เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ธนูปักเข่า ของเขาแรงเจงๆ ฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง อิอิ:cool:
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อิสราเอล : เด็กเจ้าพ่อขี้เบ่ง
    แปลจากเรื่อง "U.S. Aid to Israel: Interpreting the 'Strategic Relationship"'
    เขียนโดย Stephen Zunes แปลโดย Shaffi

    (16 มกราคม 2009)



    “ความช่วยเหลือมากมายต่ออิสราเอลที่สหรัฐมอบให้ ไม่เหมือนกับความช่วยที่สหรัฐมอบให้ประเทศอื่นๆ” คือคำกล่าวของ สตีเฟน ซูนส์ ผู้ช่วยศาตราจารย์ประจำโครงการการเมือง-สันติภาพและความยุติธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก ที่กล่าวไว้ในการนำเสนอผลการศึกษาในหัวข้อ “การช่วยเหลือด้านต่างประเทศต่ออิสราเอล” ศาตราจารย์ซุนส์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า “การช่วยเหลือของสหรัฐแบบทางตรงเป็นปริมาณเงินมหาศาลมากที่สุด มากกว่าความช่วยเหลือใดๆที่สหรัฐเคยให้กับประเทศอื่น”

    ศาตราจารย์ซูนส์ ศึกษาและพยายามค้นหาว่าอะไรคือเหตุผลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ความช่วยเหลือนี้ และค้นพบว่า ความช่วยเหลือของรัฐบาลสหรัฐ กับความต้องการของอุตสาหกรรมผลิตอาวุธ เป็นไปในทางเดียวกัน ซุรส์กล่าวว่า “นี่เป็นความต้องการของพ่อค้าอาวุธอเมริกัน” และบทบาทของ “การที่อิสราเอลเป็นตัวเล่นสำคัญ เพื่อผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐในตะวันออกกลาง”

    แม้ว่าอิสราเอล จะเป็นประเทศที่อาจกล่าวได้ว่า “เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้า ด้วยเทคโนโลยีระดับสูง” แต่ “เกือบทั้งหมดได้มาจากความช่วยเหลือของสหรัฐที่ช่วยให้อิสราเอลมี GDP. สูงกว่าประเทศอาหรับหลายประเทศรวมกันเสียอีก” ประมารการกันว่าปริมาณความช่วยเหลือต่ออิสราเอลนี้ คิดเป็นสัดส่วนมากถึงหนึ่งในสามของเงินงบประมาณเพื่อความช่วยเหลือทั้งหมดที่กระทรวงการต่างประเทศได้รับ “..แม้ว่าอิสราเอลจะมีประชากรแค่ 1 ใน 1,000 ของจำนวนประการโลก แต่ประชากรอิสราเอลก็ถูกจัดว่าเป็นผู้มีรายได้ต่อหังสูงติดอันดับต้นๆของโลก”

    รัฐบาลสหรัฐแย้งว่าเงินช่วยเหลือเหล่านี้ เป็นความจำเป็นทางด้าน “ศีลธรรม” บางทีก็อ้างว่าอิสราเอลคือ “สงครามเพื่อพิทักษ์ค่านิยมประชาธิปไตยให้อยู่รอด” (สหรัฐชอบใช้อ้างนี้เพื่อแสดงตนว่าเป็นผู้นำในเรื่องค่านิยมประชาธิปไตย และทำหน้าที่พิทักษ์รักษา ขยายพันธุ์ประชาธิปไตยแบบอเมริกันนี้ไปในพื้นที่ที่ไม่มีประชาธิปไตย เช่น ตะวันออกกลาง สหรัฐอ้างว่ารัฐอิสราเอลจะเป็นหัวหอกที่นำประชาธิปไตยไปเบ่งบานในตะวันออกกลาง จึงใช้เหตุผลนี้อ้างต่อรัฐสภาและขอเงินมาให้อิสราเอลได้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งรัฐอิวในปี 1948-:ผู้แปล) ถ้าเหตุผลพวกนี้เป็นความจริง ปริมาณเงินช่วยเหลือก็น่าจะเริ่มจากปริมาณมากในตอนช่วงต้น แล้วค่อยๆลดลงๆไปเรื่อยๆ ขณะที่อิสราเอลก็ควรแข็งแรงขึ้นทุกทีๆ และยืนด้วยขาตัวเองได้ ในที่สุด..”แต่มันกลับตรงกันข้าม” ศาสตราจารย์ซูนส์ ชี้ต่อไปว่า “99% ของความช่วยเหลือที่สหรัฐให้อิสราเอล เกิดขึ้นหลัง ปี 1967 (หลังสงคราม 6 วัน กับฝ่ายอาหรับ ที่มีผลให้ดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมกตกอยู่ในความครองครองของอิสราเอล) อิสราเอลเอาเงินที่เป็นความช่วยเหลือทั้งหมดไปใช้จ่ายในการทำสงคราม และสร้างแสนยานุภาพทางการทหารให้ตัวเอง ให้เหนือกว่า ให้ได้เปรียบกว่า ฝ่ายอาหรับ

    สหรัฐหนุนหลังอิสราเอลเพื่อให้อิสราเอลมีสภาพเป็น “รัฐที่ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์อเมริกันในภูมิภาคตะวันออกกลาง” “อิสราเอลทำหน้าที่คอยทำลายล้างเครือข่ายหรือองค์กรเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีแนวคิดชาติ(อาหรับ)นิยม” และให้ตะวันออกกลาง “เป็นสนามทดสอบประสิทธิภาพอาวุธที่ผลิตจากสหรัฐ” ยิ่งไปกว่านั้นหน่วยสือบราชการลับของทั้งสองฝ่ายยังทำงาน “ร่วมกันเป็นเครือข่าย” และ “อิสราเอลยังทำหน้าที่เป็นนายหน้าค้าและนำส่งอาวุธสหรัฐไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งกฎหมายสหรัฐไม่อนุญาตให้ขายอาวุธให้ประเทศเหล่านั้นได้โดยตรง..เช่น อัฟริกาใต้ กลุ่มกบฎในประเทศต่างๆที่สหรัฐหนุนหลัง รวมทั้งอิหร่าน (ดังที่เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวกรณี อิหร่านคอนทร้า โดยมีพันโทโอลิเวอร์ น๊อต ผู้ประสานงานและตกเป็นเหยื่อที่ตายแทนนักการเมืองในทำเนียบขาว -:ผู้แปล) ศาสตราจารย์ซูนส์อ้างคำพูดนักวิเคราะ์การเมืองอิสราเอลที่กล่าวว่า “อิสราเอลที่แท้ก็ทำตัวเหมือนกับเป็นอีกหน่วยงานหนึ่ง หรือเป็นกระทรวงหนึ่งของรัฐบาลอเมริกันรัฐบาลสหรัฐสามารถใช้อิสราเอลเป็นช่องทางเพื่อกระทำการใดๆที่เป็นความลับ หรือแม้แต่เพื่อหลบเลี่ยงกฏหมายของสหรัฐ เพราะใช้อิสราเอลทำเรื่องเงียบกว่า” แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับประเทศอาหรับในกลุ่มอ่าวเปอร์เซียจะกระซับมั่นคงขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ก็ตาม แต่ว่ารัฐเหล่านี้ “มีเสถียรภาพทางการเมื่องไม่มั่นคง ยังมีความอ่อนด้อยทางเทคโนโลยี ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่ถูกฝึกฝนมาอย่างชำนาญการในการใช้อาวุธของสหรัฐ” เทียบเท่าอิสราเอลได้เลย

    แมตตี้ เพเลด อดีตนายทหารและสมาชิกสภาคเน็ตเซ็ตของอิสราเอล เคยกล่าวกับศาสตราจารย์ซูนส์ว่า ตัวเขาเองและบรรดานายพลคนอื่นๆของอิสราเอล เชื่อว่าความช่วยเหลือของสหรัฐ “น้อยมากเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่กลับไปอยู่ในกระเป๋าของนักอึตสาหกรรมอาวุธสหรัฐ” ลองคิดดู งบประมาณความช่วยเหลือที่สหรัฐให้อิสราเอลส่วนใหญ่ก็เอากลับไปซื้ออาวุธของสหรัฐ ยิ่งไปกว่านั้นการผลิตอาวุธส่งให้อิสราเอล ก็ยิ่งไปสร้างกระตุ้นความต้องการอาวุธแก่บรรดาชาติอาหรับเพิ่มขึ้น (เพื่อสร้างสมดุลทางอำนาจ-:ผู้แปล) ดังที่ศาตราจารย์ซูนส์ ให้เหตุผลว่า “อิสราเอลประกาศว่าจะให้การสนับสนุนแนวคิด ที่จะให้มีการคงกำลังและปริมาณอาวุธในภูมิภาคตะวันออกกลาง ประกาศไปไม่นานสหรัฐก็โดดออกมาปฏิเสธแนวคิดนี้ทันที”

    ช่วงฤดูใบไม้ร่วงในปี 1993 กลุ่ม 78 วุฒิสมาชิกอเมริกัน ที่เรียกกลุ่มของตัวเองว่า “กลุ่มสันติภาพ 78” ได้ยื่นบันทึกต่อ อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ที่ยืนกรานว่า สหรัฐยังต้องคงความช่วยเหลืออิสราเอลต่อไป “ในระดับเท่าเดิม” เหตุผลเดียวของกลุ่มสันติภาพคือ “ปริมาณการสั่งซื้ออาวุธมหาศาลจากชาติอาหรับที่เพิ่มขึ้น” บันทึกของกลุ่มสันติภาพ 78 อ้างว่า 80% ของอาวุธที่อาหรับครอบครองมาจากสหรัฐ ศาตราจารย์ซูนส์กล่าวว่า “ผมไม่ปฏิเสธอำนาจของคณะกรรมาธิการ AIPAC - American Israel Public Affairs ซึ่งเต็มไปปด้วยนักล๊อบบี้เพื่อผลประโยชน์อิสราเอล” และกลุ่มที่คล้ายๆกันกลุ่มอื่นๆ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เต็มไปด้วยเล่กระเท่ การสมรู้ร่วมคิด

    “มีชาวอิสราเอลที่เห็นเหมือนๆกันมากขึ้น ที่ชี้ว่าเงินช่วยเหลือเหล่านี้ไม่ใช่ผลประโยชน์สูงสุดต่อชาวอิสราเอล” เปเล็ต อดีตสมาชิกสภาอิสราเอลกล่าวว่า “ความช่วยเหลือของสหรัฐเป็นตัวผลักดันให้อิสราเอลต้องเล่นบทผู้ร้ายตลอดไป อิสราเอลจะไม่พยายามเดินหน้าสู่กระบวนการสันติภาพ” ยิ่งไปกว่านั้น เงินที่สหรัฐให้มาทุกดิลล่าห์ที่สหรัฐส่งมาในรูปของอาวุธยุทโธปกรณ์ อิสราเอลต้องจ่ายเพิ่มอีกสองถึงสามดอลล่าห์เพื่อเป็นค่าฝึกฝนเพื่อใช้อาวุธเหล่านั้น หรือเพื่อซ่อมบำรุง ค่าอะไหล่ และเงินช่วยเหลือด้านอื่นๆที่แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักยังบอกว่า “การทำเช่นนี้เป็นสิ่งอันตรายต่ออนาคตทางเศรษฐกิจของอิสราเอล”

    หนังสือพิมพ์อิสราเอล เยเดียต อะฮาโรน๊อต อธิบายภาพของอิสราเอลว่าเป็นเสมือน “เด็กของเจ้าพ่อ” (Godfather’s messenger) อิสราเอลคอย “ทำงานสกปรก” แทนเจ้าพ่อที่ วันๆเอาแต่่สร้างภาพลักษณ์ที่ดูดี “หลอกให้คนอื่นเห็นว่าเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ที่น่าเคารพนับถือ”

    นักพูดตลกเสียดสีชาวยิว ชื่อนาย บี. มิชเชล ใช้มุขเงินช่วยของสหรัฐ พูดตลกว่า

    “เจ้านายของผมให้ผมกินอาหารแล้วคอยสั่งว่าให้ผมไปกัด ใครก็ได้ตามที่เจ้านายบอกให้ไปกัด ซึ่งวิธีนี้แหละ ที่เรียกกันเท่ๆว่า ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ ...”

     
  3. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    อิสราเอล แปลว่า ผู้ที่ปล้ำสู้กับพระเจ้า

    พระคัมภีร์ไบเบิลได้บรรยายถึงเหตุการณ์ดังกล่าวเอาไว้ว่า… "ยาโคปอยู่ที่นั่นแต่ผู้เดียว มีบุรุษผู้หนึ่งมาปล้ำกับเขาจนเวลารุ่งสาง เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นว่าจะเอาชนะยาโคปไม่ได้ ก็ถูกต้องที่ข้อต่อตะโพกของยาโคปขณะที่ปล้ำสู้กัน ข้อต่อสะโพกของยาโคปก็เคล็ด บุรุษผู้นั้นจึงว่า ปล่อยเราไปเถิดเพราะใกล้สว่างแล้ว แต่ยาโคปบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า บุรุษผู้นั้นจึงถามยาโคปว่า เจ้าชื่ออะไร ยาโคปจึงตอบว่า ข้าพเจ้าชื่อยาโคป บุรุษนั้นจึงว่า เขาจะไม่เรียกเจ้าว่ายาโคปต่อไป แต่จะเรียกว่า…อิสราเอล..เพราะเจ้าสู้กับพระเจ้าและมนุษย์และได้ชัยชนะ…”
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ฝรั่งเกลียดยิว..
    ตอน ยิว..หน้าตาเป็นยังไง..?
    โดย Shaffi

    (17 มกราคม 2009)

    สงสัยกันหรือไม่ว่าคน “ยิว” หน้าตาเป็นอย่างไร
    คนส่วนมากคิดว่า ยิวหน้าตาเหมือนฝรั่ง เพราะเห็นยิวในข่าวเป็นยิวหน้าฝรั่ง และรูปพระเยซู(ซึ่งเป็นคนยิว) เห็นที่ไหนเมื่อไหร่ ก็ป็นพระเยซูที่หน้าเป็นฝรั่ง เพราะฝรั่งเป็นคนเขียนภาพพระเยซู จึงเป็นฝรั่ง คนรุ่นหลัง หรือคนในวัฒนธรรมอื่นเลยคิดว่า เลยคิดว่ายิวคือฝรั่ง

    จริงๆแล้ว ยิวหน้าตาเป็นอย่างไร คนที่เคยเห็นคนยิว(แท้ๆ) ก็ไม่มีชีวิตอยู่มาบอกเล่าให้เรารู้ได้ แต่ที่แน่ๆ คือ ยิวหน้าไม่เหมือนฝรั่ง เพราะยิวไม่ใช่ฝรั่ง รูปพระเยซูที่ฝรั่งเขียนมั่วๆให้มีหน้าตาเป็นฝรั่ง ก็เพราะ ฝรั่งเกลียดยิว และไม่อยากให้เยซูหน้าเหมือนพวกที่ตัวเองเกลียดชังทั้งที่พระเยซูก็มีเชื้อชาติยิว (ฝรั่งเชื่อว่าเพราะยิวทรยศพระเยซูจึงถูกโรมันฆ่าตาย) ...พระเยซูจึงอาจเป็นยิวคนเดียวในโลกที่ฝรั่งอยากให้มีหน้าตาเหมือนตัวเอง

    นักมานุษยวิทยายืนยันว่า ยิวมีหน้าตาเหมือนอาหรับมากกว่าเหมือนฝรั่ง ซึ่งมันก็ควรเป็นอย่างนั้น เพราะอาหรับกับยิวมีบรรพบุรุษร่วมกัน บรรพบุรุษพวกยิวคือ อิสหาก (ยิวเรียกไอแซ็ก) กับ อิสมาอีล บรรพบุรุษชาวอาหรับ เป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน คือ อิบรอฮีม[1] (ยิวเรียกอับราฮัม) อิสฮาก(หรือไอแซ๊ค) บุตรอิบรอฮีม(หรืออับราฮัม) เป็นบิดาของยะอฺกู๊บ[2] (ยิวเรียกยะโกโบ ฝรั่งเรียกว่าเจค็อบ และรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า อิสรออีล ซึ่งเป็นบิดาแห่งชนชาติยิว) จะแปลกตรงไหน ถ้ายิวกับอาหรับจะมีหน้าตาเหมือนกัน

    แต่เรื่องนี้ยิวยอมไม่ได้ ยิวไม่ยอมลดตัวเองลงไปเป็นพี่น้องกับอาหรับ อย่างแน่นอน อาหรับที่ยิวมองว่าป่าเถื่อนล้าหลัง เลือดไม่บริสุทธิ์เหมือนยิว แรบไบหรือพระยิว อ้างคำสอนจาก โตรา (”คัมภีร์เตารอต” ที่ยิวเรียกว่า-โตรา) ว่าอิบรอฮีม(อบราฮัม) มีบุตรชายคนเดียวคือ อิสหาก(ไอแซ๊ค) บิดาของยะอฺกู๊บ หรือยาโกโบ หรืออิสรออีล ซึ่งเป็นต้นตระกูลยิว ดังนั้นเตารอต หรือโตรา ฉบับนักบวช จึงทำความเป็นพี่น้องของยิวกับอาหรับขาดสะบั้นลง แต่ความจริงก็คือความจริง DNA ของยิวกับอาหรับมาจากที่เดียวกัน ยิวกับอาหรับก็ควรจะมีหน้าตาคล้ายกัน ไม่ว่ายิวและอาหรับจะชอบหรือเกลียดกันแค่ไหนยิวกับอาหรับก็มาจากสายเลือดเดียวดัน คำถามก็คือ ทำไมยิวทุกวันนี้มีหน้าตาเป็นฝรั่งเป็นอย่างนี้ก็เพราะยิวไประเห็ดไปอยู่ในยุโรป ไปผสมกับฝรั่งยุโรปจนหน้าตากลายเป็นฝรั่งไปหมดน่ะสิ

    หลังยุคพระเยซู จักรพรรดิ์จัสติเนียนแห่งโรมัน เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสเตียน และสร้างอาณาจักรคริสเตียนไบแซนไทน์ขึ้น มีศูนย์กลางอำนาจและศาสนจักรที่คอน สแตนติโนเปิล เมืองต่างๆในปาเลสไตน์ที่โรมันเคยครอบครอง และเคยเกี่ยวข้องกับพระเยซู กลายเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของคริสเตียนไปโดยปริยายเมืองต่างๆเหล่านี้ เช่น เมืองนาซาเร็ธ เมืองเบ็ธเลเฮม และนครเยรูซาเล็ม เมื่อคริสเตียนแผ่ซ่านไปทั่วดินแดนที่ยิวเคยอยู่ ยิวจึงตกเป็นจำเลยของคริสเตียนในข้อหาร้ายแรง คือ คบคิดกันฆ่าศาสดา ได้แก่ ศาสดายะหฺยา(คริสเตียนเรียกจอห์น เดอะแบ็บไทส์) และข้อหาหนักที่สุด จนทำให้ยิวต้องบ้านแตกก็คือยิวส่งพระเยซูให้ทหารโรมัน (ตามที่ฝรั่งคริสเตียนศรัทธาว่าพระเบซูตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ แต่อิสลามให้สถานะพระเยซูว่าเป็นศาสดาคนสำคัญคนหนึ่ง)

    เมื่อยิวไปอยู่ในยุโรป กระจัดกระจายไปทั่ว ยิวผสมเลือดกับฝรั่งยุโรป จนหน้าตา ชื่อ นามสกุลเปลี่ยนเป็นฝรั่ง ชุมชนยิวในยุโรปที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในยุโรปตะวันออก เช่น ที่กลางกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ (จนมีถนนสายธุรกิจที่สำคัญที่สุดในนครวอร์ซอ ชื่อ ถนนเยรูซาเล็ม มาจนถึงทุกวันนี้) โปแลนด์เป็นที่ตั้งค่ายกักกันยิวใหญ่ที่สุดที่นาซีสร้างขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คือที่ค่ายเอ้าซ์วิซส์ และ ค่ายบริ๊กคะนาวด์ ที่ กรุงปร้าก เมืองหลวงของสาธารณรัฐเชค มีสุสานยิวโบราณอายุหลายร้อยปีอยู่ใจกลางเมือง ที่ฮังการีก็เป็นชุมชนใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของยิว ณ ชุมชนยิวในบูดาเปส นครหลวงของฮังการีนี่เอง ที่ต่อมาได้ให้กำเนิดเด็กชายชาวยิวที่ชื่อ ธีโอดอร์ เฮิร์ซ เฮิร์ซในวัยหนุ่มเริ่มการเป็นนักกฎหมายและนักหนังสือพิมพ์ ที่ต่อสู้และเป็นปากเสียงให้ยิว เฮิร์ซเขียนบทความเรื่อง Juden Stat [หรือ The Jewish State ในภาษาอังกฤษ] เผยแพร่ไปในชุมชนยิวทั่วยุโรป Jewish State นอกจากจะบรรยายถึง ความกดดัน ความทุกข์จากการถูกฝรั่งยุโรปกดขี่ ดูถูก ดูหมิ่น เหยียดหยันและเกลียดชัง ยังได้กระตุ้นให้ชาวยิวในยุโรปแสวงหารัฐเป็นที่ตั้งประเทศของชาวยิวเอง เฮิร์ซกล่าวว่าฝรั่งคริสเตียนในยุโรปริษยาพระเจ้าของยิว ริษยาเชื้อชาติอันสูงส่งของยิว และเกลียดชังยิวเพราะยิวมีฐานะที่ดีกว่าฝรั่งคริสเตียน บทความของเฮิร์ซต่อมาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้กลุ่มชาวยิวที่มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจรวมกันจัดตั้งเป็นสมาคมแห่งลัทธิไซออนิสต์ และเฮิร์ซได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งลัทธิไซออนิสต์ สมาคมไซออนิสต์มีการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งในเมืองบาเซิล ประเทศสวิสเซอร์แลนด์เมื่อ ปี ค.ศ.1887

