เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    มันก็แหงหละครับ พิมพ์แบงค์กงเต๊กออกมา ยังกับเวทมนต์เสกเงินออกมา ถึงแม้จะทำให้ดอลล่าร์ดูไร้ค่า แต่เมกาก็กักตุนทองคำและน้ำมันไว้อยู่ เหมือนกอบโกยเอาทรัพยากรทั้งโลกมาอยู่กับตัวเอง โดยใช้แค่กระดาษที่กำลังจะดูเหมือนไร้ค่ามายึดครองทรัพยากรและสินทรัพย์ของประเทศอื่นๆ
     
  2. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    แร่ธาตุ เกษตรกรรม และ ปศุสัตว์
     
  3. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571

    ไม่ไหว ไม่ไหว ปุ๋ยแพง


    ขายมอเตอร์ไซด์ซื้อปุ๋ยกันเลยที่เดียว







    สองสูง ++++ สองสูง จับแง่ง ดีดไข่ คิดมาได้ !!

    คุมราคาปุ๋ยไม่ได้ ตาย 5 กันแบบลูกโซ่


    เกษตรทั้งวงจร เริ่มต้นที่ปุ๋ย ...... จับคนขึ้นราคาปุ๋ย ดีดไข่ด้วย !!!


    สองสูงแล้วไง ....... เงินบาทกลายเป็นแบ็งค์กงเต็ก เอาไว้เหี่ยง ให้ คนคิด สองสูง



    อ๋อ.....เอาคนคิดขึ้นราคาก๊าซ มาดีดด้วย toor-แหล-เรื่อ-หาย (อ้าง เพื่อแก้ปัญหาลักลอบขนก๊าซไปขาย เลย) !!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2011
  4. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    รู้ว่าแพงแล้วจะใช้ปุ๋ยไปทำไมหละยังงั้น:boo:
     
  5. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571


    เพรา เขื่อน กักตะกอนดิน !!!!!


    แต่ อีกหน่อย ไม่แน่ นะ น้ำท่วมมันทุกปี พืชงาม ได้ปุ๋ยธรมชาติ อิ อิ
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทำไมชาวยิวและชาวอาหรับ / มุสลิมเกลียดชังกันและกัน?

    คำถาม: ทำไมชาวยิวและชาวอาหรับ / มุสลิมเกลียดชังกันและกัน?

    คำตอบ: ประการแรก จำเป็นมากที่เราต้องเข้าใจก่อนว่าชาวอาหรับไม่ได้เป็นมุสลิมทุกคน และมุสลิมทุกคนก็ไม่ได้เป็นชาวอาหรับ แต่ส่วนใหญ่ของชาวอาหรับคือมุสลิม และมีชาวอาหรับอีกมากมายที่ไม่ใช่มุสลิม และมีหลายแห่งที่ชาวอาหรับไม่ใช่มุสลิมมากกว่าชาวอาหรับที่เป็นมุสลิม เช่นที่(อินโดนีเซีย และมาเลเซีย) ประการที่สอง จำเป็นมากที่เราต้องจำไว้ว่า ไม่ใช่ชาวอาหรับทุกคนที่เกลียดชาวยิว และไม่ใช่ชาวยิวทุกคนที่เกลียดชังชาวอาหรับและมุสลิม เราต้องระมัดระวังที่จะกล่าวแบบตายตัวกับเรื่องแบบนี้ อย่างไรก็ดี คนทั่วก็มักจะมองว่าชาวอาหรับและมุสลิมจะไม่ชอบและไม่ไว้ใจต่อชาวยิว , แต่ในทางกลับกัน

    ได้มีการอธิบายอย่างชัดเจนไว้ในพระคำภีร์ ย้อนกลับไปที่ อับราฮัม ชาวยิวนั้นเป็นทายาทของอัสอัคบุตรชายของอับราฮัม ส่วนชาวอาหรับนั้นเป็นทายาทของอิชมาเอลบุตรของอับราฮัมเช่นกัน แต่ว่าอิชมาเอลนั้นเป็นลูกของหญิงทาส (ปฐมกาล 16:1-16) และอิสอัคคือผู้ที่ได้รับคำสัญญาที่จะได้รับมรดกสืบทอดจากอับราฮัม (ปฐมกาล 21:1-3) จะเห็นอย่างชัดเจนว่าระหว่างลูกชายทั้งสองนั้นมีความไม่พอใจกันอยู่ซึ่งเป็นผลมาจากการที่อิชมาเอลได้เยอะเย้ยอิสอัค (ปฐมกาล 21:9) ซาราห์ได้พูดกับอับราฮัมให้ไล่ฮาการ์และอิชอาเอลออกไป (ปฐมกาล 21:11-21) และสิ่งนี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้อิชมาเอลรู้สึกว่าอิสอัคได้ดูถูกเค้า และทูตของพระเจ้าได้พยากรณ์ต่อฮาการ์ว่าอิชมาเอลนั้น “เค้าจะอาศัยตรงหน้าพี่น้องของเค้า” (ปฐมกาล 16 :11-12)

    ศาสนาอิสลามนั้นส่วนใหญ่นับถือโดยชาวอาหรับ พระคำภีร์อัลกุรอานได้บันทึกคำสั่งสอนในเรื่องของความเป็นศัตรูต่อกันของชาวมุสลิมต่อชาวยิว พระคำภีร์อัลกุรอ่านได้พูดถึงความขัดแย้งกันระหว่างบุตรชายทั้งสองว่าคนใดคือผู้ที่ด้รับมรดกสัญญาของอับราฮัมที่แท้จริง ซึ่งในพระธรรมฮีบรูได้กล่าวว่าเป็นอิสอัค แต่พระคำภีร์อัลกุรอานกล่าวว่าเป็นอิชมาเอล และยังสอนไว้ว่าอิชมาเอลต่างหากที่อับราฮับเกือบจะถวายบูชาต่อพระเจ้าไม่ใช่อัสอัค (ซึ่งแตกต่างจากพระธรรมปฐมการ บทที่ 22) การถกเถียงว่าใครคือผู้ไดรับมรดกสัญญาทำให้เกิดการขัดแย้งในทุกวันนี้นี่เอง

    อย่างไรก็ดี รากเก่าแก่ของความขมขื่นระหว่างอิสอัคกับอิชมาเอล ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวยิวกับชาวมุสลิมในทุกวันนี้ จริงๆแล้วประวัติศาสตร์เป็นพันๆปีที่ผ่านมาของชาวตะวันออกกลางได้กล่าวว่า ชาวยิวและชาวอาหรับได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติภาพไม่มีความแตกแยกกัน แต่สาเหตุหลักของความแตกแยกนี้ได้เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อองค์การสหประชาชาติได้ยกที่ดินของชาวอิสราเอลต่อชาวยิว ซึ่งในเวลานั้นชาวอาหรับได้อาศัยอยู่บนที่ดินนั้นเป็นส่วนใหญ่ (ชาวปาเลสไตล์) ซึ่งชาวอาหรับส่วนมากได้ประท้วงต่อการครอบครองที่ดินของชาวอิสราเอล และสหประชาชาติอาหรับได้ทำการโจมตีอิสราเอลเพื่อที่จะให้พวกเขาออกไปจากที่ดินนั้น แต่พวกเค้าก็ต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบต่ออิสราเอล นับแต่นั้นเป็นเป็นมา ความขัดแข้งครั้งใหญ่ระหว่างอิสราเอลกับเพื่อนบ้านชาวอาหรับก็เกิดขึ้น ถ้าคุณมองดูในแผนที่ อิสราเอลนั้นมีพื้นที่อยู่เพียงเล็กๆแต่แวดล้อมด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ของชาวอาหรับ เช่น จอร์แดน,ซีเรีย,ซาอุดิอาระเบีย,อีรักและอียิปต์ ซึ่งหากมองในมุมมองของเรานั้นพระคำภีร์ได้กล่าวว่าอิสราเอลมีสิทธิ์ถูกต้องที่จะอยู่ในที่ดินนั้น พระเจ้าได้ให้ที่ดินของอิสราเอลต่อทายาทของยาโคบ หลานชายของอับราฮัม ในเวลาเดียวกันเราก็มีความเชื่ออย่างจริงจังว่า อิสราเอลนั้นได้แสวงหาเสรีภาพและแสดงความให้เกียรติต่อเพื่อนบ้านชาวอาหรับด้วย ใน สดุดี 122:6 ได้กล่าวไว้ว่า “จงอธิษฐานขอสันติภาพให้แก่เยรูซาเล็มว่า : ขอบรรดาผู้ที่รักเธอจงจำเริญ”

    ทำไมชาวยิวและชาวอาหรับ / มุสลิมเกลียดชังกันและกัน?
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รู้จัก .. ยิว .. ในแง่มุมอื่นๆ บ้าง

    อัสสลามมุอลัยกุม ครับ



    โดยปกติ เมื่อพูดถึง ยิว มุสลิมหลายคนอาจร้อง ..ยี้ .. อาจด้วยหลายสาเหตุ ทั้งข่าวสารต่าง ๆ นา ๆ ที่กรอกหูเราอยุ่ทุกวัน ว่ายิว คือ ศัตรูของอิสลาม

    ความจริงแล้ว ผมไม่อยากให้ไปเหมารวมอย่างนั้นหรอกครับ ... เพราะ คนเรา จะดี หรือ ไม่ดี มันไม่ใช่อยู่ที่ว่า เขาเป็น ยิว หรือ เป็น มุสลิม ... อยู่ที่ว่าเขามีความ ศรัทธา ต่อ สัจธรรม มากน้อยเพียงใดต่างหาก


    หากเรามองเหมารวมว่า ยิว ไม่ดีทั้งหมด ... ก็ไม่ต่างจากที่ ปัจจุบัน มุสลิมถุกมองว่า เป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งหมดหรอกครับ ... ดังนั้น เลือกที่จะมอง และเข้าใจในบทบาท ของ สิ่งเหล่านั้นดีกว่าครับ


    โดยทั่วไปแล้ว ชนชาติยิว ได้รับการยกย่องใน 3 เรื่อง คือ 1. สติปัญญา 2.ความเคี่ยว (ขี้งก) และ 3.การต่อรอง

    1.เรื่อง สติปัญญา นั้น เราจะพบเห็นได้ว่า บรรดา นักคิด นักเขียนส่วนใหญ่ ที่มีชื่อ ล้วนมีเชื้อสายยิว ทั้งนั้น เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ , อดัม สมิธ บิดาแห่ง เศรษฐศาสตร์, วอลแตร์ ผู้จุดประกายการปฏิวัติฝรั่งเศส , ซิกมันต์ ฟรอยด์ บิดาแห่งจิตวิทยา , เปาโล ผู้นำคริสเตียนหลังยุคพระเยซู ฯลฯ

    2.เรื่องความเคี่ยว นี่ ถ้าใครเคยทำธุรกิจกับยิวแล้วจะรู้ดี มีวรรณกรรมเรื่องหนึ่ง ที่สะท้อนนิสัยเรื่องนี้ ของคนยิวได้เป็นอย่างดี คือ เรื่อง MARCHANT OF VENICE หรือ เวนิสวานิช


    3.ประการสุดท้าย เรื่องการต่อรอง ... เรื่องนี้ ถือเป็นหัวใจหลักของการดำรงเผ่าพันธุ์ ของยิว เลยทีเดียว

    ... การที่ยิว สามารถดำรงชนชาติ ผ่านร้อน ผ่านหนาว มามากว่า 4,000 ปีได้ นั้น ก็ด้วยอาศัยการต่อรอง ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองในระดับปัจเจกบุคคล หรือ ระดับชาติ ... ยิว รอดพ้นจากการทำลายล้างของ โรมัน ก็ด้วยการต่อรอง

    เข้าไปมีบทบาทกับการก่อตั้งประเทศ สหรัฐอเมริกา ก็ด้วยการต่อรอง
    เข้าไปควบคุมเศรษฐกิจของสหรัฐก็ด้วยการต่อรอง
    เข้าไป ควบคุมราชบัลลังก์อังกฤษ ก็ด้วยการต่อรอง
    ร้อดพ้นจากการสูญเผ่าพันธ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ด้วยการต่อรอง
    จัดตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นมาก็ด้วยการต่อรองกับอังกฤษ


    และทุกวันนี้ ยิวอิสราเอล ก็ยังใช้ให้คนอเมริกา ไปรบกับมุสลิม ไปตายแทนพวกเขาก้ด้วยการต่อรองทั้งสิ้น


    จะเห็นได้ว่า ยิวนั้นสร้างข้อได้เปรียบจากลักษณะนิสัยของตนเอง และ ชิงความได้เปรียบ จากสิ่งที่ผู้คนอื่น ๆ มองข้ามมันไป ... ซึ่งถ้ามุสลิมเรา เรียนรู้ที่จะมีวิธีคิดแบบยิว บ้าง ... ก็จะช่วยให้ สังคมมุสลิมพัฒนาไปได้อีกไกลเลยทีเดียว ( หมายถึง วิธีคิดที่ดี ๆ เป็นประโยชน์นะครับ ไม่ใช่ไปเอาเปรียบท่าเดียว [​IMG] )


    ทีนี้ เรามาดูปรัชญาวิธีคิดแบบยิว บ้างดีกว่า ... ถือว่า รู้เขารู้เราแล้วกัน ...อะไรที่ดี ก็เอาไปใช้ อะไรที่ไม่ดีก็ปรับปรุงประยุกต์ใหม่


    ปรัชญายิวกล่าวว่า - ศาสนาคริสต์นั้นสอนให้รักคนอื่น ... แต่ยิวสอนว่า ให้รักตัวเองก่อน และยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน ... คนที่ไม่รักตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปรักคนอื่น


    ปรัชญายิวกล่าวว่า - มีนิทานเรื่องหนึ่ง บันทึกว่า อาจารย์กับลูกศิษย์คู่หนึ่ง สนทนากันอยู่ ... ลูกศิษย์ ถามอาจารย์ว่า " อาจารย์ครับ สัจธรรมมีอยู่ทุกหนแห่ง เหมือนก้อนหินตามทางที่เราเดินผ่านกระนั้นหรือ ..."

    ท่านอาจารย์ ตอบว่า "..ถูกแล้ว เราสามารถก้มลงหยิบสัจธรรมได้ทุกหนแห่ง ... แต่การหยิบต้องงอเอว และตรงนี้เองแหละที่ทำยาก" [​IMG]


    ( ... ผมว่า ปรัชญาอันนี้ ลึกซึ้งนะ ... ง่าย ๆ แต่ ตรงประเด็นเลยล่ะ )


    ปรัชญายิวกล่าวว่า - ความถ่อมตัวนั้น เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้วไม่รู้จักถ่อมตัว ไม่รู้จักโค้งคำนับผู้อื่น สักวันจะถูกยึดทรัพย์ จะถูกเนรเทศ ... คนชั่วที่น่ากลัว คือ คนฉลาดที่ไม่รู้จักถ่อมตัว แม้ว่าความฉลาดจะเป็นเรื่องดี แต่บ่อยครั้งที่พวกเขาฉลาดแบบเห็นแก่ตัว


    คนยิว นั้น จะให้ความสำคัญกับข้อมูลข่าวสารมาก ( ด้วยเหตุนี้กระมัง สื่อหลาย ๆ แห่ง ถึงมีคนยิวเข้าไปร่วมอยู่ด้วยเสมอ) ... คนยิวชอบตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบจนแน่ใจว่าใช่แล้วจึงเชื่อ ... ยิวกล่าวว่า การหลงทาง 1 ครั้ง มิสู้ถาม 10 ครั้งแล้วไม่หลงทาง ไม่ดีกว่าเหรอ...

    ยิว มีคติข้อหนึ่ง กว่าว่า " การเมตตาต่อศัตรู คือ การเหี้ยมโหดต่อตนเอง " ...


    ปรัชญา ยิว ยังมีอีกเยอะมากมายครับ ใครสนใจลองหามาอ่านดูนะครับ ... จะได้เรียนรู้ วิธีคิด ของเผ่าพันธุ์ ที่เคยได้ชื่อว่า เผ่าพันธุ์แห่งพันธะสัญญากัน



    ฝากข้อความก่อนจบ ด้วย ปรัชญาของ คาลิล ยิบราน ที่ว่า ... "อย่าตัดสินเขา เพราะเราไม่รู้"

    ความหมายก็คือ ท่านไม่อาจตัดสินใครได้ด้วยความรู้ที่ท่านมีอยู่กับตัวเขา เพราะความรู้ของท่านนั้น ช่างน้อยเหลือเกิน ... บางครั้ง สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้แล้ว อาจเป็นเพียง ก้อนกรวดบนผืนทรายอันกว้างใหญ่ ก็เป็นได้


    ด้วยจิตคารวะครับ
    วัสสลาม


     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ชาวยิว
    [​IMG]

    ชาวยิว (ภาษาฮิบรู: יהודים, อังกฤษ: Jew) ชนชาติหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน อยู่ในประเทศอิสราเอล
    ประวัติศาสตร์

