เกิดอาการหูดับและไม่รับรู้การมีร่างกายและลมหายใจขณะนั่งสมาธิเป็นเพราะอะไร

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย jjustdream, 20 มิถุนายน 2012.

  1. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    เหมือนที่ตอนเด็กๆทดลองเอาไม้บรรทัดถูผ้าสักหลาดและมาพาดเหนือเส้นผมน่ะค่ะมันจะวาบๆ ไม่ถึงขนาดผมตั้งนะคะ แค่ผิวหนังด้านในรู้สึกได้ แต่จริงๆแล้วปกติก็เป็นตลอดเวลาเป็นเส้นทางแล้วมีสถานีใหญ่2แห่ง หว่างคิ้วและจุดสูงที่สุดของศีรษะ(ขณะพิมพ์ก็ใช่ รู้สึกเสมอ กลางคิ้วเหมือนมีรูโหวๆเจาะอยู่) คือเป็นเส้นลักษณะเหมือนพาดด้วยเกือกม้าพาดไปถึงท้ายทอย พอเวลานั่งก็จะเข้มหน่อยคือดูเหมือนน้ำไหลจากตรงกลางเข้มที่สุดแล้วแผ่ขยายไปข้างๆลักษณะเป็นรูปกะลาคลอบไว้ค่ะ
    อธิบายถูกต้องหรือไม่คะ?
     
  2. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ขออภัยด้วยครับ ผมเขียนสั้นไปหน่อย คือจะสอบถามว่าเวลาเราขนลุกนั้น เราพอทราบไหมว่าผู้ที่มารับส่วนบุญของเรานั้น เป็นเทพ หรือว่าวิญญาณทั่วๆไปน่ะครับ
    ส่วนอาการนั้นผมก็จะเป็นแบบว่าตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นมา จนถึงหัว จะเป้นอาการคล้ายๆกันครับ แต่อาการที่ระหว่างคิ้วไม่มีครับ
     
  3. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    ไม่ทราบเลยค่ะไม่ได้สังเกตตลอดเลยเพราะชอบคิดว่าลมคงพัดอะไรประมาณนี้
    มีครั้งหนึ่งสวดมนต์แล้วหันไปเห็นแสงยาวๆสีม่วงๆ แต่บางหนหางตาผ่านนี่เป็นคนเลย(ไม่ค่อยอยากเข้ามาในประเด็นกลัวคนอ่านหาว่าเพ้อแล้วก็ไม่ได้เห็นจะๆจึงไม่อยากบอกว่าเห็น) นั่นคือระดับไหนคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2013
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    แผ่ส่วนบุญแล้วขนลุก ตามลักษณะการทำงานของจิต

    ในส่วนของผู้ส่ง (ผู้อุทิศ)

    สำหรับผู้ที่ฝึกมหาสติปัฏฐานมาในระดับหนึ่ง จะเป็นดังนี้

    เมื่อเจตนาในการแผ่ส่วนบุญเกิดขึ้น วาระจิตแรกคือ กำหนดรู้สึกตัว วาระจิตที่สอง จะเป็นการเข้า ปิติหรือสุข วาระจิตที่สาม จะ "อยู่" ในปิติหรือสุข วาระจิตที่สี่จะ "แผ่" ปิติหรือสุขนั้นออกไปรอบบริเวณ หรือกำหนดไปยัง จิตที่ต้องการจะส่ง

    หมายเหตุ เป็นวิธีเดินจิตแบบเดียวกันกับ การเดินจิตในเวลาที่จำเป็นจะต้อง อัด กับมิจฉาทิฐิจิตที่ต้องเผชิญหน้ากันตรง ๆ โดยไม่ต้องสวดมนต์ แต่ต่างกันตรงที่ กำหนดมหาสติให้ครองเต็มฐานเวทนา แล้วแผ่ออกปะทะตรง ๆ กับจิตที่เป็นมิจฉานั้น สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในโพสท์ที่ #52 หน้าที่ 3 ในกระทู้นี้ หมายเหตุย่อย หลังจากกำหนดดูโดยละเอียดแล้ว มันคือปรากฏการณ์อันเดียวกันกับอำนาจในการลงทัณฑ์ของ สังฆาฏมหานรก นั่นเอง หรือจะเรียกอย่างง่าย ๆ ก็ได้ว่า เป็นการใช้อำนาจของมหานรก แล้วนำเอาขึ้นมาผจญกับมิจฉาทิฐิจิตก็ได้ แล้วแต่ความเข้าใจของภาษาก็แล้วกันนะครับ

    ในวาระจิตที่ "แผ่" ออกไปนั้น พลังของปิติหรือสุข จะชำแรกผ่านผิวหนังออกไป อาการขนลุกจึงเกิดจาก อำนาจการแผ่ เป็นลักษณะของการเปล่งพลังงานออกไป ตรงนี้เรียกว่า แผ่พลังงานแห่งปิติหรือสุข (ส่วนบุญ) ออกไปนั่นเอง

    สำหรับบุคคลที่ไม่มีมหาสติปัฏฐาน จะเป็นดังนี้

    เริ่มจากการสวดมนต์หรือทำพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อให้จิตสงบตัวลงหรือเกิดความรู้ตัวขึ้นมา จากนั้นจึงเริ่มไล่ระลึกไปเรื่อย ๆ ถึงสิ่งที่ตนทำ "บุญ" หรือพยายามทำให้จิตเกิด ปิติหรือสุข ขึ้นมา (แล้วแต่พิธีกรรม)(อาจเกิดขนลุกได้หากมี ปิติ เกิดขึ้น) จากนั้นจึงเริ่มระลึกหรือใช้ อฐิษฐานจิต ถึงจิตที่ต้องการส่งให้ หากปิติยังมีต่อเนื่องก็อาจสำเร็จได้ หากไม่ต่อเนื่องอาจต้องทำไปเรื่อย ๆ หลายครั้ง

    ในส่วนของผู้รับ (ผู้ที่รับได้)

    หากปิติยังอยู่และการสื่อสารสำเร็จ จิตผู้รับสามารถเกิดปิติและอนุโมทนาย้อนกลับมาถึงผู้ส่งได้ ตรงนี้ก็เกิดขนลุกได้เช่นกัน