    ชุมชนยิวในยุโรป เติบโตขึ้นท่ามกลางสังคมอันแปลกแยกทั้งทางวัฒนธรรม ศาสนา ประเพณี เชื้อชาติ และค่านิยมของฝรั่งยุโรป ฝรั่งคริสเตียนในยุโรปแสดงความเกลียดชัง ดูถูกดูหมิ่นยิว ออกนอกหน้า ไม่ต้องปิดบัง ต้นปี ค.ศ.1938 ไม่นานหลังจากพรรคนาซีเพิ่งได้รับเลือกตั้งเข้ามามีอำนาจในสาธารณรัฐเยอรมัน นาซีประกาศใช้นโยบายแบ่งแยกเชื้อชาติทันที ร้านอาหาร โรงแรม และสถานที่ราชการหลายแห่งติดป้าย “ห้ามสุนัขและยิวเข้า” เหตุการณ์สำคัญที่อาจถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นการกวาดล้างยิวครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรป เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.1938 ได้เกิดกรณีสังหารหมู่ยิวเป็นครั้งแรกขึ้นที่ Kristallnacht โดยฝีมือนาซีเยอรมัน เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำกรุงปารีสชื่อ Ernst vom Rath ถูกลอบสังหารเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.1938 โดยฝีมือเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี เลือดผสมยิวโปแลนด์ ที่มีชื่อว่า Herschel Grynszpan เนื่องมาจากความโกรธแค้นที่เขาและครอบครัวชาวยิวเลือดโปแลนด์หลายพันครอบครัวที่อาศัยในเยอรมัน ถูกนาซีผลักดันให้ออกนอกประเทศ ภายในเวลา 48 ชั่วโมงหลังเหตุการณ์หนุ่มยิวลอบสังหารนักการทูตเยอรมัน นาซีได้สั่งให้ปฏิบัติการตอบโต้ต่อชุมชนยิวในเยอรมัน เหตุการณ์รุนแรงดำเนินไป 2 วัน ผลปรากฏว่าโบสถ์ยิวถูกทำลายไป 267 แห่ง ร้านค้าและธุรกิจของชาวยิวถูกทำลายไปกว่า 7,000 แห่ง ยิว 91 คนถูกสังหาร

    ทูตเยอรมันหนึ่งศพ แลกกับยิว 91 ศพ นี่ไม่ใช่การตอบโต้กันตามปกติ แต่นี่คือปฏิกิริยาของความเกลียดชัง ที่เปลี่ยนเป็นการทำลายล้าง ที่นาซีแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบังเป็นครั้งแรก ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ บรรดาหนังสือพิมพ์ในยุโรปเวลานั้นกลับแสดงทัศนะที่เป็นกลางต่อกรณีการสังหารหมู่ยิวที่ Kristallnacht แม้ว่าหนังสือพิมพ์ยุโรปส่วนใหญ่เรียกร้องให้แสดงความเห็นอกเห็นใจชาวยิว แต่ก็กลับไม่ตำหนิการกระทำของนาซี และไม่ให้ความสำคัญของข่าว โดยใช้วิธีพาดหัวข่าวแบบกลางๆ มีบทความที่เรียกร้องให้มีการสอบสวนกรณีที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความรุนแรงของเหตุการณ์ จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อตรวจสอบการนำเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ชั้นนำในยุโรปในระหว่างปี ค.ศ.1899 ถึงปี ค.ศ.1939 จากการรวบรวมข้อมูลของ The American Jewish Year Book ชี้ให้เห็นว่า ก่อนเหตุการณ์สังหารหมู่ยิวที่เรียกว่า Holocaust นั้น กระแสการต่อต้านยิว หรือ Anti-Semitism นั้น ได้ลุกโหม แพร่กระจายไปในความคิดของฝรั่งคริสเตียนชาวยุโรปมากเพียงใด โดยเฉพาะในหมู่ปัญญาชนและนักคิดนักเขียนยุโรป ที่สะท้อนออกมาทางหน้าหนังสือพิมพ์ดังๆอย่าง La Peti Parisien และ La De’peche de Toulouse ของฝรั่งเศส Muenchner Neueste Nachrichten ของเยอรมัน หรือแม้แต่ Daily Mail ของอังกฤษเอง ที่เป็นกระจกสะท้อนความรู้สึกของฝรั่งยุโรปที่มีต่อยิวในเวลานั้นได้ดีที่สุด

    เมื่อครั้งที่ “ลมเปลี่ยนทิศ” หรือ Wind of Change เพิ่งพัดมาได้ไม่นาน ยุโรปตะวันออกเปลี่ยนจากสังคมนิยม เป็นประชาธิปไตย ผู้เขียนได้มีโอกาสไปประเทศโปแลนด์ ผู้เขียนไปชมค่ายกักกันยิวที่ Auschwitz ซึ่งเป็นหนึ่งในสองค่ายใหญ่ที่สุด ได้เห็นเส้นผมสีทองกองอยู่ที่พื้นห้อง มันกองสูงท่วมหัว ผู้นำชมแจ้งว่าเส้นผมเหล่านี้นาซีกล้อนมาจากศรีษะชาวยิวในค่ายกักกัน นาซีเอาเส้นผมของยิว
    ไปทอเป็นเครื่องแบบทหารนาซี... !

    ทำไมฝรั่งคริสเตียนในยุโรปสมัยนั้น จึงเกลียดชังยิว ฝรั่งอิจฉาริษยาพระเจ้าของยิว ริษยาความร่ำรวยของยิว ริษยาในความมีชาติกำเนิดที่สูงส่งกว่าของยิว...ดังที่ ธีโอดอร์ เฮิร์ซ เขียนไว้ในหนังสือ The Jewish State จริงหรือไม่...สงสัย..ต้องคุยกันอีกยาว

    -----------------------------------------------------------
    เชิงอรรถ
    [1] ดูอัล-กุรอาน ซูเราะฮฺ (บท) อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะห์ (วรรค) ที่ 132-133
    [2] ดูอัล-กุรอาน ซูเราะฮฺ (บท) ฮูด อายะห์ (วรรค) ที่ 71; ซูเราะฮฺ
    ยูซุฟ อายะห์ที่ 5; ซูเราะฮฺอัลอัมบิยาอฺ อายะห์ ที่ 71-72

    [​IMG]
    ด้วยความอยากรู้ว่าหน้าตาชาวยิว ในสมัยโบราณเป็นอย่างไร ก็เลยไปค้นหามา

    Forensic reconstruction: Typical 1st-century Jewish Face

    จากเว็บ
    http://www.netzarim.co.il/Museum/Sukkah08/Sukkah08.htm
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ฝรั่งเกลียดยิว
    ตอน ...สอนหมาให้พูด
    โดย : Shaffi

    เรื่องเล่าที่มีตัวละครเป็นยิวมีมากมายไม่แพ้ชนชาติใดในโลก ส่วนมากหากไม่เป็นเรื่องความเฉลียวฉลาดเหนือใครก็เป็นความขี้โกงแบบสุดๆของคนยิว แต่กระนั้น ผู้เล่าเรื่องที่เป็นฝรั่ง มักแอบแฝงความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามยิวไว้ในเรื่องเล่าเหล่านั้นเสมอ

    คำถามเรื่องสันติภาพยิว-ปาเลสไตน์ ยังคงเป็นคำถามร่วมสมัยที่ไม่มีวันจืดจาง นานมาแล้วที่ชาวยิวนั้นมักจะเข้าใจและพูดกัน ด้วยวลีที่กล่าวว่า “Landlord or his dog” แปลเป็นไทยว่า “ไม่เจ้าของที่ดิน ก็หมาของมัน (แหละวะ)” เอ๊ะเป็นยังไงชักงงๆ..
    เรื่องเล่านี้มีที่มาอย่างนี้ครับ

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 รัสเซียยุคของซาร์นิโคลัสที่ 2 ทางการรัสเซีย ใช้นโยบายแบ่งแยกและกดขี่ยิวอย่างหนัก ตาเฒ่าเจ้าของที่ดินชาวรัสเซียคนหนึ่งคิดอุบายอย่างแยบยลที่เชื่อว่าหากยิวได้ยินจะต้องตาลีตาเหลือกรีบเผ่นของจากที่ดินของตนเองอย่างแน่นอน แล้วตาเฒ่าจะได้ฮุบที่ดินคนยิวมาเป็นของตัว เจ้าของที่ดินจึงเรียกหนุ่มยิวไปพบ เจ้าของที่ดินรัสเซียนบอกแก่หนุ่มยิวนั้นว่า “แกต้องออกจากที่ดินของแกไม่เช่นนั้นฉันจะฆ่าแก” ตาเฒ่าพูดแล้วแกล้งทำเงียบเพื่อสังเกตปฏิกริยา หนุ่มยิวยังคงยืนฟังนิ่ง เจ้าของที่ดินรัสเซียจึงกล่าวต่อไป “เว้นเสียแต่ว่า....แกจะสอนให้หมาของฉันพูดภาษายิดดิชของพวกแกได้” (ยิดดิช-ภาษายิวโบราณที่ใช้ในคัมภีร์ยิว) “หากแกสอนหมาให้พูดภาษายิดดิชไม่ได้...ฉันจะฆ่าแก” ตาเฒ่ารัสเซียสำทับไล่หลังหนุ่มยิว หนุ่มยิวไม่ว่าอะไร บอกขอกลับไปคิดดูก่อน และหันหลังกลับบ้านทันที ถึงบ้านก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ภรรยาฟัง ภรรยาได้ฟังก็ปล่อยโฮออกมา บ่นว่าบัดนี้เราคงถูกพวกรัสเซียฆ่าตายแหงๆ.. ใครที่ไหนจะไปสอนให้หมาพูดได้ แต่สามียิวไม่ว่าอะไร

    วันรุ่งขึ้นหนุ่มยิวก็กลับไปหาตาเฒ่ารัสเซีย ขณะที่ภรรยาเอาแต่ร้องไห้คิดว่าชาตินี้คงไม่ได้พบหน้าสามีอีกแล้ว แต่ไม่นานสามียิวก็เดินกลับบ้านหน้าตาเฉย ภรรยาถามว่าตอบตาเฒ่ารัสเซียนไปว่าอย่างไร สามียิวบอกว่า ก็ตอบตกลงตาเฒ่ารัสเซียนไปว่าจะสอนหมาของเขาให้พูดภาษายิดดิชให้ ฝ่ายภรรยาได้ยินดังนั้นก็ร้องลั่นว่า “อ้ายบ้า..ใครที่ไหนในโลกจะสอนให้หมาพูดภาษาคนได้” สามียิวตอบภรรยาว่า “ก็แหงล่ะสิ..! เพราะงั้นข้าถึงได้รับปากตาเฒ่าว่าจะสอนหมาของแกให้พูดให้ได้ แต่ต้องขอเวลาข้า 5 ปี นะ..ถึงตอนนั้น ไม่ตาเฒ่านั่น..หรือไม่ก็หมา ต้องมีใครตายไปก่อนข้างหนึ่งละวะ”

    เรื่องเล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวยิว..แผ่นดินของชาวปาเลสไตน์ ...จะรบก็รบกันไป ที่ตายก็ตายไป แต่ยิวจะไม่ไปไหน จะขออยู่บนแผ่นดินคนอื่นไปอย่างนี้แหละ ถ้ายึดได้ก็จะยึด ยึดไม่ได้ก็คาราคาซังไว้อย่างนี้แหละ มีแรงก็เจรจากันไป เบื่อก็รบกัน ยังไงเสียยิวก็ตายและสูญเสียน้อยกว่าอาหรับอยู่แล้ว และดูเหมือนโลกก็อยากให้เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ ถึงได้แต่ยืนดูตาปริบๆ ... ผู้นำยิวทุกคน ก็ไม่ต่างกับหนุ่มยิวในเรื่องเล่าข้างต้นนั้นหรอก รอจนกว่าเจ้าของที่ดินตายหมดประเทศไป เดี๋ยวก็ได้ประเทศมาครอบครองในที่สุด

    ยิวต้องการสันติภาพจริงหรือไม่ ทำไมยิวเลือกที่จะ “ซื้อเวลาไปเรื่อยๆ” เวลานี้เจ้าของที่ดินก็ตายไปอีกหนึ่งละ (ยะซิรฺ อารอฟัต อดีตผู้นำ PLO) เจ้าของแผ่นดินชาวปาเลสไตน์จะต้องตายไปอักสักกี่มากน้อย กว่าจะสอนหมาให้เห่าเป็นภาษาสันติภาพได้ ...

     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สหรัฐยัดเงินใส่กระเป๋าอิสราเอล เรื่องที่คนอเมริกันไม่รู้...
    (จากเว็บไซต์ If American Know) เขียนโดย Tom Malthaner ผู้สื่อข่าว-คอลัมนิสต์ นักเขียน Shaffi แปล

    (16 มกราคม 2009)

    เมื่อเช้านี้ขณะที่ผมกำลังเดินอยู่บนถนนชุฮาดา ในเมืองเฮบรอน ในเขตเวสต์แบ็งค์ ปาเลสไตน์ ผมสังเกตเห็นว่าตามร้านค้า และผ้าใบชายคาร้านรวงต่างๆบนถนน ที่ถูกทาสีสวยงามเอาไว้ใหม่ๆ ถูกละเลงสีเลอะเทอะจากพวกมือบอนที่แอบมาเขียน Graffiti จนเลอะเทอะไปหมด ที่จริงแล้วกำหนดเวลาในการปรับปรุงถนนชุฮาดาแห่งนี้ ควรจะเสร็จไปตั้งแต่เมื่อสามเดือนที่แล้ว แต่เอาเข้าจริงเพิ่งมาเสร็จเอาวันนี้ หัวหน้าโครงการปรับปรุงถนนเล่าให้ผมฟังว่า เหตุที่ทำให้งานล่าช้าและงบบานปลาย ก็เพราะมีคนมาคอยก่อกวน จนต้องทำแล้วทำอีกหลายรอบ พวกก่อกวนพวกนี้มาจากนิคมชาวยิวในตำบลบีธ-ฮาดาซซาฮ์ เมืองเฮบรอน พวกก่อกวนจากนิคมชาวยิวทุบตีสัญญาณไฟจราจร ตีหลอดไฟฟ้าส่องสว่างตามถนนจนแตกใช้การไม่ได้ บางทีก็แอบเข้ามาขว้างก้อนอิฐก้อนหินใส่คนงานที่กำลังทำงาน ยิงหนังสะติ๊กใส่กระจกหน้ารถเกรดถนน พวกยิวที่มาก่อกวน แกะเอาแผ่นพื้นปูทางเท้าที่ปูเสร็จแล้วออกมาทุบจนหักเสียหาย แล้วก็เอาสีไปทาไปป้ายหน้าร้านค้า และผ้าใบชายคาของชาวปาเลสไตน์ จนเลอะเทอะ พวกชาวอิสราเอลจากนิคมชาวยิวไม่ชอบถนนสายนี้ ไม่อยากให้ถนนสายนี้เสร็จ พวกเขาไม่ต้องการมัน เพราะถนนชุฮาดาจะทำให้ชาวปาเลสไตน์สัญจรไปมาได้อย่างสะดวกสบาย ถนนชุฮาดาเป็นโครงการก่อสร้างปรับปรุงให้เป็นไปตามแผนสันติภาพออสโลว์ (ปี 2002) และสนับสนุนงบประมาณโดย US Aid Fund หรือกองทุนเพื่อความช่วยเหลือของสหรัฐ ผมรู้สึกโกรธมากที่รู้ว่า เงินภาษีของผม ที่นำมาช่วยสร้างถนนในปาเลสไตน์ ถูกผลาญไปด้วยน้ำมือชาวยิวจากนิคมที่มาคอยก่อกวน เพียงเพราะเกลียดอาหรับและไม่อยากให้พวกอาหรับมีความเป็นอยู่ดีขึ้น

    ชาวอเมริกันส่วนมากไม่รู้หรอกว่าเงินมากมายจากภาษีของพวกเราที่รัฐบาลเก็บไปนั้น ถูกนำไปส่งต่อให้อิสราเอล มาดูตัวเลขกันสักหน่อย.. ปี งบประมาณ 1997 สิ้นสุดเมื่อ 30 กันยายน ยอดรวมงบประมาณที่สหรัฐให้แก่อิสราเองคือ 6.72 พันล้านเหรียญ ในเงินก้อนนี้ 6.194 พันล้านเหรียญ เป็นเงินที่จัดสรรจากงบประมาณโดยตรง อีก 526 ล้านเหรียญ จัดสรรมาจากหน่วยงานของรัฐ เช่น กระทรวงการค้า กลาโหม เงินช่วยฟรีๆ 6.72 พันล้านเหรียญที่สหรัฐให้อิสราเอล ไม่นับวงเงินกู้ และวงเงินค้ำประกันเงินกู้ให้อิสราเอล ที่รวมแล้วเป็นสูงค่าถึง 3.122 พันล้านเหรียญ ตัวเลขนี้ยังไม่นับรวมมาตรการจูงใจทางการเงิน เมื่อองค์กรเอกชนใดประสงค์จะบริจาคเงินสนับสนุนอิสราเอลก็สามารถได้รับการลดหย่อนภาษีในอัตราพิเศษ (คาดกันว่ายอดรวมเงินบริจาคที่มีมาตรการจูงใจในรูปแบบนี้ ทำให้รายได้จากภาษีที่รัฐควรเก็บได้นั้น หดหายไปเป็นเงินสูงถึง 1 พันล้านเหรียญ)

    เมื่อรวมทุกยอดเข้าด้วยกัน เงินช่วยแบบให้เปล่า เงินกู้ วงเงินค้ำประกันเงินกู้ ส่วนลดภาษีบริจาคที่หายไปจากระบบรายได้ ในปีงบประมาณ ปี 1997 รัฐบาลสหรัฐเอาเงินจากผู้เสียภาษีชาวอเมริกันไปมอบให้อิสราเอลเป็นเงินสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญ (350,000 ล้านบาท คิดเป็นประมาณร้อยละ 25 ของงบประมาณแผ่นดินของประเทศไทย -:ผู้แปล)

    นับตั้งแต่ปี 1949 สหรัฐให้เงินอิสราเอลไปแล้วรวมทั้งสิ้น 83.205 พันล้านเหรียญ รวมกับดอกผลที่อิสราเอลได้รับจากเงินภาษีของคนอเริกัน อีก 49.937 พันล้านเหรียญ ดังนั้นยอดรวมของเงินทั้งหมดที่อิสราเอลได้จากสหรัฐมาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศในปี 1949 เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 133.132 พันล้านเหรีญ (133,132 ล้านเหรียญ เกือบเท่ากับงบประมาณทั้งปีของประเทศไทย)

    ผมรู้สึกโกรธมาก เมื่อได้เห็นภาพถนนชุฮาดา ในเมืองเฮบรอน ที่กำลังปรับปรุงให้ใช้การได้ จากเงินภาษีเพียงเล็กน้อย แต่กลับถูกพวกอิสราเอล (ซึ่งเอาเงินภาษีประชาชนอเมริกันไปแล้วมากมายตั้งแต่เมื่อ 60 ปีที่แล้ว และต่อไปในอนาคต) มาเที่ยวทำลายของที่ต้องใช้เงินภาษีของผมจ่ายไป ผมรู้สึกโกรธรัฐบาลของผมที่เอาเงินภาษีของคนอเมริกัน 10,000 ล้านเหรียญ ไปให้อิสราเอลเพื่อทำให้อิสราเอลเฟื่องฟูรุ่งเรืองขึ้น มากกว่าประเทศใดๆในโลก อิสราเอลเอาเงินไปสร้างกองทัพที่มีอำนาจ มีอานุภาพน่ากลัว เพียงเพื่อจะเอาอำนาจนั้นไปใช้กดขี่ คุกคาม ทำลายล้างปาเลสไตน์ ด้วยความเหี้ยมโหดทารุณ

     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิว-สหรัฐ..ใครพ่อ ใครลูก..?
    รายละเอียดต่อไปนี้ ผมไม่ได้เขียนเอง..แต่แปลมาจากเว็บไซต์ของ AIPAC หรือ The American Israel Public Affair Committee ซึ่งเป็นองค์กรจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายสหรัฐ มีหน้าที่ล็อบบี้ทุกเรื่องเพื่อผลประโยชน์อิสราเอล โดยอ้างว่ารักษาผลประโยชน์ของสหรัฐในตะวันออกกลางด้วย องค์กรนี้เขาทำอะไร ไม่ได้ปิดบังใคร ไม่ได้ปิดไม่ให้สื่อรู้ สื่อน่ะรู้ดีที่สุดว่า AIPAC ทำอะไร รู้ดีเท่ากับคนในทำเนียบขาว เท่ากับคนในเพนตากอน ในแคปิตอลฮิลล์ ในกระทรวงการต่างประเทศ AIPAC กับคนในห้องรูปไข่ที่ทำเนียบขาวเขารู้เขาเห็นกันตลอดเวลา เพื่อให้เข้าใจว่าโลกนี้มันเป็นโรงละครแห่งมายาแค่ไหน เพื่อให้เข้าใจว่าสันติภาพปาเลสไตน์มันเลือนลางแค่ไหน เพื่อให้เห็นภาพความจริงว่าสหรัฐอยู่ข้างใคร กำลังเล่นเกมอะไรอยู่ และทำไมอิสราเอลยังทำผิดกฎหมายโดยไม่มีใครกล้าโวยวาย...ใครบ้างที่อยู่เบื้องหลัง ผมไม่ได้ตัดทอน หรือแปลงสารใดๆเลย ลอกมาจากหัวข้อ about us แบบเต็มๆ ในเว็บไซต์ AIPAC - The American Israel Public Affairs Committee ลอกมาทั้งดุ้นเลย ใครอยากอ่านต้นฉบับตามลิงก์ไปดูได้เลยครับ.. เขาเล่าให้ฟังหมดเลยว่าทำอะไรบรรลุเป้าหมายไปบ้าง... ไม่ปิดบังเลย..เพียงแต่สื่อ CNN FOX News NBC CBS New York Time Washington Post เขาไม่เอาไปลงข่าวเท่านั้นแหละ..ถ้าสื่อพวกนี้ไม่ลง ชาวโลกก็เลยคิดว่าไม่เคยมีสิ่งนี้เกิดขึ้น มี NGO. อเมริกันเปิดเว็บไชต์ต่อต้าน ชื่อ stopAIPAC.com ลองเข้าดูสิครับ แต่ไม่สนุกเท่า AIPAC หรอกครับ.. เชื่อผมสิ..