    ตามคัมภีร์โตราห์ของศาสนายูดาย (พระคริสตธรรมคัมภีร์เดิม) ซึ่งเป็นคัมภีร์ศาสนาของชาวยิวหรือชาวฮิบรู กล่าวว่าประวัติศาสตร์ของชาวยิวและศาสนานี้เริ่มต้นที่ชายชื่อ อับราฮัม ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองคลาเดียบาบิโลน ณ ขณะนั้นเมืองสำคัญต่างๆ มีการนับถือรูปเคราพ และเทพเจ้าของตนเอง แต่อับราฮัมคิดว่าพระเจ้าที่แท้จริงจะมีเพียงพระองค์เดียว เขาได้พบพระเจ้า และพระองค์ทรงให้อับราฮัมและครอบครัวจึงได้ออกเดินทางไปยังแผ่นดินแห่งพันธสัญญา ที่พระองค์จะประทานให้เขาและเชื้อสายของเขา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเชื้อชาติอิสราเอล และ ศาสนาใหม่ที่รู้ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้พระองค์เดียว
    ไบเบิลและอัลกุรอานได้บอกเล่าเรื่องของ ชาวยิวหรือลูกหลานของอิสราเอล ซึ่งเป็นบุตรของยิตซ์ฮากบุตรของอับราฮัม เริ่มจากอับราฮัมได้ลูกชายตามที่พระเจ้าทรงประทานให้ที่กำเนิดกับนางซาร่าชื่อว่าอิสอัคหรือไอเซ๊ค (Isaac) ซึ่งอิสอัคต่อมาได้มีบุตร 2 คนคือ เอซาว และจาขอบ (Jacob ) โดยเฉพาะจาขอบผู้น้องได้พบชายคนหนึ่งที่เปนีเอล เขามองไม่เห็นใบหน้าแต่ปล้ำสู้จนเกือบรุ่งสาง และจาขอบได้ถามชื่อบุรุษผู้นั้นไม่ตอบ แต่เขาได้บอกว่าแต่นี้ต่อไปจาขอบจะได้ชื่อใหม่ว่าอิสราเอล ซึ่งหมายถึงผู้ที่ปล้ำสู้พระเจ้า และก่อนที่จาขอบจะปล่อยชายคนนั้นไปจาขอบบอกว่า"โปรดอวยพรให้เขาก่อนแล้วจึงจะปล่อย" ซึ่งจาขอบหรือชื่อใหม่ว่าอิสราเอล เขามั่นใจว่าเขาพบพระเจ้าจริงๆ
    เชื้อสายจาขอบหรืออิสราเอลมี 12คน หนึ่งในนั้นคือโยเซฟไปอยู่ที่อาณาจักรของชาวอียิปต์ แต่ต่อมาสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไป ลูกหลานของอิสราเอลได้ถูกกดขี่จนกระทั่งต้องกลายเป็นทาสรับใช้ถึง 400 ปี ช่วงนั้นจะเรียกเชื้อสายอิสราเอลว่าฮีบรู จนกระทั่ง โมเสส (หรือโมเชซ์) ลูกชาวฮีบรูที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยฟาโรห์จนกลายเป็นเจ้าชายแห่งอียิปต์ ได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้ปลดแอกชาวยิวในอียิปต์โดยให้พาชาวอิสราเอลหรือฮีบรู ออกเดินทางจากเมือง เพื่อกลับไปยังปาเลสไตน์แผ่นดินแห่งพันธสัญญา แม้จะถูกกองทัพแห่งอียิปต์ขัดขวาง แต่พระเจ้าได้เปิดทะเลแดงให้ชาวอิสราเอลผ่านไปได้ และกลับไหลท่วมทหารอียิปต์ที่ตามมาโจมตี จากนั้นระหว่างทางที่โมเสสพาชาวฮีบรูกลับไปยังแผ่นดินแดนของบรรพบุรุษ เขาไปพบกับพระเจ้าบนภูเขาไสไน (ซีนาย) และได้รับบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้า แต่เนื่องจากชาวอิสราเอลไม่ปฏิบัติตามกฏบัญญัติของพระเจ้า จึงถูกลงโทษให้หลงทางในทะเลทรายเป็นเวลา 40 ปี หลังจากที่เดินทางกลับเข้าสู่คานาอันหรือดินแดนแห่งพันธสัญญาแล้ว โมเสสได้เสียชีวิตลง แต่ลูกหลานชาวฮีบรูก็ได้อาศัยอยู่ในเมืองคานาอันหรืออิสราเอลต่อมา
    ชนชาติอิสราเอลได้ก่อสร้างชาติจากชนเผ่าเชื้อสายของจาขอบหรืออิสราเอลทั้ง12เผ่า ช่วงนั้นจะเรียกว่า เลวี เบนยามิน และยูดาห์ กษัตริย์เดวิดก็กำเนิดในชนเผ่านี้ ชนชาติฮิบรูในช่วงที่มีกษัตริย์ได้ตกเป็นทาสของบาบิโลน และเปอร์เซีย และหลังจากถูกจับเป็นเชลยอยู่หลายปีได้เดินทางกลับไปสร้างชาติอีกครั้ง จนมาถึงสมัยพันธสัญญาใหม่ กองทัพโรมมหาอำนาจของโลกได้เข้ายึดกรุงเยรูซาเล็ม ช่วงสุดท้ายก่อนอิสราเอลจะสิ้นชาติ พระคริสต์ได้ทรงประสูติ และบอกว่าพระองค์คือบุตรของพระเจ้า จนนำไปสู่การตรึงกางเขนโดยสาวกของพระองค์ที่ชื่อยูดัส เอสคาริโอ คำว่า "ยิว" น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่ายูดาสJudas
    ซึ่งในตอนนั้นก่อนที่ชนชาติอิสราเอลจะสิ้นชาติในปีคริสต์ศักราช 70 ชาวอิราเอล หรือ ฮีบรู ที่เชื่อในพระคริสต์จะถูกแยกออกจากชาวอิสราเอลที่นับถือลัทธิยูดาย และการประกาศพระกิติคุณพระเจ้าได้อนุญาตให้ชาวต่างชาติเชื่อในพระองค์ ซึ่งอิสราเอลในตอนนั้นเขาเชื่อว่าเขาคือชนชาติที่พระเจ้าเลือก และ รู้จักพระเจ้า ชาวต่างชาติเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งไม่สมควรที่จะรู้จักพระเจ้าผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ คำว่ายิวจึงน่าจะเริ่มมีการถูกเรียกกันในช่วงนั้น ซึ่งหมายถึงเป็นเชิงต่อต้านพวกอิสราเอลในด้านความเชื่อ สังคม และ อะไรหลายๆอย่าง เพราะในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้บันทึกหรือเขียนคำว่ายิวเลย นอกจากคำว่า พระเจ้าของชนชาติอิสราเอล หรือ ชนชาติฮีบรู
    หลังจากโรมเข้าถล่มเยรูซาเล็มจนพินาศแล้ว ชาวอิราเอลได้กระจัดกระจายไปสู่ในที่ต่างๆ ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ดาบจะไล่ตามหลังพวกยิว ส่วนดินแดนคานาอันแผ่นดินน้ำผึ้งและน้ำนมบริบรูณ์นี้จะแห้งแล้ง และถูกเปลี่ยนมือหลายครั้งไม่ว่า อาณาจักรโรม อาณาจักรคอนสแตนติน และกองทัพมุสลิมเข้ายึดครอง สงครามแย่งชิงแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจะเป็นชาวยิว เช่น สงครามครูเสด ซึ่งแต่ละครั้งทำให้ชาวยิวได้ตกไปเป็นเชลย ต้องถูกฆ่า และต้องอพยพไปอยู่ในประเทศต่างๆ หลายประเทศ ทั้งในยุโรป เอเซีย และทวีปอเมริกา แต่ชาวยิวก็ยังยึดมั่นในพันธสัญญาระหว่างพวกเขาและพระเจ้า ที่ว่า พระเจ้าจะนำพวกเขากลับไปยังดินแดนที่พระเจ้าเลือกไว้ คือ อิสราเอล
    ชาวยิวในประวัติศาตร์ได้รับความทุกข์ทรมารจากสงครามมากมายหลายครั้ง ไม่ว่าจากกองทัพบาบิโลน เปอร์เซีย กองทัพโรม สงครามศักดิ์สิทธิ์ แต่ครั้งที่สำคัญและโลกไม่สามารถลืมความโหดร้ายได้คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยฮิตเลอร์และพรรคนาซี ซึ่ง ยิวถูกฆ่าไปทั้งหมด ประมาณ 7 ล้านคน
    ในที่สุดความพยายามของชาวยิวที่จะก่อตั้งรัฐอิสระ ก็ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอังกฤษซึ่งในตอนนั้นอังกฤษมีอิทธิพลในดินแดนปาเลส์ไตน์ อนุญาตให้ชาวยิวให้กลับเข้าไปในปาเลสไตน์อีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งก็คือประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน พวกเขาได้ใช้ข้อความในพระคัมภีร์ มาอ้างความเป็นเจ้าของซึ่งชนพื้นเมืองที่มีอยู่ก่อนคือชาวปาเลสไตน์และชาวอาหรับในละแวกนั้นไม่เห็นด้วย จนเกิดความรุนแรงทุกรูปแบบในการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งแผ่นดินแห่งนี้
    ที่น่าทึงคือพวกเขาก่อร่างสร้างเมือง เปลี่ยนทะเลทรายที่แห้งแล้งให้เป็นพื้นที่การเกษตรเขียวชะอุ่มตรงตามพระคำภีร์ไบเบิ้ลที่บอกว่าพวกเขาจะกลับมารวมชาติและทำให้ดินแดนนี้มีชีวิตอีกครั้ง ทุกวันนี้หนุ่มสาวชาวอิสราเอล ต่อสู้เพื่อปกป้องและขยายดินแดนไปอาณาจักรที่อยู่ใกล้เคียงหลายต่อหลายครั้งโดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา
    แม้ในปัจจุบันก็ยังมีกรณีพิพาทในดินแดนฉนวนกาซ่าและเขตชายฝั่งตะวันตก (เวสแบงค์) ระหว่างชาวยิวและชาวอาหรับ ซึ่งสหประชาชาติล้มเหลวอย่างสมบูรณ์ ทุกวันนี้ก็ยังหาข้อยุติ หรือจะเห็นสันติภาพยังนับว่าห่างไกลเหลือเกิน
    ภาษาของชาวยิวคือภาษาฮิบรู และยังใช้เป็นภาษาในพิธีกรรมทางศาสนาของหมู่ชาวยิวตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในปัจจุบัน
    ชาวยิว - วิกิพีเดีย
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แก็งออฟ..ยิว episode 4 เรื่องของแก็งยิวอันธพาลในอเมริกา กลุ่มอันธพาลยิวที่ออกไล่ล่า และก่ออาชญากรรมกับใครก็ตามพวกเขาตราหน้าว่าต่อต้านยิว เรื่องจริงที่แม้แต่ เอฟ.บี.ไอ. ก็ยังต้องปวดหัว ...
    โดย Shaffi (19 ก.พ. 2009)
    แม้ว่าเราไม่อาจสรุปได้ว่า ความรุนแรง ความกร้าวร้าว และการปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์อย่างเหี้ยมโหด ไร้ความเป็นมนุษย์ ของทหารอิสราเอลนั้นมีที่มา จากความคิด อุดมการณ์ และคำสั่งสอน ที่ฝังแน่นในหัวใจเช่นเดียวกับที่พวก แก็งออฟยิวที่นำโดยแรบไบ Kahane เชื่อถือ และใช้เป็นแนวทางจัดการกับศัตรูของยิวก็ตาม แต่อดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนั้น เพราะรูปแบบและวิธีการ รวมทั้งผลลัพธ์ที่อิสราเอลกระทำต่อพลเรือนปาเลสไตน์มันช่างเหมือนกับคำสอนของแรบไบ Kahane เสียเหลือเกิน...
    นอกจากความคิดและอุดมการณ์ของแรบไบ Kahane จะแสดงให้เห็นว่า นอกจากเขาจะไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้อาหรับปาเลสไตน์เจ้าของประเทศ ศัตรูของอิสราเอลแล้ว เขายังยืนยันว่าอิสราเอลและประชาชาติยิวจะยังไม่ปลอดภัย ตราบใดที่ยังมีชาวอาหรับปาเลสไตน์ อยู่อาศัยในดินแดนที่ยิวยึดครอง อาหรับปาเลสไตน์ไตย์พวกนี้ แรบไบKahane เรียกว่า “ระเบิดเวลา” ที่รอวันระเบิดและทำลายยิวจากภายใน เป้าหมายตามอุดมการณ์ของแรบไบKahane คือทำลายอาหรับพวกนี้ให้หมดไปจากดินแดนยิว
    น่าแปลก..ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเรื่องปกติที่เราไม่รู้ แนวคิดขับไล่อาหรับในรัฐยิวออกไปให้หมดสิ่น..ช่างไปพ้องกับนโยบายที่ Tzipi Livni แห่งพรรคคาดีมา นำมาใช้ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา เมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2009 เจ้าของนโยบายนี้แค่เดิมเป็นนโยบายที่บิดา Tzipi Livni เคยเสนอต่อสภาคะเน็สเส็ต เมื่อครั้งที่พ่อลูก Livni ยังอยู่ใต้ร่มเงาพรรคลิคูด(เมื่อครั้งที่ยังใช้ชื่อพรรคเฮรุด) ถ้าย้อนกลับไปไกลหน่อยก็หายสงสัยทันที ครอบครัวของ Livni เป็นสมาชิกองค์กร Betar กลุ่มก่อการร้ายที่ก่อตั้งโดย Ze’ev Jabotinsky อ้าว..ถ้าอย่างนั้น ทั้งพ่อของ Livni หัวหน้าพรรคคาดีมา กับ แรบไบKahane ก็เป็นศิษย์สำนักก่อการร้ายของ Jabotinsky ด้วยกันนี่เอง เห็นหรือยังครับว่า..แม้ทั้ง Jabotinsky และ แรบไบKahane จะม่องเท่งไปแล้วทั้งคู่ แต่ความอันตรายต่อสันติภาพพวกนี้ ไม่รู้ว่าส่งต่อกันไปถึงไหนกันแล้ว..นี่แหละคือเอกลักษณ์ของยิวแท้ๆเลย...
    แนวคิดสุดโต่งของแรบไบKahane ไม่ได้มีเพียงแนวคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมือง แม้แต่แนวคิดในแง่จริยธรรมและกฎหมายของเขาก็ดูจะอันตรายพอๆกัน ตัวอย่างเช่นการที่เขาปลูกฝังให้สมาชิกองค์กร Jewish Defense League หรือแก็งออฟยิวต่อต้านกฎหมายของอิสราเอล ที่ถือว่าการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนที่ไม่ใช่ยิวเป็นการก่ออาชญากรรม ซึ่งที่จริงตามหลักการศาสนาของยิวนั้นห้ามคนยิวแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่ยิว แต่ไม่กล่าวถึงข้อห้ามาในการมีความสัมพันธ์ อุดมการณ์ของแรบไบKahane และพลพรรคแก็งยิวไม่ต้องการให้คนยิวมีสัมพันธ์ใดๆกับคนที่ไม่ใช่ยิวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน ในชุมชน หรือสถานที่สาธารณะ แนวคิดอย่างนี้จะสมหวังได้ยิวต้องยึดโลกทั้งหมดไปเป็นของยิว และยิวจะมีปฏิสัมพันธ์ได้กับมนุษย์ที่พระเจ้าเลือกนั่นคือเฉพาะกับยิวด้วยกันเท่านั้น ซึ่งเป็นอุดมการณ์เหยียดเชื้อชาติชนิดสุดโต่งที่สุด
    เพราะความสุดโต่งที่เกินกว่าใครจะรับได้ ดดยเฉพาะฝรั่งคริสเตียน ทำให้องค์กรยิวที่สำคัญๆในสังคมอเมริกันไม่กล้าแสดงการสนับสนุนแรบไบKahane และองค์กรแก็งยิวของเขาอย่างออกนอกหน้า องค์กรยิวที่สำคัญที่สุดสองสามองค์กร เช่น American Jewish community องค์กร Anti-Defamation League of B'nai B'rith และ องค์กรAmerican Jewish Congress ผู้นำองค์กรไม่เคยแสดงให้สาธารณชนเห็นว่าเขาให้การสนับสนุนแรบไบ Kahane แต่ลับหลังองค์ยิวที่มีหน้ามีตาในสังคมอเมริกันเหล่านี้นี่แหละ ที่คอยอุ้มชู สนับสนุน เป็นกันชนและคอยปกป้องแรบไบ Kahane และแก็งออฟยิวของเขา โดยพวกเขาคอยแอบอยู่ในเงามืด ข้อมูลพวกนี้เพิ่มถูกเปิดเผยจากแฟ้มประวัติอาชญากร พบว่าองค์กรแก็งยิวได้รับตวามช่วยเหลือทางการเงินจากองค์กรยิว และมหาเศรษฐียิวให้เงินเป็นทุนในการก่ออาชญากรรมกับ แรบไบ Kahane เป็นเงินหลายล้านเหรียญ
    ในการเทศนาครั้งหนึ่งที่โบสถ์ยิวในโปโตแมค แมรี่แลนด์ ในปี 1971 เขาได้เทศนาถึงการลงมือก่อเหตุวางระเบิดรถยนตร์คันหนึ่ง ผู้คนที่อยู่ในโบสถ์นั้นต่างลุกขึ้นยืนปรบมือให้แก่ แรบไบ Kahane เป็นเวลานาน พระที่เทศนาและเชิญชวนผู้คนไปสู่ความรุนแรงก้าวร้าว ได้เข้าสู่สายสัมพันธ์ทางการเมือง ทั้งๆที่เทศนาสั่งสอนให้ต่อต้านประชาธิปไตย แต่ก็มีคนจัดการให้เขาได้พบปะกับวุฒิสมาชิก Henry "Scoop" Jackson วุฒิสมาชิกคนดังที่กำลังแข่งขันกันเป็นตัวแทนพรรคเพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ วุฒิสมาชิก Jackson แห่งเดโมแครต กับแรบไบหัวรุนแรงหัวหน้ากลุ่มอาชญากรยิว ยืนเคียงข้างกันบนเวทีหาเสียงที่นิวยอร์ค ลองหลับตาแล้วนึกภาพดูก็แล้วกันว่า มันช่างสมน้ำสมเนื้อกันดีจริงๆ นอกจาก วุฒิสมาชิก Jackson นักการเมืองคนดังแห่งบรองซ์ วอชิงตัน ที่สนับสนุนแก็งออฟยิวมาโดยตลอดก็คือ Mario Biaggi
    หนังสือพิมพ์ยิวรายสัปดาห์ ฉบับหนึ่งออกในบรุ๊คลิน ยอดขายสัปดาห์ละ 160,000 ฉบับ ถึงกับเชิญแรบไบคนดังมาเป็นบรรณาธิการและนักเขียน ก็ยิ่งเป็นการเปิดช่องให้ แรบไบ Kahane ใช้มันเป็นสื่อโฆษณาชวนเชื่อและสร้างอิทธิพลให้ตัวเองมากขึ้น
    หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหม่ เดอะ นิวยอร์ค ไทม์ หนังสือพิมพ์ของคนยิว เปิดช่องให้ แรบไบ Kahane ใช้สื่อยักษ์อันทรงอิทธิพล สร้างความน่าเชื่อถือให้แก็งออฟยิว ด้วยการเปิดทางให้เสนอแนวคิดผ่านทางบทความอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในหน้าที่เปิดให้ผู้อ่านได้แสดงความคิดเห็น ต่อหนังสือที่เขาเขียน ชื่อ “They Must Go” หนังสือที่เต็มไปด้วยเนื้อหาเรียกร้องให้ขับไสไล่ส่ง ล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ออกไปจากดินแดน(ที่อ้างว่านั่นมันเป็นแผ่นดิน)ยิว ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1980 โดยสำนักพิมพ์ "mainstream" New York publishing.
    น่าสนใจตรงที่ในนิวยอร์คไม่มีใครไม่รู้ว่า แรบไบ Kahane เป็นใครและทำอะไร ไม่มีใครไม่รู้ว่าเขาและสานุศิษย์ของเขากร่างแค่ไหน แต่แปลกที่ไม่มีเรื่องราวของ แรบไบ Kahane ปรากฎในสื่อโทรทัสนือเมริกัน หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ไม่เคยมีใครเอ่ยถึง แรบไบ Kahane กับองค์กรนอกกฎหมายของเขา ไม่มีสื่อไหนวิจารณ์ Jewish Defense League ไม่มีสื่อไหนเกาะแกะกับ แรบไบ Kahane ทั้งที่ใครก็รู้เห็นว่าพวกเขาทำตัวอันธพาลไม่ต่างกับพวก Klu Klux Klan หรือพวก อารยัน หรือ Neo-Nazi
    ในอิสราเอล แรบไบ Kahane มีแฟนคลับมากมาย เขากลายเป็นฮีโร่ผู้กล้าท่้าทายโลกของผู้ที่ไม่ใช่ยิว ความแข็งกร้าวกักขฬะคือเสน่ห์ของความเป็นยิวที่แม้แต่นักการเมืองอิสราเอล ยังไม่กล้าแสดงออกมา แรบไบ Kahane เป็นขวัญใจยิวระดับรากหญ้า (ยิวที่อยู่ในประเทศอาหรับที่เรียกว่าพวกยิว "Sephardic" ) ครั้งหนึ่งในระหว่างการเดินทางมาเยือนอิสราเอลของ แรบไบ Kahane เขาไปเยือนเมือง Afula ผู้สื่อข่าว Yair Kotler เขียนว่า
    [​IMG]

    หนุ่มๆยิวออโธดอกส์ ..


