล้วหาใช่เกิดความเสียหายเฉพาะรายย่อยแต่อย่างใด Major Prime ก็พังทลายกันทั่วหน้า ไม่ว่าภาคการเงินอย่างเลห์แมน บราเธอร์ส และ เมอร์ริล ลินช์ หรือภาคการผลิตจริง อย่างจีเอ็มเป็นต้น
    ประเทศที่พบกับภาวะวิกฟติเศรษฐกิจ จะเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟ หรือไม่เข้าไอเอ็มเอฟก็ตาม ได้เกิดความเสียหายและเสื่อมลงอย่างมีนัยสำคัญ ธุรกิจที่สร้างมาเป็นเวลา 30 - 50 ปี จะต้องมาพังทลายตามการพังทลายของตลาดหุ้น ที่ทำให้สภาพคล่องของระบบเสียหาย กำลังซื้อหดหาย ต้องปลดคนงาน ธุรกิจต้องถูกสถาบันการเงินยึด ล้มละลายหมดตัว
    การถูกยึดทรัพย์และล้มละลาย เปรียบไปแล้วก็เหมือนหญิงที่ถูกข่มขืนกระทำชำเรา หมดเนื้อหมดตัว ยากที่จะฟื้นคืนกลับมาดังเดิมได้
    .........................................................................
    ความเสียหายของโลก
    ..........................................................................​
    [​IMG]
    ภาพอุปมา-อุปมัย
    WF ใช้วิธีแบ่ง พื้นที่การโจตีเศรษฐกิจเป็นภูมิภาค เช่นลากแนสแดกซ์ของประเทศสหรัฐอเมริกาขึ้นมาเชือดในต้นปี 2000 แล้วก็ขนเงินมาลากโลกขึ้นมาเชือดในช่วงปลายปี 2007 แล้วก็เปลี่ยนภูมิภาคโจมตีไปเรื่อยๆ เขาจะมีกำไรจากเงินเก็งกำไร(Capital gain) ทั้ง 2 ตลาด คือมีกำไรจากทั้งตลาดทุน และมีกำไรจากตลาดเงินตรา แต่ความมั่งคั่งของระบบจะลดลงตลอดเวลา หรือเกิดความยากจนแผ่ขยายกว้างออกไปทั่วโลก
    ค่าของเงิน แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่ง และความยากจนของระบบได้ ค่าของเงินที่เล็กลง ทำให้ต้องใช้เงินมากขึ้นในการซื้อสินค้าและบริการ จึงทำให้เห็นว่าราคาของสินค้าโภคภัณฑ์และอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น
    หากระดับน้ำคือค่าของเงินโลก ตอไม้คือค่าทองคำและที่ดิน เมื่อระดับน้ำลดลง ตอไม้จึงโผล่สูงขึ้น หรือราคาทองคำและราคาที่ดินสูงขึ้น หรือแสดงให้เห็นว่าค่าเงินของโลกเสียหาย ค่าเงินของโลกเล็กลง อันเป็นผลมาจากความเสียหายของเศรษฐกิจโลก (ดูG88 Index พังทลายปี 2008) หรือกล่าวได้ว่าค่าทองคำและค่าที่ดินเท่าเดิม แต่ค่าของเงินลดลง
    ข่าวในแต่ละวันเป็น ถูกควบคุมโดยกลุ่มผลประโยชน์ และเป็นข่าวที่มักง่าย จึงยากที่จะทราบข้อเท็จจริง แท้จริงแล้ว ทั้งประเทศไทย และทั่วโลกเสื่อมลงตลอดเวลา ลองตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทุกแห่งของไทย แทบจะไม่เห็นมีชื่อของคนไทยแล้ว เกาะภูเก็ตแทบทั้งเกาะก็ไม่ใช่ของคนไทย
    ทุกวันนี้เงินเยอะมาก เงินท่วมโลก แต่เป็นเงินของ WF คนเหล่านี้ฉลาดหลักแหลม เขารู้ว่าเงินสกุลใดเสียหาย เขาก็จะทิ้งเงินสกุลนั้น ไปเก็บสกุลเงินหรือสินทรัพย์อื่นที่ไม่เสียหาย หรือไล่ราคาให้สูงขึ้น แล้วเทขายทำกำไรตามมา
    ทุกวันนี้เราได้ยินข่าวต่างชาติ หรือแขกจากตะวันออกกลาง มาตระเวณซื้อที่ดิน หรือที่นาในประเทศไทย ที่สุพรรณบุรีมีนายหน้า รวมรวมที่ดินเป็นผืนใหญ่ ขายไร่ละ 100,000 บาท ผู้เขียนเชื่อว่ามันไม่ใช่จะเกิดที่ประเทศไทยที่เดียว ก็อาจจะเกิดขึ้นกับทุกประเทศทั่วโลกเช่นกัน เงินมันเยอะ
    .........................................................................
    ส่วนแบ่งธุรกรรมของโลก
    ..........................................................................​
    [​IMG]
    อุปมา-อุปมัย ..ส่วนแบ่งธุรกรรมโลกในยุคปัจจุบัน
    ระหว่างปี 2000 - 2009 พบว่าการเปลี่ยนแปลงทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของโลก เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก เปลี่ยนแปลงแบบเบี่ยงเบน ตลาดหุ้นมีมากว่า 100 ปีแล้ว การพัฒนาตลาดทุน ยิ่งพัฒนายิ่งเสื่อม มีความเป็นอบายมุขมากขึ้น ได้มีการพัฒนารซื้อขายกระดาษออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่นการพัฒนาด้านตลาดตราสารอนุพันธ์ ทำให้ตลาดทุนเบี่ยงเบนหนัก ยิ่งเพิ่มความเสียหายของเศรษฐกิจโลกมากขึ้นไปอีก
    ส่วนแบ่งของการซื้อขายกระดาษ (Paper trade) จากที่เมื่อกว่า 100 ปีทีผ่านมา ไม่เคยมีส่วนแบ่งตรงนี้เลย ปัจจุบัน ธุรกรรมส่วนนี้มีส่วนแบ่งสูงกว่า 75 เปอร์เซนต์ หรือขนาดเท่าวัวในภาพ และนับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    ส่วนแบ่งของภาคการผลิตจริง (Real trade) จากที่เมื่อก่อนมี 100 เปอร์เซนต์ ก็ลดลงตลอดเวลา ทุกวันนี้ ส่วนแบ่งส่วนนี้มีประมาณ 25 เปอร์เซนต์ หรือมีขนาดเท่าสุนัขในภาพ
    ธุรกรรมการซื้อขายกระดาษ มีการปั่นราคาได้ เป็นประเทศ เป็นภูมิภาค และเป็นทั้งโลก ตลาดหุ้นอเมริกาถูกถล่มมา 2 ครั้งแล้ว คือในปี 1929 และในปี 2000 อย่าบอกว่าเป็นเฉพาะประเทศเกิดใหม่เท่านั้นที่ถูกถล่มได้ง่าย หัวขบวนทุนนิยมอย่างอเมริกา ก็ยังถูกถล่มอย่างง่ายดายมาแล้ว ดังเช่นการถล่มตลาดแนสแดกซ์ในปี 2000
    ธุรกรรมการซื้อขายกระดาษคือต้นเหตุของปัญหาเศรษฐกิจโลก ทำให้สภาพคล่องของโลกผันผวน ที่ทำให้ธรุกรรมภาคการเงินและภาคการผลิตจริงมีปัญหา อุปมาอุปไมคล้ายกับวัวไล่ขวิดสุนัข ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น
    แต่โลกกลับคิดแก้ปัญหาที่ภาคการผลิตจริงที่มีส่วนแบ่งธุรกรรมโลกเพียง 25 เปอร์เซนต์ แต่อย่างเดียว เช่นเรื่องการผลิต การพาณิชย์ การนำเข้า-ส่งออก การท่องเที่ยว การกีดกันทางการค้า ไม่ว่าการประชุม World Economics Forum, Asian Summit, G-20 Summit เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งนั้น มีประโยชน์น้อย เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย เสียความรู้สึก เสียศีกดิ์ศรีความเป็นมนุษย์โลก
    ไม่มีการประชุมใด คิดถึงปัญหาของการซื้อขายกระดาษ ที่มีส่วนแบ่งของธุรกรรม 75 เปอร์เซนต์ หรือคิดถึงก็น้อยมาก ไม่มีการเอาจริงเอาจัง (คงไม่รู้ปัญหา)
    จึงเชื่อว่า ยากที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจของโลกได้
    [​IMG]
    ส่วนแบ่งธุรกรรมโลกในยุคปัจจุบัน
    บิล เกสต์ อยู่ในธุรกรรมภาคการผลิตจริง ถือเป็นสัมมาอาชีวะ วอร์เรน บัปเฟต อยู่ในธุรกรรมการซื้อขายกระดาษ เป็นอบายมุข ถือว่าเป็นมิจฉาอาชีวะ เชื่อว่าวอร์เรน บัปเฟต มั่งคั่งกว่า บิล เกสต์ เป็นตัวอย่างที่เบี่ยงเบนของเศรษฐกิจโลกยุคปัจจุบัน

    มั่งคั่งจากจากธุรกรรม Paper Trade มั่งคั่งจากสิ่งผิดปกติโลก มั่งคั่งจากอบายมุข มั่งคั่งจากมิจฉาทิฏฐิแห่งตน อวิชชา
    [​IMG]
    การควบคุมการไหลเข้าออกของเงินทุนทำได้ โดยกลับไปสู่อดีต(Back to Basic) คือการไม่มีตลาดทุน ให้เหลือเฉพาะตลาดเงินอย่างเดียว

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    .........................................................................
    ตอบคำถาม
    ..........................................................................​
    เศรษฐกิจพอเพียง ?
    เป็นพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ต้องนำไปให้ระดับสูง หรือผู้บริหารประเทศปฏิบัติ การโกงกินงบประมาณรัฐ การคอร์รัปชั่น การใช้งบประมาณไปในทางที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ Super store เกิดขึ้นทุกหัวระแหง ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง ชุมชนอโศก ผู้รับใช้ (ผู้บริหารระดับสูง) ทำงานโดยไม่เงินตอบแทน ไม่มีเงินเดือน เป็นสังคมสาธารณะโภคี อาหาร เครื่องนุงห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ใช้จากของส่วนกลางร่วมกัน เป็นตัวอย่างของความพอเพียงสูงสุด แต่ทุกวันนี้แทนที่ระดับสูงจะพอเพียง กลับผลาญงบประมาณกันเป็นว่าเล่น แล้วก็อนุมัติงบโฆษณาปีเป็นหมื่นล้านบาท ทำโฆษณาในทุกรูปแบบ ให้ประชาชนอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียง ทำมา 10-20 ปีแล้ว ไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ยากจนค่นแค้นมากกว่าเดิม
    การทำโฆษณาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการนำพระราชดำรัสมาทำหากินส่วนตน ผิดทิศทาง สักแต่ว่าทำ ไม่คำนึงผลตอบแทนที่จะกลับคืนมา
    จะทราบล่วงหน้าว่าต่างชาติจะถล่มประเทศไทย ได้หรือไม่ อย่างไร ?
    ผู้ที่มีประสบการณ์ มีข้อมูลดี ย่อมทราบได้ ต้องติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เช่นมูลค่าการซื้อขายหุ้นของต่างชาติ และการเปลี่ยนแปลงของดัชนีหุ้น เช่นเมื่อตลาดหุ้นขึ้นแรง หรือตลาดหุ้นขึ้นแรงและเร็ว มักจะตามมาด้วยการเทขายหุ้นอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดวิกฤติตามมาได้ เหตุเพราะเราไม่ได้แก้ต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา ปัญหาจึงจะเกิดซ้ำได้ ประเทศไทยเข้าไอเอ็มเอฟมา 2 ครั้งแล้ว ครั้งแรกในปี 2521 ครั้งที่ 2 ในปี 2537 ห่างกัน 16 ปี ปี 2553 ก็จะเป็นระยะเวลา 16 ปี หลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งที่ 2 ประเทศไทย อาจจะเป็นแบบประเทศไอซ์แลนด์ หรือประเทศปากีสถานได้อีก
    ข่าวช่วงนี้ ประธานไอเอ็มเอฟ ถูกนักศึกษาที่ประเทศตุรกีใช้รองเท้าปาใส่ ช่วงที่ไปประชุมพิจารณาให้เงินกู้แก่ตุรกี ประเทศตุรกีเคยเข้าไอเอ็มเอฟมาแล้วเช่นกัน เงินไอเอ็มคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ดัชนีตลาดหุ้นประเทศตุรกีเป็นดัชนีที่เบี่ยงเบนสูงที่สุดในโลก ส่งผลให้ค่าเงิน Lira ของตุรกีตกถึง 1,700,000 Lira/USD ทุกวันนี้มีการปรับค่าเงินมาที่ 1.70 Lira/USD ไม่ทราบว่าปรับแบบไหนเช่นกัน
    เศรษฐกิจของประเทศจีนเป็นอย่างไร
    ประเทศจีนมั่งคั่งจากความผิดปกติของระบบเศรษฐกิจโลก เงินไหลเข้าจีนมโหฬาร ทำให้สภาพคล่องสูงมาก มั่งคั่งจากความผิดปกติของระบบ ก็จะจนลงจากความผิดปกติของระบบเช่นกัน ได้นำเสนอในช่วงต้นแล้ว ทั้งเรื่องดัชนีตลาดหุ้นประเทศจีน และค่าเงินหยวนของจีน
    ไม่มีใครเก่งกว่า World Fund (WF) ผู้เขียนไม่อยากตำหนิ WF แต่โลกสร้าง "ตลาดหุ้น" มาเป็นเครื่องมือให้ WF ทำลายโลกเอง เปรียบไปแล้วเหมือนพ่อแม่สร้างเครื่องมือมาทำร้ายลูกของตัวเอง เป็นแต่เพียงเราไม่ทราบว่าเครื่องมือนั้นทำร้ายลูกของเราแบบไหน อย่างไรเท่า เท่านั้น
    สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย กำลังแพ้สงครามเศรษฐกิจ นี่คือส่งครามโลกครั้งที่ 3 แพ้ให้กับ WF แพ้อย่างย่อยยับ เพียงแต่ความพ่ายแพ้เกิดขึ้นไม่พร้อมกันเท่านั้น ช่วง 6-7 ปีมานี้ ผู้คนเห็นว่าประเทสจีนมั่งคั่งอย่างผิดหูผิดตา ..แต่ว่า ความเสียหายยังไม่ได้แสดงตัวเท่านั้น
    จีนและอเมริกาหลงผิด คิดว่ากำลังทำสงครามเศรษฐกิจระหว่างกัน แต่ทั้ง 2 ประเทศไม่ทราบว่ามีศัตรูร่วมกัน คือสิ่งผิดปกติในระบบ "ตลาดทุนที่พัฒนามาถึงจุดเสื่อมสูงสุด" ที่จะเป็นตัวทำร้ายทั้งอเมริกา ทั้งจีน และทั้งโลก..
    @@@
    (ขอบคุณบางภาพจากอินเตอร์เนท)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2010
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ ที่ 18 พฤษภาคม 2552
    เงินท่วมโลก ..แต่โลกยากจนลง
    Posted by indexthai
    [​IMG]
    เรื่องน้ำจะท่วมโลก เป็นเรื่องที่รู้กันเป็นวงกว้างทั่วโลก
    แต่เรื่องที่เงินทุนท่วมโลก เป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่ทราบ
    คำว่า "ท่วม" หรือ "แล้ง" เกิดจากความผิดปกติ
    ท่วม หรือ แล้ง ไม่ใช่เรื่องที่ดี ..หากพอดี พอดี (กลางๆ) จึงจะดี
    ---
    [​IMG]

    --
    เงินทุนท่วมโลก
    -
    โลกโกบอลไลซ์ ทุกวันนี้ แท้จริง คือโลกโกบอลไลซ์ที่เบี่ยงเบน
    ธุรกรรมในตลาดทุนและตลาดเงินตรากลายเป็นตัวนำเศรษฐกิจโลก(Non real sectors or Paper trade) ธุรกรรมส่วนนี้นับวันจะโตขึ้นตลอดเวลา ส่วนแบ่งธุรกรรมนี้จะเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
    ส่วนธุรกรรมที่แท้จริง เช่นการผลิต การพาณิชย์ การนำเข้า-ส่งออก การท่องเที่ยว การขนส่ง การท่องเที่ยว การลงทุนทางตรง (Real sectors Real trade) ส่วนแบ่งธุรกรรมนี้จะถูกกระทบจากธุรกรรมที่ผิดปกติของตลาดทุนและตลาดเงินตรา ส่วนแบ่งนี้จะถูกทำลายตลอดเวลา พอฟื้นขึ้นมาก็ถูกทำลายอีก เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ถูกทำลายอีก จะเกิดความเสียหายตลอดเวลา
    กลไกความเป็นไปทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือของภูมิภาค แบ่งออกเป็น 2 ช่วงดังนี้

    (1) กลไกช่วงตลาดหุ้นขึ้น ผู้คนบอกว่าเศรษฐกิจขาขึ้น
    1.1 ค่าเงินเริ่มแข็งค่าขึ้นก่อน เนื่องจากเงินไหลเข้า
    1.2 สภาพคล่องจะเริ่มสูงขึ้น และสูงขึ้น
    1.3 ตลาดหุ้นจะสูงตามมา จะค่อยๆสูงขึ้นในช่วงแรก และถูกปั่นขึ้นแรงในช่วงท้าย
    1.4 เงินเฟ้อจะเริ่มลดลง และลดลง
    1.5 ธุรกรรมภาคการผลิตจริง และภาคการเงินจะคึกคักขึ้น
    1.6 สินค้า-บริการซื้อง่าย ขายคล่อง
    1.7 ตำแหน่งงานเริ่มเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น
    1.8 มูลค่าหลักประกันเริ่มเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น
    1.9 ความเชื่อมั่นเริ่มเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น
    2.0 แล้วพังทลาย
    (2) กลไกช่วงตลาดหุ้นตก ผู้คนบอกว่าเศรษฐกิจขาลง
    1.1 ตลาดหุ้นจะตกแรงในช่วงต้น (เนื่องจากขึ้นมาแรง)
    1.2 สภาพคล่องจะเริ่มเสียหาย และเสียหาย
    1.3 ค่าเงินจะเริ่มเสียหาย และเสียหาย และไหลออก
    1.4 เงินเฟ้อจะเริ่มสูงขึ้น และสูงขึ้น
    1.5 ธุรกรรมภาคการผลิตจริง และภาคการเงินจะเริ่มมีปัญหา และมีปัญหา
    1.6 สินค้า-บริการจะเริ่มขายไม่ออก และขายไม่ออก
    1.7 ตำแหนงงานเริ่มมีปัญหา และมีปัญหา มีการปลดคนงาน
    1.8 มูลค่าหลักประกันเริ่มลดลง และลดลง
    1.9 ความเชื่อมั่นเริ่มลดลง และลดลง
    2.0 แล้วเริ่มฟื้นตัว
    ตัวนำหลักของเศรษฐกิจ เป็นผลมาจากธุรกรรมในตลาดเงินตราและตลาดทุน ที่ทำให้เกิดสถาพคล่อง หรือการขาดหายไปของสภาพคล่อง จากระดับเบา ถึงระดับปานกลาง และถึงระดับรุนแรง
    จุดตายของโลก
    World fund
    มีเงินทุนสูงมาก และ สวมรอยปั่นตลาดหุ้นได้ง่าย
    ทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ของภูมิภาค และของโลกเบี่ยงเบนสูง เมื่อขึ้นก็ขึ้นแรงจัด เมื่อลงก็ลงแรงมาก
    ปั่นได้ ปั่นได้แรง ปั่นได้มาก
    เป็นเรื่องยากที่จะไปห้ามไม่ให้ World fund ปั่นหุ้น
    อุปมาอุปมัย เพราะมีสนามม้า จึงมีการพนันม้าแข่ง เพราะมีตลาดหุ้น จึงมีการปั่นหุ้น
    บางคนว่า ไม่มีการพนันม้าแข่ง ก็สามารถพนันเรื่องสุนัขกัดกัน หรือพนันเรื่องฝนตกแดดออกแต่ละวันได้
    ต้องดูที่ขนาดของการพนัน อันใดใหญ่ อันใดเล็ก (scale)
    สนามม้าว่าใหญ่ แต่เป็นเพียงตัวเลขหลังจุดทศนิยมตำแหน่งที่แสนหรือที่ล้าน เท่านั้นเอง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้น
    ตลาดหุ้นคือสิ่งผิดปกติในระบบทุนนิยมแต่แรก
    การนำตลาดตราสารอนุพันธุ์ (Derivatives)มาใช้ในตลาดหุ้น ทำให้ตลาดทุนผิดปกติโดยสมบูรณ์
    ตลาดตราสารอนุพันธุ์ คือการซื้อขายตัวเลขสินค้า คล้ายการซื้อขายหวยเบอร์หรือสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่รายได้(เสีย) แน่นอนกว่า ปั่นได้ด้วย ตลาดตราสารอนุพันธุ์ คืออบายมุขในตลาดทุน
    หุ้นขึ้นก็สามารถทำกำไรได้(Long) หุ้นตกก็สามารถมีกำไรได้(Short)

    หุ้นขึ้นมากเท่าใด ก็กำไรมากเท่านั้น หุ้นตกมากเท่าใด ก็กำไรมากเท่านั้น ไม่มีทางขาดทุน กำไรทั้งขาขึ้น และขาล่อง เป็นที่มาการล่มสลายของโลกทุนนิยม
    ชาร์ต 1 การพังทลายของตลาด Nasdaq 2000
    [​IMG]
    หลังจากตลาดหุ้นแนสแดกซ์ "ถูกลาก" ขึ้นมาแรงในปีก่อนหน้า จากระดับ 1,000 จุด ขึ้นมาสูงสุดที่ 5,047 จุดในต้นปี 2000 จากนั้นมีการเทขายอย่างรุนแรง และตกต่ำสุดในปลายปี 2002 ตกลงถึง 78 เปอร์เซนต์
    อุบัติการณ์ที่เกิดกับตลาด Nasdaq เป็นไปตามช่วงกลไกเศรษฐกิจขาลง (ข้อ (2)) ส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจอเมริกา ทำให้สภาพคล่องเสียหาย ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย และไหลออก เงินเฟ้อสูงขึ้น ภาคการผลิตจริง และภาคการเงินมีปัญหา ราคาสินค้า-บริการขายไม่ออก ตำแหน่งงานมีปัญหา มีการปลดคนงาน มูลค่าหลักประกันลดลง ความเชื่อมั่นลดลง
    เนื่องจากเศรษฐกิจของอเมริกา เป็นระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เงินที่ไหลออกจากอเมริกา ไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก ทำให้เศรษฐกิจโลกเป็นไปตามช่วงกลไกเศรษฐกิจขาขึ้น (ข้อ (1)) ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินประเทศต่างแข็งค่าขึ้น ทุนสำรองฯสูงขึ้น เนื่องจากเงินไหลเข้า สภาพคล่องสูงขึ้น ตลาดหุ้นสูงขึ้น เงินเฟ้อลดลง ธุรกรรมภาคการผลิตจริง และภาคการเงินคึกคักขึ้น สินค้า-บริการซื้อง่าย ขายคล่อง ตำแหน่งงานเพิ่มขึ้น มูลค่าหลักประกันเพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่นสูงขึ้น
    ชาร์ต 2 ค่าเงินเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับเงินยูโร
    [​IMG]

    แสดงให้เห็นว่าการพังทลายลงของตลาด Nasdaq ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายตามมา ค่าเงินเหรียญสหรัฐตกลงมากที่สุดถึง 47 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับเงินยูโร หรือเงินยูโรแข็งขึ้น 87 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ
    ค่าเงินสกุลประเทศต่างๆทั่วโลกแข็งขึ้นทั่วหน้าเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ รวมทั้งค่าเงินบาทของไทย
    ชาร์ต 3 G85 Index
    [​IMG]
    G85 Index ค่าเฉลี่ยดัชนีตลาดหุ้น 85 ประเทศ
    (แสดงให้เห็นว่าการพังทลายลงของตลาด Nasdaq) ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกสูงขึ้น
    นอกจากค่าเงินและตลาดหุ้นจะขึ้นแล้ว ราคาทองคำ ราคาพลังงาน เคมีภัณฑ์ สินค้าเกษตร ฯลฯ ก็สูงขึ้นทั่วหน้า
    สังเกตช่วงเวลา
    ตลาดหุ้นแนสแดกซ์ พังทลายในปี 2000 (ชาร์ต 1)
    ตลาดหุ้นโลก จึงได้เริ่มสูงขึ้นขึ้นในปี 2001 (ชาร์ต 3)
    และขึ้นไปสูงสุดปลายปี 2007 ใช้เวลา 7 ปีในการไต่ระดับขึ้น สูงขึ้น 463 เปอร์เซนต์
    แล้วปี 2008 โลกจึงพังทลายลงอย่างรุนแรง
    G85 Index ตกลงแล้ว 62 เปอร์เซนต์ (ชาร์ต 3) แล้วโลกก็เข้าสู่ช่วงกลไกเศรษฐกิจขาลง (ข้อ (2)) ส่วนอเมริกาจะเข้าสู่ช่วงกลไกเศรษฐกิจขาขึ้น (ข้อ (1))
    นั่นคือกลไกเศรษฐกิจของโลก จะเกิดสลับช่วงกันไปมา
    ระหว่าง ช่วงกลไกเศรษฐกิจขาขึ้น(1) และ ช่วงกลไกเศรษฐกิจขาลง(2)
    แต่ละช่วงอาจ จะใช้เวลา 10 - 30 ปีได้
    -
    ตลาดหุ้นไม่ว่าจะขึ้นหรือตก World Fund (Hedge Funds) กำไรแต่ฝ่ายเดียว
    ส่วนนักลงทุนท้องถิ่นขาดทุนตลอดกาล
    เป็นแบบเดียวกันทุกประเทศ ทุกภูมิภาค และทั่วโลก
    ตัวอย่างข้อมูลคนท้องถิ่น(ไทย)ขาดทุน ต่างชาติกำไร ในปี 2537(1994) ชาร์ต 3, 4 และ 5 ที่ entry นี้
    Globalization
    เขียนนำเสนอบ่อยครั้ง ทุนสำรองฯที่อยู่ตามธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ไม่ใช่เงินของประเทศใด แต่เป็นเงินที่ World Fund ฝากไว้ เขาจะนำมาเพิ่ม หรือเขาจะถอนออกเมื่อใดก็ได้
    ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ รวมทองคำ ปี 2008
    ประเทศจีน สูงเป็นลำดับที่ 1 เท่ากับ 2.0330 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
    ประเทศไทย สูงเป็นลำดับที่ 15 เท่ากับ 0.1005 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (มากกว่าสหรัฐอเมริกา)
    ประเทศสหรัฐอเมริกา สูงเป็นลำดับที่ 23 เท่ากับ 0.0705 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (น้อยกว่าไทย)
    http://www.oknation.net/blog/pornsri5201/2009/02/12/entry-1

    ชาร์ต 4 10 ประเทศที่ทุนสำรองฯ สูงสุด ปี 2005 - 2008
    [​IMG]