    : Shaffi (24 มกราคม 2009)
    ______________________________________________________________
    What is AIPAC

    กว่า 50 ปีมาแล้ว คณะกรรมการอเมริกัน-อิสราเอลเพื่อกิจการสาธารณะ หรือ the American Israel Public Affairs Committee (AIPAC) ได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆเพื่อให้แน่ใจว่าสหรัฐจะยังคงให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขันต่อไป จากองค์กรเล็กๆในทศวรรษที่ 1950 บัดนี้ AIPAC เติบกล้าโดยมีสมาชิกในระดับรากหญ้ากว่า 100,000 คน นิวยอร์คไทม์อธิบายว่า AIPAC เป็น “องค์กรที่มีความสำคัฐมากที่สุดต่อการประชับความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสราเอล”

    งานการเมืองเป็นภาระกิจสำคัญที่สุดของ AIPAC แต่ละปี AIPAC เข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้องกับนโยบายตะวันออกกลางของสหรัฐกว่า 100 เรื่อง

    งานหลักของ AIPAC คือ ทำให้มั่นใจว่าสหรัฐจะสนับสนุนอิสราเอล และทำงานเพื่อกระชับความร่วมมือในระดับยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐและอิสราเอลในทุกมิติ สนับสนุนนโยบายต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐ หยุดยั้งรัฐอันธพาล เช่น อิหร่านไม่ให้ครอบครองอาวุธที่มีอำนาจการทำลายล้างสูง(อาวุธนิวเคลียร์)

    ความพยายามเหล่านี้เป็นไปเพื่อความมั่นคงของรัฐอิสราเอล และดำรงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของสหรัฐในตะวันออกกลาง และผลประโยชน์ของสหรัฐทั่วโลก เพื่อสิ่งนี้จึงต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับสภาคองเกรส ศึกษาและทำงานร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร ทำเนีบขาว เพนตากอน และกระทรงการต่างประเทศ รวมทั้งฝ่ายอื่นๆที่มีหน้าที่ผลิตและกำหนดนโยบาย ซึ่งเป็นนโยบายที่อาจมีผลกระทบใดๆในอนาคตต่อรัฐอิสราเอล และอาจมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของสหรัฐในตะวันออกกลาง

    การสร้างแรงสนับสนุนต่อวอชิงตันเป็นสิ่งจำเป็น หาก AIPAC พบว่าตรงไหนที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและอิสราเอลได้รับผลกระทบ เครือข่ายของ AIPAC ที่มีสำนักงานสาชาอยู่ใน 10 ภูมิภาค และ 9 สาขาที่จะระดมนักเคลื่อนไหวที่สนับสนุนอิสราเอล จาก ทั่วประเทศ เพื่อดำเนินการลดผลกระทบนั้นทันที เพื่อมิให้ผลกระทบดังกล่าวทำลายความผูกพันธ์อันมั่งคงระหว่างสหรัฐและอิสราเอลได้

    AIPAC เป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมให้ความรู้แก่สมาชิกสภาคองเกรส นักผลิตนโยบาย และบรรดานักวิเคราะห์นโยบายระดับสูง AIPAC ทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาหลายร้อยแห่ง เพื่อสอนให้นักศึกษาได้เรียนรู้วิธีการตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามกับอิสราเอล และเรียนรู้วิธีการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อสร้างกระแสการสนับสนุนอิสราเอล

    แก่นแท้ของ AIPAC คือการสร้างฐานมวลชนการเมือง โดยร่วมมือกับทีมมืออาชีพของ AIPAC เรียนรู้เพื่อเข้าสู่ กระบวนการการเมืองของอเมริกา เรียนรู้วิธีการเป็นนักผลิตนโยบายทางการเมือง และการเป็นผู้นำความคิด

    การพยายามให้เป้าหมายบรรลุผล AIPAC เริ่มจากการแพร่กระจายข้อมูลไปตามโบสถ์ยิวทั่วสหรัฐ ไม่เพียงแค่นั้นแต่ยังแพร่กระจายแนวคิดนี้ไปยังชาวคริสเตียน ชาวละติน ชาวอัฟริกันอเมริกัน และบรรดาผู้นำชุมชน เพื่อช่วยกันสนับสนุนความผูกพันธ์อันแนบแน่นของสหรัฐและอิสราเอล

    AIPAC จะทะเบียนเป็นองค์กรในฐานะขององค์กรเพื่อการล๊อบบี้ภายในประเทศ และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้บริจาค AIPAC ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลอิสราเอล จากองค์กรระดับชาติ หรือนานาชาติอื่นใด AIPAC ไม่ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ไม่สนับสนุน ให้การรับรอง หรือเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้สมัครชิงตำแหน่งทางการเมืองแก่ผู้ใด

    ผลงานความสำเร็จของ AIPAC ที่ผ่านมา

    ในฐานะที่ AIPAC เป็นองค์กรผู้นำในการล็อบบี้เพื่อผลประโยชน์อิสราเอล ที่ทำงานร่วมกับนักการเมืองระดับผู้นำของทั้งพรรคเดโมแครต และรีพับริกัน เพื่อรักษาความเข้มข้นของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและอิสราเอล AIPAC ทำงานร่วมกับสมาชิกสภาคองเกรสและหัวหน้าสาขาพรรคทั่วประเทศ เพื่อปกป้องนโยบายการให้ความช่วยเหลืออิสราเอลเพื่อหยุดยั้งโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน รวมทั้งงานเด่นๆที่ผ่านมาของ AIPAC ได้แก่

    ผลักดันกฎหมายผ่านสภาและมติต่างๆจำนวนมาก เพื่อประณามและคว่ำบาตร
    อิหร่านตลอดช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา

    ทำให้เห็นว่าอิสราเอลยังต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา (เพื่อ
    สหรัฐจะได้คงความช่วยเหลือไว้ตลอดไป และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ)

    ผ่านร่างแผนการประเมินขีดจำกัดทางยุทธศาสตร์และประเมินปริมาณอาวุธที่สหรัฐ
    ขายให้อาหรับ เพื่อทำให้อิสราเอลยังคงความได้เปรียบทางการทหารให้เหนือกว่า
    อาหรับไว้ตลอดเวลา

    ตอกย้ำหลักการว่าสหรัฐควรยืนข้างอิสราเอลเพื่อช่วยให้อิสราเอลดำรงสันติภาพไว้
    ตลอดไป โดยการให้ประธานาธิบดีสหรัฐลงนามในจดหมาย ที่ส่งให้สมาชิกสภาผู้
    แทนราษฎร 268 คน และวุฒิสมาชิก 78 คน

    ผ่านมติเพื่อย้ำเตือนว่า สภาคองเกรสจะดำรงการสนับสนุนว่าอิสราเอลมีสิทธิอย่าง
    เต็มที่ในการป้องกันตนเอง จากผู้ก่อการร้ายฮามาส และฮิสบัลลอฮ์

    กดดันให้รัฐบาลสหรัฐตัดสินใจประกาศว่า กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของ
    อิหร่าน (IRGC - Islamic Revolutionary Guards Corps ซึ่งก็คือ กองทัพแห่งชาติ
    อิหร่านนั่นเอง เพราะหากเกิดสงครามกองทัพแห่งชาติอิหร่านจะกลายเป็นกองกำลัง
    นอกกฎหมายทันที :- ผู้แปล ) เป็นองค์กรก่อการร้าย และแพร่กระจายอาวุธ

    กระชับความร่วมมือด้านพลังงาน โดยผ่านร่างกฎหมายที่อนุมัติให้สหรัฐลงทุนใน
    โครงการร่วมทั้งหมดเพื่อค้นหาพลังงานทางเลือก

    กระซับความร่วมมือแผนการเพื่อความมั่นคงภายใน โดยผ่านร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้ง
    สำนักงานในกระทรวงปกป้องมาตุภูมิ เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาร่วมกัน
    ระหว่างสหรัฐกับพันธมิตรใกล้ชิด เช่น อิสราเอล

    ห้ามมิให้สหรัฐให้ความช่วยเหลือ และติดต่อสัมพันธ์กับฮามาส และผู้นำองค์กร
    บริหารปาเลสไตน์ หรือ PA จนกว่าผู้นำพวกนั้นจะยอมรับ “สิทธิการมีอยู่” ของรัฐ
    อิสราเอล ยกเลิกและทบทวน ข้อตกลงสันติภาพที่ผ่านมาระหว่างอิสราเอล และ
    ปาเลสไตน์ทั้งหมด

    ทบทวนข้อตกลงที่เคยทำไว้ว่า ศูนย์บริการทางการแพทย์ Magan David จะยอมรับ
    ผู้ป่วยที่ถูกส่งตัวมาจากองค์การกาชาดสากล และสภาเสี้ยววงเดือนแดง (เพื่อ
    อิสราเอลจะได้ไม่ต้องให้ บริการทางการแพทย์แก่ชาวปาเลสไตน์ ที่ถูกส่งตัวมาจาก
    กาชาดสากล)

    ผ่านร่างกฎหมายที่อนุญาติให้ประธานาธิบดีสหรัฐคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแก่ซีเรีย
    เพื่อลงโทษซีเรียที่เข้าไปมีอิทธิพลในเลบานอน และสนับสนุนผู้ก่อการร้าย(ฮสบัลลอฮ์)

    ทำไมโลกเราจึงปล่อยให้เรื่องที่ไม่ยุติธรรมเช่นนี้เกิดขึ้น และ
    ดำรงอยู่ ความชั่วร้ายอาศัยเงามืดแห่งอำนาจสังหารเข่นฆ่าผู้คน
    อย่างโหดเหี้ยม
    ...จิตสำนึกความยุติธรรม..ก็ถูกเข่นฆ่าให้ตายตกไปตามกัน ต่อไป

     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทำไมสหรัฐอุ้มยิว..
    คิดง่ายๆไม่ต้องใช้ทฤษฎี
    Shaffi : เขียน
    (19 มกราคม 2009)

    มีบางคนอธิบายเหตุที่สหรัฐให้ท้ายยิว ด้วยทฤษฎี ที่แพร่หลายในโลกอาหรับมาก เรียกว่าทฤษฎี“สมรู้ร่วมคิด” หรือ Conspiracy Theory ที่อธิบายว่า สหรัฐเข้าข้างอิสราเอล เนื่องจากสหรัฐใช้อิสราเอล เป็นช่องทางพิเศษให้สหรัฐ เข้ามาควบคุมผลประโยชน์ของตนเองในตะวันออกกลาง ได้อย่างเต็มไม้เต็มมือ สหรัฐใช้อิสราเอลเป็นประตูหลังบ้าน แอบย่องไปตีท้ายครัวพวกอาหรับที่ร่ำรวยด้วยบ่อน้ำมัน ทฤษฎีนี้ มีคนเถียงว่า แม้ว่าอิสราเอลจะไม่เปิดประตูหลังบ้านให้อเมริกันเข้า ผู้นำอาหรับเจ้าของบ่อน้ำมันทั้งหลาย ก็พร้อมใจกันเปิดประตูหน้าบ้านอ้าซ่า ต้อนรับอเมริกันดอลล่าห์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่สหรัฐต้องย่องเข้าบ้านอาหรับผ่านทางอิสราเอล

    อีกทฤษฎีหนึ่งที่เชื่อว่า “มีอ้ายโม่งลึกลับตัวหนึ่ง (หรือแก็งค์หนึ่ง) ที่มีอิทธิพลมาก ทั้งในแวดวงการเมือง และเศรษฐกิจการเงินของอเมริกัน มันคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง มันคอยวิ่งเต้นหาเก้าอี้ใหญ่โตในทำเนียบขาวให้นักการเมืองหิวเงิน กระหายอำนาจ มันคอยนับเงินแล้วจ่ายทั้งใต้โต๊ะบนโต๊ะ ให้สมาชิกสภาคองเกรส เพื่อออกกฎหมายที่พวกมันได้ผลประโยชน์ มันส่งคนเข้าไปร่างนโยบายต่างประเทศ มีพวกมันแฝงอยู่ในเพ็นตากอน (กระทรวงกลาโหม) ใน CIA และในทำเนียบขาว เพื่อพวกมันจะได้รักษาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสราเอลเอาไว้” ทฤษฎีนี้มีมูลมากที่สุดทฤษฎีหนึ่ง .(กลุ่มนี้มีตัวตนจริงๆทำงานโดยใช้ชื่อว่า AIPAC หรือ The American - Israel Public Affairs Committee มีหน้าที่ล๊อบบี้ และติดสินบนนักการเมืองอเมริกัน) ...อันนี้มีน้ำหนักมากทีเดียว

    มีอีกแนวคิดหนึ่ง ใหม่และแปลกที่สุด นักคิดในโลกตะวันตกกลุ่มหนึ่งเสนอสมมติฐานที่ว่า “ถ้าหากประธานาธิบดีสหรัฐหนุนอิสราเอล เพื่อเงินใต้โต๊ะ(ตามที่เชื่อกัน) ก็คงไม่ใช่เงินจากคนยิว หรือองค์กรยิวที่ไหน แต่เป็นเงินและการสนับสนุนจากพวกคริสเตียนนั่นแหละ” ฟังดูน่าสนใจใช่ไหม? นักคิดพวกนี้อธิบายว่า พวกคริสเตียนอนุรักษ์นิยมขวาจัด ที่มีความเชื่อความศรัทธาฝังใจว่าโลกกำลังเข้าสู่สงครามครูเสดยุคใหม่ ซึ่งเป็นสงครามสุดท้ายที่คริสต์เตียนจะได้รับชัยชนะเหนืออิสลาม (พวกนี้เป็นนิกายเดียวกันกับที่ครอบครัวบุชและคอนดี รมต.ต่างประเทศศรัทธา) ดังนั้น “ถ้าหากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (ปาเลสไตน์) จะต้องตกอยู่ในกำมือใครสักคน คนๆนั้น สมควรเป็นยิว ไม่ใช่มุสลิม” แนวคิดใหม่อธิบายหลักฐาน ด้วยเหตุผลสองประการ ดังนี้

    ประการที่หนึ่ง พวกคริสเตียนพวกนี้เชื่อและศรัทธาว่า พวกอิสราเอลเป็นเจ้าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง (ไม่ใช่มุสลิม) ดังที่ระบุใน The Old Testament (หรือที่คริสต์เตียนเรียกว่า คัมภีร์พระคริสต์ธรรมเดิม เป็นฉบับที่คริสต์เตียนและยิว เชื่อ ศรัทธา และใช้ร่วมกัน เช่น บทอพยพ หรือ The Exodus ที่กล่าวถึง การพายิวข้ามทะเลแดงของโมเสส

    เหตุผลประการที่สอง พวกคริสเตียนเชื่อว่า การกลับมาสู่โลกของพระเยซูๆ จะเสด็จลงมาที่เนินเขาแห่งไซออน (เนินเขาที่ตั้งมัสยิดอัล-อักศอ) และวาระสุดท้ายของโลก หรือ Armageddon ก็จะมาถึง จะเห็นว่าเหตุผลสองข้อนี้ เป็นประเด็นทางศาสนาล้วนๆ และเป็นแรงขับดันให้พวกคริสต์เตียนอนุรักษ์นิยมขวาจัด ซึ่งมีอิทธิพลที่หยั่งรากลึกในแวดวงการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ การเงิน และทางสังคม ไม่น้อยกว่าพวกอเมริกัน-ยิว (หรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำไป) ให้การสนับสนุนนักการเมืองอเมริกัน อย่างออกหน้าออกตา และทำทุกวิถีทางเพื่อให้บุชกลับสู่ทำเนียบขาวเป็นครั้งที่สอง ท่ามกลางแรงต่อต้านจากคนอเมริกันสายเสรีนิยม พวกคริสต์เตียนขวาจัดสุดโต่งเหล่านี้ เห็นว่ายิวคือตัวแทนในการทำสงครามต่อต้านอิสลาม และมอบบทบาทวีรบุรุษนักรบแก่อิสราเอล พวกเขาแต่งตั้งให้อิสราเอล เป็นอัศวินแห่งสงครามครูเสดยุคใหม่ (ที่เสียสละและยอมตายแทนพวกคริสต์เตียนในโลกตะวันตก) ด้วยความเต็มอกเต็มใจ และแสดงออกด้วยการสนับสนุนอิสราเอลในทุกกรณี ทุกวิถีทาง โดยไม่ต้องมีเหตุผลใดๆซ่อนอยู่เบื้องหลัง (เพราะฉะนั้นถ้าทฤษฎีนี้จริง ก็ไม่ต้องสงสัยว่าความขัดแย้งปาเลสไตน์-อิสราเอลจะลงเอยแบบไหน)

    เริ่มจากการรุกรานแย่งชิงดินแดน มาเป็นการต่อต้านอิสลาม และกลายมาเป็นค่านิยมบนผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างยิวและคริสต์เตียนอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง เราเรียกความร่วมมือกันทางจิตวิญญาณนี้ว่า Judeo-Christian Values ที่วางอยู่บนเป้าหมายเดียวกัน คือ เพื่อรักษาความศรัทธาทางศาสนา และต่อต้านอิสลาม

    นักคิดจากโลกอาหรับ แย้งว่าเหตุผลที่อ้างตามทฤษฎีใหม่นี้ ทั้งหมดเป็นเรื่องศาสนาล้วนๆ ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ในสังคมอเมริกัน โดยยืนกรานอย่างแข็งขัน ด้วยสมมติฐานเดิมๆต่อไปว่า ถ้าไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ที่อเมริกันได้รับ อเมริกันจะช่วยยิวไปทำไม? แล้วถ้าไม่มียิวในแวดวงการเมืองอเมริกันที่คอยไปล็อบบี้ ทำไมรัฐบาลอเมริกันจึงจัดงบประมาณช่วยเหลืออิสราเอลมากเป็นอันดับหนึ่งถึงปีละสามหมื่นล้านดอลล่าห์ ซึ่งความจริงข้อนี้ก็น่าสงสัยไม่น้อย และทำให้เราละเลยทฤษฎีจากโลกอาหรับไม่ได้เหมือนกัน

    คงจะรู้ว่าหากเสนออะไรใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าคิด ต้องมีคนค้าน นักคิดแนวทฤษฎีใหม่เหล่านี้ เลยเตรียมคำตอบไว้เหมือนกัน พวกเขาขอให้เรามองดูภาพรวม จะพบความจริงว่า ไม่ใช่แค่อเมริกันเท่านั้นที่หนุนหลังเข้าข้างยิว แต่โลกตะวันตกเกือบทั้งหมด ก็อยู่ข้างยิว (เพียงแต่ไม่ออกหน้าเท่าอเมริกัน) “เพราะยิวใกล้ชิดกับคริสเตียน” ความเหมือนระหว่างยิวกับคริสเตียนนั้น ไม่ได้เหมือนกันในศาสนาเท่านั้น แต่ยังเหมือนในแง่ของความเป็นคนจากโลกตะวันตกอีกด้วย”

    เราจะต้องไม่เผลอคิดไปว่า ยิวในอิสราเอลเป็นชาวตะวันออกกลาง หรือเป็นยิว พวกเดียวกับบรรดาศาสดาในอดีตเป็นอันขาด ข้อเท็จจริงก็คือ ยิวในอิสราเอลปัจจุบันนั้น 99.99% เป็นฝรั่ง ยิวรู้ดีว่าถ้าขืนทำตัวเป็นสิ่งแปลกปลอมในหมู่ชาวตะวันตก แน่นอนยิวย่อมกลายเป็นคนแปลกหน้า(เหมือนชาวมุสลิมเป็นคนแปลกหน้า ในฐานะศัตรูเก่าของพวกคริสเตียนชาวตะวันตก) เพราะคนแปลกหน้า ย่อมไม่เห็นใจช่วยเหลือกัน ไม่ยากเลยที่ยิวจะทำตัวกลมกลืนกับฝรั่งตะวันตก เพราะจริงๆแล้ว ยิวก็คือชาวยุโรปแท้ๆ เป็นฝรั่งตาน้ำข้าวเหมือนกัน ยิวฉลาดพอที่จะไม่ทำให้ตัวเองแตกต่างจากพวกตะวันตกเพราะศาสนา หรือเชื้อชาติ เมื่อรู้เช่นนี้ ยิวจึงใช้วิธีการ Hasbarah (ภาษาฮิบรูแปลว่า “การอธิบาย” แต่ความหมายในวัตถุประสงค์นี้ควรแปลว่า “โฆษณาชวนเชื่อ”)ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งรัฐยิวใหม่ๆ เช่น การส่งวงดนตรีออเคสตร้าของคนหนุ่มคนสาวชาวยิว ชื่อวงดนตรี อิสราเอล ฟิลฮาโมนิค ออกตระเวนทัวร์ไปทั่วโลกตะวันตก เพื่อบอกเล่าเรื่องราว และชัยชนะของชนชาติยิว (และแน่นอน มันก็คือชัยชนะของคนตะวันตก ที่มีเหนืออิสลามด้วย) ยิวหวังได้รับความเห็นอกเห็นใจจากโลกตะวันตก แล้วยิวก็ได้มันมาจริงๆ ยิ่งกว่านั้นและสำคัญที่สุด ยิวได้แสดงให้โลกตะวันตก เห็นว่ายิวนั้นที่แท้นั้น ก็มีค่านิยม และวัฒนธรรมเดียวกันกับชาวตะวันตกนั่นเอง สุดท้ายไม่ว่าจะใช้ทฤษฎีไหนอธิบาย ก็ได้คำตอบเหมือนกันว่าเหตุที่อเมริกันเข้าข้างยิวตลอดกาลก็เพราะว่า ยิวกับอเมริกันนั้นเป็น พวกเดียวกัน ก็ย่อมมีศัตรูเดียวกัน นั่นเอง

     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สอนลูก(ยิว)ให้เป็นโจร
    Shaffi : เขียน
    (19 มกราคม 2009)

    ศาตราจารย์แดเนียล บาร์ทาล มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ เปิดเผย ผลการวิจัยที่พบว่า“ตำราเรียนกว่า 124 ชุดวิชา ที่ใช้อยู่ในโรงเรียนระดับประถม- มัธยมต้น และมัธยมปลายของนักเรียนอิสราเอล นำเสนอภาพลักษณ์ของชาวอิสราเอลว่า ชาวอิสราเอลเป็นผู้ที่รักความยุติธรรม หลักสูตรพวกนี้สอนลูกหลานอิสราเอลว่าชาวยิวเป็นชนชาติที่เปี่ยมล้นไปด้วยมนุษยธรรม ตำราเรียนเหล่านั้น ล้วนเต็มไปด้วยคำสอนที่กล่าวถึงสงครามกับชาวปาเลสไตน์ ว่าเป็นสงครามที่ต่อสู้กับพวกอาหรับที่ไม่ยอมรับในสิทธิการมีอยู่ของชนชาติอิสราเอล”

    นอกจากนี้ ตำราเรียนส่วนใหญ่ที่ใช้สอนในโรงเรียนของอิสราเอล ระดับประถม พบว่ามีความพยายามสร้างภาพ ทำให้เด็กยิวเข้าใจว่า “ชาวอาหรับมุสลิม เป็นศัตรู จิตวิปริต โหดร้าย หยาบคาย ไร้ศีลธรรม ไม่ซื่อสัตย์ เป็นพวกที่อาฆาตมาดร้ายต่อชาวอิสราเอล ต้องการบดขยี้รัฐอิสราเอล” ภาพลักษณ์ชาวอาหรับในตำราเรียนของยิวเหล่านั้น ประทับตราชาวอาหรับว่าเป็นผู้ก่ออาชญากรรม เช่น กระทำการอันเป็นการซ่องโจร เป็นพวกวายร้ายที่คอยปล้น แย่งชิง เป็นพวกกระหายเลือด และเป็นนักฆ่าเลือดเย็น