    ดังนั้นอาการขนลุกในเวลาแผ่ส่วนบุญ อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในกรณีจาก ผู้ส่ง และจาก ผู้รับ นะครับ
     
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ขั้นตอนนี้น่าสนใจมากครับ
    ปัจจุบันที่ผมทำอยู่
    ผมจะเริ่มจาก ตั้งสติก่อน กำหนดแบบละเอียด แล้วจะเข้าสู่สภาวะนึงที่ยังอธิบายไม่ค่อยถูก (เพราะยังเจอไม่นานมาก และยังไม่ค่อยชินกับการทรงสภาวะ) ที่มันคล้ายๆ กับเป็นสภาวะ ว่าง จากความคิดทั้งหมด แต่ยังมีสติรับรู้ตามปกติ

    จากนั้นผมก็กำหนด แผ่ความรู้สึกนี้ออกไปทั่วทิศ คล้ายๆ กับ นึกนโมภาพ บางครั้งก็กำหนดอาณาบริเวณ บางครั้งก็แผ่ออกไปกว้างๆ แบบไม่กำหนด บางครั้งก็กำหนดเจาะจงผู้รับ ส่งให้เป็นรายบุคคล

    ทำแบบนี้ดีไหมครับ สามารถพัฒนาได้อย่างไรเพิ่มเติมไหมครับ เพราะผู้ที่รับได้ บอกว่า กระแสเย็น แต่มันยังเบาอยู่ครับ ท่านธรรม-ชาติ

    - แก้ไขคำถาม ถามเพิ่มเติม ใช้อารมณ์ไหนดีกว่ากันครับ ระหว่าง ปีติสุข กับ ความว่าง ครับ
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ขั้นตอนนี้น่าสนใจมากครับ
    ปัจจุบันที่ผมทำอยู่
    ผมจะเริ่มจาก ตั้งสติก่อน กำหนดแบบละเอียด แล้วจะเข้าสู่สภาวะนึงที่ยังอธิบายไม่ค่อยถูก (เพราะยังเจอไม่นานมาก และยังไม่ค่อยชินกับการทรงสภาวะ) ที่มันคล้ายๆ กับเป็นสภาวะ ว่าง จากความคิดทั้งหมด แต่ยังมีสติรับรู้ตามปกติ

    +++ ตรงนี้ถูกต้องครับ เป็นปรากฏการณ์ที่สติเริ่มครองฐาน ในขณะจิตนั้น ๆ จะว่างจากนิวรณ์ทั้งหมด ในยามที่ไร้เครื่องปิดกั้นใด ๆ สภาวะรู้ย่อมปรากฏออกมาได้เอง หากสามารถพัฒนาอาการ "อยู่" กับสภาวะนี้ได้ วิปัสสนาญาณทัสสนะ จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องและจะเริ่มปักหลักลงไปใน อัปปนาสมาธิ ทั้งรูป และอรูป ตรงนี้เป็นแรกเริ่มของ "จิตอ่อนควรแก่การงาน" พยายาม "อยู่" ตรงนี้ให้เป็นนิสัยให้ได้นะครับ

    จากนั้นผมก็กำหนด แผ่ความรู้สึกนี้ออกไปทั่วทิศ คล้ายๆ กับ นึกนโมภาพ

    +++ ลักษณะการใช้ภาษาที่ตรงกับอาการจริง ๆ จะเป็นดังนี้ "กำหนดแผ่ความรู้สึกนี้ออกไปทั่วทิศ ใช้ความรู้สึกที่สติเกาะอยู่ จะทำให้ล่วงรู้อาณาเขตของการแผ่ได้ เป็น รู้ลักษณะการแผ่แบบคล้ายเห็น (ญาณทัศนะ) คล้ายๆ กับ นโมภาพแต่ไม่ใช่ เพราะไม่ได้เกิดจาก นึก แต่เกิดจาก รู้"

    บางครั้งก็กำหนดอาณาบริเวณ

    +++ ควรกำหนดและจำกัดบริเวณเป็นอย่างยิ่ง ในกรณีที่ต้องแผ่ออกปะทะตรง ๆ กับจิตที่เป็นมิจฉา มิฉะนั้นจิตอื่นที่ไม่รู้เรื่องจะได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ตรงนี้ให้ถือว่าเป็น ศีล ข้อหนึ่งโดยตรงของผู้ที่มีขีดความสามารถนี้

    บางครั้งก็แผ่ออกไปกว้างๆ แบบไม่กำหนด บางครั้งก็กำหนดเจาะจงผู้รับ ส่งให้เป็นรายบุคคล

    +++ การแผ่ส่วนบุญ ควรเป็นลักษณะนี้เท่านั้น เรียกว่าแผ่แบบไม่มีกำหนด ยกเว้นกรณีแผ่ตรงเป็นรายบุคคล

    ทำแบบนี้ดีไหมครับ สามารถพัฒนาได้อย่างไรเพิ่มเติมไหมครับ

    +++ ควรพัฒนาอาการ "อยู่" จนได้นิสัยครับ

    เพราะผู้ที่รับได้ บอกว่า กระแสเย็น

    +++ หากเป็นการแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล กระแสเย็น เป็นการแผ่ที่ถูกต้อง

    แต่มันยังเบาอยู่ครับ ท่านธรรม-ชาติ

    +++ หัวใจของมันคือต้องพัฒนาอาการ "อยู่" ให้ได้ตามความต้องการครับ

    - แก้ไขคำถาม ถามเพิ่มเติม ใช้อารมณ์ไหนดีกว่ากันครับ ระหว่าง ปีติสุข กับ ความว่าง ครับ

    +++ ปิติ เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลัง ท้อถอย หดหู่ หมดกำลังใจ อกุศลกรรมเข้าแทรก เร่งความเพียร
    +++ สุข เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการ เปลี่ยนภพภูมิ บรรเทาทุกข์ ผลักดันให้พ้นทุกข์ เพิ่มบารมี
    +++ ว่าง เหมาะสำหรับ ก่อนแสดงธรรม แคล้วคลาด พ้นภัยพิบัติ อุปัทวเหตุ ตรวจสภาวะธรรม

    อารมณ์แต่ละชนิด เมื่อใช้ให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ ดีทั้งหมดครับ
     