    การปรากฎตัวของแรบไบ Kahane ทำให้บรรยากาศในเมืองเปลี่ยนไปทันที อุณหภูมิในหัวใจคนยิวหนุ่มๆตามท้องถนนเพิ่มสูงขึ้นใกล้จุดเดือด คนหนุ่มๆที่มีผมเป็นลอน (สัญลักษณ์ของพวกยิวออโธดอกส์) เต็มท้องถนน ยืนตามมุมถนนเหล่านั้นตะโกนว่า “ Kahane ผู้ไถ่บาป...” พวกเลือดร้อนติดเครื่องเร็ว พอได้ที่ ก็ฉวยโอกาสระบายอารมณ์กับพวกอาหรับ ทั้งที่อยู่ในเขตยิวและดินแดนยึดครอง พวกยิวหนุ่มที่ฮึกเหิมเอาก้อนอิฐก้อนหินขว้างปาเข้าใส่ รถยนตร์ของชาวอาหรับ พวกขี้โมโหและเกลียดอาหรับอยู่แล้ว การมาเยือนของแรบไบ Kahane ยิ่งเหมือนเอาน้ำมันมารดใส่กองไฟ พวกยิวหนุ่มเถื่อนพากันออกปล้นร้านค้าชาวอาหรับ ปากก็ตะโกน “ Kahane, Kahane! ความตายแก่อาหรับ..” ใส่หน้าคนอาหรับทุกคนที่พวกนั้นพบเจอบนถนน คนยิวเป็นล้านๆคนที่กำลังดูเขาทางโทรทัศน์ ได้ยินเสียงเขากระโกนตอบยิวผู้กำลังบ้าคลั่งเหล่านั้นว่า “มีเพียงคำตอบเดียวสำหรับอิสราเอล..คือ จับพวกอาหรับโยนออกไปนอกบ้านของเรา” ตรงไหนที่แรบไบ Kahane ย่างกรายไปถึง เมืองทั้งเมืองก็กลายเป็นภูเขาไฟระเบิด Kahane สร้างภาพของอนาคตขึ้นในใจคนยิวรุ่นใหม่ เขาทำให้กลิ่นไอแห่งความกลัวและความจงเกลียดจงชัง ปกคลุมอยู่ทั่วไป ความเคียดแค้น ความรังเกียจความเป็นปฏิปักษ์พุ่งสู่จุดสูงสุด อาหรับคือศัตรู แรบไบ Meir Kahane มาจากสหรัฐเพื่อมาเปิดฝาหม้อต้มน้ำที่เดือดพล่าน ...”
    แรบไบ Meir Kahaneตายไปนานแล้ว..แต่ความคิดของเขายังอยู่ในหัวใจคนหนุ่มชาวยิว และพร้อมที่จะเบ่งบานเสมอ.. แบบนี้เรื่องสันติภาพ ก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว..
    http://www.oknation.net/blog/TalkingBook/2009/02/19/entry-2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2011
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิว-ไซออนิสต์-อิสราเอล-ยูดาย..เหมือนหรือต่างกัน.. งงล่ะสิ..?
    Shaffi : เขียน
    (31 มกราคม 2009)

    น่าเห็นใจครับ..สำหรับท่านผู้อ่านที่เพิ่งสนใจเรื่องราวความเป็นไปของตะวันออกกลางและปาเลสไตน์ เคยคิดอยู่เหมือนกันครับว่า สักวันอาจจะต้องเล่าเรื่องที่มาที่ไปเกี่ยวกับคำว่า ยิว - ไซออนิสต์ - อิสราเอล และยูดาย มันต่างกันตรงไหน หรือเหมือนกันตรงไหน มีที่มาอย่างไร..? ที่จริงยังมีคำว่า “ฮีบบรู” คำว่า “ยิดดิช” ให้งงเล่นอีกหลายคำนะครับ..

    คำว่า “ยิว” หรือ JEW หรือ JEWISH
    พวกคนยิวจริงๆน่ะ ไม่ได้เรียกตัวเองว่า “ยิว” หรอกครับ..ยิวนี่เป็นชื่อที่ฝรั่งในยุโรปเรียก ให้สะดวกปาก คล้ายฝรั่งเรียกญี่ปุ่นว่า “เจแปน” แต่คนญี่ปุ่นเรียกตัวเองว่า “นิปปอน” หรือ “นิปอง” นั่นแหละครับ ฝรั่งเรียกชนชาติฮีบบรู ว่า Jewish บางทีพวกฮีบบรูก็เรียกตัวเองว่า “เยฮูดี” (เอกพจน์) หรือ “เยฮูดิม” (พหูพจน์) ซึ่งสันนิษฐานกันว่า ชื่อชนชาติโบราณที่ฝรั่งเรียกยิว จริงๆน่าจะเรียกตัวเองว่า “เยฮูดี” ใกล้เคียงที่สุด (ในภาษาอาหรับ มุสลิมเรียกยิวว่า “ยาฮูดี” หรือ “ยาฮูด” ครับ..และพวกยิวถูกชาวอาหรับเรียกว่า ยาฮูดี หรือ ยาฮูด มาตั้งแต่ไหนแต่ไร จวบจบบัดนี้ น่าสังเกตุว่าเสียงในภาษาอาหรับ ใกล้เคียงกับเสียงในภาษาของยิว (ภาษาฮีบบรู) ที่เรียกยิวว่า เยฮูดี หรือ ยาฮูดิม มากเลยใช่ไหมครับ.. แต่ในพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน ของชาวมุสลิม พระเจ้าทรงเรียกพวกยิวว่า “ลูกหลานของ “อีสรออีล”..” ซึ่งเสียงคล้ายๆกับคำว่า “อิสราเอล” ใช่ไหมครับ ...ที่จริง อีสรออีล หรือ อิสราเอล..คือชื่ออีกชื่อหนึ่งของบุคคลซึ่งเป็นบิดาแห่งชนชาติยิว ได้แก่ “จาคอบ” ชื่อ “จาคอบ” เป็นชื่อในไบเบิ้ลของชาวคริสต์ แต่ในภาษาอาหรับเรียก “จาคอบ” ว่า “ยะกู๊บ” ส่วนยิวจริงๆเรียก “จาคอบ” ว่า “ยาโกโบ” ซึ่งออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่า “ยะกู๊บ” ในภาษาอาหรับมากกว่า ..ยังไม่งงนะครับ.. หลายแห่งในพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน ของชาวมุสลิม พระเจ้าทรงเรียกพวกยิวว่า “ลูกหลานของ “อีสรออีล”..” ก็มี เรียกว่า “บะนู หรือบะนี อิสราอีล ก็มี” บะนู หรือบะนี ในภาษาอาหรับแปลว่า “เผ่า” หรือ Tribe นั่นเอง ท่าน ยะกู๊บ หรืออีสรออีล เป็นศาสนทูตหนึ่งใน 25 คนที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์ อัล-กุรอานของอิสลาม

    ยิว..หมายถึงคน หรือหมายถึงศาสนา..หรือหมายถึงเชื้อชาติกันแน่..?
    อาเธอร์ ลิวอิส เขียนหนังสือชื่อ The Jewish is a Nation ว่า “เดิมนั้นยิวก็เป็นชนชาติหนึ่ง และพวกยิวรักษาเลือดและสงวนเผ่าพันธ์ุตัวเองได้มากกว่าเผ่าพันธุ์หรือชนชาติใดๆ ..บางทีคุณอาจมองเห็นความยิวในตัวตนของเขาแสดงออกมา ยิ่งกว่าจะมองเห็นความเป็นคนอังกฤษในตัวใครคนนั้น” นักปราชญ์และนักตะวันตกศึกษากล่าวว่า “พวกยิวสำนึกตนเองว่าพวกตัวเองนั้นคือเผ่าพันธ์ุหนึ่งซึ่งไม่เหมือนและแตกต่างจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ” และ “ศาสนาของพวกเขาคือจูดาย มาจากข้อกำหนดในเรื่องชาติพันธุ์ (หมายถึงยิวเป็นการระบุชนชาติที่เป็นทั้งเผ่าเดียวกันและมีศาสนาร่วมกัน) แม้คนยิวที่ไม่มศาสนา หรือไม่ศรัทธาศาสนายูดาย ก็ยังมีความเป็นยิวที่เข้มข้นอยู่ดี และเขาไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความเป็นยิวในตัวเขา”

    คำอธิบ่ยเช่นนี้เป็นแปลกประหลาด สำหรับคนส่วนใหญ่ในโลก ศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ มีความเป็นสากล โดยไม่ผูกมัดกับเผ่า หรือชาติพันธุ์ ชาวอาหรับที่เป็นชาวคริสต์มีไม่น้อยในเลบานอน และอียิปต์ ขณะที่ชาวตะวันตกอาจเป็นชาวพุทธ ชาวฮินดู หรือชาวเอเชียก็อาจเป็นชาวคริสต์ ได้โดยไม่ต้องผูกติดกับสายเลือด แต่ชาวยิว..เป็นยิวเพราะสายเลือด ความเป็นยิว..ในตัวคนยิว มีความเข้มข้น และอาจเป็นสถานะหนึ่งของศาสนาของพวกเขา คือศาสนาในเลือด ใน DNA แม้ไม่เคยรู้จักศาสนายูดาย ศาสนาดั้งเดิมของยิว..ใครคนหนึ่งก็อาจเป็นคนยิวเต็มตัว และทำทุกอย่างได้เพื่อยิว.. คนยิวเป็นยิว หรือถ่ายทอดความเป็นยิวโดยสายเลือด น่าสงสัยว่าการเปลี่ยนไปรับศาสนายูดาย ของใครคนหนึ่งที่บังเอิญศรัทธาในศาสนาของยิว.. ก็จะไม่ทำให้ใครคนนั้น กลายเป็นวงศ์วานว่านเครือกับยิวได้.. เพราะยิวเป็นจากเลือด ไม่ใช่ศรัทธา ขณะที่คนยิวแท้ๆแม้จะเหลวไหลแค่ไหน หรือเกิดมาไม่เคยรู้จักศาสนาตัวเอง ไม่เคยเข้าโบสถ์สักครั้ง..ดีชั่วแค่ไหน ความเป็นยิวของเขาจะไม่ลดน้อยถอยลงเลย.. น่าประหลาดแท้ๆชนชาตินี้.. พวกยิวจึงอยู่ได้กับพวกยิว..รักได้แต่พวกยิว..จึงไม่แปลกอะไรที่ไม่ว่ายิวจะอยู่ตรงไหนในโลก ยิวก็ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของพวกเดียวกันได้เสมอ.. ดังนั้นเวลาที่ใครถามยิวว่า ความเป็นยิว กับศาสนาเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ พวกเขาจะตอบว่าไม่... สรุปก็คือ ยิว..เป็นพวก Nationalism สุดโต่งพวกหนึ่ง

    คำว่า “ไซออนิสต์” Zionist
    เวลาที่พูดถึง คำว่า “ไซออนิสต์” จะมีชื่ออื่นตามมาอีกหลายชุด เช่น “ขบวนการยิวไซออนิสต์” “องค์กรยิวไซออนิสต์” “ลัทธิหรืออุดมการณ์ไซออนิสต์”
    ในช่วงศตวรรษที่ 19 นักหนังสือพิมพ์ชาวยิวชื่อ ธีโอดอร์ เฮอร์เซิล เขียนหนังสือชื่อ The Jewish State พร่ำพรรณาถึงรัฐยิว และความรู้สึกเกลียดชังยิวของชาวยุโรป หนังสือเล่มนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวยิวที่มีฐานะดี มีอิทธิพลในราชสำนักต่างๆในยุโรป นักการธนาคาร พ่อค้า อาจารย์มหาวิทยาลัย นักอุตสาหกรรม นักการเมือง นักเขียน และคนหนุ่มรุ่นใหม่ เริ่มต้นหันมาสนใจทำงานเป็นวิศวกรการเมือง โดยมีผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ชี้นำ และเรยกผู้อาวุโสในองค์กรลับๆที่จัดตั้งขึ้นนี้ว่า “ผู้อาวุโสแห่งไซออน” บางทีก็เรียก “ปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” ก็มี คำว่า “ไซออน” เป็นชื่อเรียกเทือกเขาแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของมหานครศักดิ์สิทธิ์เยรูซาเล็ม การนำชื่อดังกล่าวมาใช้เรียกขานนั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการ “ถวิลหา” ผืนแผ่นดินเกิดของยิวเมื่อหลายพันปีก่อน

    ดังนั้นคำว่า “ไซออน” จึงเป็นที่มาของ “ลัทธิและอุดมการณ์ทางการเมือง” ที่มีเป้าหมาย ในการจัดตั้งรัฐยิวสมัยใหม่ขึ้นครั้งแรกในโลกเป็นของชนชาติยิว บางคนในปราชญ์อาวุโส เคยเรียกรัฐในอุดมการณ์นี้ว่า อาณาจักรแห่งเดวิด ยุคที่ 3 ก็มี ขบวนการยิวโซออนิสต์ หรือองค์กรยิวไซออนิสต์ เป็นองค์การทางเมือง ทำงานเหมือนพรรคการเมือง เพื่อให้ลัทธิและอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นจริง เป็นองค์กรจัดตั้งที่มีลำดับชั้นสั่งการแน่ชัด แต่เป็นความลับ และใช้การเมืองและอำนาจเศรษฐกิจ ในมือชาวยิว เป็นอาวุธนำไปสู่เป้าหมาย นั่นคือ การจัดตั้งรัฐยิว(ซึ่งในตอนแรกนั้นยังไม่มีการกำหนดว่าจะเป็นที่ใดในโลก) หลังจากองค์กรไซออนิสต์ สามารถใช้เล่เหลี่ยมทางการเมืองระหว่างประเทศ ขโมยประเทศของชาวอาหรับไปตั้งเป็นรัฐยิวโดยการสมรู้ร่วมคิดกับอังกฤษ สหรัฐ และฝรั่งเศส ได้แล้ว.. ขบวนการหรือองค์กรยิวไซออนิสต์ แปรรูปการจัดตั้งมาเป็นพรรคการเมืองแนวสังคมนิยมชาตินิยมพรรคเดียว เรียกว่าพรรคไซออนิสต์ และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคลิคุด แนวขวาจัด มาจนถึงปัจจุบัน จึงอาจกล่าวได้ว่าพรรคลิคุด คือกลไกทางการเมืองที่ถ่ายทอด DNA. ซึ่งเป็นมรดกมาจากอุดมการณ์ไซออนิสต์อย่างเต็มเปี่ยม นายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคลิคุล้วนมือเปื้อนเลือด ตั้งแต่ เดวิด เบกูเรียน, เมนาฮีม เบกิน (อดีตหัวหน้าหน่วยทหารบ้านติดอาวุธเออกุนที่ลงมือสังหารโหดชาวปาเลสไตน์ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่หมู่บ้าน ดีร์ ยาซีน ตายหมู่ 350 ศพ เมื่อเดือนเมษายน ปี 1948) นายเบนยามีน เนธันยาฮู, นายเอฮุด บารัค, นายยิซชาก ชาร์มีย์, นายเอเรียล ชารอน, มาจนถึงเอฮุด โอลด์เมิร์ด (นายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือด คนปัจจุบันที่ติดสอยห้อยตาม เอเรียล ชารอน แยกมาตั้งพรรคคาดีมา) อาจสรุปได้ว่า อุดมการณ์ไซออนิิสต์นั้นไม่เคยจางหายไปจากความคิดและจิตใจของบรรดานักการเมืองอิสราเอลเลยแม้ว่า “ชบวนการไซออนิสต์” ได้ล่วงเลยมาเป็นเวลามากกว่า 100 ปีแล้วก็ตาม

    (ตอนต่อไป จะเสนอคำว่าฮีบบรู และอิสราเอล)

     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลอกคราบยิว (ตอนแรก)
    Shaffi : เขียน (30 มกราคม 2009)

    ผมถลกหนังกลุ่มองค์กรยิวล๊อบบี้ไป 2 กลุ่ม แล้ว..เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุด กลุ่มแรก The American Israel Public Affairs Committee - AIPAC กลุ่มนี้จกทะเบียนตามกฎหมายเป็นองค์กรเพื่อการล๊อบบี้โดยตรง มีหน้าที่หลักคือคอยกระทุ้งนักการเมืองในสภาทั้งสภาล่าง และสภาสูง ให้ออกกฎหมายโน่น กฎหมายนี่ ประณามคนนั้นที คนนี้ที จ่ายเงินให้คนนั้น ไม่จ่ายให้พวกนี้อะไรทำนองนี้ เท่าที่อิสราเอลต้องการ เป็นการเจาะเข้าทางนักการเมืองทั้งรีพับรีกันและเดโมแครต ส่วนองค์กรที่ผมเล่าถึงอีกองค์กรหนึ่งถัดมา มาในชุดเครื่องแบบนักวิชาการแต่สวมวิญญาณอิสราเอล คือ The Jewish Institute for National Security Affairs หรือ JINSA เป็นองค์กรที่เจาะเข้าทางผู้กำหนดนโยบายที่เป็นข้าราชการประจำระดับสูงในเพนตากอน และสภาความมั่นคงแห่งชาติ วิธีการของ JINSA คือล้างสมองให้ผู้เขียนนโยบายความมั่นคงและการทหารสหรัฐรู้สึกว่าความมั่นคงของรัฐอิวก็คือผลประโยชน์อเมริกัน ผลประโยชน์อเมริกันก็คือการมีอยู่ของรัฐยิว.. วันนี้จะเล่าถึงอีกองค์กรหนึ่ง องค์กรนี้จะถือว่าเป็นองค์กรล็อบบี้ของยิวก็อาจไม่ถูกต้องนัก แต่เป็นองค์กรเพื่อผลประโยชน์นักการเมืองอเมริกันที่ยิวมาช่วยแจมเนื่องจากต่างตอบแทนผลประโยชน์กันลงตัว องค์กรนี้ชื่อว่า The American Enterprise Institute for Public Policy Research หรือ AEI. นั่นเอง


    The American Enterprise Institute for Public Policy Research ต่อไปผมจะเรียกย่อๆว่า AEI มีฐานที่มั่นอยู่ในวอชิงตัน ดีซี. บทบาทหลักของ AEI คือเป็นองค์กรนำของบรรดา Neo-Conservative (ที่ต่อไปผมจะเรียกสั้นๆว่า Neo-Con) มานานกว่าสามทศวรรษ AEI ถือว่าเป็นองค์กรระดับแนวหน้าห้าดาวของปีกขวาสายเหยี่ยว อาวุธของ AEI ไม่เหมือน AIPAC หรือ JINSA อาวุธหลักอันเป็นท่าไม้ตายของ AEI มีสองอย่างคือ อาวุธทางเศรษฐกิจ AEI ใช้ “Free Trade” กับ “ประชาธิปไตย” เป็น 2 ไม้ตาย อาวุธหลักด้านความมั่นคง Concept และกลไกการทำงานของ AEI คือ “ทำให้โลกเป็นทุนนิยมแบบอเมริกัน หรือ Americanization โดยทำให้โลกเป็น “ทุนนิยมประชาธิปไตย” “จำกัดการลงทุนโดยรัฐ” “สนับสนุนบรรษัทเอกชน” (นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล อย่างศาตราจารย์โจเซฟ สติ๊กลิสท์ เรียกว่า บรรษัทนิยม ดร.สุวิทย์ เมษิณทรีย์ เรียกว่าทุนนิยมคลื่นลูกที่สอง หรือทุนนิยม 2.0 แต่บางคนเรียกลัทธิ “บรรษัทครองโลก”) ...”

    คนดังๆจากรัฐบาลบุช มานั่งกันหน้าสลอนที่ AEI แต่ละคนโชกโชน และมีเหรียญตราติดอกหรากันมาเกือบทุกคน เหรียญที่โชว์หราใหญ่โตที่สุดในทีม AEI ก็คือ ผลงานนโยบาย “war on terror” อันเลื่อลือยุทธภพ รวมทั้งดาราหน้าเก่าคุ้นหน้า อย่าง John Bolton, Paul Wolfowitz, Richard Perle, John Yoo, และ David Frum บุช..เรียกใช้บริการ AEI อย่างจริงๆจังๆ ในการกล่าว Speech ในงานเลี้ยงฉลองให้กับคุณปู่ Irving Kristol ผู้ที่ได้ชื่อว่า บิดาแห่ง Neo-Con บุชกล่าวว่า “คนที่มีสมองปราดเปรื่องที่สุดในประเทศนี้..อยู่ที่ AEI พวกคุณทำงานยอดเยี่ยม จนผมอดไม่ได้ที่จะต้องยืมตัวพวกคุณสัก 20 คน ไปทำงานให้รัฐบาลของผม” (Quoted ในหนังสือชื่อ "The War Hawks," เขียนโดย Michael Flynn, April 13, 2003.)