    ศาตราจารย์บาร์ทาล ให้ความเห็นว่าเนื้อหาในตำราเรียนที่ใช้ในโรงเรียนอิสราเอลในหลายสิบปีที่ผ่านมา แทบจะไม่มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหา ทีเกี่ยวกับภาพลักษณชาวอาหรับเลย ในทางกลับกัน เนื้อหาในตำราเรียนที่เล่าเรื่องชนชาติอิสราเอล กลับวาดภาพอิสราเอล ว่าเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ก้าวล้ำนำหน้า กล้าหาญ และมุ่งมั่น มานะบากบั่น ฝ่าฟันความยากลำบากเพื่อที่จะ “นำพาประเทศชาติไปบนหนทาง ที่ชาวอาหรับไม่มีวันที่จะไขว่คว้ามาครองได้” ในหนังสือวิชาภูมิศาสตร์ที่ใช้ในโรงเรียนตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2493 ถึง 2513 เน้นเนื้อหาที่ว่าด้วย การเทิดทูนบรรพชนยิว และกล่าวถึงดินแดน(ปาเลสไตน์)ที่ถูกทอดทิ้งและทำลาย โดยน้ำมือชาวอาหรับ จนกระทั่งชาวยิวได้กลับคืนสู่ดินแดน (ที่ครั้งหนึ่งชาวยิวเคยถูกขับไสไล่ส่งออกไป) “ด้วยความช่วยเหลือขององค์กรยิวไซออนิสต์”

    ศาตราจารย์ บาร์ทาล กล่าวว่าการเขียนบทเรียนให้มีเนื้อหาโฆษณาชวนเชื่อเช่นนี้ เพื่อสร้างโลกทัศน์ และทัศนคติใหม่ แก่ลูกหลานยิวในยุคนั้น ให้เห็นว่าการกลับสู่ปาเลสไตนนั้น มีความชอบธรรม การอ้างในตำราเรียนว่าปาเลสไตน์เป็นดินแดนที่พวกอาหรับทอดทิ้งและทำให้ไร้ค่านั้น เพียงเพื่อพยายามที่จะบอกว่าชาวยิวต่างหากเล่า ที่เป็นผู้ทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน และถือเป็นความชอบธรรมที่ชาวยิว จะได้ร่วมกันเปลี่ยนทะเลทรายอันแห้งแล้งให้กลายมาเป็นพื้นที่เกษตรกรรมอันเขียวชอุ่ม การกล่าวโทษชาวอาหรับเจ้าของแผ่นดินเช่นนั้น นอกจากแสดงการดูถูกดูหมิ่น ว่าเป็นพวกป่าเถื่อน ล้าหลัง ปล่อยให้แผ่นดินว่างเปล่า ไม่รู้จักพลิกฟื้นผืนดินให้เป็นไร่นา ชาวอาหรับเป็นพวกชนชั้นต่ำ ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ไม่รู้จักการผลิต และเป็นพวกที่ชอบอยู่เฉยๆ

    การวิจัยยังพบอีกว่า ตำราวิชาอื่นๆอธิบายลักษณะชาวอาหรับว่า เป็นพวกที่ “แบ่งพวกถือเผ่า ชอบแก้แค้น วิตถาร ยากจน อมโรค สกปรกโสโครก ชอบส่งเสียงเอะอะ รุ่มร่าม พวกอาหรับ เผา ฆ่า ทำลาย และเป็นพวกที่เลือดร้อน” ปัจจุบันตำราเรียนของนักเรียนอิสราเอล แม้ไม่กล่าวถึงบุคลิกลักษณะของชาวอาหรับด้วยถ้อยคำ ที่มีความหมายดูถูกดูหมิ่นตรงๆเหมือนในยุคก่อน แต่ก็ยังแฝงเร้นเนื้อหาที่กล่าวถึงภาพลักษณ์โดยอ้อม โดยยังคงแฝงเนื้อหาดูถูกดูหมิ่นชาวอาหรับไว้ ไม่แตกต่างจากที่มันเคยเป็นมาในอดีต

    ญามัล อาตัมนีย์ กรรมาธิการการศึกษาของชาวอาหรับเปรียบเทียบเนื้อหาในตำราเรียนยิว กับของเด็กชาวอาหรับว่า “ตำราเรียนของอิสราเอลสมัยก่อนเขียนว่า “ยิวประกาศเอกราชในปี ค.ศ.1948 แล้วสงครามก็ระเบิดขึ้น ปาเลสไตน์ปฏิเสธมติสหประชาชาติ แต่เมื่อสิ้นสุดสงคราม ปาเลสไตน์ก็ต้องหนีกระเจิงไปจากดินแดนอิสราเอล” ตรงกันข้ามกับโรงเรียนของอาหรับปาเลสไตน์ อาตัมนีย์ กล่าวว่า “เดี๋ยวนี้โรงเรียนอาหรับสอนเด็กๆ บนพื้นฐานที่ว่า ในทุกๆปัญหาขัดแย้ง มีคนแพ้ และมีคนชนะเสมอ เมื่อครูสอนหัวข้อเกี่ยวกับ สันติภาพ-กับการอยู่ร่วมกัน ครูจะสอนเด็กๆอาหรับ ให้รู้จักเรียนรู้จักวิธีการอยู่ร่วมกันกับชาวยิว”

    แม้การกล่าวถึงความขัดแย้ง ปาเลสไตน์-อิสราเอล จะถูกพูดถึงอย่างตรงไปตรงมามากขึ้นในตำราเรียนของเด็กอิสราเอล แต่กระนั้นก็ตาม การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอาหรับกับยิว หรืออาหรับกับอาหรับ ที่ถูกต้องและปราศจากอคติบิดเบือน ก็ยังคงไม่ได้รับการบรรจุลงในหลักสูตรนักเรียนอิสราเอล

    แดเนียล บันโวเล็กยี นักเรียนชั้นมัธยมปลายชาวยิว อายุ 17 ปี เล่าว่า “ในตำราเรียนที่เราเรียน เขียนว่า ทุกอย่างที่อิสราเอลทำ ล้วนเป็นสิ่งที่ดีงาม และถูกต้องชอบธรรม แต่สิ่งที่อาหรับทำนั้น ผิดทุกอย่าง ตำราเรียนสอนว่า อาหรับใช้ความรุนแรงต่อต้านยิว นักเรียนถูกยัดเยียดให้ได้ยินได้ฟังเหมือนๆกัน ล้วนเป็นเรื่องราวที่มาจากยิวฝ่ายเดียว พวกเขาสอนเราว่าอิสราเอลก่อตั้งรัฐ เมื่อปี ค.ศ.1948 แล้วอาหรับก็เปิดสงคราม ในตำราไม่เคยเอ่ยถึงว่าเกิดอะไรขึ้นกับชาวอาหรับ ตำราไม่เคยสอนเราให้รู้ว่า การตั้งรัฐยิวก่อปัญหาผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ ไม่เคยสอนเราว่าชาวปาเลสไตน์ต้องทิ้งบ้านทิ้งเมืองที่พวกเขาเคยอยู่กันมาก่อน”แดเนียล บันโวเล็กยี เล่าว่าขณะที่เขากำลังโต้เถียงเรื่องนี้กันในหมู่เพื่อนๆ เด็กคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า เขาอ่านตำราเรียนในบทที่มีเรื่องของอาหรับ ข้อความในหนังสือนั้น ทำให้เขาโกรธอาหรับมาก และเขาสาบานว่าจะต่อยหน้าคนอาหรับคนแรกที่เขาเจอ แดเนียล บันโวเล็กยี โทษว่า “แทนที่หนังสือเรียนยิวจะสอนเราให้รู้จักความอดทนและการรอมชอมประนีประนอม แต่หนังสือเรียนและครู กลับสอนเราให้มีทัศนคติที่เลวร้ายต่อชาวอาหรับ และยิ่งทำให้นักเรียนเพิ่มความเกลียดชังอาหรับมากขึ้นไปอีก”

    เมื่อเร็วๆนี้ นักวิจัยชื่อ เอเดีย โคเฮน ตีพิมพ์งานที่ ชื่อว่า An Ugly Face in the Mirror หรือ“เงาอัปลักษณ์” โคเฮน ทำการ สำรวจความคิดเห็นเด็กนักเรียนอิสราเอล ชั้นประถมปีที่ 4-6 โดยตั้งคำถามว่า มีทัศนคติอย่างไรกับชาวอาหรับ-ชาวอาหรับเป็นอย่างไรในภาพพจน์เด็กๆ และเด็กๆมีความสัมพันธ์อย่างไรกับชาวอาหรับ ผลการวิจัยทำให้ โคเฮน ตกใจมาก เมื่อพบว่า

    “เด็ก 75% อธิบายว่า ชาวอาหรับเป็น “ฆาตกรลักพาตัวเด็ก-อาชญากร-ผู้ก่อการร้าย, 80% บอกว่าภาพในใจที่พวกเขาเห็นว่าชาวอาหรับ สกปรก-โสโครก หน้าตาน่าเกลียด, 90% ของนักเรียนเชื่อว่า “ชาวปาเลสไตน์ไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในดินแดนอิสราเอล หรือแม้แต่บนดินแดนของชาวปาเลสไตน์เอง”

    นอกจากนี้โคเฮน ยังทำการวิจัยตำราเรียนยิวกว่า 1,700 เล่ม ที่ตีพิมพ์หลังปี พ.ศ.2510 เป็นต้นมา พบว่าหนังสือเรียนมากถึง 520 เล่ม มีเนื้อหาที่จงใจดูถูกเหยียดหยามชาวปาเลสไตน์ โดย 66% มีเนื้อหากล่าวร้ายอาหรับว่าเป็นพวกชอบความรุนแรง, 52% กล่าวว่าอาหรับเป็นปีศาจร้าย, 37% ระบุว่าชาวอาหรับเป็นพวกฉ้อฉล, 31% ระบุว่าอาหรับตะกละ, 28% ว่าอาหรับมีนิสัยชอบตีสองหน้า และ 27% เขียนว่าอาหรับเป็นพวกทรยศ หักหลัง และหนังสือเรียนที่เก็บตัวอย่างมาศึกษา 86 เล่ม โคเฮนพยายามนับถ้อยคำ ที่ใช้คำพูดดูหมิ่นเหยียดหยามชาวอาหรับ ผลที่ได้ออกมาดังนี้ครับ คำที่เรียกชาวอาหรับว่า“ฆาตกร” 21 แห่ง,“อสรพิษ" 6 แห่ง,”โสโครก” 9 แห่ง,“สัตว์ร้าย” 17 แห่ง, “กระหายเลือด” 21 แห่ง, “บ้าสงคราม” 17 แห่ง, “นักฆ่า” 13 แห่ง, “งมงาย” 9 แห่ง, “อูฐ” 2 แห่ง (อูฐมีความหมายคล้ายกับการที่คนไทยด่าว่า “ควาย” หรือ “โง่” นั่นเอง)

    โคเฮนสัมภาษณ์ครู และบรรดานักเขียน ที่ผลิตตำราเรียนพวกนี้ ทุกคนยอมรับหน้าตาเฉยว่า มีเจตนาที่จะสร้างภาพลวงตาเด็กยิว เพื่อมุ่งที่จะบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง ไว้ในหัวใจของเด็กๆยิวตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นการเตรียมความพร้อมให้เด็กยิวเป็นศัตรูกับชาวอาหรับ เมื่อเติบโตขึ้น ...

    ครูชาวปาเลสไตน์คนหนึ่งกล่าวว่า “เด็กยิวคนไหนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่จากการอ่านหนังสือเรียนเหล่านั้น เขาเป็นคนที่ไม่มีวันจะรู้อะไรเลย ..สำหรับชาวปาเลสไตน์อย่างผม พ่อผมเคยอยู่ในบ้านที่เดี๋ยวนี้เป็นนิคมชาวยิว เราไม่ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากตำราเรียนอคติเล่มไหน เราเรียนจากเรื่องเล่าของปู่ เรื่องบ้านที่ปู่เคยอยู่ หมู่บ้านที่เคยเป็นของเรา ครั้งหนึ่งเคยเป็นของปาเลสไตน์มาก่อน..”

    ก็ยิวสอนลูกหลานยิวกันมาแบบนี้..แล้วจะสีซอเพลงสันติภาพ ให้ควายทะเลทรายที่ไหนฟังล่ะครับพี่ยิว..

     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สเต็กสูตรยิว..
    Shaffi : เขียน
    (18 มกราคม 2009)

    “รัฐยิว” ซึ่ง ธีโอดอร์ เฮอร์เซิล (บิดาแห่งลัทธิยิวไซออนิสต์) ได้จินตนาการเอาไว้ตั้งแต่ต้นคริตศตวรรษที่ 19 นั้น เป็นรัฐไซออนิสต์ ซึ่งจำกัดบทบาทของศาสนา พวกแรบไบ(พระยิว)ถูกกีดกันให้อยู่แต่ใน“ซินาก็อก”(โบสถ์ยิว) และเยชิวา หรือโรงเรียนศาสนา ซึ่งจะหมดความสำคัญต่อสังคมในรัฐยิวใหม่ แต่เมื่อเอาเข้าจริงๆ พวกไซออนิสต์ รุ่นบุกเบิกกลับไม่กล้าแสดงเจตนารมณ์ออกมาตรงๆให้ยิวด้วยกันเห็น เพราะกลัวเสียแผนใหญ่ จึงเปลี่ยนคำโฆษณาเรียกร้องสู่ความเป็น่ “รัฐฮิบบรู” หรือ Hebrew State (ซึ่งหมายถึงรัฐของคนที่มีศาสนาฮิบรู) แทนที่จะโฆษณาว่าต้องการ “รัฐ(ของคน)ยิว” หรือ Jewish State (ที่เป็นรัฐของคนเชื้อชาติยิว) ไซออนิสต์กลัวว่าพวกเคร่งศาสนาจะต่อต้านรัฐใหม่นั่นเอง ยิ่งกว่า นั้นพวกไซออนิสต์ ยังแสร้งทำเป็นยอมรับศาสนาฮิบบรูด้วยซ้ำไป จนถึงกับยอมประกาศให้วัน โยม-คิปปูร์ (วันสำคัญของศาสนายูดาย)เป็นวันหยุดสำคัญของชาติ เมื่อครั้งที่ผู้นำไซออนิสต์ลงนามประกาศให้รัฐยิวเป็นเอกราช ไม่มีการเอ่ยถึง ”กฎหมายโมเซ” (คัมภีร์โตราท่ีพระเจ้าประทานแก่ศาสดาโมเสส) แม้แต่น้อย

    ในคำประกาศเอกราชกล่าวแต่เพียงสั้นๆว่า “จะรับประกันความเท่าเทียมกันของประชาชน โดยไม่คำนึงถึงศาสนา” (“A guarantee of equality for all citizens irrespective of religion”) ทำให้ยิวพวกที่เคร่งศาสนาผิดหวังอย่างแรง เพราะคิดว่ารัฐยิวใหม่ น่าจะเป็น “รัฐศาสนา” (Religious tate) เป็นรัฐฮิบบรูอันยิ่งใหญ่อย่างที่เคยเป็น ในสมัยกษัตริย์โซโลมอน (อาหรับเรียกว่าศาสดาสุลัยมาน) ในคำประกาศเอกราช ไม่เพียงแสดงถึงเป้าหมายที่แท้จริงของไซออนิสต์ว่า “ไม่เอาศาสนา” (Secular State) เท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นแนวคิดของผู้นำไซออนิสต์คนสำคัญอย่าง เดวิด เบน กูเรียน อีกด้วย เดวิด เบน กูเรียน ใช้ชีวิตอย่างที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับศาสนา มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาทำลายกฎเกณฑ์ทางศาสนา ด้วยการแต่งงานที่นิวยอร์ค โดยไม่มีแรบไบ(พระยิว) ทำพิธีให้ และต่อมาเขาก็ทอดทิ้งภรรยาที่กำลังท้อง ครั้งที่มีพิธีเปิดสภาคเน็ตเสท(สภาผู้แทนฯยิว) สมัยแรก มีคนขอให้ เดวิด เบน กูเรียน ไปขอพรในโบสถ์ยิว เขากล่าวว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี ที่เขาไปโบสถ์ ความจริงแล้ว เบน กูเรียน ตัดความสัมพันธ์กับพวกแรบไบ มาตั้งแต่ก่อนประกาศเอกราช แต่เพราะไซออนิสต์ มีความกลัวอยู่ลึกๆว่า พวกอุลตร้าออโธดอกส์ (พวกเคร่งศาสนา) จะแอบไปบอกสหประชาชาติว่า พวกอุลตร้าออโธ ดอกส์ นั้นไม่ประสงค์ให้มีก่อตั้งรัฐยิว (เพราะพวกอุลตร้าออโธดอกส์ รู้อยู่แก่ใจว่าพวกไซออนิสต์นั้นมีอุดมการณ์ต่อต้านศาสนาและท้าทายพระเจ้า) ด้วยความระแวง เบน กูเรียน จึงเขียนจดหมายไปถึง อากูดัต ยิสราเอล หัวหน้ากองกำลังกลุ่มเคร่งศาสนา เพื่อให้คำสัญญาว่า หากตั้งรัฐยิวสำเร็จ จะประกาศให้วันเสาร์เป็นวันซะบาโต (วันที่ต้องหยุดทำงานตามความเชื่อศาสนายูดาย) รัฐบาลจะจัดหาอาหารมาแจกจ่าย(เพราะยิวที่เคร่งจะหยุดทำทุกอย่างในวันเสาร์แม้แต่ปรุงอาหารด้วยไฟ) และให้คำมั่นว่ารัฐมนตรีกระทรวงการศึกษา จะไม่เข้าแตะต้องโรงเรียนสอนศาสนา รวมทั้งจะยินยอมให้ ตั้งศาลศาสนาที่นำโดยแรบไบ รับผิดชอบทั้งทางกฎหมาย และพิธีกรรมในเรื่องของการแต่งงาน การหย่า การรับบุตรบุญธรรม การตาย และการเกิด ไซออนิสต์กัดฟันให้คำสัญญา

    เมื่ออากูดัต ยิสราเอล ไปพบเลขาธิการสหประชาประชาติและแจ้งว่าพวกยิวอุลตร้าออโธดอกส์ “จะไม่ร้องขอรัฐยิวจากสหประชาชาติ แต่ ก็ไม่คัดค้านการตั้งรัฐยิวของพวกไซออนิสต์ด้วยเช่นกัน” การที่ไซออนิสต์ยอมอ่อนข้อให้พวกเคร่งศาสนา ก็เพราะว่าเบนกูเรียน ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับศาสนจักรฮิบบรู และรู้ดีว่าพวกยิวอุลตร้าออโธดอกส์ทั่วโลก มีเงินและอำนาจ พอที่จะให้การสนับสนุนรัฐยิวใหม่ได้อย่างสบายๆ เบน กูเรียน เล่นเกมการเมืองดึง อากูดัต ยิสราเอล มาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ไม่เพียงรัฐบาลสัญญาว่าจะไม่แตะต้องโรงเรียนสอนศาสนา แต่ยังให้เงินสนับสนุนอีกด้วย นอกจากนั้นเมื่อพวกยิวอุลตร้าออโธดอกส์ ขอให้จัดตั้งหน่วยทหารในกองทัพที่เป็นหน่วยเฉพาะสำหรับลูกหลาน เพราะพวกเขาต้องกินอาหารตามที่ศาสนาอนุมติ(ยิวเรียกว่า Kosher) เบน กูเรียน ก็ตอบสนองพวกยิวเคร่งศาสนามากกว่าที่ขอเสียอีก โดยสั่งให้เปลี่ยนมากินอาหารตามที่ศาสนาบัญญัติเหมือนกันให้หมดทั้งกองทัพ แถมยังยกเว้นการเกณฑ์เด็กผู้ชายที่เรียนในเยชิวา (โรงเรียนศาสนา) เข้าประจำกองทัพอีกด้วย เมื่อเรียกร้องแล้วได้รับการตอบสนองอยู่เรื่อยๆ พวกยิวอุลตร้าออโธดอกส์ ได้คืบก็เอาศอก ขอเพิ่มขึ้นอีก เช่น ขอให้วันเสาร์ที่เป็นวันหยุด ห้ามขับรถ ห้ามทำงาน ห้ามทำอาหารบนเตาไฟ ขอให้ห้ามวิทยุกระจายเสียง ห้ามสายการบิน รวมทั้งขอให้กองทัพหยุดรบวันเสาร์ ทำให้เรื่องเช่นนี้กลายเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันอย่างหนักในสภาคเน็ตเซ็ท (สภาผู้แทนฯยิว) จนนำไปสู่การปะทะกันนอกสภาฯ โดยเหตุเกิดขึ้นในเยรูซาเล็ม ในปี ค.ศ. 1949 เมื่อโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งเริ่มฉายหนัง ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะตกดิน ไปหนึ่งชั่วโมง ซึ่งยังไม่หมดเขตวันซะบาโต(วันเสาร์) พวกคนดูหนัง กับพวกยิวเคร่งศาสนาก็ยกพวกเข้าทำร้ายกัน จนทุกวันนี้ก็ยังตีกันไม่เลิกพวกยิวเคร่งศาสนา จัดตั้งหน่วย ”ขว้างหิน” เพื่อขว้างปาใส่บรรดาผู้ขับขี่รถยนต์ และขว้างปานักท่อง เที่ยวยิวที่ไปเยือนเยรูซาเล็มในวันซะบาโต (วันเสาร์)

    เรื่องประหลาดในศาสนาของพวกยิว ที่ขัดแย้งกับวัฒนธรรมยิวใหม่ ยังมีให้เล่ากันไม่จบสิ้น เช่นเรื่องต่อไปนี้ เป็นเรื่องของหญิงชรา วัย 60 ปี คนหนึ่ง เธอแต่งงานกับชายในครอบครัวเคร่งศาสนาฮิบบรู ต่อมาสามีของเธอหายตัวไป เธอจำต้องทนอยู่ในสถานภาพสมรสอีกนานหลายปี เหตุผลก็เพราะว่า แรบไบจะอนุญาตให้เธอมีอิสระได้ ก็ต่อเมื่อน้องชายของอดีตสามียอมที่จะ “ขว้างรองเท้าใส่เธอ” เสียก่อน กฎเกณฑ์ทางศาสนาที่พวกแรบไบตราขึ้น กำหนดไว้ว่า เมื่อภรรยาเป็นหม้าย เธอจะตกเป็นสมบัติของพี่ชายหรือน้องชาย หรือบิดา ของสามี จนกว่าพวกเขาเหล่านั้นจะแสดงการปฏิเสธด้วยการ “ขว้างรองเท้าใส่” ต่อหน้าแรบไบ เพื่อแสดงว่าไม่ต้องการเธอแล้วนั่นแหละ เธอจึงพ้นสถานภาพสมรส ความทุกข์ของหญิงคนนี้ก็คือ เธอต้องจ่ายเงินเดือนทั้งเดือนของเธอจ่ายเป็นค่าตั๋วเครื่องบินให้น้องชายอดีตสามีที่อยู่ห่างจากเธอครึ่งโลก ที่บราซิลให้มาที่อิสราเอล เพียงเพื่อ “ขว้างรองเท้าใส่เธอ” ต่อหน้าแรบไบ

    อีกเรื่องหนึ่งที่จะเล่าให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่า มีเมนูอาหารยอดนิยมในอิสราเอลเมนูหนึ่ง ยิวเรียกว่า ไวท์สเต๊ก หรือ สเต๊กขาว ที่ขึ้นชื่อ ไวท์สเต๊ก ที่แท้คือ สเต๊กหมูนั่นเอง! เป็นที่รู้กันอย่างไม่เปิดเผยมาเป็นเวลานานแล้วว่ามีหมูในอิสราเอล แม้ว่ารัฐยิวจะมีการออกกฎหมาย “ห้ามการเลี้ยงสุกรบนแผ่นดินอิสราเอล” มาเป็นเวลานานหลายปี แล้วไวท์สเต๊กหรือสเต๊กหมู เหล่านี้มาจากไหนกัน..ก็ไม่ได้มาจากไหน แต่มาจากคิบบุตซ์ (นิคมเกษตร กรรม)แห่งหนึ่งทางตอนใต้นั่นเอง คิบบุตซ์ที่ว่านี้เป็นพวกยิว โรมาเนียน (ยิวที่อพยพมาจากประเทศโรมาเนีย) พวกโรมาเนียนผู้เลี้ยงหมูแก้ตัวขุ่นๆว่า พวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายแต่ประการใด เพราะพวกเขาไม่ได้ทำฟาร์มเป็นธุรกิจ แต่เปิดเป็นฟาร์มเพื่อการศึกษาวิจัยสุกร พวกนี้จะนำเข้าลูกหมู แล้วเลี้ยงจนโตโดยอ้างว่าเพื่อทำการวิจัย พอหมูโตก็เอาไปขายที่ตลาด โดยอ้างอีกว่าเอาเงินกลับมาเพื่อเป็นทุนในการศึกษาวิจัยต่อไป แล้วก็เอาเงินไปซื้อลูกหมูรุ่นใหม่ เลี้ยงจนโตแล้วขาย อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนกฎหมายที่ห้ามเลี้ยงหมูบนแผ่นดินอิสราเอลนั้น พวกยิวหัวหมอเหล่านี้แย้งว่า พวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายซักหน่อย เพราะเขาไม่ได้เลี้ยงหมูบน(แผ่น)ดิน แต่พวกนี้จะปลูกโรงเรือนยกพื้นสูงจากดิน แล้วเลี้ยงหมูไปจนกว่าจะโตพอขายได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย และดูเหมือนว่าไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐยิวคนไหนเดือดร้อน หรืออยากเอาความกับพวกนี้ เพราะอาจเกรงว่าถ้าไปจับกุม “นักวิจัยหมู” พวกนี้เข้า สักวันอาจไม่มีไวท์สเต๊ก อร่อยๆให้ยิวกินก็ได้

    แบบนี้จะให้เรียกว่ายิวเจ้าเล่ท์ จะให้เรียกว่าอะไร ?

