เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    European Crisis.......Update


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/5bQewnAWJNg?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>​


    ดูเหมือนว่าการเข้าไป " อุ้ม " หรือ หรือการอัดเงินเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ไปสู่ประเทศสมาชิกที่กำลังประสบภาวะล้มละลาย เช่น กรีซและไอร์แลนด์ จะเป็นเพียงการยืดลมหายใจของการล่มสลายของ EU ออกไปเท่านั้นครับ เพราะปัญหาจริงๆ คือโครงสร้างทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกันแต่กลับนำมาผูกรวมกันภายใต้นโยบายการคลังเดียวกัน ที่ไม่ยืดหยุ่นพอในภาวะวิกฤติ ยิ่งไปกว่านั้คือนโยบายการเงินทั้งหมดจะถูกกำหนดจากศูนย์กลางคือ ECB เท่านั้น


    เป็นที่แน่ชัดแล้วครับว่า จะมีอีกอย่างน้อย 2 ประเทศในกลุ่มที่ต้องขอรับความช่วยเหลือในลักษณะเดียวกันคือ โปรตุเกส สเปน หรืออาจจะมากกว่านั้น ซึ่งมีการคาดการณ์ถึงมาตราการใหม่ๆ ที่จะออกมาในลักษณะเดียวกันกับสหรัฐ หรือก็คือการทำ Quantitative Easing แต่จะออกมาในชื่ออื่นหรือไม่ เนื้อหาก็คงไม่ต่างกันครับ คือการพิมพ์และอัดเงินเข้าสู่ชาติต่างๆ ที่กำลังล้มละลายในทางงบประมาณรายจ่ายเหล่านี้ ที่สะท้อนออกมาเป็นภาพของการประท้วงและความรุนแรงไปทั่วยุโรป


    สเปน คือประเทศที่ถูกมองว่าจะดึงกลุ่มสหภาพยุโรปเข้าสู่ทางตัน ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าไอร์แลนด์ถึง 7 เท่า และเมื่อถึงคราวของสเปนแล้ว เงินกองทุนของ ECB ก็คงอยู่ในสภาวะแห้งเหือดเต็มทีและไม่สามารถที่จะเข้าอุ้มชาติใดได้อีกต่อไป


    และทั้งหมดนี้กำลังส่งผลกระทบโดยตรงกับสกุลเงินหลักอีกหนึ่งสกุลของโลก นั่นก็คือ "ยูโร" ในขณะที่ทางฟากสหรัฐโดย FED ก็พยายาม Inflate หรือลดค่าเงินตัวเองด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งจะส่งผลให้เงินกระดาษทั้งหมดเข้าสู่สภาวะ "ไม่มีที่ไป" และ "ถึงทางตัน" ในที่สุด


    คลิปการประชุมร่วมสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นบทสรุปและสะท้อนถึงปัญหาในขณะนี้ได้เป็นอย่างดีครับ

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/2gm9q8uabTs?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    " Who the hell you think you are !!!"
    Nigel Farage, UKIP


    โพสต์โดย What's going on in America


    [​IMG]

    Dec 6 2010, 10:56 AM
    JimmySiri: เมื่อวานนี้ที่อเมริกา ประธานเฟด หรือนายเบน เบอร์นันเก้ ได้ไปออกรายการ
    60 Minutes ครับ ในประเด็นการกระตุ้นเศรษฐก<WBR>ิจของสหรัฐ สรุปเนื้อหาการสนทนาได้คือ
    เค้าให้ความสำคัญใน 2 ประเด็นหลักคือเงินฝืดและก<WBR>ารว่างงาน และเค้าพร้อมเสมอที่จะอัด
    เ<WBR>งินลงมากระตุ้นเศรษกิจ หรือก็คือ QE3 หรือการพิมพ์เงินเพิ่ม (<WBR>อีกแล้ว)<WBR>

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 6 2010, 10:58 AM
    JimmySiri: รอเวลาซัก 2-<WBR>3 วัน ให้เรื่องนี้เป็นข่าวซักหน<WBR>่อยครับ ดอลล่าคงจะปรับทิศ
    ทาง พร้อมด้วยเจ้าหนี้ก็คงจะปร<WBR>ับทิศทางด้วยเช่นกัน 555
    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri

     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มีสติ-ไม่ประมาท

    โดย : บทบรรณาธิการ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "ทรงย้ำให้คนไทยมีสติ อยู่ในความไม่ประมาท มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ"
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101201/show_ads_impl.js"></SCRIPT>เป็นสิ่งเตือนใจที่พสกนิกรทั้งหลายควรน้อมเกล้าฯ พึงปฏิบัติ เพราะเราเชื่อว่าหากทุกคนยึดมั่นในแนวทางนี้ ความวุ่นวาย ความขัดแย้ง ปัญหาวิกฤติทางสังคมและเศรษฐกิจคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมานั้น เพราะเราคนไทย ล้วนกระทำด้วยความประมาทและไม่มีสติ ยึดมั่นในอารมณ์ความถูกต้องของตัวเองหรือฝ่ายตัวเองเป็นที่ตั้ง โดยไม่ฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง หากจะเรียกว่าผูกขาดความถูกต้องเฉพาะกลุ่มคงไม่ผิดมากนัก เช่นเดียวกับหน่วยงานทางเศรษฐกิจหรือภาคเอกชน ช่วงก่อนปี 2540 ที่ตั้งอยู่ในความประมาท จนนำมาซึ่งวิกฤติในที่สุด ดังนั้นการมีสติคือการไม่ประมาท จะตัดสินใจหรือกระทำอะไรแต่ละครั้ง ย่อมต้องฟังความรอบด้าน แนวทางนี้พึงปฏิบัติได้ตั้งแต่สังคมระดับเล็กสุดคือสถาบันครอบครัวไปจนถึงการตัดสินใจของผู้นำในระดับประเทศ ซึ่งในสถานการณ์วันนี้แม้ประเทศเราจะดูสงบกว่าช่วงต้นปี แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก หากต้นเหตุของปัญหายังไม่ได้กำจัดออกไป ที่สำคัญหากประชาชนคนไทยยังไม่มีสติมากพอ ทุกอย่างย่อมเกิดซ้ำรอยได้ตลอดเวลา และสถานการณ์มักรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

    พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เราควรตระหนัก มีใจความว่า "บ้านเมืองของเราเป็นปึกแผ่นร่มเย็นปกติสุขมาช้านาน เพราะเรามีความยึดมั่นในชาติ และต่างร่วมมือ ร่วมมือ ร่วมแรงใจกันทำหน้าที่โดยนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมของชาติเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด ท่านทั้งหลายในสมาคมนี้ ตลอดจนคนไทยทุกหมู่เหล่า จึงควรทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนไว้ให้กระจ่างและนำไปปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ด้วยความไม่ประมาท และด้วยความมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เพราะการกระทำโดยประมาท ขาดความรอบคอบ เป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาด เสียหาย ในหน้าที่และการกระทำโดยขาดสติยั้งคิด ขาดเหตุผล ขาดความรับผิดชอบ เป็นเหตุให้เกิดหลงลืมความกลัว ทำให้กระทำสิ่งที่มิใช่หน้าที่โดยชอบได้ ซึ่งเป็นอันตรายมาก อาจจะนำความเสื่อมสลายมาสู่ตนเองตลอดทั้งประเทศชาติได้ จึงขอให้ทุกคนได้สังวรระวังให้มากและประคับประคองกาย ใจ ให้เที่ยงตรง หนักแน่น ในอันที่จะปฏิบัติภารกิจตามเหตุผลของตนให้ถูกต้องตามหน้าที่ เพื่อความสุขมั่นคงและเพื่อความสงบสุขอันยั่งยืนของชาติบ้านเมืองเรา"

    เราเห็นว่าสถานการณ์ข้างหน้าของประเทศในวันนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องยึดความมีสติ ไม่ประมาท เพราะลองตรวจสอบสถานการณ์ในประเทศ ความขัดแย้งที่สะสมมานาน ยังมิอาจจัดการได้ภายในชั่วข้ามคืนหรือใช้ความสามารถของ "ผู้นำ" คนใดคนหนึ่ง แต่จะฝ่าออกไปได้ต้องอาศัยพลังทางสังคมที่ต้องช่วยกันขับเคลื่อน การปฏิรูปที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน โดยไม่มีความระแวงสงสัย ซึ่งในปัจจุบันแม้เราจะมีคณะกรรมการปฏิรูปมาดูแลเป็นการเฉพาะ แต่ก็ยังเป็นเพียงการขับเคลื่อนหรือความพยายามของบางกลุ่มคนเท่านั้น ภาคสังคมวงกว้างยังไม่ตระหนักหรือเห็นความสำคัญในจุดนี้ ส่วนหนึ่งพอเข้าใจได้ว่า ประชาชนบางกลุ่มเห็นว่ายังจับต้องยาก ไม่เห็นผลประโยชน์ถึงส่วนตน เพราะการปฏิรูป ปรับเปลี่ยนโครงสร้างนั้น นอกจากจะต้องใช้เวลาแล้ว เกือบทุกเรื่องเป้าหมายอยู่ที่ผลประโยชน์ส่วนรวม มิอาจจับต้องเห็นได้ชัดเจน เช่น นโยบายประชานิยม หรือ สวัสดิการ ที่นักการเมืองมักปฏิบัติ ดังนั้นแนวทางรณรงค์ ทำความเข้าใจเพื่อให้เห็นความสำคัญ ตอกย้ำอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำ ขณะเดียวกันเปิดกว้างความคิดเห็นที่หลากหลาย สร้างกลไกการมีส่วนร่วม เราเชื่อว่าการขับเคลื่อนในระยะยาวย่อมเห็นผลอย่างแน่นอน

    ในทางเศรษฐกิจ แม้ว่าดัชนีภายในประเทศจะดูเหมือนว่าแข็งแกร่ง เงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง ฐานะเงินคงคลังไม่มีปัญหา ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุล ดัชนีหุ้นทะยานเหนือ 1,000 และมีแนวโน้มว่าจะยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เราต้องไม่ประมาท ภัยอันตรายจากภายนอกที่น่ากลัวมากขึ้นทุกวัน เพราะเวลานี้นอกจากเรายังไม่สามารถประเมินความเสียหายของสหรัฐได้ว่าสิ้นสุดแล้วหรือยัง ในฝังยุโรป มีหลายประเทศที่ติดเชื้อวิกฤติเศรษฐกิจไปแล้ว ยิ่งเมื่อโลกถูกเชื่อมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้ทุกเหตุการณ์ในโลกนี้ล้วนเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาภาคต่างประเทศ สูงถึง 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) อย่างประเทศไทย ย่อมส่งผลกระทบได้โดยตรง ดังนั้นเราเชื่อว่าการมีสติ ไม่ประมาท ทุกเรื่องราว ตั้งแต่ระดับครอบครัวจนถึงระดับประเทศชาติ จะนำพาซึ่งความสุขและสงบมาสู่แผ่นดินไทยในที่สุด เราเชื่อเช่นนั้น

     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จอมแฉ’ Wikileaks จะถูก ‘เก็บ’ เมื่อไหร่ อย่างไร?
    โดย : กาแฟดำ
    ชีวิตของเขาตกอยู่ในภยันตรายแน่...และคนในครอบครัวก็หวั่นว่าเขาจะต้องถูกลอบสังหารหรือถูก “เก็บ” ในเร็ววัน
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101201/show_ads_impl.js"></SCRIPT>เพราะเขาเป็น “จอมแฉ” ยุคไซเบอร์ที่ยังไม่มีใครสามารถยับยั้งได้

    นายจูเลียน แอสเซนจ์ ผู้ก่อตั้ง Wikileaks ที่เปิดโปงเอกสารลับจำนวนมหาศาลจาก “โทรเลขลับ” กว่า 250,000 ชิ้นและกำลังจะแฉเอกสารลับของธนาคารยักษ์ของสหรัฐ อีก ตอนนี้เขากำลังหนีหัวซุกหัวซุน

    เพราะทางการสวีเดนได้ทำหนังสือครั้งใหม่ขอให้ตำรวจอังกฤษส่งตัวเขาไปให้

    ไม่ใช่ข้อหาขโมยความลับราชการ ไม่ใช่ประเด็นละเมิดความมั่นคงของสหรัฐและประเทศใด

    หากแต่เป็นข้อกล่าวหาความผิดทางเพศ และข้อสงสัยว่าจะมีการข่มขืน

    แม้ว่าจะยังไม่มีผู้เสียหายออกมาระบุรายละเอียดของข้อกล่าวหา แต่ตำรวจสวีเดนก็ดูเหมือนจะเริ่มตามไล่ล่าอย่างเอาจริงเอาจังมากขึ้นทุกวัน

    ตัวเขาเองปฏิเสธข้อหานี้ อ้างว่านี่เป็นแผนสมรู้ร่วมคิดของรัฐบาลหลายแห่งเพื่อจะใส่ร้ายเขามากกว่า

    ตำรวจอังกฤษรู้ว่าเขาอยู่ที่เมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ แต่ขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ก็ยังไม่มีการจับกุมแต่อย่างใด

    แม้รัฐบาลสหรัฐ ออกมาประณามการปล่อยเอกสารลับของเขาอย่างรุนแรง แต่ทำเนียบขาวก็ยังไม่ได้ระบุว่าจะใช้กฎหมายใดมาจัดการกับเขา

    ตัวแอสเซนจ์ เองยอมรับว่ากำลังถูกไล่ล่าและเป็นเป้าของการลอบสังหารแน่นอน

    แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวออกนอกหน้า ยังตอบคำถามคนข่าวและผู้คนที่สนใจผ่านเส้นทางออนไลน์ผ่าน The Guardian วันก่อนอย่างฉาดฉาน

    “ผมทำเรื่องนี้ด้วยอุดมการณ์ที่ว่าผมต้องการให้รัฐบาลสหรัฐ มีความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสงคราม” เขาประกาศอย่างท้าทาย

    และบอกว่าเขาไม่กลัวว่าสหรัฐ จะ “เก็บ” เขาเพื่อสกัดกั้นความพยายามที่เขาจะ “แฉ” เอกสารลับต่อเนื่องอีก

    เพราะเขาได้ส่งเอกสารลับทั้งหมดที่ได้มาไปถึงคนไม่น้อยกว่า 100,000 คนในรูปแบบที่มีโค้ดพิเศษแล้ว

    แปลว่าแม้เขาจะตาย ความลับของรัฐบาลต่างๆ ก็จะถูกกระจายไปกว้างไกลเกินกว่าที่จะหยุดยั้งได้แล้ว

    มะกันจะเอากฎหมายอะไรเล่นงานเขา? กฎหมายฉบับหลักคงจะเป็นกฎหมายต่อต้านจารกรรม ซึ่งออกเป็นกฎหมายตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งสามารถจะเล่นงาน

    “ใครก็ตามที่เป็นผู้รับและพยายามรับหรือครอบครองเอกสาร บันทึกข้อความย่อหรือทุกอย่างที่เกี่ยวกับการป้องกันประเทศจากบุคคลหรือแหล่งข่าวใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตที่เหมาะสมและถูกต้องตามกฎหมาย”

    แต่ต้องไม่ลืมว่ารัฐธรรมนูญของสหรัฐ ว่าด้วยเสรีภาพของการแสดงความเห็นและการเปิดเผยข้อมูลนั้นกว้างขวางมาก และสามารถจะตีความได้อย่างกว้างไกล

    หากพิสูจน์ได้ว่าการเปิดเผยข้อมูลนั้น “เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ” ในการตรวจสอบการทำงานของผู้ที่อ้างเป็นตัวแทนของประชาชน ก็สามารถหลุดออกมาได้ง่ายๆ

    เช่นกรณีหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อวานว่าได้ออกตัวตั้งแต่แรกว่าได้ตัดข้อความใดๆ ที่อาจจะถูกตีความได้ว่าเสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมายว่าด้วยความมั่นคง หรือทำให้บุคคลใดตกอยู่ในภยันตราย

    นอกเหนือจากนั้น สื่อมวลชนมะกันสามารถอ้างได้หมดว่าเป็นเรื่องของ “ผลประโยชน์สาธารณะ” หรือ public interests ซึ่งเป็นเหตุให้สื่อสหรัฐ สามารถเปิดเผยให้ประชาชนได้รับทราบกันอย่างกว้างขวาง

    เช่นกรณี Pentagon Papers ที่วอชิงตันโพสต์ และนิวยอร์กไทมส์เคยเปิดเผยในเรื่องสงครามเวียดนาม และชนะคดีศาลสูงมาแล้ว

    ดังนั้น การที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ตีตราว่าอะไรเป็น “secret” หรือ “confidential” นั้น ไม่ได้หมายความว่าสามารถอ้างกฎหมาย “จารกรรม” หรือ “ความมั่นคง” มาจัดการกับคนที่ได้เอกสารเหล่านั้นมาเพื่อการเล่าขานและวิพากษ์วิจารณ์ให้สาธารณะได้รับทราบแต่ประการใด

    ผมจึงเชื่อว่าเรื่องนี้แม้ทำเนียบขาวและกระทรวงต่างประเทศสหรัฐจะโวยวายลั่นทุ่ง ว่าจะจัดการกับ “จอมแฉ” (ที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า whistle-blower หรือ “จอมเป่านกหวีด”) อย่างหนักหน่วงรุนแรงนั้น เอาเข้าจริง ๆ ก็ต้องสู้กันทางกฎหมายยืดเยื้อยาวนานพอสมควรทีเดียว

