อานิสงส์แห่งวิหารทานร่วมสร้างศาลาปฏิบัติธรรม วัดป่าเกาะภูเชือก

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย tanakorn_ss, 15 มกราคม 2014.

  1. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747

    ต้นแบบที่นำมาลง นี้น่าจะเป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินหยกหรือไม่หินเกรนิต นำไปให้พระอาจารย์ท่านดูท่านยังชอบเลย ก็เลยเอารูปนี้เป็นต้นแบบ แต่อาจจำเป็นต้องใช้วัสดุจากหินทรายขาว เพราะว่าใช้ต้นทุนต่ำกว่าหินหยก เพราะแกะสลักหินหน้าตักขนาด 2.5 เมตร นี้ทั้งใหญ่และหนักพอสมควร ใช้หินแผ่นเดียวก้อนโตเลยคิดว่าน่าจะใช้งบประมาณถึง 400,000 บาท คงต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะจะว่าในเขตชนบทการจะหาปัจจัยในจำนวนขนาดนี้เห็นจะเป็นการยากพอสมควร หรืออาจจะเร็วมากกว่าหากมีเจ้าภาพที่มีกำลังปัจจัยพอ

    ส่วนการบอกบุญนั้น เรียนพระอาจารย์แล้ว ท่านอนุญาตให้เป็นเป็นสะพานบุญ ดำเนินทำได้เลย บอกบุญหาเจ้าภาพมาร่วมสร้างถวายกัน ซึ่งตอนนี้ก็อยู่พิจารณาอยู่ ในช่วงดำเนินการจัดหาช่างและร้านแกะสลัก เหมือนที่ได้เคยเป็นสะพานบุญหาเจ้าภาพร่วมกันสร้างถวายที่วัดป่าพลาญจิก ต.ดงรัก
    อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
    ไปแล้วเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2556

    รายละเอียดทีเคยได้สร้างถวายแล้ว คลิกตามข้อความลิงค์ด้านเล่างนี้ได้เลยครับ

    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญ...ชมภาพในพิธีงานถวายพระหน้า-17-a.342801/page-17


    [​IMG]

    หากมีความคืบหน้าในการที่จะสร้างพระประธานเป็นอย่างไร จะได้มาประชาสัมพันธ์บอกบุญเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความศรัทธาได้เป็นเจ้าภาพร่วมกันสร้างพระประธานประจำศาลาปฏิบัติธรรมให้ทราบกันอีกครั้งนะครับ



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2014
  2. devbara

    devbara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,086
    ค่าพลัง:
    +5,400
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ร่วมทำบุญสร้างศาลาปฏิบัติธรรม วัดป่าเกาะภูเชือก ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
    -------------------------------
    ข้าพเจ้าและครอบครัวขอร่วมทำบุญทุกสิ่งทุกอย่างด้วย 70 บาท

    [​IMG]
     
  3. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747

    สาธุครับ ขออนุโมทนาบุญนะครับ
    ขอให้ท่านได้บุญนี้มากๆ ไม่รู้จบสิ้นนะครับ ให้
    เป็นดั่งร่มโพธิ์ ร่มไทร ติดตามท่านไม่รู้จบ

    โอกาสนี้กระผมกราบขออาราธนาอำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและอำนาจสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วสากล พิภพตลอดจนภพภูมิต่างๆ สายบุญต่างๆ และบุญกุศลคุณความดีทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องในสถานที่แห่งนี้ทั้งอดีตและ ปัจจุบันได้โปรดร่วมอนุโมทนา อภิบาล ดลบันดาล ให้ท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุข
    เจริญมั่นคงในอาชีพการงานยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นผู้ตกน้่ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นผู้หาโรคมิได้ เป็นผู้หาภัยมิได้มีอายุมั่นขวัญยืน และเป็นผู้เจริญในทาน ศิล ภาวนา ยิ่งๆขึ้นไปตรบจนเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  4. นทีสีทันดร

    นทีสีทันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    275
    ค่าพลัง:
    +1,002
    วันนี้1/5/57 เวลา 18.31 น. ได้โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน 50 บาท ครับ
     
  5. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุครับ ขออนุโมทนาบุญนะครับ
    ขอให้ท่านได้บุญนี้มากๆ ไม่รู้จบสิ้นนะครับ

    โอกาสนี้ กราบขออาราธนาอำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและ อำนาจสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วสากล พิภพตลอดจนภพภูมิต่างๆ สายบุญต่างๆ และบุญกุศลคุณความดีทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องในสถานที่แห่งนี้ทั้งอดีตและ ปัจจุบันได้โปรดร่วมอนุโมทนา อภิบาล ดลบันดาล ให้ท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุข เจริญมั่นคงในอาชีพการงานยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นผู้ตกน้่ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นผู้หาโรคมิได้ เป็นผู้หาภัยมิได้มีอายุมั่นขวัญยืน และเป็นผู้เจริญในทาน ศิล ภาวนา ยิ่งๆขึ้นไปตรบจนเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญฯ สาธุ
     