     
  11. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=WY63fkwR9zI]ราชาเงินผ่อน - คาราบาว - YouTube[/ame]
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ฝรั่งเกลียดยิว
    ตอน ...ก๊วนยิว (1)
    Shaffi : เขียน
    (17 มกราคม 2009)

    ยิวกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาความขัดแย้งภายในอย่างเข้มข้น ไม่ต่างจากปัญหาที่โลกอาหรับกำลังเผชิญหน้า ปัญหาภายในสังคมยิวมาจากปัญหาความเป็นตัวของยิวเอง สังคมยิวผ่านพ้นขั้นตอน “การรวมชาติ” ไปนาน 60 ปี แล้ว และอยู่ในขั้นตอนการสร้างชาติให้ดำรงอยู่ในสังคมโลกาภิวัตน์ ปัญหาต่างๆที่เคยถูกซ่อนไว้ในยุคชาวนิคมอพยพ กลายเป็นประเด็นความขัดแย้งทางความคิดในสังคม ในยุคสร้างชาติองค์กรยิวไซออนิสต์โฆษณาชวนเชื่อ ชวนเชิญ ให้ยิวจากทุกที่ในโลกมารวมกันเป็นประเทศอิสราเอล เดวิด เบนกูเรียน นายกรัฐมนตรียิวคนแรก ไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอย่างเดียวคือ ยิวต้องอพยพมารวมกันเป็นชาติให้มากที่สุดเพื่อจะได้เสียงสนับสนุนจากนานาชาติ และเพื่อก่อตั้งกองกำลังป้องกันตนเองจากเจ้าของแผ่นดินชาวอาหรับ ยิวที่อพยพเข้ามาในดินแดนปาเลสไตน์นั้น ร้อยพ่อพันแม่ยิว หาที่จะมีสายพันธุ์ DNA เดียวกันกับ พ่ออับราฮัม(อาหรับเรียก-อิบรอฮีม)ไอแซ๊ค (อาหรับเรียก-อิสฮาก), ยาโกโบ(อาหรับเรียกยะอ์กู๊บ) ไม่เจอ

    ต้นตอปัญหาความขัดแย้งในสังคมยิวปัจจุบัน มาจากความขัดแย้งทางศาสนาและความคิด เวลานี้ในสังคมยิวเริ่มมีการตั้งคำถามว่า “ใครคือยิว?กันแน่” สำหรับเรา ถ้ามองผิวเผินเราอาจไม่เห็นความแตกต่างระหว่างยิว กับพวกไซออนิสต์(ลัทธิชาตินิยมยิว) ยิวก็คือยิว..จะเป็นยิวออธอร์ดอกส์ ก็..ยิว อาหรับยิว จากอิรัก ซูดาน โมร็อคโค อัลจีเรีย ก็ยิว.. แต่ในสังคมยิวเองไม่เห็นอย่างนั้น พวกยิวออธอร์ดอกส์เคร่งศาสนาเรียกยิวไซออนิสต์ ที่มาจากยุโรป รวมทั้งยิวจากอาหรับว่า “อิสราเอล” พวกนี้ไม่ใช่ “ยิว” ของแท้...เอาละสิ ยังไงกันละเนี่ย.. คำพูดที่เคยใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อว่า “พวกยิวสามารถรักษาเลือดยิวบริสุทธิ์เอาไว้ได้” บัดนี้ได้กลายเป็นเรื่องโกหกที่พวกยิวเองก็เริ่มสงสัยกันเองแล้วอย่างนั้นหรือ

    ยิวในอิสราเอลปัจจุบัน มาจากกลุ่มคนหลายเผ่าพันธุ์ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับอิสราเอล 12 เผ่า ที่โมเสสพาข้ามทะเลแดงหนีฟาโรห์รามเสสที่ 2 มาจากอียิปต์แต่ประการใด ยิวปัจจุบันแบ่งตามแหล่งที่มาและสัญชาติดั้งเดิมก่อนการตั้งรัฐยิว กลุ่มต่างๆเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างสังคมยิวในปัจจุบัน

    ยิวพวกแรกเรียกว่า พวกยิวอัชคินาซี [Ashkenazi] พวกนี้มีจำนวน ราวๆ 1ล้านคน รุ่นพ่อรุ่นแม่อพยพมาจากยุโรปตั้งแต่ก่อนเป็นประเทศ อัชคินาซี คือพวกยิวไซออนิสต์มราจัดตั้งกันมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้นำยิวไซออนิสต์บิดารัฐอิสราเอลยุคใหม่ ก็คือยืวอัชคินาซีนั่นเอง พวกนี้แหละที่เป็นมันสมองทางเศรษฐกิจ เป็นนักวิชาการ เป็นเจ้าของบริษัทด้านเทคโนโลยี นักปกครอง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เป็นผู้บัญชาการทหาร สมาชิกสภา ผู้พิพากษา นักลงทุน พ่อค้า นักอุตสาหกรรม นักการทูต วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย นักบินขับไล่ F16 ก็มาจากพวกนี้ พวกยิวอัชคินาซี เติบโตมาจากสังคมที่ศิวิไลซ์ในยุโรปตะวันตก ในช่วงที่ ธีออดอร์ เฮอร์ซ ก่อตั้งลัทธิไซออนิสต์ ก็ได้คนพวกนี้ทำหน้าที่เป็นวิศวกรสังคมให้ไซออนิสต์ ในยุคปัจจุบันยิวกลุ่มนี้เป็นพวกที่มีการศึกษาสูงมาจากอเมริกา บางทีเวลาเรียกคนกลุ่มนี้มักมีการระบุที่มา เช่น เยอรมัน-อิสราเอล อเมริกัน-อิสราเอล รัสเซีย-อิสราเอล (ดูได้จากนามสกุล) พวกยิวอัชคินาซี พยายามรักษาอำนาจในการเป็นชนชั้นนำในกลุ่มของพวกตนเองไว้ ตำแหน่งสำคัญๆในทางเศรษฐกิจ การเงิน การเมือง และในกองทัพ เช่น ตำแหน่งสำคัญๆอย่างผู้บัญชาการเหล่าทัพ มักสงวนไว้ให้ยิวจากกลุ่มอัชคินาซี เท่านั้น โลกจึงเห็นยิวหน้าฝรั่งมากกว่าอย่างอื่น

    ยิวพวกที่สอง รัสเซียน-ยิว มีจำนวนราวๆหนึ่งล้านคนเช่นกัน พวกรัสเซียน-ยิว อยู่รวมกันในชุมชนตัวเอง และใช้ภาษารัสเซียในการสื่อสารระหว่างพวกเดียวกัน มีหนังสือพิมพ์ภาษารัสเซียน สถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ ออกอากาศในภาษารัสเซียน ยิวกลุ่มอื่นมองรัสเซียน-ยิว ด้วยสายตาเดียดฉันท์ และนินทากันว่าจำนวนมากในพวกนี้ ไม่ใช่ยิวแท้ๆ แต่เป็นยิวปลอม ที่หนีภัยเศรษฐกิจยุคโซเวียตล่มสลายแอบปะปนกับยิวจริงเข้ามาปักหลักทำมาหากินในอิสราเอล พวกยิวเดิมไม่ค่อยอยากจะต้อนรับขับสู้พวกนี้เท่าไหร่นัก เป็นเหตุให้พวกนี้ต้องอยู่รวมกลุ่มกันในหมู่พวกตัวเอง คล้ายๆคนจีนในไชน่าทาวน์

    ยิวพวกที่สาม พวกนี้เป็นอิสราเอล-อาหรับ มีจำนวนราวหนึ่งล้านคนเช่นกัน อยู่เป็นชุมชนของพวกตัวเอง ใช้ภาษาอาหรับเป็นภาษาสื่อสาร มีหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ มีพรรคการเมืองของตนเอง มีที่นั่งในสภาคเน็ตเซ็ตของอิสราเอลทำหน้าที่ฝ่ายค้านตลอดกาล ส่วนมากอาศัยในเมืองนาซาเร็ธ และชุมชนที่โดดเดี่ยวท่ามกลางชาวปาเลสไตน์ในเขตยึดครอง เป็นยิวที่ญาติดีกับอาหรับมากที่สุดเนื่องจากมีวัฒนธรรมและนิสัยคล้ายกันมากที่สุด ไม่ค่อยมีอิทธิพลอะไร อยู่อย่างสงบ เป็นชนชั้นกลาง และใช้แรงงาน

    ยิวพวกที่สี่ เรียกพวกสุดโต่ง หรือ อุลตร้า-ออธอดอกส์ จำนวนรวมกันไม่ถึงล้านคน พวกนี้ว่ากันว่าอยู่ในแผ่นดินปาเลสไตน์มานานกว่ายิวกลุ่มอื่น บ้างว่ายิวบรรพบุรุษของยิวกลุ่มนี้อยู่ในปาเลสไตน์มาตั้งแต่ยุคการประกาศอิสลามของท่านศาสนามุฮัมมัด ศาสนทูตของชาวมุสลิม และอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรของชาวมุสลิมตลอดมา พวกนี้ออกหนังสือพิมพ์ของตัวเอง มีรายการวิทยุ 40-50 สถานี ทั้งหมดเป็นรายการศาสนา ไม่มีสถานีโทรทัศน์เพราะต่อต้านการดูโทรทัศน์ ไม่มียิวกลุ่มอื่นที่เข้าถึงพวกนี้ หรือปฏิสัมพันธ์กับพวกนี้ได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตามพวกออธออดอกส์สุดโต่งพวกนี้มีพรรคการเมืองของตัวเอง มีที่นั่งในสภาคเน็ตเซ็ต พวกนี้เคร่งศาสนายูดายมาก และต้องการให้อิสราเอลเป็นรัฐศาสนา (Religious State) โดยใช้กฎหมายโมเสส (คัมภีร์โตรา) เป็นธรรมนูญสูงสุด พวกนี้แหละที่กล่าวหาว่ายิวพวกอื่น โดยเฉพาะพวกไซออนิสต์ว่าไม่ใช่พวกยิวแท้ พวกนี้บอกว่ายิวแท้ๆ ไม่จำเป็นต้องมีรัฐ อยู่ที่ไหนก็ได้ขอให้ใช้กฎหมายโมเสส เป็นใช้ได้ พวกอุลตร้า-ออธอดอกส์ รวมกลุ่มกันเอาก้อนหินไปขว้างปาใส่สำนักงานที่ไม่ยอมหยุดงานในวัน ซับบาโต (วันเสาร์) พวกเขาต่อต้านโรงแรมที่เสิร์ฟนม พร้อมกับเนื้อ หรือเนย ในอาหาร พวกเขาต่อต้านโทรทัศน์ มหรสพ และสิ่งยั่วยวนสมัยใหม่ พวกเขาแต่งกายด้วยชุดเสื้อนอกยาวสีดำ ใส่หมวกที่ทำจากหนังแพะ ม้วนไรผมให้เป็นลอน และท่องจำคัมภีร์โตรา และตัลมุด
    (ยังไม่จบ)

     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ฝรั่งเกลียดยิว
    ตอน ...ก๊วนยิว (2)
    Shaffi : เขียน
    (17 มกราคม 2009)

    ยิวพวกที่ห้า เป็นยิวที่เข้าไปตั้งถิ่นฐาน หรือนิคมยิวในดินแดนปาเลสไตน์ที่อิสราเอลยึดเอาไปตั้งแต่หลังสงคราม 6 วัน ในปี พ.ศ. 2510 มีจำนวนรวมราวๆ 2-3 แสนคน ยิวด้วยกันเรียกยิวชาวนิคมว่ายิว Prave ซึ่งเป็นยิวนิกายที่ไม่บริโภคนม และเนื้อ ยิวชาวนิคมมักมองยิวกลุ่มอื่นๆ ด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตร เนื่องจากพวกนี้ถือว่ากลุ่มตัวเอง เป็นกลุ่มแรกๆที่เข้ามาบุกเบิกที่ดิน (หรือกลุ่มแรกที่เข้ามาแย่งที่ดิน) ในปาเลสไตน์ เป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านของเจ้าของเก่าคือชาวอาหรับ ตั้งแต่เริ่มสร้างประเทศ จนถึงทุกวันนี้ เป็นพวกที่ตกเป็นเป้าการโจมตีจากเจ้าของดินแดนเก่า คือชาวปาเลสไตน์มากที่สุด พวกนี้มักมีคำพูดติดปาก ที่แสดงออกถึงความรู้สึกที่แตกต่างกับยิวพวกอื่น โดยกล่าวว่า “เราต่อสู้กับศัตรู (ปาเลสไตน์) เราพลีด้วยชีวิตของเรา แต่พวกแก(ยิวอื่นๆ) กลับเกลียดชังเรา พวกแกกำลังสาปแช่งเรา ทั้งที่แกกำลังเดินอยู่บนถนนสู่ริเวียร่า”

    ยิวกลุ่มที่หก เป็นยิวที่ถูกทั้ง 5 พวกแรกรุมเกลียดชัง และหวาดระแวงมากที่สุด นอกจากเพราะมีจำนวนประชากรมากที่สุดเมื่อเทียบกับยิวทุกกลุ่มแล้ว พวกนี้ยังเป็นพวกรากหญ้าในสังคมอิสราเอล ยิวอื่นๆเรียกพวกนี้ว่า ยิวซีฟาดิม (Sephadim) พวกนี้อพยพมาจากประเทศอาหรับ เช่น จากอิรัก ซีเรีย เลบานอน อียิปต์ ซูดาน โมร็อคโค อัลจีเรีย ลิเบีย อาชีพยอดนิยมคือ เป็นพ่อครัว ขับรถ ก่อสร้าง หรืองานเสี่ยงอันตรายที่ยิวอื่นไม่กล้าทำ แต่พวกนี้ทำเพียงเพื่อความอยู่รอด ยิวอื่นๆมองว่าพวกซีฟาดิม เป็นพวกตัวอันตราย เนื่องจากพวกซีฟาดิม ถูกมองว่าเป็นพวกเอาเปรียบสังคม ด้วยความยากจนจากรายได้ที่ไม่พอจ่ายภาษีให้รัฐ พวกนี้จึงเป็นกากเดนสังคมในสายตายิวพวกอัชคินาซี

    ความรู้สึกดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยามกันเองระหว่างยิวกลุ่มต่างๆ ได้ทำลาย “ฮาสบาราฮ์” หรือการโฆษณาชวนเชื่อ ที่ยิวใช้อ้างเสมอมาว่า ชนชาติยิวเป็นชนชาติอันแข็งแกร่ง และมีเอกภาพมากที่สุดในโลก ให้กลายเป็นแค่เรื่องโกหก ยิวอัชคินาซี มักเปรียบสังคมอิสราเอลว่า เหมือนนกกระยางที่ยืนอยู่ได้บนขาที่เล็กเรียว ภาระในการพัฒนาชาติยิวทั้งหมดตกลงบนบ่าของยิวอัชคินาซีทุกคน รวมทั้งภาระในการจ่ายภาษีให้รัฐ พวกเขาชอบอ้างว่า แม้ยิวซีฟาดิมจาก โมร็อคโค เข้าไปเป็นทหารในกองทัพอิสราเอลมากมาย แต่นักบินดีๆเป็นใครได้ถ้าไม่ใช่ยิวอัชคินาซี ยิวอัชคินาซีเกลียดยิวออธอดอกส์เข้าไส้ เพราะนอกจากจะประณามพวกตนว่าไม่ใช่ยิวแท้แล้ว แถมยังไม่ยอมทำงานทำการ โดยอ้างว่าผิดหลักศาสนา พวกยิวรัสเซียนก็เช่นกัน นอกจากไม่ช่วยแล้วยังเป็นภาระให้กับรัฐ ส่วนพวก Prave หรือพวกชาวนิคม ตอนนี้พวกนี้สมัครเข้ามาเป็นทหารในกองทัพมากเป็นอันดับหนึ่ง เหตุผลก็คือ ไม่มียิวกลุ่มใดสมัครเป็นทหารเพื่อยอมไปตายแทนพวกชาวนิคม ดังนั้นพวกชาวนิคมต้องปกป้องตัวเอง ด้วยการเข้ามาอยู่ในแนวหน้า

    รัฐยิวเป็นรัฐที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก คนที่อยู่ในรัฐเดียวกัน และอ้างว่ามีสายเลือดเดียวกัน แต่ความจริงที่อาจพบได้ตามท้องถนนในเทลอาวีฟ ก็คือ ยิวเคร่งศาสนา ไม่พูดกับยิวอัชคินาซี พวกอัชคินาซี เกลียดชังและไม่พูดกับพวกยิวชาวนิคม พวกยิวชาวนิคมเกลียดยิวทุกกลุ่มที่ปล่อยให้พวกเขาไปตายทุกวัน โดยไม่มีใครออกมาปกป้อง พวกยิวรัสเซียนทำตัวเหมือนยังอยู่ในประเทศรัสเซีย ไม่คบหากับใครที่ไม่พูดภาษารัสเซียน พวกยิวซีฟาดิม เก่งแค่ไหน ก็เป็นได้แค่กรรมกรรายวันหาเช้ากินค่ำทั้งที่เป็นชาวอิสราเอลเต็มตัว

    ในช่วงเวลา 2 ทศวรรษที่ผ่านมา สังคมอิสราเอลได้เปลี่ยนไปสู่สังคมพหุวัฒนธรรม (Multiculturalism) อย่างรวดเร็ว คนยิวทุกคนแทบจะไม่มีใครปฏิเสธเมื่อต้องแนะนำตัวเอง ด้วยคำสองคำ เช่น ฝรั่งเศส-อิสราเอล, อเมริกัน-อิสราเอล, รัสเซียน-อิสราเอล, อิรัก-อิสราเอล, หรือแม้แต่ปาเลสไตน์-อิสราเอล ความสำคัญแห่งการดำรงไว้ซึ่งเอกภาพของชนชาติอันยิ่งใหญ่มากว่า 3,000 ปี ที่พวกยิวชอบอวดอ้าง บัดนี้ไม่มียิวคนใด กล้าอวดอ้างอีกต่อไป

     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แก็งออฟ..ยิว episode 1 เรื่องของแก็งยิวอันธพาลในอเมริกา กลุ่มอันธพาลยิวที่ออกไล่ล่า และก่ออาชญากรรมกับใครก็ตามพวกเขาตราหน้าว่าต่อต้านยิว เรื่องจริงที่แม้แต่ เอฟ.บี.ไอ. ก็ยังต้องปวดหัว ...