    ระหว่างนี้ก็ลุ้นกันต่อว่าใครจะถูก “แฉ” อย่างไรบ้างกันเป็นเดือนๆ หรือปีๆ ต่อไป

     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Global Money: เจพีมอร์แกน ธนาคารหนึ่งเดียวที่รอดพ้นวิกฤติสินเชื่อ?
    Posted on Thursday, September 11, 2008<TABLE id=Table1 width="100%"><TBODY><TR><TD>เหตุผลที่ทำให้ เจพีมอร์แกนกลายมาเป็น สถาบันการเงินและวานิชธนกิจเพียงรายเดียว ที่หนีรอดจากวิกฤติสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปัจจุบันได้ก็ เพราะ "เจมี่ ดิมอน" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบัน ที่เย็นวันหนึ่งในสัปดาห์ที่สองของเดือนตุลาคม 2549 ได้สั่งการให้หัวหน้าแผนกผลิตภัณฑ์ แปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (Securitization) ข ายสินเชื่อที่บริษัทถืออยู่ออกไปให้มาก ๆ เพราะดิมอนเริ่มรู้สึก ณ เวลานั้นแล้วว่า ปัญหาที่รุนแรงกำลังจะปะทุขึ้นในไม่ช้า

    จริง ๆ แล้วสิ่งที่ ดิมอน คิดและทำในตอนนั้น อาจดูไม่เข้าท่าและตื่นกลัวเกินเหตุ แต่ ณ วันนี้ มันก็กลายเป็นสิ่งที่คนต้องจดจำกัน เนื่องจากนี่ คือ การเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งของ เจพีมอร์แกน ที่ช่วยให้หลีกเลี่ยงวิกฤติสินเชื่ออันเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การเงิน จนทำให้ทุกคนต้องหันมาดู ดิมอน และสไตล์การทำงานที่โดดเด่นไม่เหมือนใครของเขา

    "เจมี่ ดิมอน" วัย 52 ปี เป็นผู้ที่คนในวงการรู้จักในฐานะอดีตคนมหัศจรรย์ ที่ช่วย แซนดี้ เวลล์ สร้างอาณาจักรการเงินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง "ซิตี้กรุ๊ป" แต่ความสำเร็จครั้งนี้ ก็ไม่ได้มาจาก ดิมอน เพียงคนเดียว เพราะมีทีมงานที่มีความสามารถ และได้รับความไว้ใจอย่างสูง ให้เป็นผู้ช่วยป้อนข้อมูลต่าง ๆ ให้กับเขา ก่อนที่ปัญหาจะก่อ ตัว เป็นรูปเป็นร่างเสียด้วยซ้ำ รวมทั้งการควบคุมความเสี่ยงอย่างระมัดระวังแม้ว่าจะทำให้บริษัทต้องสูญเสียโอกาสเติบโตทางธุรกิจ และสัดส่วนการตลาดไปก็ตาม

    ดรีมทีมนี้ เป็นผู้ตัดสินใจพา เจพีมอร์แกน เดินออกจากธุรกิจ Securitization ในช่วงที่ธุรกิจยังบูมอยู่มาก รวมทั้งไม่สนใจผลิตภัณฑ์การเงินเจ้าปัญหาอื่น ๆ ที่หลายคนไม่กล้ายุ่งในปัจจุบัน จนล้ำหน้าคู่แข่งอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ซิตี้กรุ๊ป ยูบีเอส หรือแม้แต่ เมอร์ริลลินช์ ที่เพิกเฉยต่อสัญญาณอันตรายในตอนนั้น และเข้าลงทุนผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่าง หนักหน่วง

    อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่า เจพีมอร์แกนจะไม่เจ็บตัวจากวิกฤติการณ์นี้เลย เพราะดิมอนตัดสินใจลองลงทุนในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่หลาย ๆ คนเริ่มถอย ซึ่งเขาเองก็ยอมรับผิดในเรื่องนี้ โดยบริษัทเตรียมที่จะล้างหนี้เสียจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยและ สินเชื่อสำหรับบริษัทที่มีหนี้สินสูง (Leveraged Loans) มูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญในไตรมาสที่ 3 /51 นี้ รวมทั้งบันทึกความเสียหายอีก 600 ล้านเหรียญจากการลดมูลค่าหุ้นของ แฟนนี่เมและเฟรดดี้แม็ค

    แม้กระนั้น เจพีมอร์แกนก็ยังอยู่ในสภาพที่ดีกว่าบริษัทอื่น ๆ มาก เพราะตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ค. 50 จนถึง ไตรมาส 2/51 บริษัทบันทึกตัวเลขการขาดทุนไป 5 พันล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับ 3 .3 หมื่นล้านเหรียญของ ซิตี้กรุ๊ป และ 2 .6 หมื่น ล้ านเหรียญที่ เมอร์ริลลินช์ หรือแม้แต่ 9 พันล้านเหรียญของ แบงก์ออฟอเมริกา เพราะในธุรกิจการเงินนี้ คนที่ขาดทุนน้อยที่สุด ก็คือผู้ชนะ นั่นเอง

    นอกจากนั้น ราคาหุ้นของ เจพีมอร์แกน ที่ลดลงไป 24 % เมื่อเทียบกับต้นปี 2 55 0 ก็ยังน้อยกว่าเหล่าบริษัทที่พูดถึงข้างต้น แถมยังมีการประเมินว่า จะบันทึกรายได้ที่ 8 พันล้านเหรียญในปีนี้อีกด้วย

    วีรกรรมของ เจพีมอร์แกน อีกอย่างที่ประวัติศาสตร์จะลืมไม่ได้เลย ก็คือ การเข้ากู้สถานการณ์ที่ แบร์สเติร์นส เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังรัฐบาลสหรัฐประกาศหาสถาบันการเงินที่แข็งแกร่งพอจะกอบกู้วิกฤติ

    ติดตามรายการ Global Money ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 13.00 น. ทาง Money Channel
    ช่องทางการรับชม Money Channel: True Visions ช่อง 80, จานดาวเทียม Samart DTH ช่อง 08 และเคเบิลทีวีท้องถิ่นทั่วประเทศ ช่อง 30</TD></TR></TBODY></TABLE>
    Global Money: เจพีมอร์แกน ธนาคารหนึ่งเดียวที่รอดพ้นวิกฤติสินเชื่อ?
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เจ.พี.มอร์แกนควัก2,200ล้านยุติคดีเอนรอน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=center align=left>15 มิถุนายน 2548 18:12 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    นิวยอร์ก ไทมส์/รอยเตอร์ – เจ.พี. มอร์แกน เชสตกลงจ่ายเงิน 2,200 ล้านดอลลาร์ให้นักลงทุนที่กล่าวหาว่า บริษัทรู้เห็นกับเรื่องอื้อฉาวที่นำไปสู่การล่มสลายของเอนรอน พร้อมประกาศกันสำรองเพิ่ม 2,000 ล้านดอลลาร์เป็นค่าใช้จ่ายในคดีความอื่นๆ

    ข้อตกลงนี้มีขึ้นเมื่อวันอังคาร (14) หรือ 4 วันหลังจากซิตี้กรุ๊ปตกลงควักกระเป๋า 2,000 ล้านดอลลาร์จ่ายให้ผู้ถือหุ้นและหุ้นกู้เอนรอน บริษัทค้าน้ำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ที่กล่าวหาว่าทางแบงก์ช่วยเอนรอนแต่งบัญชีครั้งมโหฬาร

    ทั้งนี้ หากรวมข้อตกลงยอมความที่เกิดขึ้นทั้งหมดในขณะนี้ นักลงทุนที่สูญเงินนับพันล้านดอลลาร์ตอนที่เอนรอนล้มละลายในปี 2001 จะได้เงินกลับคืนทั้งสิ้น 4,700 ล้านดอลลาร์ ทว่า ตัวเลขสุดท้ายอาจเกินกว่า 6,130 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนที่บริษัทในวอลล์สตรีทรับปากจะจ่ายให้กับนักลงทุนของเวิลด์คอม

    สำหรับสถาบันการเงินอื่นๆ ที่ตกลงจ่ายเงินให้นักลงทุนของเอนรอน นอกเหนือจากซิตี้กรุ๊ปและเจ. พี. มอร์แกน ได้แก่ แบงก์ ออฟ อเมริกา และเลห์แมน บราเธอร์ส ส่วนที่ยังเป็นความกันอยู่มีอาทิ บาร์เคลย์ส, เครดิต สวิส เฟิร์สต์ บอสตัน, เมอร์ริล ลินช์, โรยัล แบงก์ ออฟ แคนาดา, ดอยช์ แบงก์, โรยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ เป็นต้น

    เป็นที่ชัดเจนว่า เจ. พี. มอร์แกนรีบเปิดฉากเจรจาหลังจากซิตี้กรุ๊ปไกล่เกลี่ยสำเร็จ ตรงข้ามกับกรณีการฟ้องร้องของนักลงทุนของเวิลด์คอมในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเจ. พี. มอร์แกนรอจนถึงคืนก่อนการเปิดพิจารณาคดี จึงตกลงจ่ายเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์ให้นักลงทุน ซึ่งจริงๆ แล้วหากเจริญรอยตามซิตี้กรุ๊ปเร็วกว่านั้น บริษัทอาจเสียเงินเพียง 1,400 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

    ในการแถลงข่าวเมื่อวันอังคาร วาณิชธนกิจอันดับ 3 ของสหรัฐฯแห่งนี้ยังเปิดเผยว่า ไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทมีค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษี 2,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับค่ายอมความและค่าใช้จ่ายด้านคดีความอื่นๆ และบริษัทกันสำรองไว้สำหรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการฟ้องร้องเพิ่มอีก 2,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 3,600 ล้านดอลลาร์

    วิลเลียม แฮร์ริสัน จูเนียร์ ประธานบริหารเจ. พี. มอร์แกน แถลงว่าการยอมความกรณีเอนรอน บวกกับการกันสำรองเพิ่มด้านคดีฟ้องร้อง ทำให้บริษัทสามารถทุ่มเทให้กับการพัฒนาตนเอง และการให้บริการแก่ลูกค้า ตลอดจนผู้ถือหุ้นอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ดี เจ. พี. มอร์แกนไม่ยอมรับว่าทำผิดในกรณีเอนรอน เช่นเดียวกับทางซิตี้กรุ๊ป และข้อตกลงยอมความนี้ยังต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย รวมถึงคณะกรรมการบริหารของเจ. พี. มอร์แกน

    ปีที่ผ่านมา เจ. พี. มอร์แกนมีผลงานเป็นรองคู่แข่งส่วนใหญ่ เนื่องจากยังต้องก้มหน้าก้มตาลดต้นทุน และควบรวมปฏิบัติการภายหลังผนวกกับแบงก์ วันเมื่อปีที่แล้ว สำหรับขณะนี้ นักวิเคราะห์เชื่อว่า วาณิชธนกิจแห่งนี้จะมีกำไรไตรมาส 2 ลดฮวบ ภายหลังเจมส์ ไดมอน กรรมการผู้จัดการ แจ้งกับนักลงทุนเมื่อต้นเดือนว่ารายได้จากการทำธุรกรรมลดต่ำลง โดยเจ. พี. มอร์แกนจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ภายในหนึ่งเดือน

    การรีบเร่งยอมความกับนักลงทุนของเอนรอน ยังสะท้อนว่าเจ. พี. มอร์แกนต้องการสะสางปัญหาให้แล้วเสร็จ ก่อนที่ไดมอนจะเลื่อนขึ้นเป็นประธานบริหารในปีหน้า
    Daily News - Manager Online -
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มูดีส์ประกาศทบทวนตราสารหนี้แบงค์ทั่วโลก เตือนตราสารหนี้เจพีมอร์แกน-โกลด์แมนแซคส์อาจถูกหั่นเครดิต
    Date : November 19, 2009, 2:14 pm [​IMG] สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ออกแถลงการณ์ทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของธนาคารพาณิชย์ทั่วโลก มูดีส์อาจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ด้อยสิทธิและตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (hybrid) จำนวน 775 รายการที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ 170 แห่ง ใน 36 ประเทศทั่วโลก คิดเป็นมูลค่ารวมกัน ราว 4.50 แสนล้านดอลลาร์ รวมถึงตราสารหนี้ที่ออกโดยโกลด์แมน แซคส์, ซิตี้กรุ๊ป และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค
    แถลงการณ์ของมูดีส์ระบุว่า การทบทวนอันดับเครดิตตราสารหนี้ครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อธนาคารทั่วโลก อย่างไรก็ตาม มูดีส์ได้พิจารณาทบทวนโดยอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของธนาคารเหล่านี้ หลังจากมูดีส์ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ใช้กับหลักทรัพย์ประเภทนี้
    ทั้งนี้ มูดีส์คาดว่า ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุนที่อาจได้รับผลกระทบในครั้งนี้นั้น ตราสาร 40% อาจได้รับการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง 1-2 ขั้น ขณะที่ 50% อาจได้รับการปรับลดอันดับลง 3-4 ขั้น และตราสารที่เหลืออาจได้รับการปรับลดอันดับ ลง 5 ขั้นหรือมากกว่านั้น โดยมูดีส์คาดว่าจะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารเหล่านี้ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือนข้างหน้า และจะประกาศผลการทบทวนแต่ละรายการขั้นตอนทุกอย่างแล้วเสร็จ
    บลูมเบิร์กรายงานว่า การประกาศทบทวนครั้งนี้มีขึ้นหลังจากสถาบันการเงินทั่วโลกขาดทุนรวมกันกว่า 1.6 ล้านล้านดอลลาร์หลังจากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีขึ้นในเวลาเดียวกับที่มูดีส์, สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) และฟิทช์ เรทติ้งส์ ถูกบรรดานักลงทุนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐ รวมถึงนายคริสโตเฟอร์ ด็อด ประธานคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐ วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยนายด็อดระบุว่า บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเหล่านี้ให้อันดับเครดิตตราสารหนี้ของสถาบันการเงินกลุ่มซัพไพร์มในสหรัฐในระดับที่สูงเกินจริง จนนำไปสู่วิกฤตการณ์การเงินทั่วโลก
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยว่า รายได้สุทธิประจำไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 4.4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.01 ดอลลาร์ต่อหุ้น พุ่งขึ้น 23% จากปีที่แล้วที่ระดับ 3.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 82 เซนต์ต่อหุ้น และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่ารายได้สุทธิจะอยู่ที่ 90 เซนต์ต่อหุ้น
    ผลประกอบ การที่แข็งแกร่งของเจพีมอร์แกนทำให้นักวิเคราะห์และนักลงทุนจับตาดูผลประกอบ การของธนาคารรายอื่นๆในสัปดาห์หน้า รวมถึงซิตี้กรุ๊ป และแบงค์ ออฟ อเมริกา
    ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)
    วันที่ 15 ตุลาคม 2553

    เจพีมอร์แกนเผยรายได้สุทธิไตรมาส 3 พุ่งแตะระดับ 4.4 พันล้านดอลลาร์ (15/10/2553)
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ซีอีโอเจพีมอร์แกนรับโบนัสก้อนใหญ่ 16 ล้าน
    วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 17:55 น.
    โฆษกเจพี มอร์แกน เชส บริษัทที่ให้บริการด้านการเงินการธนาคาร การลงทุน และการบริหารทรัพย์สิน ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เปิดเผยว่า นายเจมี ไดมอน ซีอีโอของเจพี มอร์แกน ได้รับโบนัสราว 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี บริษัทไม่ได้ให้ในรูปของเงินสด แต่เป็นการให้หุ้นของบริษัท นอกจากนี้ มีรายงานว่า ประธานและซีอีโอ ของบริษัท โกลด์แมน แซคส์ ธนาคารเพื่อการลงทุนรายใหญ่ของสหรัฐ ได้รับโบนัส 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในรูปของหุ้นของบริษัท ซึ่งห้ามซื้อขายในตลาดเป็นเวลา 5 ปี สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ข่าวดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน เนื่องจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของสหรัฐเป็นผู้ที่ทำให้เกิดวิกฤติการเงินโลก จนต้องนำเงินภาษีประชาชนมาช่วยเหลือ.
    ซีอีโอเจพีมอร์แกนรับโบนัสก้อนใหญ่ 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โฆษกเจพี มอร์แกน เชส บริษัทที่ให้บ
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แบงก์สหรัฐ10รายปล่อยกู้อุ้มEU1.7แสนล.$
    วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 19:32 น.
    ธนาคาร บาร์เคลย์ แคปปิตอล รายงานว่า ธนาคารของสหรัฐฯ 10 แห่ง ร่วมปล่อยกู้ให้กับกลุ่มประเทศในแถบยุโรป 4 แห่ง ประกอบด้วย โปรตุเกส, ไอร์แลนด์, กรีซ และสเปน รวม 1.76 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศแถบยุโรป เนื่องจาก กังวลว่า กรีซอาจจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากต่างชาติ เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ โดยแบ่งเป็นการปล่อยกู้ให้กับไอร์แลนด์ 8.6 หมื่นล้านดอลลาร์ สเปน 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ กรีซ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ และโปรตุเกส 9 พันล้านดอลลาร์