    ชาร์ต 5 ทุนสำรองฯโลกปี 2006 - 2008
    [​IMG]
    2006 ทุนสำรองโลก 153 ประเทศ 5.195 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
    2007 ทุนสำรองโลก 155 ประเทศ 6.898 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
    2008 ทุนสำรองโลก 155 ประเทศ 7.635 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
    ทุนสำรองโลกฯ ปี 2008 เพิ่มจากปี 2007 ถึง 10.68 เปอร์เซนต์
    เป็นไปได้ว่าแต่ละประเทศมีการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้น ทำให้ทุนสำรองโลกเพิ่มขึ้น แต่เงินที่พิมพ์เพิ่มขึ้นมาก็ตกไปเป็นของ World Fund อีก เงินทุนของ World Fund ไม่เพียงแต่อยู่ในธนาคารกลางของประเทศต่างๆเท่านั้น แต่เงินในระบบก็เป็นของบรรดา World Fund เช่นเดียวกัน
    -
    สังเกตปี 2008
    ตลาดหุ้นโลกพังทลายอย่างรุนแรง ตกถึง 62 เปอร์เซนต์ (ชาร์ต 3)
    แต่ทุนสำรองโลกเพิ่มขึ้น (ชาร์ต 4 & 5)
    ตลาดหุ้นโลกตก ..นักลงทุนท้องถิ่นโลกขาดทุน World Fund กำไรฝ่ายเดียว
    แปลกประหลาดหรือไม่ ..ตลาดหุ้นโลกพังทลาย แต่ทุนสำรองโลกเพิ่มขึ้น
    โลกมีเงินมากขึ้น แต่เศรษฐกิจโลกพังทลาย และคนจนลงมากขึ้น
    -
    ประเทศใดเข้าโครงการไอเอ็มเอฟ คือประกาศนียบัตรการหมดตัวของคนและของประเทศนั้น
    สถิติการเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟช่วง 12 ปีที่ผ่านมา
    1997 - 1998 ไทย (เข้าไอเอ็มเอฟครั้งที่ 2) อินโดนีเซีย เกาหลีใต้
    2000 - 2001 อาร์เจนตินา ตุรกี
    2008 - 2009 ฮังการี ยูเครน ปากีสถาน ไอซ์แลนด์ มองโกเลีย โรมาเนีย โคลอมเบีย ไลบีเรีย บอสเนีย ..อาจจะมีเพิ่มขึ้นอีก มีประเทศต่างๆเข้าไอเอ็มเอฟมากขึ้น แสดงว่าปัญหาเศรษฐกิจโลกรุนแรงขึ้น
    -
    เงินทุนท่วมโลกเกิดจาก 2 สาเหตุหลัก
    "ตลาดหุ้นเป็นต้นเหตุเงินท่วมโลก"
    1 World Fund ดูดเงินไปจากท้องถิ่น ผ่านตลาดหุ้น และตลาดเงินตรา มีกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง เมื่อถอนการลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้เงินกลับมาอยู่ในระบบ หรือมาอยู่ในสถาบันการเงินมากขึ้น
    2 ภาคการผลิตจริงโลกพังทลาย ทำให้มีการใช้เงินของระบบน้อยลง ทำให้เงินกลับมากองอยู่ในสถาบันการเงินมากขึ้น
    ประเทศไทยมีการพูดถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจทุกรัฐบาล มี Road show ไปให้ข้อมูลนักลงทุนต่างประเทศทุกรัฐบาล ทุกปี หากไปกระตุ้นให้มีการลงทุนทางตรง (Real sector) ก็เป็นเรื่องดี แต่ Real sector ทั่วโลกก็อ่อนแอลงตลอดเวลาจากธุรกรรมของ Non real sector
    แต่ก็มีการ Road show ให้มามีการมาลงทุนในตลาดหุ้นด้วย (Non real sector) คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากไปส่งเสริมให้มาลงทุนในส่วนที่เบี่ยงเบนของระบบ และเรื่องนี้ไม่ต้องไป Road show ก็ได้ เพราะ World Fund เขารู้ดีกว่าคนที่ไปให้ข้อมูลเสียอีก รู้ว่าจะดึง ตลาดหุ้น และค่าเงิน ของแต่ละประเทศ ขึ้น-ลง อย่างไร เมื่อใด
    ยกตัวอย่างเช่นในปี 2539 - 2540 เขารู้แล้วว่าค่าเงินบาทเสียหาย แต่คนไทยไม่รู้ เข้าไปปกป้องค่าเงินบาท (จนตัวตาย)
    ที่ World fund รู้ว่าเงินบาทเสียหาย
    เพราะเขาเป็นคนทำ
    ที่เขาทำให้ค่าเงินบาทเสียหายได้
    เพราะเรามี ตลาดหุ้น
    ที่เป็นเครื่องมือให้เขาทำร้ายค่าเงินบาทได้
    คนระดับสูงที่เกี่ยวข้อง ..มั่ว "หลอกนายกรัฐมนตรีของตัวเอง" หน้าตาเฉย
    หาว่า บาทเสียหาย เพราะ จอร์จ โซรอส โจมตีค่าเงินบาท
    หากไม่มีต้นเหตุแห่งความเสียหาย ..โซรอส จะมาโจมตีได้อย่างไร
    -
    ธุรกรรมของ World Fund คือธุรกรรม Non real sector (หรือธุรกรรมซื้อขายในตลาดทุน และตลาดเงินตราโดยตรง) แม้ตลาดขาลงก็สามารถทำกำไรจากตลาดตราสารอนุพันธุ์ได้ ชาร์ต 3 บอกให้ทราบว่า ต่างชาติหรือ World Fund เริ่มเทขายหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2007 แล้ว กว่าโลกจะทราบ ก็เป็นปลายปี 2008 แล้ว นั่นคือคนท้องถิ่นติดหุ้นราคาสูงแล้ว และหากคิดจะขายออก ก็จะขาดทุนแต่อย่างเดียว
    เมื่อก่อนที่ไม่มีตลาดหุ้น World Fund ก็ไม่มีธุรกรรมในตลาดทุน
    เมื่อเกิดตลาดหุ้นเมื่อประมาณกว่า 100 ปีที่ผ่านมา World Fund จึงมีธุรกรรมในตลาดทุน
    ส่วนแบ่งธุรกรรม Non real sector ของ World Fund เพิ่มขึ้นตลอดเวลา
    ประมาณว่า ..ทุกวันนี้
    ส่วนแบ่งธุรกรรม Non real sector ของ World Fund เท่ากับ 75 เปอร์เซนต์
    ส่วนแบ่งธุรกรรม real sector ของเอกชนทั่วไป เท่ากับ 25 เปอร์เซนต์
    ตลาดหุ้นช่วงแรกอาจจะเบี่ยงเบนไม่มาก การเปลี่ยนแปลงในตลาดทุน เช่นการเพิ่มเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลง ยิ่งเยี่ยงเบน ยิ่งเสื่อม ยิ่งเพี้ยน มากขึ้น (คนในตลาดทุนเขาเรียกสิ่งนี้ว่าการพัฒนาตลาดทุน)
    ทุนสำรองฯโลกปี 2008 เพิ่มจากปี 2007 ถึง 10.68 เปอร์เซนต์ ฐานตัวเลขปี 2007 ใหญ่อยู่แล้ว การที่ตัวเลขเพิ่ม 10.68 เปอร์เซนต์ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา (ชาร์ต 5)
    เป็นที่มาของเงินท่วมโลก
    การลดลงของดอกเบี้ยทั่วโลก ยืนยัน (Confirm) ว่าเงินท่วมโลกจริง
    ดอกเบี้ยยุโรป
    6 พฤศจิกายน 2008 ธนาคารกลางยุโรป ลดอัตราดอกเบี้ยในส่วน "main refinancing operation of the Euro system" 0.5% ลงไปที่ 3.25%
    6 พฤศจิกายน 2008 ธนาคารกลางอังกฤษ ลงมติลดอัตราดอกเบี้ย "official rate paid on commercial bank reserve" ลง 1.5% ไปอยู่ที่ 3%
    ดอกเบี้ยอเมริกา
    16 ธันวาคม 2008 ธนาคารกลางสหรัฐ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1% มาเป็น 0-0.25% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี นอกจากนี้ Fed ประกาศว่า จะใช้เครื่องมือทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจขาลงในปัจจุบัน
    ดอกเบี้ยเอเซีย (ประเทศไทย)
    เดือนตุลาคม 2551 "อัตราดอกเบี้ย" นโยบายยังอยู่ที่ 3.75 เปอร์เซนต์
    แล้วก็ปรับลดลงเหลือ 3.50 เปอร์เซนต์ และ 3 เปอร์เซนต์
    กนง.ชุดเดิมหมดวาระเมื่อ 31 สิงหาคม 2551 กนง.ชุดใหม่ ภายใต้พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2485 ที่แก้ไขเพิ่มเติมในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์
    ลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง ติดๆกัน
    3 ธันวาคม 2008 ลดไป 0.50 เปอร์เซนต์ อยู่ที่ 2.50 เปอร์เซนต์
    14 มกราคม 2009 ลดไป 0.50 เปอร์เซนต์ อยู่ที่ 2.00 เปอร์เซนต์
    25 กุมภาพันธ์ 2009 ลดอีก 0.50 เปอร์เซนต์ อยู่ที่ 1.50 เปอร์เซนต์
    8 เมษายน 2009 ลดอีก 0.75 เปอร์เซนต์ อยู่ที่ 1.25 เปอร์เซนต์
    ระยะเวลา 5 เดือน กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายแล้ว 2.25 เปอร์เซนต์
    แทบทุกประเทศทั่วโลก ลดดอกเบี้ยด้วยกันทั้งนั้น ไม่สามารถนำเสนอได้ทั้งหมด (ลอง Search ดูในอินเตอร์เนท)
    ข้ออ้างการลดดอกเบี้ย บอกว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
    เป็นข้ออ้างที่เบี่ยงเบน
    แท้ที่จริง ..เป็นเพราะเงินท่วมประเทศ หรือท่วมโลกต่างหาก
    เพราะมีสิ่งผิดปกติอยู่ในระบบ ที่ทำให้โลกทุกข์เข็ญ ลำเค็ญมากขึ้น
    ฉกชิงวิ่งราว ปล้นฆ่า มีมากขึ้น
    เมื่อเร็วๆนี้มีปล้นร้านทองที่พัทยา (ดู Link ที่เกี่ยวข้อง)
    ปริมาณเงิน กับความเป็นไปของเศรษฐกิจ ไม่สอดคล้องกัน ไม่ไปทางเดียวกัน
    เงินท่วมโลก
    แต่เศรษฐกิจของโลก ..มลาย (ดู Link ที่เกี่ยวข้อง)
    มลายง่าย คล้ายไอติม ละลายจากก้านไอติม
    เป็นความผิดปกติของโลกทุนนิยม
    -
    เชื่อว่าหากสิ่งนี้ยังคงอยู่
    ธนาคาร ..จะต้องมีดอกเบี้ยจ่ายให้กับผู้กู้เงิน
    และคิดดอกเบี้ยรับเอาจากผู้ฝากเงิน
    หรือผู้ฝากเงินจะต้องจ่ายค่าฝากเงินให้สถาบันการเงิน
    -
    น้ำท่วมโลก เริ่มในปี 2000
    เงินทุนท่วมโลก เริ่มในปี 2000 เช่นเดียวกัน (ปีที่เกิดการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์)
    ไม่น่าเชื่อว่า น้ำท่วมโลก กับเงินท่วมโลก เกิดขึ้นเวลาเดียวกัน
    โลกผิดปกติรุนแรง 2 ด้าน คือทั้ง "ทางด้านสิ่งแวดล้อมภูมิศาสตร์โลก" และ "ทางด้านเศรษฐกิจโลก"
    "น้ำ และ เงินทุน ท่วมโลก" เกิดจาก ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ และความเขลา ของมนุษย์
    เอกชน ประชาชนของโลกจนลง
    เงิน(สินทรัพย์)ของเอกชนและประชาชน ถูก World Fund ดูดผ่าน "ตลาดหุ้น" ไปเป็นของตน
    เงินที่ท่วมโลกกลายเป็นของ World Fund
    เอกชนและประชนล้มละลาย หมดตัว จนลง
    โลกจนลง

    การแก้ปัญหา ต้องแก้ที่ต้นเหตุ

    การแก้ปัญหา เงินทุนท่วมโลก น้ำท่วมโลก จะทำให้โลกกลับคืนสู่พื้นฐานความเป็นอยู่ดั้งเดิม (Back to basic) จะทำให้ความเป็นอยู่โลกดีขึ้น ตลาดหุ้นทำให้เศรษฐกิจโลกเจริญแบบร้อนแรง ที่เป็นต้นเหตุทำให้โลกร้อนขึ้นโดยตรง เพิ่มขยะแก่โลก และเมื่อตลาดหุ้นพังทลาย เศรษฐกิจพังทลาย ความเดือดร้อนก็เกิดกับคนทั่วโลก
    -
    การไม่มีตลาดหุ้น
    จะทำให้โลกกลับคืนสู่พื้นฐานความเป็นอยู่ดั้งเดิมได้
    -
    หมายเหตุ ..ความหมาย..
    Non real sector investment or paper trade = Indirect investment (ลงทุนทางอ้อม)
    Real sector investment or real trade = direct investment (ลงทุนทางตรง)

    ...........................................................
    Links ที่เกี่ยวข้อง
    Globalization กองทุนมั่งคั่งขึ้น แต่ทุนนิยมพังทลาย (ความเสียหายศก.ไทย 2536 - 2541)
    http://www.oknation.net/blog/pornsri5201/2009/05/12/entry-1

    ๑๑. เอาควายคืนมา เอารถไถนาคืนไป
    http://www.oknation.net/blog/kongsongfang/2009/05/16/entry-1

    เดวิด เบ็คแฮม, แบรด พิตต์ ไมเคิล แจ็คสัน ฯลฯ เจ๊งแล้วที่ดูไบ
    http://www.oknation.net/blog/sigree/2009/05/16/entry-1

    AIG เตรียมขายหุ้น AIA ให้ประชาชนต้นปีหน้า
    http://www.oknation.net/blog/banyong/2009/05/15/entry-1

    ยอดยึดบ้านในสหรัฐ ทำสถิติใหม่
    http://www.oknation.net/blog/banyong/2009/05/14/entry-1

    คลิป 4 คนร้าย ใช้อาวุธสงครามยิงถล่มปล้นทองกว่า 300 บาท
    http://www.oknation.net/blog/19/2009/05/04/entry-1

    Citigroup ต้องเพิ่มทุนอีก 1 หมื่นล้านเหรียญ
    http://www.oknation.net/blog/banyong/2009/05/03/entry-1

    ปธ.เฟรดดี้ แม็คดับปริศนา คาดฆ่าตัวตาย
    http://www.oknation.net/blog/rivermoon/2009/04/22/entry-1

    KPMG ยักษ์ใหญ่วงการบัญชี ถูกฟ้องนับพันล้านเหรียญ
    http://www.oknation.net/blog/banyong/2009/04/02/entry-1

    สภาพคล่องแบงก์ล้นทะลัก
    http://www.posttoday.com/finance.php?id=39156

    รัฐสภาสหรัฐเตรียมแผนสำหรับการล้มของธนาคารขนาดใหญ่
    http://www.oknation.net/blog/banyong/2009/03/09/entry-1

    Citibank, Bank of America : ธนาคารที่ตายแล้ว
    http://www.oknation.net/blog/banyong/2009/02/24/entry-3

    Chrysler ประกาศปิดสายการผลิตทั้งหมด
    http://www.oknation.net/blog/banyong/2008/12/18/entry-1

    ธนาคารกลางอังกฤษลดดอกเบี้ยทีเดียว 1.5% เพื่อกู้วิกฤติ
    http://www.oknation.net/blog/banyong/2008/11/06/entry-1

    เหตุ การพังทลายของ ..Lehman Brothers และ Merrill Lynch
    http://www.oknation.net/blog/indexthai/2008/09/15/entry-1

    -
    @@@
    (ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนท)
    \abnormal

    ความคิดเห็นที่ 29
    indexthai <!--[​IMG] -->วันที่ : 21/05/2009
    คนทั่วไป ทั่วโลก พูดคำว่า "ต้มยำกุ้งดีซีส"..."แฮมเบอร์เกอร์ดีซีส"

    ผมไม่เคยใช้ คำเหล่านี้ มาเขียนในบทความ

    เป็นคำของสื่อนำเสนอขึ้นมาง่ายๆ ..โดยไม่ทราบถึงกลไกว่าเป็นอย่างไร

    แล้วก็จบแค่นั้น ไม่หาว่ากลไกเป็นอย่างไร

    รู้แต่ว่าเศรษฐกิจเสียหาย

    .................

    สิ่งที่คุณ เป๊ปซี่ถาม ..ผมอธิบายไว้แล้ว ในชาร์ตที่ 1 และ 2

    ก็เพราะตลาดหุ้น Nasdaq พังทลายนั่นเอง (ชาร์ต 1)

    ที่ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลาย (ชาร์ต 2) ตกลง 47 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับ Euro

    หรืออาจจะพูดว่า เงิน Euro แข็งขึ้น 87 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ

    (เรื่องเดียวกัน ข้อมูลเดียวกัน)

    USD มันตกมา 6-7 ปีแล้ว

    จึงเห็นว่ามันฟื้นตัว (แข็งขึ้น)

    ความเสียหายของอเมริกามันเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2000 แล้ว

    ที่พบว่าอเมริกาเสียหายช่วงนี้ ..มันเป็นช่วงท้ายของความเสียหาย

    เป็นเรื่องเดิมๆ นั่นเอง

    อเมริกาอาจจะ rebound
    .................

    ชาร์ตที่ 3 แสดงช่วงดี และช่วงแย่ของเศรษฐกิจทั้งโลก

    ญี่ปุ่น ก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเสียหายน้อยกว่าประเทศอื่น

    คนที่มาอ่านเรื่องพวกนี้ คงต้องอดทนอ่าน ใจเย็น

    ไม่ได้เขียนเพื่อจะให้เชื่อ ..แต่พยายามเขียนให้เข้าใจ

    .................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2010
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายน 2551
    สหรัฐอเมริกาสมาชิกประเทศยากจนใหม่
    Posted by indexthai

    หมายเหตุ

    บทความนี้นำมาจากบทความเก่าที่เคยนำเสนอไว้เมื่อปี 2546 (2003) ปีที่ประเทศไทยมีการประชุมสุดยอดเอเปก และมีการใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมด
    การประชุมสุดยอด เอเปกครั้งที่ 11 ที่กรุงเทพ ระหว่าง วันที่14-21 ตุลาคม 2546 (2003) ผู้เขียนส่งบทความนี้ให้สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เพื่อฝากให้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับบลิวยู บุช 2 เรื่อง
    1) สองรูปแบบการโจมตีประเทศสหรัฐอเมริกา และ
    2) สหรัฐอเมริกาสมาชิกประเทศยากจนใหม่
    รวมทั้งส่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับในไทย เรื่อง "สองรูปแบบการโจมตีประเทศสหรัฐอเมริกา" มีหนังสือพิมพ์บางฉบับนำไปตีพิมพ์ แต่เรื่อง "สหรัฐอเมริกาสมาชิกประเทศยากจนใหม่" ดูเหมือนว่าไม่มีฉบับไหนนำไปตีพิมพ์ อาจจะไม่เชื่อเรื่องที่ผู้เขียนนำเสนอก็ได้

    บทความ "สหรัฐอเมริกาสมาชิกประเทศยากจนใหม่"
    นำเสนอครั้งแรก 24 พฤษภาคม 2546
    ปรับปรุงครั้งแรก 14 มกราคม 2548
    ปรับปรุงครั้งล่าสุด 26 พฤศจิกายน 2551 (entry นี้)

    <HR>
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สหรัฐอเมริกาสมาชิกประเทศยากจนใหม่[/FONT]

    ผู้เขียนได้เขียนเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2546 เนื่องจากพบสัญญาณบางอย่างจากความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา จะทำให้ประเทศสหรัฐกลายเป็นประเทศยากจนใหม่ได้ ได้นำเสนอเรื่องนี้ในกลุ่มคนที่สนใจเรื่องเศรษฐกิจ ไม่มีใครอยากจะเชื่อ แต่บัดนี้สิ่งที่ผู้เขียนนำเสนอไว้กำลังออกอาการให้เห็นแล้ว จะเห็นว่า 4 ปีที่ผ่านมาค่าเงินเหรียญได้ตกต่ำมาโดยตลอด
    แต่ช่วงกลางเดือนมกราคมค่าเงินเหรียญสหรัฐก็กลับตกต่ำอย่างรุนแรงอีก และยังไม่ทราบว่าจะหยุดตกเมื่อใด เงินบริจาคช่วยเหลือประเทศที่ประสบพิภบพิบัติภัยจาเสหรัฐก็น้อยกว่าประเทศชั้นนำต่างๆ ไม่ว่าเยอรมันหรือออสเตรเลีย เป็นสัญญาณบอกว่าประเทศสหรัฐกำลังยากจนลงนั่นเอง และดูเหมือนว่าประเทศอเมริกาเองก็ไม่ตระหนักในเรื่องนี้ เช่นยังแก้ปัญหาไม่ถูกจุด และยังมีค่าใช้จ่ายทางการทหารที่สูง
    ต่อแต่นี้ไปความจนของสหรัฐอเมริกาจะแสดงอาการออกมาเรื่อยๆ
    สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆมีทั้งสร้างสรรค์และทำลาย แต่บางครั้งเราไม่ทราบ ว่าต้นเหตุอะไรที่ทำให้เกิดการสร้างสรรค์และต้นเหตุอะไรที่ทำให้เกิดการทำลาย หากเราไม่ทราบว่าต้นเหตุอะไรที่ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ก็ไม่เป็นไร เพราะมันเป็นเรื่องของความเจริญ แต่หากไม่ทราบว่าอะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดการทำลายก็จะลำบาก เพราะมันเป็นเรื่องของความเสื่อม มันจะนำความทุกข์เข็ญลำเค็ญมาสู่ประเทศนั้นอย่างทารุณโหดร้าย
    อดีตประเทศสาธารณรัฐรุสเซียที่ต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย ก็เพราะความผิดพลาดปรัชญาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศนั่นเอง และก็ใช่ว่าประเทศสังคมนิยมเท่านั้นที่ประสบปัญหาทำให้เกิดความเสื่อม แต่ประเทศทุนนิยมก็ล่ม(สลาย)ได้ เช่น ตุรกี อาร์เจนตินา เกาหลีใต้ ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ปากีสถาน และ ซิมบับเว เป็นต้น
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ใครจะคิดว่าประเทศสหรัฐอเมริกาที่เป็นต้นแบบของทุนนิยม ก็เสื่อมสลายเช่นกัน[/FONT]
    ตารางที่ 1 เปรียบเทียบการแกว่งตัว(SWING)ของNASDAQ 2 ช่วงเวลา
    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=1 border=1><TBODY><TR><TD>
    NASDAQ Index ​
    </TD><TD>
    % การแกว่งตัวของดัชนี (%)​
    </TD></TR><TR><TD>
    1995 - 1998​
    </TD><TD>
    7.21​
    </TD></TR><TR><TD>
    1999 - 2002 ​
    </TD><TD>
    14.28
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ่าน ..สองรูปแบบการโจมตีประเทศสหรัฐอเมริกา
    ทำไม NASDAQ Index จึงถูกโจมตี ถูกโจมตีแบบไหน อย่างไร เท่าใด ทำให้อเมริกาเสียหายอย่างไร
    http://www.oknation.net/blog/indexthai/2008/11/25/entry-1

    ที่จริงเรื่องนี้ผู้เขียนสังเกตเห็นตั้งแต่ปี 2542(1999) แล้วหรือเมื่อประมาณ 6 ปีมาแล้ว ได้นำเสนอเป็นข้อมูลและความรู้ในบทความเรื่อง “เปรียบเทียบการโจมตีอเมริกา 2 รูปแบบ" อธิบายถึงการล่มของเศรษฐกิจไทยและอเมริกาก็มีต้นเหตุมาจากเรื่องคล้ายๆกัน “เกิดสิ่งผิดปกติอยู่ในระบบ” ที่ส่งผลทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาล่มลง เช่นเดียวกับประเทศไทย
    NASDAQ Index เริ่มเบี่ยงเบนสูงเมื่อปี 1999 ดัชนีที่เบี่ยงเบนสูงจะทำให้มีการแกว่ง(swing)ตัวแรง ซึ่งเป็นตัวทำให้ตลาดหุ้นเสียหายอย่างรุนแรง ระหว่างปี 1995 - 1998 อัตราส่วนการแกว่งตัวของดัชนีมีเพียง 7.21% เท่านั้น แต่ตั้งแต่ปี 1999 - 2002 ช่วงที่ 2 ของการวัดการแกว่งตัว) NASDAQ Index แกว่งตัวสูงถึง 14.28% เกิดการแกว่งตัวเพิ่มขึ้นรุนแรงมาก(ตารางที่ 1)
    ชาร์ตที่ 1 แสดงการเปลี่ยนแปลงของดัชนี NASDAQ และ DJIA
    [​IMG]
    ชาร์ตที่ 1 เปรียบเทียบ NASDAQ Index และ DOW JONES Index (1988-2551)
    ปรับฐาน ดัชนีทั้ง 2 ต้นปี 1998 = 100 เท่ากัน (เพื่อการเปรียบเทียบ)
    พบว่า NASDAQ Index เปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ ช่วงขึ้นก็ขึ้นแรง ช่วงตกก็ตกแรง
    ช่วงที่ขึ้นสูง NASDAQ Index ขึ้นสูงสุดเกือบ 350 เปอร์เซนต์ ส่วน DOW JONES ขึ้นประมาณ 150 เปอร์เซนต์
    การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกรุนแรงเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิทำลายชีวิตคนในประเทศแถบคาบสมุทรอินเดียมากกว่า 1.6 แสนคน แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าเงินโลกแต่อย่างใด แต่เสียหายที่รุนแรงของ NASDAQ Index ส่งผลให้ค่าเงินโลกเปลี่ยนแปลง(และเสียหาย) อย่างมีนัยสำคัญ
    เศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกามีขนาดที่ใหญ่โตที่สุดในโลก การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงในตัวดัชนี NASDAQ ในปี 1999 - 2000 มีผลให้เกิดคลื่นยักษ์ทางเศรษฐกิจที่ยักษ์มาก ทำให้เงินไหลออกจากอเมริกาไปท่วมโลก และหลังจากนั้นก็ทำให้เงินจากทั่วโลก ไหลกลับไปท่วมอเมริกาใหม่ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก รุนแรง
    ทำให้ทั้งโลกยากจนลง
    ในช่วงเวลาเดียวกัน NASDAQ Index ถูกลากขึ้นแรงในช่วงแรกมากกว่า 300% แล้วก็ตกลงแรงในช่วงถัดมา ขณะที่ DJIA เปลี่ยนแปลงไม่มาก
    การพังทลายของ NASDAQ Index ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของอเมริกาอย่างรุนแรง
    การผันผวนของดัชนี NASDAQ และการตกหนักของตลาดหุ้นอเมริกา ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาต้องพบกับความลำบาก เมื่อปลายปี 1999 ถึงต้นปี 2000 ผู้คนยังกล่าวขวัญถึงความ เฟื่องฟูของประเทศอเมริกา
    นายอลัน กรีนสแปนผู้ว่าการธนาคารกลางของประเทศสหรัฐอเมริกาก็งงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดทุน กระทั่งต้องออกมาปรามว่าอย่าหลงไปกับการเฟื่องฟูของกลุ่มอุตสาหกรรมไฮเทคและดอทคอม ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในตลาด NASDAQ หลังจากนั้นเพียงปีเดียว ปรากฏว่าเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกากลับต้องฟุบลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ดูภาพ NASDAQ Index ในชาร์ตที่ 1
    เมื่อตลาดหุ้นตกหนัก ความเสียหายที่พบเห็นอย่างชัดเจนคือคือ
    1) ทำให้ระบบขาดสภาพคล่องทางการเงิน
    2) ทำให้ค่าเงินของประเทศเสียหายและพังทลาย
    3) ทำให้เกิดการเสื่อมค่าของราคาสินทรัพย์ชาติอย่างรุนแรง
    เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับประเทศใด ก็จะเกิดกลไกเฉกเช่นเดียวกันนี้ทุกประเทศ ไม่ว่าเกิดที่ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ อาร์เจนตินาและสหรัฐอเมริกา
    ความผิดพลาดขึ้นมา ค่าเงินท้องถิ่นเสียหายหนัก จึงทำให้เกิดหนี้กองโตขึ้นอย่างฉับพลัน ผลกระทบต่อเนื่องก็จะคล้ายกันทุกประเทศ ประเทศไทยมีกรณีการขาดสภาพคล่องของTPI อเมริกาก็มีกรณีการขาดสภาพคล่องของ ENRON หรือ WORLDCOM เป็นต้น
    ค่าเงินบาทเสียหายหนัก ค่าเงินเหรียญสหรัฐก็เสียหายหนักเช่นกัน
    การที่ค่าเงินเสียหายก็แสดงให้เห็นถึงการเสื่อมค่าของราคาสินทรัพย์ของชาตินั่นเอง
    อเมริกากำลังเข้าสู่ความเป็นประเทศยากจน
    ตลาดหุ้นและ SET Index คือสิ่งผิดปกติในระบบเศรษฐกิจไทย
    ตลาดหุ้น และ NASDAQ Index คือสิ่งผิดปกติในระบบเศรษฐกิจสหรัฐ
    หากเปรียบเทียบประเทศไทยเหมือนเรือแจว และประเทศสหรัฐอเมริกาเหมือนเรือเดินสมุทร ที่บรรทุกของมาเต็มลำเรือ แล้วก็มี”สิ่งที่ผิดปกติ”เกิดขึ้นในลำเรือ จึงทำให้เรือล่มลง
    สิ่งผิดปกติไม่เพียงแต่ทำให้เรือแจวล่มลงเท่านั้น แม้เรือเดินสมุทรจะมีขนาดใหญ่โตสักปานใดก็ตาม ก็ล่มลงในพริบตาได้เช่นกัน
    มีเครื่องแสดงให้เห็นแล้วว่าอเมริกากำลังจนลงและจนลง เช่นการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำและราคาน้ำมันในรูปเงินเหรียญสหรัฐ เรื่องของดีมานด์และสัพพลายอาจจะมีส่วนกับการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำ น้ำมันหรือสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ แต่การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าดังกล่าวก็มีส่วนมาจากการอ่อนค่าของเงินเหรียญสหรัฐด้วยเช่นกัน
    ราคาทองคำ ปี 1999 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 290 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ปัจจุบัน(ปี 2005) อยู่ที่ประมาณ 435 เหรียญต่อออนซ์ ราคาน้ำมันเบรนท์ปี 1999 เฉลี่ยเคยอยู่ที่ระดับ 15 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ปัจจุบันราคาน้ำมันดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 40 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล
    ชาร์ตที่ 2 ค่าเงินเหรียญสหรัฐ 2001 - 2004
    [​IMG]
    ชาร์ตนี้ ได้ปรับค่าเงินเหรียญสหรัฐ เท่ากับ 100 เท่ากัน ในต้นปี 2001 (ช่วงที่ USD เริ่มตก) USD ตกตามการพังทลายของตลาด NASDAQ
    ระหว่างปี 2001 -2004
    ดูจากสายตา USD เมื่อเทียบกับ Baht และ Yen ตกเกือบ 20 เปอร์เซนต์
    ดูจากสายตา USD เมื่อเทียบกับ AUD และ EUR ตกเกือบ 40 เปอร์เซนต์
    ...............................................................................................
    ชาร์ตที่ 3 ค่าเงินเหรียญสหรัฐ 2001 - 2007 (ข้อมูลเพิ่มเติมจากบทความเดิม)
    [​IMG]

    ชาร์ตนี้ ได้ปรับค่าเงินเหรียญสหรัฐ เท่ากับ 100 เท่ากัน ในต้นปี 2001 (ช่วงที่ USD เริ่มตก) USD ตกตามการพังทลายของตลาด NASDAQ
    ระหว่างปี 2001 -2007 (ปี 2008 USD เริ่มฟื้นตัว)
    ดูจากสายตา USD เมื่อเทียบกับ Yen เปลี่ยนแปลงไม่มาก
    ดูจากสายตา USD เมื่อเทียบกับ Baht ตกต่อแรงชัดเจน (Baht ขึ้นแรง)
    (ประเทศไทยมีมาตราการ การกันสำรองเงินทุนไหลเข้า 30 เปอร์เซนต์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย)
    ดูจากสายตา USD เมื่อเทียบกับ AUD และ EUR ตกเกิน 40 เปอร์เซนต์
    ...............................................................................................
    กลางเดือนมกราคม 2548 พบว่าค่าเงินเหรียญยังคงตกหนักเป็นประวัติการณ์เมื่อเปรียบเทียบกับเงินยูโร และอ่อนเป็นประวัติการณ์ในรอบ 4 ปีเมื่อเทียบกับเงินบาทไทย
    คนทั่วไปมักเข้าใจว่าเป็นเรื่องของนโยบาย บ้างก็บอกว่าเป็นนโยบายเลิกแข็งค่าเงินของรัฐมนตรีคลังสหรัฐ เพื่อจะได้ส่งออกมากขึ้น เพื่อที่จะทำให้ขาดดุลการค้าน้อยลง
    ที่จริงไม่ใช่นโยบายอะไรของสหรัฐ หรือนโยบายก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่มันเป็นไปเพราะกลไกตลาดมากกว่า และเป็นเรื่องยากที่จะไปต้านทานมันได้ด้วย เพราะว่าเศรษฐกิจของสหรัฐเสียหาย ทำให้ราคาสินทรัพย์ของอเมริกาเสื่อมค่า เงินเหรียญสหรัฐก็คือสินทรัพย์อย่างหนึ่ง มันก็เสื่อมค่าด้วยเช่นกัน ใครเขาจะไปเก็บสินทรัพย์ที่รู้ว่ามันจะด้อยค่าลงตลอดเวลา ก็ต้องขายทิ้งแล้วไปเก็บสินทรัพย์ที่มีค่าแข็งแกร่งแทน
    โซรอสและบรรดากองทุนข้ามชาติทั้งหลายขายทิ้งสินทรัพย์ในรูปเงินเหรียญสหรัฐ ก็เพราะมีความเข้าใจในเรื่องนี้ เขาทราบถึงกลไกที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร แล้วก็ไปเก็บสินทรัพย์ในรูปเงินสกุลอื่นที่แข็งแกร่งกว่า จะเห็นว่าช่วงนี้เงิน EUR AUD NZD GBP และ CAD น่าสนใจมากกว่า เพราะมันแข็งแกร่งกว่าเงินสกุลใดๆ
    วิกฤติเศรษฐกิจของอเมริกาครั้งนี้เกิดความเสียหายมากกว่า 7.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 350 ล้านล้านบาท มีผลให้อเมริกาได้เริ่มกลายเป็นประเทศยากจนลง และยากจนลงเรื่อยๆ เรื่องเช่นนี้หาใช่ว่าจะเห็นผลในระยะเวลาอันสั้น มันจะต้องกินเวลานานมากนับ 10 - 20 ปีจึงจะเห็นผลชัดเจน