    ตอนปลายปี 2008 เมื่อบุชจะลงจากตำแหน่ง.. 3 เหยี่ยวข้างกายบุช คือ Michael Ledeen, Joshua Muravchik, and Reuel Marc Gerecht เจ้าของไอเดีย “war on terror” สงครามอ่าว และนโยบายต้อนอิหร่านเข้ามุม ก็ออกจาก AEI ตามก้นบุชไป ว่ากันว่าการที่ 3 คน โปรดของบุช ออกจาก AEI เพราะถูกบีบให้ออก นักวิจารณ์การเมืองคนหนึ่งอธิบายว่า นี่อาจเป็นการล้างบางความชั่วร้ายของสามคนนั่นก็ได้ Jacob Heilbrunn เขียนไว้ในหนังสือ The Rise of the Neocons (การผงาดขึ้นของนีโอคอน) ว่า “นี่อาจเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของ Neo-Con หมดสิ้นไปจาก AEI แล้ว หลังจากมีอิทธิพลครอบงำรัฐบาลอเมริกันมาสามสิบปี และนี่อาจมาจากคำว่า Change ของโอบามา ก็ได้ใครจะรู้

    ผลงานสุดจะบรรยายของเหยี่ยวใน AEI นอกจากจะไปวุ่นวายกับนโยบายภายในประเทศแล้ว ยังเอื้อมมือไปถึงนโยบายด้านการทหาร และความมั่นคงต่างประเทศด้วย
    ผลงานบุกอิรัก และการขยายผลของนโยบาย War on Terror แล้ว AEI ยังยื่นขาเข้าไปคร่อมที่ Project for the New American Century หรือ PNAC อีกด้วย และกลายเป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้แก่คณะกรรมการนโยบายการเมืองในรัฐบาลบุช AEI รับบทบาทเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายสหรัฐทั้งหมด ในยุคหลังสงครามเย็น

    ในช่วงปีสุดท้ายของรัฐบาลบุช AEI หันเหความสนใจไปที่อิหร่าน และประเทศอื่นๆในตะวันออกกลาง พวก Neo-Con ใน AEI พยายามสร้างองค์กรหนึ่งเพื่อรับมือกับนโยบายเฉพาะไว้จัดการกับอิหร่าน องค์กรนั้นถูกเรียกว่า the Iran Enterprise Institute หรือสถาบันวิจัยสถานการณ์อิหร่าน ที่บริหารจัดการภายใต้การนำของพวกปัญญาชนอิหร่านที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเตหะราน คนพวกนี้ได้รับการบ่มเพาะโดยสายเหยี่ยวมือโปร อดีตที่ปรึกษาในเพ็นตากอน ที่ชื่อ Richard Perle คนหน้าเดิม ศิษย์เก่า Neo-Con

    นโยบายการคงหรือถอนทหารสหรัฐในอิรัก กลายเป็นประเด็นที่ถูกทั้งเดโมแครต และ รีพับรีกัน นำไปใช้รณรงค์หาเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 24 มิถุนายน 2008 แนวคิดของ AEI เกี่ยวกับอิรัก สะท้อนออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรกเมื่อ จอร์น แมคเคน ตัวแทนจากรีพับรีกัน ที่กล่าวว่าสหรัฐควรคงกำลังทหารในอิรักเอาไว้จนกว่าความรุนแรงจากกลุ่มต่อต้านจะลดลง ขณะที่เดโมแครตเสนอให้ลดกำลังทหารลงแต่ในที่สุด แนวคิดในการถอนทหารกลับบ้าน ได้รับการตอบรับจากชาวอเมริกัน พร้อมกับการตอบรับประธานาธิบดีโอบามา

    ..อนาคตของ AEI จะเป็นอย่างไรต่อไป ....ในเงาโอบามา น่าคิดไม่น้อยเลยสำหรับเหยี่ยวอมตะ ที่ฟื้นคืนชีพครั้งแล้วครั้งเล่า เหล่านี้..

     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิว..ยึดอเมริกา ..เมื่อไหร่..?
    Shaffi : เขียน (29 มกราคม 2009)

    ท่านผู้อ่านครับ..ถ้าใครได้อ่านมาบล๊อกนี้มาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม อาจจะยังพอจำเรื่องที่ผมเขียนถึงคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส กันได้.. วีรบุรุษที่ชาวสเปนภูมิใจนักภูมิใจหนา ที่ทำให้สเปนได้ทั้งทอง ได้ทั้งกล่อง..ได้กล่อง อวดชาวโลก อวดอังกฤษ ฝรั่งเศส คู่ปรับเก่า ว่าสเปนเป็นอารยะผู้พบโลกใหม่ คือ อเมริกา (แต่โลกเก่าของอินเดียนแดง) ..ส่วนที่ว่าได้ทองคือ ทองที่ปล้นมาจากวิหารของพวกเผ่าอินคา-เอสเธ็กส์ เต็มลำเรือ คว่ำจมทะเลไปก็ไม่น้อย แต่ก็มากพอไปทูลถวายกษัตริย์เฟอร์ดินาน และราชินีอิสซาเบลล่า
    ที่แท้แล้ววีรบุรุษสเปนคนนี้ เป็นลูกยิวที่หนีพวกแคธอลิกที่ตามล้างตามเช็ดมาจากเมืองเจนัว ลี้ภัยไปอยู่ลิสบอน ก่อนมาได้ดีที่สเปน..(ถ้านึกไม่ออกกรุณาย้อนไปอ่าน เรื่องฝรั่งเกลียดยิว ตอน ยิวก็เอาสันดานฝรั่งมาใช้ วันที่ 18 มกราคม 2009) ..ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า แล้วคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส มาเกี่ยวกับเรื่อง “ยิว..ยึดอเมริกา..เมื่อไหร่..?” ที่ตรงไหน..เกี่ยวสิครับ.เพราะว่า..ยิวมาอยู่อเมริกา กอบโกยจนร่ำรวย เบียดแทรกเข้าไปมีอิทธิพลในทุกวงการตั้งแต่ ดิสนี่ย์เวิลด์ ไปจนถึงทำเนียบขาว... ยิวในสภาคองเกรสมีที่นั่งตั้ง 11 % ทั้งที่ยิวในอเทริกามีแค่ 2% จะพูดว่าการยิวครองโลกได้ ก็เพราะยึดอเมริกาได้นี่แหละ ถ้ายิวไม่มาอยู่อเมริกา ป่านนี้ยิวอาจไม่กร่างเท่านี้ก็ได้ .. ตัวต้นเหตุ ที่ทำให้ยิวยึดอเมริกาได้ก็เป็นคนเดียวกันกับที่ ไปขโมยทองคำอินคามาให้สเปนนั่นแหละ..ใช่แล้ว คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส คนนี้..นี่เอง..

    3 สิงหาคม 1492 (ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 1 เป็นเวลา 77 ปี) โคลัมบัสออกเรื่องวานตามาเรีย ออกจากท่าเรือเมืองปารอส เดินทางถึงหมู่เกาะคิวบาในปัจจุบัน เมื่อ 29 ตุลาคม ปีเดียวกัน ตอนที่โคลัมบัสหนีมาจากเจนัว เขาไม่ได้ชื่อโคลัมบัส ว่ากันว่าเขาหนีมากับพี่ชาย โคลัมบัสแม้ว่าอยู่สเปนก้ยังแอบติดต่อชาวยิวที่บ้านเกิดอยู่อย่างลับๆ ข่าวการค้นพบอเมริกาทำให้ชาวยิวหลายแสนคนที่รู้จักโคลัมบัส รู้สึกศรัทธาและมีความหวังว่าพวกเขาอาจได้ไปอยู่ในโลกใหม่ โลกที่ไม่มีพระบาดหลวงแคธิลิกคอยกล่าวหาว่ายิวเป็นพวกนอกรีตและหาเรื่องจับโยนใส่กองไฟพิสูจน์ความผิด โคลัมบัสเล่าเรื่องโลกใหม่ที่เขาค้นพบ(ทีหลังอินเดียนแดนไม่รู้กี่พันปี) ให้เพื่อนยิวคนหนึ่งฟัง เพื่อนยิวคนนี้ก็หาได้เป็นคนอื่นคนไกลที่ไหน ก็ยิวที่มาแฝงตัวอยู่ในราชสำนักสเปนนั่นเอง พวกนี้แหละเป็น ล๊อบบี้ยิสต์ยิวรุ่นแรกๆ ที่ช่วยกันทั้ง Build ทั้งล็อบบี้โปรเจ็คเดินเรือของโคลัมบัส ผ่านทางราชินีอิซาเบลล่า จนพระนางยอมสนับสนุน.. ยิวล็อบบี้ยิสต์พวกนี้เป็นนักล็อบบี้พวกแรกของยิวหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ..แต่ต้องถือว่าฝีมือไม่น้อยกว่าพวก AIPAC, JINSA, AEI, หรือพวก Hudson Institute ในปัจจุบันเลย เพราะหลอกให้ราชินีอิซาเบลถอดเครื่องเพชรให้โคลัมบัสไปเดินเรือจนหมดตูด เฟดๆไปในที่สุด..
    ไม่มีใครพบหลักฐานว่า ที่แท้โคลัมบัสวางแผนเดินเรือเพื่อความมั่งคั่งของสเปน หรือวางแผนชาวยอพยพยิวไปสู่โลกใหม่กันแน่ ไม่มีข้อมูลใดๆที่บ่งชี้เช่นนั้น..แต่ส่วนตัวผมอยากปรักปรำว่า นี่คือแผน..อพยพยิวครั้งแรกในโลก..ก่อนพวกยิวไซออนิสต์อพยพยิวไปปาเลสไตน์ตั้งเกือบสี่ร้อยปี

    ล๊อบบี้ยิวในราชสำนักสเปนที่มีอิทธิพลอย่างน้อยมี 3 คน คนหนึ่งในนั้นเป็นพ่อค้าใหญ่ชื่อหลุยส์ เดอ ซานตาเกล จากวาเลนเซีย ค้าขายหากินกับราชสำนักฟันกำไรปีละหลาย ล้านเปโซ อีกคนหนึ่งทำงานในสำนักพระราชวังชื่อ ฮวน คาเบรโล คนสุดท้ายเป้นนักบัญชีในท้องพระคลังสเปนเช่นกันชื่อ แกเบรียล ชานเชส เห็นไหมครับ..ใหญ่่ๆทั้งนั้น
    ทั้งสามคนช่วยกันล๊อบบี้ราชินีอิซาเบลล่า เช้ากลางวันเย็นให้พระนางทรงเป็นสปอนเซอร์ โครงการของโคลัมบัส โดยช่วยกันหลอกราชินีว่าที่โลกใหม่มีทองคำมากมาย

    ดคลัมบัสออกเดินทางไปพร้อมกับกองเรือ โดยมีชาวยิวติดตามไปด้วย เล่ากันว่าในจำนวนยิวพวกนี้ มีอยู่คนหนึ่งชื่อ เดอ ตอร์เรส เห็นชาวพื้นเมืองสูบใบยา และต่อมาก็เริ่มบุกเบิกการทำไร่ยาสูบและอุตสาหกรรมยาสูบในคิวบา จนทำให้อุตสาหกรรมยาสูบตกอยู่ในมือชาวยิวมาตั้งแตบัดนั้นจนบัดนี้ (บริษัทฟิลิปมอร์ริสเจ้าพ่อมะเร็งโลก) ยิวสนใจอเมริกาตั้งแต่นั้นมา โคลัมบัส Inspired ชาวยิวยุโรป ให้นึกถึงเสรภาพในโลกใหม่ที่มั่งคั่งกว่า เสรีกว่า ชาวยิวเดินทางเข้าสู่อเมริกาใต้ (อาณานิคมของสเปนและปอร์ตุเกส)โดยเฉพาะบราซิล ต่อมาเกิดสงครามระหว่างดัทช์ กับชาวปอร์ตุเกส-บราซิล ยิวไปเข้าข้างดัทช์ เพราะยิวในฮอลันดามีมากกว่า พวกดัทช์หรือฮอลันดาเป็นมิตรกับยิวมากกว่าปอร์ตุเกส รวมทั้งปอร์ตุเกส ไม่ต้องการเสียอิทธิพลในบราซิล ยิวจึงถูกไล่จนต้องหนีอีกครั้งหนึ่ง โดยคราวนี้ พวกดัทช์จัดการให้ยิวในอเมริกาใต้ย้ายไปอยู่เมืองขึ้นของดัทช์อีกแห่งหนึ่ง ใครจะไปรู้ได้ว่าต่อมาอีกไม่นาน เมืองท่าที่ไม่น่าอยู่แม้แต่พวกดัทช์ซึ่งเป็นเจ้าของเอง ก็ยังไม่อยากจะอยู่ จะกลายเป็นศูนย์กลางการเงินที่สำคัญที่สุดในโลกไปได้ มันคือมหานครนิวยอร์ค..นั่นเอง ทีนี้อย่ามาสงสัยนะครับว่า ทำไมนิวยอร์ค จึงเต็มไปด้วยคนยิว

    ยิวมานิวยอร์คใหม่ๆ ก็ไม่มีใครอยากต้อนรับ แต่พวกยิวใช้วิธีเข้าไปถือหุ้นในบริษัทฯการค้าต่างๆในนิวยอร์ค จนกลายเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในนิวยอร์ค จนทำให้ข้าหลวงใหญ่ฮอลันดาที่ดูแลนิวยอร์คพูดไม่ออก แต่ก็ไม่วายออกกฎกีดกันทางการค้าห้ามคนยิวค้าขายกับชาวนิวยอร์คดัทช์ ยิวเลยต้องไปค้าขายกับชาวยุโรป และกลายเป็นพ่อค้า Import-Export ที่ร่ำรวย..เป็นอย่างนั้นไป.. ชาวยิวขายทุกอย่างที่ขวางหน้า ถ้าใครห้ามยิวทำอย่างหนึ่ง ยิวจะไปทำอีกอย่างหนึ่งที่ตรงกันข้าม ห้ามขายสินค้าใหม่ ยิวจะเปลี่ยนไปค้าของเก่าจนร่ำรวยกว่า ทางการนิวยอร์คห้ามยิวขายเสื้อผ้าและคอตตอน พวกยิวไปขายขนเฟอร์ ขนมิ๊งค์จนครองตลาดเสื้อผ้าหรูหราราคาแพงที่สุดในนิวยอร์ค ชาวยิวทำการค้าต่างประเทศเพราะถูกกีดกันการค้าในประเทศ แต่ยิวก็ทำให้นิวยอร์คกลายเป็นเมืองท่าสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    นิวยอร์ค เป็นสวรรค์ของชาวยิวตั้งแต่อเมริกายังไม่เป็นประเทศ.. ชาวยิวในยุคนั้นไม่น้อย เรียกนิวยอร์คว่า เยรูซาเล็มใหม่ ..... ใครๆก็นึกว่า ถ้าจะมีสักแห่งในโลกที่จะเป็นดินแดนสำหรัลชาวยิวแล้วละก็ นิวยอร์คนี่แหละเหมาะที่สุด ถ้าก่อนปี 1948 พวกยิวยึดนิวยอร์คไปตั้งเป็นประเทศของตัวเองได้ ป่านนี้ยิวคงไม่ต้องมาตั้งหน้าตั้งตาไล่ยิงชาวปาเลสไตน์เล่นเป็นผักเป็นปลาเช่นนี้

    ป่านนี้คนที่ซวยแทนที่จะเป็นอาหรับ ก็คงจะเป็นคนอเมริกัน..ละมั๊งผมว่า

     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิว..ที่คุณยังต้องทำความรู้จักอีกเยอะ (ตอนแรก)
    Shaffi : เขียน
    (28 มกราคม 2009)

    ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอิสราเอล ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี จนกลายเป็นความสัมพันธ์อันซับซ้อนและหลากหลายมิติ เช่น ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในระบบการเมือง ความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจ ด้วยการจัดตั้งองค์์กรเบียดแทรกเข้าไปอยู่ในเส้นเลือดใหญ่ทางการเงินและระบบหรือองค์กรทางเศรษฐกิจหลัก เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ ระบบธนาคารพานิชย์ บรรษัทวาณิชธนกิจ กองทุนตราสารหนี้ กองทุนน้ำมัน ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ตลาดทุน รวมทั้งธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ นอกจากนี้อิสราเอลยังออกแบบระบบเชื่อมต่อและรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐผ่านทางการก่อรูปนโยบายสำคัญๆของสหรัฐ เช่น นโยบายด้านต่างประเทศ และนโยบายด้านความมั่นคง ขณะที่อืสราเอลออกแบบองค์กรที่เรียกว่า The American Israel Public Affairs Committee หรือ AIPAC สำหรับการผลักดันเป้าหมายทางการเมือง หรือทำหน้าที่ล๊อบบี้กับฝ่ายการเมือง อิสราเอลก็ออกแบบกลไกเพื่อผลักดันนโยบายด้านการทหารสหรัฐผ่านการทำงานของอีกองค์กรหนึ่งที่เรียกว่า The Jewish Institute for National Security Affairs หรือ JINSA แปลได้ว่า “สถาบันชาวยิวเพื่อกิจการความมั่นคงแห่งชาติ”

    JINSA เป็นองค์กร “ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในด้านความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างอิสราเอลกับสหรัฐ” JINSA คือ กลุ่มขวาจัดที่อยู่เบื้องหลังนโยบายวอชิงตัน โดยทำการศึกษาวิจัย-กำหนด และสนับสนุนน สิ่งที่เรียกว่า “ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์” ระหว่างสหรัฐกับอิสราเอล ภายใต้กรอบนโยบายหลัก ได้แก่ ระบบขีปนาวุธตามยุทธศาสตร์ป้องกัน (Missile Defense), นโยบายพัฒนาอาวุธไฮเทค, นโยบายการจัดการกลุ่มก่อการร้าย, การควบคุมอุตสาหกรรมอาวุธ, รวมทั้งนโยบายการจำกัด และกำจัดอาวุธที่มีอานุภาพทำล้ายล้างสูงไม่ให้ตกอยู่ในความครอบครองของรัฐที่เป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐ และอิสราเอล ที่สหรัฐเรียกว่า “Rouge State” (รัฐอันธพาล ที่สหรัฐตราเป็นรัฐบัญญัติ ได้แก่ อิหร่าน ซีเรีย และเกาหลีเหนือ)

    JINSA ก่อตั้งขึ้นในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970 โดยเริ่มจากการศึกษาวิจัยบทเรียนจากสงคราม โยม คิปปูร์ (ปี 1973) เพื่อให้มั่นใจว่าหลังจากนี้ไปสหรัฐจะต้องให้ความช่วยเหลืออิสราเอลเพื่อคงความได้เปรียบทางการทหารไว้ให้เหนือกว่าประเทศอาหรับในภูมิภาคตะวันออกกลางตลอดไป ในปี 1979 JINSA ได้แปรรูปมาเป็น “กลุ่มศึกษาวิจัยยุทธศาสตร์เพื่อการป้องกัน” เพื่อสร้างข้อผูกมัดในความร่วมมือทางการทหารระหว่างอิสราเอลกับสหรัฐให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยจดทะเบียนเป็นองค์กรตามกฎหมายสหรัฐตามมาตรา 501(c)(3) เพื่อให้สามารถรับเงินสนับสนุนเงินบริจาคโดยภาคเอกชนและจากสมาชิกองค์กร(ชาวยิว)ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

    JINSA ประกาศต่อสาธารณะว่าเป็นองค์กรที่มีเป้าหมายเพื่อดำเนินการในนามอิสราเอล เพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐ และเชื่อมต่อนโยบายป้องกันของสหรัฐเข้ากับนโยบายความมั่นคงของอิสราเอล พูดง่ายๆว่าตั้งขึ้นเพื่อเป็น “นายหน้า” ดำเนินยุทธศาสตร์ทางการทหารแทนสหรัฐในตะวันออกกลางนั่นเอง โดยให้บรรภารกิจ 2 เรื่อง คือ ทำงานด้านมวลชนด้วยการโปรโมทชวนเชื่อให้คนอเมริกันเห็นว่าความมั่นคงของอิสราเอล ก็คือผลประโยชน์ของสหรัฐ สหรัฐจะปลอดภัย อิสราเอลต้อมั่นคง และภารกิจที่ 2 คือ ล๊อบบี้(ด้วยการอ้างข้อมูลทางวิชาการ) เข้าไปในโครงสร้างด้านกลาโหม และกิจการต่างประเทศสหรัฐ เพื่อคงบทบาทและความสำคัญของอิสราเอลในฐานะเป็นยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐ ในตะวันออกกลางและเมดิเตอร์เรเนียน นั่นเอง..