  7. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    เมื่อวาน ลองอ่านคำแนะนำหลายๆท่านจากกระทู้ที่ตัวเองตั้งขึ้น
    สวดเพียง นะโม 3จบ

    อธิฐานแผ่บุญที่ได้จากคนที่แนะนำ รู้สึกแปลกกว่าทุกครั้ง คือ
    ปกติขนจะลุก แต่เมื่อคืนมันไม่ใช่อาการขนลุกวูบวาบ ความรู้สึกเหมือนทรายแต่เล็กกว่ามากเหมือนฝุ่นค่ะเป็นล้านๆผ่านผิวขึ้นมาฟุ้งเลย เป็นรอบนอกคือบริเวณที่เป็นกรอบนอกของตัวเอง เช่น แขนด้านนอก ต้นคอด้านนอก อาการเปลี่ยนไปเช่นนี้ คืออะไรคะ
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ปุญญานุสติ

    การแผ่ส่วนบุญของคุณ photocycling น่าจะบรรจุเอาลงไว้ใน 108-1009 กรรมฐานซะจริง ๆ เพราะรูปแบบเป็นเรื่องนอกตำรา แต่เนื้อหากลับเข้ามายังมหาสติปัฏฐาน 4 ได้ นับว่าเป็นกรณีตัวอย่างที่ดีมาก ๆ สำหรับผู้ที่ยังติดในรูปแบบกรรมฐานอยู่ จะอธิบายละเอียดดังนี้

    จะท้าวความจากโพสท์ที่ #128 ก่อน

    สำหรับผู้ที่ฝึกมหาสติปัฏฐานมาในระดับหนึ่ง จะเป็นดังนี้

    เมื่อเจตนาในการแผ่ส่วนบุญเกิดขึ้น วาระจิตแรกคือ กำหนดรู้สึกตัว วาระจิตที่สอง จะเป็นการเข้า ปิติหรือสุข วาระจิตที่สาม จะ "อยู่" ในปิติหรือสุข วาระจิตที่สี่จะ "แผ่" ปิติหรือสุขนั้นออกไปรอบบริเวณ หรือกำหนดไปยัง จิตที่ต้องการจะส่ง

    (ตรงนี้เป็นทางขากลับ เพราะเข้ามหาสติแล้ว "ใช้" ขันธ์ กลับมาแผ่ส่วนบุญ)

    ส่วนของคุณ photocycling เป็นทางขาไป เพราะ "ใช้" การแผ่ส่วนบุญ จนได้มาซึ่งมหาสติ

    เพื่อความเข้าใจที่ดี ผมจะใช้การเปรียบเทียบกับ อานาปานสติ คือมีสติ "อยู่" กับลมหายใจ ดังนี้

    ผู้ที่ฝึกอานาปานสติ เมื่อสติสามารถ "อยู่" กับลมหายใจได้แล้ว ลมหายใจจะเริ่มละเอียดลงไปเรื่อย ๆ "สติ" จะเริ่มทำให้จิตคลายตัวลง และ จะขยายฐานจาก ลม ให้กว้างขึ้นจนสามารถ รู้ ได้ทั้งร่างกาย ซึ่งจะแยกออกได้เป็น 2 ทางคือ หากรู้ได้ทั่วทั้งร่าง ก็จะกลายมาเป็น กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน (รู้ภายนอกร่างกาย โดยมีกายเป็นฐาน) แต่ถ้าหากกลายมาเป็น รู้สึกได้ทั้งร่าง ก็จะเป็น เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน (รู้สึกภายในร่างกาย โดยมีกายเป็นฐาน)

    ในที่นี้จะกล่าวถึง กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน (รู้ภายนอกร่างกาย โดยมีกายเป็นฐาน) แต่เพียงอย่างเดียว เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ นะครับ

    เมื่อ "สติ" เริ่มทำให้จิตคลายตัวลง และ ขยายฐานจาก ลม จนสามารถ รู้ ได้ทั้งร่างกายแล้ว ลมหายใจจะละเอียดต่อเนื่องลงไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถ เข้า-ออก ทางจมูกได้อีก (โปรดกรุณา "อย่าคาดเดา" เพราะปรากฏการณ์ตรงนี้เกิดขึ้นได้จริง แต่ผู้ที่ถึงตรงนี้จริง ๆ มีเพียงส่วนน้อย) แต่จะกลับไป หายใจ ทางรูขุมขนแทน เมื่อ "สติ" ยัง "อยู่" อย่างต่อเนื่อง "จิต" ก็จะละเอียดต่อเนื่องลงไปเรื่อย ๆ อีก จนทำให้ "กองลม" ละเอียดจนไม่สามารถหายใจทางรูขุมขนได้อีกแล้ว ก็จะเปลี่ยนมาเป็นการ "ซึม เข้า-ออก" ทางผิวหนังแทน (ผู้ที่ฝึกอานาปานสติ ที่มาถึงตรงนี้ได้ มีไม่กี่คนเท่านั้น แต่ตรงนี้ยังไม่จบ เพราะยังไม่ถึงที่สุดของ "กองลม" ที่แท้จริง อาการถึงที่สุดของกองลม ที่แท้จริงนั้น ยังไม่มี เหตุ-ปัจจัย เพียงพอที่จะกล่าวในที่นี้ เพียงแต่บอกได้อย่างคร่าว ๆ ว่า เมื่อถึงที่สุดแล้ว จิต ไม่สามารถอยู่ในร่างได้อีก หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า รู้ว่า "ตาย" เป็นอย่างไร นั่นเอง)

    อาการของ กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ที่ผ่านมาทาง อานาปานสติ จน "เห็น" อาการ "ซึม เข้า-ออก" ทางผิวหนังนั้น อาการซึม "ขาออก" จะเป็นเหมือน "ละอองอณู" ที่ออกมาโดยรอบร่างกาย ผมจะวางการเปรียบเทียบเอาไว้ตรงนี้ก่อน