    ค่าเงินของประเทศใด เป็นตัวสะท้อนฐานะเศรษฐกิจของประเทศนั้น ค่าเงินของประเทศใดพังทลาย แสดงว่าฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นพังทลายด้วย
    ประเทศนั้นยากจนลง
    โลกผิดปกติมากขึ้น
    การไหลเช้าออกของเงิน เป็นเรื่องของการ "หนี" จากสกุลเงินที่เสียหาย "เข้า" หาสกุลเงินที่ไม่เสียหาย ทำให้ค่าของสกุลเงินที่เกี่ยวข้องเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ แล้วมีการปั่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ยิ่งทำให้ผิดปกติมากขึ้น
    เพราะกลไกที่เบี่ยงเบนดังกล่าว ทำให้ทุกวันนี้ทำให้ไม่ทราบว่าค่าเงินที่แท้จริงของแต่ละสกุลเงินอยู่ที่เท่าใด
    หากความผิดปกติยังคงอยู่เป็นเช่นนี้ จะทำให้ โลกทั้งโลก ยากจนลง
    หากแก้ไขปัญหาได้ถูกทิศทางและถูกวิธีก็จะทำให้มีการฟื้นตัวได้ และมีความมั่นคงขึ้นได้ แต่หากยังไม่ทราบว่าปัญหาคืออะไร และแก้ปัญหาได้ไม่ถูกต้อง ปัญหานั้นก็จะเรื้อรังเพิ่มขึ้น เหมือนกับไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้และตุรกีที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้
    ศัตรูตัวร้ายของสหรัฐหาที่ทำให้อเมริกาเสียหายและยากจนลง ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย
    ตลาดหุ้น (NASDAQ) ต่างหาก เป็นตัวทำร้ายอเมริกา
    ประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็นสมาชิกประเทศยากจนใหม่ไปแล้ว
    pictures ../stockindices
    @@@

    ความคิดเห็นที่ 7
    น้องออน <!--[​IMG] -->วันที่ : 26/11/2008
    วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯจากฟองสบู่แตกนับแต่เริ่มตั้งประเทศ
    1. ฟองสบู่แตกจากกิจการรถไฟประมาณหลังจากปี 1860-1870
    2. The Great Depression ปี 1929 ฟองสบู่แตกจากวิทยุ เครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์ ตามด้วยธนาคารพาณิชย์กว่า 10,000 แห่ง ล้มลง พร้อมการพังของธุรกิจหลักทรัพย์จำนวนมหาศาล
    3. ยุค 1970-1980 วิกฤต Stagflation จากราคาน้ำมัน ค่าเงินดอลลาร์ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และการว่างงานที่สูงมาก
    4. Saving and Loan Crisis ประมาณช่วง 1990-1995 เกิดจากสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์
    5. DotCom Crisis จากตลาดหุ้น Nasdaq ปี 2001 จนถึงปี 2003
    6. ครั้งล่าสุด Subprime Fallout จากอสังหาริมทรัพย์และภาคการเงินทั้งระบบ
    การแก้วิกฤตแต่ละครั้ง

    1. ครั้งนี้ไม่มีข้อมูล แต่ขนาดภาคการเงินยังจำกัด แต่หลังจากนั้นประเทศสหรัฐฯฟื้นตัวจนกลายเป็นมหาอำนาจ มีสถานะเป็น "โรงงานของโลก" แทนที่อังกฤษหรือสถานะที่จีนเป็นอยู่ทุกวันนี้ การมีนวัตกรรมใหม่ๆอย่างน้ำมันและไฟฟ้า รวมถึงการสร้างระบบสายพานการผลิตเป็นที่แรกในโลก ช่วยให้สหรัฐฯเติบโตอย่างรวดเร็ว

    จากระบบสายพาน สหรัฐฯสามารถผลิตรถยนต์ได้ถึง 5,358,000 คันในปี 1929 ขณะที่ปัจจุบันตลาดรถยนต์สหรัฐผ่านมากว่าเกือบ 80 ปีแล้วอยู่ที่แค่ 15 ล้านคันเท่านั้น

    2. The Great Depression ประธานาธิบดี Roosevelt ออกโครงการ New Deal เพื่อใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากมาย ยกเลิกระบบ Gold Standard เพื่อให้สินเชื่อขยายตัว และลากสหรัฐฯเข้าสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการผลิตเคี่องบินรบกว่า 50,000 ลำ ต่อเรือรบเพิ่ม เร่งสร้าง Pentagon และก่อหนี้สาธารณะกว่า 120% ต่อ GDP เพื่อเพิ่มการจ้างงานและช่วยภาคธุรกิจ
    3. วิกฤตยุค 70 เป็นผลจากการล่มลงของ Bretton Woods ก่อใหเกิดทั้งเงินเฟ้อและการว่างงานสูงในเวลาเดียวกัน เงินเฟ้อเป็นเลข 2 หลักคือ มากกว่า 10% มีการปิดตลาดซื้อขายเงินตราหลายครั้งในช่วงหลังจากปี 1971

    อาศัยนโยบายของ Paul Volcker ที่ขึ้นดอกเบี้ย 20% และการขาดดุลงบประมาณมหาศาลในยุคประธานาธิบดี Regan จากการใช้จ่ายภาครัฐและการลดภาษีทำให้ธุรกิจฟื้นตัว เงินทุนระหว่างประเทศทะลักเข้าสหรัฐฯ เงินเฟ้อลดลง

    4. Saving and Loan Crisis แก้โดยการตั้ง Resolution Trust Corporation หรือ RTC เพื่อโละหนี้เสียจากสถาบันการเงินมากองและบริหารไว้ที่นี่เพื่อให้การปล่อยสินเชื่อทำต่อไปได้ พร้อมๆกับการแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณสมัยคลินตันและใช้เงินดอลลาร์ที่แข็งค่า เพื่อให้เงินทุนไหลออกจากเอเชียให้พังให้หมดเพื่อเลี้ยงอเมริกา

    การยกเลิกกฎหมาย Glass-Stegall Act ส่งผลให้ภาคการเงินและการควบรวมกิจการเติบโตอย่างมหาศาล ราคาหุ้นสหรัฐพุ่งด้วย มาตรการนี้มีผลไม่น้อยในการแก้ไขปัญหาที่ตกค้างมาจาก Saving and Loan
    5. DotCom Crisis อาศัยการเพิ่มอุปทานเงินดอลลาร์ผ่านการลดดอกเบี้ยมาเหลือ 1% เพิ่มการขาดดุลงบประมาณโดยการถล่มอัฟกานิสถานและอิรัก บวกด้วยสินค้าราคาถูกจากจีนช่วยให้เงินเฟ้อทั่วโลกต่ำมาก ทำให้การใช้นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบที่สุ่มเสี่ยงต่อเงินเฟ้อสูงๆ ทำได้ง่าย

    ผลที่เกิดคือ เงินดอลลาร์ท่วมโลก ปัจจัยจากจีน และ Superglobalization ที่เริ่มแบบหนักๆคือ ตั้งแต่ 1980 ทำให้ราคาสินทรัพย์ทั้งโลกเพิ่มทุกรายการ ราคาบ้านที่สูงขึ้นทำให้ครอเมริกันมีความสามารถในการ Extract Home Equity และ Refinance เรื่อยๆ เพื่อมาบริโภคจนเศรษฐกิจฟื้นตัว

    6. Subprime Fallout กำลังแก้โดยการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ เพิ่มปริมาณเงินดอลลาร์หลังจากที่ทุบทั้งโลกมาแล้ว เงินดอลลาร์จะถูกเพิ่มเข้ามาในระบบมากกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ จากการก่อหนี้ของกระทรวงการคลังและธนาคารกลางสหรัฐฯ พร้อมๆกับการถล่มอิหร่านหรือบางประเทศในแถบเอเชียกลาง โดยงบประมาณทหารจะถูกเร่งไปถึงมากกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในยุคโอบามาหรืออาจเป็นสมัยที่ 2 ของเขา ซึ่งจะเท่ากับว่างบทหารจะพุ่งถึง 3 เท่าจากระดับปี 2007 ภายในเวลา 5-10 ปี

    แต่ถ้าจะสรุปเป็นหลักการ เศรษฐกิจสไตล์สหรัฐฯใช้ตัวแก้คือ
    1. ค่าเงินดอลลาร์
    2. นโยบายอัตราดอกเบี้ย
    3. สงคราม

    เพื่อชิ่งทั้ง 3 ข้อเข้าหาการปั่นราคาสินทรัพย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม สร้างทั้งปัจจัยพื้นฐานและประกอบกับเรื่องทางเทคนิคมารองรับ

    แต่ถ้าจะถึงขั้นเปลี่ยน Mode of Capitalism จะต้องมี New Innovation ทั้งเทคโนโลยีใหม่และโครงสร้างทางสถาบันโลกแบบใหม่มารองรับ เพื่อจัดระบบความสัมพันธ์ทางการผลิตและ Superstructure ในระดับโลก

    นโยบายอัตราดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์จะเป็นสิ่งที่ไปตามๆกันตลอด เช่นเดียวกับการใช้นโยบายทางการคลัง

    ทั้งนี้ก็เพื่อหวังผลให้เกิดการเติบโตของการบริโภคและดันราคาสินทรัพย์

    Federal Reserve คือสถาบันทางทุนนิยมที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก เป็นผู้พิทักษ์ระบบทุนนิยมโลกให้อยู่ภายใต้อุ้งเท้าอเมริกัน เป็นธนาคารกลางที่แปลกเพราะเป็นหน่วยงานภาครัฐ แต่กลับมีเอกชนสอดเข้าไปอยู่ในโครงสร้างด้วย

    อาศัยโครงสร้างทางสถาบันที่สามารถควบคุมและบัญชาการกระแสเงินดอลลาร์ได้ทั้งโลก เฟดจะใช้ "พลังแห่งลมปาก" ในฐานะรูปแบบหนึ่งของนโยบายการเงินในการพิทักษ์ระบบเศรษฐกิจอเมริกา และชี้นำธนาคารกลางทั้งโลก

    ดังนั้นอย่าแปลกใจไทย และธนาคารกลางในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายมักจะต้องวิ่งตามก้นเฟดตลอด

    มองอีกด้านเฟดเป็นเครื่องมือทางอำนาจอย่างหนึ่งในการขยายอิทธิพลของทุนอเมริกัน ขณะเดียวกันก็ใช้เฟดเป็นเครื่องมือหนึ่งในการทำลายทุนเกิดใหม่

    และใช้เป็นเครื่องมือที่ทรงอิทธิพลควบคู่กับอาวุธหนักตัวอื่นๆคือ Hedge Fund, Pension Fund และ Investment Bank เป็นโครงสร้างทางอำนาจที่เชื่อมโยงและสนับสนุนกันภายใต้ระบบ Dollar Standard

    ยกตัวอย่างง่ายๆ ช่วงที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยไปถึง 20% เศรษฐกิจแถบละตินอเมริกาล้มละลายกันเป็นแถบในยุค 1980 และเป็นง่อยไปไหนไม่ค่อยไกลช่วงยุค 1990 เพิ่งมาฟื้นตัวและทะยานขึ้นหลังจากกระแสจีนและฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯมันบูม

    ต้มยำกุ้งก็โดนทั้งเฟดและ Hedge Fund เล่นซะพังทั้งทวีป

    พูดในเชิงเศรษฐศาสตร์การเมือง สหรัฐฯใช้เฟดเป็นกลไกทางสถาบันเพื่อเคลื่อนย้ายทรัพยากรและความมั่งคั่งมาให้ตัวเองแบบหนึ่งภายใต้ระบบทุนการเงินที่สหรัฐฯเล่นเกมอย่างได้เปรียบ

    แต่ต้องไม่ลืมว่าเงินดอลลาร์ นโยบายการเงิน และนโยบายการคลังเป็นของที่ทำไปด้วยกัน

    ทำไมเฟดสามารถสร้างอิทธิพลมหาศาลในการบงการกระแสเงินโลกซึ่งเป็นตัวแปรหนึ่งที่กำหนดพัฒนาการระบบทุนนิยมโลก

    3 เครื่องมือทางเศรษฐกิจของทุนนิยมอเมริกัน นโยบายค่าเงิน นโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง มาคู่กับของวิเศษ 3 อย่างคือ เงินดอลลาร์ เฟด และ

    พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

    หลักทรัพย์ที่มีความหัศจรรย์มากที่สุดในโลก

    เป็นหลักทรัพย์ในระบบตลาดทุนเพียงอย่างเดียวในโลกที่มีการซื้อขาย 24 ชั่วโมง ในทุกสถานที่ และมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก เหมือนกับตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่ซื้อขายทุกที่ ทุกเวลา และสภาพคล่องสูงเช่นกัน

    ปลอดภัยที่สุดในโลก ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ AAA ตลอดกาล

    ถ้าคุณอ่านตำราการเงินฝรั่งคุณจะพบการครอบงำจากตำราพวกนี้ด้วย ดดนมันจะบอกว่าตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯเป็นหลักทรัพย์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลก

    ภาษา Marxist ภายใต้ทฤษฎีของ Gramsci เรียกว่าการทำ War of Position เพื่อแย่งชิงพื้นที่ทางความคิด

    แต่ที่น่าตลกก็คือ อันดับ 2 รองจากรัฐบาลสหรัฐฯที่มีความน่าเชื่อถือสูงที่สุดในโลก

    ตำรามันบอกว่าตราสารหนี้ที่ออกโดย Citigroup

    และการที่สหรัฐฯสามารถกู้เงินได้มากขนาดนี้ก็เนื่องมาจากเงินดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกนับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง สหรัฐฯพิมพ์เงินได้ไม่จำกัดมาใช้หนี้ได้ เพราะเงินดอลลาร์อยู่ในทุกปริมณฑลของระบบการค้าและการลงทุนของโลก ทั้งภาคการผลิตและภาคการเงิน

    เดี๋ยวค่อยมายกตัวอย่างให้รายละเอียดตรงปริมณฑลที่ดอลลาร์มันสิงสถิตอยู่

    แต่ทำไมสหรัฐฯสามารถทำให้ดอลลาร์เป็นที่ยอมรับของโลกได้

    เพราะตอนนั้นมีทองคำสำรองสูงที่สุดในโลก อันนี้เขียนไว้แล้ว มีถึง 2 ใน 3 ของทั้งโลกคือ 20,000 กว่าตัน จาก 30,000 กว่าตัน

    ถามว่าทำไมมีทองเยอะ ปี 1900 สหรัฐฯมีทองคำ 600 ตัน แต่ทำไมถึงพุ่งมามากกว่า 30 เท่าในเวลา เพียงครึ่งศตวรรษ

    สงครามโลกครั้งที่ 1 คือคำตอบ

    และหนี้สาธารณะของสหรัฐฯก็เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับงบทหาร เป็นสาเหตุหลักที่สหรัฐฯมักจะก่อหนี้มหาศาล นายทุนอาวุธมีอำนาจมากในสหรัฐฯ

    อุตสาหกรรมสงครามเป็นอุตสาหกรรมที่มีคุณสมบัติที่พิเศษมากมันทำหน้าที่เป็นตัวปรับรูประบบทุนนิยมมาตลอด

    เดี๋ยวมาเขียนต่อ ตอนนี้รัฐบาลชาติมันประกาศพ.ร.ก. แล้ว

    แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อสรุปทางวิชาการที่หนูคิดได้จากการที่ศึกษาหาความรู้จากประวัติสาสตร์วิเคราะห์และทฤษฎีเศรษศาสตร์การเมืองซึ่งอาจจะดูบ้าระห่ำมากๆ และทุกคนคงไม่ค่อยมีใครเห็นด้วยเท่าไร แต่ขอบอกเลยว่ามันมาจากการศึกษาวิถีการเคลื่อนตัวของสังคมต่างๆ และวิเคราะห์ดูโครงสร้างส่วนบนของประเทศนี้แล้ว

    จึงขอเสนอว่า

    ปิดประเทศแล้วยิงกันให้ตายไปข้างนึงเลย

    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดจากการเจรจา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดที่เด็ดขาดดดยไม่มีคนมานอนตายเกลื่อนท้องทุ่ง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดที่ปราศจากผู้เสียสละ เพราะการที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขนานใหญ่ต้องมีชนชั้นที่ได้และเสียประโยชน์ และเป็นที่แน่ชัดมานานแล้วว่าชนชั้นนำไทยไม่คิดเสียสละ และโครงสร้างปัจจุบันมันเน่า เละเกินกว่าที่จะเก็ยต่อไปได้ เปรียบเหมือนแผลหนองเน่าใน ต้องตัดอวัยวะทิ้งหลายส่วน ย้ำว่าหลายส่วนจากนั้นจึงสวมอวัยวะเทียมหรืออวัยวะบริจาคของผู้อื่นเพื่อให้ร่างกายอยู่ต่อได้

    ปิดประเทศแล้วยิงกันให้ตายไปข้างนึงเลยดีกว่า

    ความคิดเห็นที่ 19
    indexthai <!--[​IMG] -->วันที่ : 21/01/2009 เวลา : 07.44 น.
    indexthai
    [​IMG]
    คุณน้องออน ศึกษาประวัติศสาตร์เศรษฐกิจ
    ให้ความชื่อถือในความยิ่งใหญ่ของอเมริกา
    ดูว่าอเมริกากำกับ ..และเป็นผู้นำไปทุกด้าน
    ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ..และการทหาร

    indexthai เห็นต่าง.. ว่า อเมริกากำลังลำบาก
    พญาอินทรีย ..กำลังพลาดท่า ติดแร้ว นายพราน
    แล้วยังไม่รู้ว่าตนเอง ติดแร้ว
    น่าเวทนาที่สุด...

    ..........................................................................
    Links ที่เกี่ยวข้อง

    สองรูปแบบการโจมตีประเทศสหรัฐอเมริกา
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคาร ที่ 30 กันยายน 2551
    ทั้งคอมมูนิสต์รัสเซียและทุนนิยมอเมริกา ล่มสลายด้วยกัน
    Posted by indexthai
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]พูด..[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]บอกแต่ว่า .........................คอมมูนิสต์ 'ล่มสลาย' [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]แท้ที่จริง............................โลกทุนนิยมก็ 'ล่มสลาย' เช่นกัน[/FONT]


    1) แอ๊บแบ๊วโลกทุนนิยม
    http://www.oknation.net/blog/indexthai/2008/04/21/entry-1

    2) ซับไพร์ม
    http://www.oknation.net/blog/indexthai/2008/06/15/entry-1

    3) การล่มสลายโลกทุนนิยม
    http://www.oknation.net/blog/indexthai/2008/06/17/entry-1

    4) เปรียบเทียบ "ต้นเหตุ" การเกิดวิกฤติ ของไทย และ สหรัฐ
    http://www.oknation.net/blog/indexthai/2008/09/19/entry-1

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ระบบไม่ได้อยู่ที่กระแส(ความเป็นดารา) และมากด้วยความคิดเห็น

    ระบบต้องอยู่กับข้อมูล ข่าวสาร (ที่เป็นจริง)

    ข้อมูล ข่าวสาร (ที่เป็นจริง) ช่วยให้กระแส และความคิดเห็นมีคุณภาพ

    ข้อมูล ข่าวสาร (ที่ไม่เป็นจริง) กระแสนั้น และความคิดเห็นนั้น ก็ไม่มีคุณภาพ
    [/FONT]


    กลายเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
    !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เพ้อเจ้อ เบี่ยงเบน เอารัดเอาเปรียบ
    คอร์รัปชั่นชาติ ปล้นชาติ และขายชาติตนเอง
    [/FONT]
    !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
    @@@
    !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
    .[​IMG]

    29 กันยายน 2008
    G81 (ดัชนีตลาดหุ้นรวมโลก 81 ประเทศ) ...ตก 3.06%
    ASIA25 Index ...................... บวก 0.95%
    ASEAN6 Index ..................... ตก 0.46%
    EROPE34 Index .................... ตก 4.10%
    AMERICA12 Index ................ ตก 4.23%

    @@@
    [​IMG]

    NASDAQ Index คือตัวปัญหาของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ได้มีการปรับโครงสร้างดัชนีในปี 1999
    โดยเอาหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงเข้ามาคำนวณ เช่นหุ้นของ ไมโครซอฟท์ (MSFT) และตัวใหญ่อื่นๆอีก 3-4 ตัว
    [​IMG]
    NASDAQ Index เป็นดัชนีแบบมูลค่าตลาด (market capitalized weighted index) ใช้หุ้นประมาณ 7,000 ตัว มาคำนวณสร้างดัชนี การนำหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงมารวมคำนวณสร้างทำเป็นดัชนี ส่งผลให้ Nasdaq index เบี่ยงเบน (ผันผวน) สูง เป็นอันดับที่ 7 ของโลก คือดัชนีอ่อนแอลงอย่างมาก
    Hedge Fund ได้โอกาส พวกเขาไม่สนใจว่า จะเป็นตลาดหุ้นอเมริกา หรือไม่ใช่ตลาดหุ้นอเมริกา พวกเขาเข้าโจมตีทันที..
    วิธีการโจมตี คือลากขึ้นสูงๆก่อน แล้วถล่มทุบลงภายหลัง ดัชนีตกแรงถึง 78 เปอร์เซนต์
    ผู้สนใจ จำกลไกนี้ไว้ได้
    ผลจาการการที่ตลาดหุ้นตกแรง (ต้นเหตุการเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ)
    1) ทำให้สภาพคล่องของระบบตึงตัว
    2) ทำให้มูลค่าสินทรัพย์และหลักประกันลดต่ำลง
    3) ทำให้ค่าเงินลดลง และไหลออกนอกประเทศ
    4) ทำให้ภาคการผลิตจริง และสถาบันการเงินล้มลง และคนตกงาน
    5) ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
    6) ทำให้เกิดหนี้เสีย (Non Performing Loans / NPLS)
    ตลาดหุ้นประเทศใดพังทลาย ก็จะเกิดปรากฎการณ์ เช่นนี้ทุกประเทศ
    เช่น ..ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย และไม่เว้นแม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกา

    @@@
    .[​IMG]

    DJIA30 avg, Index เป็นดัชนีราคา (price weighted index) คำนวณง่ายๆ คือใช้ราคาหุ้น 30 ตัวมาหาค่าเฉลี่ยเท่านั้นเอง จะเห็นว่ารูปแบบของดัชนีแตกต่างกับ NASDAQ Index ชัดเจน
    ดัชนีทีได้รับการอ้างอิงอย่างกว้างขวางของตลาดหุ้นอเมริกามี 3 ตัว คือ DJIA30 avg. Index NASDAQ Index และ S&P500 Index
    S&P500 เป็น market capitalization weighted index ใช้มูลค่าตลาดหุ้นขนาดกลาง 500 ตัว มาคำนวณสร้างทำเป็นดัชนี
    จะเห็นว่า NASDAQ Index ใช้มูลค่าจำนวนหุ้นประมาณ 7,000 ตัวมาคำนวณสร้างดัชนี
    NASDAQ Index ใช้จำนวนหุ้นมากตัวกว่าในการคำนวณสร้างทำเป็นดัชนี
    @@@
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2010
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ ที่ 15 กันยายน 2551
    เหตุ การพังทลายของ ..Lehman Brothers และ Merrill Lynch
    Posted by indexthai

    สาเหตุ ..การพังทลายภาคการผลิตจริง และภาคการเงิน อเมริกา
    @
    [​IMG]
    NASDAQ Index ตลาดหุ้นอเมริกา เริ่มพังทลายต้นปี 2000 ตกถึงปลายปี 2002 ตกลงถึง 78 เปอร์เซนต์

    @
    ................................................
    @
    [​IMG]
    ค่าเงินเหรียญสหรัฐ (เทียบกับ EURO) ช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ตกลง 48 เปอร์เซนต์

    @
    ................................................
    @
    ติดตามข่าว เรื่องการพังทลายของ Lehman Brothers และ เมอร์ริล ลินช์
    ไม่มีใครบอกถึงสาเหตุ ว่าเป็นเพราะเหตุใด Lehman Brothers และ Merrill Lynch จึงล้มและล่ม ผมทราบเรื่องนี้ล่วงหน้ามา 6-7 ปีแล้ว ว่าเป็นเพราะเหตุใด ก็คล้ายกับที่เกิดกับประเทศไทยในปี 1994 นั่นเอง
    มีต้นเหตุมาจากการพังทลายของตลาดหุ้น..
    ตลาดหุ้นใดพังทลายหนัก ก็จะเกิดปัญหาแบบเดียวกันนี้ทุกประเทศ...
    1) ตลาดหุ้นไทยพังทลายในปี 1994 ....... SET Index ตก 88 เปอร์เซนต์
    ทำให้ค่าเงินบาทพังทลาย ทำให้เงินไหลออกจากประเทศไทย (ค่าเงินบาทตก 54 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับ USD)
    และเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2
    ต้องเข้าโครงการณ์ IMF
    >> ภาคการผลิตจริง และสถาบันการเงินพังทลาย (สถาบันการเงินล้มลงกว่า 70 แห่ง)
    (ไม่ได้แสดงกราฟไว้)
    2) ตลาด NASAQ พังทลายในปี 2000 ..... NASDAQ Index ตก 78 เปอร์เซนต์
    ทำให้ค่า USD พังทลาย เงินไหลออกจากอเมริกา (USD ตก 48% เมื่อเทียบกับ EURO)
    และเกิดเป็นวิกฤติเศรษฐกิจของอเมริกาขณะนี้
    แม้ไม่ต้องเข้าโครงการณ์ IMF ก็ตาม
    >>ภาคการผลิตจริง และสถาบันการเงินพังทลาย (สถาบันการเงินล้มลงมากกว่า 50 แห่ง)
    รวมทั้ง Lehman Brothers และ Merrill Lynch ไงละ...
    !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
    !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
    !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
    ศึกษาที่นี่ ...จะให้ข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ เพิ่มขึ้น..
    เปรียบเทียบต้นเหตุการเกิดวิกฤติ ของไทย และ สหรัฐ (การเมืองใหม่)


    ความคิดเห็นที่ 14
    indexthai <!--[​IMG] -->วันที่ : 16/09/2008 เวลา : 21.47 น.
    http://www.oknation.net/blog/indexthai

    ไม่ได้ต่อว่าคนที่ไม่เข้าใจ นะครับ
    เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ ...

    ข่าวสารข้อมูลในประเทศไทยที่ทราบ ก็ยกเมฆตามน้ำ

    ยกตัวอย่างเรื่องราคาน้ำมัน
    เมื่อเห็นราคาน้ำมันขึ้น ..ข่าวก็บอกว่าสำรองน้ำมันอเมริกาลดลง (ต้องเพิ่มปริมาณสำรอง)
    เมื่อเห็นราคาน้ำมันลดลง ..ข่าวก็บอกว่าสำรองน้ำมันอเมริกาพอเพียง (ไม่ต้องเพิ่มปริมาณสำรอง)
    ประมาณนี้...