    นายโจนาธาน กลิออนนา และ นายมิเกล คริเวลลี ซึ่งเป็น นักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์ ระบุ ในรายงานว่า ธนาคารสหรัฐฯ ปล่อยกู้ให้กับทั้ง 4 ประเทศ ในสัดส่วนร้อยละ 5 ของวงเงินทั้งหมด ที่ปล่อยกู้ให้กับต่างชาติ โดย ธนาคาร 10 แห่งของสหรัฐฯ ที่ร่วมกันปล่อยกู้ในครั้งนี้ ประกอบด้วย แบงก์ ออฟ อเมริกา, ซิตี้กรุ๊ป, เจพีมอร์แกน, เวลส์ ฟาร์โก, แบงก์ ออฟ นิวยอร์ค, สเตท สตรีท, โกลด์แมน แซคส์, มอร์แกน สแตนเลย์ และ สาขาในสหรัฐฯของดอยช์ แบงก์ กับ HSBC
    แบงก์สหรัฐ10รายปล่อยกู้อุ้มEU17แสนล ธนาคาร บาร์เคลย์ แคปปิตอล รายงานว่า ธนาคารของสหรัฐฯ 10 แห
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เจ.พี. มอร์แกน คนที่รวยที่สุดในโลก (ลำดับที่ 107) สำหรับคอลัมน์ “มองซีอีโอโลก” หนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2550 โดยวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ www.vikrom.net, e-mail:vikrom@vikrom.net <O:p</O:p
    <O:p> </O:p>
    ตั้งแต่ผมเริ่มเขียนมุมมองที่มีต่อชีวิตของ CEO โลกมากว่า 100 คนแล้วในช่วงเวลา 2 ปีกว่านั้น ผมยังไม่เคยอ่านชีวประวัติของใครที่มีความร่ำรวยจนมีอิทธิพลคับแก้วแล้วสามารถมีผลกระทบต่อระบบการเงิน การคลังของประเทศสหรัฐอเมริกาหรือโลกการเงินได้เท่ากับบุรุษผู้มีนามว่า เจ.พี.มอร์แกนเลย แม้ว่าเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 200 ปีที่แล้วก็ตาม จนขณะนี้บริษัทที่ถือได้ว่าเป็นทรัพย์มรดกตกทอดมาในรูปขององค์กรจากการเริ่มต้นของเจ.พี.มอร์แกนก็จัดว่าเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    การที่จะมีใครสักคนเคยยิ่งใหญ่ ร่ำรวยเช่นนี้และยังสามารถมีการสืบทอดความสำเร็จมาได้จนกระทั่งทุกวันนี้ เท่านั้นยังไม่พอยังมีแนวโน้มว่าจะเติบโตไปได้เรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จักจบสิ้นนั้นนับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ไม่น้อย เพราะจากคำกล่าวที่เรามักได้ยินเสมอ ๆว่า คนรวยที่จะสืบทอดความร่ำรวยเกินกว่า 3 รุ่นนั้นยากมากเพราะเมื่อมีความร่ำรวยระดับโลกแล้ว ลูกหลานก็มักจะเกียจคร้าน ไม่ค่อยอยากทำงาน เกิดมาบนกองเงินกองทอง เผาผลาญทรัพย์สินที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้ และข้อสำคัญไม่อยากสืบทอดเจตนารมณ์ของตระกูลอีกต่อไป จนทำให้ธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่จบลงไม่เกิน 4-5 รุ่นเท่านั้น<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผมทำธุรกิจกับชาวญี่ปุ่นที่เป็นธุรกิจครอบครัวที่มีมากว่า 10 กว่ารุ่นแล้ว ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังคงดำเนินธุรกิจที่เป็นการเริ่มต้นมาจากบรรพบุรุษรุ่นแรกอยู่ ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง นับถือมากที่คนรุ่นหลัง ๆ ของตระกูลยังคงยึดมั่นที่จะสานต่องานของตระกูลของตนต่อไป ในมุมมองของผมนั้นมองว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะยากสักหน่อยที่จะเกิดขึ้นกับคนไทยเราในยุคปัจจุบัน<O:p></O:p>
    แง่มุมที่เกิดจากการมองชีวิตของเจ.พี มอร์แกนคงทำให้เราได้รู้ว่าเขาได้ให้การศึกษาต่อลูกหลานอย่างไรถึงเกิดการสานต่อกิจการธุรกิจมาจนกระทั่งทุกวันนี้หลังจากร้อยกว่าปีมาแล้ว โดยที่ยังสามารถคงความยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษได้สร้างขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทุกวันนี้ ชื่อเสียงของเจ.พี.มอร์แกนยังคงความเป็นบริษัทชั้นแนวหน้าของโลกเช่นเดิม ซึ่งผมก็เชื่อมั่นว่ายังจะคงเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ อีกนานแสนนาน <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ครอบครัวที่ทำธุรกิจของคนไทยครอบครัวใดที่ต้องการให้ลูกหลานสานต่อเป้าหมายของบรรพบุรุษไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือเจตนารมณ์ใด ๆ ก็ควรที่จะศึกษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้โดยเฉพาะจากบริษัทฝรั่งหรือบริษัทญี่ปุ่นว่าเขามีวิธีการสอนคนรุ่นต่อๆไปให้เกิดความรับผิดชอบต่อวงศ์ตระกูลในการสืบทอดความคิด ความสามัคคีที่ทำให้ลูกหลานยังคงดำเนินธุรกิจเช่นเดียวกับที่บรรพบุรุษเริ่มมาได้อย่างไร โดยไม่เปลี่ยนแปลงหรือล้มเลิกไป<O:p></O:p>
    ประวัติ<O:p></O:p>
    จอห์น เพียร์พอนท์ มอร์แกน (John Pierpont Morgan) ผู้ก่อตั้งบริษัททรัสท์ ซึ่งเป็นธุรกิจทางการเงินขนาดใหญ่และจัดหาเงินกู้ให้กับบรรดานักอุตสาหกรรม เกิดเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1837 ที่เมืองฮาร์ทฟอร์ด (Hartford) มลรัฐคอนเน็ตติกัต (Connecticut) ได้รับสมญานามว่าเป็นทั้งนักการเงิน-นายธนาคาร-ผู้ใจบุญ-และนักสะสมศิลปะชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งมีอิทธิพลเหนือธุรกิจการเงิน (corporate finance) และการควบรวมอุตสาหกรรม (industrial consolidation) <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เขาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 19 และเขายังเป็นบุคคลที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลทางการเงินมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกเขาได้ใช้เครือข่ายทางธุรกิจการเงินธนาคารของเขาช่วยกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา รักษาเสถียรภาพของค่าเงินดอลลาร์ และการสร้างมาตรฐานของการรถไฟในสหรัฐอเมริกา เพราะในฐานะที่เป็นนายธนาคารเอกชน เขาได้หาเงินนับหลายล้านดอลลาร์ที่ได้ลงทุนในต่างประเทศมาใช้ในการสร้างทางรถไฟของสหรัฐอเมริกา อีกทั้งเขายังช่วยจ่ายหนี้สินของประเทศที่เป็นผลเกิดจากการทำสงครามกลางเมือง (ค.ศ. 1861 - 1865) <O:p></O:p>
    สิ่งที่ยืนยันว่าจอห์น เพียร์พอนท์ มอร์แกน เป็นนายทุนผู้ทรงอิทธิพลเหนือธุรกิจการเงินและการควบรวมอุตสาหกรรมก็คือ ในปี ค.ศ. 1892 มอร์แกน ได้รวมกิจการของบริษัทเอดิสัน เจเนอรัล อิเล็กทริค เข้ากับบริษัททอมป์สัน ฮุสตัน อิเล็กทริค คอมพานี เพื่อรวมตัวเป็นบริษัทเจเนอรัล อิเล็กทริค และหลังจากที่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินในการก่อตั้งบริษัทเฟเดอรัล สตีล คอมพานี เขาได้รวมกิจการบริษัทเหล็กกล้าคาร์เนกี้ สตีล คอมพานีเข้ากับธุรกิจเหล็กและเหล็กกล้าอื่นๆ เป็นบรรษัทเหล็กกล้าแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Steel Corporation) เมื่อปี ค.ศ. 1901 ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เจ.พี.มอร์แกน ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ใจบุญและนักสะสมศิลปะ เขาได้ทำพินัยกรรมยกงานศิลปะจำนวนมากที่เขาสะสมไว้ให้กับพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิแทน (Metropolitan Museum of Art) ในกรุงนิวยอร์ก และยังยกให้กับพิพิธภัณฑ์สาธารณะฮาร์ทฟอร์ดที่บ้านเกิดของเขาด้วย<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    จุดที่รุ่งเรืองสูงสุดของเขาอยู่ในช่วงตอนต้นทศวรรษที่ 1900 เขาและผู้ร่วมงานได้ลงทุนทางการเงินในบริษัทใหญ่ๆ มากมาย และในราวปี ค.ศ. 1901 เขาก็กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในโลก และในฐานะที่เป็นนักการเงินการธนาคารผู้เชี่ยวชาญ เจ.พี.มอร์แกน ได้รับการยกย่องจากนักวางกลยุทธ์ทางด้านธุรกิจว่า เขาเป็นตัวอย่างของการเป็นดีลเมกเกอร์ ที่ดีที่สุดคนหนึ่ง <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เจ.พี.มอร์แกนเป็นบุตรชายของจูเนียส สเปนเซอร์ มอร์แกน และมารดาคือจูเลียต เพียร์พอนท์ บิดาของเขาเป็นนักการเงินการธนาคารเช่นเดียวกัน และประสบความสำเร็จในการผลักดันให้บุตรชายของตัวเองดำเนินรอยเท้าในการเป็นนักการเงินเช่นเดียวกันได้ ส่วนมารดาของเขา จูเลียต เพียร์พอนท์ นั้นเป็นบุตรสาวของจอห์น เพียร์พอนท์ ซึ่งเป็นกวี ครู นักกฎหมาย พ่อค้า ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เพื่อให้บุตรชายมีชื่อเสียงบิดาของเขาส่งบุตรชายของตนให้ไปเรียนในโรงเรียนเอกชนหลายดีๆ แห่งทั้งในประเทศและนอกประเทศอย่างเยอรมนีและสวิสเซอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1851 เจ.พี.มอร์แกนก็สามารถสอบผ่านเข้าเรียนต่อได้ใน English High School of Bostonโรงเรียนนี้มีชื่อเสียงในด้านคณิตศาสตร์เพื่อเตรียมตัวนักเรียนให้เข้าไปทำงานในอาชีพทางด้านธุรกิจการค้า แต่ในปีถัดมาเขาก็เริ่มมีปัญหาสุขภาพจากโรคไขข้ออักเสบซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นในเด็ก ทำให้เขาเจ็บปวดจนเดินไม่ได้ บิดาของเขาจึงจองตั๋วเดินทางของเรือที่ชื่อไอโอเพื่อให้บุตรชายไปพักฟื้นที่หมู่เกาะอะซอเรส และหลังจากที่พักฟื้นเป็นเวลาเกือบปี แล้วเขาก็กลับมาเริ่มต้นเรียนใหม่ที่โรงเรียนเดิมในบอสตัน พอหลังจากที่เขาพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่องแล้ว บิดาของเขาก็ส่งเขาไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเกิตติงเง่น (University of Göttingen) เพื่อที่จะให้บุตรชายของตนพูดภาษาเยอรมันได้คล่อง <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ในปี ค.ศ. 1856เขาเริ่มต้นอาชีพโดยการทำงานในธนาคารของบิดาที่มีสาขาอยู่ที่กรุงลอนดอน ในปีถัดมาเขาก็ย้ายกลับมาทำงานที่สหรัฐอเมริกา ที่กรุงนิวยอร์ก โดยทำงานเป็นนักบัญชีให้กับบริษัทนายหน้าหรือโบรกเกอร์ที่ชื่อว่าดันแคนเชอร์แมนแอนด์คอมพานี เขาทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และเริ่มต้นเรียนรู้การลงทุนของธนาคาร ในปี ค.ศ. 1860 เขากลายเป็นเอเยนต์หรือตัวแทนในสหรัฐอเมริกาของบริษัทจอร์จพีบอดีแอนด์คอมพานี ปี ค.ศ. 1860 – 1864 เขาทำงานให้กับบริษัทบิดาของเขาคือบริษัทเจ. เพียร์พอนท์ แอนด์ คอมพานี ในกรุงนิวยอร์ก (เมื่อบิดาถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1890 เขาก็รับช่วงดูแลธุรกิจทั้งหมดต่อมา) ในปี ค.ศ. 1871 นั้นเขาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับตระกูลเดร็กเซลก่อตั้งบริษัทเดร็กเซลมอร์แกนแอนด์คอมพานี ในกรุงนิวยอร์ก<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ในช่วงสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา เจ.พี.มอร์แกนได้จัดหาเงินทุนเพื่อซื้อปืนไรเฟิลรุ่นเก่าที่ขายโดยกองทัพในราคา 3.50 ดอลลาร์ต่อลำ ซึ่งหุ้นส่วนของเขาได้นำปืนเหล่านี้มาดัดแปลงใหม่และขายกลับไปให้กับกองทัพในราคา 22 ดอลลาร์ต่อลำ ทางกองทัพรู้ว่าฝ่ายตนซื้อปืนเก่ากลับมา จึงเกิดเรื่องอื้อฉาวแพร่หลายขึ้นที่รัฐบาลไร้ประสิทธิภาพที่ไม่รู้เท่าทันเล่ห์เพทุบายของมอร์แกน ทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเรื่องขายปืนล้าสมัยให้กับกองทัพ ว่าเขาได้หลีกเลี่ยงการเป็นทหารด้วยการจ่ายเงินจำนวน 300 ดอลลาร์เพื่อเป็นค่าตัวแทนเป็นทหารแทน<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    สงครามกลางเมือง (1861-1865) นั้นรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการที่จะรีไฟแนนซ์หนี้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด และบริษัทของมอร์แกนมีบทบาทสำคัญในการเป็นบริษัทที่รีไฟแนนซ์หนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ<O:p></O:p>
    ภายหลังจากการเสียชีวิตของโทนี เด็รกเซล ในปี ค.ศ. 1893 บริษัทเดร็กเซลมอร์แกนแอนด์คอมพานี ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นเจ.พี.มอร์แกนแอนด์คอมพานี ในช่วงปี ค.ศ. 1900 นั้น บริษัท เจ.พี.มอร์แกนแอนด์คอมพานี กลายเป็นหนึ่งในธุรกิจการธนาคารที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก <O:p></O:p>
    ขณะที่ เจ.พี.มอร์แกนมีอายุได้ 35 ปีเขามีสินทรัพย์และเงินทุนมากกว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาเสียอีกในช่วงทศวรรษ 1870 เขากลายเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้แก่โทมัส เอดิสัน ในการประดิษฐ์คิดค้นต่างๆ เกี่ยวกับระบบไฟฟ้านานกว่า 20 ปีและมอร์แกนได้ทำดีลควบรวมกิจการระหว่างบริษัทของเอดิสันที่ชื่อว่า Edison General Electric Company กับบริษัท Thomson-Houston Company โดยใช้ชื่อว่า General Electric Company (GE) บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกในปัจจุบันซึ่งดีลนี้ไม่เพียงแต่ทำกำไรมหาศาลให้กับมอร์แกน เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการเก็งกำไรค่าของทองคำ และตั้งเงื่อนไขสุดโหดในการให้กู้ทองคำกับรัฐบาลในช่วงวิกฤตการณ์ปี 1895<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    นอกจากนี้ปี ค.ศ. 1901 เขาจัดตั้งบริษัท ยูเอส สตีล เป็นบริษัทพันล้านเหรียญแห่งแรกของโลก เขาเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่อุตสาหกรรมการผลิตและเหมืองแร่ เป็นผู้ครองตลาดด้านกิจการธนาคาร บริษัทประกันภัย สายเดินเรือ (International Mercantile Marine Company ซึ่งบริษัทนี้ต่อมากลายเป็นเจ้าของ White Star Lineซึ่งเป็นผู้ผลิตและดำเนินการเรือไททานิคอันเลื่องชื่อของโลกที่ล่มไป) และระบบสื่อสาร <O:p></O:p>
    กิจกรรมทางการเงินของมอร์แกนพ่อลูก มีส่วนดึงเงินลงทุนจากอังกฤษและยุโรปมาสู่สหรัฐอเมริกาอย่างมหาศาล ในยุคที่สหรัฐอเมริกากำลังเริ่มพัฒนาประเทศ และต้องการเงินลงทุนจากต่างประเทศ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ในการก้าวสู่จุดสูงสุดทางการเป็นนักการเงินผู้ทรงอิทธิพลเขายึดอำนาจในบริษัทรถไฟสายอัลบานีและซัสเกอฮานนา ในกรุงนิวยอร์ก หลังจากนั้นก็ทำให้เขาเข้ามาปรับรื้อโครงสร้าง และรวมกิจการทั่วสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัว เขาได้รวบรวมบริษัทรถไฟหลายสายตั้งแต่ฝั่งตะวันตก ถึงฝั่งตะวันออก โดยรวบรวมเส้นทางที่ทับซ้อน และแข่งขันกันเอง เข้ามาดำเนินการจัดการธุรกิจแบบใหม่ จนในที่สุดทำให้มอร์แกนเป็นเจ้าของบริษัทรถไฟที่มีทางรถไฟยาวกว่า ffice:smarttags" /><?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]5,000 ไมล์</st1:metricconverter> หรือ 75% ของทางรถไฟทั่วสหรัฐอเมริกา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ในปี ค.ศ. 1900 เขาเจรจาเพื่อซื้อกิจการของคาร์เนกี้และกิจการเหล็กและเหล็กกล้าอื่นๆ เพื่อรวมกิจการของกลุ่มธุรกิจเหล่านี้เข้าด้วยกันเป็นบรรษัทเหล็กกล้าแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Steel Corporation) ทำให้บริษัทนี้กลายเป็นบริษัทพันล้านบริษัทแรกในโลกที่มีเงินทุน 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯซึ่งบรรษัทเหล็กกล้าแห่งสหรัฐฯ เขาสามารถครอบครองส่วนแบ่งของตลาดเหล็กกล้าได้ถึงสองในสาม<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เขามีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้กุมตลาดการเงินแต่ผู้เดียวในช่วงแตกตื่นปี 1907 เพราะลูกค้าของธนาคารเริ่มเกิดความสงสัยในความปลอดภัยของการฝากเงินกับทางธนาคาร ทำให้ลูกค้าเริ่มตื่นกลัวและแห่กันมาถอนเงิน โดยเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในเรื่องนี้ว่าเป็นผู้ผูกขาด แม้ว่าจะโดนมรสุมหนักแต่เขาก็ยังทำธุรกิจต่อไปโดยไม่ใส่ใจกับคำวิจารณ์ทั้งหลายทั้งปวง ทำให้ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1912 เขาต้องปรากฏตัวต่อสาธารณะเพื่อชี้แจงและอธิบายต่อคณะกรรมาธิการในรัฐสภา โดยผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ได้เปรียบเทียบว่าเงินจำนวนนี้นั้นมีมูลค่าเท่ากับสินทรัพย์ทั้งหมดที่มีอยู่ในรัฐจำนวน 22 รัฐในเขตตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี้<O:p></O:p>
    เขาใช้เงินเป็นเครื่องมือเพื่อขยายกิจการ เจ.พี.มอร์แกน และร็อคกี้เฟลเลอร์ตัดสินใจควบรวมกิจการต่างๆ เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในต้นปี ค.ศ. 1901 ในนามบริษัทหลักทรัพย์ภาคเหนือแห่งนิวเจอร์ซีที่ถือครองทรัพย์สินในขณะนั้นเป็นมูลค่าถึง 22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี ค.ศ. 1913 กลุ่มธุรกิจเหล่านี้ก็ประสบความสำเร็จในการร่วมมือกันจัดตั้งธนาคารกลางสหรัฐ” (Federal Reserve) ที่เป็นอิสระจากอำนาจของรัฐบาลแต่สามารถควบคุมระบบเศรษฐกิจสหรัฐหรือแม้กระทั่งระบบเศรษฐกิจโลกได้ทั้งระบบ<O:p></O:p>
    บางคนก็ยกย่องให้เจ.พี.มอร์แกน เป็นเศรษฐีใจบุญเนื่องจากเขาได้ทำการกุศลมากมาย แต่ถึงกระนั้น คุณงามความดีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ให้กับสารธารณชนอันนี้ก็มีข้อตำหนิเช่นเดียวกัน เพราะจอห์น เพียร์พอนท์ มอร์แกน ได้รับการขนานนามว่าเป็น “จอมโจรผู้ดี” ซึ่งนักอุตสาหกรรมที่ได้รับฉายานี้นอกจากจะมีเขาแล้ว ยังมีจอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์ และแอนดรูว์ คาร์เนกี้อีกด้วย แม้เขาจะเคยได้ให้การช่วยเหลือและอุดหนุนอย่างสำคัญยิ่งต่อด้านศิลปกรรม และมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่ได้มีการบันทึกว่าเขาเคยกล่าวคำพูดที่แสดงออกถึงความรังเกียจเดียดฉันท์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เช่น “ผมไม่รู้สึกเป็นหนี้ต่อสาธารณชนแต่อย่างใดเลย” <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เจ.พี.มอร์แกนนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ และกลายเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลของโบสถ์เขาเป็นผู้นำฝ่ายฆราวาสในคริสต์ศาสนานิกายที่เขานับถือ<O:p></O:p>
    ปี ค.ศ. 1861 เขาได้แต่งงานกับสตรีที่มีชื่อว่าอมีเลีย สเตอร์กส์ (Amelia Sturges) แต่ในปีถัดหน้าเธอก็เลียชีวิตและเขาได้แต่งงานใหม่กับฟรานเชส หลุยส์ เทรซี่ (Frances Louise Tracy) ในปีค.ศ.1863 และมีบุตรธิดา 3 คน <O:p></O:p>
    เจ.พี.มอร์แกนให้ความสนใจด้านกีฬามาก เขามีเรือยอชต์ส่วนตัว เขาเคยเข้าแข่งระดับนานาชาติหลายครั้ง เขามีเรือยอชท์ส่วนตัวชื่อ Corsair ซึ่งต่อมารัฐบาลอเมริกันได้ซื้อต่อและตั้งชื่อให้ใหม่ว่า USS Gloucester เพื่อใช้ในการทำสงครามกับสเปน เขาเป็นเจ้าของWhite Star Lineซึ่งเป็นผู้ผลิตและดำเนินการเรือไททานิคอันเลื่องชื่อของโลกที่ล่มไป เจ.พี.มอร์แกนมีห้องส่วนตัวบนดาดฟ้าเรือไททานิคด้วย และในตอนที่เรือไททานิคล่มนั้น มอร์แกนมีแผนการที่จะเดินทางไปกับเรือด้วย แต่เขาก็ยกเลิกแผนการเดินทางไปในวินาทีสุดท้ายเพราะภรรยาน้อยคนหนึ่งของเขาขอร้องให้อยู่ต่อในปารีส ทำให้เขาไม่ได้เดินทางไปกับเรือไททานิคและประสบกับหายนะภัยในครั้งนั้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เจ.พี.มอร์แกน เสียชีวิตระหว่างการเดินทางไปต่างประเทศที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1913 ก่อนที่จะมีอายุครบ 76 ปี มอร์แกนเสียชีวิตระหว่างที่กำลังนอนหลับอยู่ในโรงแรมที่ชื่อแกรนด์ โฮเทล จดหมายแสดงความเสียใจนับ 4,000 ฉบับได้ส่งไปที่นั่นตลอดคืนที่เขาเสียชีวิต และธงบนถนนวอลล์สตรีทได้ลดลงครึ่งเสาเพื่อไว้อาลัยแก่เขา ตลาดหุ้นได้ปิดทำการเป็นเวลาสองชั่วโมงเมื่อร่างของเขาได้ถูกส่งผ่านมาทางถนนสายนี้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เมื่อตอนที่เขาเสียชีวิตนั้น เขามีทรัพย์สินซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 1.39 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน ร่างของเขาถูกฝังไว้ที่สุสานซีดาร์ฮิลล์ (<ST1:place><st1:placeName>Cedar</st1:placeName><st1:placeType>Hill</st1:placeType><st1:placeType>Cemetery</st1:placeType></ST1:place>) ซึ่งอยู่ในบ้านเกิดของเขาและบุตรชายของเขาคือจอห์น “แจ็ค” เพียร์พอนท์ มอร์แกน จูเนียร์ ได้สานต่อธุรกิจการเงินการธนาคารต่อไป แต่บุตรชายของเขาก้ไม่ได้เป็นผู้ที่มีอิทธิพลเหมือนอย่างที่ผู้เป็นพ่อเคยเป็น<O:p></O:p>
    http://www.tsu.ac.th/coop/files/ptjpmorgan71007.doc
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2010
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คอลัมน์ ดุลยภาพ ดุลยพินิจ โดย นวพร เรืองสกุล มติชนรายวัน วันที่ 07 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9615