    ส่วนการแผ่ส่วนบุญด้วย ปุญญานุสติ นั้น ให้ดูจากโพสท์ที่ #128 ประกอบไปด้วย

    หลังจากที่จิตสงบตัวลงหรือเกิดความรู้ตัวขึ้นมาแล้ว (เรียกว่าได้ กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน) จากนั้นจึงเริ่มไล่ระลึกไปเรื่อย ๆ ถึงสิ่งที่ตนทำ "บุญ" หรือพยายามทำให้จิตเกิด ปิติหรือสุข ขึ้นมา ตรงนี้เป็นการ "เดินจิต" แบบใช้ "ความจำในบุญ" ที่เคยทำไว้ จนได้ ธรรมารมณ์ ที่เป็น ปิติ (ฌาณ 2) หรือ สุข (ฌาณ 3) แต่มี สติ ครองฐานกายอยู่ด้วย ความละเอียดจะอยู่ในชั้นเดียวกันกับ อาการ "ซึม เข้า-ออก" ทางผิวหนัง

    มีข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้นคือ การแผ่ส่วนบุญนั้น เป็นการ "แผ่ออก" จากชั้นธรรมารมณ์ ดังนั้น "การเห็น" จึงเห็นแต่ "ขาออก" แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งจะเป็นเหมือน "ละอองอณู" ที่ออกมาโดยรอบร่างกาย นั่นเอง

    หากจะถามว่า การแผ่ส่วนบุญ นี้คืออะไร คำตอบก็คือ

    เป็นการแผ่ส่วนบุญ ด้วย กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ในระดับ ฌาณที่ 3 หากจิตใดที่สามารถได้รับการแผ่แบบตรง ๆ นี้ สามารถส่งผลให้เปลี่ยนภพภูมิไปเป็น รูปพรหม ได้ทันที หากเป็นการแผ่โดยรอบ จิตที่สามารถรับได้ จะเปลี่ยนไปสู่ภูมิที่สูงกว่าทันทีเช่นกัน

    การที่ จู่ ๆ แล้วได้มาซึ่ง มหาสติ จากการแผ่ส่วนบุญนั้นคุณ photocycling นับเป็นกรณีแรกที่ผมประสพมา ตรงนี้ย่อมเกิดมาจาก การสะสมบารมีที่มากพอ จนผลบุญนั้นได้ผลักดันจนเข้าถึงเส้นทางแห่ง มหาสติ ได้ อันบุคคลที่มีนิสัยในการ สะสมบุญ มาเรื่อย ๆ นั้น บารมีจะจัดอยู่ใน ศรัทธาจริต และสามารถกล่าวได้ว่า บารมีเต็มพร้อมแล้วสำหรับ สาวกภูมิ แต่ผู้ที่มีศรัทธาจริตแบบหนักแน่นในศรัทธา มักจะเป็นผู้ปรารถนา พุทธภูมิ อยู่ในตัวด้วยเช่นกัน

    ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่ตัดทางเข้าสู่ สาวกภูมิ ในชาตินี้นั้นมักจะปรารถนา พุทธภูมิ มาแล้วทั้งสิ้น แต่มาตั้งจิตอฐิษฐานละ พุทธภูมิ ในชาตินี้ ดังนั้น บารมีเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งปรารถนา พุทธภูมิ จึงกลับมาส่งผลให้การปฏิบัติธรรมรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ หลวงปู่ มั่น ภูริทัตโต ปรมาจารย์สายพระป่าแห่งยุคนี้ ท่านได้ตั้งจิตอฐิษฐานลา พุทธภูมิ ก่อนแล้วจึงเข้าสู่ มรรค ผล ได้ มิฉะนั้นแล้ว ก็ยังคงต้อง เร่งบำเพ็ญบารมีแห่งพระโพธิสัตว์อยู่ต่อไป ตัวผมเองนั้น ก็อฐิษฐานละพุทธภูมิมาตั้งแต่ปี 2529 ที่ถ้ำผาปล่อง ในขณะที่ หลวงปู่ สิม ยังอยู่ และหลวงปู่ สิม ก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่ละ พุทธภูมิ ด้วยเช่นกัน

    หากคุณ photocycling ยังมีความสุขดีกับการ สร้างบุญบารมี ไปเรื่อย ๆ และยังไม่ปรารถนาที่จะใส่ใจในเรื่องของ มรรค ผล ก็ไม่เป็นไรนะครับ แต่ถ้าหากสนใจเมื่อไร ก็ต้องอฐิษฐานจิตลาพุทธภูมิ ให้เรียบร้อยก่อน เพราะพันธะนั้นยังอยู่ในจิตลึก ๆ ของคุณ
     
  9. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ในวาระจิตที่ "แผ่" ออกไปนั้น พลังของปิติหรือสุข จะชำแรกผ่านผิวหนังออกไป อาการขนลุกจึงเกิดจาก อำนาจการแผ่ เป็นลักษณะของการเปล่งพลังงานออกไป ตรงนี้เรียกว่า แผ่พลังงานแห่งปิติหรือสุข (ส่วนบุญ) ออกไปนั่นเอง

    เล่าสู่กันฟังค่ะ .. มีครั้งหนึ่งเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนเวลาประมาณทุ่มกว่า ได้มีโอกาสคุยกับสมาชิกในครอบครัวผ่านเฟส บอกว่าเวลานี้ยังอยู่ที่ไซน์งาน บ่นให้ฟังว่า “ มีความรู้สึกที่อึดอัดร้อนรุ่มกระวนกระวายใจมาก ไม่อยากทำงานที่นี่ต่อไปแล้ว พนักงานพูดไม่ลงรอยกัน อยากลาออกแล้วเดินหนีไปเดี๋ยวนี้เลย แต่เจ้านายให้อยู่ช่วยงานจนจบถึงสิ้นปี หนูอยู่ไม่ได้แล้ว อารมณ์มันจะระเบิดแล้ว เดือนนี้พนักงานก็ลาออกไปสามคนแล้ว ไม่มีใครอยู่ได้หรอก” พอได้คุยได้ฟังสักพักเลยรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็เลยถามว่าไซน์งานที่ทำอยู่นี้เขาเรียกชื่อว่าอะไร พอบอกชื่อสถานที่แล้วภาพมันขึ้นมาให้เห็นในความคิดเลยน่ะค่ะ ก็เลยกำหนดจิตแผ่เมตตาไปให้เจ้าที่ที่นั่น ขั้นตอนที่ทำคือ ทำความรู้สึกตัว จิตสงบเป็นสมาธิ อยู่กับความรู้สึกตัว แล้วแผ่เมตตาส่งตรงไปยังสถานที่นั้น ช่วงที่ส่งไปจะรู้สึกขนลุกพร้อมกันทั้งตัวเลยค่ะ พอแผ่เสร็จ เห็นข้อความขึ้นบอกว่า " หนูหายแล้วค่ะ อยู่ๆความรู้สึกที่อึดอัดร้อนรุ่มกระวนกระวายใจที่เป็นมันหายไปหมดเลย ตอนนี้รู้สึกจิตใจสงบลงแล้วค่ะ " .. ในประสบการณ์ก็เพิ่งเคยแผ่เมตตาแบบนี้เป็นครั้งแรกน่ะค่ะ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ปิติ เหมาะสำหรับ ผู้ที่กำลัง ท้อถอย หดหู่ หมดกำลังใจ อกุศลกรรมเข้าแทรก เร่งความเพียร
    +++ คงต้องแถม อึดอัด ร้อนรุ่ม กระวนกระวายใจ รวมทั้งเจ้าที่เจ้าทาง รวมลงไปในส่วนของ ปิติ ด้วยนะครับ(deejai)