    หัวหน้าผู้บริหารของ JINSA คนปัจจุบัน คือ นอร์แมน แฮสคอ นักการเงินที่ร่ำรวยติดอันดับมหาเศรษฐีอเมริกัน Forbes 400 ประธาน JINSA ได้แก่ มาร์ค บล๊อกซ์มายเยอร์ เจ้าพ่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากนิวยอร์ค กรรมการบอร์ของ JINSA ชื่อคุ้นหู เนื่องจากหลายคนเป็นสายเหยี่ยวจากกลุ่ม Neo-Conservative คนดัง มาจากสงครามโจมตีอิรักและอัฟกานิสถาน อย่างริชาร์ด เพิลร์, ดิก เชนีย์ รวมทั้งนายทหารนอกราชการอีกจำนวนหนึ่ง

    ในยุคคลินตัน JINSA กับ อีกองค์กรหนึ่งที่จัดตั้งโดยกลุ่มขวาจัดในวอชิงตัน ที่มีชื่อว่า The Center for Security Policy หรือ CSP เป็นสององค์กรที่มีอิทธิพลมาในการผลิตนโยบายต่างประเทศด้านการทหาร ปัจจุบันด้วยการเกื้อหนุนของคลินตัน ทำให้ผู้บริหารของ JINSA และ CSP แทรกซึ่งเข้าไปในระบบการเมือง และกลายเป็นคนสำคัญทั้งในเดโมแครต และรีพับรีกัน บางส่วนเข้าไปอยู่ในระบบชาราชการประจำในตำแหน่งที่มีความสำคัญทางนโยบายความมั่นคงและการทหารในช่วงเวลา 10 ปีต่อมาหลังจาก คลินตันเข้าสู่ทำนียบขาว การประสานงานกันจากภายนอกและบุคคลที่แฝงอยู่ภายในระบบทำให้คนที่ทำงานให้อิสราเอลสามารถผลิตและผลักดันนโยบายออกมาเป็นจำนวนมาก เช่น นโยบายระบบขีปนาวุธป้องกันประเทศมูลค่ามหาศาล (ซึ่งมีการวางแผนติดตั้ง ในประเทศสมาชิกนาโต้ หลายประเทศ รัสเซีย ถือว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อรัสเซีย) นโยบายการส่งอาวุธให้ตุรกี (ใช้เข่นฆ่ากบฎชาวเคิร์ด)

    ทุกปี JINSA จะเป็นผู้สนับสนุนรายการนำคนสำคัญของสหรัฐไปเยือนอิสราเอล และจัดโครงการฝึกอบรมร่วมในโรงเรียนเสนาธิการทหารอิสราเอล ร่วมกับกับโรงเรียนนายเรือโรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยเวสต์ปอยท์ JINSA เป็นผู้สนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเพนตากอน เข้าศึกษาในวิทยาลัยป้องกันประเทศ โครงการอบรมเหล่านี้ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีบทบาทในการกำหนดนโยบายทางการทหาร การต่างประเทศ ของทั้งสหรัฐ และอิสราเอลให้เกิดความเข้าใจถึงความสำคัญ ว่าทำไมพวกเขาต้องทำให้อิสราเอลมีความมั่นคงปลอดภัย

    นอกจากนี้ JINSA ยังผลิตสิ่งพิมพ์ ออกมาเป็นจำนวนมาก เช่น หนังสือ a quarterly review of U.S.-Turkey-Israel cooperation ซึ่งเป็นจดหมายเหตุความร่วมมือทางการทหารระหว่างสหรัฐกับตุรกี, นิตยสารรายสองปีชื่อ Journal of International Security Affairs, และหนังสือชื่อ Islamic Extremism Newswatch ซึ่งเป็นหนังสือที่เสนอรายละเอียด ความเป็นมา โครงสร้างองค์กร และบุคคลรวมทั้งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีขององค์กรมุสลิมฝ่ายตรงข้ามอิสราเอลและสหรัฐทุกองค์กร ตั้งแต่หน่วยปฏิบัติการเล็กๆในปาเลสไตน์ไปจนถึงเรื่องของอัล-กออิดะ ของอุสามะห์ บินลาดิน ซึ่งหนังสือนี้กลายมาเป็นคู่มือของนักเรียนนายทหารสหรัฐและอิสราเอล ในฐานะของการทำความรู้จักกับ “ผู้ก่อการร้ายมุสลิม” นั่นเอง

    (ยังมีต่อ)

     
  14. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ทักษิณประกาศ .....
    ใช้เงินสะอาดล้างประเทศ สู้สงครามคอร์รัปชั่น



    ผมขอให้เงินสะอาด ทำความสะอาดประเทศ
    ร่วมกับพวกท่านสักครั้งหนึ่งในชีวิต ขอให้คอร์รัปชันหมดจากแผ่นดินไทย...


    หมายเหตุ ... พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและปาฐกถานำในการประชุมเพื่อกำหนดข้อตกลงร่วมในการป้องกันและปราบ ปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 30 กันยายน

    การเมืองในระบอบประชาธิปไตย ... เป็นระบบที่ผูกพันอยู่กับอิทธิพลท้องถิ่น นั่นหมายความว่าจะมีความชั่วร้ายปะปนมาด้วย ซึ่งวงจรอุบาทว์เหล่านี้เป็นสิ่งที่จะต้องเร่งกำจัดให้หมดไป เพราะที่ผ่านมาประชาชนที่เลือกตั้งผู้แทนเข้าไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าผู้แทนเหล่านั้นจะเข้าไปทำอะไร เพียงแต่ว่ามีการให้เงินและผู้แทนพอให้เงินแล้วก็คิดว่าไม่มีบุญคุณต่อกัน และสิ่งเหล่านี้ก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะนักการเมืองต่างแข่งกันหาผลประโยชน์และนำมาสู่ต้นทุนทางการเมืองที่สูง ขึ้นและมีการถอนทุนคืน เมื่อนักการเมืองโกงได้ ข้าราชการก็โกงได้ เด็กก็โกงได้

    คงจำได้ ... ผมเข้ามาการเมืองครั้งแรกเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในนามพรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นพรรคแรกที่ให้รัฐมนตรีแสดงบัญชีทรัพย์สิน และตนก็เต็มใจ รัฐธรรมนูญก็มาระบุไว้ภายหลัง เป็นข้อดีที่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ต้องมาจุกจิก แต่เป็นข้อที่ระบุเอาไว้ว่าถ้าเจตนาร้ายต้องเล่นงาน ดังนั้น การปราบปรามทุจริตต้องมองเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ดังนั้น ต้องร่วมกันขจัดวงจรอุบาทว์ไม่ว่าจะเป็นการเมือง ระบบราชการ ท้องถิ่น และภาคเอกชน

    นอกจากนี้ ... เรื่องผู้มีอิทธิพลที่เป็นธุรกิจใต้ดินนั้นต้องกำจัด เพราะจะไปกดขี่ข่มเหงประชาชน เพราะธุรกิจเหล่านี้จะมีอำนาจเหนือการเมือง ภาระจะตกอยู่กับประชาชน ดังนั้น คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ต้องมีความเด็ดขาดเรื่องการซื้อเสียงของ ส.ส.โดยรัฐจะให้เงินอุดหนุนกกต.เพิ่มเพื่อทำให้ต้นทุนของพรรคการเมืองไม่สูง เกินไป

    ดังนั้น ... จึงอยากเสนอแนวคิดเพื่อเป็นการเสริมสร้างองค์กรอิสระ อาทิ รัฐจะสนับสนุนให้สำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีความเข้มแข็งขึ้น โดยการแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มอำนาจแก่ป.ป.ช. และพร้อมให้ความร่วมมือในทุกด้านเช่น การลงโทษผู้บังคับบัญชาที่ละเลยไม่ปฏิบัติตามมติของ ป.ป.ช.พร้อมทั้งจะออกมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ให้หน่วยงานรัฐให้ความร่วมมือในการมอบข้อมูล เอกสาร แก่ ป.ป.ช.เมื่อมีการร้องขอ และเพิ่มกำลังคนให้หน่วยงานอื่นเข้ามาช่วยในการทำงาน อาทิ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อแก้ปัญหากรณีเรื่องการพิจารณาการทุจริตที่คั่งค้างของ ป.ป.ช.กว่า 5 พันเรื่อง

    หาก ป.ป.ช.ร้องมาว่า ... ต้องการให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินในส่วนใดอีก ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้ช่วยรัฐมนตรีหรือระดับใดก็ตาม รวมทั้งรัฐวิสาหกิจ รัฐบาลก็ยินดีที่จะสนับสนุน และจะมีการตั้งหน่วยกลางที่สามารถกำหนดความชัดเจน และให้ความกระจ่างแก่หน่วยราชการในเรื่องที่หน่วยราชการมีความสับสนว่า สามารถทำได้หรือไม่ให้ และจะเข้าข่ายการทุจริตหรือไม่ รวมทั้งจะมีการเอกซเรย์หน่วยงานราชการที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริตเป็นพิเศษ อย่าง เช่น กรมทางหลวง กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมขนส่งทางบก เป็นต้น

    รวมทั้ง ... ให้รางวัลนำจับแก้ผู้ที่แจ้งเบาะแสการทุจริตต่างๆ และจะมีมาตรการคุ้มครองพยานด้วย และจะมีการตั้งหน่วยรับแจ้งเบาะแสการคอร์รัปชั่นของภาครัฐ และสนับสนุนองค์กรภาคประชาชน

    คราวที่แล้ว ... ผมเคยให้เงินสนับสนุนองค์กรภาคประชาชนไป 20 ล้าน แต่ปรากฏว่าองค์กรเหล่านี้ก็ไปขึ้นเวทีปราศัยร่วมกับพวกที่ไซฟ่อนเงิน(ผ่อง ถ่ายเงิน) แต่ก็ไม่เป็นไร รัฐมีหน้าที่ดูแลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

    รัฐบาลจะแก้กฎหมาย ... ที่เอื้อต่อการทุจริตทุกอย่าง ซึ่งขณะนี้ผมได้มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีไปศึกษาอยู่ อย่างไรก็ ตามการแก้จะต้องไม่แก้ไขกันจนทำงานไม่ได้

    ต่อไปนี้ ... ระบบการเบิกจ่ายงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ของรัฐจะผ่านระบบคอมพิวเตอร์ หรือระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์(GFMIS) ซึ่งจะสร้างความชัดเจนในการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ โดยตั้งเป้าไว้ว่าในปี 2548 ระบบนี้จะพัฒนาไปสู่ระดับอำเภอ องค์กรส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะเริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป

    นอกจากนี้ ... ตั้งแต่ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นไป จะให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) จัดทำเว็บไซต์เพื่อการประมูลโดยเฉพาะ ซึ่งการประกวดราคาทุกอย่างในภาครัฐจะต้องขึ้นอินเตอร์เน็ต หรือแม้เมื่อการประมูลเสร็จสิ้นแล้วก็ให้ขึ้นอินเตอร์เน็ตเช่นกัน เพื่อที่จะได้สามารถตรวจสอบได้ว่ามีใครเกี่ยวของกับการประมูลบ้าง โดยขั้นตอนการประมูลในระบบอินเตอร์เน็ตจะเป็นการประมูลกันแบบสดๆ มีการต่อสู้ราคากันในขณะนั้น เชื่อว่าหากใช้วีธีนี้จะสามารถประหยัดงบประมาณที่ใช้ในการประมูลได้นับหมื่น ล้านบาทในปีเดียว

    โครงการใหญ่โครงการแรก ... ที่จะมีการประมูลผ่านระบบนี้คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายบางซื่อ-บางใหญ่-ราษบูรณะ และต่อไปจะมีการตรวจสอบราคากลางในการประมูลใหม่ โดยจะเชิญสมาคมวิชาชีพมากำหนดร่วมกัน โดยให้สำนักงบประมาณเป็นแกนกลาง และจะมีการติดตามสุ่มตรวจเมื่อมีการประมูล และขณะดำเนินการก่อสร้างโดยจะตั้งทีมอิสระเพื่อติดตามเป็นการเฉพาะ

    ปัญหาการทุจริตในข้าราชการ ... เนื่องจากข้าราชการมีค่าใช้จ่ายสูง เพราะบางแห่งหัวหน้าส่วนราชการชอบเรี่ยไรลูกน้อง จึงทำในข้าราชการต้องไปพึงพานักธุรกิจสีเทา เราจะต้องลดค่าใช้จ่ายของข้าราชการให้ได้ และต่อไปนี้หน่วยงานใดมีความต้องการเงินสนับสนุน ก็ให้ทำหนังสือมาถึงผม รัฐบาลจะดูแลให้ไม่ต้องไปเรี่ยไรกันเอง และขณะนี้รัฐก็ได้เริ่มแล้วด้วยการปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการประจำ ใครที่เงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท ก็เพิ่มให้ถึง 10,000 บาท ใครไม่ถึง 7,000 บาท ก็เติมให้ถึง 7,000 บาท

    ผมอยากให้มีการ ... ตั้งคณะอนุกรรมการและกรรมการฝ่ายพิทักษ์คุณธรรมขึ้น ในสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) เพื่อทำหน้าที่อบรมเสริมสร้างคุณธรรมแก่ข้าราชการ และให้ขยายไปสู่ข้าราชการส่วนต่างๆ อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และจะนำการปฏิรูประบบราชการมาใช้อย่างจริงจัง ซึ่งเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2546 เราได้ประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ บริหารบ้านเมืองที่ดี ที่เราใช้คำสนธิระหว่าง " ธรรมะ" กับ "ภิบาล" กลายเป็น "ธรรมาภิบาล" คือใช้ธรรมะ อภิบาลรักษา แต่วันนี้มันเผลอไปกลายเป็นการสนธิคำใหม่ระหว่าง "ธรรมะ" กับ "พิการ" กลายเป็น "ธรรมพิการ"ไปแล้ว

    รัฐจะสนับสนุนให้มี ... องค์กรภาคประชาชนในทุกระดับ เพื่อเป็นผู้ชี้เบาะแสการทุจริต ซึ่งอาจจะตั้งเป็นมูลนิธิเพื่อทำหน้าที่ป้องกันการทุจริต แต่ทั้งนี้หากการคอร์รัปชั่นในภาครัฐลดลง การคอร์รัปชั่นในภาคเอกชนก็ต้องลดลงด้วย เพราะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา โดยเฉพาะบริษัทมหาชนทั้งหลายที่มีผู้ถือหุ้นเป็นพวกไซฟ่อนเงิน(ผ่องถ่าย เงิน) กู้เงินมาแล้วไปใช้ผิดประเภท ผมจับตาดูแล้วมีการปล่อยกู้อย่างเมามัน แล้วหลายบริษัทก็ล้ม แต่นักธุรกิจเหล่านี้รวยกันหมด เมียของคนเหล่านี้ก็ใส่เครื่องประดับหรูราคาแพง มันเป็นเรื่องที่มากเกินไป เห็นแก่ตัวมาก

    "วันก่อนผมเชิญ ... ครม.มาประชุมกันอย่างไม่เป็นทางการ โดยไม่ต้องมีข้าราชการเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมบอกกับรัฐมนตรีว่า อย่าได้พยายามหาเงินมาให้พรรคโดยเอาชื่อผมไปอ้าง ประเภทที่มาให้พรรคแบบไม่ปกตินั้นไม่เอา และต่อไปคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีไม่ต้องเอาเงินมาให้พรรค เอาแต่สมองมาก็พอ"

    เรื่องการดำเนินการต่อผู้ทุจริตนั้น ... ในระดับรัฐมนตรีหากมีหลักฐานก็ให้ส่ง ป.ป.ช.ได้ทันที แต่หากไม่มีหลักฐานตนจะใช้อำนาจทางปกครองจัดการด้วยความเด็ดขาด เพื่อให้ปัญหาการทุจริตหมดไปจากประเทศไทย เพราะถ้าแก้เรื่องนี้ไม่ได้ ต่อไปข้างหน้าจะเหนื่อยอีกมาก และถ้าปัญหาการคอร์รัปชั่นลดลง ความน่าเชื่อถือในสายตาต่างประเทศจะมีมากขึ้น ต่างประเทศจะเข้ามาลงทุนมากขึ้น

    เราจะไม่ทำให้ ... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงหนักพระทัย เมื่อรับสั่งออกมา มีพระราชดำรัสออกมา พวกเราก็ต้องน้อมใส่เกล้าฯ และช่วยกันอย่างเต็มที่ ผมขอปวารณาว่าผมไม่ใช่คนรวย แบบไหนๆ ที่อาสาเข้ามา และคิดว่ามีเพียงพอที่จะดูแลลูกแล้ว ขอใช้เงินส่วนเกินของชีวิตทำความสะอาดประเทศ

    "ในฐานะผู้มาทำหน้าที่ตรงนี้ ... ร่วมกับพวกท่านทุกคน ขอเอาเงินสะอาดทำความสะอาด เพราะเงินสกปรกทำความสะอาดไม่ได้ มันเหมือนไม้กวาดที่ไปจ้ำไปจุ่มน้ำเน่ามาและมากวาดพื้น พื้นก็ยิ่งเน่าหนักเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นต้องเอาไม้กวาดที่สะอาดกวาดพื้นจึงจะสะอาดได้ ผมขอให้เงินสะอาดทำความสะอาดประเทศร่วมกับพวกท่านสักครั้งหนึ่งในชีวิต ขอให้คอร์รัปชันหมดจากแผ่นดินไทย เบาบางจากแผ่นดินไทยไปให้มากที่สุด เท่าที่ผมยังมีชีวิตอยู่ และขอให้ทุกท่านได้ร่วมมือร่วมใจกัน"


    ...................................................
    โดย ..... หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
    เมื่อ ..... วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2547



    เมื่อก่อนนี้ ทักษิณ เคยเป็นคนดี จนกระทั่งโดนธนูปักที่หัวเข่า จึงเป็นเช่นนี้
    เป็นเพราะธนูปักเข่า?

    ธนูปักเข่า เป็นบทพูดของตัวละครที่เป็นเหล่าทหารยามประจำเมือง
    ไม่ใช่ตัวเอกของเรื่อง
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิว..ที่คุณยังต้องทำความรู้จักอีกเยอะ (ตอนจบ)
    Shaffi : เขียน
    (28 มกราคม 2009)

    แม้ว่าภาพภายนอกของ The Jewish National Security Institute หรือ JINSA อาจดูคล้ายๆองค์กรทางวิชาการ หรือสถาบันเพื่อการวิจัยที่ผลิตนโยบายป้อนให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการกำหนดนโยบายของกลาโหมและการต่างประเทศของสหรัฐ มากกว่าการงานแบบนักล๊อบบี้ แต่บรรดานักสังเกตุการณ์ทางการเมืองสหรัฐจำนวนไม่น้อยจัดให้ JINSA เป็นหนึ่งในองค์กรยิวล๊อบบี้ยิสต์ แม้กระทั่วนักวิชาการสายตรงอย่าง สตีเฟน วอลท์ และจอร์น เมียเชอร์มายเยอร์ ผู้เขียนหนังสือชื่อ “The Israel Lobby and U.S. Foreign Policy” ได้เน้นในหนังสือของพวกเขาว่า JINSA เป็นหนึ่งในองค์กรของอิสราเอลหลายองค์กรที่มีอิทธิพลมากต่อการกำหนดนโยบายของสหรัฐ การทำงานล๊อบบี้เพื่อผลประโชน์อิสราเอลโดยใช้ภาพสถาบันทางวิชาการ เป็นการใช้ “Think Tank” เป็นอาวุธในการล๊อบบี้นั่นเอง สตีเฟน วอลท์ และจอร์น เมียเชอร์มายเยอร์ ผู้เขียนยังกล่าวต่อไปว่า “นานกว่า 25 ปีมาแล้ว พวกอิสราเอลล๊อบบี้ยโยบายต่างๆผ่านทางองค์กรที่มีโฉมหน้าภายนอกเป็นสถาบันทางวิชาการ เช่น The American Enterprise Institute (จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับองค์กรน้ีในโอกาสต่อไปครับ) สถาบัน The Foreign Policy Research Institute, สถาบัน The Heritage Foundation, สถาบัน Hudson Institute, สถาบัน The Institute for Foreign Policy Analysis และ JINSA บรรดานักคิดหรือ Think Tank จากองค์กรและสถาบันพวกนี้ ล้วนสนับสนุนอิสราเอล และคอยวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสหรัฐหากนโยบายนั้นไม่สนับสนุนหรือทำให้อิสราเอลเสียผลประโยชน์..”