    เรื่องมหาเศรษฐีอเมริกันสมัยปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นยุคที่ผู้เขียนสนใจมาก และเรื่องนี้อยู่ในใจเสมอมา และพยายามนึกว่าประเทศของเราจะหาทางออกอย่างไร ให้มีธุรกิจขนาดใหญ่ที่แข่งกับชาวโลก และในขณะเดียวกันก็ไม่ใหญ่คับฟ้าจนรังแกผู้บริโภคคนไทยที่ไม่มีทางเลือก
    เรามาดูความเป็นมาของเศรษฐีที่เกิดขึ้นมาจากอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของในสหรัฐอเมริกา ในศตวรรษที่ 19 กันก่อนพอสังเขป
    ในที่นี้จะขอยกเรื่องของบุคคลสองคนมาเป็นตัวอย่าง
    จอห์น ดี ร้อกกี้เฟลเลอร์ 1839 (2382)-1937 (2480)
    จากเสมียนคนหนึ่งในนิวยอร์ก จอห์น ดี ร้อกกี้เฟลเลอร์ ย้ายไปอยู่คลีฟแลนด์ มลรัฐโอโฮโอ และตั้งบริษัท สแตนดาร์ด ออยล์ ออฟ โอไฮโอ ในปี 1870 (2413)
    การทำงานอย่างประหยัดได้ประสิทธิภาพ และการขยายกิจการโดยการควบรวมกับผู้อื่นและการสร้างข้อตกลงต่างๆ กับคู่แข่งที่เก่งพอๆ กัน และบทขยี้คู่แข่งที่อ่อนแอกว่าอย่างไม่ปรานีต่อรองสุดความสามารถกับบริษัทที่เป็นคู่กัน เช่น บริษัทรถไฟ
    บริษัทมีกำไรจำนวนมาก และสะสมเงินทุนไว้ได้มาก กิจการก็ยิ่งขยายออกไป ในไม่ช้าบริษัทก็เป็นผู้คุมท่อส่งน้ำมันที่กลั่นแล้ว จนสามารถคุมธุรกิจน้ำมันในสหรัฐไว้ในกำมือได้ สถานะของบริษัท สแตนดาร์ด ออยล์ ออฟ โอไฮโอ ใกล้กับการเป็นผู้ขายรายเดียว(โมโนโปลี)ตลาด
    ปี 1882 (2425) จอห์น ดี ร้อกกี้เฟลเลอร์ รวมกิจการทั้งหมดเข้าเป็น สแตนดาร์ด ออยล์ ทรัสต์ พอศาลสั่งให้ปิดทรัสต์ ก็ตั้ง สแตนดาร์ด ออยล์ ออฟ นิวเจอร์ซี ขึ้นมาเป็นบริษัทโฮลดิ้งแทน จนศาลต้องสั่งปิดบริษัทโฮลดิ้งอีกในปี 1911 (2454) ระหว่างเวลาที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จอห์น ดี ร้อกกี้เฟลเลอร์ เป็นผู้กุมอำนาจการตัดสินใจของกิจการ และเป็นเจ้าพ่อธุรกิจน้ำมันแต่เพียงลำพังผู้เดียวและร่ำรวยมหาศาล
    นอกจากธุรกิจน้ำมัน กิจการยังแผ่ขยายครอบคลุมไปอีกหลายธุรกิจ เช่น เป็นกรรมการในบริษัท ยู เอส สตีล ที่ตั้งเมื่อปี 1901 (2444) เป็นเจ้าของกิจกรรมไฟบางสาย และมีธนาคารพาณิชย์ด้วย ความยิ่งใหญ่ทางด้านการเงินของร้อกกี้เฟลเลอร์ เป็นรองก็แต่เจ พี มอร์แกน เท่านั้น
    นี่คือชีวิตในซีกของความเป็นนักธุรกิจผู้ไม่เคยยอมใคร เป็นผู้สมัครและกุมอำนาจทางธุรกิจ ที่นำความมั่งคั่งมาสู่ตนอย่างล้นเหลือ
    ชีวิตอีกซีกหนึ่งคือความเป็นนักทำบุญ จอห์น ดี ร้อกกี้เฟลเลอร์ เป็นคริสเตียนที่ไปวัด(โบสถ์)สม่ำเสมอ บริจาคเงินให้กับองค์กรคริสเตียน(YMCA) จำนวนมาก และยังมีองค์กรสาธารณกุศลอื่นๆ อีกที่ได้รับเงินบริจาคของเขา มรดกที่เขามอบให้ต่อสังคมทางด้านการอุดมศึกษาก็คือ มหาวิทยาลัยแห่งชิคาโก ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี 1892 (2435)
    พ่อลูกจากสกุล มอร์แกน
    จูเนียส สเปนเซอร์ มอร์แกน 1813 (2356)-1890 (2433)
    เขาเป็นวาณิชธนากรผู้ยิ่งใหญ่ จากเสมียนขายของในมหานครนิวยอร์ก เขาเข้าทำงานที่บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง จนถึงปี 1854 (2397) ย้ายไปอยู่ลอนดอน ตั้งกิจการขึ้นโดยมีหุ้นส่วน แต่สิบปีต่อมา เจ เอส มอร์แกน ก็เป็นผู้คุมกิจการทั้งหมด เป็นผู้บริหารเงินลงทุนของสหราชอาณาจักร(อังกฤษ)ในสหรัฐอเมริกา
    ผลงานที่ลือชื่อเรื่องหนึ่งในสมัยนั้นคือการจัดหาเงินกู้แบบซินดิเคทจากผู้ให้กู้หลายๆ ราย ให้รัฐบาลฝรั่งเศส
    จอห์น เปียร์ปองต์ มอร์แกน 1837 (2380)-1913 (2456)
    เจ พี มอร์แกน เป็นนักธุรกิจร่วมยุคกับจอห์น ดี ร้อกกี้ เฟลเลอร์ เขาคือผู้สร้างธุรกิจครอบครัวจนเป็นอาณาจักรอุตสาหกรรมและการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เจ พี มอร์แกน เรียนหนังสือมาจากต่างประเทศ และกลับมาพำนักที่มหานครนิวยอร์กในปี 1857 (2400) อีกสามปีต่อมาเขาก็เป็นเอเยนต์ประจำนิวยอร์กให้กับบริษัทของบิดา เมื่อบิดาถึงแก่กรรมก็รับช่วงดูแลธุรกิจทั้งหมดต่อมา
    ในปี 1901 (2444) บริษัททำธุรกิจการเงินของเขาในลอนดอนในเวลานั้นคือ บริษัท มอร์แกน เกรนเฟล จำกัด เจ พี มอร์แกน ต่อสู้ในสมรภูมิการเงินอย่างดุเดือด และใช้เครื่องมือทางการเงินแผ่เข้าไปยึดธุรกิจอื่นๆ เช่น ยึดอำนาจใน บริษัทรถไฟสายอัลบานี และซัสเกอฮานนา(ในมลรัฐนิวยอร์ก) มาจากเจย์ กูลด์ และจิม ฟิสก์ จัดระบบการหาเงินทุนเสียใหม่จนสามารถที่ทลายปราการผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบการรายเดิมเคยได้เงินอุดหนุนของรัฐบาล มาเป็นข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่ง เขาเป็นเจ้าของกิจการรถไฟหลายสาย และสร้างอาณาจักรการเดินรถไฟของเขาด้วยการปรับรื้อโครงสร้าง และรวมกิจการทั่วสหรัฐอเมริกา
    ในด้านอุตสาหกรรมในปี 1901 (2444) เขาจัดตั้งบริษัท ยู เอส สตีล เป็นบริษัทพันล้านเหรียญแห่งแรกของโลก เขาเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่อุตสาหกรรมการผลิตและเหมืองแร่ เป็นผู้ครองตลาดด้านกิจการธนาคาร บริษัทประกันภัย สายเดินเรือ และระบบสื่อสาร
    กิจกรรมทางการเงินของมอร์แกนพ่อลูก มีส่วนดึงเงินลงทุนจากอังกฤษและยุโรปมาสู่สหรัฐอเมริกาอย่างมหาศาล ในยุคที่สหรัฐอเมริกากำลังเริ่มพัฒนาประเทศ และต้องการเงินลงทุนจากต่างประเทศมาเพื่อสร้างทุนทางกายภาพขึ้นมาในประเทศ
    เจ พี มอร์แกน ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเรื่องขายปืนล้าสมัยจำนวนหนึ่งให้กับกองทัพและเก็งกำไรค่าของทองคำ ในระหว่างที่รัฐบาลกำลังทำสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ตั้งเงื่อนไขสุดโหดในการให้กู้ทองคำกับรัฐบาลในช่วงวิกฤตการณ์ปี 1895 (2438) ในการเป็นผู้กุมตลาดการเงินในช่วงแตกตื่นปี 1907 (2450) และทำให้บริษัทรถไฟสาย นิวยอร์ก นิวฮาเว่น และฮาร์ทฟอร์ด(ปริมณฑลของมหานครนิวยอร์ก)ประสบปัญหา แต่เขาก็ยังทำธุรกิจต่อไปโดยไม่ใส่ใจกับคำวิจารณ์ทั้งหลายทั้งปวง
    ในปี 1912 (2455) เขาปรากฏตัวต่อสาธารณะเพื่อชี้แจงและอธิบายต่อคณะกรรมาธิการในรัฐสภา ซึ่งสอบสวนกรณีทรัสต์ทางการเงิน ที่ตั้งใจจะเล่นงานเขาเป็นการเฉพาะ
    นี่คือชีวิตในซีกธุรกิจของเขา ที่ให้เงินเป็นเครื่องมือเพื่อขยายกิจการ โดยยึดหลักใครดีใครอยู่
    ในซีกชีวิตอีกด้านหนึ่งของเขา เขาเป็นนักกีฬา เรือยอชต์ของเขาเคยเข้าแข่งระดับนานาชาติหลายครั้ง เขาเป็นผู้นำฝ่ายฆราวาสในคริสต์ศาสนานิกายที่เขานับถือ บริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลมากมาย เป็นนักสะสมภาพ เป็นประธานของพิพิธภัณฑ์ศิลปะของมหานคร(Metropolitan Museum)
    เมื่อเขาถึงแก่กรรม พิพิธภัณฑ์นี้ได้รับภาพเป็นจำนวนมาก ซึ่งตั้งแสดงอยู่ในปีกที่ชื่อว่า ปีกเปียร์ปองต์ มอร์แกน
    นี่เป็นประวัติของนักธุรกิจมหาเศรษฐีของคนของสหรัฐอเมริกาในยุคที่ธุรกิจครองประเทศที่คัดลอกและย่อมาเล่าสู่กันฟัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2010
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เจพีมอร์แกนฯ ออกแถลงการณ์โต้ข่าวเจ๊งการลงทุนในกลุ่ม "ธนาคารบาครี กรุ๊ป" หลังราคาหุ้นโดนเทขายหนักทั่วโลก ผู้บริหารฯ ยืนยันไม่เลิกทำธุรกิจในอินโดฯ ตามที่เป็นข่าวแน่นอน

    วันนี้ (14 ต.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ออกแถลงการณ์ตอบโต้ข่าวที่บริษัทได้รับความเสียหายจากการลงทุนในอินโดนีเซีย โดยยืนยันว่า บริษัทจะดำเนินกิจการธนาคารในอินโดนีเซียต่อไป หลังจากที่มีกระแสข่าวว่าวิกฤตครั้งใหญ่ในตลาดการเงินทั่วโลก อาจส่งผลให้ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐยุติการดำเนินงานในอินโดนีเซีย

    นายเกบี้ แอดเบลนูร์ ซีอีโอของเจพีมอร์แกน เอเชียแปซิฟิก กล่าวย้ำว่า เราดำเนินธุรกิจในอินโดนีเซียมานานกว่า 80 ปี โดยเจพีมอร์แกนเป็นหนึ่งในวาณิชธนกิจต่างชาติรายใหญ่ในอินโดนีเซีย และเรามีแผนที่จะลงทุน และขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติม

    นสพ.จาการ์ตา โพสต์รายงานว่า แถลงการณ์ดังกล่าวของเจพีมอร์แกนฯ มีขึ้นท่ามกลางข่าวลือที่ว่า บริษัทกำลังถอนตัวออกจากตลาดอินโดนีเซีย เนื่องจากได้รับความเสียหายจากการลงทุนในกลุ่มธนาคารบาครี กรุ๊ป (Bakrie Group) ที่ถูกเทขายอย่างหนักในตลาดหุ้นทั่วโลก

    ทั้งนี้ เจพีมอร์แกนเป็นหนึ่งในบริษัทระดับโลกที่ขยายวงเงินกู้รวม 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่บาครี กรุ๊ป โดยในสัปดาห์ที่แล้ว ราคาหุ้นของบาครี และบริษัทในเครือดิ่งลงเหว จากข่าวลือที่ว่าบริษัทผิดนัดชำระเงินกู้ และส่งผลให้เจพีมอร์แกนได้รับผลกระทบ เนื่องจากบริษัทได้มีการลงทุนในหุ้นของบริษัทย่อยของบาครี ได้แก่ PT Bumi Resources , PT Energi Mega Persada และ PT Bakrie Sumatera Plantations
    เจพีมอร์แกนฯ โต้ข่าวเจ๊งลงทุน ธ.บาครี กรุ๊ป ยันไม่เลิกธุรกิจในอินโดฯ
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เจพีมอร์แกนเผยกำไรสุทธิไตรมาส 2 พุ่งขึ้น 76% หลังธนาคารลดการกันสำรองหนี้สูญ

    อินโฟเควสท์--เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า กำไรสุทธิประจำไตรมาส 2 ปีนี้ พุ่งขึ้น 76% สู่ระดับ 4.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.09 ดอลลาร์ต่อหุ้น ...
    <SMALL>Short URL: http://www.pr-thailand.net/?p=2809</SMALL>
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>วันที่ พฤหัสบดี เมษายน 2551


    วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐ ใกล้สิ้นสุดหรือเพิ่งจะเริ่มต้น

    </CENTER>
    คนทั่วไปมักจะพูดกันว่า ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐมาจากสินเชื่อซับไพร์ม แต่ความจริงแล้วปัญหาซับไพร์มเป็นเพียงสายชนวน ขณะที่ปัญหาแท้จริงกลับซุกซ่อนอยู่ในวอลล์สตรีท และรอวันปะทุ
    ซับไพร์ม : สินเชื่อซ่อนเงื่อน
    คนทั่วไปที่มีประวัติการเงินดี เมื่อไปกู้เงินซื้อบ้าน จะได้อัตราดอกเบี้ยชั้นดีที่เรียกว่า Prime Rate ( คล้ายอัตราดอกเบี้ย MLR ของบ้านเรา ) แต่คนที่มีรายได้ไม่แน่นอน หรือ เคยมีประวัติเสียทางการเงินมาก่อน เวลาไปกู้เงินจะได้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า 2-3 % จึงเรียกลูกหนี้กลุ่มนี้ว่า Subprime คือ มีเครดิตต่ำกว่าเกณฑ์ที่จะได้รับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน ( sub แปลว่า ต่ำกว่า หรือ ด้อยกว่า )
    ในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟู สถาบันการเงินต่างแย่งกันกอบโกย โดยแข่งกันปล่อยกู้ให้ลูกค้าทุกประเภท รวมทั้งกลุ่มซับไพร์ม โดยทั่วไปมักจูงใจให้กู้แบบ 2/28 และ 3/27 ARM ( Adjustable Rate Mortgage ) คือ ให้กู้นานถึง 30 ปี แต่จะเป็นอัตราดอกเบี้ยต่ำและคงที่ใน 2 -3 ปีแรก แต่หลังจากนั้นจะเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว
    แถมยังจูงใจว่า ถ้าภายใน 2-3 ปีแรก สามารถปรับเครดิตทางการเงินให้ดีขึ้นมาได้ จะทบทวนปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ถ้าเครดิตยังไม่สามารถปรับขึ้นมาได้ ก็แนะนำให้รีไฟแนนซ์หนี้ เพื่อจะได้ใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ต่อไป
    คนกลุ่มนี้จึงเห็นช่องเก็งกำไร เพราะราคาบ้านในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมามีแต่ปรับสูงขึ้นทุกปีๆละ 10-15 % ทั้งยังสามารถเลือกชอบปิ้งอัตราดอกเบี้ยต่ำๆได้ตามใจชอบ ทำให้สัดส่วนของลูกหนี้กลุ่มนี้พุ่งขึ้นเป็น 25 %ของสินเชื่อซื้อบ้านทั้งหมด
    ดังนั้นเมื่อฟองสบู่แตก ธนาคารแต่ละแห่งเริ่มเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ลูกหนี้ซับไพร์มไม่สามารถหาแหล่งรีไฟแนนซ์หนี้ใหม่ได้ จึงเป็นกลุ่มแรกที่ผิดนัดชำระหนี้ ทำให้เกิดปัญหาหนี้เสียในสถาบันการเงินจำนวนมาก
    ทำไม ปัญหาจึงลุกลาม
    ลำพังปัญหาหนี้เสียเฉพาะกลุ่มซับไพร์ม ไม่ได้มากมายอะไร แต่ระยะหลังได้มีการคิดค้นนวัตกรรมทางการเงินใหม่เพื่อให้สามารถเพิ่มกำลังในการปล่อยกู้มากยิ่งขึ้น โดยการนำบัญชีสินเชื่อบ้านมาผสมรวมกับหุ้นกู้ที่มีเครดิตดีจัดเป็นกองๆ เรียกชื่อว่า CDO ( Collateralized Debt Obligation ) แล้วขายต่อให้นักลงทุนสถาบันรายอื่น นำเงินที่ได้ไปปล่อยกู้เพิ่ม วงเงินที่ปล่อยกู้จึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แถมยังดึงคนมาร่วมรับความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งธนาคาร กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกัน และเฮดจ์ฟันด์ ไม่ว่าจะอยู่ในสหรัฐ ยุโรป หรือเอเชีย
    หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้สถาบันการเงินต้องตั้งสำรองความเสียหายในหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ ซับไพร์ม เพิ่มตามไปด้วย และเมื่อมีการประกาศผลการดำเนินออกมา ต่างแสดงผลขาดทุนสูงเป็นประวัติการณ์ และมันได้เริ่มไปจุดชนวนให้กับปัญหาที่ซุกซ่อนยาวนานในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ซึ่งพร้อมจะปะทุได้ตลอดเวลา หากอุณหภูมิถึงขีดกำหนด
    ดินระเบิดในวอลล์สตรีท
    ปัญหาที่เปรียบเสมือนดินระเบิดในวอลล์สตรีท คือ
    1. บริษัทส่วนใหญ่เน้นเก็งกำไร
    ในอดีต รายได้หลักของสถาบันการเงินมาจาก ค่าธรรมเนียม , ค่านายหน้า , ค่ารับประกันการจำหน่ายหุ้น และ ค่าบริหารพอร์ตลงทุน แต่ปัจจุบันกว่า 60% ของรายได้ มาจากการซื้อขาย( trading )
    ยิ่งกว่านั้น แทนที่จะเน้นการซื้อขายหุ้น , หุ้นกู้ เพื่อสร้างผลกำไร บริษัทส่วนใหญ่ กลับทุ่มทุนไปในการเก็งกำไรค่าเงิน , น้ำมัน , จังค์ บอนด์ , ตราสารอนุพันธ์ และหลักทรัพย์ที่ใช้สินเชื่ออ้างอิง
    ในภาวะตลาดกระทิง บริษัทอาจจะได้กำไรสวยหรู แต่เมื่อตลาดพลิกผัน มันพร้อมที่จะกวาดกำไรในอดีตให้กลืนหายไปได้เช่นกัน
    2. อัตราส่วนเก็งกำไรสูงจนน่ากลัว
    ณ สิ้นปี 2007 อัตราส่วนสินทรัพย์ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทการเงินใหญ่ๆในสหรัฐ
    เช่น มอร์แกนสแตนเลย์ , เลห์แมน บาร์เดอร์ อยู่ที่ 30 ต่อ 1 ดังนั้นหากสินทรัพย์ของบริษัทด้อยค่าลงไปเพียง 3% จากการลงทุนที่ผิดพลาด เงินทุนทั้งหมดของบริษัทก็พร้อมที่จะถูกลบหายไป อย่างที่เกิดขึ้นกับบริษัท แบร์ สเติร์นส์
    3. ส่วนแบ่งกำไรของผู้บริหาร จูงใจให้บริษัททำธุรกรรมเสี่ยง
    ระบบจูงใจพนักงานที่จะมอบผลตอบแทนให้ หากทำกำไรงามให้บริษัท สนับสนุนให้พนักงานและผู้บริหารใช้เงินของบริษัททำธุรกรรมเสี่ยงมากขึ้น เช่น ถ้าเทรดเดอร์สามารถทำกำไรก้อนใหญ่ให้บริษัท ภายใน 1-2 ปี พวกเขาสามารถได้รับโบนัสก้อนใหญ่เพียงพอที่จะเกษียณอายุได้เลยทีเดียว
    ขณะที่ผู้บริหารก็ได้เป็นส่วนแบ่งอย่างหนำใจ เช่น เจมส์ เคน อดีตผู้บริหารของแบร์ สเติร์นส์ ในปี 2006 ที่ผ่านมา ได้รับส่วนแบ่งกำไร คิดเป็นมูลค่าถึง 40 ล้านเหรียญ (1,200 ล้านบาท) จากกำไรของบริษัทในปีนั้น
    ผู้บริหารและพนักงานจึงมีแรงกระตุ้นให้เก็งกำไร เพื่อมีส่วนร่วมในผลตอบแทน แน่นอนว่าในภาวะกระทิง ทุกคนมีความสุข แต่ในภาวะตลาดขาลง ผู้ถือหุ้นต้องแบกรับขาดทุนไปเต็มๆ
    เมื่อทุกบริษัทสร้างอาณาจักรอยู่บนกิ่งไม้แห้ง วันหนึ่ง หากปัญหามันถั่งโถมเข้ามาพร้อมกัน กิ่งไม้ที่เปราะบางเหล่านี้จะรับน้ำหนักไว้ได้เหมือนเดิมหรือไม่
    คนอเมริกันยังหลงระเริง
    ถึงแม้ นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ จะออกมายอมรับว่าสหรัฐได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วแต่คนอเมริกันยังมองโลกในแง่ดีมาก
    จากการสำรวจของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาพบว่า คนส่วนใหญ่เชื่อว่าสหรัฐเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว แต่คนกว่า 60% ก็ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นคืนในเวลาอันรวดเร็วและจะกลับมาปกติในปลายปี 2009 เนื่องจากว่าวิกฤตเศรษฐกิจ 2 ครั้งที่เพิ่งผ่านมา สามารถฟื้นคืนสู่ภาวะปกติได้ในเวลาอันสั้น คนจึงมีความเชื่อว่าครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
    ดังนั้นทุกคน จึงใช้ชีวิตกันอย่างปกติ ใช้เงินกันอย่างฟุ่มเฟือย เพราะเชื่อว่ารัฐบาลของเขาจะไม่ปล่อยให้เศรษฐกิจของประเทศล่มสลายแน่
    เฟดรับมืออย่างไร
    ปัญหาที่เริ่มจากสินเชื่อซับไพร์มผิดนัดชำระหนี้ในกลางปีที่ผ่านมา ทำให้สถาบันการเงินหลายแห่งทยอยประกาศผลขาดทุนออกมา ทั้งจากหนี้สงสัยจะสูญ และผลขาดทุนในหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อหนุน
    แต่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังลดลงต่อเนื่อง ทำให้สถาบันการเงินต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ผู้คนเริ่มไม่ไว้ใจในสถานการณ์ คนอเมริกันเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า ถ้ามันลามออกไปเรื่อยๆ ธนาคารกลาง (เฟด) จะรับมืออยู่หรือไม่
    ยิ่งเมื่อบริษัท แบร์ สเติร์นส์ โบรคเกอร์อันดับ 5 ของประเทศที่มีอายุกว่า 85 ปีต้องล้มลง ทำให้ผู้คนยิ่งไม่ไว้ใจกันและกัน นับเป็นสิ่งที่เฟดกลัวที่สุด เพราะถ้าเกิดวิกฤตความเชื่อมั่น มันจะเป็นปฎิกิริยาลูกโซ่ ล้มกันเป็นทอดๆ ทั้งจากการลงทุนที่ไขว้กันเป็นใยแมงมุม และการขาดสภาพคล่องจากการแห่ถอนเงินของประชาชน
    ดังนั้น รัฐบาลสหรัฐและเฟดจึงรีบเข้ามาช่วยอย่างเร่งด่วน โดยการลดดอกเบี้ยไปแล้วหลายครั้งติดต่อกัน อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อเพิ่มสภาพคล่องกว่า 500,000 ล้านเหรียญ พร้อมกับให้เงินยืมอีก 30,000 ล้านเหรียญแก่บริษัท เจพี มอร์แกน ในการเข้าไปอุ้มบริษัท แบร์ สเติร์นส์ ที่กำลังจะล้ม อีกทั้งให้คำมั่นว่า เฟดมีเงินทุนไม่อั้นที่สามารถอัดฉีดให้สถาบันการเงินที่มีปัญหาได้ตลอดเวลา
    ภาพที่เกิดขึ้น คล้ายๆกับสมัยที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าไปอุ้มบง.เอกธนกิจ โดยประกาศว่าพร้อมเข้าไปถือหุ้นใหญ่ในเอกธนกิจ สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้ล้มไป เพราะปริมาณเงินที่ต้องใช้ในการอุ้มสถาบันการเงินทั้งหมดที่มีปัญหานั้น มันมากเกินไป
    แต่สำหรับกรณีของสหรัฐอาจจะแตกต่าง ธนาคารกลางสหรัฐสามารถพิมพ์เงินได้ไม่จำกัด ขณะเดียวกันก็สามารถขายพันธบัตรให้ประเทศคู่ค้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมาสามารถขายพันธบัตรสุทธิให้ธนาคารกลางย่านเอเซียและยุโรปได้ถึง 36,000 ล้านเหรียญ แสดงให้เห็นว่าพันธบัตรสหรัฐยังได้รับความเชื่อถือ ถึงแม้เศรษฐกิจและค่าเงินสหรัฐจะเสื่อมถอยไปมาก
    วิกฤตใกล้สิ้นสุดหรือเพิ่งจะเริ่มต้น
    ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ถ้าราคาสินทรัพย์โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐยังไม่นิ่ง ราคาเกิดปรับลดลงไปอีก จะทำให้เกิดปฎิกิริยาลูกโซ่ ธนาคารต้องสำรองหนี้เสียมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องรีบเข้าไปยึดหลักทรัพย์ค้ำประกัน และเร่งขายออก ทำให้ราคาโดยรวมยิ่งลดลงไปอีก ส่งผลให้หลักทรัพย์ที่หนุนโดยสินเชื่อ ราคายิ่งตกต่ำ สถาบันการเงินที่ลงทุนก็ต้องตั้งสำรองขาดทุนเพิ่มขึ้นอีก
    ถ้าส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ แล้วไม่สามารถเพิ่มทุนได้ เนื่องจากภาวะสภาพคล่องเหือดหายโดยฉับพลัน จะเกิดอะไรขึ้น
    (โดยก่อนหน้านี้ ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และโกลด์แมน แซคส์ ได้คาดการณ์ว่า ยอดขาดทุนจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญ เป็นความเสียหายในตลาดวอลล์สตรีทเสีย 460,000 ล้านเหรียญ โดยปัจจุบัน สถาบันเหล่านี้ตัดหนี้สูญไปแล้ว เพียง 150,000 ล้านเหรียญ)
    เมื่อข่าวออกมามากขึ้นๆ ทำให้สถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยกู้ให้กันและกัน เกิดวิกฤตความเชื่อมั่น ธนาคารกลางต่างชาติอาจหยุดซื้อพันธบัตรสหรัฐเพื่อประเมินสถานการณ์ใหม่ เหตุการณ์อาจพลิกผันเหมือนประเทศไทยในปี 2540 เพราะคนอเมริกันทุกคนต่างฝากความหวังไว้ที่เฟด เหมือนที่คนไทยเคยฝากความหวังไว้กับธปท.
    ผมได้แต่หวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะสามารถประคับประคองสถานการณ์ไว้ได้ หาไม่แล้ว ความเลวร้ายที่เกิดขึ้น จะทำให้สถาบันการเงินล้มพังพาบเป็นทอดๆ และจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในปี 2540 ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการเยียวยา ขณะเดียวกันก็นำความทุกข์ยากแสนเข็ญไปให้กับคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่นับล้านๆคน
    เรื่องนี้ต้องจับตา แบบไม่กระพริบครับ
    </TD></TR><TR><TD align=right>โดย บรรยง</TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=248171
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553<!--CURRENT-DATE-->
    เจพีฯซื้อเฮดจ์ฟันด์บราซิล
    [​IMG]
    นิวยอร์ก-เจพีมอร์แกน เชส ธนาคารชั้นนำรายใหญ่ของสหรัฐ ประกาศวานนี้ (28 ต.ค.) ว่า เจพีมอร์แกน ไฮบริดจ์ แคปิตอล แมเนจเมนท์ ซึ่งบริหารสินทรัพย์ทางเลือกมูลค่าประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์ และเป็นกองทุนบริหารความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) ในเครือธนาคาร ได้เทคโอเวอร์ซื้อคู่แข่ง "กาเวีย อินเวสติเมนตอส" ซึ่งเป็นเฮดจ์ฟันด์ของบราซิลแล้ว