    การแผ่ของคุณ จิตวิญญาณ เป็นการแผ่เฉพาะ ตรง ๆ แบบส่วนบุคคล รวมถึงการกำหนดจิตได้อย่างถูกต้อง จึงสามารถส่งผลได้ทันที และแก้ไขสถานการณ์ได้ตรงประเด็นไปในตัวด้วยนะครับ
     
  11. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    ต้องอ่านซ้ำทั้งหมด 3ครั้งค่ะ เพราะบอกตรงๆว่าเรื่องนี้ไม่เคยศึกษา อย่างมากแค่อ่านผ่านๆ
    ที่คุณธรรม ชาติตอบมานั่นก็ยังไม่เชื่อว่าดิฉันเองจะสามารถทำได้ และสิ่งที่เกิดเมื่อวานเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อสักครู่อ่านผ่านคำว่า"พรหม" เลยลองอุทิศไปยังชั้นพรหม(ซึ่งจริงๆก็ไม่รู้จักชั้นนี้ลึกซึ้งนัก เพราะเป็นคนไม่ชอบศึกษาทฤษฎีเลย ชอบลองเองทำเอง ไม่เชื่อง่ายเสียด้วย) ก็เกิดอาการผสมกัน ทั้งฝุ่นละอองและขนลุกขั้นเกือบรุนแรง เพียงแค่ลองคิดขณะอ่าน ซึ่งเมื่อวานเหตุการณ์ที่เกิดก็ไม่ได้เกิดขณะหรือหลังนั่งสมาธิ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน จะนั่งสมาธิ ลองนิ่งและยกมือพนมอธิฐานเท่านั้น
    หากเป็นอย่างที่คุณ ธรรมชาติ แนะนำจริง
    จะยกผลประโยชน์ให้ทุกๆท่าน อนุโมทนาให้กับทุกๆท่าน ที่กรุณาให้ความรู้มาใน 2-3 วันนี้ ให้ดิฉันได้ประยุกต์มาปฏิบัติค่ะ

    เรื่องลาพุทธภูมิ ทำได้ตอนนี้รึเปล่าคะ ถ้าลาหมายถึงต้องบวชตอนนี้รึเปล่าคะ
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ต้องอ่านซ้ำทั้งหมด 3ครั้งค่ะ เพราะบอกตรงๆว่าเรื่องนี้ไม่เคยศึกษา อย่างมากแค่อ่านผ่านๆ
    ที่คุณธรรม ชาติตอบมานั่นก็ยังไม่เชื่อว่าดิฉันเองจะสามารถทำได้

    +++ การอธิบายของผมนั้นเป็นการอธิบายเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้ที่ฝึกผ่านมาทาง อานาปานสติ ได้มีโอกาสรับรู้และเข้าใจไปในตัวด้วย ส่วนการอธิบายนั้น เป็นการอธิบายในส่วนที่ปรากฏขึ้นกับตัวคุณเองทั้งสิ้น ว่าอาการต่าง ๆ นั้น มีความเป็นมาอย่างไรในระดับละเอียด ซึ่งตรงนี้จะเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการศึกษาของผู้อื่น (เผื่อแผ่กันไป) การใช้ภาษาอธิบายอาจไม่จำเป็นสำหรับคุณ เพราะประสพการณ์นี้ เกิดขึ้นกับคุณเรียบร้อยแล้ว

    และสิ่งที่เกิดเมื่อวานเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อสักครู่อ่านผ่านคำว่า"พรหม" เลยลองอุทิศไปยังชั้นพรหม(ซึ่งจริงๆก็ไม่รู้จักชั้นนี้ลึกซึ้งนัก เพราะเป็นคนไม่ชอบศึกษาทฤษฎีเลย ชอบลองเองทำเอง ไม่เชื่อง่ายเสียด้วย) ก็เกิดอาการผสมกัน ทั้งฝุ่นละอองและขนลุกขั้นเกือบรุนแรง เพียงแค่ลองคิดขณะอ่าน ซึ่งเมื่อวานเหตุการณ์ที่เกิดก็ไม่ได้เกิดขณะหรือหลังนั่งสมาธิ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน จะนั่งสมาธิ ลองนิ่งและยกมือพนมอธิฐานเท่านั้น

    +++ การที่จิตกำหนดแล้วแผ่ออกไปเลยนั้น ก็เหมือนกับที่คุณ จิตวิญญาณ ในโพสท์ที่ #133 ทำนั่นแหละ ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิก็ทำได้ และอีกหลาย ๆ คนในกระทู้นี้ก็ทำได้เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

    หากเป็นอย่างที่คุณ ธรรมชาติ แนะนำจริง
    จะยกผลประโยชน์ให้ทุกๆท่าน อนุโมทนาให้กับทุกๆท่าน ที่กรุณาให้ความรู้มาใน 2-3 วันนี้ ให้ดิฉันได้ประยุกต์มาปฏิบัติค่ะ

    เรื่องลาพุทธภูมิ ทำได้ตอนนี้รึเปล่าคะ ถ้าลาหมายถึงต้องบวชตอนนี้รึเปล่าคะ

    +++ ไม่จำเป็นต้องบวชครับ แต่ถ้าหากต้องการลาอย่างแท้จริง ควรตั้งจิตอฐิษฐาน ลาในขณะที่อยู่ในสมาธิ หากอยู่ในสถานที่ ๆ มี พระบรมสารีริกธาตุ หรือ พระธาตุของครูบาอาจารย์ อยู่ด้วยแล้ว ก็จะเป็นการสมควร นะครับ
     