    JINSA เป็นองค์กรที่ค่อนข้างโดดเด่น ด้วยบทบาทที่ต่างจากองค์กรล๊อบบี้อื่นๆของยิวที่ใช้วิธีการแบบเดิมๆคือการใช้ Connection อย่าง AIPAC (The American Israel Public Affairs Committee) ที่เจาะเข้ากลุ่มบุคคลในแวดวงการเมือง เช่น สมาชิกสภาคองเกรสเพื่อให้โหวตกฎหมาย มติ หรือรัฐบัญญัติใดๆที่เป็นประโยชน์ต่ออิสราเอล แต่วิธีการของ JINSA แตกต่างไป JINSA ทำงานแบบ หทารกับทหาร กองทัพกับกองทัพ และใส่ใจในประเด็นของอาวุธเป็นประเด็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบขีปนาวุธป้องกัน ขณะเดียวกันก็ยังเกาะติดประเด็นสำคัญรองๆลงมาอย่างเข้มข้นไม่แพ้กัน เช่นประเด็นของอุตสาหกรรมอาวุธ ที่อิสราเอลเข้าไปพัวพันทั้งในเรื่องธุรกิจค้าอาวุธ และความช่วยเหลือทางอาวุธต่อรัฐบาลอิสราเอล

    เลดีน อดีตผู้อำนวยการ JINSA เขาถูกส่งมามาจากอีกองค์กรหนึ่งคือ The American Enterprise Institute ให้มาเริ่มต้นวางพื้นฐานของ JINSA ให้เป็นองค์กร Pro-Israel อย่างเต็มตัวมาได้สักระยะหนึ่ง ต่อมาในปี 1979 สองสามี-ภรรยา ไบรเอ็น เข้ามารับไม้ต่อ ขณะที่เลดีน ขยับเข้าวงในเข้าไปอีกโดยไปทำงานให้อดีตประธานาธิบดีโรนัล เรแกน เพื่อทำงานลับๆชิ้นหนึ่งให้เรแกน ที่ต่อมากลายเป็นเรื่องอื้อฉาวกรณี “อิหร่าน-คอนทร้า” ต่อมาไม่นานเลนีนก็ต้องหลบฉากไป โดยให้สตีเฟน ไบรเอ็น ผู้อำนวยการ JINSA มารับมรดกในทำเนียบขาวแทน ..และนี่คือจุดเริ่มต้นของการสร้าง “รังเหยี่ยว” ในทำเนียบขาวขึ้นภายใต้รัฐบาลรีพับรีกัน ที่กำลังทำมาหากินกับอุตสาหกรรมค้าอาวุธอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ยิ่งเรแกน เจรจาลดอาวุธกับโซเวียตและกลุ่มกติกาสัญญาวอร์ซอว์แค่ไหน สหรัฐก็ขายอาวุธให้กลุ่มนาโต้ได้มากขึ้นเท่านั้น (รวมถึงโครงการสตาร์วอร์ เรื่องโจ๊กในยุคเรแกน) มีหรือที่อิสราเอลจะอดใจไม่โดดเข้ามาร่วมวงศ์ไพบูลย์ และเพื่อให้แน่ใจว่านโยบายเหล่านี้จะถูกสานต่อ กระบวนการสร้างนักผลิตนโยบายสายเหยี่ยวก็เริ่มต้นขึ้นในรัฐบาลเรแกนในเดือนธันวาคม ปี 1979 นี่เอง.. สตีเฟน ไบรเอ็นส่งงานที่ JINSA ต่อให้ภรรยา โชชานา ไบรเอ็น ในปี 1981 บทบาทของสตีเฟนไบรเอ็นที่ได้รับในรัฐบาลเรแกน คือเริ่มจากการเป็นที่ปรึกษาให้กับ ริชาร์ด เพิร์ล ซึ่งตอนนั้น เพิร์ลเป็นว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐ ต่อมาวุฒิสภารับรองเพิร์ล ไบรเอ็นก็เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยรับผิดชอบงานด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการทหารให้แก่ต่างประเทศ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า หน้าที่ของไบรเอ็นล่อแหลมและมีความเสี่ยง รวมทั้งมีหลักฐานบางประการที่บ่งชี้ว่าอาจมีการลักลอบถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการทหารระดับสูงไปสู่อิสราเอล เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งเคยเล่าว่า “ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ ใครก็รู้ว่าอิสราเอลเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ ในยุคที่มูลค่าความช่วยเหลือที่สหรัฐมอบให้อิสราเอลสูงที่สุดเท่าที่เคยปรากฎ ในสมัยของรัฐบาลเรแกน สหรัฐอนมัติเงินช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจแก่อิสราเอลเป็นมูลค่าถึง 1.2 พันล้านเหรียญต่อปี และความช่วยเหลือทางการทหารมูลค่า 1.8 พันล้านเหรียญ ไบรเอ็น..อาจถือว่าเป็นสายลับอิสราเอลข้างกายนักการเมืองอเมริกันในยุคแรกๆของการกรุยทางสู่ทำเนียบขาว มีบทบาทสำคัญ ไม่เพียงแค่เป็นคนเลือกว่าอาวุธอะไรของสหรัฐที่อิสราเอลต้องการจะซื้อจากสหรัฐด้วยงบประมาณก้อนที่สหรัฐให้มา แต่ยังเป็นคนที่ได้ประโยชน์จากการค้าอาวุธให้นักอุตสาหกรรมอาวุธของสหรัฐด้วย ..ไบรเอ็นฟาดสองเด้ง..ในยุคที่คนอเริกันมัวแต่ปลื้อมกัยบทบาทของประธานาธิบดีพระเอกหนังคาวบอยตะวันตก แต่อเมริกันกลับไม่เคยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเพ็นตากอน..

    ข้อมูลจากหนังสือ Nation ฉบับวันที่ 2 กันยายน ปี 2002 ระบุว่า วิธีการที่ JINSA และสตีเฟน ไบรเอ็น เข้าไปมีเอี่ยวในอุตสาหกรรมอาวุธ ก็โดยการสร้าง Connection กับฝ่ายการเมือง ส่งคนของ JINSA เข้าไปนั่งในบอร์ดบริหารของบริษัทค้าอาวุธ เช่น ดันให้ ลีออน เอ็ดนี่,เดวิด เจเรเมียร์ และชาร์ล เมย์ อดีตนายทหาร นอกราชการซึ่งเป็นบอร์ดที่ปรึกษาของ JINSA เข้าไปนั่งเป็นที่ปรึกษาในบริษัทนอร์ธอป กรัมแมน (บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินรบ F 111 และ F 14) ขณะที่ JINSA โดยสตีเฟน ไบรเอ็น ใช้อิทธิพลส่ง พอล เซอร์จาน และคาร์ลิสต์ ทรอสท์ เข้าไปทำงานในบริษัทล๊อคฮีด มาร์ติน (บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินรบ F 16) เพื่อขายเครื่องฝึกบินจำลองเครื่องบินรบ F 16 ให้กับอิสราเอล
    ทรอสท์ ยังเข้าไปนั่งในบอร์ดบริหารของเยเนอรัล ไดนามิส์ ซึ่งเป็นคว้าโครงการ Gulfstream ของเพ็นตากอน มูลค่า 206 ล้านเหรียญ ไปอย่างสบายๆ

    หลังจากเหตุการณ์ 9/11 JINSA ปรับยุทธศาสตร์ใหม่โดยเข้าร่วมกับกลุ่ม Think Tank รุ่นใหม่ สายเหยี่ยวขวาจัดรุ่นใหม่ที่เรียกว่า Neo-Conservative, พวก Ne0-Con ใช้ Project for the New American Century (PNAC) เป็นฉากบังหน้า (โอกาสต่อไปจะเปิดโฉมหน้าองค์กร PNAC) พวก Neo-Con ทำงานเบื้องหลังโดยมุ่งเป้าหมายไปที่ การใช้นโยบายทางการทหารเปิดฉากการทำสงครามกับอัล-กออิดะ ของอุสามะห์ บินลาดิน หลังเหตุการณ์ 9/11 เพียง 2 วัน คือ วันที่ 13 กันยายน 2001 หนังสือพิมพ์ Pro-Israel พากันพาดหัวตัวโตพร้อมเพรียงราวกับนัดกันไว้ว่า “9/11 ฝีมือบินลาดิน” JINSA ไม่รอช้ากระโดดเข้าร่วมกับ Ne0-Con เดินเข้าเดินออกทำเนียบขาวและห้องรูปไข่ของ บุชเป็นว่าเล่น ขณะที่พอล วูล์ฟโฟวิซท์ หมายเลขสองที่เพนตากอน..หนึ่งในสายเหยี่ยวเพื่อนพ้องน้องพี่ Ne0-Con สายบู๊ ชี้ไปที่อิรัก..แล้วบอกว่านี่คือเป้าหมายของสหรัฐ บรรดา Neo-Con รีบสร้างหลักฐานนานาชนิดขึ้นมาเพื่ออ้างว่า เหตุการณ์ 9/11 คือฝีมือของอุสามะห์ บินลาดิน วูล์ฟโฟวิซท์ กล่าวว่า “เราสืบทราบมาเป็นเวลานานแล้วว่า บินลาดินมีแผนงานโจมตีสหรัฐ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงใดๆอีกแล้ว (อย่างรีบร้อนและผิดสังเกตุ ทั้งที่บินลาดิน ปฏิเสธมาโดยตลอดจนถึงวันนี้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับเหตุการณ์ดังกล่าว) และ..เช่นเดียวกนบซัดดาม ฮุสเซ็น ..การปฏิบัติของเราในอดีตต่อระบอบซัดดามไม่อาจทำให้แน่ใจได้ว่าอิรักจะไม่คุกคามความมั่นคง เราต้องรีบคว่้าโอกาสนี้ไว้..” ท่ามกลางการก่อกระแสธารณะให้โค่นล้มซัดดาม ฮุสเซ็น ให้ยุติโครงการอาหารแลกน้ำมัน... การปลุกกระแสให้บุกอิรักด้วยกำลังทหาร ข่าวลือเรื่องที่กลุ่มทุนซาอุดิอาระเบียเป็นสปอนเซอร์ให้บินลาดิน...

    ทุกๆปี JINSA จะมอบรางวัลเกียรติยศให้แก่เจ้าของนโยบายทางการทหารดีเด่น ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นนโยบายที่สนับสนุนอิสราเอล จึงจะถือว่ามีคุณสมบัติดีเด่น ในบรรดาผู้ที่ได้เกียรติจาก JINSA ส่วนมากเป็นนักการเมืองยิวในครองเกรส และนักการเมืองขวาจัด หนึ่งในนั้นได้แก่ วุฒิสมาชิกจอร์น แมคเคน อดีตคู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนล่าสุดตัวแทนพรรครีพับรีกัน ในวันพิธีมอบรางวัลแก่แมคเคน เขากล่าวว่า “ผมภูมิใจในรางวัลที่ได้รับ..และดีใจที่ชื่อของผมอยู่ในหมู่ของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสำคัญ และยิ่งใหญ่ ที่มีส่วนทำให้เราได้รับชัยชนะในสงครามเย็น ..เห็นได้ชัดว่า อิหร่านยังไม่เลิกคิดอยากจะครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ อันเป็นความเสี่ยงที่เราจะยอมรับไม่ได้ เราต้องปกป้องด้วยการกวาดล้าง.อิหร่านจะต้องเลิกหนุนหลังผู้ก่อการร้าย” แมคเคนยังกล่าวถึงผู้นำปาเลสไตน์ ด้วยท่าทีแข็งกร้าวว่า พวกปาเลสไตน์บอกว่าปรารถนาสันติภาพ แต่กลับจ่ายค่าแรงให้ผู้ก่อการร้ายมาโจมตีอิสราเอล และสำหรับผู้นำสหรัฐ “ผู้นำสหรัฐไม่ควรขายสันติภาพที่ล้มเหลวเพื่อแลกกับเพื่อนที่เป็นประชาธิปไตยเช่นอิสราเอล อิสราเอลมีสิทธิ์ในการป้องกันตนเอง ไม่น้อยไปกว่าที่เรา(สหรัฐ)พึงมี นี่เป็นการยืนยันว่า การเจรจาในการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ ทั้งๆที่ผู้ก่อการร้ายยังคงอยู่เป็นการต่อรองที่ไม่อาจยอมรับได้” (ขณะที่แมคเคนกล่าว Speech นี้ รัฐบาลฮามาสที่มาจากการเลือกตั้ง ถูกประธานาธิบดรอับบาสใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งยุบรัฐบาล และ PLO และฟาตาห์ ของอับบาสเปิดฉากโจมตีฮามาสโดยมีอิสราเอลร่วมวงด้วย แมคเคนกำลังรณรงค์เป็นตัวแทนพรรครีพับริกันเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี)

    คนอเมริกันภูมิใจที่ไปเลือกประธานาธิบดี ทุกๆ 4 ปี และได้ประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกเฟ้นของเขา ...
    แต่..คนยิวบอกว่า..ใครก็ได้..ทั้งนั้น เพราะมันก็คือๆกัน ..Same..Same กัน นั่นแหละ ..จริงไหมครับพี่กัน..

     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สื่อ..จอมบงการโลก ตอนที่ 1
    Shaffi : เขียน (26 มกราคม 2009)

    เรื่องราวของจอมบงการที่แอบอยู่ด้านหลังสื่อมวลชนอเมริกันไม่กี่คน พวกเขามีบทบาทและหน้าที่ในการ Spin ปั่นข่าวเพื่อผลประโยชน์อิสราเอล ผ่านสื่อชนิดและประเภทต่างๆ เพื่อชี้นำกระแสความคิด ทัศนคติ และโลกทัศน์ของชาวอเมริกัน (และชาวโลกในที่อื่นๆที่เดินตามกระแสนั้นไปด้วยอย่างไร้สติ เช่น สื่อมือสองส่วนมากในประเทศพันธมิตรสหรัฐ) อ่านแล้วนึกถึง Big Brother หรือจอมบงการ ในนวนิยายแนวการเมืองเรื่อง “1984” ของจอร์จ ออร์เวลล์ ที่คอยติดตามความคิดของชาวโอชันเนียไปทุกฝีก้าว... จอมบงการในสื่ออเมริกัน ก็ไม่ต่างกับ Big Brother ใน โอชันเนีย..นั่นเอง

    ________________________________________________________________

    ไม่มีอำนาจอะไรในโลกยิ่งใหญ่เกินไปกว่าอำนาจที่ถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดเห็นสาธารณะ (ที่เริ่มจากในอเมริกา แล้วแพร่กระจายไปทั่วโลก) อำนาจพวกนี้มากไหนกัน.. ไม่มีกษัตริย์ ไม่มีสันตปาปา พระองค์ไหนหรอกที่คอยหลบในเงามืดเบื้องหลังสังคมอเมริกัน แต่เป็นแค่คนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังสื่อมวลชนและวงการบันเทิงในอเมริกาทั้งหมด พวกนี้เป็นใครกัน..

    จอมบงการในแวดวงสื่อเหล่านี้ แทรกเข้าไปในทุกบ้านในอเมริกา และทุกหนทุกแห่งรอบๆตัวเรา อำนาจของมันช่างมีอานุภาพยิ่งใหญ่ มันค่อยๆแทรกซึมเข้าในจิตใจผู้คน แล้วหล่อมหลอมทัศนคติ โลกทัศน์ ของทุกผู้ทุกนาม โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ หรือเด็ก คนมีการศึกษาหรือไม่มี ร่ำรวยหรือยากจน

    สื่อมวลชนอเมริกัน วาดภาพโลกใบนี้ทั้งหมดเท่าที่มันต้องการให้คุณเห็น แล้วส่งมอบภาพนั้นไปทั่วทั้งอเมริกาและโลก เล่าเรื่องที่พวกผู้บงการอยากเล่า พวกเขาคอยบอกว่าโลกนี้ว่าต้อง หรือควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สื่ออเมริกันอธิบายเหตุการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกในทิศทางที่พวกเขาต้องการ ด้วยเครื่องมือที่ทรงอานุภาพหลากหลายที่อยู่ในกำมือพวกเขา ตั้งแต่หนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ วิทยุ และโทรทัศน์

    นี่ไม่ใช่แค่อิทธิพลที่หลบซ่อนอยู่เบื้องหลัง ที่คอยบิดเบือนข่าวสารในหน้าหนังสือพิมพ์หรือในรูปของสื่อโฆษณาชวนเชื่อ ในรูปแบบที่เรียกว่า “Docudrama” ที่ใช้เทคนิคในการเล่าเรื่องเพื่อปรุงแต่งความคิดให้เป็นไปตาม Agenda ของจอมบงการ ซึ่งเป็นวิธีการแปลงสารอย่างมีเทคนิคเท่านั้น แต่จอมบงการทั้งหลายยังใช้กระบวนการจัดการข่าวสารและความบันเทิงทั้งหมดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างสมบูรณ์แบบ

    ตัวอย่าง วิธีการจัดการข่าวสาร ด้วยเทคนิคการเน้นย้ำ และละเลง ที่เห็นเสมอๆ ก็คือ ผู้รายการข่าวจะเลือกใช้คำพูด น้ำเสียง ประกอบลีลาการแสดงออก การโปรยหรือจั่วหัวข่าว การเลือกภาพประกอบ ทั้งหมดนี้จะประกอบเข้าด้วยกัน ส่งผลให้ผู้รับข่าวสาร เกิดความคิด หรือทัศนคติของผู้รับข่าวสาร ไปในทิศทางที่พวกเขากำหนดและออกแบบไว้แล้วตั้งแต่ต้น พวกคุณตีความจากสิ่งที่เห็นและได้ยิน อย่างที่พวกเขากำหนดกรอบคิดอ้างอิงไว้แล้วเป็นอย่างดี

    บรรดาคอลัมนิสต์ และบรรณาธิการข่าว จะขจัดความเคลือบแคลงสงสัยที่ยังติดค้างในใจของคุณออกไป คุณไม่ต้องคิดอะไรด้วยตัวเอง เพียงคิดไปตามสิ่งที่พวกเขากำหนดไว้ทั้งหมด ด้วยเทคนิคทางจิตวิทยา พวกเขานำความคิดเราไป เพื่อให้เรากลายเป็นหนึ่งในบรรดา คนฉลาดๆทั้งหลายในสังคมอเมริกัน นักบงการเลื้องหลังสื่ออเมริกันเหล่านี้ จะชี้นำคุณด้วยตัวละครประเภทต่างๆในชีรีย์ทางโทรทัศน์ ตัวละครคนโปรดของคุณที่แสดงออกทางความคิดและทัศนคติทางการเมืองในแบบที่จองบงการทั้งหลายกำหนดว่าเป็นทัศนคติที่ถูกต้องในแบบและสไตล์อเมริกันที่สมควรยกย่องและเลียนแบบ