    โดย Shaffi (16 กุมภาพันธ์ 2009)

    ผมคิดอยู่นานว่าจะตั้งชื่อบทความในชุดนี้ว่าอย่างไรดี พอเริ่มค้นคว้าไป ภาพลางๆของเรื่องราวต่างๆที่ผุดขึ้นมาในสมอง มันไปคลับคล้ายคลับครากับหนังแนว Gangster เรื่องหนึ่ง ผมคิดว่าหลายท่านอาจเคยดูมาแล้วมันคือเรื่อง Gang of America ที่ ดีคาปรีโอ แสดงนำไงล่ะครับ..แม้ยิวแก็งสเตอร์ในบทความของผมจะไมเหมือนในหนังเสียทีเดียว แต่ด้วยพฤติกรรมนอกกฎหมายและไม่สนใจต่อศีลธรรมใดๆ ผมอยากเรียกยิวอันธพาลที่ใช้อิทธิพลข่มขู่คนที่ต่อต้านยิวพวกนี้ว่า แก็ง ออฟ ยิว..ครับ

    เรื่องราวของ แก็งออฟยิว เป็นที่กล่าวขวัญกันมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น แก็งออฟยิว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการจัดตั้งและมีองค์กรนำ มีการบริหารอย่างดี มีแผนงาน และทำงานอย่างมีเป้าหมาย เริ่มลงมือปฏิบัติการโจมตีด้วยการขว้างระเบิดเพลิง เข้าใส่สำนักงานแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมสหรัฐ-โซเวียต หรือ the US-Soviet cultural exchange ประจำนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 26 มกราคม ปี 1972 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ปีเดียวกันแก็งออฟยิวก็แสดงผลงานอีก แต่คราวนี้หนักมือขึ้นกว่าเดิม อันธพาลยิวบุกเข้าไปในกงศุลออสเตรียประจำวอชิงตัน และทุบตีทำร้ายทูตออสเตรียประจำสหรัฐ อีก 2 ปีต่อมา สมาชิกกลุ่มอันธพาลยิวก็เข้าโจมตีสำนักงานของ Dr. Mohammed Mehdi อาจารย์มหาวิทยาลัยชาวอเมริกัน-อาหรับ ตำรวจต้องใช้เวลาถึง 1 ปี กว่าจะตามจับตัวสมาชิกกลุ่มอันธพาลยิวที่ก่อ เหตุได้

    เล่ามาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านเริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมครับว่า แก็งยิวพวกนี้เป็นใคร ที่ว่าเป็นแก็งเป็นองค์กรมีการจัดตั้งอย่างชัดเจนเนี่ย มันเรื่องจริงหรือเปล่า..ทำไมเราคนไทยไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้เลยล่ะ.. ผมจึงอยากบอกว่า เรื่องพวกนี้ เราไม่รู้หรอกครับถ้าไม่ได้สนใจติดตาม และข้อเท็จจริงก็ค้นหาได้ไม่ยาก คดีที่แก็งอันธพาลยิวพวกนี้ก่อขึ้นส่วนมากก็อยู่ในแฟ้ม FBI. ทั้งสิ้น บางคดีที่ไม่มีหลักฐานจะเล่นงาน ก็กลายเป็น Cold File ไป รอการรื้อฟื้นถ้าพบหลักฐานใหม่ๆ ส่วนมากที่เรื่องราวเหล่านี้ไม่เป็นที่รู้จักก็เพราะว่ามันเป็นการก่ออาชญากรรมภายในสหรัฐ แต่ที่เราสนใจก็คือ อันธพาลที่ก่อคดีทั้งหมด ล้วนเป็นสมาชิกขององค์กรที่มีชื่อเรียกว่า the Jewish Defense League หรือที่ FBI. เรียกย่อๆว่า JDL ผมแปลเป็นไทยว่า “แก็งออฟยิว” นั่นแหละครับ.. ซึ่งพวก“แก็งออฟยิว” พวกนี้ มันทำงานสนองการเมืองและผลประโยชน์ของยิว.. นั่นแหละที่ทำให้ เรื่องราวของสมาชิกใน “แก็งออฟยิว” น่าสนใจ และน่าแปลกใจระคนกันเพราะ พวกนี้ออกปฏิบัติการต่อเป้าหมายฝ่ายต่อต้านยิวครั้งใด FBI. ไม่เคยสาวมาถึงต้นตอถึงตัวใหญ่ใน the Jewish Defense League หรือ JDL ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว..ไม่รู้มันเก่งกว่า FBI. ได้ยังไง..ก็ดูหนังฝรั่ง FBI. เก่งกว่าผู้ร้ายทุกที จริงไหมครับ..


    the Jewish Defense League หรือ JDL คืออะไร ?

    องค์กร the Jewish Defense League หรือ JDL ได้ชื่อว่าเป็นองค์กรที่เกิดขึ้นตามแนวอุดมการณ์ไซออนิสต์ อย่างแข็งขัน เหนียวแน่น JDL เป็นองค์กร NGO. ดูภายนอกเสมือนเป็นเพียงสมาคมของคนยิวที่มีอุดมการณ์เชิดชูลัทธิชาตินิยมยิว ขณะเดียวกันก็แฝงแนวคิดวีรบุรุษนิยม ยกย่อเชิดชูวีรกรรมของกลุ่มนิยมความรุนแรงเมื่อครั้งก่อนประกาศตั้งรัฐยิว (แนวคิดพวกนี้คล้ายๆแนวคิดลัทธิบูชิโดของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยังมีแอบแฝงอยู่ภายใต้จิตสำนึกของคนญี่ปุ่นบางกลุ่ม ดูได้จากพวกที่ไปสักการะศาลเจ้ายาสุคุนิทุกปี ศาลที่ตั้งป้ายวิญญาณของทหารจากสงคราม) บางด้านบางมิติ พวก the Jewish Defense League หรือ JDL มีแนวคิดและอุดมการณ์เหมือนกองทัพพิทักษ์การปฏิวัติ คือถือเสมือนว่าการปฏิวัติเพื่อให้มีรัฐยิวยังคงดำเนินต่อไปไม่จบสิ้น ยังมีศัตรูที่เป็นขวากหนามของการก่อตั้งรัฐยิวที่องค์กรนี้ถือว่าเป็นศัตรูที่ต้องหยุดยั้งและทำลาย เพื่อพิทักษ์รักษาและดำรงอยู่ของรัฐยิวต่อไป เพียงแต่ศัตรูของพวกนี้ไม่ใช่กองกำลัง แต่เป็น แนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐยิวที่เรียกว่า “Anti-Semitism” ในสายตาของ the Jewish Defense League หรือ JDL คำๆนี้ กินความหมายกว้างขวางมากกว่า เพียงแค่การแสดงออกถึงการต่อต้านคนยิว..อย่างที่เคยเกิดขึ้นในยุโรปในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ยังกินความหมายไปถึงการต่อต้านและการเป็นปฏิปักษ์ต่อการมีและดำรงอยู่ของรัฐยิว (ตามแนวอุดมการณ์ไซออนิสต์) อีกด้วย ดังนั้น ศัตรูของ แก็งออฟยิว JDL ส่วนมากจึงเป็นพวก นักการเมืองสายนิยมอาหรับ, หัวหน้าชุมชนชาวอเมริกัน-อาหรับ, นักเขียน, นักหนังสือพิมพ์, ที่มีแนวคิดตรงข้ามกับอิสราเอล นักวิจารณ์ และ นักการเมืองที่มีนโยบายต่อต้านการ Pro-Israel ในคองเกรส, นักการทูตฝ่ายที่ Po-Arab และใครก็ตามที่สนับสนุนปาเลสไตน์ ใครก็ตามที่แม้จะไม่ได้แสดงออกถึงการสนับสนุนปาเลสไตน์ แต่ประณามหรือพยายามเสนอความคิดเห็นต่อต้านอิสราเอลต่อสาธารณะ ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ในสภาท้องถิ่น หรือที่สาธารณะอื่นใด พวกแก็งออฟยิว..จะถือว่าพวกที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็น พวก Anti-Semitism ทั้งหมด โดยไม่แยกแยะ..และบรรดาคนเหล่านี้จะถูกขึ้น Black List ไว้รอการจัดการตามแนวทางของอันธพาลต่อไป..

    [​IMG]

    แรบไบ Meir Kahane ผู้ก่อตั้ง Jewish Defense League

    องค์กร the Jewish Defense League หรือ JDL ก่อตั้งโดยแรบไบยิวชื่อ Meir Kahane เมื่อปี 1968 (หลังสงครามยิว-อาหรับ ที่เรียกว่า สงคราม 6 วันเพียง 1 ปี) แรบไบ Meir Kahane เดิมชื่อ Martin David Kahane เกิดเมื่อปี 1932 ใน Brooklyn, New York แรบไบ Martin Kahane เป็นลูกชายคนโตของพระนักบวชยิวออโธดอกส์ หัวรุนแรงที่สนิทสนมกับนายทหารหัวหน้าผู้ก่อตั้งกองกำลังยิวไซออนิสต์ ในยุคแรกๆเพื่อต่อสู้กับชาวปาเลสไตน์ท้องถิ่น ในช่วงหลายปีก่อนการประกาศตั้งรัฐยิว ที่มีชื่อว่า Ze'ev Jabotinsky, Jabotinsky กลายเป็นวีรบุรุษต้นแบบของกลุ่มก่อการร้ายยิวไซออนิสต์ในช่วงที่เข้ามาปล้นชิงดินแดนอาหรับในช่วงต้นๆ Jabotinsky คือแรงบันดาลใจ และผู้จัดตั้งทหารบ้านหัวรุนแรง กองกำลังที่รวบรวมขึ้นจากชาย ฉกรรณ์ชาวยิว ในนิคมที่อพยพไปปาเลสไตน์รุ่นแรกๆ กลุ่มหัวรุนแรงพวกนี้เริ่มต้นก่อการร้ายตั้งแต่อังกฤษยังปกครองปาเลสไตน์ในฐานะของดินแดนในอาณัติของอังกฤษ เช่น การวางระเบิดถล่มโรงแรมเดวิตในเยรูซาเล็ม ที่ตั้งกองบัญชาการทหารอังกฤษ การก่ออาชญากรรมเข่นฆ่าพลเรือนปาเลสไตน์ เป็นครั้งแรก โดยกลุ่มก่อการร้ายยิวชื่อ Irgun ที่หมู่บ้าน ดีร์ ยาซีน ก่อนที่อังกฤษจะถอนตัวออกไปจากปาเลสไตน์เพียงไม่ถึง 1 เดือน เพื่อข่มขู่ชาวปาเลสไตน์ไม่ให้ลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐยิวที่กำลัง จะประกาศตั้งรัฐยิวในอีกหนึ่งเดือนต่อมา พูดง่ายๆว่า Ze'ev Jabotinsky ก็คือวีรบุรุษในดวงใจของนักปฏิวัติยิวไซออนิสต์ ผู้นำการใช้กำลังทหารและความรุนแรงปล้นแผ่นดินปาเลสไตน์ไตน์ นั่นเอง ..โลกอาจไม่ค่อยรู้จัก Ze'ev Jabotinsky มากนัก แต่นักรบไซออนิสต์บูชา Ze'ev Jabotinsky ดุจดังศาสดาแห่งความรุนแรง

    [​IMG]
    Ze'ev Jabotinsky ผู้ก่อตั้งกลุ่มยิวก่อการร้ายหัวรุนแรงให้กับองค์กร ไซออนิสต์ ในช่วงต้นของการก่อตั้งรัฐยิว

    แรบไบ Meir Kahane แม้เกิดมาในรุ่นหลัง แต่รู้จัก Ze'ev Jabotinsky เป็นอย่างดี เนื่องจาก Ze'ev Jabotinsky เป็นแขกประจำของครอบครัวมาตั้งแต่ แรบไบ Meir Kahane ยังเป็นเด็ก เรื่องราวของวีรกรรมและอุดมการณ์ทหารนิยมของ Ze'ev Jabotinsky ถูกหว่านเมล็ดลงในหัวใจของ แรบไบ Meir Kahane และเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ แรบไบ Meir Kahane ก่อตั้งองค์กร the Jewish Defense League หรือ JDL ขึ้นโดยมี Ze'ev Jabotinsky เป็นทั้งต้นแบบทางอุดมการณ์ เป็นทั้งต้นแบบวิธีการ(กองโจร-อันธพาล-ใช้ความรุนแรง-อาชญากรรม) Ze'ev Jabotinsky เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ เป็น Icon ที่สมาชิกองค์กร the Jewish Defense League หรือ JDL ทุกคนเทิดทูน (พวกนี้ก็เหมือนองค์กรอันธพาลอื่นๆอีกหลายกลุ่มในสหรัฐ ที่แพร่หลายมีมาเป็นเวลานาน อย่างพวก KLU-KLUK-KLAN ที่รังเกียจพวกผิวสี หรือพวกองค์กร Neo-NAZI ที่เป็นศัตรูต่อยิว-คนผิวดำ-ผิวเหลือง Neo-NAZI รวบรวมเอาวัยรุ่นที่ชอบใช้ความรุนแรง มาไว้ด้วยกัน และออกโจมตีศัตรูในโรงเรียนและชุมชน หรืออย่างชาวเอเชียก็มีแก็งอันธพาล แต่ JDL มีรูปแบบและอุดมการณ์ที่ชัดเจนมากกว่ากลุ่มอันธพาลอื่นๆ)

    ในตอนต่อไปจะเล่าถึงผลงานของ แก็งออฟยิว..ครับว่าทำไมถึงกล้าก่ออชญากรรมท้าทาย FBI. และอะไรคือเป้าหมายของแก็ง อันธพาลยิวเหล่านี้...

     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แก็งออฟ..ยิว episode 2

    เรื่องของแก็งยิวอันธพาลในอเมริกา กลุ่มอันธพาลยิวที่ออกไล่ล่า และก่ออาชญากรรมกับใครก็ตามพวกเขาตราหน้าว่าต่อต้านยิว เรื่องจริงที่แม้แต่ เอฟ.บี.ไอ. ก็ยังต้องปวดหัว ...

    โดย Shaffi

    ผมเล่าไว้ใน episode 1 ถึงตอนที่เปรียบเทียบพวก Jewish Defense League หรือ JDL หรือที่ผมเรียกว่าแก็งออฟยิว ว่าคล้ายๆพวก Neo-Nazi ที่เกลียดยิวเกลียดคนผิวสี เหมือนลัทธิ Nazi คล้ายพวก KKK ที่เกลียดคนดำ และส่วนที่เหมือนกันมากที่สุดคือเป็นพวกนิยมความรุนแรง และเป็นแก็งอาชญากรรม พวก Jewish Defense League นิยมและเทิดทูนบูชาอุดมการณ์ Ze'ev Jabotinsky บิดาแห่งยิวก่อการร้ายไซออนิสต์

    องค์กร Jewish Defense League หรือที่ผมเรียก แก็งออฟยิว ก่อตั้งขึ้นโดย Meir Kahane เมื่อปี 1968 ครอบครัวของ Meir Kahane กับ Ze'ev Jabotinsky ผู้ก่อตั้งกองกำลังยิวไซออนิสต์ มีความสนิทสนมกัน Jabotinsky เป็นแขกประจำของครอบครัว Kahane แนวคิดและอุดมการณ์ของ Jabotinsky จึงงอกงามขึ้นในใจหนูน้อย Meir Kahane จนกระทัั่ง Meir Kahane เติบใหญ่เป็นวัยรุ่น จึงเข้าร่วมเป็นสมาชิกที่กระตือรือล้นกับ Betar กลุ่มการเมืองที่ Jabotinsky ก่อตั้งขึ้นในปี 1925 หนุ่มน้อยหัวรุนแรง Meir Kahane ด้วยวัยเพียง 15 ปี แต่อาจหาญเป็นผู้นำในการออกปฏิบัติการโจมตีขบวนของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ Ernest Bevin ขณะมาเยือนปาเลสไตน์ และถูกทหารอังกฤษจับกุมตัวได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ออกปฏิบัติการ

    2 บุคคลสำคัญที่ได้รับอิทธิพลทางความคิด และแรงบันดาลใจมาจาก Ze'ev Jabotinsky และจัดตั้งกลุ่มกองโจรไซออนิสต์ 2 กลุ่ม ที่ออกปฏิบัติการโจมตีกองกำลังอังกฤษที่ประจำการในปาเลสไตน์ก่อนที่จะถอนตัวออกไป และโจมตีชาวปาเลสไตน์ในที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดตั้งรัฐยิว หัวหน้ากลุ่มกองโจรยิวไซออนิสต์สานุศิษย์ของ Jabotinsky ทั้งสองต่อมาได้ดำรงตำแหน่งถึงนายกรัฐมนตรีอิสราเอล คนแรกคือ Menachem Begin หัวหน้ากลุ่มกองโจรที่ใช้ชื่อว่ากลุ่ม Irgun ส่วนอีกคนหนึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอิสราเอลเช่นกัน นั่นคือ Yitzhak Shamir หัวหน้ากลุ่มกองโจรที่ชื่อว่ากลุ่ม Lehi หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Stern gang และ Yitzhak Shamir หัวหน้ากลุ่มกองโจรที่ชื่อว่ากลุ่ม Lehi คนนี้แหละที่ปฏิบัติการสังหาร Lord Moyne ผู้สำเร็จราชการอังกฤษประจำตะวันออกกลาง เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 1944 และปฏิบัติการลอบสังหารผู้เจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อสันติภาพขององค์การสหประชาชาติ ชาวสวีเดนชื่อ Count Folke-Bernadotte

    ในช่วงทศวรรษที่ 1960 Meir Kahane เขาใช้ชีวิตแบบสองสถานภาพ ด้านหนึ่งที่เปิดเผย เขาใช้ชีวิตความเป็นอยู่ปกติและทำงานปกติภายใต้ชื่อ Michael King เขาไม่แสดงงตนว่าเป็นชาวยิว โดยแฝงตัวอยู่ในสังคมโดยปกปิดแม้แต่ภรรยาของเขาก็ไม่รู้สถานภาพของ Michael King เขาแฝงตัวและได้เข้าไปทำงานใน the Central Intelligence Agency หรือ CIA. และ the Federal Bureau of Investigation หรือ FBI. เขาเป็นสายลับอยู่ในกลุ่มฝ่ายขวาของ John Birch และแฝงตัวในกลุ่มนักศึกษาฝ่ายซ้ายหลายกลุ่ม เพื่อหาข่าวให้ FBI.

    การปกปิดว่าเป็นยิว โดยใช้ชื่อ Michael King เขาตระเวณไปมีอะไรต่อมิอะไร กับสาวๆ ที่เขาฉวยได้ตามบาร์ในนิวยอร์ค คนหนึ่งในบรรดาหญิงสาวที่เขาหิ้วมาจากในบาร์ คือ Gloria Jean D'Argenio สาววัย 22 ปี ไม่ใช่ยิว ทำงานเป็นนางแบบโดยใช้ชื่อ Estelle Evans หลังจากที่พวกเขาเจอกันในปี 1966 พวกเขามีอะไรกันโดยไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ถึงขนาดที่เขาขอเธอแต่งงาน แต่หลังจากนั้นสองสามสัปดาห์พวกเขาสองคนก็แยกทางกัน Estelle Evans ฆ่าตัวตายโดยโดดลงไปในแม่น้ำ East River มีคนพบศพเธอในสองวันต่อมา

    ชีวิตของ Kahane คล้ายดังละคร ในปี 1968 เมื่อเขาและเพื่อนสนอทร่วมกันก่อตั้ง แก็งออฟยิว หรือ Jewish Defense League ขึ้นมาด้วยการใช้สโลแกนที่ท้าทายกฎหมายว่า “ Every Jew a .22," "Never Again" ชื่อของ Jewish Defense League ก็กลายเป็นที่ดึงดูดความสนใจของบรรดาสื่อมวลชนทันที เขาเริ่มจากการพุ่งเป้าหมายและภารกิจเย้ยกฎหมายและศีลธรรมไปที่การ Anti-Black หรือการต่อต้านคนผิวดำ ทั้งๆที่ชาวยิวในนิวยอร์คนั้นใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางถิ่นของคนผิวดำในนิวยอร์ค

    Kahane และองค์กรใหม่ของเขา ได้รับความสนใจและได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรที่มีอิทธิพลมาก 2 กลุ่ม ได้แก่ พรรคการเมืองแนวนิยมขวาจัดคือพรรคเฮรุด (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคลิคูด) และกลุ่มมาเฟียนิวยอร์ค

    ในช่วงระยะเวลาระหว่างเดือนธันวาคม ปี 1969 ถึง เดือนสิงหาคม ปี 1972 แก็ง ออฟยิวของ Kahane ก็ได้รับการสนับสนุนจากพรรคเฮรุด ที่มี Menachem Begin เป็นหัวหน้าพรรค, เจ้าหน้าที่ระดับสูงใน Mossad หน่วยสืบราชการลับอิสราเอล รวมทั้งบรรดานักธุรกิจยิวที่มั่งคั่งร่ำรวยต่างหันมาสนใจให้การสนับสนุน Jewish Defense League ของ Kahane กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง บรรดาผู้สนับสนุนเหล่านี้ต่างมีจุดยืนร่วมกันและต้องการให้ องค์กรของ Kahane เป็นตัวออกหน้าในแผนการอาชญากรรมล่าสังหารบรรดานักการทูตของสหภาพโซเวียต รวมทั้งโจมตีเป้าหมายผลประโยชน์ของโซเวีนตในอเมริกา เป้าหมายที่พุ่งตรงไปที่โซเวียตเพื่อแสดงความเห็นใจต่อชะตากรรมชาวยิวในรัสเซีย และบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียต

    วันที่ 12 พฤษภาคม ปี 1971 Kahane กับสมาชิกแก็งออฟยิว JDL ถูกจับกุมตัวในข้อหาสมรู้ร่วมคิดในแผนการวางระเบิด วันต่อมา Kahane ก็ประกาศว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรกับหัวหน้าแก็งมาเฟียนิวยอร์ค ชื่อ Joseph Colombo, Jr. นักหนังสือพิมพ์อิสราเอล Yair Kotler เขียนเล่าประวัติของ Kahane ว่า “ Kahane ได้รับความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดจากมาเฟียนิวยอร์ค” จนกระทั่ง Joseph Colombo, Jr, ถูกสังหารในปี 1971

    Kahane ต้องเข้าไปชดใช้กรรมในคุก 3 ปี ในข้อหาปฏิบัติการใช้กำลังโจมตีผิดกฎหมาย ในต้นๆของทศวรรษที่ 1970 Kahane ตัดสินใจเลิกกิจกรรมของแก็ง ออฟยิว และย้ายไปอยู่อิสราเอล และกลับไปสหรัฐเป็นบางโอกาสเพื่อระดมเงินชื่อเสียงในทางลบของเขาในฐานะหัวหน้าแก็งออฟยิวเริ่มกระฉ่อนโลกและเป็นที่รู้จักของนานาชาติอีกครั้ง ในปี 1976 เขาประกาศตั้งพรรคการเมืองชื่อพรรค Kach และได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภาคะเน็สเซ็ตครั้งแรกในปี 1984 ขณะที่ องค์กร Jewish Defense League ที่เขาก่อตั้งขึ้นในนิวยอร์ค ถูกศาลมีคำสั่งให้ยุบองค์กร สมาชิกกลุ่มเดิมได้แตกตัวไปเป็นองค์กรใหม่ หลายองค์กร เช่น "Jewish Direct Action," "United Jewish Underground," "Save Our Israel Land," และ the "Jewish Defenders”

    Kahane ถูกลอบสังหารในวันที่ 5 พฤศจิกายน ปี 1990 ขณะที่กำลังกล่าวในระหว่างประชุมกลุ่มผู้สนับสนุน ที่โรงแรมใน มิดทาวน์ แมนฮัตตัน นิวยอร์คซิตี้ (10)

    Kahane ตายไปแล้ว..แต่สิ่งที่ Kahane ทิ้งไว้ คืออาชญากรรมและรูปแบบของแนวคิดชาตินิยมหัวรุนแรง..ใครที่ไม่เข้าใจ และหลงเชื่อสิ่งที่สื่อยิวตะวันตกนำเสนอซ้ำๆซากๆจนติดหัวติดหู ว่า ฮามาสหัวรุนแรง..เป็นผู้ก่อการร้าย..อย่างนั้นอย่างนี้ ตอนต่อไปจะเล่าพฤติกรรมอาชญากรยิวพวกนี้ให้พวกเราลองเปรียบเทียบกันครับว่า...ใครร้ายกว่ากัน..