    ทั้งนี้การลงทุนของเจพีมอร์แกน ไฮบริดจ์ แคปิตอล แมเนจเมนท์ ด้วยการซื้อเฮดจ์ฟันด์ในบราซิล สะท้อนว่าบริษัทในเครือของธนาคารชั้นนำของสหรัฐ กำลังมองหาฐานที่มั่นเพื่อขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกโดยเริ่มจากตลาดบราซิลเป็นแห่งแรก
    ด้านนางสาวแมรี่ คัลลาแฮน เออร์โดส ประธานบริหารของเจพีมอร์แกน แอสเซต แมเนจเมนท์บริษัทแม่ดูแลเจพีมอร์แกน ไฮบริดจ์ แคปิตอล แมเนจเมนท์ ระบุว่าการซื้อเฮดจ์ฟันด์บราซิลครั้งนี้ ถือเป็นการจับคู่ใช้เวลายาวนาน และเป็นการจับคู่เฮดจ์ฟันด์แบบข้ามทวีปที่เหมาะสมลงตัวที่สุดในโลกคู่หนึ่ง
    "ลูกค้าเราต้องการให้เงินของพวกเขาไปอยู่ในความดูแลของผู้จัดการกองทุนที่ชาญฉลาดฝีมือดีสุด การเป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจร่วมกับกาเวีย ช่วยให้เราผสมผสานความเชี่ยวชาญระดับท้องถิ่นเข้ากับความเชี่ยวชาญระดับโลกของเจพีมอร์แกน แอสเซต แมเนจเมนท์" นางสาวคัลลาแฮนกล่าว ขณะที่สื่อบราซิลรายงานว่า เจพีมอร์แกน แอสเซต แมเนจเมนท์จะใช้เงิน 270 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อหุ้นจากกาเวีย 55% พร้อมกับออปชั่นให้ทยอยซื้อหุ้นของกาเวียในส่วนที่เหลืออยู่ทั้งหมดในช่วงหลายปีข้างหน้า อย่างไรก็ตามดีลครั้งนี้ยังไม่เปิดเผยตัวเลขซื้อขายอย่างเป็นทางการ
    The Krungthep turakij web site
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    2 ปีโอบามา : ศก.อเมริกายังสั่นคลอน
    พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์ Add comments
    ยังไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นหลังเท่าไหร่ครับ สำหรับความเป็นไปของเศรษฐกิจอเมริกาในเวลานี้ ตามแผนฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลบารัก โอบามา ที่ประกาศก่อนหน้าที่ตัวนายโอบามาเองจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาคนที่ 44 เสียด้วยซ้ำ
    ผม ถูกถามจากเพื่อนๆ โดยเฉพาะจากเมืองไทยหลายคนถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโดยทั่วไปของอเมริกา ก็ต้องบอกไปว่า บรรยากาศยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อปีสองปีที่แล้วมากนัก อเมริกันส่วนใหญ่ที่ประสบปัญหาด้านการเงินยังคงสาละวนกับการแก้ปัญหาของตัว เองและครอบครัวไม่ค่อยจะได้
    เช่น ปัญหาการปลดคนงานและการว่างงาน แม้คนงานเหล่านี้จะได้รับการขยายเวลาเพื่อรับเงินช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนจาก 6 เดือน เป็น 8 เดือน หรือกระทั่งถึง 1 ปีก็ตาม แต่การผูกโยงตัวเองและครอบครัวเข้ากับเศรษฐกิจหน่วยอื่นๆ ทำให้การลุกขึ้นเดินอีกครั้งของพวกเขาต้องประสบกับความยากลำบาก
    รวม ทั้งเจ้าของกิจการทุกขนาด หลายประเภท ที่ต้องเผชิญกับการปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบการลงทุน ทำธุรกิจใหม่ ที่เข้มงวดรัดกุมมากขึ้น จากรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น ตามรัฐตามเมืองต่างๆทั่วประเทศ ทำให้การเคลื่อนไหวในเชิงบวก เป็นไปอย่างเชื่องช้า เห็นได้ยาก
    เช่น ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยหรือวิกฤตอสังหาริมทรัพย์(Subprime crisis) ที่ เกิดจากการปั่นราคาเพื่อเก็งกำไรของกลุ่มบริษัทอสังหาฯ ร่วมกับสถาบันการเงินซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว เวลานี้คนอเมริกันจำนวนมากก็ยังมีปัญหาไร้ที่อยู่อาศัย ไม่สามารถมีบ้านหรือคอนโดฯ เป็นของตัวเองได้ แสดงให้เห็นความไม่เวิร์คของนโยบายลดหย่อนผ่อนปรนด้านหนี้สินที่ออกมาก่อน หน้านี้ โดยผ่านการอนุมัติจากฝ่ายรัฐบาลและคองเกรส(ที่เดโมแครตถือครองเสียงข้าง มากอยู่)
    สินทรัพย์ ของแบงก์และสถาบันการเงินที่มาจากการยึด เนื่องจากลูกค้าไม่สามารถผ่อนชำระต่อ แล้วถูกบังคับให้เดินออกจากบ้านไป ที่เรียกกันว่า Foreclosure จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ สินทรัพย์พวกนี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่า รัฐบาลต้องการให้ให้มีคนหรือนักลงทุนมาซื้อ (แม้แต่นักลงทุนจากต่างชาติ) แต่ด้วยเงื่อนไขและกฎระเบียบที่ซับซ้อนและเข้มงวด ทำให้การขายสินทรัพย์ออกและการลงทุนไม่เป็นไปตามคาด
    การเคลื่อนไหวไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นสำหรับเศรษฐกิจของอเมริกา จึงอุ้ยอ้ายเชื่องช้า
    หาก น้อมรับคำทำนายเศรษฐกิจอเมริกาของบรรดานักเศรษฐศาตร์และผู้เชี่ยวชาญหลายคน ก่อนที่โอบามาจะเข้าดำรงตำแหน่งที่ส่วนใหญ่ระบุว่า เศรษฐกิจของอเมริกาอาจใช้เวลานานเกินกว่า 5 ปี ในการฟื้นตัว อาจไม่น่าแปลกใจมากนัก แต่หากเป็นชาวอเมริกันที่ใช้ชีวิตประจำวันประเภทไปเช้าเย็นกลับและเจ้าของ ธุรกิจขนาดย่อมถึงขนาดกลางแล้วคงต้องบอกว่า ค่อนข้างทรมานกับความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เพราะเป็นไปอย่างอืดอาดเสียเหลือเกิน
    จึงไม่แปลกเช่นเดียวกัน ที่จากโพลล์ผลสำรวจทุกครั้ง คะแนนของโอบามาหล่นเอาๆทุกที
    อย่าง ไรก็ตาม หากให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลโอบามาแล้ว คงต้องบอกว่า ผู้นำคนปัจจุบันและพรรคเดโมแครตได้พยายามแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากหลายประเด็นปัญหาเกี่ยวข้องกับกฎหมายและกฎระเบียบ ที่จะต้องผลักดันผ่านสภาคองเกรส ที่มีเสียงแย้งไม่เห็นด้วยอยู่ในนั้น จึงไม่ง่ายในการออกกฎหมายแต่ละฉบับ โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเงินอุดหนุนและงบประมาณ ที่ฝ่ายพรรครีพับลิกันและแม้คนของเดโมแครตเองเห็นไปอีกทาง
    ถึง ตอนนี้ เพื่อนอเมริกันของผมหลายคน ยังไม่สามารถกำหนดทางเดินใหม่ได้ คือ เรื่องบ้านก็ยังค้างคา รอการตอบรับของแบงก์เจ้าหนี้ว่าจะเอาอย่างไร ตกลงรับหรือไม่ตกลงรับ เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการประเมินราคาสินทรัพย์ใหม่ ภายหลังฟองสบู่แตก(ราคาทรัพย์สินในหลายเมืองปรับลดลงอย่างมาก) ขณะที่เงินจำนวนหนึ่งก็ถูกจ่ายไปสำหรับเป็นค่าทนายดำเนินเรื่อง ซึ่งไม่รู้ว่าจะประสบผลสำเร็จหรือไม่
    กรณีการ ซื้อขายสินทรัพย์(เช่น บ้าน คอนโดฯ)ที่กำลังจะถูกทิ้ง หรือลูกค้าทิ้งไปแล้ว มีระเบียบและพิธีการขั้นตอนทางกฎหมายค่อนข้างมาก ทั้งๆที่ลูกค้าจำนวนไม่น้อย เป็นลูกค้าที่มีเครดิตดี (เพราะการยุบลงของราคา หลังจากการปั่นราคาให้สูงเกินจริง เศรษฐกิจรวนทำให้รายได้ลดลง การส่งเงินค่างวดมีปัญหา) แต่ด้วยพิธีการทางกฎหมายทำให้สถาบันการเงินไม่อยากจะคุยกับลูกค้าโดยตรง สินทรัพย์จำนวนมาก ต้องถูกปล่อยให้ไร้ซึ่งประโยชน์ และเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
    ใช่ว่าเรื่อง Foreclosure จะจบครับ ล่าสุดสัปดาห์นี้ ประธานสภาล่าง(House) สส.แนนซี่ เปลอสซี(Nancy Pelosi) และ สส.โซ โลฟเกร็น(Zoe Lofgren) ร่วมกับสส.แคลิฟอร์เนียพรรคเดโมแครตจำนวนหนึ่ง ทำหนังสือถึงประธานธนาคารกลาง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม(อัยการ)และหัวหน้าตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อให้สอบสวน 2 ธนาคารใหญ่ของอเมริกา คือ แบงก์ออฟอเมริกา กับ เจ.พี.มอร์แกนเชส กล่าวหา 2 สถาบัน ว่า มีพฤติกรรมที่เป็นอุปสรรคต่อนโยบายการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาเรื่องที่อยู่ อาศัย ตามที่คองเกรสได้ออกกฎหมายช่วยเหลือไปก่อนหน้านี้
    ประมาณ ว่า สองธนาคารไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย คือ ไม่ผ่อนปรน ไม่เจรจา ไม่อ่านเอกสารของลูกค้าที่ประสบการเงิน ปัญหาผ่อนงวด เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตายึดและขายทรัพย์สินออกอย่างเดียว
    จากการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าเจ้าหน้าที่ของแบงก์ออฟอเมริกา เจ.พี. มอร์แกนเชส และบริษัทในเครือ กระทำผิดกฎหมายใน 23 รัฐ เพราะตามปกติแบงก์จะต้องทำเรื่องยื่นฟ้องศาล เพื่อยึดและขายสินทรัพย์ แต่ขั้นตอนที่ทำกันนั้นถูกมองจากคองเกรสและหน่วยงานด้านกฎหมายของหลายๆรัฐเหล่านี้ว่ารวบรัด ไม่ให้โอกาสลูกค้า
    ประธานสหภาพแรงงานผลิตรถยนต์ บ็อบ คิง ถึงกับออกมาขู่ว่า สหภาพฯจะถอนเงินฝากจากเจ.พี. มอร์แกน เชส หากว่า แบงก์ยังคงเดินทางหน้ายึดและขายสินทรัพย์ โดยไม่ยอมให้สมาชิกของสหภาพฯในรัฐมิชิแกนพักการชำระหนี้ เป็นเวลา 2 ปี
    ขณะ เดียวกัน อีกด้าน เศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น ที่เป็นพื้นฐานให้เศรษฐกิจในระดับประเทศ ก็กลับฟื้นตัวได้ยากยิ่ง เมื่อคนไม่มีรายได้ ภาษีก็เก็บไม่ได้ เมืองในหลายรัฐก็ถึงกาลล้มละลาย เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับหลายเมืองในรัฐแคลิฟอร์เนีย นั่นคือ รายจ่ายมากรายได้ แม้ในตอนนี้ทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นจะได้พยายามสร้างแรงจูงใจในการ ลงทุน โดยหวังดึงนักลงทุนชาติเอเชีย แต่ก็ประสบผลสำเร็จไม่มาก
    ส่วนหนึ่ง เพราะนักลงทุนต่างชาติขาดความเข้าใจในเรื่องกฎ กติกา การลงทุน ทั้งๆที่เวลานี้ อเมริกาต้องการทุนจากต่างประเทศมากที่สุด!
    กอปร ทั้ง มีเงื่อนไขหนึ่งที่กลายเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน คือ ความเข้มงวดเกี่ยวกับความปลอดภัยและความมั่นคง ในฐานะอเมริกาเป็นประเทศเป้าหมายของการก่อการร้าย เรื่องนี้ได้มีการพูดกันในบรรดานักธุรกิจเอเชียน ที่มีแผนจะเข้ามาลงทุนในอเมริกา ดูเหมือนนักลงทุนเหล่านี้จะต้องรายงานหรือแจ้งต่อทางการอเมริกันทั้งเรื่อง กิจการ เช่น ที่มาที่ไปของเงิน และประวัติส่วนตัวของผู้ลงทุนละเอียดยิบ ซึ่งหาใช่วิถีธรรมชาติของนักธุรกิจชาติเอเชียไม่
    จึงไม่ง่ายเลยสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกา จากแต่เดิมประมาณกัน 5 ปี ตอนนี้ขยายเป็น 7 ปี ซึ่งก็ไม่รู้จะเอาอยู่หรือเปล่า
    เพียงอดคิดไม่ได้ว่า อย่างน้อยในประเทศนี้ การเอาเปรียบลูกค้าของแบงก์ในหลายเรื่องก็มีทางแก้ให้เห็นชัดเจนและได้ผล แบงก์จึงต้องปรับตัวอย่างมาก เช่น ในเรื่องค่าธรรมเนียม เป็นต้น
    ไม่เหมือนในบางประเทศที่อ้างว่าปรับเปลี่ยนแล้ว แต่จริงๆแล้ว เป็นการเล่นแร่แปรธาตุค่าธรรมเนียม โดยที่ลูกค้ายังคงรับสภาพ “เบี้ยล่างธุรกรรม” เหมือนเดิม
    ตุลาคม 7th, 2010 <!-- by bunchu -->| PADUSA
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คนไม่สำคัญ แอนดรูว์ คาร์เนกี ต้นแบบ "นายทุนใจบุญ "ผู้เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง

    [​IMG]
    เรื่อง : สฤณี อาชวานันทกุล
    Fringer | คนชายขอบ

    "ใครก็ตามที่ตายอย่างมั่งคั่ง ตายอย่างน่าอัปยศอดสู" - แอนดรูว์ คาร์เนกี
    ในบรรดาตำนานการสร้างตัวที่เหลือเชื่อระดับ "จากดินสู่ดาว" หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "from rags to riches" ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมจวบจนปัจจุบัน มีน้อยคนที่จะยิ่งใหญ่เท่า แอนดรูว์ คาร์เนกี (Andrew Carnegie, ค.ศ. ๑๘๓๕-๑๙๑๙) อภิมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ชาวสกอตอพยพผู้สร้างธุรกิจเหล็กกล้าจากศูนย์จนเป็นผู้ครองตลาดอันดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะล่วงลับไปกว่าค่อนศตวรรษแล้ว เรื่องราวของคาร์เนกียังเป็นแรงบันดาลใจของสามัญชนจำนวนนับไม่ถ้วน และคงจะเป็นเช่นนั้นไปตราบนานเท่านาน ตราบใดที่คนเรายังฝันอยากจะเป็นเศรษฐีกันอยู่ หรืออย่างน้อยก็อยากใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสุขสบายไร้กังวล
    [​IMG]
    Braddock Carnegie Library ห้องสมุดคาร์เนกีที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1889 ตั้งอยู่ที่เมือง Braddock รัฐเพนซิลวาเนีย
    สามัญชนนอกประเทศสหรัฐอเมริกาอาจคิดถึงคาร์เนกีแต่ในฐานะนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับชาวอเมริกันหลายล้านคน เขาคือ "บิดาแห่งการกุศล" ผู้มอบมรดกมหาศาลให้แก่สังคม จนไม่อาจลืมเลือน ลำพังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐอเมริกาเพียงเมืองเดียว ก็มีตำนานที่เป็นรูปธรรมของ คาร์เนกีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุดคาร์เนกี (Carnegie Library) และสาขา ๓ แห่ง, สถาบันคาร์เนกี (Carnegie Institution) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์อิสระชั้นนำของโลก, มูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ (Carnegie Endowment for International Peace) องค์กรไม่แสวงหากำไรที่อาจเป็น "think tank" แห่งแรกที่มีเครือข่ายและอิทธิพลระดับโลก และสำนักงานของมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน (Carnegie Mellon University) มหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงพิตส์เบิร์ก มลรัฐเพนซิลเวเนีย เมืองที่คาร์เนกีก่อร่างสร้างตัวจนเป็นหนึ่งในอภิมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก
    ตลอดอายุขัยของเขา คาร์เนกีบริจาคเงินกว่า ๓๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เท่ากับประมาณ ๑๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ในมูลค่าปัจจุบัน) ให้แก่มูลนิธิ (ส่วนใหญ่ที่เขาก่อตั้งเอง) มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยอิสระ และองค์กรอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน ความที่คาร์เนกีเป็นนักอ่านตัวยง ทำให้เขาชอบสร้างห้องสมุดและบริจาคหนังสือให้ห้องสมุด ในระหว่างที่คาร์เนกียังมีชีวิตอยู่ เขาสร้างห้องสมุด ๒,๕๐๙ แห่งทั่วโลก ในจำนวนนี้ ๑,๖๘๙ แห่งอยู่ในสหรัฐอเมริกา (คิดเป็นกว่าร้อยละ ๕๐ ของห้องสมุดทั้งหมดในประเทศในสมัยนั้น) ๖๖๐ แห่งในอังกฤษและไอร์แลนด์ ๑๕๖ แห่งในแคนาดา และที่เหลือในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เซอร์เบีย ประเทศหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน และฟิจิ การสร้างห้องสมุดจำนวนมหาศาลทำให้เขามีสมญานามว่า "นักบุญแห่งห้องสมุด" (patron saint of libraries) ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่