    ทั้งแหล่งข่าว และสื่อ ก็มั่ว และตามน้ำ พอๆกัน
    ส่งผลให้ คนไทยทั้งประเทศ โง่ และไม่รู้เรื่องกันทั้งประเทศ

    คงไม่ปฏิเสธ

    ได้มีการ ส่งเดช อ้างอิง เลียนแบบ อเมริกา
    โกลบอลไลซ์.. แบบอเมริกา
    บ้าอเมริกา ..ไปเรียนอเมริกา
    ประหนึ่งว่าอเมริกาเป็นเทวดา

    ผมรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2002 ..ที่ NASDAQ ตกถึง 78% แล้ว
    อเมริกา ..มันยังไม่รู้ ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศตัวเอง

    ผมมีบทความ 2 เรื่อง (เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2003 -2004) ..ยังไม่ได้เอาขึ้นบล๊อก
    1) สองรูปแบบการโจมตีประเทศสหรัฐอเมริกา (..โจมตีโดยผู้ก่อการร้าย ..โจมตีโดย Hedge Fund)
    2) อเมริกาประเทศยากจนใหม่
    (เคยส่งให้สถานฑูตอเมริกา ตอนบุช มาประชุมเอเปกสมัยทักษิณ ..คงไม่สนใจ)
    (ทุกวันนี้ ..ก็เป็นอย่างที่นำเสนอไว้ในบทความทุกประการ)

    และเรื่องนี้..
    แสดงถึง วิสัยทัศน์ ปรัชญา คุณธรรม จริยธรรม ที่อ่อนด้อย ของศักดินาและนักการเมืองไทย
    "แปรรูปตลาดหุ้น ..หมอเลี๊ยบใช้เวลา 5 เดือน" (การเมืองใหม่)
    http://www.oknation.net/blog/indexthai/2008/08/06/entry-1

    เรื่องที่เกิดขึ้นกับอเมริกานี้ เป็นวิกฤติที่ร้ายแรงที่สุด ร้ายแรงกว่าการแพ้สงครามโลก(หากแพ้)
    เพราะมันทำให้อเมริกากลายเป็นประเทศยากจนลง

    อย่างที่เห็นนี้..
    เราจะยังเห็นอเมริกา เป็นเทวดาอยู่อีกหรือครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2010
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพฤหัสบดี ที่ 18 กันยายน 2551
    การพังทลายของเงินเหรียญสหรัฐ
    Posted by indexthai

    การพังทลายของตลาด NASDAQ อย่างรุนแรง ระหว่างปี 2000 - 2002 ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียรุนแรงตามมา

    ผลจาการการที่ตลาดหุ้นตกแรง
    1) ทำให้สภาพคล่องของระบบเสียหาย
    2) ทำให้มูลค่าสินทรัพย์และหลักประกันลดต่ำลง
    3) ทำให้ค่าเงินลดลง และไหลออกนอกประเทศ
    4) ทำให้ภาคการผลิตจริง และสถาบันการเงินล้มลง และคนตกงาน
    5) ทำให้เกิดหนี้เสีย (non performing loan / npl)
    6) ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
    ตลาดหุ้นประเทศใดพังทลาย ก็จะเกิดปรากฎการณ์ เช่นนี้ทุกประการ ทุกประเทศ เช่น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย และไม่เว้นแม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกา
    ตลาดแนสแดกซ์พังทลาย ค่าเงินเหรียญสหรัฐไม่ได้รับความเชื่อมั่น ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย และไหลออกนอกประเทศ ทำสภาพคล่องในประเทศเกิดการตึงตัว ทำภาคการผลิตจริงล้มลงเป็นจำนวนมาก อสังหาริมทรัพย์ขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถผ่อนชำระได้ ทำให้เกิดปัญหาที่เรียกว่า sub prime เกิดหนี้เสีย ก็คล้ายๆ NPL's ที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยมาก่อนนั่นเอง
    ประเทศสหรัฐอเมริกา สภาพคล่องเสียหาย แต่พยายามพยุงสถานะ โดยออกเครื่องมือทางการเงินที่เรียกว่า CDO (Collateralized debt obligation) คล้ายพันธบัตรชนิดหนึ่ง ออกขายไปทั่วโลก ได้เงินดังกล่าวมาเป็นทุนหมุนเวียน หรือเอามาปล่อยกู้ แต่ด้วยสภาพคล่องที่แย่ ลูกค้าไม่สามารถส่งทั้งต้นและดอกได้ ทำให้เกิดปัญหา ต้องล้มลงในที่สุด
    ประเทศไทยก็มีการไปลงทุนในตราสาร CDO เช่นกัน ธนาคารไทยธนาคาร ลงทุนตราสาร CDO ที่อเมริกาถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อสถาบันการเงินของอเมริกาล้มลง CDO ที่ธนาคารไทยธนาคารไปลงทุนไว้ ก็พลอยสูญไปด้วย สถาบันการเงินทั้งหลายทั่วโลก ซวนเซไปตามๆกัน
    ปี 2008 น่าจะเป็นปีที่ความเสียหาย ทางการเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา เดินมาถึงช่วงที่ไปต่อไม่ได้
    การออกตราสาร CDO โดยไม่ทราบว่าสภาพคล่องของระบบเสียหายหนัก กว่าจะรู้ว่าเสียหายหนักก็เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว
    การออกตราสาร CDO ของอเมริกา ก็คล้ายๆกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินของไทย ที่อัดฉีดสภาพคล่องให้สถาบันการเงิน แต่เพราะไม่ทราบความเสียหายมันรุนแรงมาก แม้จะอัดฉีดเท่าใดก็ยังไม่สามารถต้านความเสียหายได้ ถมเท่าใดก็ไม่เต็ม สุดท้ายสู้ไม่ไหว จึงพ่ายแพ้
    ทางการไทย โดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ต้องยึดหลักประกัน และเรียกหลักประกันเพิ่ม ยึดทรัพย์ของสถาบันการเงินทั้งหมดมาขาย ก็ไม่คุ้มหลักประกัน หลักประกันติดลบ ราคาหุ้นที่ยึดมาเหลือหุ้นละ 0.01 บาท
    คล้ายๆ Lehman Brothers ที่ราคาตลาด เหลือหุ้นละ 0.13 เหรียญ จากราคาต้นปี 80 เหรียญ
    ประเทศไทยไม่เพียงพ่ายแพ้ต่อการพยุงค่าเงินบาทเท่านั้น แต่พ่ายแพ้ต่อการพยุงฐานะสถาบันการเงินด้วย
    แพ้ 2 แพ้ ..แพ้ยิ่งกว่าแพ้
    กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ก่อหนี้สาธารณะประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท เวรกรรมประเทศไทย
    ทั้งการพ่ายต่อการปกป้องค่าเงินบาท และพ่ายแพ้ต่อพยุงฐานะสถาบันการเงิน คือความพ่ายแพ้ของประเทศไทย และคนไทย
    ที่เป็นผลมาจากวิสัยทัศน์ ปรัชญา รวมทั้งคุณธรรมและจริยธรรม ที่ฟอนเฟะ ของศักดินา และนักการเมืองไทย
    ศักดินา และนักการเมือง ลอยนวล มีแพะรับบาปคนเดียว
    และทุกวันนี้ก็ยังก่อกรรมทำเข็ญให้ประเทศชาติ ประชาชนต่อเนื่อง
    ดูจาก entry นี้
    http://www.oknation.net/blog/indexthai/2008/08/06/entry-1
    ...........................................
    ก่อนหน้านั้นภาคการผลิตจริง เช่น Enron WorldCom ได้ล้มลง
    รัฐบาลสหรัฐสนับสนุนการเงิน Fannie Mae และ Freddie Mac มาตลอด สุดท้ายรัฐบาลต้องเข้าไปบริหารเอง Lehman Brothers หลังจากหาสภาพคล่องมาเพิ่มไม่ได้ ได้ขอศาลคุ้มครองการล้มละลาย Merrill Lynch ถูก BOA ซื้อ และ AIG ได้รับสภาพคล่องจาก FED 85,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
    ความเสียหายเช่นนี้ ค่าเงินเหรียญสหรัฐก็จะเสียหายด้วย (ตามที่เสนอไว้ข้างต้น)
    เรื่องของ Lehman Brothers
    http://www.oknation.net/blog/toyubom/2008/09/17/entry-1
    ราคาหุ้น Lehman Brothers จากต้นปี 80 เหรียญ เหลือ 0.13 เหรียญ
    [​IMG]
    @
    .................................................................

    ราคาหุ้น Merrill Lynch จากต้นปี 90 เหรียญ เหลือเพียง 19.36 เหรียญ
    [​IMG]
    @
    .................................................................
    ราคาหุ้น AIG จากต้นปี 65 เหรียญ เหลือ 2.05 เหรียญ
    [​IMG]
    AIG ได้การช่วยเหลือสภาพคล่องจาก ทางการ $ 85.000 ล้าน
    @
    .................................................................
    วันที่ 17 กันยายน 2008 ในช่วงท้ายของวัน
    ..ราคาหุ้น LEH ตก 53.47 เปอร์เซนต์ ..ราคาหุ้น AIG ตก 44.53 เปอร์เซนต์
    [​IMG]

    ...................................................
    การตกลงของราคาหุ้น และตลาดหุ้น ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหายตามมา .. 5 - 6 เดือนมานี้ ค่าเงินเหรียญสหรัฐทำท่าจะดีขึ้น ก็ต้องทรุดลงอีก เห็นได้จากการพุ่งขึ้นของราคาทองคำ และราคาน้ำมันเมื่อ วันพุธที่ 17 กันยายน 2008 ที่ผ่านมา ราคาทองคำ และราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น
    ...................................................
    ราคาทองคำ พุ่งสูงขึ้น 85.2 เหรียญต่อเอานซ์ พุ่งขึ้นแรงเป็นประวัติการณ์
    [​IMG]

    @
    .................................................................
    ราคาน้ำมัน พุ่งสูงขึ้น 3 - 6 เหรียญต่อ Barrel พุ่งขึ้นแรงเช่นเดียวกัน
    [​IMG]
    ......................................
    การสูงขึ้นของราคาทองคำ และราคาน้ำมัน แสดงว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลาย
    ......................................
    @@@
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2010
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอาทิตย์ ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552
    ทักษิณ ทำไมมีเงินโกฏิล้าน ?
    Posted by indexthai
    กลางปี 2551 .....

    ดร.ทักษิณ เอาใจเศรษฐีซาอุดิอาระเบีย พาไปชมที่นา และการทำนาที่จังหวัดสุพรรณบุรี
    มีข่าวว่า ทักษิณจะพาแขกซาอุฯมาซื้อที่นาในประเทศไทย จะให้คนไทยมีงานทำ รับจ้างเศรษฐีซาอุฯทำนา
    http://www.oknation.net/blog/rivermoon/2008/05/22/entry-4/comment
    มีเสียงคนไทยโจมตีทักษิณ เรื่องเงียบไป
    ผู้เขียนเชื่อว่า แขกซาอุฯ ไม่สนใจทำนาจริง เนื่องจาก "สามารถทำนาบนตลาดอนุพันธุ์" ได้ง่ายกว่า
    ดร.ทักษิณ ให้ข่าวว่า ตนเองได้ร่วมลงขันร่วมกับเพื่อนๆที่ดูใบ 20 คน คนละ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8,500 ล้านบาท รวม 20 คน เป็น 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 170,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในตลาดทุนและตลาดพันธบัตรในภูมิภาคเอเซีย
    มีข่าวในเวลาใกล้เคียงกัน ตลาดหุ้นจีน จะเปิดตลาดอนุพันธุ์
    ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=1 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นประเทศในตะวันออกกลาง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรอาหรับ ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ริมอ่าวเปอร์เซีย ประกอบด้วยรัฐเจ้าผู้ครองนคร (emirates) 7 รัฐ
    เมืองหลวงชื่อ อาบูดาบี เมืองที่ใหญ่ที่สุด คือดูไบ เนื้อที่ทั้งหมด 83,600 ตารางกิโลเมตร มีพลเมืองประมาณ 2.6 ล้านคน แต่ในจำนวนนี้เป็นชาวเอมิเรตส์เพียง 19% ในขณะที่มีชาวเอเชียใต้ถึง 45% ชาวอาหรับอื่น ๆ และชาวอิหร่าน 23% และชาวตะวันตกกับชาวเอเชียอื่น ๆ อีก 13%
    ปกครองด้วยระบบสมบูรณาญสสิทธิราชย์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เห็นภาพการจัดกีฬาเอเซี่ยนเกมส์มาแล้ว มีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ตระการตามากกว่าการจัดกีฬาโอลิมปิคส์ครั้งใดๆ แม้การจัดงานแข่งกีฬาโอลิมปิคส์ ที่ประเทศจีนครั้งล่าสุด ก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าการจัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์ที่ดูไบ การที่จะจัดงานได้น่าตื่นตาตื่นใจ จะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล

    ความมั่งคั่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ..ทะลุเมฆ
    [​IMG]
    http://arayachon.org/article/20080305/400
    คนทั่วไป เข้าใจว่าประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นประเทศยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตน้ำมัน และมั่งคั่งจากการผลิตและการค้าน้ำมัน
    ก็เป็นความเข้าใจที่ไม่ผิด
    ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้เงินจากการผลิตและการค้าน้ำมันก็จริง
    แต่ส่วนที่ทำให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มั่งคั่งแบบนั่งนับเงินทั้งวันทั้งคืนร้อยปีไม่เสร็จ มาจาก การเล่นเก็งกำไร ในตลาดทุน ตลาดพันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเล่นกับตลาดอนุพันธุ์ ซึ่งมีอยู่ทั่วโลก
    คนที่เชี่ยวชาญ ตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และเรื่องตลาดอนุพันธุ์ ตลาดที่ผิดปกติของโลกทุนนิยม
    ตลาดทุน ตลาดเงิน ตลาดเงินตรา ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น
    ใครว่า ตลาดเศรษฐกิจดังกล่าว เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐาน
    เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานเพียง 10 -20 เปอร์เซนต์
    เป็นไปตามปัจจัยทางเทคนิค หรือปัจจัยทางปั่น ..80 - 90 เปอร์เซนต์
    "ส่งผลให้เงิน 2,000 ในช่วงแรก ระยะเวลาผ่านไป 10 ปี จะงอกเพิ่มเป็นอย่างต่ำ 6 ล้านได้"
    เรื่องตลาดเศรษฐกิจดังกล่าว ใช่ว่า จะยากแก่การเข้าใจ หากได้รับการอธิบาย คนธรรมดาทั่วไปก็เข้าใจได้
    มีคำกล่าว เจองูกับเจอแขก "ให้ตีแขกก่อน"
    คนที่ฉลาดล้ำ และมีเงิน มีแน่นอน และใช้เงินต่อเงิน ไปเรื่อยๆ
    เศรษฐีดูไบ อาจจะฉลาดล้ำกว่าคนที่วอลสตรีท และที่ทำเนียบขาวได้
    ดร.ทักษิณ ไปอยู่ไหนไม่ได้
    ต้องไปอยู่ที่ดูไบ ไปจนมุมในดินแดนที่เต็มไปด้วย เงิน ทอง
    ในน้ำ บนดิน ในอากาศ เต็มไปด้วยเงินทอง โห..
    ข่าวว่าดร.ทักษิณ ได้เป็นซิติเซนเมืองดูไบ ..ภูมิใจหรือ ?
    มีข่าวเช่นกัน ว่าแขกดูไบ เป็นเจ้าของตลาด แนสแดกซ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา 27 เปอร์เซนต์
    ดัชนีตลาดหุ้น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
    [​IMG]
    ดัชนีตลาดหุ้น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในเวลาเดียวกัน ก็ตกเหมือนหุ้นทั่วโลก แต่ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือตก ไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียใจ สำหรับผู้ที่ฉลาดล้ำ ด้านตลาดเศรษฐกิจ ในโลกที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่เบี่ยงเบน
    เพราะไม่ว่าหุ้นขึ้นหรือตก ก็สามารถทำกำไรได้ทั้ง 2 ทาง
    ขึ้นมากๆยิ่งดี
    ตกมากๆก็ยิ่งดี.. เช่นกัน
    แต่ ..คนท้องถิ่น และประเทศท้องถิ่น จะเสียหายมาก
    ค่าเงิน UAE Dirham(AED) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
    [​IMG]
    UAE Dirham(AED) ค่างิน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผูกค่าเงินไว้ตายตัว (Fix)
    หุ้นตกหนัก ค่าเงิน Dirham ของ UAE น่าจะตกตามกัน แต่ก็ยังผูกค่าไว้ได้ แสดงถึงฐานการเงินของ UAE ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผา
    .....................................
    คนที่มีเงินอยู่แล้ว และคิดจะหาเงิน ก็ย่อมได้เงิน การที่จะหาเงินให้ได้มากๆ ช่วงแรกก็นำเงินไปหาตำแหน่ง ช่วงต่อมาก็นำตำแหน่งไปหาเงิน ก็ต้องหาเงินจากสินทรัพย์กองโตๆ
    นี่คือ เพราะเหตุใดจึงจ้องเอาปตท.เข้าตลาดหุ้นเป็นบริษัทแรก
    เพราะ ปตท.เป็นบริษัทใหญ่ ..ที่ทำให้เกิดความสุขคำโตได้
    ราคาหุ้นปตท.(PTT)
    [​IMG]
    ปตท.เป็นบริษัทแรกที่ถูกแปรรูป เข้าตลาดหุ้น ..หลังที่รัฐบาลดร.ทักษิณ และ ดร.สมคิด เป็นรัฐบาลได้ 10 เดือน
    จากราคาจอง 35 บาท ใช้เวลา 2 ปี ลากมาขายที่ 190 บาท ในต้นปี 2004
    ราคาเพิ่มขึ้น 5.43 เท่าของราคาจอง หรือเพิ่มขึ้นมา 443 เปอร์เซนต์
    ได้มีการลาก หุ้น Big caps. ตัวอื่นๆ เช่นกลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสารฯ รวมทั้งหุ้นการบินไทย มาเทขายที่ต้นปี 2004 ด้วย ทำให้ตลาดหุ้นไทยขึ้นทั้งตลาด การเทขายอย่างรุนแรงในช่วงต่อมา ทำให้ตลาดปรับตัว ดร.ทักษิณ และดร.สมคิด ..ตั้งกองทุนวายุภักษ์ มาพยุงตลาด
    ลงเงิน 2 ปี มีเงินเพิ่มขึ้น 5.43 เท่า เป็นเงินก้อนโตก้อนแรก ที่สามารถนำไปหาประโยชน์เพิ่มเติมต่อได้
    อาศัยการใช้หนี้ ไอเอ็มเอฟหมด กลางปี 2003 มาเป็นข่าวดี ลากหุ้นไทยขึ้นมาหาประโยชน์
    3 ปีแรกของรัฐบาลทักษิณ-สมคิด ตลาดหุ้นไทยพุ่งสูงที่สุดโลก เป็นที่งุนงงสงสัยของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

    ดัชนีเปรียบเทียบ
    [​IMG]
    G81 Index (สีเหลือง) คือดัชนีตลาดหุ้นเฉลี่ย 81 ประเทศ ASEAN6 Index (สีแดง) ดัชนีตลาดหุ้นอาเซียนเฉลี่ย 6 ประเทศ JKSE Index (สีน้ำเงิน) ดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และ SET Index (สีฟ้า) ดัชนีตลาดหุ้นไทย
    ดัชนีทั้ง 4 เส้น ถูกปรับฐานให้เท่ากับ 100 เท่ากันในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2001 (วันที่เริ่มต้นรัฐบาลทักษิณ) ดัชนีถูกปรับให้เป็นฐานเดียวกัน จึงสามารถเปรียบเทียบกันจากภาพได้
    พบว่า SET Index ของรัฐบาลทักษิณ-สมคิด ขึ้นไปสูงสุดช่วง 3 ปีแรก ในต้นปี 2004 ขึ้นแรงที่สุดในโลก
    3 ปีหลัง ตลาดหุ้นไทยยุคทักษิณ-สมคิด ไม่เคยมีจุดสูงสุดใหม่อีกเลย ผิดกับตลาดหุ้นโลก และตลาดหุ้นภูมิภาค มีจุดสูงสุดใหม่ตลอดเวลา จนถึงปี 2007 - 2008
    จมูกคนหาผลประโยชน์ ดีเหมือนมด รู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน เมื่อครั้งดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นรมว.คลัง ในรับฐาลทักษิณ 1/1 ให้ข่าวบ่อยครั้งว่า อีก 4 ปี จะทำงบประมาณแบบสมดุล จะไม่ทำงบประมาณแบบขาดดุลอีก แต่ก็ไม่เป็นไปตามที่พูด มีการทำงบประมาณแบบขาดดุลทุกปี ตลอดจนถึงรัฐบาลทักษิณ 2
    ดร.สมคิดถูกตามตื้อให้เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ดร.สมคิดไม่เอา เมื่อเร็วๆนี้ดร.สมคิด ถูกเชิญให้มาแสดงวิสัยทัศน์ต่อสาธารณะ ผู้เขียนได้ยินโดยไม่ได้ตั้งใจ ดร.สมคิดบอก "รัฐบาลอภิสิทธิ์ ต้องทำงบประมาณขาดดุล 4 แสนล้าน" ไม่ทราบคนจัดงานไปเชิญมาพูดได้อย่างไร ..นักการเมืองส่วนใหญ่ดีแต่พูด คนมีเงินจะมีคนรุมตอมเต็มไปหมด อย่างเช่นดร.สมคิดนี้ ถูกเชิญมาพูดบ่อยมาก คนที่รู้เรื่องเศรษฐกิจ จะเบือนหน้าหนี ทุกครั้งที่ดร.สมคิด มาแสดงวิสัยทัศน์ ทั้งคนจัดและองค์ปาฐก เมื่อใดจะเลิกดูถูกคนฟังสักที
    สรุปข้อมูลช่วงนี้ ว่า มีการปั่นตลาดหุ้นไทยไปขายทำกำไรในต้นปี 2004
    ราคาหุ้นบริษัทการบินไทย (THAI)
    [​IMG]
    หุ้นการบินไทย เป็นอีกตัวหนึ่งที่ถูกปั่นราคาขึ้นมาขายทำไรในปี 2004 ในรัฐบาลทักษิณ-สมคิด
    แต่ตอนนี้ราคาหุ้นการบินไทยตกไปแล้ว 91 เปอร์เซนต์ เนื่องจากขาดทุนจาการบริหารและจัดการค่อนข้างมาก
    มีข่าว ดร.ทนง พิทยะ จะไปเป็นประธานบอร์ดการบินไทย อาจจะหาทางขายการบินไทย เหมือนขายสถาบันการเงินนั่นเอง ก็คงทำอย่างไรจะขายออกที่ราคาถูกๆมากกว่า มันอาจจะไม่อยู่ที่คนขายจะขายที่ราคาเท่าใด แต่อยู่ที่คนซื้อจะซื้อที่ราคาใด มีแต่ต่างชาติเท่านั้นที่ซื้อได้ อย่างธนาคารทหารไทย ก็ขายให้ AIG ไปแล้ว ต่างชาติที่ซื้อการบินไทย ก็อาจจะเป็นนอมินีของใครต่อได้เช่นกัน วาระซ่อนเร้น..

    [​IMG]
    ภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    เดือนกุมภาพันธ์ 2009 ข่าวบอกว่า "ประเทศไทยจะเปิดตลาดตราสารอนุพันธ์ ซื้อขาย "ทองคำล่วงหน้า"
    เห็นโลงศพ ไม่ทราบว่าเป็นโลงศพ
    ตลาดตราสารอนุพันธุ์ ทำให้ World Fund มั่งคั่ง แต่ทำให้โลกเดือดร้อน และยากจนอย่างเหลือเชื่อ
    เป็นผลให้ ..อเมริกายังถูกซื้อได้ (ตลาดแนสแดกซ์)
    แล้วทำไมประเทศไทยจะถูกซื้อไม่ได้
    อย่าว่าแต่ซื้ออเมริกา หรือประเทศไทย เลย
    ตอนนี้ "เขา" ซื้อโลกทั้งโลก ได้อยู่แล้ว
    ทุนสำรองเงินตราฯตามธนาคารกลางประเทศต่างๆ ก็ของของเขา เงินที่ท่วมอยู่ในระบบทุกวันนี้ จนดอกเบี้ยเรี่ยดิน ก็เงินของเขา
    ตลาดหุ้นธรรมดา ไม่ได้ทำให้ World Fund มีเงินล้นโลกได้
    แต่ตลาดทุนที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งพัฒนา ยิ่งทำให้โลกถูกชำเราทางเศรษฐกิจมากขึ้น
    เช่นการพัฒนาเป็น ตลาดตราสารอนุพันธ์ (derivatives market)
    ทราบหรือยัง ทักษิณ ทำไมจึงมีเงินเป็นโกฏิล้าน
    ลงเงิน 250 ล้านเหรียญสหรัฐ เล่นกับสิ่งผิดปกติของโลก 10 ปี
    มูลค่าเพิ่มอย่างต่ำ 30 เท่า เพิ่มเป็น 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
    และอาจจะเพิ่มได้กว่า 60 เท่า หรือเพิ่มเป็น 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
    คิดเป็นเงินไทยที่อัตราแลกเปลี่ยน 35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
    เท่ากับ 225,000 - 525,000 ล้านบาท
    คิดเป็นเงินไทยที่อัตราแลกเปลี่ยน 45 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
    เท่ากับ 337,500 - 675,000 ล้านบาท
    และหากเป็นเงินลงขัน 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
    ลองเอา 20 คูณ ตัวเลขสีแดงๆ ดูได้ ..ว่าจะเป็นเท่าใด
    พวกเขา(มัน)ร่ำรวย จากสิ่งผิดปกติของโลกทุนนิยม
    ศึกษารายละเอียด ความผิดปกติของโลกทุนนิยม
    ค่อยๆ อ่าน ..
    "เงินท่วมโลก"
    http://www.oknation.net/blog/indexthai/2009/01/29/entry-1
    @@@
    ขอบคุณ วิกิพีเดีย และภาพจากอินเตอร์เนท
    ..\\abnormal

     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคาร ที่ 1 ธันวาคม 2552
    Dubai Evolutionary Reform เหตุแห่งการหกคะเมนคว่ำลงอย่างหมดท่า
    Posted by indexthai

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทิศเหนือเป็นทะเลอ่าวเปอร์เซียหรืออ่าวอาหรับ ทิศตะวันออกติดกับโอมานและอ่าวเปอร์เซียบริเวณ ใกล้ช่องแคบฮอร์มุซ (Hormuz) และบริเวณอ่าวโอมาน ทิศใต้และตะวันตกติดกับการ์ตาและซาอุดีอาระเบีย
    พื้นที่ ประมาณ 90,559 ตารางกิโลเมตร
    เมืองหลวง กรุงอาบูดาบี (Abu Dhabi)
    ประชากร 5.6 ล้านคน (ปี 2551)
    ศาสนา ศาสนาอิสลามร้อยละ 96 (สุหนี่ร้อยละ 80 ชีอะต์ ร้อยละ 16) ฮินดู คริสต์ และอื่นๆ ร้อยละ 4
    หน่วยเงินตรา ดีแรห์ม (Dirham) อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 3.6 ดีแรห์ม หรือ 1 ดีแรห์ม เท่ากับประมาณ 10 บาท
    ประธานาธิบดี H.H. Sheikh Khalifa bin Zayed Al Nahyan (และเจ้าผู้ครองรัฐอาบูดาบี)
    นายกรัฐมนตรี H.H. Sheikh Mohammad bin Rashid Al Maktoum (รอง ปธน.ยูเออี และเจ้าผู้ครองรัฐดูไบ)
    ระบบการปกครอง แต่ละรัฐมีเจ้าปกครองรัฐ มีระบบการปกครองท้องถิ่นของตนเอง มีกรุงอาบูดาบีเป็นเมืองหลวงถาวร โดยมีรัฐบาลกลาง (Federal Government) ดูแลนโยบายและกิจการที่สำคัญของประเทศ
    ที่มา: Ministry of Foreign Affairs, Kingdom of Thailand : : Country Profile
    ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประกอบด้วยรัฐ (Emirates) 7 รัฐ
    อาบูดาบี (Abu Dhabi) เมืองหลวงของประเทศ
    อัจมาน (Ajman)
    ดูไบ (Dubai)
    ฟูไจราห์ (Fujairah)
    รอส อัลคอยมะห์ (Ras al-Khaimah)
    ชาร์จาห์ (Sharjah)
    อุมม์ อัลกุเวน (Umm al-Quwain)
    มีพลเมืองประมาณ 2.6 ล้านคน แต่ในจำนวนนี้เป็นชาวเอมิเรตส์เพียง 19 เปอร์เซนต์ ในขณะที่มีชาวเอเชียใต้ถึง 45 เปอร์เซนต์ ชาวอาหรับอื่นๆ และชาวอิหร่าน 23 เปอร์เซนต์ และชาวตะวันตกกับชาวเอเชียอื่นๆ อีก 13 เปอร์เซนต์
    ตัวเลขจำนวนประชากร จากกระทรวงการต่างประเทศ และ จากวิกิพีเดีย แตกต่างกันค่อนข้างมาก หากว่าจำนวนประชากรทั้งประเทศมี 5.6 ล้านคน ก็แสดงว่าจำนวนประชาการทั้งประเทศของยูเออีมีเท่ากันกับจำนวนคนของกรุงเทพมหานครเท่านั้น ที่น่าสังเกตคือ ประชากรของประเทศเป็นชาวอาหรับเอมิเรสต์เพียง 19 เปอร์เซ็นต์ เป็นชนชาติอื่น 81 เปอร์เซ็นต์
    ข้อมูลเศรษฐกิจ
    สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประเทศที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรพลังงาน เป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในภูมิภาค และอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้าในการพัฒนาเศรษฐกิจมากที่สุดของโลกโดยการจัดลำดับของ World Economic Forum มีน้ำมันดิบสำรองประมาณร้อยละ 10 ของโลก รายได้จากการส่งออกน้ำมันคิดเป็นร้อยละ 30 ของ GDP และมีก๊าซธรรมชาติสำรองเป็นลำดับที่ 4 ของโลก รองจากรัสเซีย อิหร่านและกาตาร์ โดยที่สภาพที่ตั้งอยู่ระหว่างภูมิภาคเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเฉพาะรัฐดูไบ เป็นศูนย์กลางการค้าในตะวันออกกลางและเป็นแหล่งขนถ่ายและส่งต่อสินค้าไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น อิหร่าน รวมทั้งส่งออกไปยังตลาดนอกภูมิภาค ได้แก่ แอฟริกา เอเชียกลาง และยุโรป

    เป็นประเทศอุตสากรรมท่าเรือและขนส่งทะเลแต่ต้น

    ปัจจุบันมีท่าเรือ 9 แห่ง (รัฐละ 1 แห่ง) ยกเว้นรัฐดูไบและรัฐอาบูดาบีมีรัฐละ 2 แห่ง ท่าเรือทั้งหมดรองรับสินค้าประมาณ 30 ล้านตันต่อปี (ไม่รวมน้ำมันดิบ) โดยรัฐดูไบพยายามส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในด้านการขนส่ง คมนาคม การค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว ทำให้รัฐดูไบได้กลายความสำคัญเป็นศูนย์กลางของท่าเรือ รวมทั้งธุรกิจการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการธนาคารของตะวันออกกลางในปัจจุบัน
    รายได้หลักขึ้นอยู่กับน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ เริ่มมีความสามารถสร้างรายได้จากการพัฒนาธุรกิจภาคที่ไม่ใช่น้ำมันอย่างรวดเร็ว

    รัฐดูไบ ซึ่งมีมูลค่าการค้าต่างประเทศที่ไม่ใช่น้ำมันเพิ่มขึ้นในปี 2549 ถึงร้อยละ 9.15 ฉะนั้น รัฐบาลปัจจุบันจึงให้ความสำคัญกับนโยบายการพัฒนาเพื่อขยายฐานทางเศรษฐกิจ (Diversification) เพื่อเพิ่มรายได้โดยไม่ต้องพึ่งรายได้จากน้ำมันเพียงอย่างเดียว และพยายามส่งเสริมการค้าการลงทุน รวมทั้งสนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจเสรี (Economic Free Zone) ทั้งในรูปการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิต และการใช้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นฐานการกระจายสินค้า
    รัฐอาบูดาบี เน้นการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมปลายน้ำ (Downstream) ของกระบวนการผลิตน้ำมัน และอุตสาหกรรมการหลอมอะลูมิเนียม หน่วยงานดูแลการลงทุนในต่างประเทศของรัฐเน้นเลือกการลงทุนในโครงการที่ก่อผลโดยตรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนร่วมกับบริษัทต่างชาติในโครงการที่มีอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
    ผู้นำรัฐรุ่นใหม่มีการริเริ่มโครงการเศรษฐกิจใหม่ๆ และสนับสนุนเพื่อสร้างให้รัฐเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและศูนย์กลางการศึกษา อาทิ มีโครงการสร้างสาขาของพิพิธภัณฑ์ลุฟของฝรั่งเศส เป็นต้น
    รัฐดูไบ ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาของดูไบ (Dubai Strategic Plan 2015) เพื่อใช้บริหารรัฐระหว่างปี 2550-2558 เพื่อพัฒนาดูไบทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศโดยเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับธุรกิจที่ดูไบมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสันทนาการ การบริการ (รายได้คิดเป็นร้อยละ 74 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ) รวมทั้งการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับตลาดแรงงาน สิ่งแวดล้อมของธุรกิจ การส่งเสริมการลงทุนและการกระจายรายได้ของประชาชน แผนยุทธศาสตร์ฯ ดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนมีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มากขึ้น
    ดูไบเป็นรัฐแรกที่นักธุรกิจสามารถถือครองหุ้นได้ทั้งหมด ขณะที่รัฐอาบูดาบีสามารถถือครองได้ทั้งหมดเฉพาะในเขตเศรษฐกิจที่กำหนด แต่จะต้องเป็นธุรกิจที่ส่งออกหรือส่งออกต่อทั้งหมดเท่านั้น
    อาบูดาบีมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดและครอบคลุมแหล่งน้ำมันร้อยละ 94 แหล่งก๊าซธรรมชาติร้อยละ 93 เป็นรัฐผู้สนับสนุนงบประมาณของสหพันธรัฐเป็นสัดส่วนสูงสุด ดูไบมีการผลิตน้ำมันประมาณร้อยละ 6 และมีฐานะเป็นศูนย์กลางด้านต่างๆ รวมทั้งการประชุม การจัดการแข่งขันกีฬา มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น Dubai World ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่รวมบริษัทขนาดใหญ่ด้านต่างๆ ที่รัฐเป็นเจ้าของเข้าไว้ด้วยกัน
    เจ้าผู้ครองรัฐซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร ได้เข้าไปมีบทบาทดำเนินการต่างๆ ในระดับประเทศ
    สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีโครงการก่อสร้างเมืองเศรษฐกิจใหม่ (New Economic City – NEC) เรียกว่าโครงการ Masdar City ที่รัฐอาบูดาบี มีมูลค่า 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ ออกแบบตามความต้องการของบริษัทข้ามชาติที่มาร่วมลงทุน โดยนำเงินรายได้มหาศาลจากการส่งออกน้ำมันดิบมาใช้ในการพัฒนา และจะเป็นแหล่งทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ ในภาคพลังงาน เช่น การใช้แสงอาทิตย์ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า และการกลั่นน้ำทะเล เป็นต้น
    สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นสมาชิกในตลาดร่วมศุลกากร (Customs Union) ของคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council-GCC) และได้มีการกำหนดให้เพิ่มภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าภายในกลุ่ม จากร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 5 สำหรับสินค้าทั่วไปและไม่มีภาษีสำหรับสินค้าประเภทอาหาร นอกจากนั้น ยังไม่มีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีกำไรและภาษีรายได้บุคคล และมีนโยบายให้สามารถนำเงินเข้า-ออกประเทศได้โดยเสรี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มากขึ้น