    เตาหลอมตวามคิดอเมริกันชน

    ชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยชอบใช้ชีวิตประจำวันหน้าจอโทรทัศน์ เฝ้าดูทุกสิ่งที่ปราดฎอยู่บนจอนั่น พวกเขาตอบสนองจากสิ่งที่เห็น และได้ยิน ตอบสนองปฏิกริยา คำพูด ทัศนคติ ของบรรดาตัวละครทั้งหลาย พวกเขาเชื่อสิ่งที่ตัวละครแสดง และคิดเห็นมากยิ่งกว่าสิ่งที่พวกเขาคิด มากกว่าสิ่งที่พวกเขาทำในชีวิตจริงเสียอีก คนอเมริกันเอาความคิดทัศนคติ บทบาทของตัวละครต่างๆในโทรทัศน์ซึ่งเป็นโลกที่ถูกอุปโลกขึ้น แทนที่ความคิดของตัวเอง และด้วยความคิดเทียมๆที่พวกเขารับมาจากโทรทัศน์ ทำให้พวกเขาฟอร์มรูปทรงทางความคิด และทัศนคติต่อการดมงลอก ในรูปแบบที่ผิดไปจากที่ควรจะเป็น คนเขียนบทกำหนดให้ตัวละครคิดในแบบที่ต้องการ แต่ลืมไปว่ามีคนอีกนับล้านคนที่กำลังสวมบทและแสดงไปตามแนวคิดของผู้เขียนบท

    นั่นคือผลที่เกิดขึ้นจากสื่อในโลกบันเทิงทางโทรทัศน์ เช่นเดียวกับข่าว ทั้งในสื่อสิ่งพิมพ์ และข่าวทางโทรทัศน์ เล่ห์กระเท่ที่นำมาใช้ฟอร์มรูปแบบความคิด ที่ใช้ได้ผลกับสื่อบันเทิง ก็ใช้ได้ผลกับสื่อในรูปแบบข่าว แม้ว่าเราจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสื่อบันเทิงและข่าวพวกนั้นเป็นสื่อที่เต็มไปด้วยอคติ จอมบงการสื่อยังคงปรุงแต่งความคิดคนส่วนใหญ่ให้คล้อยตามพวกเขาต่อไป เหตุก็เพราะพวกเขาไม่ยอมสลัดสื่อพวกนี้ออกไปจากชีวิตพวกเขา

    ตัวอย่าง : ลองพิจารณาข่าวเกี่ยวกับตะวันออกกลาง บรรณาธิการ หรือผู้ให้ความคิดเห็นข่าวบางคน ให้ความเห็นข่าวในทุกแง่ทุกมุมทแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสนับสนุนอิสราเอลอย่างกับทาสผู้ซื่อสัตย์ ขณะที่ก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นกลาง ไม่มีใครกล้าพูดออกมาตรงๆว่ารัฐบาลสหรัฐสนับสนุนหรือเข้าข้างฝ่ายที่ผิด ในกรณีความขัดแย้งอาหรับ-อิสราเอล และไม่มีใครกล้าพูดว่าเป็นสิ่งที่ผิดที่รัฐบาลสหรัฐสนองต่อผลประโยชน์อิสราเอลมากกว่าผลประโยชน์ของสหรัฐ ในกรณีส่งทหารเข้ารุกรานอิรัก และโดยหลักการที่อิสราเอลเป็นศัตรูกับอาหรับ ดังนั้น จึงเกิดความพยายามในการกำหนดและจัดการบริหารให้เกิดกระแส และบรรยากาศ ความคิดเห็นของสังคมให้มีแนวโน้มไปในแนวทางจากจุดที่สนับสนุนอิสราเอลอย่างสุดขั้วลงไปถึงการนำเสนอในแนวที่ขยับใกล้ไปจนเกือบถึงกรอบแนวคิดที่เป็นกลางๆ (และจะไม่มีทางที่จะเลยแนวกลาง ออกไปทางขอบนอก คือกลับเสนอไปทางทิศทางที่จะแสดงการสนับสนุนอาหรับอย่างแน่นอน)

    ชาวอเมริกันส่วนมากไม่ได้สำเหนียกเลยว่าพวกเขาจมอยู่ในหลุมดำหลุ่มแห่งการเสกสรรปั้นแต่งมายาภาพ แม้ว่าประชาชนบางส่วนหนึ่งบ่นเรื่อง “การปั้นแต่งข่าว” มากขึ้น แต่พวกเขาก็ยังติดอยู่ในกับดักทางความคิด พวกเขาถูกนำเสนอด้วยสื่อที่กำหนดกรอบความคิดแคบๆให้พวกเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ “ถ้าออกหัวฉันชนะ ถ้าออกก้อยแกแพ้” คือไม่มีทางเลือกอื่นใดให้ผู้รับสื่อนอกจากสิ่งที่จอมบงการหยิบยื่นให้ ไม่มีมุมมองที่ถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น เล็ดรอกแแมาจากสื่อกระแสหลักในมือจอมบงการได้หรอก

    การควบคุมความคิดเห็นสาธารณะ การใช้สื่อกระแสหลักเป็นเตาหลอมความคิด เกือบเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งทรงพลังดั่งหินผาที่ใครก็โค่นให้มันพังทลายลงมาไม่ได้ การควบคุมทุกสื่อ โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หนังสือ ภาพยนตร์ การพูดด้วยแสดงความคิดเห็นอย่างมีน้ำหนัก ทั้งหมดทำงานร่วมกัน ค้ำยันซึ่งกันและกัน ไม่มีใครออกมาคัดค้านกันอย่างจริงๆจังๆ ไม่มีการนำเสนอข้อเท็จจริงจากแหล่งอื่นๆ หรือการนำเสนอแนวคิดที่ก่อให้เกิดการกระตุ้นมวลชนขนาดมหาศาลใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดการฟอร์มรูปแบบความสาธารณะ และทัศนคติอื่นๆที่แตกต่างขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับกระแนวแนวคิดที่จอมบงการสร้างขึ้น จอมบงการสร้างและนำเสนอมุมมองเพียงมุมเดียว โลกพูดด้วยเสียงเดียวกันถึงความเท่าเทียมกันทางเชื้อชาติ เรื่องฝังหัวชองเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิว หรือ “Holocaust” การหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานต่างชาติละติน ฯลฯ เป็นมุมมองที่สื่อจอมบงการออกแบบมาเพื่อใช้กรอกหูอเมริกันชนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผู้คนก็ปรับระบบความคิดไปตามกรอบอ้างอิงหลักเหล่านี้ แล้วสะท้อนความคิดสาธารณะของพวกเขาออกมาตามทิศทางนั้น พวกเขาโหวตทางการเมืองไปในแบบที่ถูกกำหนด พวกเขาออกแบบชีวิตของพวกเขาให้เป็นไปตามวิถีที่จอมบงการทั้งหลายพึงพอใจ

    แล้วใคร..คือ จอมบงการพวกนี้..? เราจะแปลกใจไหมหากบอกว่าพวกเขาทั้งหมด เป็นชาวยิว มันไม่ง่ายเลยที่ใครจะมีอำนาจควบคุมสื่อได้ หากพวกเขาไมใช่นักลงทุนกระเป๋าหนัก ที่ร่ำรวยและหิวเงินมากเพียงพอ บังเอิญเหลือเกินว่า..นักลงทุนที่ร่ำรวยและหิวเงินเหล่านี้ ส่วนมาก..เป็นคนยิว

    โฉมหน้าจอมบงการเบื้องหลังสื่ออเมริกัน ใครเป็นใคร..โปรดติดตามต่อไป...

     
  17. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ธนูปักเข่า อันนี้อธิบายได้ชัดกว่านะ

    แต่ก่อนไม่เคยเหงา...จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า"

    "ช่วงนู้นแฟนผมเคยสวยกว่านี้ ผอมเพรียวกว่านี้ จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า"

    "เคยหล่อกว่า ณเดชน์ จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า"

    "เมื่อก่อนหน้าตาอย่างกับแอ๊ฟ ทักษอร จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า"

    หลาย คนคงสงสัย ที่ช่วงนี้ ไม่ว่าจะเปิดไปหน้าสังคมออนไลน์ ไหนๆ ทั้ง เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ สารพัดบล็อก ห้องสนทนาต่างๆ ฟีด หน้ากระดาน เกมส์ อะไรก็แล้วแต่ เป็นต้องเห็นใครๆ ขึ้นสเตตัสหรือสถานะข้อความ หรือเชื่อมโยงประโยคคำพูดถึงที่มา อะไรสักอย่างด้วย "จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า" จนกลายเป็นสุดยอดเสตตัสฮิต ไปทั่วโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คของพี่ไทยเรา

    บางคนก็เก๊ตมุข ใช้ วลีที่ว่า "แถ" เอาฮากันอย่างนู้นอย่างนี้ บางคนไม่รู้ที่มาจากไหนแต่เห็นเขาใช้กันก็เฮโลหยิบลูกเล่นตลกๆ มาเป็น "ข้อแก้ต่าง" ให้กับตัวตนของตัวเองบ้าง เป็นที่สนุกสนานกันไป

    ขณะที่หลายๆคนก็ยัง คง งง ว่า แล้ว ไอ้ที่ว่า กล่าวถึงอะไรเกี่ยวกับตัวเองสักอย่างหนึ่งแล้วต่อด้วย "...จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า" มันคืออะไร (ฟระ) มีที่มาจากไหน ?


    แล้วเอามาใช้กันแพร่หลายพรึ่บพรับจนฮอตฮิตอย่างทุกวันนี้ ได้อย่างไร?


    ในสังคมออนไลน์ จึงมีผู้รู้ ผู้เข้าใจ เขียนอธิบาย ที่มาของ "จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า" ไว้ตามหลายๆ เว็บไซต์ หลายๆ กระดานข้อความอย่างเว็บบอร์ดดังอย่างพันทิพให้ได้ทราบกันว่า วลีฮิต "โดนธนูปักเข่า" แท้จริงแล้ว มันเริ่มฮิตมาจากในหมู่ผู้เล่นเกมส์ The Elder Scrolls V : Skyrim ซึ่งมีตัวละครที่เป็นเหล่าทหารยามประจำเมืองต่างๆ ที่มักจะชอบพูดประโยค ที่ว่า "I used to be an adventurer like you, then I took an arrow in the knee" กันบ่อยๆ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ประมาณว่า "เมื่อก่อนฉันก็เคยเป็นนักผจญภัยอย่างคุณ จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า เลยต้องมาเป็นยาม(นี่แหละ)"

    ผู้ที่เอามาเล่นเพื่อเป็นการเบี่ยงเบน แก้สถานการณ์ข้อผิดพลาดของตัวเอง หรือผู้อื่นๆ อย่างนั้นอย่างนี้ กลบเกลื่อนเรื่องเลวร้าย จุดบกพร่อง ปมด้อย หรือเรื่องตรงข้ามจากดีมาเป็นร้าย โดยพุ่งเป้าโทษไปว่าที่เกิดเรื่องแย่ๆ ในชีวิตฉันเนี่ยเป็นเพราะ "โดนธนูปักที่เข่า" ด้วยการครีเอทหรือเอาเรื่องจริงมาพูดในรูปแบบประโยคฮาๆ ไม่ซีเรียส (ความจริงก็รู้ดีกันอยู่อะไรคืออะไร อิอิ)

    คล้ายๆกับ มุขในโฆษณาหนึ่ง ที่โทษว่า เป็นเพราะความผิดของ "แก๊สโซฮอลล์" ทำนองนั้น

    จาก หมู่นักเล่นเกมส์ ที่บังเอิญก็เป็นผู้ที่ท่องโลกออนไลน์เหมือนกัน จึงเอามาใช้แพร่หลายบอกต่อๆ กัน เป็นกิมมิก แก๊กเข้าข้างตัวเอง หลอกตัวเอง โกหกหน้าตาย หรือปลอบใจตัวเองอย่างน่ารักๆ หรือจะประชดประชันเสียดสีก็ได้ จนเป็นที่มา วลีฮิตอนย่างที่เล่นๆ กันอยู่นั่นล่ะ

    แม้จะฟังไม่ขึ้นบ้าง ขัดๆบ้าง แต่เอามาเล่นซ้ำ พลิกแพลงได้หลากหลายตาม ยัวร์สไตล์นะเอาสิ โด่งดังถึงขนาดที่ว่า กระทั่งตอนนี้ ในเฟซบุ๊ก ก็มีผู้มาตั้งหน้าเพจ "จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า" เข้าให้แล้ว และแน่นอนตอนนี้ ก็มีผู้เข้ามากด Like กันทะลุหมื่นไอดีกันเลยทีเดียว

    ผู้อ่านมติชนออนไลน์หลายคนคงพอเข้าใจแล้วใช่มะ ?

    หาก ใครจะนำ วลีนี้ไปลองเล่นต่อเติมท้ายประโยคของตัวเราเองก็ไม่มีลิขสิทธิ์อันใด ทุกเพศทุกวัย สามารถครีเอทได้ตามความพอใจที่จะ "แถ" ไม่ยั้ง เข้ากระแสอินเทรนด์กันซะหน่อย จะได้ไม่เอาท์!!

    ที่สำคัญ อย่าคิดมาก วิตกจริต ซีเรียส จริงจัง กลัวจะทำให้ภาษาอันใดวิบัติ เพราะมันก็แค่เป็น ประโยคขำขำ คลายเครียดที่เราสร้างเองได้ ณ ช่วงเวลานี้ ก็เท่านั้น คงไม่ทำให้ชีวิตเสียจริต ผิดแปลก ไปจากเดิมสักหน่อยมั้ง

    ว่าแต่ "เมื่อก่อนก็ขยันทำงานเช้าจรดค่ำ...จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า" (นี่ล่ะ) "

    ฮา......กริบ!!!

    เรื่องโดย : ตามลม

    "...จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า" วลีสุดฮิต ณ โลกไซเบอร์ งงเต็กดิ!! อะไร(ฟระ)? : อาหารสมอง

    <table border="0" cellspacing="1"> <tbody><tr> <td nowrap="nowrap" valign="top" width="75">จากคุณ</td> <td>: seraphim (seraphim) </td></tr></tbody></table>
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สื่อ..จอมบงการโลก ตอนที่ 2

    Shaffi : เขียน (31 มกราคม 2009)

    ตอนที่แล้วผมเขียนโปรยไว้เบาๆ ถึงวิธีการและธรรมชาติของสื่อปั่นโลกว่าทำงานอย่างไร และเกี่ยวข้องกับสื่อในกลุ่มใดบ้าง และค้างไว้ตรงที่ใครเป็นใคร ใครดูตรงไหนแล้วพวกนี้ล้างสมองคนอเมริกัน และชาวโลกดดยใช้อำนาจของสื่อได้อย่างไร ผมลองทำ Mind Map คร่าวๆ พบว่าเขียนให้สั้นกว่าง 4-5 ตอน ไม่ได้เลย ย่อเรื่องมากๆแล้วมันไม่เคลียร์ เดี๋ยวก็ต้องเล่าใหม่ สู้ทนอ่านกันหน่อยไปทีละเล็กทีละน้อย ต่อภาพจิ๊กซอว์ได้ภาพใหญ่จะทำให้เข้าใจได้ดีกว่าครับ..เรามาต่อกันเลยดีกว่า

    โลกของข่าวอีเล็กทรอนิกส์และสื่อบันเทิง...สร้าง Public Comments ตามทิศทางที่ยิวต้องการได้อย่างไร

    ยิวครอบครองสื่ออีเล็คทรอนิกส์และครอบงำโลกบันเทิง

    รัฐบาลอเมริกันไม่เคยสนใจที่จะออกกฎควบคุมอุตสาหกรรมสื่อสารและโทรคมนาคม ผลก็คือเกิดการแข่งขันอย่างรุนแรงในอุตสาหกรรมสื่อเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงมีผู้เข้าสู่ธุรกิจรายใหม่ๆเพิ่มขึ้น แต่ยังเกิดการควบรวม และการฮุบกิจการ ของบรรดาขาใหญ่ที่เข้าเทคโอเวอร์รายเล็กรายน้อย ทั้งสื่อประเภทเดียวกัน และข้ามสื่อตางชนิดกัน เพื่อกินพื้นที่ส่วนแบ่งมากขึ้นเรื่อยๆ การควบรวมกิจการครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นทศวรรษ 1990 คนอเมริกันจะพบว่าเมื่อใดก็ตามที่ดูโทรทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นทีวีท้องถิ่น หรือเคเบิ้ลทีวี หรือทีวีดาวเทียม เมื่อใดก็ตามที่ชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ หรือที่บ้าน เมื่อไหร่ก็ตามที่เปิดวิทยุฟังรายการเพลงโปรด หรือเปิดแผ่น CD นักร้องยอดนิยม ไม่ว่าคนอเมริกันจะกำลังเปิดหนังสือพิมพ์ใดเพื่อจะอ่าน หนังสือหรือแม๊กกาซีนที่หยิบจากแผง ในร้านหนังสือ เนื้อหา เรื่องราว ข้อมูลจากสื่อเหล่านั้น หรือสาระความบันเทิงทั้งหลายแหล่ ล้วนเหมือนกัน หรือมีเนื้อหาไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด ก็เพราะว่าสื่ออะไรก็ตามที่จับต้องตกอยู่ในสือของกลุ่มคนเพียงหยิบมือเดียวที่คอยบงการสื่อทุกชนิดทุกประเภทในอเมริการและโลกให้เป็นไปตามแนวทางที่พวกเขาต้องการ

    ไทม์ วอร์เนอร์ คือบรรษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมสื่ออเมริกันและสื่อโลก ในทุกวันนี้ AOL-Time Warner หรือเดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็น Time Warner เกิดจากการที่ America Online เข้าซื้อกิจการ Time Warner ในปี 2000 ด้วยมูลค่า 160 พันล้านเหรีญ การควบรวมทำให้บริษัทมีรายได้รวมกัน 39.5 พันล้าเหรียญ ในปี 2003 คนที่เป็นคีย์แมนในการควบรวมกิจการ คือ Steve Case และนั่งเป็นประธานบริหารของ AOL-Time Warner และ Gerald Levin มานั่งในตำแหน่ง CEO. และกลายเป็นคู่หูเลือดยิวที่กลับเข้ามากุมอำนาจสื่อในนาม Warner ซึ่งถูกก่อตั้งโดยพี่น้องชาวยิวตะกูล Warner เมื่อศตวรรษที่แล้วไว้ในมือยิวได้ทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง นักเขียนยิวคนหนึ่ง ชื่อ Michael Wolff เขียนบทความใน New York magazine เมื่อ 29 มกราคม ปี 2001 ว่า “ตั้งแต่ Time Inc. ควบรวมกับ Warner เมื่อ 10 ปีที่แล้ว (ปี1991) หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจมากที่สุด คือมันได้กลายเป็นบริษัทของยิวไปแล้ว”

    คนที่มีอำนาจสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ใน AOL-Time Warner อย่างน้อยก็แต่ในนาม นั่นคือ รองประธานกรรมการ Ted Turner คนเดียวที่ไม่ใช่ยิว Turner ขายสถานีโทรทัสน์ของรวมทั้ง CNN ให้แก่ Time Warner ตั้งแต่เมื่อปี 1996 ทำให้ Time Warner กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในราวเดือนเมษายน ปี 2001 Gerald Levin ปลด Ted Turner ออกจากอำนาจบริหาร แต่ Ted Turner ยังมีหุ้นอยู่ไม่น้อยและยังนั่นเป็นกรรมการบริหาร