    พ่อแม่ของคาร์เนกีเป็นชาวสกอตอพยพผู้ยากไร้ ตั้งรกรากในเมืองพิตส์เบิร์กเมื่อปี ค.ศ. ๑๘๔๘ คาร์เนกีเริ่มทำงานตั้งแต่อายุเพียง ๑๓ ปี ในตำแหน่งเด็กเปลี่ยนกระสวยในโรงงานทอฝ้าย รับเงินค่าจ้าง ๑.๒๐ ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ต่อมาในปี ๑๘๕๑ คาร์เนกีได้งานเป็นเด็กวิ่งส่งข้อความในสำนักงานโทรเลข ความขยันขันแข็ง เฉลียวฉลาด แคล่วคล่องว่องไว และอุปนิสัยร่าเริง เข้ากับคนง่าย ทำให้เขากลายเป็นพนักงานดาวเด่นในบริษัทอย่างรวดเร็ว ต่อมาคาร์เนกีย้ายไปเป็นพนักงานส่งโทรเลขของบริษัทรถไฟเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania Railroad) บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น ชีวิตการงานของเขารุดหน้าอย่างรวดเร็วจนได้รับความไว้วางใจจาก โทมัส สกอตต์ (Thomas Scott) นายของเขา ผู้กลายเป็นเพื่อนและพันธมิตรทางธุรกิจในเวลาต่อมา
    สกอตต์เป็นคนแรกที่ชี้ให้คาร์เนกีเห็นความมหัศจรรย์ของ "ดอกเบี้ยทบต้น" (compound interest) จากการลงทุน เขาให้คาร์เนกีกู้เงิน ๖๐๐ ดอลลาร์ไปลงทุนในหุ้นของบริษัท Adams Express ซึ่งเป็นบริษัทรับส่งของที่ประสบความสำเร็จสูงมาก ในอีกหลายปีต่อมาคาร์เนกีเขียนบรรยายความตื่นเต้นตอนที่เขาได้รับเช็คเงินปันผลใบแรกจากบริษัทนี้ไว้ว่า "ผมจะจดจำเช็คใบนี้ไปจนวันตายเพราะมันทำให้ผมมีรายได้สตางค์แรกจากการลงทุน เงินก้อนแรกที่ผมได้รับโดยไม่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของตัวเอง ...นี่เอง ห่านที่ไข่ออกมาเป็นทองคำ !"
    หลังจากที่คาร์เนกีค้นพบว่าเขามีพรสวรรค์และความสามารถเพียงใดในการเป็น "นายทุน"(capitalist) เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้หยาดเหงื่อแรงงานในการหาเลี้ยงชีพอีกต่อไป เมื่อสงครามกลางเมืองอเมริกาปะทุขึ้น คาร์เนกีจ้างชายชาวไอริชผู้หนึ่งด้วยเงิน ๘๕๐ เหรียญ ให้ไปเกณฑ์ทหารแทนเขา งานส่งโทรเลขและประสบการณ์ในบริษัทรถไฟของคาร์เนกี สองช่องทางหลักในการสื่อสารและติดต่อค้าขายในสมัยนั้น ช่วยให้เขามองเห็น "ช่องทางรวย" ในธุรกิจใหม่ๆ ก่อนคนอื่น เขาริเริ่มกิจการผลิตเหล็กกล้าเป็นคนแรกๆ ในอเมริกา คิดค้นกระบวนการผลิตที่ผลิตเหล็กได้ทีละมากๆ (mass production) ด้วยต้นทุนต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง ระหว่างนั้นก็ลงทุนอย่างชาญฉลาดในธุรกิจอื่นๆ เช่นบ่อน้ำมัน ในปี ๑๘๖๕ เมื่อคาร์เนกีมีอายุเพียง ๓๐ ปี เขาก็มีรายได้ถึง ๓๘,๗๓๕ ดอลลาร์ (เท่ากับประมาณ ๕.๖ ล้านดอลลาร์ในมูลค่าปัจจุบัน)
    ถึงแม้ว่าจะได้เป็นเศรษฐีเงินล้านตั้งแต่อายุยังน้อย คาร์เนกีก็ไม่เคยรู้สึกสบายใจกับความมั่งคั่งของเขา เมื่ออายุ ๓๓ ปี ในปี ๑๘๖๘ คาร์เนกีก็เขียนข้อความต่อไปนี้ในจดหมายถึงตัวเอง
    "ผมปวารณาว่าจะไม่รับรายได้เกิน ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์ต่อปี ! (เท่ากับประมาณ ๓ ล้านดอลลาร์ในมูลค่าปัจจุบัน) ผมจะนำส่วนเกินจากเงินจำนวนนี้ที่ผมจำเป็นต้องใช้จริงๆ ไปเพื่อเป้าหมายทางสังคม ! ผมจะเลิกทำธุรกิจตลอดกาล เว้นแต่จะทำเพื่อผู้อื่นเท่านั้น เราจะตั้งรกรากในออกซฟอร์ด ผมจะเรียนจนจบสูงๆ และทำความรู้จักกับปัญญาชนทั้งหลาย ผมคิดว่าเรื่องนี้จะต้องใช้เวลา ๓ ปี ผมจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการพูดในที่สาธารณะ เราจะตั้งรกรากในลอนดอน ผมจะซื้อหุ้นใหญ่ในหนังสือพิมพ์หรือวารสารวิจารณ์งานศิลปะอะไรสักอย่าง แล้วก็จะให้เวลากับการบริหารจัดการกิจการนั้นๆ ผมจะมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะทั้งหลาย โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาและการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นรายได้น้อย มนุษย์ทุกคนล้วนมีวัตถุบูชา และการสะสมความมั่งคั่งก็เป็นหนึ่งในลัทธิบูชาวัตถุที่เลวร้ายที่สุด ! ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้คุณค่ามนุษย์เสื่อมถอยเท่ากับการบูชาเงินเป็นพระเจ้าอีกแล้ว ! อะไรก็ตามที่ผมเข้าไปมีส่วนร่วม ผมจะต้องทำอย่างดีที่สุด และดังนั้นผมจึงต้องเลือกวิถีชีวิตที่สูงส่งที่สุด ถ้าผมทำธุรกิจไปนานกว่านี้ หมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าจะหาเงินอย่างไรให้ได้เร็วที่สุด วิญญาณของผมคงจะเสื่อมจนถึงจุดที่ไม่สามารถกอบกู้มันคืนมาได้อีก ผมจะวางมือจากธุรกิจตอนอายุ ๓๕ ปี แต่ในระยะเวลาที่เหลืออีก ๒ ปีนับจากนี้ ผมอยากใช้เวลาทุกบ่ายเรียนหนังสือและอ่านหนังสืออย่างเป็นระบบ !"
    คาร์เนกีไม่เคย "วางมือ" จากธุรกิจตอนอายุ ๓๕ ตามที่เขาตั้งใจไว้ แต่มุ่งมั่นทำธุรกิจเหล็กกล้าและลงทุนอย่างชาญฉลาดต่อไปอีกกว่า ๓ ทศวรรษ ในปี ๑๙๐๑ เมื่อเขาขายธุรกิจเหล็กกล้าให้แก่บริษัท เจ.พี. มอร์แกน (J.P. Morgan)ด้วยราคาสูงถึง ๔๐๐ ล้านดอลลาร์ (ต่อมาบริษัทนี้กลายเป็น U.S. Steel ผู้ผลิตเหล็กกล้ารายสำคัญของโลก) คาร์เนกีก็กลายเป็นชายผู้ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา
    คาร์เนกีเป็น "นายทุนใจบุญ" คนแรกๆ ของโลก ผู้มีความเชื่อว่า คนรวยทุกคนมี "หน้าที่ทางศีลธรรม" ที่จะมอบความมั่งคั่งกลับคืนสู่สังคม อุดมการณ์ของคาร์เนกีได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแนวคิดและข้อเขียนของ เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ (Herbert Spencer, ๑๘๒๐-๑๙๐๓) นักปรัชญาชาวอังกฤษ ผู้สอนคาร์เนกีว่า ความสำเร็จของเขาในฐานะนักธุรกิจนั้นตั้งอยู่บนความยึดมั่นในกฎเกณฑ์ของตลาดการแข่งขัน ซึ่งมีมิติของศีลธรรมพอๆ กับที่มันมีเหตุมีผล ถึงแม้ว่าคาร์เนกีจะไม่เคร่งศาสนาใดๆ เขาก็เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า เขาเป็นหนึ่งใน "ผู้ที่ถูกเลือก" (โดยโชคชะตา พระเจ้า หรืออะไรก็แล้วแต่) ให้ทำหน้าที่จัดสรรความมั่งคั่งในทางที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม เพราะนายทุนมีความสามารถในการทำให้เงินงอกเงยสูงกว่าคนทั่วไป คาร์เนกีเชื่อว่า ยิ่งความมั่งคั่งกระจุกตัวในมือ "นายทุนผู้มีจิตสาธารณะ" อย่างเขาเท่าไร สังคมก็จะยิ่งได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่อนายทุนเหล่านี้วางมือจากธุรกิจแล้ว ก็จะสามารถจัดสรรความมั่งคั่งนั้นให้แก่กลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคม ในฐานะตัวแทนและผู้ดูแลผลประโยชน์(trustee) ของพวกเขา ประสบการณ์และความสามารถในการบริหารจัดการของนายทุนจะทำให้นายทุนสามารถทำประโยชน์ให้แก่ผู้ด้อยโอกาสได้ดีกว่าที่พวกเขาจะทำด้วยตัวเองได้
    คาร์เนกีไม่เพียงแต่ทำตามสิ่งที่เขาเชื่อเท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดความคิดของเขาไว้ในบทความและหนังสืออย่างสม่ำเสมอ ในบทความชิ้นสำคัญเรื่อง "Wealth" หรือที่ชาวอเมริกันรู้จักในชื่อ "The Gospel of Wealth" (ตำราแห่งความมั่งคั่ง) ตีพิมพ์ในวารสาร North American Review ในปี ๑๘๘๙ คาร์เนกีสรุปความคิดของเขาในประเด็นสำคัญๆ ที่เริ่มเลือนหายไปจากความทรงจำของสังคมแม้แต่ในอเมริกาเอง ไว้ดังต่อไปนี้
    ว่าด้วย "หน้าที่ของคนรวย"
    "(คนรวย) ควรใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่โอ้อวดให้เป็นเยี่ยงอย่าง หลีกเลี่ยงการแสดงออกที่ฟุ่มเฟือยและวิถีชีวิตแบบหรูหรา กันเงินจำนวนหนึ่งให้พอเพียงสำหรับความต้องการที่มีเหตุมีผลของคนที่พึ่งพาเขา (เช่นลูกหลาน) หลังจากนั้นก็ควรเอารายได้ส่วนเกินทั้งหมดที่ได้รับไปไว้ในกองทุน (trust fund) ที่เขาปวารณาตัวว่ามีหน้าที่บริหารจัดการในทางที่เชื่อว่าก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน ในแง่นี้คนรวยจะเป็นเพียงตัวแทนและผู้ดูแลผลประโยชน์ให้แก่พี่น้องในสังคมที่จนกว่าเขาเท่านั้น"
    ว่าด้วย "การกุศลตามอำเภอใจ" (indiscriminate charity)
    "เป็นเรื่องดีกว่าสำหรับมนุษยชาติ ถ้าจะโยนเงินล้านของเศรษฐีลงทะเล แทนที่จะใช้เงินนั้นในทางที่ส่งเสริมคนเกียจคร้าน คนมัวเมา และคนที่ไม่สมควรได้รับเงินนั้น ในทุกๆ ๑,๐๐๐ เหรียญที่อ้างว่าทำไปเพื่อการกุศลในปัจจุบัน ผมคิดว่ากว่า ๙๕๐ เหรียญถูกใช้ไปในทางที่ไม่เหมาะไม่ควร ในทางที่เอื้ออำนวยให้เกิดเรื่องเลวร้ายทั้งหลายที่การกุศลเหล่านั้นอ้างว่าจะช่วยบรรเทา"
    ว่าด้วยภาษีมรดก
    "ในบรรดาภาษีทุกรูปแบบ ผมคิดว่าภาษีมรดกเป็นภาษีที่ดีที่สุด คนที่สะสมความมั่งคั่งไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิตของพวกเขา ความมั่งคั่งที่ควรจะทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคม ควรจะถูกบังคับให้รู้สึกว่าสังคมซึ่งมีรัฐเป็นตัวแทน ไม่ควรจะถูกกีดกันจากสัดส่วนของความมั่งคั่งที่ควรจะได้รับ รัฐควรจะเก็บภาษีมรดกสูงๆ ตอนคนรวยตาย เพื่อลงโทษเศรษฐีผู้เห็นแก่ตัวที่ใช้ชีวิตอย่างไร้คุณค่า ผมคิดว่าทุกประเทศควรจะทำเช่นนี้ ว่ากันตามจริง เป็นเรื่องยากที่จะกำหนดสัดส่วนของมรดกคนรวยที่ควรจะตกเป็นของรัฐเมื่อเขาตายลงอัตราภาษีทำนองนี้ควรเป็นขั้นบันได เริ่มจากศูนย์บนมรดกจำนวนพอประมาณที่เหลือไว้ให้ลูกหลาน และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเม็ดเงินเพิ่มขึ้น"
    [​IMG]
    ภาพวาดเหตุการณ์ Homestead Strike บนหน้าปกวารสาร Harper's Weekly ฉบับวันที่ 16 กรกฎาคม 1892
    ถึงแม้ว่าคาร์เนกีจะเป็น "นายทุนใจบุญ" อย่างมั่นคงไม่เสื่อมคลาย ก็ใช่ว่าเขาจะทำธุรกิจอย่างเปี่ยมสำนึกตามไปด้วย ตรงกันข้าม ประวัติของคาร์เนกีในฐานะนักธุรกิจเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ที่แม้หลายกรณีอาจไม่ถึงกับผิดกฎหมายเต็มๆ แต่ก็เป็นเรื่องผิดจรรยาบรรณหรือศีลธรรม กรณีที่สร้างความด่างพร้อยให้ประวัติของเขาที่สุดคือเหตุการณ์ปี ๑๘๙๒ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักในชื่อ "Homestead Strike" เมื่อคนงานที่โรงงานเหล็กของคาร์เนกีนัดหยุดงานประท้วงเพื่อพยายามกีดกันไม่ให้บริษัทระบุในสัญญาจ้างงานว่า ลูกจ้างยินยอมจะไม่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานใดๆ (สัญญาจ้างงานแบบนี้เรียกว่า "yellow-dog contract" และเป็นเรื่องผิดกฎหมายแล้วในอเมริกาตั้งแต่ปี ๑๙๓๒) แล้วเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างคนงานกับนักสืบเอกชนติดอาวุธจากบริษัท Pinkerton National Detective Agency ที่โรงงานเหล็กจ้างให้มารับมือกับคนงานทั้งสองฝ่ายยิงต่อสู้กันจนทำให้คนงาน ๗ คนถึงแก่ชีวิต
    [​IMG]
    หลุมฝังศพของคาร์เนกีที่สุสาน Sleepy Hollow ในเมือง Sleepy Hollow รัฐนิิวยอร์ก
    ถึงแม้ว่าตอนที่เกิดเหตุ Homestead Strike คาร์เนกีจะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ไม่ได้เป็นผู้บริหารบริษัทโดยตรงแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยปริปากพูดถึงเหตุการณ์รุนแรงระหว่างบริษัทกับพนักงานของตัวเองซึ่งยังเป็นที่โจษขานในแง่ลบจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้คาร์เนกีเองก็ไม่เคยใช้ชีวิตอย่าง "สมถะ" เท่ากับที่เขาชอบเรียกร้องให้เศรษฐีคนอื่นๆ ทำ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าคาร์เนกีจะเป็น "นักธุรกิจสำคัญ" ผู้มีข้อบกพร่องและรอยด่างในชีวิตมากมายเกินกว่าที่ใครจะยกย่องให้เป็น "นักบุญ" ได้อย่างสนิทใจ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็น "นักการกุศล (ไม่) สำคัญ" ผู้มอบมรดกอันมีค่ามหาศาลและยั่งยืนให้แก่สังคม โดยเฉพาะด้านการศึกษาและวัฒนธรรม และความเชื่อของเขาที่ว่า นายทุนทุกคนมี "หน้าที่" ที่จะต้องตอบแทนสังคมด้วยการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ก็เป็นแนวคิด (ไม่) สำคัญที่ควรได้รับการกล่าวขานและศึกษาวิเคราะห์มากกว่าประวัติการสร้างฐานะของตัวเขาเอง
    Sarakadee
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    ทำไมต้อง Phase II ???