     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แก็งออฟ..ยิว episode 3 เรื่องของแก็งยิวอันธพาลในอเมริกา กลุ่มอันธพาลยิวที่ออกไล่ล่า และก่ออาชญากรรมกับใครก็ตามพวกเขาตราหน้าว่าต่อต้านยิว เรื่องจริงที่แม้แต่ เอฟ.บี.ไอ. ก็ยังต้องปวดหัว ...

    โดย Shaffi (18 ก.พ. 2009)

    อ่านมาแล้วสองตอนท่านผู้อ่านสงสัยไหมครับว่า แรบไบ Meir Kahane แกคิดอะไรอยู่ ทำไมความรักชาติรักเผ่าพันธุ์ตัวเอง จึงอยู่เหนือกว่าจริยธรรมและกฎหมาย ลองมาแกะรอยกันดูครับว่า แรบไบ Meir Kahane คิดอะไร และปลูกฝังอะไรแก่บรรดาสมาชิก Jewish Defense League ที่แม้ว่าจะถูกกฎหมายรัฐนิวยอร์คแบนไปตั้งแต่ปี 1984 แต่สมาชิกศานุศิษย์ของ แรบไบ Meir Kahane ยังมิได้สูญหายไปไหน และยังคงพร้อมทำหน้าที่ก่ออาชญากรรมต่อต้านผู้ที่มีความเห็นตรงข้ามกับอิสราเอลต่อไป

    ในคำเทศนาหรือบทความรวมทั้งหนังสือหลายเล่มของแรบไบ Meir Kahane จะพบว่าเนื้อหาส่วนมากในเทศนาเหล่านั้นแสดงถึงความยะโสโอหังความยิ่งใหญ่ของประชาชาติยิว ที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าประชาชาติใดๆ และเนื้อหาที่แสดงถึงแนวคิดไซออนิสต์ที่ไม่เคยเมตตาปรานีให้แก่ศตรูของยิว คำเทศนาของแรบไบ Meir Kahane ที่สอนแก่บรรดาสมาชิก JDL แรบไบ Meir Kahane สั่งสอนว่า ไม่ว่าจะกระทำการใดๆก็ตามที่ทำให้อิสราเอลอยู่รอดตลอดไปได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะได้มาด้วยการก่อการร้าย การปล้นชิง หรือแม้แต่ต้องฆาตกรรม ทั้งหมดนี้ถ้าเพื่อเป้าหมายดังกล่าวแล้ว..ถือว่าเป็นสิ่งยุติธรรม ก็เข้าทำนองว่า..ฆ่าศัตรูของยิวไม่บาปไม่ผิดกฎหมายอะไรทำนองนั้นแหละครับ..นี่คือกฎหมายของผู้ก่อการร้ายตัวจริงล่ะครับ..

    ตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความคลั่งใคล้ใหลหลงในชาติพันธุ์ของตนเองว่ายิ่งใหญ่เหนือเผ่าพันธุ์อื่น เห็นได้ชัดจากสุนทรพจน์ของ แรบไบ Meir Kahane ที่อยู่ในเอกสารการประชุมผู้นำชุมชนยิว ในปี 1980 แรบไบ Meir Kahane เขียนว่าอย่างนี้ครับ...

    “ความอาฆาตพยาบาทคือหลักการมูลฐานของกฎแห่งความเป็นยิว คำสั่งข้อห้ามสำหรับยิว..นำมาซึ่งความเคียดแค้นอาฆาต ต้องขอบคุณพวกนอกศาสนา(พวกคริสเตียน) และยุคสมัยแห่งความสับสนอลหม่านที่เราใช้ชีวิตอยู่ ด้วยการใส่ร้ายป้ายสี ต่างๆนานา ที่ทำให้รัฐบาลอิสราเอล ทำถนน รถประจำทาง ร้านค้า และบ้านเรือน บนดินแดนของพวก Ishmaelites (ชื่อที่ยิวเรียกปาเลสไตน์) สถานที่ซึ่งมีแต่การก่อการร้าย และไร้ความปลอดภัยอย่างสิ้นเชิง เรา(ยิว)ได้ปัดเป่าความต่ำต้อยในดินแดนนั้นให้มลายไป ด้วยนามของพระเจ้า (โดยประกาศตั้งรัฐยิว) แต่พวกอาหรับกลับไม่ยอมค้อมหัวให้แก่อธิปไตยของยิว รัฐบาลอิสราเอลรู้ดีว่าพวกเขาต้องเผาผลาญความชั่วร้ายซึ่งก็คือบรรดาชาติอาหรับให้ออกไปจากดินแดนของยิว”

    อีกบทความหนึ่ง ตีพิมพ์ในปี 1973 แรบไบ Meir Kahane เขียนเน้นย้ำว่า ชนชาติยิวนั้นไม่มีใครเอาชนะได้ ไม่มีใครทำลายได้ แล้ววันนั้นจะมาถึง..เขาสัญญา วันที่พวกที่ไม่ใช่ยิว จะได้รู้ว่ายิวคือชนชาติที่ถูกเลือกเฟ้น (จากพระเจ้า)

    “ประชาชาติยิว..ไม่มีวันถูกทำลาย แต่ยิ่งกว่านั้นพวกเขาและพระเจ้าของพวกเขา จะประกาศชัยชนะเหนือความชั่วร้าย และความโง่เชลาของบรรดาชนชาติอื่นๆ ทั้งหมด ไซออน..คือสถานที่ที่ผู้คนทั้งหมดต้องหันกลับมาหา และพระเจ้าของชนชาติยิว คือพระเจ้าองค์เดียวที่พวกเขาต้องคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์..”

    ในบทความหนึ่งที่ตีพิมพ์ในปี 1982 แรบไบ Meir Kahane เน้นเรื่องการไร้น้ำใจ การไร้ซึ่งความเห็นใจ ต่อศัตรูของชนชาติยิว

    “ขอให้พวกเรามองดูเหตุการณ์หนึ่งจากมุมมองของยิว..เลบานอน สงครามเริ่มขึ้น(โดยอิสราเอล) เพื่อทำลายล้างศัตรูปาเลสไตน์ และพวกมันทั้งหมด ใครก็ตามที่คิดจะกวาดยิวออกจากดินแดนส่วนใหญ่ที่เป็นของยิว..มันต้องเจอกับสงครามแห่งความตาย เข่นฆ่าประหัดประหารศัตรูจนสิ้นซาก สอนให้พวกมันซึมซับกำซาบกับความกลัว ความสยดสยอง จนกว่ามันจะยอมพ่ายแพ้ และได้ตระหนักถึงพระเจ้า(ของยิว) ..”

    ชนชาติยิว กับอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้..แรบไบ Meir Kahane กล่าวเสมอๆว่า

    “ข้าพเจ้ากล่าวเป็นล้านๆครั้งแล้วว่า ประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่เรารู้จักนั่นน่ะ มันเข้ากันไม่ได้กับอุดมการณ์ไซออนิสต์ แนวคิดที่จะให้อิสราเอล เป็นรัฐประชาธิปไตยเป็นเรื่องไร้สาระ”

    มีครั้งหนึ่ง แรบไบ Meir Kahane เคยกล่าวว่า

    “ประชาธิปไตยมีไว้สำหรับคนที่ไม่มีความสัตย์จริง รัฐบาลที่ยังโลภหลง เมื่อออกกฎหมายหรือคำสั่งใดๆ ก็มักจะสวนทางกับกฎหมายยิว คือ โตรา ..ซึ่งไม่เคยวางรูปแบบให้สังคมยิวเป็นสังคมประชาธิปไตย

    ความหมกมุ่นขุ่นใจของแรบไบ Meir Kahane เห็นได้ชัดเจนว่ามันมีผลพวงมาจากการปฏิบัติต่อยิวในระหว่างช่วงสงครามในยุโรป สโลแกนที่แรบไบ Meir Kahane เอามาใช้กับแก็งออฟยิวของ Kahane เขียนว่า “Never Again” ซึ่งหมายถึง ประสบการณ์ Holocaust ในสายตาและทัศนะของแรบไบ Meir Kahane มองว่าคนที่ไม่ใช่ยิวทุกคน ไม่ต่างจากฆาตกรนาซี เขาเขียนว่า

    “ตราบใดที่ยังมีคนที่ไม่ใช่ยิว อยู่ฝ่ายที่ตรงข้ามกับยิว..โอกาสที่จะเกิด Holocaust ยังมีโอกาสเกิดขึ้นเสมอ”

    แรบไบ Meir Kahane ไม่เคยมองคุณค่าของมนุษย์เผ่าพันธุ์ไหน และไม่มีใครดีกับยิว เกินกว่ายิวเลย..ยิวสมควรเป็นเผ่าพันธุ์เดียวในโลกที่มีสิทธิ์ได้อยู่บนโลก.. เช่นนี้ ยิวจึงมองไม่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของใครเลย เวลาที่ แรบไบ Meir Kahane จะทำจะปฏิบัติสิ่งใด แรบไบ Meir Kahane จะเน้นถึงมาตรการทางศีลธรรม โดยเน้นว่าสิ่งที่ปฏิบัติต้องดูก่อนว่า ทำไปแล้วจะ “เป็นสิ่งที่ดีต่อชาวยิว..หรือไม่ ?” หากการใดไม่ตั้งคำถามเช่นนี้ก่อน แรบไบ Meir Kahane บอกว่า มันคือหนทางที่จะนำไปสู่ "a new Auschwitz." (Auschwitz ค่ายกักกันยิวของนาซีในระหว่างสงคราม)

    คนที่เป็นแรบไบ คือ เป็นพระสอนศาสนา ซึ่งสมควรที่จะเป็นบุคคลซึ่งนำคำสอนที่จะทำให้เกิดความสันติสุขมาสู่โลกและมนุษย์ แต่เมื่อบุคคลนั้นกลับมองเห็นว่าคนอื่นชาติอื่นมิใช่มนุษย์เช่นพวกตน คำสอนของพวกเขาจะไม่เกิด หรือเอื้อต่อประโยชน์สุขของโลก เขาทำให้ศาสนาของเขารับใช้ความเคียดแค้นอาฆาต ของพวกเขา แล้วเปลี่ยนเป็นความรุนแรงและการละเมิดศีลธรรมต่อมนุษย์ชนชาติอื่น ...

    ผมไม่คิดว่าพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยเมตตาปรานี ของพวกเขา จะทรงเห็นด้วยกับความคิดและการกระทำ ของพวกเขา พวกเขาเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป หรือเปล่า ?

     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แด่ปาเลสไตน์...ด้วยความเกลียดชัง..
    [​IMG]

    เด็กๆชาวอิสราเอล...มอบความเกลียดชัง
    ไปยัง..เด็กๆชาวปาเลสไตน์
    ด้วยความตาย..จากเด็กยิว ?
    [​IMG]

    ผู้ใหญ่ชาติไหนในโลก สอนให้ลูกหลาน
    ทำเช่นนี้..กับเพื่อนมนุษย์
    น่าสงสัยว่า พวกยิวสอนให้เด็กๆ
    เติบโตขึ้นเป็นอะไร..? เพื่อทำลายล้างหรือมิใช่..?


    [​IMG]

    สันติภาพ..มีจริงหรือไม่..
    เด็กๆเหล่านี้สะกดคำว่า “สันติภาพ”
    ได้หรือไม่..
    [​IMG]

    การเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์..
    เป็นพิธีกรรมทางศาสนาของพวกยิว...
    [​IMG]

    อาวุธทันสมัยของสหรัฐ..ไม่ต้องสวดมนตร์หรอก
    ขลังแน่นอน ลงตรงไหน..ตายเป็นเบือตรงนั้น..Made in USA.
    รับประกันความศักดิ์สิทธิ์ชัวร์


    เห็นภาพอย่างนี้..คุณคิดอย่างไร ?
    http://www.oknation.net/blog/TalkingBook/2009/02/14/entry-2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2011
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สื่อ..(ยิว)จอมบงการโลก ตอนที่ 9 โลกนี้..เป็นของยิว..ก็ด้วยสื่อของยิว (ตอนจบ)

    Shaffi : เขียน (15 กุมภาพันธ์ 2009)

    แนวคิดว่าสื่อสร้างอิทธิพลทางความคิดให้แก่ผู้บริโภค ไม่่ใช่เรื่องใหม่ ตอนที่ผมเป็นเด็ก (40 กว่าปีที่แล้ว) ผมเกิดและโตมาท่ามกลางบ้านเมืองที่เป็นเผด็จการ โรงเรียนติดรูปผู้นำที่เป็นทหาร รัฐมนตรีแต่ละคนดูน่าสงสารมากกว่าดูมีอำนาจ เพราะบนเครื่องแบบเต็ม (จนล้น) ยศของพวกเขาติดเข็มตราจนล้นหน้าอกเห็นแล้วตลกดี นึกถึงโซเวียตยุคสตาลิน ทหารใหญ่ติดเหรียญจนไม่มีที่บนเสื้อนอกเหลือให้ติดอีกแล้วนั่นแหละถึงออกจาดบ้านได้ ตอนผมเป็นเด็ก สื่อทั้งหมดรัฐบาลควบคุม ใครทำไม่ถูกใจโดนปิดโรงพิมพ์หมด ทุกสัปดาห์โรงเรียนจะแจกใบปลิวเป็นภาพการ์ตูน โจมตีลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่เราไม่รู้เรื่องหรอกอะไรคือคอมมิวนิสต์ มาบอกเราทำไมไม่รู้ จนมาถึงยุคสื่อเสรี หนังสือพิมพ์ฉบับไหนสนับสนุนใครหรืออยู่สีไหน มีใครบ้างไม่รู้ สื่อโทรทัศน์ก็ยังแบ่งขั้ว สำนักข่าวแม้ ไม่บอกก็รู้ว่าใครพวกไหน.. สื่อทุกสื่อมีขั้วมีค่าย เพื่อ..สร้างกระแสความคิดเห็นสาธารณะ ถ้าใครสร้างกระแสได้แรงกว่า หรือเรียกว่า จุดติดง่ายกว่า..กระแสนั้นก็กลายเป็นกระแสหลักในสังคม ก็เป็นฝ่ายชนะ สื่อไทยกับสื่อฝรั่งมันต่างกันตรงไหน ทำไมเราต้องคิดว่า สื่อฝรั่งต้องเที่ยงตรงเป็น กลาง และมีจริยธรรมเหนือกวาสื่อไทย และยิ่งสื่อฝรั่งเหล่านั้นอยู่ในมือนายทุนผู้บริหารและผู้ผลิตที่เป็นยิวด้วยแล้ว..มีเหตุผลอะไรที่สื่อพวกนี้จะไม่รับใช้ผลประโยชน์ของยิว... ตรรกะง่ายๆแบบนี้แหละครับ

    ทุกวันนี้ตอนที่เราตื่นนอนขึ้นมา..ใครเป็นคนบอกเราล่ะครับว่า เมื่อคืนวานเกิดอะไรขึ้นที่ไหนในโลกบ้าง..สื่อใช่ไหมครับ.. ถ้าเขาไม่บอกบางอย่าง เลือกบอกบางอย่าง หรือบอกอย่างมีนัยยะก็ได้ใช่ไหมครับ.. นี่ล่ะครับที่เรียกว่า สร้าง Public Opinion นั่นแหละครับ..สื่อยิวสร้างประธานาธิบดีคนแล้วคนเล่าให้ชาวอเมริกันเลือก ก็ด้วยวิธีนี้นี่เอง..

    คราวที่แล้วผมจบตรงเรื่องของหนังสือพิมพ์ที่มีอิทธิพลทางความคิดมากที่สุดต่อชาวอเมริกันและโลก คือ The New York Times - The Washington Post และ The Wall street Journal คราวนี้ถึงคิวนิตยสารข่าว

    News Magazine - นิตยสารข่าว

    เช่นเดียวกับหนังสือพิมพ์ สื่อประเภทนิตยสารข่าวสามารถสร้างอิทธิพลและชี้นำความคิด และหล่อหลอมทัศนคติคนอเมริกันและโลก ได้ไม่แพ้หนังสือพิมพ์รายวัน และสื่ออื่นๆ ในบรรดานิตยสารข่าวมากมายหลายร้อยฉบับมรอเมริกา แต่มีเพียง 3 ฉบับที่มีอิทธพลมากที่สุด นั่นคือ นิตยสาร Time, Newsweek และ U.S. News & World Report

    นิตยสาร Time เป็นนิตยสารข่าวรายสัปดาห์ ที่มียอดพิมพ์สัปดาห์ละกว่า 5 ล้านฉบับ ภายใต้การบริหารงานของ Time Warner Communications ที่ถูกรวมเข้ากับ Time, Inc. เมื่อปี 1989 โดยขึ้นตรงกับผู้บริหารสูงสุดใน Warner Communications คือ CEO. ชาวยิวที่ชื่อ.. Gerald Levin

    ส่วนนิตยสาร Newsweek ผลิตภายใต้สำนักพิมพ์ เดียวกับหนังสือพิมพ์ the Washington Post ซึ่งบริหารโดย the Washington Post Company ซึ่งก็เป็นทีมบริหารทีมยิวภายใต้การนำของ Katherine Meyer Graham ด้วยยอดพิมพ์สัปดาห์ละ 3.5 ล้านฉบับ

    นิตยสารข่าวชั้นนำในอันดับที่ 3 คนไทยอาจไม่ค่อยคุ้นสักเท่าไหร่ นั่นคือนิตยสาร U.S. News & World Report ด้วยยอดพิมพ์สัปดาห์ละ 2.5 ล้านฉบับ เจ้าของและผู้พิมพ์คือชาวยิวที่ชื่อ Mortimer B. Zuckerman ซึ่งยังทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบริหารเองอีกด้วย Zuckerman ยังเป็นเจ้าของนิตยสารรายเดือน the Atlantic Monthly หนังสือพิมพ์ขนาดแท็ปลอยด์ the Daily News อีกด้วย

    บทสรุป

    เรื่องราวที่ผมเล่ามาให้ฟังตั้งแต่ตอนที่ 1 ถึงตอนที่ 9 นี้ เป็นข้อเท็จจริงของสื่อที่ครอบงำอเมริกาและโลก สิ่งที่ผมนำมาเสนอนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดพิสดารหรือเรื่องลึกลับซ่อนเร้นที่ไม่มีใครเห็น ข้อเท็จจริงว่ายิวกลุ่มไหนครอบครองสื่อใดอย่างไร มีสัดส่วนหุ้นอย่างไร ซื้อกิจการมาปีไหน เป็นข้อมูลที่หาอ่านได้ทั่วไป พวกยิวไม่ได้ปิดบังข้อมูลเหล่านี้แต่อย่างใด ตรงข้ามพวกยิวภูมิใจในชัยชนะที่ได้เป็นผู้ครอบครองสื่อที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในอเมริกาและในโลก ตอนที่กลุ่มทุนยิวกว้านซื้อหุ้นในส่วนของ Ted Turner ใน Time Warner จน Ted กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย พวกยิวกล่าวในสื่อต่างๆอย่างภาคภูมิใจว่า “เท็ดดี้..ไม่ใช่ยิว” ทำนองว่า เท็ดไม่ใช่ยิว เท็ดควรออกไปจากอุตสาหกรรมสื่อ ซึ่งเป็นของยิวได้แล้ว

    ภายใน 20 ปี ที่ยิวคืบคลานเข้ามายึดครองสื่อ คนอเมริกันไม่เคยสนใจ กระทั่งสื่อในมือยิว + วาระทางการเมืองของรัฐบาลอเมริกันยุคบุช + ผลประโยชน์ของอิสราเอล ทำให้คนอเมริกันเริ่มผิดสังเกต คนอเมริกันซึ่งโดยนิสัยไม่ใช่คนอยู่นิ่งเฉย เริ่มรู้สึกไม่สบายใจกับสถานการณ์นี้ ผู้บริโภคในอเมริกาไม่น้อยที่เริ่มแสดงตัวอย่างเปิดเผย และออกมาเป็นตัวตั้งตัวตี แน่นอนใครที่ออกมาพูดตรงข้าม ย่อมถูกสื่อยิวทั้งหลายรุมตีตราว่าเป็นพวก Anti-Semitism

    สื่อยิวทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างไม่เกรงใจใคร พวกเขาชี้นำและกำหนดนโยบายต่างประเทศสหรัฐ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่อิสราเอลได้รับมากกว่าผลประโยชน์สหรัฐ พวกเขาจะคอยบอกว่าเมื่อสหรัฐต้องทำสงคราม เมื่อใดต้องเจรจาสันติภาพ นักข่าวสายกลางและสำนักข่าวทางเลือกเกิดขึ้นมากมายในยุคที่สหรัฐทำสงครามอ่าวเปอร์เซีย สำนักข่าวทางเลือกที่ปราศจากอิทธิพลยิวถึงกับวิจารณ์ว่า ถ้าหากสื่อยิวไม่ควบคุมและชี้นำอเมริกา ป่านนี้อเมริกาก็ไม่ต้องทำสงครามอ่าว ไม่ต้องเกิดกรณีที่ ทหารกองกำลัง NATO ปฏิบัติการสังหารโหดประชาชนชาวเซิร์บในเซอร์เบีย ก็ได้

    สำนักข่าวทางเลือกที่ปราศจากอิทธิพลยิว ยังวิจารณ์สถานการณ์อุตสาหกรรมสื่อของสหรัฐว่า การที่สหรัฐปล่อยให้ยิวครอบครองสื่อ ควบคุมข่าวสารทั้งหมด รวมถึงสื่อบันเทิง นั่นย่อมเท่ากับ ชาวอเมริกันยอมให้สื่อยิวมีอำนาจในการเข้าแทรกแซงระบบการเมือง และครอบงำวิสัยทัศน์ทางการเมืองของรัฐบาลอเมริกัน เราปล่อยให้สื่อยิวควบคุมความรู้สึกนึกคิด และจิตวิญญาณ ลูกหลานอเมริกัน พวกเขาชี้นำ หล่อหลอมควบคุม สร้างทัศนคติ และมีอิทธิพลเด็กๆ ผ่านทางรายการโทรทัศน์ยิว ภาพยนตร์ยิว มากกว่าอิทธิพลจากพ่อแม่ ศาสนา และสิ่งอื่นๆทั้งหมด...