    สินค้าส่งออก ได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ การ re-export ปลาแห้ง อินทผลัม สินแร่โลหะ เศษโลหะ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป เยื่อกระดาษ สัตว์น้ำสดและแช่แข็ง
    สินค้านำเข้า ได้แก่ เครื่องจักรกล อุปกรณ์การขนส่ง เคมีภัณฑ์ อาหาร รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ อัญมณีและเครื่องประดับ ผ้าผืน เสื้อผ้าสำเร็จรูป เหล็ก เหล็กกล้า เม็ดพลาสติก รองเท้าและชิ้นส่วน

    ตลาดหุ้น ประเทศหสรัฐอาหรับเอมิเรสต์ มีตลาดหุ้น 2 ตลาด คือตลาดหุ้นของรัฐอาบูดาบี และตลาดหุ้นของรัฐดูไบ ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นอาบูดาบีตก 66 เปอร์เซ็นต์ ดัชนีตลาดหุ้นดูไบตกแรง ตกถึง 83 เปอร์เซนต์
    [​IMG]

    [​IMG]
    .
    ค่าเงิน UAE Dirham ยังคงเป็นระบบผูกค่าเงินไว้ตายตัว (Fixed)
    กรณีที่ตลาดหุ้นตกหนัก จะทำให้ UAE Dirham เสียหาย ไม่ได้รับความเชื่อมั่น
    รูปแบบเช่นนี้ ค่าเงิน UAE Dirham จะแข็งกว่าความเป็นจริง
    เขื่อว่ากำลังมีการพยุงค่าเงิน UAE Dirham อยู่ (ปกป้องค่าเงิน)
    ดูว่า UAE จะปกป้องค่าเงิน UAE Dirham ได้แค่ไหน จะมีเงินถุงเงินถังมาจากไหน ในการปกป้องค่าเงิน UAE Dirham
    เรื่องเช่นนี้เคยเกิดกับหลายประเทศมาแล้ว รวมทั้งประเทศไทย ก่อนปี 2540
    การพังทลายอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นไทยอย่างรุนแรงในปี 2537 ทำให้ Thai Baht เสียหาย
    ค่าเงินบาทแข็งกว่าความเป็นจริง ทำให้มีการขายทิ้งเงินบาทออกมา
    ฝ่ายไทยไม่ทราบ ถึงกลไกความเสียหายของค่าเงินบาท เข้าไปพยุงค่าเงินบาท(ปกป้องค่าเงินบาท)
    ในที่สุดก็ปกป้องไม่ไหว ต้องลอยค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540
    เป็นที่มาของการล้มลง ของภาคการผลิตจริง และภาคการเงินทั้งประเทศ

    อีกแง่หนึ่งค่าเงินเหรียญสหรัฐได้พังทลายรุนแรงหลังการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ เป็นไปได้ว่าเกิดการพังทลายของค่าเงิน US$ และ Dirham ที่ใกล้เคียงกัน จึงเห็นว่าค่าเงินทั้ง 2 สกุลนี้ยังผูกค่าไว้ที่ค่าเดิมต่อกันได้ ช่วงที่ผ่านมา US$ และ Dirham เมื่อไปเทียบกับเงินสกุลอื่น จึงได้อ่อนค่าลงค่อนข้างมากอยู่แล้ว
    เมื่อ US$ แข็งหรืออ่อนค่า Dirham ก็จะแข็งและอ่อนค่าในทิศทางเดียวกัน
    อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดกับ UAE ขณะนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตามดู (ว่าจะปกป้องค่าเงิน UAE Dirham ได้แค่ไหน) เป็นกรณีศึกษา สำหรับ นักการเงินนักการธนาคาร นักวิชาการ ผู้ที่อยู่ในแวดวงตลาดเงินตลาดทุน เป็นข้อมูลและความรู้ที่ไม่เคยมีการเขียนเป็นทฤษฎีไว้ (เชื่อว่าไม่มีเขียนเป็นตำราไว้ หากมีเขียนไว้ก็ต้องทราบ และรู้วิธีป้องกันได้)
    [​IMG]
    ค่าเงิน UAE Dirham(AED) Dirham/US$
    .
    ต้นเหตุความเสียหายของและประเทศสรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เกิดจาก 4 ส่วน
    1) ปรัชญาของผู้ปกครองประเทศเบี่ยงเบน อัตราส่วนของคนท้องถิ่นมีเพียง 19 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็นคนต่างชาติ รัฐไม่ได้บริหารจัดการประเทศไปเพื่อคนในประเทศ คนไปยูเออีแทนที่จะเห็นแขก ก็เห็นแต่คนเอเชียเป็นส่วนใหญ่ รัฐเอาอกเอาใจคนต่างชาติเป็นพิเศษ เช่นการติดแอร์ให้ชายหาดเป็นต้น
    รัฐต้องให้ความใส่ใจคนท้องถิ่นมากกว่าที่จะทำอะไรเพื่อเอาอกเอาใจคนต่างชาติ
    ประเทศที่อุดมพลังงานจะมั่งคั่งจากการผลิตและค้าน้ำมันและเคมีภัณฑ์อยู่แล้ว ไม่รู้จะดิ้นรนให้มั่งคั่งไปถึงไหน เห็นอัตราส่วนของคนท้องถิ่นและคนต่างถิ่นแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าคนดูไบไม่น่าจะมีความสุข
    2) ดูไบ ให้นักธุรกิจต่างชาติถือหุ้นได้ทั้งหมด(100 เปอร์เซ็นต์) มีส่วนทำให้อัตราส่วนของคนต่างชาติสูงกว่าคนท้องถิ่น รูปแบบการกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษของดูไบ ใกล้เคียงกับรูปแบบเขตเศรษฐกิจพิเศษสนามบินสุวรรณภูมิของไทย หรือรูปแบบ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิลเลจ การ์ด จำกัด (ทีพีซี) หรืออีลิทการ์ด เป็นการสร้างธุรกรรมให้นายทุน นำทุนของชาติไปขาย หรือไปให้เช่าระยะยาวแก่ต่างชาติ เรียกได้ว่าเป็นการขายชาติได้ นายทุนจะมั่งคั่งแต่ฝ่ายเดียว แต่ระบบหรือชาวบ้านทั่วไปไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่เป็นไปตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เขตเศรษฐกิจพิเศษของดูไบและอีลิทการ์ดของไทยทำในรูปแบบของรัฐ แต่เขตเศรษฐกิจพิเศษสนามบินสุวรรณทำในรูปแบบของเอกชน แต่ แม้รัฐจะเป็นคนทำ รายได้เข้ารัฐ หรือทำให้เอกชนเป็นคนทำ รายได้เข้าเอกชน ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะทำ ผู้เขียนเชื่อว่ารูปแบบอีลิทการ์ดที่ทำโดยรัฐ ทำไว้เพื่อจะให้กลุ่มเอกชนถือเป็นข้ออ้าง ว่ารัฐยังทำได้ แล้วทำไมการกระทำของเอกชนจะทำไม่ได้
    ต่างชาติมีคนรวยมาก อย่าว่าแต่ซื้อบางส่วนของประเทศเท่านั้น เขาสามารถซื้อประเทศได้ทั้งประเทศ
    นักข่าวถามทักษิณว่า ทำไมไม่ขายชินคอร์ปให้คนไทย เขาตอบว่าคนไทยไม่มีเงิน (ไหนว่าทำให้คนไทยเจริญมั่งคั่ง ทำไมไม่มีเงินคนรวยมาซื้อชินคอร์ป) ปรัชญาต่อทรัพย์สินของชาติ กฎระเบียบที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้คนเอารัดเอาเปรียบประเทศชาติและประชาชนทั่วไป แม้กฎระเบียบของประเทศมีไว้ ก็ยังแก้กฎระเบียบนั้น ดังเช่นการแก้ไข พ.ร.บ.การถือครองธุรกิจโทรคมคมนาคมเป็นต้น ไม่มีข่าวล่วงหน้า ไม่มีประชาพิจารณ์ กระทั่งมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทุกคนจึงได้ทราบ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันนี้ วันทำการรุ่งขึ้น ขายชินคอร์ปให้เทมาเส็คทันที มีการเตรียมการขายชาติไว้ล่วงหน้า อย่างเป็นระบบ
    การปล้นทรัพย์ เคยเห็นแต่ใช้ปืน การแก้ไข พ.ร.บ.การถือครองสินทรัพย์โทรคมนาคม ไม่ต่างอะไรกับการปล้น ชั่วร้ายมากกว่าการปล้นทั่วไป ปล้นเอาสินทรัพย์ของประเทศ ไปขายให้ต่างชาติ
    นักการเมืองและนายทุน ไปกว้านซื้อที่ดิน ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วคิดกำหนดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ข่าวว่าเตรียมขายให้กับคนสิงคโปร์
    พิจารณาดูว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษสนามบินสุวรรณภูมิ คือรูปแบบของการปล้นประเทศหรือไม่ เอาไปปั่นราคาให้สูง แล้วขายให้ต่างชาติ ต่างชาติมีความสารถที่ซื้อราคาสูงได้ คนไทยไม่มีปัญญาซื้อ อาจจะเรียกว่าเป็นการปล้นที่ถูกต้องตามกฎหมาย นายทุนเจ้าของพื้นที่จะรวยขึ้น ประเทศชาติและประชาชนไม่ได้อะไร
    คำว่าโลกยุคปัจจุบันไม่มีพรมแดน เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อใช้ในการขายชาติ ของนายทุนที่เห็นแก่ได้
    รวยแบบนี้ เก่งแบบนี้ ไม่ใช่คนฉลาด เป็นโมหะ (โมหะ แปลว่า ความหลง ความเขลา ความโง่ หมายถึงความไม่รู้ตามที่เป็นจริง เป็นกิเลสอย่างหนึ่งในบรรดากิเลสใหญ่ 3 อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งได้แก่อวิชชา นั่นเอง วิกิพีเดีย) คิดเอารัดเอาเปรียบผู้คนและประเทศชาติ ผู้นำที่เก่งที่ดี ตัวเองต้องไม่เอาประโยชน์เข้าตัว ต้องเสียสละให้ระบบ พระพุทธเจ้าไม่คิดเอาอะไรติดตัว ยิ่งเป็นผู้นำแล้ว ต้องคิดทำให้คนและระบบมั่นคง อยู่ดีมีสุข ไม่ใช่คิดกอบโกยเอามาเป็นของตัวเอง คนเช่นนี้ไม่เรียกว่าคนเช่นนี้ว่าเป็นคนฉลาด แต่เรียกว่า “เป็นคนเฉโก” (เปิดพจนานุกรมดู)
    เขตเศรษฐกิจพิเศษของรัฐอาบูดาบี แตกต่างจากการขายสินทรัพย์ของรัฐดูไบโดยสิ้นเชิง ผู้ที่จะได้สิทธิในเขตเศรษฐกิจพิเศษ จะต้องเป็นธุรกิจที่ส่งออก หรือส่งออกต่อทั้งหมดเท่านั้น ดูแล้ววิธีคิดของรัฐอาบูดาบีเข้าท่ากว่าวิธีคิดของดูใบ ที่ไม่ใช่ตัดแบ่งโฉนดไปขายให้ต่างชาติง่ายๆ
    3) การขยายตัวทางธุรกิจ ‘สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม’ อายุ 54 ปี ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท "ดูไบ เวิร์ล" และประธานบริษัทนาคฮีล เคยมาปาฐกถาในหัวข้อ "Evolutionary Reform: The Dubai Experience" เมื่อ 22 พฤษภาคม 2551 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตามคำเชิญของทักษิณ ชินวัตร ได้เล่าถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจของดูไบ

    [​IMG]



    [​IMG]


    "ดูไบ เวิลด์" ที่เปรียบเหมือนรัฐวิสาหกิจ แต่วิธีการบริหารจัดการคล้ายเอกชน เพื่อความคล่องตัว ดูไบ เวิลด์ เริ่มจากท่าเรือ บริหารจัดการท่าเรือ มา 35 ปี นำมาสนับสนุนธุรกิจการค้าและโลจิสติกส์ ขณะนี้มีท่าเทียบเรือ 46 ท่า ใน 28 ประเทศ ในเมืองจีนมีท่าเรือที่ชิงเต่า ไท่จง หยานเทียนและเซี่ยงไฮ้ ยังมีท่าเรืออีก 2 แห่ง ที่ฮ่องกง มีตึกขนส่งที่ใหญ่ในฮ่องกง เขาว่า "การค้าขายเกือบ 90 เปอร์เซนต์ในฮ่องกงผ่านท่าเรือของเรา"
    ประธานกรรมการบริหารกลุ่ม ดูไบ เวิร์ล บอกอีกว่า “นอกจากการพัฒนาทางด้านท่าเรือและการขนส่งแล้ว ดูไบ เวิร์ล ยังเริ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ปี 1997 ผู้นำของดูไบ เชค โมฮะห์เหม็ด บิน ราชิด อัล มักทูม บอกผมว่า ดูไบจำเป็นจะต้องมีชายหาด ขณะนั้นเรามีชายหาดประมาณ 60 กิโลเมตร เพราะฉะนั้น ชายหาดที่จะเป็นชายหาดสำหรับการท่องเที่ยวมันค่อนข้างจำกัดมาก ท่านบอกผมว่า เราต้องการพื้นที่ชายหาดเพิ่มขึ้น เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวในดูไบกำลังเติบโตขึ้น ในเวลานั้น มีนักท่องเที่ยวประมาณ 1 ล้านคนต่อปี แต่ทุกวันนี้เรามีนักท่องเที่ยว 10 ล้านคนต่อปี ท่านบอกว่า นักท่องเที่ยวต้องการแดด ต้องการชายหาด เรามีแดดมาก แต่เราไม่มีชายหาด

    ผมได้ออกแบบเกาะขึ้นมา เกาะอันนี้เป็นเกาะกลมๆ ที่อาจจะทำให้มีชายหาดประมาณ 7 กิโลเมตร และผมทราบว่าผู้ปกครองรัฐดูไบมักจะอยากได้สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้

    ผมเลยคิดว่า ถ้าผมนำโครงการที่มีชายหาด 7 กิโลเมตรท่านอาจจะบอกว่าขอเป็น 10 กิโลเมตรก็แล้วกัน แล้วถ้าท่านขอ 2 เท่าของ 7 กิโลเมตร เป็น 14 กิโลเมตร เราก็ยังพอทำได้
    พอผมเสนอไป 7 กิโลเมตร ท่านบอกทำไมไม่ทำ 70 กิโลเมตร ผมยังถามว่า ท่านหมายถึง 17 กิโลเมตรใช่ไหมครับ ท่านบอกไม่ใช่ ต้อง 70 กิโลเมตร

    ผมถามท่านว่า จะทำอย่างไร ถึงจะขยายโครงการจาก 7 กิโลเมตรเป็น 70 กิโลเมตรได้ ท่านบอกไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเกาะกลมๆ (จึงออกมาเป็นเกาะรูปต้นปาล์มดังกล่าว – ผู้เขียน)
    การที่เราจะสร้างชายหาดได้ 70 กิโลเมตร จะต้องคิดอย่างสร้างสรรค์มาก เราเริ่มการก่อสร้างในปี 2002 เราไม่ได้สร้างแค่เกาะเดียว เกาะแรกมีขนาด 70 กิโลเมตร เกาะที่ 2 เราได้ 150 กิโลเมตร เวิลด์ไอซ์แลนด์เกาะที่ 3 ได้ 400 กิโลเมตร ดังนั้นเมื่อรวมทุกโครงการ และรวมโครงการเดอะยูนิเวอร์ส ที่ยังไม่ได้เริ่ม จะทำให้ได้ชายหาดถึง 2,000 กิโลเมตร
    บริษัทที่ชื่อว่านาคฮิล แปลว่าปาล์ม คือต้นปาล์ม เราจึงตัดสินใจตั้งบริษัทชื่อ นาคฮิลขึ้นมา เราตัดสินใจสร้างเกาะแรกในปี 2002 ในปี 2004 เกาะนั่นก็เสร็จ และผู้คนย้ายเข้าไปอยู่ในปี 2006 ภายใน 4 ปี พื้นน้ำได้กลายเป็นสิ่งก่อสร้างไปหมด จริงๆ เราได้เริ่มการศึกษาตั้งแต่ปี 1997 เพราะฉะนั้นทันทีที่เราก่อสร้างเราก็ค่อนข้างจะพร้อมแล้วสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง
    นาคฮิล ทำให้เราได้มีที่อยู่อาศัยประมาณ 80,000 ห้อง ลูกค้าของเราเป็นกลุ่มที่มีฐานะดีมาก เราได้ตัดสินใจในปี 2002 ว่าเราต้องการนักท่องเที่ยวที่ฐานะดี เพราะว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้จะทำให้เกิดผลในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ เป็นนักท่องเที่ยวที่มีความสามารถในการจับจ่ายและการลงทุน เราไม่ต้องการ นักท่องเที่ยวเชิงปริมาณ อย่างที่สเปน มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก แต่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อย เราต้องการได้นักท่องเที่ยวจำนวนน้อยกว่านั้น แต่ให้มีผลต่อเศรษฐกิจ”
    ประสบการณ์ และวิธีคิดของดูไบ ผ่านการปาฐกของ สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม บอกให้ทราบถึงการขยายตัวที่เหลือเชื่อ จากที่คิดจะสร้างชายหาดแค่ 7 กิโลเมตร กลับได้ชายหาดยาวถึง 800 กิโลเมตร และหากไม่มีการสะดุดของสภาพคล่อง ก็อาจจะมีการสร้างชายหาดให้ได้ถึง 2,000 กิโลเมตรได้ ยิ่งสร้างยิ่งใหญ่ ยิ่งสร้างยิ่งสูง จะต้องใช้ทุนสูง
    ตัวโครงการ เป็นอันตรายอยู่ในตัว เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในเวลาที่รวดเร็วมาก ธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีมูลค่าสูง เช่นสายลมและแสงแดด และชายหาด เพียงแต่เราไม่ต้องซื้อ จึงไม่ทราบว่ามันมีมูลค่าสูง การลงทุนสร้างเกาะเทียมที่มีชายหาด จึงเป็นการลงทุนสูง กล่าวกันว่ามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก

    โครงการที่มโหระทึก ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว คนที่เคยไปดูไบเล่าขานกันในอินเตอร์เน็ตว่า ช่วงหลังขายโครงการไม่ออก บรรดามหาเศรษฐี คนที่มีชื่อเสียง ไม่ว่า เดวิดและวิคตอเรีย เบ็คแฮม แบรด พิตต์ และแองเจลิน่า โจลี่ รวมทั้ง ไมเคิล แจ็คสัน เข้าไปเก็งกำไร ซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคาสูงลิบต่างเสียหายไปตามๆกัน ราคาตกลงครึ่งหนึ่ง เสียหายตั้งแต่โครงการยังสร้างไม่เสร็จ
    หนังสือพิมพ์ Daily Mirror รายงานว่าอสังหาริมทรัพย์สุดหรู ราคา 160 ล้านบาท ที่ครอบครัวเบ็คแฮมซื้อไว้เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ปัจจุบัน มูลค่าร่วงลงมาอยู่ที่เพียง 80 ล้านบาท ราคาตกลงมาถึง 50% ช่วงระยะเวลาไม่ถึง 5 เดือน เบคแฮมดูเหมือนว่าจะเจ็บตัวหนักสุด มีรายงานว่าเบคแฮม ซื้อบ้านสุดหรูในโครงการ "Palm Jumeirah" เอาไว้เมื่อปีที่แล้ว ได้ตัดสินใจซื้อห้องชุดหรูหราราคาแพงที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จากอามานี่ (ที่เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์) อีกแห่งบนตึก Burj Dubai ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตึก "สูงที่สุดในโลก" เมื่อต้นปีที่ผ่านมาด้วย
    หนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทม์ รายงานว่า บรรดาผู้เชี่ยวชาญและแรงงานชาวต่างชาติในดูไบที่ถูกเลิกจ้าง หรือถูกยกเลิกวีซ่า รวมทั้งผู้ที่มีหนี้สิ้นจากการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ และเป็นหนี้บัตรเครดิต ต่างพากันแยกย้ายหนีกลับบ้านเกิด โดยจอดรถยนต์หรูทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าที่สนามบินดูไบ ซึ่งนับรวมแล้วพบว่ามีมากกว่า 3 พันคัน จนทางการดูไบต้องขนออกไปขายทอดตลาด
    [​IMG]

    4) ตลาดหุ้น ตลาดหุ้นคือสิ่งผิดปกติของโลกยุคปัจจุบัน ทุกวันนี้คนทั่วไปยังคิดว่าเศรษฐกิจโลกเป็นโลกทุนนิยม (Capitalism) แต่ผู้เขียนว่าไม่ใช่ มันเป็นโลกของกองทุนนิยมไปแล้ว (Fundism) ตลาดหุ้นแท้จริงเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไปตามการปั่นหุ้น มีการปั่นหุ้นหรือสวมรอยปั่นหุ้นอยู่ตลอดเวลา Fundism เป็นผู้กำหนด หรือเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ตลาดหุ้นขึ้นเป็นที่มาของข่าวดี ไม่ใช่ข่าวดีทำให้หุ้นขึ้น ตลาดหุ้นตกเป็นที่มาของข่าวร้าย ไม่ใช่ข่าวร้ายทำให้หุ้นตก
    กลไกที่เกิดขึ้นจากการพังทลายของตลาดหุ้น ผู้เขียนนำเสนอบ่อยครั้ง

    ทำให้ ความเชื่อมั่นลดลง
    ทำให้ สภาพคล่องของระบบเสียหาย
    ทำให้ ทำให้สถาบันการเงินล้มลง
    ทำให้ ทำให้ภาคการผลิตจริงล้มละลาย
    ทำให้ คนตกงาน
    ทำให้ ทำให้ค่าเงินเสียหาย
    ทำให้ตลาดเงิน(ดอกเบี้ย)ไม่มีเสถียรภาพ
    ทำให้ เกิดภาวะหนี้เสีย
    ทำให้ มูลค่าหลักประกันล้มลง
    ทำให้ มูลค่าสินทรัพย์ของชาติตกต่ำ
    ทำให้ เศรษฐกิจของระบบไม่มีเสถียรภาพ
    ทำให้ ระบบยากจนลง

    ตลาดหุ้นเป็นเครื่องมือ ที่ก่อให้เกิดกลไก ที่ทำให้เกิดความยากจน เกิดที่ประเทศใด ก็เป็นแบบเดียวกันทุกประเทศ เมื่อเกิดกับโลก โลกก็จะจนลง จะทำให้เกิดภาวะเงินท่วมโลก (เงินของ Fundism) แต่โลกทั้งโลกจะยากจนลง

    [​IMG]

    [​IMG]

    จุดเริ่มต้นวิกฤติเศรษฐกิจโลก เริ่มต้นในปี 2000 หลังการพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์ ที่มีผลค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหายและไม่ได้รับความเชื่อมั่น ทำให้เงินไหลออกจากสหรัฐ ประเทศสหรัฐมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 1 ของโลก ปริมาณเงินจึงมาก ทำให้เงินไหลออกมาท่วมประเทศต่างๆ หรือท่วมโลก

    ส่งผลให้ ค่าเงินโลก ตลาดหุ้นโลก(G88-Index) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้นทั่วหน้า
    จะเห็นว่า G88-Index(ดัชนีตลาดหุ้นรวมโลก) เริ่มสูงขึ้นในปี 2001-2002
    จากนั้น G88-Index ก็พังทลายลงในปี 2008 และตกลงถึง 62 เปอร์เซ็นต์
    ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ ไม่ใช่เป็นของประเทศนั้นๆ แต่มันเป็นเงินของ Fundist ฝากไว้ เขาจะเอามาเพิ่มหรือถอนออกเมื่อใดได้
    ตลาดหุ้นยิ่งพัฒนามากขึ้นเท่าใดก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เช่น การพัฒนาตลาดหุ้นออกมาในรูปของตลาดตราสารอนุพันธ์ คือหุ้นขึ้นก็ทำเงินได้ (capital gain) หุ้นตกก็ทำเงินได้ (capital gain)
    จะเห็นว่า แม้ในปี 2008 ตลาดหุ้นโลกตกถึง 62 เปอร์เซ็นต์ แต่ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของโลกเพิ่มถึง 11 เปอร์เซ็นต์
    กลับมาเรื่องของดูไบ
    จะเห็นว่างานอภิมหาก่อสร้างของดูไบเริ่มในปี 2002 และ 2003 เป็นส่วนใหญ่ บางโครงการก็สำเร็จลงได้ในช่วงระยะเวลาก่อสร้าง 4-5 ปี มีปฏิสัมพันธ์กับช่วงเวลาเงินไหลเขาดูไบ (อันเป็นผลมาจากการพังทลายของเงินเหรียญสหรัฐ) ทำให้สภาพคล่องในระบบของดูไบสูง เสริมให้สถาบันการเงินพร้อมที่จะปล่อยกู้ คนคิดที่จะกู้ กับคนคิดที่จะให้กู้ มาพบกันในเวลาที่เหมาะสม ความยิ่งใหญ่อภิมหาอวิชชาชาติจึงเกิดขึ้น
    อวสานดูไบ ของอาบูดาบี ของสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์เริ่มในปี 2008
    ปี 2008 ตลาดหุ้นโลก (G88-Index) พังทลายลง 62 เปอร์เซ็นต์
    ระหว่างปี 2005 – 2008 ตลาดหุ้นอาบูดาบีตกลง 66 เปอร์เซนต์ ตลาดหุ้นดูไบตกลง 83% แสดงถึงเกิดความเสียหายกับ อาบูดาบี ดูไบ หรือ UAE แล้ว (อ่านกลไกที่เกิดขึ้นจากการพังทลายของตลาดหุ้น)
    สภาพคล่องของระบบเสียหาย(จากการที่ตลาดหุ้นพัง) เศรษฐกิจของ UAE ก็ล้มพับ
    ผู้เขียนเฝ้าติดตาม “กลไก” ความเสียหายของเศรษฐกิจโลกมากว่า 15 ปี
    วันที่ 26 พฤศจิกายน 2552 มีข่าวตามสื่อออนไลน์ทั่วโลก นำเสนอว่าประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ประกาศขอเลื่อนการชำระหนี้ จำนวน 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 119,000 ล้านบาท ที่จะถึงกำหนดชำระในเดือนธันวาคม 2552 นี้ ออกไปอีก 6 เดือน หรือจนกว่าจะถึงเดือนพฤษภาคม 2553
    การหกคะเมนคว่ำคอหักของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เป็นเรื่องที่คาดหมายได้ ที่ผ่านมาก็คิดอยู่ในใจว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์จะต้องเข้าโครงการไอเอ็มเอฟหรือไม่ ก่อนหน้านี้ ปลายปี 2008 มีประเทศต่างๆได้เข้าโครงการไอเอ็มเอฟแล้ว 4 ประเทศ ได้แก่ ฮังการี ยูเครน ปากีสถาน ไอซ์แลนด์ และก็มีอีกหลายประเทศที่เข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟ ในปี 2009
    หลายประเทศที่ไม่ได้มีการก่อสร้างที่ใหญ่โตเหมือนดูไบ ก็เกิดความเสียหาย จนต้องเข้าโครงการไอเอ็มเอฟไปก่อนหน้าแล้วร่วม 10 ประเทศ โครงการขนาดใหญ่จึงไม่ใช่ปัจจัยหลักของการเสียหายของระบบ กรณีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของดูไบ เป็นเพียงกรณีเฉพาะ UAE ที่เสริมให้ UAE เสียหายมากกว่าปกติเท่านั้น
    หลายประเทศที่ไม่ได้เข้าโครงการไอเอ็มเอฟ ไม่ใช่ว่าจะไม่เสียหาย แต่ก็เสียหายหนักเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นจีนและรัสเซียเป็นต้น
    ความเสียหายจะทยอยแสดงผลออกมาทีละประเทศ
    การแก้แต่ปลายเหตุของปัญหา จะไม่ช่วยให้ปัญหายุติลงได้ ความมั่งคั่งของแต่ละประเทศที่สะสมมา 50-100 ปี ต้องมาพังทลายลงภายในปีสองปี เสียแล้วเสียเลย หรือเสียหายแล้ว ก็มีการซ้ำเติมให้เสียหายหนักลงไปอีก
    ตัวอย่างการพังทลายของตลาดหุ้นไทยหนัก 2 ครั้งในปี 2521 และปี 2535 นำพาประเทศไทยเข้าโครงการไอเอ็มเอฟมา 2 ครั้งแล้ว สินทรัพย์ต่างๆที่เคยเป็นของคนไทย ก็ไม่ได้เป็นของคนไทยแล้ว แต่ตกเป็นของคนที่ไม่มีสัญชาติ เห็นได้จากส่วนแบ่งผู้ถือหุ้นในธนาคารขนาดใหญ่ของไทย แทบไม่เหลือเป็นของคนไทยแล้ว
    ผู้ถือหุ้นที่เป็นคนไทย ธนาคารกสิกรไทย มี 3.17 เปอร์เซนต์
    ผู้ถือหุ้นที่เป็นคนไทย ธนาคารกรุงเทพ มี 11.05 เปอร์เซนต์
    ผู้ถือหุ้นที่เป็นคนไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ มี 34.93 เปอร์เซนต์ (เพราะอะไร)
    ผู้ถือหุ้นที่เป็นคนไทย ธนาคารกรุงไทย มี 5.11 เปอร์เซนต์ (ไม่รวมกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ)