  13. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    ขอบคุณมากๆค่ะ เพียงบอกกล่าวไว้ก่อนเพื่อให้เข้าใจว่าดิฉันไม่มีความรู้จริงๆ จึงดูเหมือนถามเยอะเล่าเยอะ มีหลายท่านรู้สึกรำคาญกับความเป็นเจ้าหนูจำมัยค่ะ
     
  14. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ไม่รำคาญเลยครับ เรื่องที่ถามนั้น ได้ความรู้เป็นอันมาก บางอย่าง บางท่านก็มีอาการก็จะได้รู้ตามไปหรือก้าวไปด้วยครับ :cool::cool:
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ไม่ใช่หรอกครับ แต่มันจำเป็นที่ต้องอธิบายแยะ เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญของนักปฏิบัติ ที่สมควรทำความเข้าใจให้ลึกกว่าระดับปกติ ในกรณีของคุณ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็น กรณีตัวอย่างที่ดี เพราะเป็นกรณีของ "เนื้อหาของการปฏิบัติธรรม"

    +++ การอธิบายนี้ก็สามารถ เปรียบได้กับ การแผ่ส่วนบุญแบบไม่จำกัด และ การแผ่ส่วนบุญแบบเฉพาะส่วนบุคคล นั่นเอง ผลลัพธ์ของความเข้าใจจึงแตกต่างกัน (เหมือนความเข้มข้นของการได้รับส่วนบุญต่างกัน)

    คำถามของคุณ photocycling

    "อธิฐานแผ่บุญ รู้สึกแปลกกว่าทุกครั้ง คือ ความรู้สึกเหมือนทรายแต่เล็กกว่ามากเหมือนฝุ่นค่ะเป็นล้านๆผ่านผิวขึ้นมาฟุ้งเลย เป็นรอบนอกคือบริเวณที่เป็นกรอบนอกของตัวเอง เช่น แขนด้านนอก ต้นคอด้านนอก อาการเปลี่ยนไปเช่นนี้ คืออะไรคะ"

    +++ คำถามนี้ ฟังดูเรียบง่าย แต่ถ้าจะใช้คำตอบเฉพาะตัวคุณจริง ๆ แล้วก็จะได้ดังนี้ "การแผ่ส่วนบุญของคุณนั้น มีสติเป็นหลัก และสตินั้นอยู่ในระดับความลึกของ ฌาณ 3 สติของคุณ จึงสามารถเห็นอาการที่ดูเหมือนฝุ่นได้"

    นี่คือ อาการของคุณ แต่ที่แน่ ๆ คือ คำถามจะตามมาอีกหลายโพสท์ ผมจึงตอบล่วงหน้าไว้ในหัวข้อ "ปุญญานุสติ" ซึ่งรวบยอดไว้ในที่เดียวกัน และท้ายที่สุดแล้ว คำถามย่อมมาลงเอยที่ สาวกภูมิ หรือ พุทธภูมิ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี

    ทางเดินของคำถามของคุณจะอยู่ในลักษณะนี้ สติและเรื่องของสติ เรื่องบุญพอเข้าใจและผ่านได้ ลักษณะการแผ่ของบุญ ทำไมคุณแผ่ได้เลยทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ฝึกเอาจริงทางสมาธิ เหตุใดคุณจึงทำได้ สรุปคำตอบต้องมาลงที่ สาวกภูมิ หรือ พุทธภูมิ นั่นแล
     
  16. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    ผมอ่านเรื่องแผ่บุญกุศลของคุณธรรมชาติ ผมแผ่แล้วมักจะขนลุกไปหมดเลยครับ

    พอดีพูดถึงปิติเลยอยากถาม เวลาผมจิตเป็นสมาธิ แล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า หรือสาธยายพุทธคุณผมน้ำตาไหลใหญ่เลยครับ เรียกว่านานเลยครับกว่าจะเลิกร้องไห้ แต่ก่อนมักจะเป็นเฉพาะเวลานึกภาพพระพุทธเจ้า หรือระลึกพุทธคุณ แต่หลังๆ เริ่มเป็นกับพระธรรมด้วย คือพอได้อ่านพระธรรมน้ำตามันจะไหล

    อันนี้เรียกว่าอะไรครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2013
  17. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    กรณีนี้เกี่ยวกันหรือไม่

    ตลอด3วันเต้มดิฉันอยากได้วัตถุมงคลจากวัดหนึ่ง
    ดิฉันสนใจวัตถุมงคลนี้นี้เมื่อวันที่19 และมีความรู้สึกอยากได้อย่างมากจนกระทั่งค้นหาตามเว็บ ปรากฏว่าไม่มีให้บูชาเลย จึงเข้าไปถามหาที่บอร์ดหนึ่งว่ามีคนจะไปวัดนี้หรือไม่เมื่อ2วันก่อน ปรากฏว่าเงียบเหลือเกินเนื่องจากช่วงนี้เค้าไม่ไปกันแล้วเขาไม่รู้จักดิฉันกัน (สมัครไอดีใหม่) จึงได้อธิษฐานต่อพระอาจารย์เจ้าของวัตถุมงคลในรูปว่าอายากได้เหลือเกินช่วยด้วยตั้งแต่เมื่อวาน จนวันนี้ก็มาทราบว่าท่านเรียนมาจากพระรูปนึงมรณะภาพไปแล้วจึงอธิฐานขอบารมีท่าน

    เปิดจอรอไว้นั่งบ้างนอนบ้างก็นอนคิดว่าทำย่างไรถึงจะได้หนอ
    พอลุกจากเตียงเดินกลับมาดูความคืบหน้าเมื่อสักครู่ มีคนโพสต์มาบอกว่า เจอประกาศว่ามีคนจะไปวัดนั้นนำลิงค์มาให้ ให้ดิฉันเข้าไปดู

    เมื่อดิฉันเข้าไปปรากฏว่าเขาต้องการนับจำนวนคนที่ฝากบูชาในราคาวัดภายในวันที่ 24(วันรุ่งขั้น)เวลา 18 นาฬิกา