    ถึงเพื่อนๆ ผู้อ่านทุกท่านครับ นับจนถึงวันนี้ บล๊อกข้อมูลข่าวสารเล็กๆ ประหลาดๆ แห่งนี้ของเราก็ " Go Inter " ไปไกลถึงต่างแดนพอสมควรครับ จากการเก็บข้อมูลทางสถิติของ Google ตั้งแต่เราย้ายบ้านมาที่บล๊อกนี้ หรือก็ประมาณไม่ถึงหนึ่งปี ก็มีเพื่อนๆให้เกียรติแวะเวียนเข้ามาอ่านบทความ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข่าวสารกันเป็นจำนวนมากมายอย่างที่เป็นอยู่ครับ

    โดยในช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้อ่านคลิกเข้ามาถึง 213,136 ท่าน จาก 41 ประเทศ ( ที่มีการคลิกเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ) โดยมี 10 อันดับแรกคือ



    Thailand
    United States
    Sweden
    Canada
    Russia
    Netherlands
    Germany
    Australia
    Ukraine
    India


    และจากการจัดอันดับเวบไซท์ที่น่าสนใจในระดับโลกและระดับประเทศ โดย เวบจัดอันดับ Alexa ให้บล๊อกนี้อยู่ในอันดับที่ 412,590 ในระดับโลก และ ในอันดับที่ 2,369 ของประเทศไทย Link โดยทั้งหมดเป็นการเก็บสถิติในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา


    ซึ่งผมถือว่า "เป็นเกียรติ" อย่างมากครับ ซึ่งบทความทั้งหมด ผมจะเขียนในลักษณะตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ตรงประเด็น ผมจะไม่ใช้ศัพท์หรือถ้อยคำที่สวยหรูเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ โดยเฉพาะประเด็นสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตของคนส่วนใหญ่


    ผมตัด Banner โฆษณาของกูเกิ้ลออกครับ เพราะ


    1.เกะกะ
    2.โฆษณาหลายตัวที่ไม่สร้างสรรค์ และหมิ่นเหม่ในหลายๆ ด้าน

    3.มีเวลาไม่มากแล้ว


    คำว่า Phase II ที่ต่อท้ายชื่อบล๊อกนั่นก็เพราะว่า ในช่วงแรกของการเขียนผมมองว่า ถึงแม้ว่าวิกฤติการณ์โดยภาพรวมของโลกกำลังก่อตัวขึ้น ซึ่งเราจะยังพอมีเวลาที่จะลงทุนและทำกำไรในทองคำไปเรื่อยๆ แต่พอเริ่มต้นไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ดูเหมือนปัจจัยปัญหาทุกอย่างเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในนั้นก็คือการประกาศ QE II ของ FED และยังมีอีกหลายๆประเด็นที่สำคัญคือ ปัญหาของกลุ่มอียูหรือกลุ่มสหภาพยุโรปที่รุกรามไปเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ "ความเป็นไปได้" ของสงครามเกาหลีในรอบใหม่ ที่อาจจะขยายผลไปสู่สงครามใหญ่ได้ทันที ( ที่พวกเค้าต้องการ )


    เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็น Phase II ครับ เพื่อเปลี่ยนแปลงทิศทางการเขียนไปในทิศทาง "การเตรียมพร้อมและป้องกันความเสี่ยง" จากทุกๆประเด็นครับ ไม่ว่าการลงทุน เศรษฐกิจโลก ภัยพิบัติ หรือสงคราม เพราะฉะนั้นตั้งแต่ก่อนลงมือเขียนบทความแรก ผมระลึกเสมอครับว่าสิ่งที่ผมต้องการสื่อคือ "บางสิ่งบางอย่าง" ที่มากกว่าการทำกำไรจากทองคำ ซึ่ง ณ สถานการณ์ปัจจุบัน การทำกำไรจากการเทรดทองคำหรือโลหะต่างๆ ไม่ใช่เรื่องยาก และในช่วงเวลาที่ผ่านมาเราก็พิสูจน์กันไปพอสมควรแล้วครับ

    ก็เลยทำให้หลายๆท่านสงสัยครับว่าผมหมายถึงอะไรกันแน่ ก็คงได้คำตอบแล้วนะครับ และต้องขออภัยที่ทำให้สงสัยอยู่นาน


    ณ สถานการณ์ปัจจุบัน ผมยังคงยืนยันนะครับว่า.......



    1.ประเทศสหรัฐอเมริกาจะ "ล้ม"
    2.เงินดอลล่าจะล่มสลาย และจะดึงเงินกระดาษ "ทุกสกุล" ตามลงหลุมไปด้วย
    3.ระบบการเงิน การธนาคาร ตลาดตราสารต่างๆ โดยรวมจะเข้าสู่ทางตันและถูกจับเป็นตัวประกัน
    4.ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นทุกภูมิภาคทั่วโลก ในลักษณะ " ถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ "
    5.การก่อการร้ายครั้งร้ายแรงครั้งใหม่จะเกิดขึ้น
    6.ภัยทางด้านอื่นๆ เช่น โรคระบาดร้ายแรงต่างๆที่เราคิดว่าจบไปแล้วจะกลับมา เพราะมันเป็น Man made disease การขาดแคลนอาหารและความอดอยากในหลายๆประเทศหรือแม้แต่ประเทศที่เราคิดไม่ถึง
    7.สงคราม(ซึ่งกำลังก่อตัว)


    ซึ่งทั้งหมดคงดู "เลวร้าย" ครับ และจะยิ่งเลวร้าย "มากกว่า" สำหรับใครที่ยัง "ไม่ตื่น" ขึ้นมาเห็นความเป็นจริง และเริ่มมีการเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ซึ่งถ้าคุณนำสิ่งที่ผมเขียนมาเรียงต่อกันทั้งหมด คุณจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ และถ้าถามว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ คำตอบคือ มันเกิดขึ้นแล้วครับ ทุกวัน ทั่วทุกมุมโลก เพียงแต่น้อยคนที่จะนำสิ่งเหล่านี้มาเรียงต่อกันให้เห็นเป็น "ภาพใหญ่" และหาสาเหตุว่ามันคืออะไร แล้วจะไปในทิศทางไหน ทุกเรื่องที่ผมกล่าวมาข้างต้นกำลังก่อตัวและดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าคุณจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม


    โดยส่วนตัวผม "หวัง" ครับว่าเราจะยังมีเวลา 3 ปี 5 ปี 7 ปีหรือ 10 ปี แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นครับถ้าประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน .......ยังไม่ต้องเชื่อผมทั้งหมดในตอนนี้ครับ เรามาเฝ้าดูปรากฏการณ์และสถานการณ์กันไปเรื่อยๆ อย่างที่ผ่านๆ มา ผมเชื่อว่าคุณจะมองเห็นมันได้ด้วยตาคุณเองในที่สุด แต่การเฝ้าดูเฉยๆ มันเป็น "ความเสี่ยง" ครับ เพราะฉะนั้นคงต้องมีการค้นคว้าหาข้อมูลประกอบไปด้วย น่าจะดีกว่า "การรอเวลา" ครับ

    และเมื่อไหร่ที่คุณ "ตื่นขึ้น" และมองเห็นในสิ่งที่ผมและเพื่อนเราอีกหลายๆคนก็มองเห็นแล้ว ก็ถึงเวลาของการเตรียมพร้อมครับ ทั้งทางด้านร่างกายและจิตวิญญาน รายละเอียดเป็นอย่างไร ซึ่งผมก็ได้เขียนไปบ้างแล้วในโพสต์ที่ผ่านๆ มา และคงจะเขียนเกี่ยวกับประเด็นนี้มากขึ้นในอนาคต

    ในทุกๆวันจะมีข้อมูลข่าวสารทุกๆด้านอีกมากพอสมควรที่ผมไม่ได้นำมาลงไว้ในบล๊อกครับ แต่ผมจะนำไปใส่ไว้ในกลุ่มของ Facebook โดยใช้ชื่อว่า

    "The Gold War Phase II by Jimmy Siri"

    หรือเซิร์ชหาในเฟซบุ๊คก็จะเจอครับ

    Note : ในเดือนนี้มีการจัดสัมนาหนึ่งที่น่าสนใจ ลงทะเบียนเข้าร่วมฟรีครับ ทั้งอาหารเครื่องดื่ม ผมคิดว่าถ้ามีโอกาสก็น่าไปครับ รู้ไว้ก็ไม่เสียหาย อาจจะมีข้อมูลใหม่ๆดีๆ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และวิทยากรก็เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ฝากไว้พิจารณาครับ

    [​IMG]
    คลิกเพื่อดูภาพขยาย



    โพสต์โดย What's going on in America

    [​IMG]
    Dec 7 2010, 5:17 AM
    yim (guest): ท่านแม่ทัพเคยแนะนำบล๊อกนี<WBR>้แล้ว ผมเห็นว่าข้อมูลดีทีเดียวเ<WBR>ลยบอกกันอีก
    ครั้งกันลืมครั<WBR>บ http://harveyorgan.blogspo<WBR>t.com/<WBR>
    [​IMG]
    Harvey Organ's - The Daily Gold & Silver Report


    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 7 2010, 5:22 AM
    JimmySiri: ตามติดไว้เลยครับ โอกาสที่ขาใหญ่จะเดี้ยงโดย<WBR>การผิดสัญญา Comex
    ใกล้ความจริงขึ้นมาทุกที แต่ยังต้องสู้กันอีกหลายยก<WBR>ครับ อย่าลุ้นว่าเป็นขาขึ้นกันเ<WBR>พลินนะ
    ครับ ปัจจัยพื้นฐานดีมากแต่เทคน<WBR>ิคเริ่มตึงตัว เลยแนวรับมากพอสมควรแล้ววว<WBR>ว ชักเสียวครับ

    [​IMG]
    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
    [​IMG]

    Welcome!!
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ความลับไม่มีในโลก!

    “คน 3 คนอาจรักษาความลับได้ ถ้า 2 คนตายไปแล้ว!”
    (Three may keep secrets, it two of them are dead.)

    ในช่วงเวลานี้มีข่าวฮือฮาโด่งดังไปทั่วโลกอยู่ไม่ขาดระยะ และหนึ่งในนั้นคือ การที่มีคนนำเอาความลับทางราชการของสหรัฐอเมริกามาเปิดเผยผ่านสื่อต่างๆ โดย “วิกิลีกส์”
    วิกิลีกส์ เป็นองค์กรสื่อที่ไม่แสวงหาผลกำไรระหว่างประเทศ มีเว็บไซต์ เผยแพร่เอกสารข้อมูลที่ถูกปกปิดต่าง ๆที่เปิดเผยออกมาทีไรสร้างความฮือฮาได้ทุกที
    วิกิลีกส์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2549 (2006) โดยนาย จูเลียน แอสเซนจ์ ผู้สื่อข่าวและนักเคลื่อนไหวทางอินเตอร์เน็ต ชาวออสเตรเลีย ที่มีจุดมุ่งหมายในการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อต่อสู้กับการทุจริตในวงราชการและเอกชน
    แต่เร็ว ๆ นี้ วิกิลีกส์ ได้เปิดเผยเอกสารข้อมูลของกองทัพสหรัฐฯ เกี่ยวกับการทำสงครามอัฟกานิสถาน ไปหลายหมื่นชิ้น (ก.ค.2010) และเกี่ยวกับการทำสงครามอิรักของรัฐบาลสหรัฐฯ อีกราว 400,000 ชิ้น (ต.ค.2010)
    ปรากฎว่า ข้อมูลลับเหล่านั้นรั่วไหลออกมา โดย “เกลือเป็นหนอน” โดยผู้ที่ต้องสงสัยคือ สิบตรี แบรดลี แมนนิง ทหารหนุ่มชาวโอกลาโฮมา วัย 23 ปี ที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศ และต้องการแสวงหา “การยอมรับ” ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนชนกลุ่มน้อยในกองทัพที่ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม
    เขาถูกฝึกให้เป็นนักวิเคราะห์ข่าวกรองของกองทัพ ก่อนถูกส่งไประจำการในสังกัด กองพลเมาน์เทนที่ 10 ในอิรัก เขาจึงเข้าถึงคลังข้อมูลลับได้ไม่ยาก!
    เขาจึงเป็นทั้ง “ฮีโร่” ของนักเคลื่อนไหวต่อต้านสังคม และกลายเป็น “วายร้าย” ในสายตาของเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกเปิดโปงความลับ!
    สมัยก่อนจะสืบเสาะหาความลับเพียงเล็กน้อยก็ต้องใช้วิธีจารกรรมแบบหนังเจมส์บอนด์ คือหาทางแอบแทรกซึมเข้าไป แล้วใช้กล้องถ่ายลอกมาได้นิดหน่อยก็เก่งแล้ว แต่สมัยนี้เป็นยุคดิจิตอล สามารถส่งผ่านไฟล์ข้อมูลดิจิตอลได้ครั้งละจำนวนมหาศาล!
    ขนาดว่า สหรัฐฯ มีระบบเครือข่ายข้อมูลที่ทั้งลับและมั่นคงปลอดภัยแล้วก็ตาม
    ข้อมูลลับที่วิกิลีกส์นำมาเผยแพร่นั้น เจ้าของข้อมูลยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกเจาะและขโมยไปแล้ว เพราะว่าต้นฉบับยังอยู่คงเดิมทุกประการ และด้วยความเป็น “ดิจิตอล” ทำให้ข้อมูลที่ “วิกิลีกส์” นำมาเผยแพร่นั้นมีความยาวเป็นหน้ากระดาษ หมายถึง 13,969 หน้า หรือ กองซ้อนกันสูงถึง 25 เมตร!
    สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ สอดคล้องกับคำตรัสของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “ความลับไม่มีในโลก!”
    และวันหนึ่ง “ความลับ” ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวของเรา ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ที่เราพูดและกระทำมาตลอดชีวิตจะถูกนำมาเปิดเผยต่อพระพักตร์ของพระเจ้า และต่อหน้าคนอื่น ๆ

    “…ไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ที่จะไม่ต้องเปิดเผยหรือการลับที่จะไม่เผยให้ประจักษ์ เหตุฉะนั้น สิ่งสารพัดซึ่งพวกท่านได้กล่าวในที่มืดจะได้ยินในที่แจ้ง และซึ่งกระซิบในหูที่ห้องส่วนตัวจะต้องประกาศบนดาดฟ้าหลังคาบ้าน” (ลก.12:2-3)
    แต่ที่น่ากลัวสุด ๆ ก็คือ พระเจ้าจะนำเอาความลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเรามาฉายให้ดูอย่างเปิดเผยแบบจะจะตรงหน้าของเราเลยทีเดียว!
    “พระองค์ทรงตั้งความผิดบาปของ ข้าพระองค์ไว้ต่อพระพักตร์พระองค์ ทรงตั้งบาปลับๆของข้าพระองค์ไว้ในสว่างแห่งพระพักตร์ของพระองค์” (สดุดี 90:8)

    ผมไม่รู้ว่าคุณกลัวหรือไม่ แต่ผมกลัวครับ!
    -ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์จี้โอบามาลาออกหากอนุมัติสอดแนม
    วันอังคาร 7 ธันวาคม 2010
    ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ พิมพ์ข้อความให้สัมภาษณ์สื่อสเปน เรียกร้องให้ โอบามา ลาออกหากอนุมัติสอดแนม ชี้ เป็นความพยายามจารกรรมข้อมูล ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ…
    เว็บไซต์วิเคราะห์ข่าวการเมืองของสหรัฐฯ “เดอะ เดลี่ บีสต์” รายงานความคืบหน้ากรณีที่เว็บไซต์ “วิกิลีกส์” เปิดเผยข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯกว่า 250,000 ชุด เมื่อ 6 ธ.ค. โดยระบุว่ารัฐบาลกลาง รวมถึงกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ อาจสั่งปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประจำกองทัพและสถานทูตสหรัฐฯทุกระดับทั่วโลกที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการบันทึกรายงานเพื่อส่งข้อมูลกลับมา ยังรัฐบาลกลาง เพราะข้อมูลที่รั่วไหลออกมาส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่โดยตรง
    ด้านนายจอห์น แคร์รี ประธานคณะกรรมาธิการวุฒิสมาชิก สังกัดพรรคเดโมแครตของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ ในรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี ระบุเพิ่มเติมว่าอาจมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกิดขึ้นจริง แต่อาจจะมิได้ มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการ ขณะที่นายมิตช์ แม็คคอนเนล ส.ว.พรรคฝ่ายค้านรีพับลิกัน ประณามนายจูเลียน แอสแซงจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์ ว่าเป็น “ผู้ก่อการร้ายไฮเทค” พร้อมระบุว่ารัฐบาลควรนำตัวแอสแซงจ์มารับโทษสูงสุดตามกฎหมาย และถ้ามีข้อติดขัดใดๆ ก็ควรปรับแก้กฎหมายให้สามารถนำตัวแอสแซงจ์มาดำเนินคดีในสหรัฐฯให้ได้
    ขณะเดียวกัน นายจูเลียน แอสแซงจ์ ได้พิมพ์ ข้อความตอบโต้ผ่านระบบแชตในอินเตอร์เน็ตเพื่อให้ สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เอล เปย์ส ของสเปน ระบุว่าตน ได้รับข้อความขู่ฆ่าและคุกคามชีวิตนับร้อยฉบับจากผู้ที่สนับสนุนกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งการคุกคามได้ลามไปถึงการขู่เอาชีวิตลูกชายและทนายความของตน แต่ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่าการเผยแพร่ข้อมูลของรัฐบาลและกองทัพสหรัฐฯออกสู่สาธารณะเป็นขั้นตอนที่ต้องดำเนินต่อไป เพื่อพิสูจน์ว่าข้อมูลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ สามารถเอาชนะความพยายามกลบเกลื่อนข้อเท็จจริงของกองทัพสหรัฐฯได้
    นอกจากนี้ แอสแซงจ์ยังเรียกร้องให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ชี้แจงกรณีที่มีคำสั่งจากกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯไปยังสถานกงสุลและสถานทูตสหรัฐฯทั่วโลกให้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับบุคลากรของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในแต่ละประเทศ รวมถึงข้อมูลความเคลื่อนไหวของนายบัน กี มูน เลขาธิการยูเอ็น โดยระบุ ว่าหากโอบามามีส่วนร่วมลงนามอนุมัติคำสั่งดังกล่าว ก็ควรลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพราะเนื้อหาคำสั่งเป็นความพยายามจารกรรมข้อมูลซึ่งละเมิดกฎหมาย ระหว่างประเทศ
    ส่วนข้อมูลที่วิกิลีกส์นำมาเผยแพร่ระลอกใหม่ในวันที่ 5 ธ.ค. ระบุว่าทูตพิเศษของสหรัฐฯในอิรักและอัฟกานิสถานเชื่อว่ารัฐบาลซาอุดีอาระเบียให้ความสนับ สนุนด้านการเงินแก่กลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ ทั้งอัล เคดา, ตาลีบัน และแลชการ์-อิ-ไทบาร์ ในอัฟกานิสถาน รวมถึงกลุ่มฮามาสในปาเลสไตน์.

    เนื้อหาจาก ไทยรัฐ
    ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์จี้โอบามาลาออกหากอนุมัติสอดแนม | เว็บไซต์เพื่อนการศึกษา หาข้อมูล คว
     

แชร์หน้านี้

Loading...