    ตลาดหุ้นอเมริกาก็เกิดการพังทลายรุนแรง 2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดการพังทลายของตลาดหุ้น NYSE ในปี 1929 (Great depression) ครั้งที่ 2 เกิดจากการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ในปี 2000 แม้อเมริกาไม่ได้เข้าโครงการไอเอ็มเอฟ แต่ทุกวันนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาก็เป็นประเทศยากจนไปแล้ว
    ปัญหาเกิดขึ้น ไม่ทราบว่าปัญหาเกิดจากอะไร ก็ออกมาลวงหลอกว่าเป็นวิวัฒนาการไปสู่โลกไร้พรมแดน แท้จริงแล้วมีสิ่งผิดปกติอยู่ในระบบมากกว่า วิวัฒนาการที่ดีต้องนำความศานติสุข สงบ ร่มเย็น และมั่นคง มาสู่ระบบ แต่นี่ไม่ใช่ เนื่องจากพบเห็นแต่การล่มสลาย และการพังทลายทางเศรษฐกิจวันแล้ววันเล่า
    ราคาทองคำคือสิ่งหนึ่งที่สะท้อนฐานะเศรษฐกิจของโลก การที่ราคาทองคำสูงขึ้น แสดงว่าค่าเงินเล็กลง หรือยากจนลงนั่นเอง อันเป็นผลมาจากความเสียหายของเศรษฐกิจโลกโดยรวมนั่นเอง
    เหตุแห่งการ หกคะเมนคว่ำคอหัก Dubai Evolutionary Reform ผู้เขียนนำเสนอไว้มี 4 ข้อ ข้อที่ 2 และ 3 เป็นเรื่องของภาคการผลิตจริง หรือ Real trade ส่วนข้อ 4 เป็นเรื่องของการซื้อขายกระดาษ หรือ Paper trade เครื่องมือที่ผิดปกติ ทำให้เกิดโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ผิดปกติ ทุกวันนี้ Paper trade เติบใหญ่แบบเหลือเชื่อตลอดเวลา และ Real trade จะเสียหายและเล็กลงตลอดเวลา Paper trade คือตัวที่ทำให้เกิดปัญหาหลัก แต่ผู้คนไม่มาสนใจปัญหาในส่วนของ Paper trade ไปสนใจแต่ Real trade อย่างเดียว ปัญหาเศรษฐกิจของโลกจึงหนักขึ้นทุกวัน
    การคอหักทางเศรษฐกิจ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์เท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ยังคอหักคอพับอยู่ทุกวันนี้
    พระพุธเจ้าสอนว่า สิ่งที่ทำให้เพลิดเพลิน ร้องรำทำเพลง เต้นกินรำกิน เป็นอบายมุข อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสันทนาการมากไป ก็ไม่เหมาะสม ดีว่าไม่มีแหล่งกาสิโนเหมือนมาเลเซีย ยิ่งต้องขายแผ่นดินของประเทศตัวเองให้คนชาติอื่นยิ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวควรทำแบบจำกัดดีที่สุด อย่าไปหวังมาก เกิดโรคระบาดหรือปัญหาอะไรที คนไม่มาเที่ยว ก็เสียหาย ประเทศภูฐาน กำหนดให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าประเทศได้ไม่เกินปีละ 20,000 คน
    ตัวอย่างความเสียหายจากการท่องเที่ยวก็มีให้เห็นอยู่ โรงแรมต่างๆ ของไทย ตกเป็นของต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
    หากดูไบ และอาบูดาบี หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีเงินเหลือล้น จะศึกษาพัฒนาเทคโนโลยี แยกน้ำจืดจากน้ำทะเล แล้วนำมาปลูกต้นไม้ ปลูกข้าว ปลูกผักผลไม้ ให้เขียวเต็มประเทศ ก็จะเป็นการพัฒนาที่ถูกทิศทางที่สุด เป็นสิ่งที่น่าทึ่งกว่าการไปสร้างวัตถุกลางทะเล หรือสร้างขึ้นทะลุชั้นเมฆ

    ภาพอาณาจักรสิ่งก่อสร้างแห่ง Dubai World และ Nakheel
    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]
    .
    อีกด้านหนึ่งของดูไบ ภาพนี้ได้จาก Forward mail ดูจากภาพแล้วไม่น่าจะจะเป็นคนเอเซีย หรือคนงานจากเอเซียที่ไปทำงานทีดูไบ น่าจะเป็นคนดูไบเอง ใครที่เคยไปดูไบ ช่วย comments ด้วย ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    <HR>@@@
    ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนท
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    America is not model หลีกให้พ้นอเมริกา : สังคมของผู้เสพติด!
    <TABLE width="96%" border=0><TBODY><TR><TD>by : อุบล อยู่หว้า
    IP : (124.120.150.179) - เมื่อ : 12/12/2006 12:27 PM

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เมื่อต้องมาเดินอยู่ในย่านถนนมิสชั่น (mission) ในเมืองซานฟรานซิสโก สภาพแวดล้อมที่นี่ทำให้เราตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับฝรั่งที่กำลังเดินอยู่ในเมืองมหาสารคามหรือร้อยเอ็ด เพราะขณะที่เขาเตรียมตัวจะมาพูดภาษาไทยแต่ผู้คนในเมืองเว้าลาวกันหมดเลย ผู้คนที่อยู่อาศัยและเดินอยู่ตามท้องถนนย่านมิสชั่นเต็มไปด้วยผู้ที่พูดภาษาเสปน ขณะที่เราก็ตั้งท่าจะพูดภาษาอังกฤษ ย่านมิสชั่นเป็นเหมือนฐานที่มั่นของชาวเม็กซิโกและชาวอเมริกาใต้ประเทศต่างๆ ที่เข้ามารับจ้างทำมาหากินในเมืองซานฟรานซิสโก พวกเขาเหล่านี้พูดภาษาสเปนและมาจากครอบครัวเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) จนถึงขั้นบ้านแตกสาแหรกขาด อยู่ไม่ได้ต้องออกจากหมู่บ้านดิ้นรนมาหางานทำในสหรัฐอเมริกา บางท่านอาจจินตนาการว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของเสรีภาพและประชาธิปไตย แต่กลิ่นไอของเสรีภาพย่านมิสชั่นมันพะอืดพะอมสิ้นดี เพราะมันคือกลิ่นของสิ่งปฏิกูลสดๆ จากมนุษย์เรานี่เอง เหตุที่มาก็คือว่าเมืองใหญ่อย่างซานฟรานซิสโก มีคนไร้บ้านอาศัยอยู่ในเมืองนี้น่าจะมากกว่า 30,000 คน ในบรรดาคนไร้บ้านมากมายขนาดนี้ จำนวนไม่น้อยเลยติดยาเสพติด ยาเสพติดที่ได้รับความนิยมในหมู่คนจนก็คือ "แครก" หากเดินย่ำอยู่ในย่านมิสชั่นจะพบพวกเขาสูบ ฉีด และซื้อขายกันจะจะบนรถ ยาเสพติดบ้านี้มันก็บ้าจริงๆ เพราะมันทำให้ผู้ที่เสพเป็นบ้าไปเลย พวกเขา (บางคน) ถ่ายสิ่งปฏิกูลบนฟุตบาท โดยไม่ได้สนใจต่อประสาทสัมผัสของใครทั้งสิ้น เป็นการยืนยันในเสรีภาพโดยไม่รับผิดชอบอะไร เดินถนนย่านมิสชั่นสายตาต้องมองต่ำเหมือนคนไปหาเก็บเห็ด มิฉะนั้นคุณอาจพลาดเหยียบเข้าไปที่ก้อนทองของผู้ติดยาได้ บางค่ำคืนคุณอาจจะโชคร้าย (หรือโชคดีก็แล้วแต่จะคิด) ที่เห็นคนเป็นๆ มีเซ็กส์กันอยู่มุมใดมุมหนึ่งของถนนนั่นเอง เสรีภาพที่ไร้ความรับผิดชอบอันนี้ก็น่าจะมาจากยาเสพติดเช่นเดียวกัน
    อเมริกากับช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคม
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width=250 align=right border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]
    ที่นอนคนจน

    [​IMG]
    มีเศษสตางค์สักเหรียญมั้ยครับ?

    [​IMG]
    ร้านกาแฟกับแลปท๊อป คือสถานที่ทำงานใหม่
    </TD></TR></TBODY></TABLE>อเมริกานับเป็นประเทศที่ประชาชนในชาติมีความเหลื่อมล้ำแตกต่างกันในทางเศรษฐกิจและสังคมสูงมาก ชนิดที่ว่าคนรวยก็รวยล้นฟ้า คนจนก็ต่ำต้อยติดดินเดินขอเศษสตางค์ตามแยกไฟแดง ดักรอขออาหารตามหน้าซุปเปอร์มาเก็ต นอนตามซอกถังขยะริมฟุตบาท ในบรรดาคนไร้บ้านที่พานพบในเมืองซานฟานซิสโก ก็เห็นว่ามีคนจากทุกเผ่าพันธุ์ในสังคมอเมริกา มีทั้งฝรั่งผิวขาว คนลาตินอเมริกา คนเอเชีย แต่ที่มีคนจำนวนมากกว่ากลุ่มอื่นๆ คือคนอเมริกันอาฟริกัน (คนผิวดำ) ถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น นี่คือความเหลื่อมล้ำทางสังคมอันสืบเนื่องมาจากประวัติศาสตร์ การกดขี่ต่อคนผิวดำตั้งแต่ยุคค้าทาสใช้แรงงานทาสฝังลึกอยู่ในสังคมอเมริกัน แม้ว่าในวันนี้จะไม่มีการแยกชุมชนคนดำ-คนขาว ไม่แยกโรงเรียน ไม่แยกห้องน้ำ ไม่ห้ามคนดำขึ้นรสบัสดังเช่นที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960 แต่โรงเรียนในย่านคนจนก็คุณภาพต่ำ ผนวกกับปัญหาความยากจนทางเศรษฐกิจ โอกาสที่คนจนจะได้รับการศึกษาดีก็น้อยลงไปอีก การศึกษาที่ผูกติดกับทุนทำให้การเล่าเรียนต้องใช้จ่ายสูงมาก ยิ่งเท่ากับกีดกันคนจนออกจากการศึกษาที่ดี
    เมื่อหลายปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์การกระทบกระทั่งระหว่างคนไทยกับคนผิวดำ หรืออาจมีการกระทบกระทั่งระหว่างคนจีนกับคนลาตินอเมริกา หรือคนเวียดนามกับคนดำ นี่คือการกระทบกระทั่งของพลเมืองใหม่หรือพลเมืองชั้นรองของสังคมนี้ และคนเหล่านี้ก็จะถูกเอาเปรียบโดยฝรั่งผิวขาว ซึ่งดูเหมือนดำรงความเป็นเจ้าของประเทศมากกว่าอยู่ตลอดเวลา

    ระบบบริการสุขภาพ เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สะท้อนช่องว่างในสังคมนี้ การบริการทางการแพทย์ที่กอดคอตีคู่กับธุรกิจทำประกัน ทำให้บริการทางการแพทย์เป็นธุรกิจที่ต้องแสวงหากำไร หากไม่มีเงินพอที่จะซื้อประกันไว้ก่อนหน้าที่จะเจ็บป่วย เกิดป่วยขึ้นมาคนจนไปหาหมอแทบไม่ได้เพราะทุกอย่างแพงมาก ระบบแบบนี้จึงเป็นเหมือนกันคนจนออกไปจากระบบบริการสุขภาพที่ดี แล้วไปสร้างเกาะสังคมสงเคราะห์ขึ้นมา ซึ่งล้วนแต่ไม่มั่นใจในคุณภาพ นี่คือการกดขี่และความเหลื่อมล้ำต่อกันในสังคมอเมริกันซึ่งมันฝังลึกอยู่มากจริงๆ
    อเมริกาเสพติดน้ำมัน
    สหรัฐอเมริกาประเทศที่ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือ การผลิตในประเทศพัฒนามาสู่การผลิตแบบอุตสาหกรรมมีการใช้พลังงานน้ำมันอย่างมหาศาล การขนส่งภายในประเทศก็เสมือนการขนส่งข้ามทวีป สภาพเศรษฐกิจสังคมที่อยู่อาศัย งานที่อยู่ห่างไกลกัน ความจำเป็นบวกกับความนิยมของการมีรถยนต์ทำให้มีการเสพและใช้น้ำมันกันอย่างมาก เมืองใหญ่หลายเมืองโดยเฉพาะรัฐทางฝั่งตะวันตกมีระบบขนส่งมวลชนที่ไม่ดีเลย คนแก่ในเมืองโอ๊กแลนด์เล่าว่าแต่ก่อนมีรถไฟให้บริการจากโอ๊กแลนด์ไปเบริกลีย์ เมืองที่อยู่รอบอ่าวซานฟรานซิสโกด้วยกัน ห่างกันไม่ถึง 10 กิโลเมตร แต่บริษัทเจเนอรัลมอเตอร์ซื้อรถไฟไปแล้วทำให้เจ๊งเพื่อบีบให้คนซื้อรถยนต์เพราะเขาผลิตรถยนต์ ในเมืองลอสแองเจลิสก็เคยมีรถไฟแบบเดียวกันปัจจุบันก็ไม่มีแล้วถูกทำลายไปด้วยขบวนการของทุน ทุกวันนี้ในเมืองลอสแองเจลิสมีแต่รถเมล์คุณภาพต่ำที่คนจนเท่านั้นใช้บริการ ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาถูกออกแบบให้ขับเคลื่อนโดยน้ำมัน สังคมนี้เสพติดน้ำมันอย่างหนักจริงๆ
    อเมริกาเสพติดเทคโนโลยี
    การคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความสะดวกสบายของชีวิตก็น่าจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือเทคโนโลยีไม่เพียงแต่มีอิทธิพลในการกำหนดวิถีการผลิต กำหนดวิถีชีวิตของคนอเมริกันเท่านั้น แต่เทคโนโลยีมีอิทธิพลถึงขั้นเปลี่ยนทักษะมนุษย์เปลี่ยนความคิดจิตใจของคนได้ด้วย และผู้ที่ควบคุมเทคโนโลยีก็ใช้มันเป็นเครื่องมือในการครอบงำสังคมด้วย ผู้ที่ทำงานด้านสื่อทางเลือกในอเมริกากล่าวว่า หากสื่อในอเมริกานำเสนอภาพความทุกข์ระทมของประชาชนชาวอิรัก ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามเชื่อว่าจะส่งผลให้นโยบายของรัฐบาลอเมริกาเปลี่ยนอย่างแน่นอน
    อีกตัวอย่างหนึ่งคือการใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ซึ่งเวลานี้มีอิทธิพลกับสังคมอเมริกามาก ใช้กันตั้งแต่ซื้อเข็ม ซื้อด้าย ถามวิธีปรุงอาหาร วิธีต้มน้ำแอปเปิล ไปจนถึงธุรกิจใหญ่โต คนจำนวนไม่น้อยนั่งอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ในร้านกาแฟเหมือนถูกสะกดจิต พวกเขาอาจค่อยๆ สะสม "ความลืม" ที่จะเงยหน้าเข้ามาทักทายเพื่อนว่า "Hay! How are you?" ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนจะน้อยลง ผลกระทบที่พบแล้วคือเทคโนโลยีทำให้คนมีความอดทนน้อยลง ทำให้คนสูญเสียทักษะในการใช้มือ ผมไม่กล้าสรุปว่าสังคมอเมริกันจะเป็นเช่นไร แต่มันน่าติดตามว่าสังคมที่ผู้คนจำนวนมากเสพติดเทคโนโลยีจะมีบุคลิกเช่นไร ซึ่งประเด็นนี้รอศึกษาในสังคมไทยก็น่าจะได้เช่นกัน
    อเมริกาเสพติดอำนาจของประเทศ
    ดูเหมือนประชาชนชาวอเมริกันโดยทั่วๆ ไป (ยกเว้นชนเผ่า) จะไม่เคยเผชิญปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสดังเช่นประชาชนในประเทศที่ยากจนและประเทศกำลังพัฒนา เช่น ชาวสลัมถูกไล่ที่ ชาวเขาถูกบังคับให้ออกจากชุมชนจากที่ดินทำกินของตน คนอเมริกันได้รับการบำรุงบำเรอให้มีความสุขตามสมควร โดยอำนาจรัฐฯ ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอำนาจทุน และมีเทคโนโลยีในการฆ่าเพื่อนมนุษย์ (อาวุธกองทัพและการก่อสงคราม) เป็นเครื่องมือในการสร้างขยายและรักษาอำนาจนั้นไว้ ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องยากนักที่รัฐจะปลูกฝังแนวคิดชาตินิยมกับพลเมืองของชาติที่มีอายุน้อยดังเช่นสหรัฐเมริกา ประชาชนไม่น้อยในประเทศนี้มาจากกลุ่มคนที่ไม่มีโอกาสในการสร้างรัฐชาติหรือมาจากข้อขัดแย้งจากสงครามในประเทศเดิม จึงเป็นการง่ายที่พวกเขาจะเข้าร่วมในสำนึกรักชาติใหม่ที่ปลุกเร้าโดยรัฐจักรวรรดินิยม แน่นอนสำนึกความเป็นชาติย่อมต้องมีส่วนดีที่คนในสังคมหนึ่งจะอยู่ร่วมกัน แต่ทัศนะที่เลยเถิดถึงขั้นบอกว่า "เรื่องสงครามอิรักผมไม่สนใจหรอก... ท่านประธานาธิบดีเป็นคนดีที่เข้าใจเลือดอเมริกัน" ก็ย่อมแสดงว่าผู้คนบางส่วนในประเทศนี้เสพติดอำนาจเข้าแล้วจริงๆ
    สังคมเป็นพลวัต มีการเคลื่อนตัวและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีสังคมใดมีแต่มุมที่เลวร้าย สังคมอเมริกันเองก็มีแง่มุมที่เป็นพลังสร้างสรรค์มากมาย แต่แง่มุมที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นแง่มุมที่เป็นปัญหาที่สังคมใดก็ตามไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ก็มีคนไร้บ้านหลับนอนอยู่ตามย่านสนามหลวงและหมอชิต เพียงแต่ในเมืองไทยเรามีเครือข่ายสลัมก็เข้าไปสนับสนุนให้รวมตัวหาขยะรีไซเคิลขาย ไปทำงานให้วัดเพื่อบูชาอาหารมากิน นี่เป็นรูปธรรมความแข็งแกร่งของสังคมที่มีชุมชนวัฒนธรรม เมื่อมีผู้ยากไร้ที่ต้องเผชิญวิกฤติในชีวิต สังคมก็มีกลไกเข้าไปโอบอุ้ม ได้แต่หวังว่าคนไทยสังคมไทยจะเห็นคุณค่าของความมีชุมชนและวัฒนธรรมก่อนที่ความงดงามอันนี้จะหมดไปจากสังคม

    อุบล อยู่หว้า
    (เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก)
    America is not model
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310

    23 November 2004

    สงครามในบ้านของสหรัฐ

    วดี แสงตะวัน

    <dd>“รัฐบาลสหรัฐส่งเสริมให้คนมีอำนาจกอบโกยหาผลประโยชน์ใส่ตัว บนชีวิตเลือดเนื้อของทหารอเมริกัน ของประชาชนอเมริกัน อีกไม่นานประเทศนี้คงล่มสลายแน่นอน ไม่ใช่ด้วยน้ำมือของผู้ก่อการร้ายชาติอื่น หากแต่ด้วยน้ำมือของรัฐบาลที่ทำสงครามต่อประชาชนของตัวเองนั่นเอง”

    </dd><dd>ฉันเป็นนักเรียนไทย ที่มาศึกษาหาความรู้ในสหรัฐอเมริกา ภาพของประเทศนี้ที่ฉันเข้าใจเมื่อตอนเด็ก ๆ ก็คือ ภาพของสังคมอันเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุและเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมสมัยใหม่ แต่ว่า 4 ปีที่ฉันอยู่ในสหรัฐ ฉันกลับพบเห็นโลกอีกโลกที่แฝงอยู่ภายใต้ “ความเจริญ” นั้น

    </dd><dd>สิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตก็คือ เพื่อน ๆ ชาวสหรัฐของฉันมีน้อยคนเหลือเกินที่บอกว่าตัวเองมีความสุข แต่ละคนจะมีเรื่องที่เขาหวาดกลัว หาความสงบสันติในใจได้น้อยเหลือเกิน ฉันคิดว่า ส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้คนไม่มีความสุขก็เพราะ รัฐบาลสหรัฐทำสงครามเข่นฆ่าผู้คนตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มบุกรุกเข้ามาทวีปนี้ เข่นฆ่าชาวอินเดียนแดง แย่งผืนแผ่นดินจากผู้คนที่เคยอยู่อย่างสงบสุข จนถึงขณะนี้สหรัฐก็ยังทำสงครามขยายอำนาจ เข่นฆ่าผู้คนในอิรัก ในปาเลสไตน์ ผู้คนในสังคมจึงหาความสงบสุขไม่ได้ หนำซ้ำยังต้องแบกรับกรรมของการเข่นฆ่าทำลายล้างชีวิตผู้อื่น

    </dd><dd>ผู้คนที่อยู่ในอำนาจได้ผลประโยชน์มหาศาลจากธุรกิจสงคราม ไม่ว่าจะจากการค้าอาวุธสงคราม การค้าน้ำมัน หรือรายได้จากการเข้าไป “บูรณะประเทศ” หลังจากที่กองทัพสหรัฐทำลายเสียราบคาบ แต่ประชาชนอเมริกันทั่วไปกลับต้องอยู่กับผลกระทบของสงคราม เริ่มตั้งแต่ผลกระทบของคนที่ไปเป็นทหารรบในสงครามที่เขาไม่ได้ก่อขึ้น เพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่งเล่าให้ฉันฟังว่า ปู่ของเขาไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 พ่อของเขาไปสงครามเกาหลี ตัวเขาเองเป็นทหารในสงครามเวียดนาม เขาบอกว่า ทหารที่กลับมาจากเวียดนามแล้วฆ่าตัวตายหรือตายด้วยเหตุที่เกี่ยวข้องกับสงครามนั้น มีมากเสียกว่า ทหารที่ตายในสนามรบในเวียดนามเสียอีก

    </dd><dd>ผู้หญิงอีกคน ที่เคยเช่าห้องที่ฉันอยู่ในขณะนี้ ไปรบในสงครามอิรักครั้งแรก ก่อนไปนั้นเธอเป็นนักวิ่งมาราธอนที่แข็งแรงมาก แต่หลังจากกลับจากสงคราม เธอไม่มีแรงแม้แต่จะเดินขึ้นบันไดบ้าน เธอบอกว่า ในสนามรบนั้นเธอต้องอยู่กับความกลัวตลอดเวลา เวลาจะนอนก็ต้องสวมหน้ากากกันแก๊สพิษ ที่หลับที่นอนก็คับแคบนิดเดียว ความกดดันจากภาวะสงครามทำลายสุขภาพเธอไปเสียสิ้น มีรายงานว่า ทหารที่ไปรบในสงครามอ่าวครั้งแรกนั้นมีทั้งสิ้น 600,000 คน หลังจากกลับมา ทหาร 200,000 คน เกิดความทุพพลภาพไม่ทางกายก็ทางจิตใจ

    </dd><dd>เพื่อนฉันอีกคนหนึ่ง เป็นคนไร้บ้าน เขามีรถเข็นแบบที่มีอยู่ตามซูปเปอร์มาร์เก็ตคันหนึ่ง แล้วก็ออกเก็บขวดแก้ว เก็บกระป๋องไปขาย ฉันเจอเขาเพราะฉันเป็นอาสาสมัครทำอาหารให้คนยากจนที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ซึ่งเขาจะมากินข้าวเป็นประจำ วันหนึ่ง ฉันเจอเขาเดินเข็นรถเข็นร่วมในขบวนต่อต้านสงคราม เขาบอกฉันว่า เป็นเรื่องจำเป็นมากที่เราต้องมาร่วมกันต้านสงคราม เขาเคยเป็นทหารที่ประจำอยู่ในแอฟริกา และค้นพบว่า สหรัฐได้ผลประโยชน์เพียงใดจากการรุกรานประเทศอื่น เมื่อเขากลับมา เขาตัดสินใจลาออกจากกองทัพ ไม่ได้ทั้งเงิน ไม่มีทั้งงาน จนต้องมากลายเป็นคนเร่ร่อนอยู่บนถนน แต่เขาก็ภูมิใจที่เขาได้เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง

    </dd><dd>ขณะนี้สหรัฐไม่มีการเกณฑ์ทหาร แต่กองทัพทุ่มทุนมหาศาลในการโฆษณาชวนเชื่อให้เด็กหนุ่มสาวเข้ามาสมัครเป็นทหาร โดยให้คำมั่นสัญญาว่าถ้าเป็นทหารแล้วจะได้เรียนมหาวิทยาลัย จะมีเงินเดือน มีหลักมีฐานมั่นคง คนอพยพที่ยังไม่มีสัญชาติอเมริกัน ก็จะได้รับสัญชาติ กลุ่มเป้าหมายหลักของกองทัพก็คือคนยากคนจน คนผิวสี คนอพยพ ทั้งหลายที่ต้องการความมั่นคงในชีวิต ซึ่งหลายคนโชคร้าย ตายในสนามรบโดยไม่มีโอกาสกลับมาเรียนต่ออย่างที่เขาฝันเอาไว้ เรื่องความเจ็บปวดของครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุตรหลานไปในสนามรบ หรือความทุพพลภาพของทหารนั้นถูกปิดเงียบ ไม่สามารถรับรู้ได้จากสื่อกระแสหลัก ในสื่อเหล่านั้นมีแต่โฆษณาชวนเชื่อให้เด็กหนุ่มสาวไปเป็นทหาร เพื่อน ๆ ของฉันที่มีลูกกังวลกันมาก เพราะตั้งแต่เด็กยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ กองทัพจะส่งใบโฆษณาชวนเชื่อมาถึงที่บ้าน ให้เด็ก ๆ มาสมัครเข้ากองทัพ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพเรือ กองทัพบก หรือกองทัพอากาศ หลายคนหวาดกลัวว่ารัฐบาลจะรื้อฟื้นการเกณฑ์ทหารขึ้นมาใหม่ บางคนอยากส่งลูกไปอยู่แคนาดา ให้ลูกถือสัญชาติแคนาดาไปเลย จะได้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เพื่อนอีกคนก็บอกว่า แม้แต่ที่แคนาดา ก็มีโฆษณาชวนเชื่อให้คนมาสมัครเป็นทหารของกองทัพสหรัฐ ออกอากาศในทีวีของแคนาดา

    </dd><dd>รัฐบาลสหรัฐทุ่มเงินมหาศาลไปในการทำสงคราม เพียงแค่ในอิรัก รัฐบาลสหรัฐต้องใช้เงินเป็นพันล้านเหรียญต่ออาทิตย์ แต่งบประมาณที่จะดูแลประชาชนในประเทศของตัวเอง กลับถูกตัดลงไปเรื่อย ๆ ฉันมีเพื่อนที่ทำงานอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เด็ก งบประมาณรัฐที่จะมาสนับสนุนให้เด็ก ๆ ได้แสวงหาความรู้ในพิพิธภัณฑ์ถูกตัด เวลาเจอเขาแต่ละที เขาจะรายงานว่ามีใครถูกปลดออกไปแล้วบ้าง คนทำงานลดน้อยลงและแต่ละคนต้องทำงานหนักมากกว่าเดิม เพื่อนในชั้นเรียนของฉันเล่าว่าห้องสมุดของมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งในเมืองต้องปิดทำการวันเสาร์ เพราะไม่มีเงินจ้างเจ้าหน้าที่มาดูแล วิทยาลัยรัฐอีกแห่งที่เคยคิดค่าเล่าเรียนถูกมาก เพื่อเปิดโอกาสให้คนยากจนได้เรียน ปีนี้ทั้งค่าเล่าเรียนและค่าหนังสือแพงขึ้นมาก จนนักเรียนต้องประท้วง มหาวิทยาลัยรัฐอีกแห่ง เคยมีโครงการสนับสนุนนักเรียนที่เป็นชนกลุ่มน้อย เช่น คนดำ หรือคนเอเชีย มาบัดนี้โครงการดังกล่าวถูกตัดงบจนดำเนินการต่อไปไม่ได้ อาทิตย์ที่แล้วฉันได้ยินเพื่อนอีกคนเล่าว่า สถานพยาบาลที่ให้บริการแก่คนยากคนจนในเมือง กำลังจะถูกปิดลงแล้ว เพราะเหตุผลเดิมคือ ไม่มีงบ เมื่อเร็ว ๆ นี้ในชั้นเรียน เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า รู้ไหมว่า ตอนนี้หนี้ของประชาชาติสูงถึง 500,000 เหรียญ ต่อคนแล้ว

    </dd><dd>ตั้งแต่จอร์จ บุชขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี สภาพเศรษฐกิจย่ำแย่มาก มีคนตกงานเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคน ที่โบสถ์ที่ฉันไปช่วยทำอาหารให้คนจน แต่ละวันมีคนมากินอาหารเพิ่มขึ้นเกิน 15 % บนท้องถนนมีคนไร้บ้านเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่ใช่คนขี้เกียจ ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลย เขาก็คือคนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัฐบาลตัวเอง หลาย ๆ คนเป็นผู้อพยพมาจากประเทศแถบละตินอเมริกา ซึ่งรัฐบาลสหรัฐเข้าไปแทรกแซงทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ประชาชนในประเทศเหล่านั้นยากจนลง หรือไม่ก็บ้านแตกสาแหรกขาดเพราะสงครามกลางเมือง จนต้องอพยพเข้ามาในสหรัฐ

    </dd><dd>แล้วทำไมคนยังถึงเลือก จอร์จ บุช มาเป็นประธานาธิบดีกันอีกเล่า มีหลายเหตุผลเหลือเกิน แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันคิดว่ามีส่วนอย่างมากก็คือ สื่อ สื่อส่วนใหญ่นั้นอยู่ในมือของบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าอาวุธ แน่นอน ข่าวที่ออกมาก็ต้องผ่านการกลั่นกรองปรับเปลี่ยนให้สนับสนุนรัฐบาล สนับสนุนการทำสงคราม แต่สิ่งที่ไม่มีการออกอากาศเลยก็คือ ธุรกิจค้าอาวุธได้กำไรมหาศาลจากสงครามมากเพียงใด อีกเรื่องที่ไม่เป็นข่าวก็คือ ผู้คนบาดเจ็บล้มตายในสงครามมากเพียงใด ทุกข์ทรมานมากเพียงใด ประชาชนอเมริกันทั่วไปถูกปิดหูปิดตา หลงเชื่อไปว่าผู้ก่อการร้ายจะโจมตีประเทศตน และคิดว่าคาวบอยบุชจะควบม้ามาปกป้องพวกเขาได้
    ฉันคิดว่าเมื่อรัฐบาลสหรัฐส่งเสริมให้คนมีอำนาจกอบโกยหาผลประโยชน์ใส่ตัว บนชีวิตเลือดเนื้อของทหารอเมริกัน ของประชาชนอเมริกัน อีกไม่นานประเทศนี้คงล่มสลายแน่นอน ไม่ใช่ด้วยน้ำมือของผู้ก่อการร้ายชาติอื่น หากแต่ด้วยน้ำมือของรัฐบาลที่ทำสงครามต่อประชาชนของตัวเองนั่นเอง