    ตัวเองไม่มีสตังค์พอจะโอนเลยถามเพื่อนที่เคยฝากเงินไว้หน้าเฟสบุคว่าช่วยนำเงินที่ฝากโอนเข้าธนาคารอื่นได้ไหม ดิฉันปิดบัญชีหมดแล้วเมื่อวันที่15เหลือแต่ออมสิน
    ถามเสร้จดิฉันก็กำลังพิมพ์แจ้งความต้องการว่าขอรับบูชาแต่ยังไม่ได้โพสต์รอเพื่อนตอบก่อน

    เพื่อบอกว่าไม่มีบัตร โอนไม่ได้จริงๆ จะเอาเงินมั้ยจะเอามาให้พรุ่งนี้
    ดิฉันบอกว่าพรุ่งนี้ไม่สะดวกไม่เป็นไรจะถามเพื่อนคนอื่นต่อว่าพอช่วยได้ไหม

    กำลังจะถามเพื่อนรุ่นน้องอีกคน พอดีเปิดหน้าที่ดิฉันเคยโพสต์ถามไว้เรื่องคนจะไปวัดแต่ทีแรก ก็ต้องตกใจว่า

    มีคนบอกว่าช่วยส่งชื่อที่อยู่ให้ด้วย เค้าจะส่งไปรษณีย์ให้

    เป็นเรื่องที่น่าตกใจมากเลย ที่จะได้ก็มาได้ในเวลาเดียวกัน

    เกี่ยวข้องกับเรื่องสมาธิหรือไม่ ?

    เรื่องพระที่ได้โดยบังเอิญแบบนี้ก็มีเหตุครั้งหนึ่ง

    เมื่อปี54 รู้จักเพื่อนคนหนึ่งเพิ่งรู้จักกันเค้าเขาบอกว่ามีพระองค์นึงแฟนให้นานแล้วมีราคามากและเก็บไว้นานแล้วเป็นที่ระลึก(คุยกันเรื่องพระเครื่อง)เชิงอวดว่าเอามั้ยปล่อยเช่าต่อ ดิฉันถามเขาว่าพระอะไร เขาตอบว่าพระสีวลี ตอนนั้นขอสารภาพว่าไม่เคยรู้สึกศรัทธาท่านหรือเกจิใดๆเท่าไรมีเพียงพระพุฒจารย์โตที่ทางบ้านเคารพบูชามากๆในใจเท่านั้น เลยบอกว่าไม่เอาหรอกไม่สนใจพระด้านนี้ไหว้นะแต่ก็ไม่ได้บูชาเป็นเรื่องเป็นราว

    เรื่องก็ผ่านมาประมณ9เดือนจนกระทั่งประมาณธันวาคม 54 ตอนนั้นทุกข์หนัก มีคนที่เค้าอยากช่วยเองบอกว่าหาพระสีวลีมาบูชาจะดีขึ้น ดิฉันไม่รู้จักนักก็จะเช่าบูชาทางเว็บแล้วก็คุยกันกับเพื่อนคนนั้นทางโทรศัพท์เขาบอกว่าจะเช่าทำไมดูก็ไม่เป็นเขาถามว่าพระอะไร ดิฉันบอกว่าพระสีวลี
    เขาก็บอกว่าพระของเขาไงที่เคยบอก ดิฉันก็บอกว่าเอ้อ เหรอจำไม่ได้ขอโทษจริงๆตอนนั้นไม่สนใจไม่รู้ว่าวันนี้จะต้องมาอยากหาไปบูชาแบบนี้
    ขอขมาพระสีวลีด้วย ไม่กล้ารับจากเขาเพราะทราบราคาดี
    เลยบอกว่าเราไม่มีเงินให้เธอหรอก เดี๋ยวเราหาถูกๆต่อไปแต่ถ้าให้ฟรีๆก็ได้นะ

    เขาตอบว่า คนที่สมควรได้ก็จะได้เอง

    เวลาผ่านไปไม่นานประมาณอาทิตย์หนึ่ง เขามาพบดิฉันอีกครั้ง แล้วยื่นพระสีวลีองค์นั้นให้ในมือแล้วบอกว่าบอกแล้วไงคนที่สมควรจะได้ก็จะได้


    เป็นเรื่องปกติหรือเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาคะ? เรื่องนี้หนูตัดสินไม่ได้ค่ะ

    ตอนนั้นเป็นคนที่อคติมากหลายๆอย่าง เช่น พระอาจารย์นับถือมากกว่า รูปอื่นก็ไม่สนใจ สนใจแต่รูปดังๆ(ที่บ้านมีรูปพระที่มรณะภาพไปแล้ว) หรือต้องสวดคาถานี้ใหญ่กว่า คาถานี้ธรรมดา หรือคนนี้นับถือคนนี้ไม่รู้ใครนับถือน้อยหน่อยก็ได้ พระที่ได้มาจากวัดไม่รู้จักก็ไม่ค่อยใส่ใจ เคารพแต่ไม่ศรัทธาอะไรแบบนี้

    ปัจจุบันเลิกนิสัยเดิมแล้วแต่ก็ยังเผลอตัวบ้างตามความเคยชิน

    กำลังคิดว่าเป็นเพราะใครต้องการสอนหรือเปล่าว่าควรจะเคารพให้เท่าๆกันไม่แยกชั้นวรรณะหรืออคติ


    ปล. เป็นความสนใจส่วนตัวเกี่ยวกับวัตถุมงคลบางอย่างนะคะ
    บางท่านไม่ชอบเรื่องวัตถุมลคลกรุณาอย่าถือสานะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2013
  18. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่ตัดทางเข้าสู่ สาวกภูมิ ในชาตินี้นั้นมักจะปรารถนา พุทธภูมิ มาแล้วทั้งสิ้น แต่มาตั้งจิตอฐิษฐานละ พุทธภูมิ ในชาตินี้ ดังนั้น บารมีเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งปรารถนา พุทธภูมิ จึงกลับมาส่งผลให้การปฏิบัติธรรมรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ หลวงปู่ มั่น ภูริทัตโต ปรมาจารย์สายพระป่าแห่งยุคนี้ ท่านได้ตั้งจิตอฐิษฐานลา พุทธภูมิ ก่อนแล้วจึงเข้าสู่ มรรค ผล ได้ มิฉะนั้นแล้ว ก็ยังคงต้อง เร่งบำเพ็ญบารมีแห่งพระโพธิสัตว์อยู่ต่อไป ตัวผมเองนั้น ก็อฐิษฐานละพุทธภูมิมาตั้งแต่ปี 2529 ที่ถ้ำผาปล่อง ในขณะที่ หลวงปู่ สิม ยังอยู่ และหลวงปู่ สิม ก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่ละ พุทธภูมิ ด้วยเช่นกัน