    สำหรับส่วนอื่นๆในโลก..ที่ไม่ยอมรับรู้อะไรยิ่งกว่าคนอเมริกัน.. เช่น สื่อของประเทศเรา กำลังหลับใหล หรือว่าตกอยู่ภวังค์ กันแน่ สื่อไทยคิดว่า สื่อยิวจากโลกตะวันตกเท่านั้น ที่ทันสมัย เที่ยงตรง รวดเร็ว และปราศจากอคติ ..สื่อไทยลืมคิดไปว่า สื่อไทยเองก็ยังอคติ และเลือกที่จะเสนอ หรือไม่เสนอบางเรื่อง บางข้อมูล บางข่าวสาร เพื่อประโยชน์แก่ฝ่ายที่ตนเองสังกัด ตรรกะเดียวกันกับสื่อยิว ที่เลือกเสนอหรือไม่เสนอสิ่งที่ยิวต้องการเพื่อผลประโยชน์ของอิสราเอล สื่อไทยใช้บริการที่เรียกว่า wire services ซื้อข่าวจากสื่อยิว แล้วแปลเป็นภาษาไทย นำเสนออย่างคนหูหนวกตาบอด จึงทำให้สื่อไทยมีสภาพไม่ต่างจาก..สื่อในยุคที่ทหารครองเมืองตอนที่ผมยังเป็นเด็ก .. สมัยที่ยังมี ม. 17 ม. 21 และปว.42 สั่งทุบแท่นพิมพ์ใครก็ได้ที่ทหารไม่ชอบ..

    แต่สถานการณ์่สมัยนี้ กับสมัยนั้น ต่างกันตรงที่ สื่อยุคนั้น ไม่มีทางเลือก แต่ยุคนี้สื่อมีทางเลือกมากมาย .. แต่กลับไม่เลือก บอกว่าต้องใช้ wire service ของ AP-Reuters-New york Time ฯลฯ สื่อของยิวนั้น..

    เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น และ...ไม่พัฒนาเอาเสียเลยว่ามั๊ย

     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ่าน“ยิว”ผ่านปาก“ยิว” 1
    Shaffi : เขียน (2 กุมภาพันธ์ 2009)

    ผมทำ Blog ชื่อ “สันติภาพปาเลสไตน์” เพื่อนำเสนอปัญหาความรุนแรงที่ชาวปาเลสไตน์ถูกกระทำย่ำยี อย่างไม่เป็นธรรมมาเปิดเผยต่อสาธารณชนชาวไทย และเชิญชวนให้ร่วมกันทำความเข้าใจปัญหาของเพื่อนมนุษย์ ผู้ได้รับความทุกข์ยากสาหัสมานานกว่า 60 ปี แล้ว นานเข้าก็นำเรื่องที่มีประเด็นเกี่ยวโยงมานำเสนอด้วย เช่น องค์กรยิวในระบบการเมืองอเมริกัน หรือเรื่องของยิวที่เข้าไปมีอิทธิพลในสื่อมวลชนตะวันตก และบิดเบือนโลกให้เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นไปในแนวทางที่พวกเขาต้องการ

    ผมไม่ประสงค์แสดงความเป็นอคติต่อชนชาติ-ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ใดๆ ทั้งมิได้จงใจนำเสนอเพราะความเกลียดชัง แต่ถือเอาข้อเท็จจริงเป็นที่ตั้ง เพราะไม่มีแนวคิด Anti-Semitism (ต่อต้านชนชาติยิว) ดังนั้นหากมีเหตุที่จะทำให้ต้องอ้างถึง นิสัยชนชาติยิว ผมจะขอไม่วิพากษ์วิจารณ์โดยตรง แต่จะเล่าผ่านมุมมองของฝรั่ง หรือไม่ก็จากปากคำของคนยิวเอง.. หากอ่านแล้วรู้สึกว่า อาจมีข้อความบางประการหมิ่นเหม่ หรือแสดง ออกอย่างอคติ โปรดเข้าใจว่า นี่ไม่ใช่ทัศนะของผมที่พึงแสดงออกใน Blog นี้นะครับ

    แรปไบ Stephen S. Wise ผู้นำสมัชชาชาวอเมริกัน-ยิว กล่าวว่า “ผมหาใช่ประชาชนชาวอเมริกันที่มีศาสนายิวไม่..ผมเป็นยิว ผมเป็นคนอเมริกันมา 63 ปี แต่ผมเป็นยิวมา 4,000 ปี ..”

    ผู้พิพากษาศาสฎีกาสหรัฐ Louis D. Brandies กล่าวว่า “พวกเราทั้งหมดจงระลึกว่าเราเป็นยิว...ชนชาติที่แตกต่างจากชนชาติอื่น ยิวทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใด ภายใต้ความเชื่อหรือลัทธิใด..แต่เราไม่สิ้นความเป็นยิว”

    หนังสือ The Jewish Courier วันที่ 17 มกราคม 1924 ระบุว่า
    “ชาวยิวอาจรับเอาประเพณี และภาษาของประเทศที่พวกเขาอยู่อาศัยมาใช้ แต่พวกเขาจะไม่มีวันกลายเป็นส่วนหนึ่งในหมู่ประชากรของชาตินั้น”

    หนังสือชื่อ “ The Zionist Connection ภาค 2” เขียนโดย Alfred Lilienthal เมื่อปี 1978 หน้าที่ 218-219 อ้างถึงคำกล่าวของ นายกเทศมนตรี Sulzbergers ที่กล่าวในพิธีมอบรางวัล the Pulitzers เขากล่าวว่า
    “สิ่งที่จำเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการสร้างสายสัมพันธ์ของยิว ก็คือ การควบคุมสื่อ เป็นที่รู้กันดีมานานแล้วว่าสื่ออเมริกันก็คือเตาหลอมความคิดเห็นของสาธารณชน และความคิดเห็นเหล่านี้มาจากการชี้นำอันทรงอิทธิพลของหนังสือพิมพ์ อย่าง New York Times, the Washington Post, และ the St. Louis Post-Dispatch”

    เดวิด เบนกูเรียน อดีตบุคคลสำคัญในองค์การยิวโชออนิสต์ อดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอล และบิดาแห่งรัฐยิวสมัยใหม่ เคยแสดงวาทะถึงความใฝ่ฝันของเขาว่า
    “โลกในจินตนาการของข้าพเจ้า เกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน และคนที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะเข้ามามีอิทธิพลในทางการเมืองเพิ่มขึ้น ทำให้อเมริกาเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจไปเป็นแบบรัฐสวัสดิการ(สังคมนิยม) ยุโรปตะวันตกและตะวันออก จะเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยม นอกจากโซเวียตแล้ว โลกทั้งผองจะรวมเป็นพันธมิตร ไม่มีภัยคุกคาม กองทัพก็จะลดความสำคัญลง สงครามจะจบสิ้น สหประชาชาติจะสร้างมหาวิหาร(เดวิด) ในเยรูซาเล็ม เพื่อประชาชาติทั้งมวล ให้เป็นศาลสูงสุดของมนุษยชาติ เพื่อใช้เป็นที่ตัดสินข้อพิพาทต่างๆในโลก”
    พวกพระยิวหรือแรปไบถกเถียงกันเองในเรื่องการค้นหาว่าทำไมชาชาติยิวจึงอยู่เหนือมนุษย์อื่นๆในโลก พวกเขาเถียงกันว่า..
    “ยิวไม่ใช่..และไม่อาจจะเป็นคนธรรมดาสามัญได้..เอกลักษณ์อันเป็นนิรันดร์ของชาวยิว เป็นผลมาจากข้อตกลงระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับชนชาติยิว มราภูเขาไซนาย โดยนัยยะนี้ ย่อมหมายถึงว่าชาวยิวนั้นเป็นชนชาติที่อยู่เหนือกว่าโลกของมนุษย์สามัญ และไม่อยู้ในกฎของโลกปกติ แรบไบ Shlomo Aviner แย้งว่า “บัญญัติ 10 ประการ (The 10 Commandments) ที่ว่าพระเจ้าทรงมอบให้ชาวยิวนั้น ที่จริงพระเจ้าทรงมอบไว้เป็นแนวทางแห่งความเที่ยงธรรมเป็นสิทธิของมนุษย์ทุกชนชาติ”

    John Foster Dulles รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ บ่นกับผู้สื่อข่าว ในช่วงระหว่างดำรงตำแหน่งในปี 1957 เขาบ่นว่า ... “ผมกังวลใจเป็นอย่างมาก เมื่อคิดถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ขณะนี้พวกยิวชักจะมีอิทธิพลกดดันในสภาคองเกรสทำโน่นทำนี่ ห้ามไม่ให้ผ่านกฎหมายนั้นกฎหมายนี้ มากขึ้นเรื่อยๆ สถานทูตอิสราเอลนี่แหละตัวที่อยู่เบื้องหลัง”

    หนังสือชื่อ The Wise Men of Zion ผมตั้งชื่อไทยให้เท่ๆว่า “ไฟปรารถนาของบุรุษแห่งไซออน” เป็นหนังสือที่รวบรวมแนวคิดของบรรดาปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน เขียนโดย Judas Schuldbuch บางตอนในหนังสือนี้กล่าวว่า “สิ่งสำคัญสุดท้าย..คือ..ยิวครอบครองโลก เรายังไปไม่ถึง แต่มันจะต้องไปให้ถึงจุดนั้น นี่ก็เต็มทีแล้ว..กับสิ่งที่เรียกว่ารัฐคริสเตียนในจินตนาการ, ระบอบซาร์รัสเซีย, จักรวรรดิ์เยอรมันและลัทธินิยมทหาร โลกและผู้คนกำลังถูกไล่ต้อนไปสู่ความย่่อยยับ โอกาสนี้แหละดีที่สุด สำหรับบทเริ่มต้นให้ยิวเข้าครอบงำ”

    นักปรัชญาและเทวศึกษา แห่งศตวรรษที่ 17 ชื่อ Baruch Spinoza เขียนไว้ในหนังสือของเบาบางส่วนกล่าวถึงบุคลิกภาพยิวไว้ว่า ... “ความรักที่มีต่อแผ่นดินของชาวฮีบบรู (ยิว) ไม่ใช่แค่ความรักชาติแต่เป็นกฎที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อยู่ใต้เบื้องลึกของจิตใจที่ต้องระลึกถึงทุกวัน เหมือนอย่างที่คนชาติ(คริสเตียน) อื่นที่ช่างจงเกลียดจงชังยิวตลอดเวลา มันน่าวิตถารหากเมื่อคิดว่าทำไมพวกเขาเอาอะไรมาอ้างสิทธิ์เหนือคนอื่นทั้งหมด ทุกวันพวกเขามีแต่จะเพิ่มพูนความเดียดฉันท์ หว่านเมล็ดพืชแห่งความเกลียดชังทั้งหมดลงไป และมันผลิเป็นผลบุญสำหรับเป็นความรักแผ่นดิน ของชาวยิว”

    เท่าที่อ่านมาทั้งหมด ผมรู้สึกว่าความเกลียดชังที่ชาวยิวได้รับ ไม่ว่ามันจากมาจากนิสัยยิวเอง หรือนิสัยเหยียดหยันของฝรั่งผิวชาว ..สิ่งนี้ทำให้ยิวผูกใจเจ็บไม่น้อย และแค้นฝังใจได้ยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ ที่แค้นนานก็อาจเป็นเพราะว่ายิวถือดีว่าเป็น “คนของพระเจ้า” ยิ่งเมื่อถูกคนชั้นต่ำในสายตายิว (ชนชาติที่ไม่ใช่ยิว) มาดูถูกเหยียดหยามรังเกียจ ผลที่ออกมาคือ ยิวก็หาทางแก้แค้นด้วยการจังฝรั่งเป็นหุ่นเชิดเพื่อบรรลุเป้าหมายของยิว..โดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่าน อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว..ต้องเติมคำในช่องว่าเอาเองแล้วล่ะครับ..

    (ยังมีต่ออีกเยอะเลยครับ...)

     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ่าน“ยิว”ผ่านปาก“ยิว” 2
    Shaffi : เขียน (3 กุมภาพันธ์ 2009)

    ผมคิดว่าการจะค้นหาว่านิสัยใจคอชาวยิวว่าเป็นอย่างไรนั้นเป็นเรื่องยาก แต่การค้นพบว่ายิวมีบุคลิกภาพเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่เห็นได้จากภายนอก และการกระทำง่ายมากกว่า เพราะบุคลิกภาพสะท้อนจากการพูด การกระทำ เปิดเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจ เรื่องของยิวที่เราได้อ่าน ช่วยวาดภาพยิวในใจได้พอควร ยิวมีบุคลิกภาพร่วมกันอยู่ ห้า-หกประการ เช่น รักชาติ-รักเผ่าพันธ์ุ อย่างมาก(จนอาจเกินเลยปกติวิสัยมนุษย์ที่รักชาติหรือเผ่าพันธุ์ตนเองแค่ไหนก็ไม่ก่อกวนชาติอื่น-แต่ยิวไม่ใช่) ยิวหยิ่งทรนงในความเป็นยิวโดยอ้างพระเจ้าและดึงพระเจ้ามาเป็นพวก ยิวรักและทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง เจ้าคิดเจ้าแค้น ชอบเล่นเกม ชอบควบคุม ไม่ชอบถูกควบคุม และเป็นจอมวางแผนตัวฉกาจ ทีนี้เรามาดูกันต่อว่า ฝรั่ง และยิวพูดถึงยิวว่าอย่างไร..เชิญครับ

    นักประวัติศาสตร์สเปน ศตวรรษที่ 19 ชื่อ José Amador de los Rios กล่าวว่า... “(ยิว)ไม่เคยรักผืนแผ่นดินที่พวกตนใช้อยู่อาศัย ปราศจากการอยู่ร่วมอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกันกับเจ้าของประเทศที่ยิวอาศัย และท้ายที่สุดยิวไม่เคยแสดงให้เห็นว่าเป็นคนเอื้อเฟื้อ พวกเขาละโมภ และทำให้พวกเยอรมันล่มจม ยิวฉวยโอกาสล้างแค้นด้วยความเจ็บใจ จากความเกลียดชังที่หยั่งรากฝังลึกมาหลายร้อยปี”

    บางตอนจากหนังสือชื่อ “ The Secret Powers Behind Revolution” เขียนโดยนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ Vicomte Leon De Poncins หน้า 175-176 หน้า 183 เล่าว่า..
    “ธุรกิจสิ่งพิมพ์ยิว ในกรุงเวียนนา ออสเตรียนั้นขายทุกอย่าง ทุกสิ่งล้วนมีราคาค่างวด บรรดาศิลปินล้วนถูกทำให้กลายเป็นสินค้าส่วนหนึ่งของความสำเร็จทางธุรกิจ ไม่มีงานศิลปะประเมืองปัญญา ไม่มีงานศิลปะชิ้นไหนเข้าตาสาธารณชน การวิพากษ์วิจารณ์ชื่นชมเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจที่มีค่าตอบแทน ถ้าศิลปินคนไหนอยากเสนองานต่อสาธารณะเขาต้องจ่ายให้กับบรรดานักเขียนนักวิจารณ์งานศิลปะ ถ้าคุณเป็นนักแสดงหน้าใหม่ นักดนตรีมือใหม่ นักร้องที่ปรารถนาจะได้รับความนิยมจากผู้ชมและต่อสาธารณะ คุณก็ต้องรู้จักลงทุน ไม่มีใครกล้าเปิดตัวในฐานะศิลปินหน้าใหม่โดยขาดการสนับสนุนจากบรรดานักเขียนผู้ทรงอิทธิพลชาวยิว แน่นอน..คุณต้องจ่ายให้พวกเขา้ท่าที่พวกเขาต้องการ มิเช่นนั้นพวกเขาและเธออาจต้องลิ้มรสบทเรียนจากประสบการณ์ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า (ไม่ว่าจริงๆแล้วคุณจะฝีมือดี เก่ง หรือมีพรสวรรค์แค่ไหนก็ตาม) ตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลยิวที่เข้าครอบงำสื่อสิ่งพิมพ์ในกรุงเวียนนา นี่เป็นหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย และมันเป็นกลายเป็นเชื้อโรคร้ายอันน่าเกลียดที่กัดกินไปในสังคมทุกระดับชั้น...”

    “หากว่านี่เป็นความเลวร้ายแค่ชั่วครู่ชั่วยาม หรือเกิดขึ้นในประเทศใดประเทศหนึ่ง คงพอรับได้ แต่ความเกลียดชังนี้ได้แพร่ขยายไปในทุกหนทุกแห่งที่แวดล้อมอยู่รอบๆตัวพวกยิว ยิวได้มอบความเป็นศัตรูให้กับคนทุกคนที่มีเผ่าพันธุ์ต่างจากยิว แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลกันแค่ไหน ่ในประเทศที่ใช้กฎหมายต่างกันผู้ปกครองต่างกัน พวกเขาไม่มีมีมาตรฐานทางศีลธรรมที่เท่าเทียมกัน แต่ยังมีประเพณีเดียวกัน นี่คือที่มาของแนวคิดต่อต้านยิว(Anti-Semitism) ”

    บางตอนจากหนังสือ Jews Must Live หรือชื่อไทยว่า “ยิวอยู่ยั้งยืนยง” เขียนโดย Samuel Roth พิมพ์ ปี 1934 ความว่า ... “ความรู้เบื้องต้นของข้าพเจ้าเกี่ยวกับทัศนคติของชาวยิวมาจากเรื่องเล่าของนักเดินทางชาวยิว ที่เล่าเกี่ยวกับการทำข้อตกลงทางธุรกิจกับพวกกอยยิม(คำเรียกที่ยิวใช้เรียกฝรั่งคริสเตียน) ข้าพเจ้าไม่ค่อยรู้มากนัก แต่จับได้ว่าเป้าหมายสูงสุดเมื่อยิวทำธุรกิจกับฝรั่ง ยิวจะต้องได้เปรียบให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ยิ่งโกงกอยยิมได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ถ้ายิวตกลงธุรกิจไม่มีใครเสียเปรียบ ยิวจะบอกว่านี่เป็นการทำธุรกิจที่แย่ ...”

    Baruch Levy เขียนหนังสือเรื่อง Letter to Karl Marx หรือ จดหมายถึงคาร์ลมาร์ก พิมพ์เมื่อปี 1928 ในหน้าที่ 574 เขียนอธิบายภารกิจของชาวยิวแต่ละคนไว้อย่างชัดเจน ดังนี้ว่า..
    “คนยิวทุกคนมีภารกิจของตัวเองที่บรรลุเป้าหมายคือ “เมชซิอาฮ์” (โลกใหม่คล้ายคติพราหมณ์ ที่กล่าวถึงโลกยุคพระศรีอารย์ Messiah หรือ “เมชซิอาฮ์” มาจากคำทำนายในพระคัมภีร์) วิธีการไปสู่โลกในยุค “เมชซิอาฮ์” มีภารกิจสำคัญที่ยิวทุกคนถือเป็นหน้าที่ นั่นก็คือ สลายชาติพันธุ์อื่นๆ ด้วยการทำลาย(สงคราม) ทำลายล้างระบบกษัตริย์ และจัดตั้งสาธารณรัฐยิวขึ้นทุกหนทุกแห่งในโลก ในที่นี้ก็คือ “จัดระเบียบโลก” (World Order) นั่นเอง.. บรรดาลูกหลานวงศ์วานอิสราเอลจะได้รับการเชิดชูเป็นชนชั้นผู้ปกครองในโลกใหม่ โดยปราศจากการต้านทานใดๆ รัฐบาลของพวกชนชาติอื่นต้องล้มครืน รัฐบาลสาธารณรัฐยิวจะโค่นทำลายผู้ร่ำรวยทรัพย์สมบัติทั้งหมดเป็นของสาธารณรัฐ คำมั่นและพันธะสัญญาในคัมภีร์ตัลมุดจะถูกเติมเต็ม สมดังที่กล่าวไว้ว่า “เมื่อยุค “เมชซิอาฮ์” มาถึง ยิวจะได้ครอบครองโลกทั้งผองไว้ในกำมือ”

    ต่อไปนี้เป็นบันทึกคำให้การของ นายธนาคารชาวยิวชื่อ Paul Warburg ที่ให้การต่อคณะกรรมาธิการสอบสวนวุฒิสภาสหรัฐ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1950 ว่า.. ”ไม่ว่าพวกคุณจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม เราจะจัดตั้งรัฐบาลโลก ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่ารัฐบาลโลกของยิวจะตั้งขึ้นมาจากการทำสงคราม หรือด้วยความยินยอมของพวกคุณเท่านั้น”

    Samuel Roth กล่าวไว้ในหนังสือ Jews Must Live หน้า 44 ...
    “การตระเตรียมประเทศยิวเป็นเรื่องที่ถูกทำอย่างลับๆ ในหมอกควัน ความต้องการที่แท้จริงและการไปสู่ความสำเร็จนั้นให้ได้ ดำเนินการผ่านโรงเรียนฮีบบรู เพื่อสั่งสมความคิดและติดอาวุธทางปัญญาให้ลูกหลานอิสราเอลมีความตระหนักว่าพวกเขาเป็นยิว อันเป็นเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างจากเผ่าพันธ์ุอื่นๆ ที่ต่อไปหน้าที่ของลูกหลานอิสราเอลก็คือ ทำสงครามกับพวกผู้ต่อต้านจากเผ่าพันธุ์เหล่านั้น เด็กๆชาวยิวต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรกว่า เขาคือยิว ซึ่ง..ต้องจงรักภักดีต่อชาติ พวกเขาต้องนำความรักชาติไปสู่หมู่ชาวยิว เขาอาจเป็นคนอเมริกันที่ดี อาจเป็นคนจีนที่ยอดเยี่ยม แต่พวกเขาไม่ต้องมีพันธะใดๆต่อประเทศที่เขาอยู่ สิ่งที่สำคัญที่สุดของลูกหลานยิวทุกคน คือพันธะที่มีต่อตัวเองในฐานะของยิวคนหนึ่ง..”

    ความรักชาติ เป็นความรู้สึก ของทุกชาติ ทุกวัฒนธรรม ทุกเผ่าพันธุ์ สันติภาพถาวรจะเกิดขึ้นในโลกนี้ได้นั้น จะต้องไม่มีเผ่าพันธุ์ใด นำความรักชาติ ของตน ไปทำลายความรักชาติของผู้อื่น และต้องไม่ทำให้ความรักชาติของเผ่าพันธุ์อื่น..ไร้ค่าและปราศจากความหมาย ..

     

แชร์หน้านี้

Loading...