    </dd><dd>ฉันหวังว่า สหรัฐคงเป็นบทเรียนให้กับเราได้ เราคงไม่เดินตามผู้ที่อยู่ในอำนาจอย่างหน้ามืดตามัว เห็นด้วยกับความรุนแรงที่รัฐใช้ต่อประชาชนของตัวเอง เชื่อสื่อที่ปิดหูปิดตาเราจากความจริง หรือปล่อยให้คนบางกลุ่มโกงกินบ้านเมือง โกงกินประเทศเพื่อนบ้าน จนไม่เหลืองบประมาณมาดูแลประชาชนในประเทศ หรือจนประเทศเพื่อนบ้านพากันเกลียดเราไปหมด

    </dd><dd>ถึงวันนั้น เราคงเป็นเหมือนประเทศนี้ ที่มีตึกระฟ้า มีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุมากมาย แต่ผู้คนกลับหาความสงบสุขในใจไม่ได้เลย
    </dd>
    posted at 03:13:22 on 11/23/04 by cho - Category: สังคม
    <!-- this tag inserts the comments on the selected item, also using the --><!-- template with name 'grey/full' -->ʧ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2010
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แปลโดย วาริษาฮ์ อัมรีล<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    http://www.newmuslimthailand.com/main/index.php<O:p></O:p>
    นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา – สุดสัปดาห์นี้ กลุ่มองค์กรช่วยเหลือบรรเทาทุกข์อิสลามได้ทำแคมเปญทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อช่วยเหลือคนไร้บ้าน (โฮมเลส = homeless) กว่า 25,000 คน<O:p></O:p>
    งานนี้จัดขึ้นใน 19 เมืองใหญ่ทั่วสหรัฐฯ โต้โผของงานคือองค์กรบรรเทาทุกข์อิสลามของสหรัฐฯ (Islamic Relief-USA) สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่บัวนาพาร์ค รัฐคาลิฟอร์เนีย<O:p></O:p>
    วัน Humanitarian Day ของทางกลุ่มองค์กรมุสลิมปีนี้จัดทั้งวันเสาร์และอาทิตย์ มีชาวมุสลิมอาสาสมัครเข้าร่วมงานมากมาย พวกเขาออกไปช่วยแจกจ่ายอาหาร เสื้อผ้า และยารักษาโรค แก่ผู้ที่ยากจนที่สุดในอเมริกา แม้ว่าเหล่าอาสาสมัครทุกคนจะถือศีลอดในช่วงรอมดอนด้วยก็ตาม<O:p></O:p>
    ปีนี้เป็นปีที่สามติดต่อกันที่นักกิจกรรมขององค์กรบรรเทาทุกข์อิสลามได้จัดงาน Humanitarian Day ในเดือนรอมดอน ปีที่แล้วแม้พวกเขาต้องถือศีลอดในตอนกลางวัน แต่อาสาสมัครมุสลิมก็ออกไปเดินแจกจ่ายอาหารและสิ่งของจำเป็นแก่คนไร้บ้าน 18,000 คนในเมืองใหญ่ทั้งหลาย<O:p></O:p>
    ปีนี้พวกเขาก็ทำเหมือนในปี 2006 นักกิจกรรมมุสลิมให้ความสนใจกับคนไร้บ้านใกล้ชุมชนที่ตัวเองอาศัยอยู่ พวกเขานำอาหารร้อนๆ และสิ่งของจำเป็นเช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม และของเล่นสำหรับเด็ก ไปแจก<O:p></O:p>
    และด้วยความช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐ พวกเขาได้จัดให้มีการตรวจหาเชื้อเอดส์ฟรีด้วย รวมทั้งฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ <O:p></O:p>
    ปีที่แล้วทางองค์กรได้ร่วมกับองค์กรอื่นๆ อีกราว 100 องค์กรจัดงานช่วยเหลือคนไร้บ้านทั่วทั้งสหรัฐฯ, คลารีน เมนซีส์, ผู้จัดการโครงการขององค์กรบรรเทาทุกข์อิสลาม, กล่าว<O:p></O:p>
    “นี่คือสิ่งที่ฉันหวังว่าจะทำไปตลอดชีวิต” อาสาสมัครคนหนึ่งกล่าว “การได้ออกมาช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาสด้วยตัวเองช่างต่างกันกับการบริจาคทานซะกาตมาก” (ซะกาตคือทานบังคับที่มุสลิมต้องคืนให้กับสังคมทุกปี คิดจากร้อยละ 2.5 ของรายได้หักค่าใช้จ่ายของปีนั้น – ผู้แปล)<O:p></O:p>
    จากรายงานของ Census Bureau ของทางการสหรัฐฯ ที่ออกมาเมื่อเดือนที่แล้วพบว่า ในปี 2006 มีชาวอเมริกันกว่า 36 ล้านคน, หรือร้อยละ 13 ของประชากรสหรัฐฯ, ถือว่าเป็นคนยากจน<O:p></O:p>
    ในบรรดาผู้ที่ถูกทางการจัดว่าเป็น “คนยากจน” นี้ 1 ใน 3 เป็นเด็ก ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนผิวขาวเช่น ชาวผิวดำ, ละตินอเมริกัน, และชาวเอเชีย<O:p></O:p>
    ส่วนครัวเรือนที่ร่ำรวยที่สุดร้อยละ 20 แรกมีรายได้ถึงร้อยละ 50 ของรายได้ของทั้งประเทศ ในขณะที่ครัวเรือนที่รายได้ต่ำสุดร้อยละ 20 สุดท้ายมีรายได้เพียงร้อยละ 3 ของรายได้ทั้งประเทศ<O:p></O:p>
    จากรายงานพบอีกว่า ชาวอเมริกันผิวขาว (ที่ไม่ใช่ฮิสแพนนิก) ร้อยละ 8, ชาวเอเชียร้อยละ 10, ชาวฮิสแพนนิกร้อยละ 20, และชาวผิวดำร้อยละ 24, จัดเป็น “คนยากจน”<O:p></O:p>
    จากตัวเลขที่น่าตกใจดังกล่าว ทำให้องค์กรต้านความยากจนทั้งหลายแสดงข้อเรียกร้องให้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และยังเรียกร้องให้ทางสมาชิกสภาคองเกรสทำให้ค่าแรงขั้นต่ำเป็น “ค่าแรงที่ทำให้คนใช้ชีวิตอยู่ได้จริงๆ”<O:p></O:p>
    “การขจัดความยากจนไม่ใช่วิทยาศาสตร์ล้ำลึก” โรเบอร์ตา สพีเวก จากองค์กร American Friends Service Committee กล่าว องค์กรของเธอเป็นของชาวคริสต์เควกเกอร์ (Quaker – เป็นชาวคริสต์นิกายหนึ่งที่น่าทึ่งมาก พวกเขาปฏิเสธความรุนแรงทุกรูปแบบ แม้โดนกระทำก็จะไม่ใช้ความรุนแรงตอบโต้ พวกนี้มีมากในอเมริกาและอังกฤษ – ผู้แปล)<O:p></O:p>
    “เราต้องแก้ไขระยะยาวด้วยการลงทุนในการศึกษา สาธารณสุข ฝึกงาน เธอกล่าวเพิ่มเติมในข่าวแถลงซึ่งได้ตั้งคำถามเรื่องการรุกรานอิรักของสหรัฐฯ ที่ทางองค์กรคาดว่าผลาญเงินของผู้เสียภาษีชาวสหรัฐฯ ไปถึงวันละ 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เท่ากับ 28,000 ล้านบาทต่อวัน ลองเอา 4 ปีครึ่งคูณเข้าไปสิ – ผู้แปล) <O:p></O:p>
    ในทางตรงกันข้าม ความพยายามขององค์กรบรรเทาทุกข์อิสลามในเดือนรอมดอนไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เน้นเรื่องศาสนาซะมากกว่า<O:p></O:p>
    “เป้าหมายแรกของฉันมิได้เพียงไปแจกเสื้อหรือสิ่งของจำเป็น” หนึ่งในอาสาสมัครกล่าว “ฉันต้องการเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขา และนำความหวังไปให้พวกเขา คนไร้บ้านช่างสุภาพและมีอารมณ์ขันจนฉันอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้<O:p></O:p>
    ปีนี้องค์กรบรรเทาทุกข์อิสลามจัดงานบริจาคอาหารและสิ่งของแก่คนไร้บ้านในเมืองใหญ่ต่างๆ ได้แก่ Baton Rouge, Louisiana; Boston; Chicago; Dallas; Detroit; Elizabeth, New Jersey; Fort Thompson, South Dakota; Houston; Kalamazoo, Michigan; Las Vegas; Minneapolis; New Orleans; New York; Philadelphia; Phoenix; Seattle; and Washington, DC. <O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2010
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Thursday, December 9, 2010
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td colspan="5" height="20" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td height="20" width="563">
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td height="144" width="60">
    </td><td valign="top" width="218"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--><tbody><tr><td height="144" valign="top" width="218">[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td width="36">
    </td><td valign="top" width="218"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--><tbody><tr><td height="144" valign="top" width="218">[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td width="60">
    </td></tr><tr><td height="20">
    </td><td valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--><tbody><tr><td height="20" valign="top" width="218">ฝันของอเมริกันดับสูญไปแล้ว</td></tr></tbody></table></td><td>
    </td><td valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--><tbody><tr><td height="20" valign="top" width="218">คนจรจัดเกิดขึ้นมากหลังเศรษฐกิจตกต่ำ</td></tr></tbody></table></td><td>
    </td></tr><tr><td height="144">
    </td><td valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--><tbody><tr><td height="144" valign="top" width="218">[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td>
    </td><td valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--><tbody><tr><td height="144" valign="top" width="218"><!--DWLayoutEmptyCell-->
    </td></tr></tbody></table></td><td>
    </td></tr><tr><td height="20">
    </td><td valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--><tbody><tr><td height="20" valign="top" width="218">คนจรจัดหรือคนไร้บ้านเป็นปัญหาของซาคราเมนโต้ เมืองหลวงของรัฐแคลิฟอร์เนีย พวกเขาอาศัยอยู่ในที่ดินของ SMUD ใกล้แม่น้ำอเมริกัน ชุมชนใหม่แห่งนี้รู้จักกันในนาม<o:p></o:p>
    Tent city in <st1:city><st1:place>Sacramento</st1:place></st1:city> (Photo by Anne Chadwick awilliams@sacbee.com )

    </td></tr></tbody></table></td><td>
    </td><td valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--><tbody><tr><td height="20" valign="top" width="218"><!--DWLayoutEmptyCell-->
    </td></tr></tbody></table></td><td>
    </td></tr><tr><td colspan="5" height="533" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><!--DWLayoutTable--><tbody><tr><td height="533" valign="top" width="592">----------------------------------------------คลิกที่รูปเพือดูรูปใหญ่------------------------------------------
    15สัญญาณสังคมอเมริกันล่มสลาย!
    <o:p></o:p>
    เว็บไซต์ www.alternet.org แม็กกาซีนออนไลน์ของสหรัฐ ได้เผยแพร่บทความน่าสนใจ หัวข้อ “15 สัญญาณบ่งชี้สังคมอเมริกัรกำลังจะแตกสลาย” เขียนโดนนายเดวิด เดโกรว ซึ่งระบุว่า กลุ่มคนที่ร่ำรวยทางเศรษฐกิจในสหรัฐ คือตัวการสำคัญในการทำร้ายสังคมอเมริกัน ซึ่งเริ่มแก้ไขได้ลำบากมากขึ้นทุกขณะ หลายคนอาจไม่ได้รับรู้เรื่องนี้จากสื่อกระแสหลัก แต่ผลการชีวัดทางสังคมสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ตัวชี้วัดดังกล่าวสามารถแยกออกเป็น 15 สัญญาณอันตราย ดังนี้ <o:p></o:p>
    1.ความไม่เสมอภาคและขาดสมดุลในด้านความมั่งคั่งของชาวสหรัฐ ได้พุ่งพรวดสูงขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ในปัจจุบันสหรัฐเป็นประเทศผู้นำทางอุตสาหกรรมที่ขาดสมดุลในด้านนี้สูงที่สุด ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ช่องว่างของจำนวนคนรวยและคนชั้นกลางคนจนได้แตกต่างมากขึ้นอย่างมาก<o:p></o:p>
    2.กรณีที่ตลาดหุ้นพุ่งสูงเกินกว่า 10,000 จุด ในเวลาอันรวดเร็วเพียง 13 เดือน ส่งผลให้ธนาคารยักษ์ใหญ่ 3 แห่งคว้าผลประโยชน์จากการจากผู้เสียภาษี และได้ประโยชน์อย่างมากจากการที่รัฐบาลสหรัฐตัดสินให้เงินช่วยเหลือแก่ธุรกิจที่ล้มเหลว ซึ่งธนาคารเหล่านี้ได้สร้างสถิติใหม่ทางเศรษฐศาสตร์ เพราะสามารถให้โบนัสพนักงานเป็นจำนวนเงินสูงถึง 30 พันล้านเหรียญ สูงกว่าปีที่ผ่านมาถึง 60 % <o:p></o:p>
    สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าโกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนากรอันดับหนึ่งของสหรัฐสามารถสร้างกำไรได้แล้วเพียงแค่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี แถมยังสามารถสำรองเงินชดเชยสำหรับการใช้จ่ายได้อีกถึง 16.7 พันล้านเหรียญโกลด์แมน แซคส์ จึงกลายเป็นวาณิชธนากร ที่สามารถขยับขยายและเติบโตได้ที่สุดในประวัติศาสตร์ <o:p></o:p>
    3.กำไรของกลุ่มคนที่ร่ำรวยถูกค้ำประกันจากผู้เสียภาษีตาดำๆ ในมูลค่าสูงถึง 23.7 แสนล้าน แสดงให้เห็นว่าขณะที่กลุ่มคนร่ำรวยไต่ขึ้นสูงไปเรื่อยๆ แต่ชนชั้นกลางกลับกำลังเริ่มล้มลง <o:p></o:p>
    4.คนทำงานในช่วงอายุระหว่าง 55 - 60 ปี ซึ่งทำงานมานานถึง 20 - 29 ปี ได้สูญเสียเงินในกองทุนเงินเก็บออมสำหรับใช้หลังเกษียณการทำงานโดยเฉลี่ย 25 % ขณะที่ในเวลาเดียวกัน ชาวอเมริกันที่ร่ำรวย 400 คนยังรวยขึ้นไปอีกถึง 30 พันล้านเหรียญ จากจุดนี้ทำให้คน 400 คนดังกล่าวมีทรัพย์สินรวมกันมากถึง 1.57 แสนล้านเหรียญ<o:p></o:p>
    5.จำนวนบ้านที่ถูกที่จำนองพุ่งสูงขึ้นสุดขึดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 โดยเริ่มย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ไตรมาสแรก เชื่อหรือไม่ว่า มีบ้านทั้งหมด 937,840 หลังที่ถูกจำนอง ขณะที่บ้านอีก 3.4 ล้านหลังมีโอกาสสูงมากที่จะถูกจำนองในช่วงปลายปีนี้ แถมนักวิเคราะห์ยังเชื่อว่า สำหรับปี 2553 เรื่องบ้านถูกจำนองจะแย่ลงไปกว่านี้อีก <o:p></o:p>
    นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐออกกฎหมายตั้งกองทุนสำหรับผู้เสียภาษี ในวงเงิน 75 พันล้านเหรียญ ซึ่งผลปรากฎออกมาว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง วัดได้จากจำนวนบ้านที่ถูกจำนอง ซึ่งพิสูจน์ชัดว่ากฎหมายดังกล่าวทำให้ต้องเสียเงินภาษีของประชาชนกว่าเป็นพันๆ ล้านเหรียญไปฟรีๆ<o:p></o:p>
    6.ประชาชนอเมริกันกว่า 25 ล้านคนไม่มีงานทำหรือได้ทำงานแบบไม่เต็มเวลา แสดงให้เห็นว่าสหรัฐมีประชาชน 25 ล้านคนที่ต้องการเพิ่มรายได้ แต่กลับไม่มีทางเลือก อัตราการว่างงานคาดว่าจะสูงขึ้นอีกในอนาคตและจะยังคงสูงต่อไปอีกหลายปี <o:p></o:p>
    7.ล่าสุดธนาคารสหรัฐถึง 123 แห่งล้มเหลวลงไปในปีนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ที่ผ่านมา ธนาคาร 3 แห่งซึ่งทางการระบุว่ามีความเข็มแข้งต้องปิดกิจการลง<o:p></o:p>
    8.การล้มละลายพุ่งทะลุความคาดหมาย รัฐ 10 แห่งร่อแร่ใกล้ล้มละลาย บางรัฐถึงขั้นประกาศว่าเกิดวิกฤตการเงิน รัฐแคลิฟอร์เนีย, อริโซน่า, ฟลอริดา, อิลลินอยส์, มิชิแกน, เนวาดา,นิว เจอร์ซีย์,โอเรกอน,โรด ไอส์แลนด์ และวิสคอนซิน กำลังตกอยู่ในวิกฤตทางเศรษฐกิจ ซึ่งต่างก็พยายามแก้ด้วยวิธีง่ายๆ อย่าง การขึ้นอัตราภาษีและการลดจำนวนเจ้าหน้าที่ของรัฐ<o:p></o:p>
    9.ทุกอย่างนี้อาจเกิดขึ้นจากใช้งบประมาณแบบขาดดุล จำนวน 1.4 แสนล้านเหรียญ ซึ่งนับกว่ามากกว่างบประมาณปีที่ผ่านมาหลายแสนเหรียญ สรุปแล้วสหรัฐมีหนี้สูงจำนวน 12 แสนล้านเหรียญเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หนี้จำนวนนี้เริ่มมากใกล้ถึงจุดจำกัดตามกฎหมาย(limited) ที่กำหนดไว้ที่ 12.104 แสนล้านเหรียญ หมายความว่าสภาคงต้องออกกฎหมายปรับเพดานลิมิตให้สูงขึ้น เพื่อให้รัฐบาลสามารถเดินหน้าทำงานต่อไปได้<o:p></o:p>
    10.แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามปรับแต่งตัวเลขความยากจนให้ดูต่ำจากความเป็นจริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประชาชน 47.4 ล้านคนต้องอยู่อย่างยากแค้น นอกจากนี้ จำนวนคนยากจนของสหรัฐยังมีอัตราสูงที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอุตสาหกรรมด้วยกัน คาดการณ์ได้เลยว่า จำนวนคนไร้บ้าน(Homeless)จะเพิ่มขึ้นอีกมาก อย่างเมื่อปีที่แล้วก็มีคนไร้บ้านมากถึง 3 ล้านคน<o:p></o:p>
    11.วิกฤตเศรษฐกิจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเด็กๆทั้งนี้ เฉลี่ยแล้วเด็กอเมริกันประมาณ 50 % ต้องใช้แสตมป์แลกอาหารประทังชีพ ความอดอยากเป็นสิ่งคุกคามสหรัฐตัวสำคัญ หนังสือพิมพ์นิว วอชิงตัน โพตส์ รายงานว่า วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ทำให้จำนวนชาวอเมริกัน ที่มีอาการบริโภคไม่เพียงพอเพิ่มขึ้น คิดไม่ถึงเลยจริงๆ มันเหมือนกับว่า เรากำลังอาศัยอยู่ในประเทศโลกที่สาม”<o:p></o:p>
    12.ปี 2552 (2009) จำนวนประชาชนสหรัฐ ที่ยากในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ เพิ่มขึ้นเป็น 46.3 ล้านคน ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการตกงานและไร้งานทำ<o:p></o:p>
    13.การที่ไม่มีเงินจ่ายประกันสุขภาพเป็นสาเหตุให้ประชาชนราว 45,000 คนต้องเสียชีวิตเมื่อปี 2551 มีรายงานข่าวระบุว่า 2 ใน 3 ของการล้มละลายเกิดจากค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ และแม้บางคนมีปัญญาจ่ายประกันสุขภาพ ก็ยังต้องเผชิญปัญหากับจำนวนเงินในกระเป๋า หากเจ็บป่วยจากโรคที่ร้ายแรง ขณะที่เด็กอีกกว่า 17,000 คนต้องเสียชีวิตลง เพราะขาดการดูแลทางการแพทย์ที่ดีพอ <o:p></o:p>
    14.อุตสาหกรรมผลิตปืนและลูกกระสุนในสหรัฐกลับโตขึ้นอย่างสวนทาง เห็นได้จากบริษัทขายสินค้าดังกล่าวกว่า 100 แห่ง ทำเงินได้หลายพันล้นเหรียญในเวลาเพียง 1 ปี สืบเนื่องจากความต้องการปืนและลูกกระสุนได้ทะยานขึ้นสูงมาก แต่บริษัทผู้ผลิตไม่สามารถผลิตสินค้าตอบสนองตลาดได้ทันเห็นได้ชัดเลยว่า ชาวอเมริกันกำลังติดอาวุธตัวเองกันยกใหญ่<o:p></o:p>
    15.เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา กลุ่มติดอาวุธหน้าใหม่ผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ดถึง 100 กลุ่ม ส่วนจำนวนสมาชิกในสังกัดนั้น มีมากกว่าอีกเป็น 2 เท่า ทางการเป็นกังวลกับปรากฎการณ์นี้มาก เจ้าหน้าที่รายหนึ่งเปิดเผยว่า การที่ทุกอย่างย่ำแย่ลงเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดกลุ่มติดอาวุธ อีกไม่นานหรอกเราจะได้เห็นความรุนแรงและการคุมคามไปทั่ว”<o:p></o:p>
    สรุปได้แล้วว่า ขณะนี้สหรัฐมีประชาชนกว่า 50 ล้านคนที่เงินขาดมือและต้องการเงินมากไม่มีประกันสุขภาพและไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าหมอหรือขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานใด ขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งมีคนรักที่เจ็บป่วยใกล้ตาย แต่ไม่ได้รับการรักษาหรือไม่ก็ตายไปแล้วเรียบร้อย <o:p></o:p>
    ขณะที่ประชาชนอีก 1 % ซึ่งเป็นคนรวยกลับมีความสุขจากวิกฤตครั้งนี้ ทั้งที่คนอีกหลายล้านทั้งจน หมดตัว กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด อยู่อยากอดๆ อยากๆ และติดอาวุธ แน่ใจได้เลยว่าเรากำลังจะได้เป็นพยานรู้เห็นความแตกสลายของสังคมสหรัฐ ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า !! (บทความแปลนี้คัดจากเว็บไซท์นสพ. มติชน รายวัน)....

    </td></tr></tbody></table>Apacnews.net</td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2010
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปีวัวสหรัฐเตรียมเตะฝุ่นอีก 2 ล้าน

    14 ม.ค. 2552

    <!-- ========================Attachment File===================================== --><!-- ========================Attachment File===================================== -->
    บริษัทวิจัย ระบุปีนี้คนตกงานในสหรัฐอาจพุ่งถึง 2 ล้านคน ขณะที่หลายประเทศเผชิญผลกระทบเศรษฐกิจตกต่ำกันถ้วนหน้า รอยเตอร์ส รายงานอ้างการเปิดเผยขององค์กรวิจัยคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ในสหรัฐ เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ว่า สหรัฐอาจต้องเผชิญกับภาวะการว่างงานเพิ่มขึ้นอีกถึง 2 ล้านคน ในปี 2552 นี้ หลังจากที่ดัชนีแนวโน้มการจ้างงานเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ได้ลดลงถึง 99.6% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี และเป็นการลดลงเดือนที่ 17 ติดต่อกัน
    “ดัชนีแนวโน้มการจ้างงานที่เลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า เราจะยังไม่ได้เห็นการ ฟื้นตัวของตลาดแรงงานในเร็วๆ นี้” แกด เลวานอน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด กล่าว
    ขณะเดียวกัน บลูมเบิร์กได้รายงานอ้างการคาดการณ์ของ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ 59 คนว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญกับการ หดตัวลง 1.5% ในปี 2552 นี้ ซึ่งเป็นการหดตัวลงมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนที่แล้ว 0.5% โดยจะเป็นการหดตัวลงในไตรมาสแรก 3% ก่อนจะหดตัวลงในอีก 3 ไตรมาสที่เหลือ 0.8%
    นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็ยังไม่อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหม่ได้ จนกว่าจะผ่านพ้นปี 2553
    นอกจากสภาพเศรษฐกิจในสหรัฐที่ยังไม่มีทีท่าฟื้นตัวแล้ว หลายประเทศยังต้องเผชิญกับผลกระทบจากภาวะขาลงไม่ต่างกัน อาทิ เกาหลีใต้ ซึ่งมีรายงานว่ามี นักวิทยาศาสตร์รายหนึ่งที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ ยังต้องตกงาน และต้องสมัครเป็นพนักงานกวาดถนน
    เอเอฟพี รายงานว่า ดอกเตอร์วัย 36 ปีรายนี้ ซึ่งระบุนามสกุลเพียงว่า คิม เป็นหนึ่งในผู้สมัครเป็นพนักงานกวาดถนนทั้งหมด 63 คน ในเขตกังเซียว ของกรุงโซล ซึ่งในจำนวนนี้ มีผู้สมัครถึง 11 คนที่จบการศึกษาระดับปริญญา
    อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า ดอกเตอร์คิม ก็ยังไม่ได้งานกวาดถนนครั้งนี้ เพราะไม่ผ่านเกณฑ์ด้านกายภาพ ที่ต้องแบกถุงทราย 2 ถุงไว้บนไหล่ ถุงละ 20 กิโลกรัม ไประหว่างการกวาดถนนด้วย
    ทั้งนี้ เงินเดือนของพนักงานกวาดถนนนั้นอยู่ที่เฉลี่ยเดือนละ 33 ล้านวอน (ราว 8.75 แสนบาท) ซึ่งมากกว่าเงินเดือนของเด็กจบใหม่ตามภาคธุรกิจต่างๆ พร้อมยังเป็นงานที่ปลอดภัย และสามารถทำได้จนถึงอายุ 60 ปี
    สำหรับในญี่ปุ่นนั้น มีรายงานว่าภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาลง อาจส่งผลให้จำนวนคนไร้บ้านในกรุงโตเกียว เพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่รัฐบาลคาดการณ์ว่า มีพนักงานชั่วคราวต้องตกงาน หรือกำลังจะตกงานภายในเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้นอีก 8.5 หมื่นคน เนื่องจากมีโรงงานและบริษัทหลายแห่งปิดตัวกันมากขึ้น
    สำหรับที่สิงคโปร์ มีรายงานว่า บทความชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ สเตรต ไทมส์ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่ฟู่ฟ่าของข้าราชการชั้นสูง กำลังทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม ถึงความเหมาะสมท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจฝืดเคืองในปัจจุบัน
    รอยเตอร์ส ระบุว่า ตันยงซุน ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงสิ่งแวดล้อม เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ว่า ได้ลางานเป็นเวลา 5 สัปดาห์ เพื่อพาภรรยาและบุตรชาย ไปเรียนทำอาหารที่โรงเรียน เลอ กอร์ดง เบลอ ในกรุงปารีส ฝรั่งเศส
    บทความดังกล่าวทำให้ชาวสิงคโปร์จำนวนมาก แลกเปลี่ยนความเห็นกันผ่านทางเว็บไซต์ โดยตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการ โอ้อวดเรื่องนี้ลงในหนังสือพิมพ์ของประเทศ กับการใช้เงินไปไม่ต่ำกว่า 4.6 หมื่นเหรียญสิงคโปร์ (ราว 1.08 ล้านบาท) ทั้งที่ทุกคนกำลังต่อสู้ดิ้นรนกับสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองลง



    ที่มา: http://www.posttoday.com
    Ausiris Gold Trading
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เมื่ออดีต"คนไร้บ้าน"กลายเป็น"ไก๊ด์" เมืองอูเทร็คท์...แดนกังหัน

    <!-- Main -->ต้องออกตัว ก่อน นะคะ ว่า ก๊อปปี้ มาจาก

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01fun03130952§ionid=0140&day=2009-09-13

    เห็นว่า น่าสนใจ เอามา เผยแพร่ เผื่อ ใคร อยู่ อาศัยในฮอลแลนด์ จะไปใช้ บริการ แม่ซานเดอร์ ไปแน่ ( แต่ ช้าหน่อย ) วันไหน ว่าง จะไป ตามทัวร์ แล้ว เอามาเล่า สู่กันฟัง .............ว่าแต่ ว่า สงสัยจัง ใคร ที่คลิกดู วัดป่า ที่อังกฤษ ดู ครบ ทั้ง 3 ตอน หรือ เปล่าคะ


    [​IMG]


    [​IMG]


    คอลัมน์ เรื่องไม่ธรรมดา

    โดย สุทธาสินี จิตรกรรมไทย


    หลายปีมานี้ในเมืองนอกเมืองนามีโปรแกรมทัวร์ที่ดูแล้วแปลกแหวกแนวอยู่หลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น "ทัวร์ดูผี" พาไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ร่ำลือกันว่าผีดุนักดุหนา ทั้ง ป่าช้า บ้านร้าง หรือปราสาทโบราณอายุหลายร้อยปี ให้ลูกทัวร์ได้อกสั่นขวัญผวาเล่น แถมบริษัททัวร์หัวใสบางแห่งถึงขั้นกล้ารับประกันด้วยว่า หากไม่เจอผี...ยินดีคืนเงิน!! หรือไม่ก็จัด "ทัวร์สลัม" พาเดินลัดเลาะเข้าไปในซอกเล็กซอกน้อยของสลัมเพื่อดูว่าชาวชุมชนแออัดเขาใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไร

    ที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้-สถานที่อาจไม่แหวกแนวเหมือนที่เล่ามา แต่พิเศษกว่าตรงที่ว่า "ไก๊ด์" ไม่ธรรมดา เพราะให้อดีต "คนไร้บ้าน" มาเป็นคนนำเที่ยว


    เมื่อ 8 ปีก่อน เมืองอูเทร็คท์ แห่งดินแดนกังหันลม...เนเธอร์แลนด์ มีคนไร้บ้านอยู่มากถึง 1,200 คน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงสร้างที่อยู่เพื่อให้คนไร้บ้านได้โยกย้ายเข้าไปอาศัย ปัจจุบันคนไร้บ้านในเมืองอูเทร็คท์จึงลดจำนวนลงเหลือเพียงราว 200 คน เท่านั้น

    แม้จะมีที่อยู่ให้อาศัยแล้วก็ตาม แต่ปัญหาที่ตามมาคือเรื่อง "งาน" เพราะหากไม่มีงานก็ไม่มีเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง องค์กรด้านสวัสดิการสังคม "อัลเทร็คท์" จึงสนับสนุนให้อดีตคนไร้บ้านได้ลองเป็นไก๊ด์นำเที่ยวเมือง

    โครงการนี้ให้อดีตคนไร้บ้าน 5 คน ได้เข้าอบรมหลักสูตรการเป็นไก๊ด์นำเที่ยวจากหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวโดยตรง เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมือง ฝึกฝนการนำชม และอีกหลายอย่างที่ไก๊ด์ควรรู้ เมื่อจบหลักสูตรแล้วก็ออกปฏิบัติงาน เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน เป็นต้นไป



    [​IMG]