    อนุโมทนา สาธุ ค่ะ

    ตัวดิฉันเองเมื่อประมาณต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา (หลังจากที่เข้ามาโพสท์ข้อความในกระทู้นี้ได้ประมาณ 2-3 ครั้ง ) ช่วงหนึ่งขณะที่ได้สวดมนต์ไหว้พระ ก็ได้ตั้งจิตอธิฐานว่าขอให้ลูกสำเร็จมรรค ผล ในชาตินี้ด้วยเถิด ได้แค่นั้นล่ะค่ะ อยู่ๆน้ำตานี่มันไม่รู้มาจากไหน มันไหลพรากๆออกมาไม่ขาดสายเลย มาพร้อมเสียงสะอื้น เป็นอะไรที่ออกมาจากความรู้สึกส่วนลึกจากข้างในน่ะค่ะ สรุปคือนั่งร้องไห้อยู่หน้าหิ้งพระซะงั้น เราไม่ใช่อยากจะร้องไห้นะคะ แต่มันเป็นของมันเอง นานหลายนาทีอยู่เหมือนกัน พอหายแล้วสังเกตุจิตใจมันนิ่งสงบไปเลย หลังจากนั้นจิตมารก็เริ่มออกมาอาละวาดหนักกว่าเดิมนี่ล่ะค่ะ ... ตั้งจิตอธิฐานช่วงที่ไหว้พระ อย่างนี้ถือว่าลาพุทธภูมิแล้วหรือเปล่าคะ?
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ของคุณ mobilelizard

    +++ การเศร้าโศกแล้วร้องไห้ จัดได้ว่าเป็นส่วนของทุกข์ ส่วนการเกิดปิติตื้นตันแล้วร้องไห้ ไม่ได้มีส่วนของทุกข์เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยทั่วไปเขาเรียกกันว่า ปิติ ครับ

    ของคุณ photocycling

    +++ เรื่องพระมาหรือพระไป รวมทั้งของผุด ต่าง ๆ เท่าที่ผมเจอกับตัวนั้นมักเกิดตอนจิตปกติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสมาธิ เรื่องพระไปมานั้น จะใช้เหตุผลตามปกติมนุษย์โลกมาอธิบายก็คงไม่ถูกทาง ถ้าจะใช้คำพูดตรง ๆ ตามอาการก็คือ ท่านมีเจตนามาอยู่ด้วย เท่านั้นเอง ส่วนของผุดมักเป็นเจตนาของ เจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเกาะ เจ้าเขา ที่เขาจะให้มา ตำแหน่งที่ของผุดจะปรากฏนั้น จะอยู่ตรงกลางระหว่างเท้าทั้งสองข้าง ลองเอาเก้าอี้มานั่งแล้วเอาเท้าทั้งสองวางบนพื้นตามปกติ ลากเส้นจากหัวแม่เท้าข้างหนึ่งไปยังส้นเท้าอีกข้างหนึ่ง เป็นลักษณะกากะบาด ตรงจุดที่กากะบาดตัดกันนั้นจะเป็นจุดที่ของผุดปรากฏ เรื่องของผุดนี้เคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว 2 ครั้ง

    ของคุณ จิตวิญญาณ

    +++ การอธิษฐานขอให้สำเร็จมรรค ผล ในชาตินี้ ยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการลาพุทธภูมินะครับ การลาพุทธภูมินั้นมักจะตั้งจิตอธิษฐานในทำนองที่ว่า

    "หากข้าพเจ้าได้เคยหวังตั้งใจหรืออธิษฐานไว้ว่า สักวันหนึ่งขอให้ข้าพเจ้าจงสำเร็จในความเป็นพระพุทธเจ้า หรือ ความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ว่าความหวังตั้งใจหรือการอธิษฐานนั้นจะเป็นเวลานานมาแล้วเท่าไรก็ตาม บัดนี้ข้าพเจ้าขอถอนความหวังตั้งใจหรือการอธิษฐานนั้น ๆ ลงทั้งหมด ในปัจจุบันขณะนี้ เพื่อเป็นการตัดชาติภพให้สั้นลง และ เพื่อเป็นการเร่ง มรรค ผล นิพพาน ให้เกิดขึ้นโดยเร็วไว และขอให้บารมีทั้งหมด ที่ข้าพเจ้าได้เคยบำเพ็ญไว้ตั้งแต่แรกเริ่มเข้าสู่วัฏฏะสงสาร จงกลับมาเกื้อหนุนและส่งเสริมให้ข้าพเจ้า บรรลุและมีความสำเร็จในสภาวะธรรมต่าง ๆ ตลอดจน มรรค ผล นิพพาน ทั้งปวงด้วยเทอญ"

    การลาพุทธภูมิ ควรตั้งจิตให้อยู่ในสมาธิก่อน แล้วจึงอฐิษฐาน ลาในขณะที่อยู่ในสมาธิ หากอยู่ในสถานที่ ๆ มี พระบรมสารีริกธาตุ หรือ พระธาตุของครูบาอาจารย์ อยู่ด้วยแล้ว ก็จะเป็นการดีที่สุด หากหิ้งพระที่บ้านมีพระธาตุอยู่แล้ว ก็พิจารณาว่าน่าจะทำได้เหมือนกัน นะครับ
     
  20. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    สวัสดีค่ะ
    คุณธรรม-ชาติคะเส้นกากบาทนั่นก้ลองทำแล้วยังไม่เข้าใจค่ะ
    ลองหาจากกูดกิลแล้วก็ยังไม่เจอค่ะ
    ขออนุญาตนอกเรื่อง ให้คุณธรรม-ชาติช่วยอธิบายเรื่อง"ของผุด"ได้ไหมคะ
    เพราะสำหรับดิฉัน เกิดประจำเลย

    ขอบคุณค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...