    Gerald Levin ลงมาบริหารงานใน AOL-Time Warner ด้วยตัวเองจนเมื่อ AOL-Time Warner ประสบภาวะขาดทุน Gerald Levin ก็ถูกบอร์ดปลดออก ในเดือนพฤษภาคม ปี 2002 สำหรับ Ted Turner เข่สูญเสียไป 7 พันล้านเหรียญ จากหุ้น 9 พันล้านเหรียญที่เกิดจากความล้มเหลวของ Gerald Levin Ted Turner นำกลุ่มผู้ถือหุ้นกดดันกรรมการบริหารอย่างหนัก จนกระทั่ง Steve Case ต้องลาออกไปอีกคน ในเดือนพฤษภาคม ปี ต่อมา ตามหลัง Gerald Levin ไปติดๆ คณะกรรมการบริหารแต่งตั้งผู้บริหารผิวดำชื่อ Richard Parsons มานั่งแทนยิวทั้งสองคน แต่เบื้องหลัง Richard Parsons ยังคงเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ชาวยิวที่คอยเชิด Parsons ให้แสดงตามบทบาทที่ยิวต้องการ

    AOL เดิมนั้นน่ะเป็นบริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตรายใหญ่ที่สุดในโลก มีสมาชิก 34 ล้านคนทั่วสหรัฐ ตอนนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างสื่อออนไลน์โดยใช้ Content ตามแนวทางที่ยิวกำหนดโดยใช้เนื้อหาจาก Time Warner เป็นหลัก Jodi Kahn และ Meg Siesfeld สองยิวที่คอยเดินเกมตามนโยบายผู้บริหารยิวใน Time Inc. บริหารภายใต้การนำของ Ned Desmond ชาวอเมริกันที่ไม่ใช่ยิว ทั้ง Jodi Kahn, Meg Siesfeld และ Ned Desmond ทำงานขึ้นตรงต่อ Time Inc. โดยมีบรรณาธิการการใหญ่เป็นคนยิวชื่อ Norman Pearlstine งานของพวกเขาก็คือ แปลง Content จาก Time Warner ไปสู่กลุ่มเผ้าหมายผู้บริโภคสื่อของ America Online โโยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มเด็ก ผู้หญิง และวัยรุ่น

    Time Warner กลายเป็นเจ้าพ่อสื่อและบันเทิงอันสองของโลกไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ควบรวมกิจการกับ AOL Time Warner เข้าดูแล HBO เคเบิ้ลทีวีที่มีผู้ชมเฉพาะในอเมริกาถึง 26 ล้านสมาชิก และกลายเป็นโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา คู่แข่งของ HBO ก็คือ Cinemax ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสถานีโทรทัศน์ที่ Time Warner ไปลงทุนไว้ด้วยมหาศาลเช่นกัน

    ในอุตสาหกรรมเพลง PolyGram ถูกซื้อไปโดยมหาเศรษฐีชาวยิว Edgar Bronfman, Jr. แต่ Warner Music ก็ยังเป็นบริษัทเพลงที่ใหญ่ที่สุด Warner Music มีบริษัทลูกที่ทำเพลงป้อนให้มากกว่า 50 บริษัท จำนวนมากในบริษัทเหล่านั้นเป็นของชาวยิว เช่น Interscope Records ในที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทในกลุ่ม Warner จะเป็นของยิว Bronfman จึงซื้อหุ้นใน Warner Music ทั้งหมด ดังนั้นตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา Warner Music จึงเป็นของยิว 100 %



    (Norman Pearlstine ผู้บริหารสิ่งพิมพ์ของ Time Warner ชาวยิว ที่ควบคุมแม็กกาซีน 50 ฉบับ)

    และเพื่อให้วงจรการควบคุมสื่ออยู่ในมือยิวทั้งหมด Time Warner จึงทุ่มเทในอุตสาหกรรมภาพยนตร์มากเป็นพิเศษผ่านทางบริษัทในกลุ่ม ได้แก่ Warner Brothers Studio, Castle Rock Entertainment, and New Line Cinema ขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์ก็มอบหมายให้ Norman Pearlstine ลูกหม้อเลือดยิวทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบริหารใหญ่ Norman Pearlstine ใหญ่คับฟ้ามากในแวดวงสิ่งพิมพ์อเมริกัน ไม่มีใคร หรือสื่อไหนรอดพ้นอำนาจและคำบงการของยิว ที่มาจากการควบคุมสั่งการโดย Norman Pearlstine ไปได้ เขามีหนังสือในมือ ที่เป็นแม็กกาซีน 50 ฉบับ รวมทั้งหนังสือนิตยสารรายสัปดาห์ชื่อดังอย่าง Time, Life, Sports Illustrated, และ People รวมทั้งหนังสือที่พิมพ์ขึ้นพิเศษอย่าง Time-Life Books, Book-of-the-Month Club, Little Brown และอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน Time Warner ยังเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์โปรแกรมฟังเพลงทางอินเตอร์เน็ต ที่เราๆท่านๆคุ้นเคย นั่นคือ โปรแกรม Winamp และ Shoutcast เพื่อควบคุม Content ของ Time Warner ในช่องทางอินเตอร์เน็ต Time Warner พยายามล๊อบบี้และใช้อิทธิพลบีบ Recording Industry Association of America (RIAA) เพื่อเข้าควบคุมอุตสาหกรรมการบันทึกเสียงและธุรกิจเพลงทางอินเตอร์เน็ต

    เรื่องของอำนาจยิว..ที่เข้ามาบงการสื่อโลก ยังไม่จบครับ..และต้องตามกันต่อไป เพียงแค่เล่ามาถึงตรงนี้แล้วไม่แปลกใจเลยใช่ไหมครับว่า ทำไมหนังสือพิมพ์อเมริกันจึงเข้าข้างยิวแบบไม่ลืมหูลืมตา ทำไมผู้ร้ายในหนังอเมริกันฮีโร่ต้องเป็นอาหรับ ต้องเป็นผู้ก่อการร้าย ต้องมีภาพไม่ Short ใดก็ Short หนึ่งที่จงใจทำให้เห็นผู้ร้ายอาหรับในหนังกำลังทำพิธีนมาซ (การสัการะพระเจ้าของชาวมุสลิม) ทำไมมีภาพผู้ก่อการร้ายไปแอบพบบกันตามมัสยิด ก็เพื่อสร้างภาพในมโนคติชาวอเมริกัน (ที่ปัญญาอ่อนระดับ Moron)ให้เป็นโรค ISLAMOPHOBIA ไม่แปลกใจใช่ไหมว่าบุคคลแห่งปีที่เป็นปกในนิตยสาร TIME ล้วนเป็นคนที่คุณประโยชน์ให้แก่ชาวยิวทั้งสิ้น ยกเว้น ยัสเซอร์ อารอฟัต คนเดียวที่ได้เป็นปก TIME เพราะเสียไม่ได้ อารอฟัต ดันไปได้โนเบล ร่วมกับ คลินตัน และยิสชาก ราบิน

     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สื่อ..จอมบงการโลก ตอนที่ 7

    หนังสือพิมพ์ แค่พาดหัว..ยิวก็ขนะแล้ว

    Shaffi : เขียน (14 กุมภาพันธ์ 2009)



    ตอนที่แล้วค้างไว้ตรงเรื่องของสื่อสิ่งพิมพ์ คราวนี้เรามาว่ากันต่อครับ..

    หนังสือพิมพ์ยังเป็นสื่อที่มีอิทธิพลทางความคิดของคนอเมริกันที่คลาสิกที่สุด ใครๆก็รับรู้เรื่องราวจากข่าวสารทางหน้าหนังสือพิมพ์์ได้ง่ายและที่สำคัญคือราคาถูก วิธีทำธุรกิขในโลกหนังสือพิมพ์เปลี่ยนไปเพราะโลกใบใหญ่เชื่อมต่อกันเป็นเนื้อเดียวไปแล้ว อย่างที่ Thomas Friedman บอกว่า The World is Flat ไปเรียบร้อยแล้ว สำนักพิมพ์ไม่จำเป็นต้องมีผู้สื่อข่าวเอง ไม่ต้องส่งคนไปทำข่าว เพราะสามารถซื้อข่าวได้จากตัวแทนข่าว หรือ News Agency ที่ขายข่าวทางสายที่คนในแวดวงสื่อมวลชนคุ้นที่จะเรียกใช้ wire service จากสำนักข่าวต่างๆ ที่ทั้งหมดล้วนเป็นของ..หรือไม่ก็บริหารโดยชาวยิว การทำธุรกิจแบบ Outsourcing คือ ตัดงานข่าวเป็นส่วนๆจ้างให้บริษัทอื่นหรือซื้อจากบริษัทอื่นนอกจากทำให้ต้นทุนลดลงแล้ว ยังช่วยทำให้สิ่งที่คุณทำเองไม่ได้ กลายเป็นจริง เช่นข่าวต่างประเทศ วิธีการทำธุรกิจแบบใหม่นี้ยิ่งช่วยให้ยิวสามารถใช้สื่อเป็นเครื่องมือเข้าควบคุมทิศทางและความเห็นของคุณได้ง่ายขึ้น ยิวไม่จำเป็นต้องยึดกุมสื่อไปเสียทั้งหมด เพียงแต่เข้ายึดครองสื่อกระแสหลักให้ได้เท่านั้นเป็นอันใช้ได้ เพราะอย่างไรเสียสำนักข่าวท้องถิ่น หรือจากประเทศอื่นๆก็ซื้อบริการ wire service จากสื่อยิวอยู่แล้ว ...เรื่องนี้ภาษานักธุรกิจเขาเรียกว่า ลงทุนครอบครองอุตสาหกรรมต้นน้ำไว้ให้ได้ กลางน้ำ และปลายน้ำก็จะสนองประโยชน์ตามที่วางเป้าหมายไว้ด้วยเช่นกันครับ..

    ภาพรวม

    ในอาณาจักรหนังสือพิมพ์ในอเมริกาอยู่ในมือคนไม่กี่กลุ่ม ทุกกลุ่มเป็นยิว ดังนั้นหนังสือพิมพ์จึงตกเป็นเครื่องมือในการควบคุมความคิดเห็นสาธารณะที่ดีที่สุด และสมบูรณ์แบบที่สุดของยิว ยิวต้องการครอบครองสื่อก็เพียงแค่ต้องการใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการทำ Public Opinion Control เจ้าพ่อหนังสือพิมพ์ยิวที่ใหญ่ที่สุดได้แก่กลุ่ม Newhouse family กลุ่ม Newhouse เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์รายวันถึง 30 หัว รวมทั้งหนังสือฉบับใหญ่ๆที่มีผู้อ่านเป็นจำนวนมาก เช่น the Cleveland Plain Dealer, the Newark Star-Ledger, และ the New Orleans Times-Picayune และยังเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ แบบฟรีทีวีอีก 12 สถานี และเคเบิ้ลทีวีอีก 87 สถานี นับว่าเป็นเครือข่ายการให้บริการเคเบิ้ลทีวีที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ทั้งยังออกหนังสือนิตยสารรายสัปดาห์ พ่วงไปกับสถานีเคเบิ้ลทีวี มียอดพิมพ์สัปดาห์ละ 22 ล้านฉบับชื่อ Parade Magazine นอกจากนี้อาณาจักรสิ่งพิมพ์ครอบครัว Newhouse ยังเป็นเจ้าของนิตยสารยักษ์ใหญ่อีก 24 ฉบับ ที่เราคนไทยก็รู้จักและอาจเคยอ่าน และมีบางเล่มที่เคยมีนักธุรกิจไทยพยายามซื้อหัวหนังสือมาทำฉบับเวอร์ชั่นภาษาไทย โดยเฉพาะนิตยสารที่เกี่ยวกับแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ นิตยสารชื่อดังพวกนี้ ก็มี ได้แก่ the New Yorker, Vogue, Mademoiselle, Glamour, Vanity Fair, Bride's, Gentlemen's Quarterly, Self, House & Garden รวมทั้งนิตยสารอีกหลายฉบับที่ไม่กล่าวถึงแต่ผลิตภายใต้การบริหารงานของ Conde Nast group ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรสิ่งพิมพ์อันดับหนึ่งของตระกูลยิวที่ชื่อว่า Newhouse

    ทีนี้เรามารู้จักตระกูลยิว Newhouse กันหน่อย อาณาจักรสิ่งพิมพ์อันดับหนึ่งของอเมริกา ก่อตั้งโดย Samuel Newhouse ชาวยิวที่อพยพมาจากรัสเซีย ตอนที่ Samuel Newhouse ตายในปี 1979 ขณะที่มีอายุ 84 ปี นั้นเขาเป็นเจ้าของสินทรัพย์มูลค่ากว่า 1.3 พันล้านเหรียญ นี่ขนาดเมื่อ 30 ปีที่แล้วยังรวยขนาดนี้ คิดดูเอาเองว่าตอนนี้จะรวยแค่ไหน ลูกชายของ Samuel คือ Samuel Jr. กับ Donald Newhouse เป็นทายาทบริหารอาณาจักรสื่อยิวของตระกูล Newhouse และลูกชายยิว ย่อมไม่ทำให้พ่อยิวต้องผิดหวัง เมื่อลูกยิวทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของอาณาจักร Newhouse มูลค่ารวมถึง 9,000 ล้านเหรียญ ในวันนี้

    ปลา(ยิว)ใหญ่..กินปลา(ไม่ใช่ยิว)เล็ก

    ทำไม..หนังสือพิมพ์ในมือยิว..จึงกวาดรายได้มากมายมหาศาลได้อย่างนี้ ต้องอธิบายนิดหนึ่งเพื่อความเข้าใจว่า รายได้หลักของหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร ไม่ได้มาจากราคาขาย หรือค่าสมาชิก รายได้จากราคาหนังสือจริงๆแล้ว ไม่คุ้มต้นทุนค่าผลิตหรอกครับ นิตยสารบางฉบับขายฉบับละ 100 บาท ต้นทุนจริงๆทั้งหมดหารด้วยจำนวนพิมพ์ต่อให้ขายหมดเกลี้ยง ค่าหนังสือที่ได้ยังไม่ถึง 10 % ของต้นทุนจริงๆด้วยซ้ำไป เช่นหนังสือขายเล่มละ 100 บาท ต้นทุนจิงของหนังสืออาจสูงถึงเล่มละ 1,000 บาท ถ้าตั้งราคาขายฉบับละ 1,000 บาท นอกจากขายไม่ออกแล้ว ยังอาจถูกด่าบิดามารดาให้ได้รับความเสื่อมเสียอีกต่างหาก ..วิธีการอยู่ได้ของคนทำหนังสือก็คือหาคนมาจ่ายสตางค์แทนคนซื้อหนังสือ นั่นก็คือโฆษณานั่นเอง ดังนั้นหนังสือจึงเรียกบรรดาผู้โฆษณาทั้งหลายว่าผู้มีอุปการะคุณยังไงล่ะครับ.. เข้าใจแล้วนะครับ สื่ออเมริกันในยุคต้นๆก็เติบโตมาอย่างนี้ แต่สื่อของยิวได้เปรียบสื่อคนอื่นตรงที่ พวกพ่อค้ายิวช่วยกันซื้อโฆษณา ลงโฆษณาสินค้าในหนังสือของคนยิว..หนังสือที่คนอเมริกันที่ไม่ใช่ยิวจึงเจ๊งอยู่ไม่ได้ .. อาณาจักรสิ่งพิมพ์ทั้งหมดจึงเป็นของยิว..เพื่อคนยิว..และสำหรับยิว..โดยแท้

    หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของยิว..

    ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่อยากเล่าถึง 3 หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ในมือยิว..ยักษ์ใหญ่ที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงรายได้ แต่หมายถึงอิทธิพลทางความคิดครับ..เป็นอิทธิพลทางความคิดต่อคนอเมริกัน และต่อโลก มากที่สุด ได้แก่ หนังสือพิมพ์ The New York Times หนังสือพิมพ์ the Wall Street Journal และ the Washington Post แทบไม่่น่าเชื่อว่าหนังสือพิมพ์รายวันเพียงแค่ 3 ฉบับ จะมีอิทธิพลจนสามารถครอบงำความคิดและมีอิทธิพลต่อระบบการเงินและการเมืองของสหรัฐได้ หนังสือพิมพ์พวกนี้จะทำหน้าที่ Trend Setter คือจัดการให้เกิดแนวโน้มทางความคิดต่างๆ สร้าง Momentum ทางท้ศนคติต่อเรื่องต่างๆแทบทุกเรื่อง หนังสือพิมพ์เพียงแค่ 3 ฉบับที่ตัดสินคนอเมริกันทั้งประเทศ ชี้นำคนทั้งโลก ว่าเรื่องใดควรอยู่ เรื่องใดไม่ควรอยู่ในกระแสความสนใจหนังสือพิมพ์ในมือยิวทั้ง 3 ฉบับมีหน้าที่สร้างข่าวที่เห็นว่าโลกควรต้องอ่าน และไม่เสนอข่าวที่โลกไม่จำเป็นต้องรู้ (เช่นข้อเท็จจริงต่างๆ) แน่นอนครับว่า..ทั้งหมดเป็นไปตาม Agenda ของยิว..

    The New York Times

    มีคนอ่านแค่วันละไม่ถึง 2 ล้านฉบับ มีเรื่องให้อ่านเกี่ยวกับ ข่าวสังคม แฟชั่น บันเทิง การเมือง และศิบปวัฒนธรรม คีย์เวิร์ด หรือหัวใจที่ The New York Times ต้องการบอกแก่อเมริกาก็คือ “Smart Set” ก็คือ Set ของเรื่องราว และข้อแนะนำที่ทำให้คนอเมริกัน (คิดว่าจะทำให้) ฉลาดขึ้นทั้งหลายแหล่ เช่น แนะนำหนังสือออกใหม่ เล่มไหนดีน่าอ่าน หนังออกใหม่เรื่องไหนควรไปดู ความคิดเห็นต่อเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างทันยุคทันเหตุการณ์ โดยบรรดานักเขียนที่เป็นนักการเมือง นักคิด นักการศึกษา คนที่เป็นเจ้าของ Public Opinion ต่างๆที่สังคมรับฟัง นักธุรกิจหน้าใหม่ แน่นอน..รวมทั้งนักสร้างข่าว นักปั่นและปั้นน้ำให้เป็นตัว นักสร้างภาพลักษณ์ และนักโกหก ทั้งแบบหน้าด้านและหน้าซื่อที่แฝงมาในคราบนักวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง นักวิเคราะห์โลกด้วยสายตาเอียงกระเท่เร่ และอีกหลายนัก..สิบแปดมงกุฎ ด้วยภาพลักษณ์ จุดยืนและอุดมการณ์ที่ชัดเจน ทำให้ The New York Times กลายเป็นภาพสะท้อนความคิดเห็นในสังคมอเมริกัน ถือว่าเป็นหนังสือพิมพ์ในแบบอเมริกันแท้ๆในศตวรรษที่ 19 เลยก็ว่าได้

    ตอนที่ The New York Times ตั้งขึ้นใหม่ๆ ในปี 1851 นั้นไม่ใช่หนังสือพิมพ์ยิว The New York Times ก่อตั้งโดยคนอเมริกันสองคน ชื่อ Henry J. Raymond กับ George Jones ..อ้าว แล้ว The New York Times ไปยังไง มายังไง จึงกลายเป็นของยิว.งและทำไม คนอเมริกัน จึงยอมให้ The New York Times มาชี้นำ และกำหนดความคิดและวิสัยทัศน์ของคนอเมริกันได้..ต้องตามอ่านกันต่อไปตอนหน้าแล้วล่ะครับ

     
  20. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176


    คิม จอง นัม ได้เลือกทางชีวิตของตัวเอง ดูท่าทางเขามีความสุขดีนะ

    ดูจากแนวคิดและคำให้สัมภาษณ์ของเขาแล้ว ถ้าได้เป็นผู้นำเกาหลีเหนือคนใหม่นี่ การเมืองโลกพลิกโฉมกันเลยเชียว
     

แชร์หน้านี้

Loading...