    ทัวร์ที่มีไก๊ด์พิเศษๆ แบบนี้ใช้ชื่อว่า "อูเทร็คท์ อันเดอร์กราวนด์" ใช้เวลาพาเที่ยว 1 ชั่วโมง กับอีก 15 นาที ถ้าใครสนใจก็ควักกระเป๋าจ่ายสตางค์ 5 ยูโร (ราว 250 บาท) แล้วตะลอนทัวร์ไปกับไก๊ด์ได้เลย

    สถานที่ท่องเที่ยวที่ไก๊ด์พาไปคือแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อในย่านใจกลางเมือง ทั้งยังพาไปดูสถานที่ที่ครั้งหนึ่งไก๊ด์เคยใช้เป็น "บ้าน" นอนหลับพักผ่อน

    "อูเทร็คท์ อันเดอร์กราวนด์ เกิดขึ้นเพราะเราต้องการให้อดีตคนไร้บ้านได้พานักท่องเที่ยวชมสถานที่สำคัญๆ ของเมือง และชมที่ต่างๆ ที่พวกเขาเคยอาศัย ซึ่งอาจเป็นริมถนนเส้นนั้นเส้นนี้ หรือเป็นซอกตึกในย่านใจกลางเมือง

    "ถึงจะเป็นคนไร้บ้าน แต่พวกเขาก็เป็นประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของเมือง และการที่มีทัวร์แบบนี้ก็ช่วยฝึกพวกเขาให้เข้าสังคมได้ด้วยทางหนึ่ง"" ซีโมน เลนซิงค์ โฆษกของ "อัลเทร็คท์" บอก

    "ไอเดียเข้าท่าเอาการ"
    <!-- End main-->

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 13 กันยายน 2552


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    Bloggang.com :
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วิกฤตซับไพรม์ 3 ชั้นของอเมริกา 1) ตลาดสินเชื่อพังทลาย
    โดย เกษียร เตชะพีระ มติชนรายวัน วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10933

    [​IMG] เมื่อรายการข่าวโลกของสถานีวิทยุบีบีซีสอบถามถึงมูลเหตุของวิกฤตหนี้ซับไพรม์ในอเมริกาขณะนี้ อาจารย์เศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอเมริกันรายหนึ่งก็ให้สัมภาษณ์ฟันธงตอบเปรี้ยงว่า :-
    "ต้นตอของวิกฤตหนี้ซับไพรม์น่ะมันอยู่ที่วอลล์ สตรีทกับปักกิ่ง!"
    สายสนกลในของวิกฤตซับไพรม์โยงใยถึง "ปักกิ่ง" อย่างไรนั้น ผมขออนุญาตเก็บไว้เล่าตอนต่อๆ ไป สำหรับตอนนี้ ผมอยากโฟกัสที่ "วอลล์ สตรีท" ก่อน
    แน่ล่ะครับ "วอลล์ สตรีท" เป็นสัญลักษณ์แทนศูนย์อำนาจทุนการเงินการธนาคารในอเมริกาที่ตั้งอยู่ ณ มหานครนิวยอร์ก
    ในประเด็นนี้ โรเบิร์ต คุตเนอร์ นักหนังสือพิมพ์สายเศรษฐศาสตร์และการเงินที่คร่ำหวอด ผู้ก่อตั้งและร่วมเป็นบรรณาธิการนิตยสาร The American Prospect แนวเสรีนิยมก้าวหน้า และเคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวน ของคณะกรรมาธิการการธนาคารแห่งวุฒิสภา สหรัฐ ได้ขยายความไว้ในคำให้สัมภาษณ์แก่ Amy Goodman ในรายการวิทยุ Democracy Now เมื่อ 23 มกราคม ศกนี้ว่า
    "วิกฤตการเงินครั้งร้ายแรงที่สุดนับแต่เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (ปี ค.ศ.1929 ในอเมริกา) เป็นต้นมานี้... เป็นผลจากอุดมการณ์เอียงขวาและอำนาจการเมืองของวอลล์ สตรีท"
    ท่ามกลางสารพัดอาการป่วยเปลี้ยที่เร้ารุมสุมทับเศรษฐกิจอเมริกัน ไม่ว่าวิกฤตหนี้ซับไพรม์, ตลาดบ้านและที่อยู่อาศัยทรุดต่ำ, สัญญาณคนตกงานเพิ่มขึ้นขณะผู้บริโภคเขียมลง, อีกทั้งราคาน้ำมันยังสูงเป็นประวัติการณ์อีกนั้น.....
    มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 152,000 ล้าน US$ ของรัฐบาลบุชผู้ลูกกับรัฐสภาสหรัฐ (ปรับเพิ่มจากเดิมโดยวุฒิสภา) บวกการลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องถึง 1.25% จนลงมาเหลือ 3% ของธนาคารกลางสหรัฐ นับแต่ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา-ในสายตาประเมินของคุตเนอร์-ยังไม่ทันเริ่มที่จะพอด้วยซ้ำไป!
    [​IMG] [​IMG]
    เหตุเพราะคุตเนอร์วินิจฉัยว่าวิกฤตหนี้ซับไพรม์ครั้งนี้ต่างจากวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยครั้งก่อนๆ รวม 10 ครั้งในอเมริกานับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ตรงที่มันประกอบไปด้วยปัญหาใหญ่ทับซ้อนกันถึง 3 ชั้น ได้แก่: -
    1) ตลาดสินเชื่อพังทลาย
    2) ราคาบ้านและที่อยู่อาศัยตกดิ่ง
    3) ภาวะไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจเรื้อรังสั่งสมร่วม 30 ปีในหมู่คนชั้นกลางอเมริกัน
    1) ตลาดสินเชื่อพังทลาย
    วิกฤตหนี้ซับไพรม์เริ่มต้นและสำแดงอาการต่อเนื่องออกมาในรูปการพังทลายของตลาดสินเชื่อ และการพังทลายดังกล่าวก็เป็นผลมาจากการตัดตอนลดทอนกฎเกณฑ์ที่กำกับดูแลเศรษฐกิจการเงิน (deregulation) ตามอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่อย่างบ้าคลั่งขาดสติ
    ในแง่นี้ มันคล้ายสภาพตลาดการเงินอเมริกันสมัยคริสต์ทศวรรษที่ 1920 ตรงที่มีการเก็งกำไรและกู้ยืมเงินมือเติบเกินขนาด โดยธุรกรรมทางการเงินเหล่านี้ปราศจากความโปร่งใสอย่างสิ้นเชิง ฉะนั้นเอาเข้าจริงตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กำกับดูแล หรือสาธารณชนต่างก็ไม่รู้เลยว่าบรรดาหุ้นกู้ (bonds) ที่ธนาคารและสถาบันการเงินอเมริกันโดยเฉพาะแถววอลล์ สตรีทสร้างขึ้นมาจากสินเชื่อจำนองบ้านคุณภาพต่ำ (subprime mortgages) ซึ่งเอามาจัดหีบห่อมัดรวมเข้าด้วยกันใหม่ แล้วปล่อยขายให้ธนาคาร สถาบันการเงินและผู้ลงทุนนานาชาติเหล่านี้มันมีอะไรอยู่ข้างในบ้าง? มูลค่าแท้จริงเท่าไหร่? ทั้งนี้ก็เพราะพวกที่จัดหีบห่อมัดรวมสินเชื่อจำนองซับไพรม์เข้าด้วยกันเป็นหุ้นกู้นั้น ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของทางการแต่อย่างใด
    แล้วพอปรากฏชัดว่าหนี้สินเหล่านี้จำนวนมากจะกลายเป็นหนี้สูญ ไม่มีวันได้เงินคืน บรรดาหุ้นกู้และหลักทรัพย์ (securities) ที่อาศัยหุ้นกู้เหล่านั้นเป็นฐานอีกทีก็ค่อยๆ พังทลายลงมาเป็นชั้นๆ - เหมือนภาพตอนตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์โดนเครื่องบินพุ่งชนจนทรุดฮวบถล่มลงมาเป็นชั้นๆ หรือวงแชร์พีระมิด (แบบแชร์ของชาร์ลส์ พอนซี ในอเมริกาสมัยคริสต์ทศวรรษที่ 1920 หรือแชร์แม่ชม้อยและแชร์แม่นกแก้วของไทยสมัยพุทธทศวรรษที่ 2520) ทยอยร่วงล้มเป็นระนาวยังไงยังงั้น
    ในสภาพหนี้สูญเสียหายนับแสนล้านดอลลาร์เช่นนี้ ตลาดการเงินย่อมตกอยู่ในภาวะสินเชื่อหดตัวอย่างแรง เพราะธนาคารเหลือเงินทุนสำรองที่จะใช้เป็นฐานในการปล่อยกู้รายใหม่น้อยลง จำต้องเข้มงวดเงื่อนไขการกู้ยืมมากขึ้น สำหรับปัญหาแบบนี้ ลำพังการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐย่อมแก้ไขไม่ตก
    กลไกการปล่อยสินเชื่อจำนองบ้านแบบเดิม
    1) ธนาคารรับจำนองบ้านและปล่อยกู้
    2) ผู้ซื้อบ้านชำระเงินคืนธนาคาร
    กลไกการปล่อยสินเชื่อจำนองบ้านแบบซับไพรม์
    1) ธนาคารขายหุ้นกู้จำนองในตลาด
    2) ธนาคารรับจำนองบ้านและปล่อยกู้
    3) ผู้ซื้อบ้านชำระเงินคืนธนาคาร
    4) ธนาคารจ่ายเงินคืนผู้ถือหุ้นกู้จำนองอีกที
    เดิมที ธนาคารอเมริกันอาศัยเงินฝากจากลูกค้ามาปล่อยกู้รับจำนองบ้านกับลูกหนี้ วิธีการนี้ย่อมจำกัดปริมาณสินเชื่อจำนองบ้าน ที่ธนาคารจะสามารถปล่อยได้
    มาระยะหลังนี้ ธนาคารใช้รูปแบบวิธีการใหม่โดยเอาสินเชื่อจำนองไปขายต่อในตลาดหุ้นกู้ (bond markets) ทำให้หาเงินมาปล่อยกู้เพิ่มง่ายขึ้นมาก, เปรียบเสมือนธนาคารเปลี่ยนบทบาทเป็น "คนกลาง" ส่วนนักลงทุนนานาชาติผู้ถือหุ้นกู้กลายเป็น "เจ้าหนี้" ถือครองสินเชื่อจำนองเหล่านั้นไว้แทน
    แต่มันก็เปิดช่องให้เกิดการทุจริตฉ้อฉลด้วยเช่นกัน ในเมื่อธนาคารไม่มีแรงจูงใจที่จะตรวจสอบสินเชื่อจำนองบ้าน ที่ตนปล่อยอย่างรอบคอบรัดกุมดังก่อน และธุรกรรมการเงินของบริษัทในวอลล์ สตรีทก็ไม่ได้ถูกทางการสหรัฐ กำกับควบคุมเข้มงวดเหมือนอย่างธนาคาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตลาดการเงิน-หุ้นกู้-หลักทรัพย์ระดับโลก ที่ไร้การกำกับควบคุม
    ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ภาคเอกชนอเมริกันได้เข้าไปขยายบทบาทในตลาดหุ้นกู้จำนอง (mortgage bond market) เป็นการใหญ่ ซึ่งเดิมทีตลาดนี้จะถูกครอบงำโดยหน่วยงานที่รัฐบาลอุดหนุนอย่างเช่น Freddie Mac (ชื่อเต็มคือ Federal Home Loan and Mortgage Corporation)
    ธนาคารและสถาบันการเงินเอกชนเหล่านี้จะเน้นปล่อยกู้สินเชื่อจำนองบ้านรูปแบบใหม่ๆ อาทิ สินเชื่อคุณภาพต่ำ (subprime) ซึ่งปล่อยให้แก่ผู้กู้ยืมที่ประวัติการกู้ยืมไม่ดี, หลักฐานเอกสารรับรองรายได้ไม่หนักแน่นมั่นคง, จึงถูกผู้ให้กู้ชั้นหนึ่งอย่าง Freddie Mac ปฏิเสธคำขอกู้ยืม; หรือสินเชื่อจำนองขนาด "จัมโบ้" สำหรับทรัพย์สินมูลค่าเกิน 417,000 US$ อันเป็นเพดานที่ Freddie Mac รับจำนองได้
    ปรากฏว่าธุรกิจดังกล่าวทำกำไรให้ธนาคารมหาศาลในรูปค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากสินเชื่อจำนองทุกอันที่ขายต่อได้ ธนาคารจึงไปกระตุ้นบรรดานายหน้าจัดจำนองให้เอาสินเชื่อจำนองบ้านโดยเฉพาะแบบซับไพรม์ไปขายให้บริษัทในวอลล์ สตรีทมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อจัดหีบห่อมัดรวมกันแปลงเป็นหลักทรัพย์ (securitization or the pooling of mortgages) ปล่อยขายในตลาดหุ้นกู้จำนองอีกที
    จนปัจจุบัน ตลาดหุ้นกู้จำนองมีมูลค่าสูงถึง 6 ล้านล้าน US$ และเป็นภาคส่วนใหญ่โตที่สุดในตลาดพันธบัตร/หุ้นกู้อเมริกันทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่ารวม 27 ล้านล้าน US$ เรียกว่าใหญ่กว่าตลาดพันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐด้วยซ้ำไป
    ผลจากวิกฤตหนี้ซับไพรม์ทำให้สินเชื่อเอกชนหดตัวอย่างแรง ธนาคารพากันเข้มงวดมาตรฐานการปล่อยกู้รัดกุมยิ่งขึ้น เช่น ปฏิเสธคำขอเครดิตการ์ดมากขึ้น, เรียกเงินฝากประเดิมก้อนใหญ่ขึ้นเพื่อเปิดบัญชีผ่อนบ้านจำนองกับธนาคาร, ตรวจสอบคำขอกู้ยืมหนี้ส่วนบุคคลละเอียดถี่ถ้วนขึ้น เป็นต้น
    หน้า 6
    <HR>วิกฤตซับไพรม์ 3 ชั้นของอเมริกา ราคาบ้านตก-คนชั้นกลางไม่มั่นคง
    โดย เกษียร เตชะพีระ มติชนรายวัน วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10940
    [​IMG]
    ตามการวิเคราะห์ของ โรเบิร์ต คุตเนอร์ นักหนังสือพิมพ์คร่ำหวอดสายเศรษฐศาสตร์และการเงินอเมริกัน ผู้ได้ไปให้การเรื่องวิกฤตซับไพรม์ปัจจุบันเปรียบเทียบกับวิกฤตเศรษฐกิจการเงินตกต่ำ ปี ค.ศ.1929 ของอเมริกา ต่อคณะกรรมการบริการทางการเงิน สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เมื่อ 2 ตุลาคม ศกก่อน (ดู Robert Kuttner, "1929 Redux : Heading for a Crash?", AlterNet, October 11, 2007) วิกฤตซับไพรม์ 3 ชั้นของอเมริกาครั้งนี้ นอกจากประกอบไปด้วยอาการ 1) ตลาดสินเชื่อพังทลายแล้ว ยังมี 2) ราคาบ้านและที่อยู่อาศัยตกดิ่ง และ 3) ภาวะไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจเรื้อรังสั่งสมร่วม 30 ปี ในหมู่คนชั้นกลางอเมริกัน ด้วย
    2)ราคาบ้านและที่อยู่อาศัยตกดิ่ง
    ผลกระทบต่อเนื่องสำคัญอย่างหนึ่งของวิกฤตหนี้ซับไพรม์คือ ราคาบ้านและที่อยู่อาศัยในอเมริกาตกดิ่ง
    จากภาวะราคาบ้านและที่อยู่อาศัยถีบตัวขึ้นสูงผิดปกติช่วงฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ระหว่างปี ค.ศ.2004-2006 คาดว่าราคาบ้านและที่อยู่อาศัยซึ่งโป่งพองเกินขนาดเหล่านี้จะกลับฟุบแฟบลงมาสู่ระดับแนวโน้มปกติในระยะสองสามปีข้างหน้า
    นั่นหมายความว่า เบ็ดเสร็จแล้วราคาจริงของบ้านและที่อยู่อาศัยจะตกต่ำลงมาราว 40% (คิดรวมอัตราเงินเฟ้อ) หรือเกือบ 30% ในราคาตามตัวเลข ขณะนี้ราคาบ้านและที่อยู่อาศัยในอเมริกาตกลงมาจวนจะถึง 10% แล้ว เราจึงอาจจะเห็นราคาตามตัวเลขของมันตกดิ่งลงไปอีกกว่า 20% (ตามการประเมินของ Dean Baker นักเศรษฐศาสตร์มหภาค และผู้อำนวยการร่วมของ Center for Economic and Policy Research ณ Washington, DC ใน "The Beat the Press Weekly Roundup", CEPR, 11 February 2008 - ดูแผนภูมิด้านล่างประกอบ)
    [​IMG]
    แนวโน้มราคาบ้านในอเมริกา (ค.ศ.1998-2008)
    ราคาบ้านขึ้นลงในแต่ละปีคิดเป็นร้อยละ
    1Q = ไตรมาสที่ 1, 3Q = ไตรมาสที่ 3 ของปี, ตัวเลขสุดท้ายเป็นคาดการณ์สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2008
    ที่มา : Center for Responsible Lending
    แนวโน้มฟองสบู่แตกราคาบ้านตกเช่นนี้ แปลว่าคนอเมริกันที่เป็นเจ้าของบ้านซึ่งมีอยู่ราว 70% ของประชากรทั้งหมด จะสูญเสียมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่มีอยู่ไป 2.2 ล้านล้าน US$
    แน่นอนว่า เมื่อจู่ๆ บ้านช่องทรัพย์สินที่สู้อุตส่าห์อดออมเก็บหอมรอมริบหามาไว้อย่างลำบากแสนเข็ญเลือดตาแทบกระเด็น มันดันลดค่าไปเสียเฉยๆ ตั้ง 2.2 ล้านล้าน US$ ชาวอเมริกันย่อมชะงักมือลังเลที่จะล้วงกระเป๋าควักแบงก์หรือเครดิต การ์ดออกมารูดปื๊ดๆ ดำเนินแผนการใช้จ่ายบริโภคประดามีที่วางไว้ ไม่ว่าซ่อมแซมต่อเติมบ้าน, ถอยรถ, ถอยทีวีจอแบน, ตู้เย็น, สเตอริโอ, คอมพิวเตอร์, มือถือเครื่องใหม่ ฯลฯ
    นั่นก็คือผู้บริโภคสูญเสียความมั่นใจ -การบริโภคหดตัว ตลาดชะงักงัน -บริษัทห้างร้านปรับลดการผลิตและการลงทุนตาม -ปลดโละลูกจ้างคนงาน -ยิ่งซ้ำเติมให้ผู้บริโภคสูญเสียความมั่นใจหนักขึ้น -การบริโภคยิ่งหดตัว ฯลฯลฯลฯลฯ
    เป็นวงจรอุบาทว์ของเศรษฐกิจถดถอยวนเวียนไปอย่างนี้
    3)คนชั้นกลางไม่มั่นคง
    สภาพเงื่อนไขอันสั่นคลอนเปราะบางที่ทำให้วิกฤตหนี้ซับไพรม์ครั้งนี้หนักหนาสาหัสเป็นพิเศษ เกิดจากแนวนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ที่เน้นด้านอุปทานการผลิต (neo-liberalism, supply-side economics) ที่รัฐบาลทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครตดำเนินสืบต่อกันร่วม 30 ปี เริ่มตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ แห่งพรรคเดโมแครต (ค.ศ.1977-81) และมาเข้มข้นจริงจังเป็นระบบในสมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน แห่งพรรครีพับลิกัน (ค.ศ.1981-89) เป็นต้นมา
    มันส่งผลลัพธ์โดยรวมให้ชีวิตสามัญชนชาวอเมริกันไม่มั่นคงและคลอนแคลนสุ่มเสี่ยงยิ่งขึ้นในด้านต่างๆ นานัปการ ไม่ว่าเสี่ยงตกงานยิ่งขึ้น, เสี่ยงว่ารายได้เงินเดือนขยับขึ้นไม่ทันอัตราเงินเฟ้อ, ราคาพลังงานแพงขึ้น, ค่าเล่าเรียนแพงขึ้น, เบี้ยประกันสุขภาพสูงขึ้น ฯลฯ
    พูดง่ายๆ ก็คือสรรพสารพันเสาค้ำยันหลักพักพิงทางเศรษฐกิจสังคมที่ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากเหยียบหยั่งไต่เต้าขึ้นเป็น "คนชั้นกลาง" ได้และมีชีวิตที่มั่นคงสุขสบายตามสมควรในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง กลับมีอันเอื้อมหยิบไขว่คว้าไม่ถึงหรือถึงด้วยความยากลำบากสาหัสสากรรจ์ขึ้นทุกทีในช่วง 30 ปีหลังนี้
    เมื่อมาถูกซ้ำเติมถมทับด้วยวิกฤตหนี้ซับไพรม์ ก็ง่ายที่ฐานชีวิตเศรษฐกิจของพวกเขาจะหักพัง พลอยพาให้คนชั้นกลางอเมริกันอันเป็นกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ ที่มีฐานะสำคัญทางยุทธศาสตร์ในเศรษฐกิจโลก ร่วงรูดตกฐานะชนชั้นอย่างหนักหน่วงเป็นพิเศษและฟื้นตัวคืนฐานะยากยิ่งเป็นทวีคูณ
    งานเขียนที่สะท้อนฐานะตกต่ำไม่มั่นคงของคนชั้นกลางอเมริกันดังกล่าวข้างต้นได้ดียิ่งเล่มหนึ่งคือ Bait and Switch : The (Futile) Pursuit of the American Dream (ค.ศ.2005) โดยบาบาร์รา เอห์เรนไรช์ นักหนังสือพิมพ์และนักเคลื่อนไหวหัวก้าวหน้าชื่อดังชาวอเมริกัน ผู้จบปริญญาเอกทางชีววิทยา แต่หันมาเอาดีทางหนังสือพิมพ์แทน เธอมีงานเขียนตีพิมพ์บ่อยครั้งในสื่อสิ่งพิมพ์ชั้นนำไม่ว่า The New York Times, Harpers, Time, The Progressive เป็นต้น
    หนังสือเล่มเด่นของเธอก่อนหน้านี้ได้แก่ Nickel and Dimed : On (Not) Getting By in America (ค.ศ.2001) ซึ่งแปลเป็นไทยโดย ดาหาชาดา และตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชนภายใต้ชื่อ คำให้การของคนเปื้อนเหงื่อ (พ.ศ.2549) ครั้งนั้นเอห์เรนไรช์ถอดคราบนักหนังสือพิมพ์ ปลอมตัวแปลงโฉมเป็นคนงานหญิงไร้ฝีมือค่าแรงต่ำ (6-8 US$/ชั่วโมง) เร่ร่อนหางานทำจากมลรัฐฟลอริดาไปเมนและมินนิโซตา เพื่อล้วงลึกโฉมหน้าชีวิตที่แท้จริงของคนจนคนชั้นล่างอเมริกัน เธอรับงานสารพัดตั้งแต่สาวเสิร์ฟ, สาวใช้ในโรงแรม, พนักงานทำความสะอาด, ผู้ช่วยในสถานพักฟื้นคนชรา, เสมียนขายของห้างวอล-มาร์ท และพบว่าทั้งที่ตัวเองอยู่ในสภาพเงื่อนไขค่อนข้างดีกว่าคนจนอเมริกันทั่วไปคือ ผิวขาว มีการศึกษา สุขภาพแข็งแรง ไม่มีลูกเต้าห่วงหน้าพะวงหลัง แต่กระนั้นก็ยังหาเงินได้แค่เดือนชนเดือนแทบไม่พอยาไส้
    มาเที่ยวนี้เพื่อสืบค้นสภาพชีวิตคนชั้นกลางอเมริกันที่ทำงานออฟฟิศกินเงินเดือนหรือที่เรียกว่าคนงาน "ปกคอขาว" บ้าง เธอก็ปลอมตัวอีกครั้งเป็นสาวใหญ่นักวิชาชีพวัยกลางคนออกเที่ยวหาสมัครงานเป็นพนักงานประชาสัมพันธ์ตามบรรษัทใหญ่น้อยต่างๆ แล้วเอห์เรนไรช์ก็พบว่า :-
    - คนชั้นกลางอเมริกันกำลังตกงานขนานใหญ่ เนื่องจากบรรษัทเอกชนทั้งหลายพากันหาทางลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มกำไรผ่านการตัดลดคนงานด้วยมาตรการลดขนาด, ปรับลดคนงาน, จ้างเหมาภายนอก (downsized, laid off, outsourced) หรือไม่ก็บีบพนักงานเก่าให้ลาออกจะได้จ้างพนักงานหนุ่มสาวที่กินเงินเดือนต่ำกว่ามาแทน เหล่านี้ส่งผลให้หางานทำยากมาก ทุกๆ ปีมีคนถูกเลิกจ้างราว 1 ล้านคนและในบรรดาคนอเมริกันที่ตกงานระยะยาวนั้น มีถึง 44% ที่เป็นคนงานปกคอขาว
    - คนชั้นกลางอเมริกันที่พยายามมุมานะฟันฝ่าไต่เต้าสร้างฐานะอาชีพไปตามขั้นตอนกฎกติกา เช่น เข้าเรียนมหาวิทยาลัย, ซื่อสัตย์ภักดีกับนายจ้าง ฯลฯ กลับมักจะลงเอยในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว อาทิ บางคนถูกบริษัทเลิกจ้างแล้วหางานใหม่ไม่ได้นานหลายเดือนจนขาดส่งค่าเช่า ค่าผ่อนและถูกยึดบ้าน หรือไล่ออกจากที่พักกลายเป็นคนไร้บ้าน, บ้างถูกหมอตรวจพบว่าเป็นโรคร้ายแรง ค่ารักษาแพงหูฉี่แต่ตัวเองไม่มีประกันสุขภาพ เป็นต้น ทั้งที่พวกเขาเหล่านี้มีปริญญาตรีหรือกระทั่งปริญญาโทติดตัว แต่มันไม่ช่วยอะไรเลย สุดท้ายก็ตกหล่มกลายเป็นประชากรยากจนไป
    - ส่วนเอห์เรนไรช์เองนั้น ใช้วิธีสารพัดตั้งแต่สมัครงานทางอินเตอร์เน็ต, ไปจ้างโค้ชฝึกอบรมอาชีพ, แปลงรูปโฉมโนมพรรณเสื้อผ้าท่าทางเสียใหม่ให้ดูสอดรับกับบุคลิกแบบ "บรรษัท" ขึ้น, ไปร่วมงานกิจกรรมสังสรรค์ต่างๆ เพื่อแนะนำตัว แจกนามบัตร ทำความรู้จัก สร้างเครือข่ายเสาะหางาน ฯลฯ
    - เธอพบว่าเอาเข้าจริงบรรษัทเอกชนทั้งหลายไม่ค่อยสนใจทักษะหรือประสบการณ์ของผู้สมัครเท่าไหร่ หากเน้นแต่บุคลิกภาพ (มองโลกแง่บวก, อวดเก่ง, คึกคักกระตือรือร้น, น่าคบหา), ส่วนโค้ชฝึกอบรมอาชีพก็จะล้างสมองคนหางานว่า จะหางานได้หรือไม่ได้, สำเร็จหรือล้มเหลว, ทั้งหมดขึ้นอยู่กับทัศนคติ (attitude) ของตัวเอง อย่าไปมัวโทษเศรษฐกิจไม่ดี หรือด่าว่านายจ้างงี่เง่าอยู่เลย
    - สุดท้าย 10 เดือนผ่านไป เอห์เรนไรช์ได้งานมา 2 ตำแหน่ง: -
    1) พนักงานขายประกันสุขภาพเสริมของบริษัท Aflac ไม่มีเงินเดือน ไม่มีประกันสุขภาพให้, ได้แต่ค่าคอมมิสชั่นเมื่อขายประกันได้ และต้องควักเนื้อตัวเองลงทุนล่วงหน้าอีก 2,000 US$ ก่อน เพื่อให้ได้ใบอนุญาตนายหน้าค้าประกันมา
    2) พนักงานขายตรงเครื่องสำอางของบริษัท Mary Kay Cosmetics ก็ไม่มีเงินเดือน ไม่มีสิทธิประโยชน์ ไม่มีประกันความมั่นคงใดๆ ทั้งสิ้นเช่นกัน
    ความจริงก็คือ มีคนอเมริกัน 13 ล้านคน ทำงานขายตรงในสภาพเช่นนี้ และกว่าครึ่งทำรายได้ต่ำกว่า 10,000 US$ ต่อปี (เดือนละไม่ถึง 1,000 US$)
    คนชั้นกลางอเมริกันจำนวนไม่น้อยส่ายหน้าไม่อยากทำงานแบบนี้ แต่หลังจากตกงานอยู่อีกหลายเดือน หมดทางเลือก ก็ต้องกัดฟันกลืนเลือด บากหน้าเข้าร้านฟาสต์ฟู้ดหรือห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านและรับจ้างทำงานเก็บถ้วยล้างชาม กดเครื่องเก็บเงินถูส้วมทิ้งขยะ ฯลฯ ชั่วโมงละ 6-8 US$ ไป
    หน้า 6
     
  20. a-pin-ya

    a-pin-ya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +672
    ทางรอดต้องออกจากระบบทุนนิยม หนี้สิน
    หันมาใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงจริง ๆ

    การตั้งราคาซื้อขายแผ่นดิน ก็เหมือนซื้อขายพระเครื่องมันเปนบาป
    แผ่นดินไม่ใช่ของ ๆ ใคร คนใดคนหนึ่ง ดันเอามาออกโฉนด ปั่นราคาขายกัน
    เมื่อใดที่มีการซื้อขายแผ่นดิน..ในไม่ช้าแผ่นดินก็จะเกิดพิบัติภัย

    สมมติว่าแผ่นดินไม่มีการออกโฉนด
    แต่อนุญาติให้มาอยู่อาศัย ทำกินได้ชั่วชีวิต
    ทุกครอบครัวสามารถครอบครองที่ดินทำกินได้ตามขนาดที่จัดสรรให้
    อาจขึ้นกับสมาชิกครอบครัว
    ทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อที่ดินเลย..เสียแต่ค่าสร้างบ้านแค่นั้น..
    หรืออาจใช้บ้านเก่าจากคนรุ่นก่อนก็ได้
    ..ค่าครองชีพจะถูกลงมาก
    เมื่อต้องการย้ายจังหวัด หรือตายไปก็คืนที่ดินทำกินให้หลวง

    เขตอุตสาหกรรม ก็ถูกแบ่งแยกออกจาก เขตเกษตรกรรม
    และไม่ต้องซื้อที่ดินสร้างโรงงานเช่นกัน อาจเสียค่าเช่าบ้าง ให้แก่รัฐบาล

    เขตเมืองก็จะเป็นสถานที่ตั้งของสำนักงาน ร้านค้าต่าง ๆ
    ชานเมืองก็จะเป็นเขตที่อยู่อาศัย
    การวางผังเมือง จะสามารถทำได้ง่าย ไม่ต้องเวนคืนที่ดิน
    ทำให้การใช้ที่ดินมีประสิทธิภาพสูงสุด
    บ้านเมืองสวยงามปานเมืองพรหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...