  6. arm150

    arm150 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +1,022
    ร่วมทำบุญจำนวน 200 บาทครับ
    โอนเมื่อ 05/05/2557 - 12:54
    อนุโมทนากับทุกท่านด้วยนะครับ
     
  7. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุ ขออนุโมทนาบุญ
    ขอให้ท่านได้บุญนี้มากๆ ไม่รู้จบสิ้นนะครับ

    โอกาส นี้กราบขออาราธนาอำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและ อำนาจสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วสากล พิภพตลอดจนภพภูมิต่างๆ สายบุญต่างๆ และบุญกุศลคุณความดีทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องในสถานที่แห่งนี้ทั้งอดีตและ ปัจจุบันได้โปรดร่วมอนุโมทนาบุญ อภิบาล ดลบันดาล ให้ท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุข เจริญมั่นคงในอาชีพการงานยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นผู้ตกน้่ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นผู้หาโรคมิได้ เป็นผู้หาภัยมิได้มีอายุมั่นขวัญยืน และเป็นผู้เจริญในทาน ศิล ภาวนา ยิ่งๆขึ้นไปตรบจนเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญฯ สาธุ
     
  8. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    อัปเดทความคืบหน้า ศาลาปฏิบัติธรรม วัดป่าเกาะภูเชือก​


    [​IMG]

    [​IMG]

    ขณะนี้ทางวัดได้ทำการสั่งซื้อ สังกะสีสันไทยโดยค่าอุปกรณ์ในการมุงหลังคา ทั้งหมดประมาณ 150,000 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท)โดยทางวัดได้จ่ายค่ามัดจำไปล้วงหน้า ประมาณ 30,000 บาท (สามหมื่นบาท) คงค้างค่าใช้จ่ายอุปกรณ์งวดต่อไป 120,000 บาท (หนึ่งแสนสองหมื่นบาท) ส่วนค่าแรงนั้นไม่มีค่าใช้จ่ายเพราะเป็นแรงงานชาวบ้านที่ศรัทธามาทำบุญช่วยครับ

    โอกาศนี้ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาและประชาสัมพันธ์หาผู้ใจบุญร่วมกันทำบุญปิดยอดค่าใช้จ่ายอุปกรณ์ที่คงค้างอยู่ได้มุงหลังคาให้แล้วเสร็จ

    สนใจติดต่อขอเป็นเจ้าภาพปิดยอดบุญมุงหลังคาศาลาปฏิบัติธรรมได้ที่
    คุณฐนกร เบอร์ติดต่อ 089-815-2289 ซึ่งขออนุญาติเป็นสะพานบุญให้
     
  9. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ปกิณณกธรรม

    พระพุทธเจ้าทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร เรื่องอนัตตาในขันธ์ ๕

    ต่อเหล่าพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ จนสำเร็จพระอรหันต์



    [​IMG]

    ตรัสถามความเห็นของพระปัญจวัคคีย์

    [๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

    พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

    ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.

    (โยนิโสมนสิการจากปฎิจจสมุปบาท และพระไตรลักษณ์ จะพบความจริงได้ด้วยตนเองในที่สุดว่า ทั้งสุขและทุกข์เพราะความไม่เที่ยง ย่อมเป็นทุกข์ในที่สุดทั้งสิ้น)

    ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

    ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

    ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

    ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

    ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

    ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

    ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

    ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. สังขารทั้งหลายเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

    ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

    ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

    ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

    ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.


    ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

    ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

    ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.


    ตรัสให้พิจารณาโดย ยถาภูตญาณทัสสนะ

    (ยถาภูตญาณทัสสนะ - ความรู้ความเห็น ตามความเป็นจริงอย่างถูกต้อง)​


    [๒๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล

    รูปอย่างใด อย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก(ภายในหมายถึงรูปกายของตน, ภายนอกหมายถึงของบุคคลอื่น) หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูป

    เธอทั้งหลาย พึงเห็นรูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบ (สัมมาญาณ) ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

    เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าเวทนา

    เธอทั้งหลาย พึงเห็นเวทนานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา

    (ไม่ใช่ของเราอย่างจริงแท้แน่นอน, เพียงเกิดแต่เหตุปัจจัย ขึ้นระยะหนึ่ง แล้วต้องแปรปรวนดับไปเป็นที่สุดอย่างจริงแท้แน่นอน).

    สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบ หรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าเวทนา

    เธอทั้งหลาย พึงเห็นสัญญานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

    สังขารทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอกหยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าสังขาร

    เธอทั้งหลาย พึงเห็นสังขารนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

    วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าวิญญาณ

    เธอทั้งหลาย พึงเห็นวิญญาณนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

    [๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้

    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ

    เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น, เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว


    อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    [๒๔] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว พระปัญจวัคคีย์มีใจยินดี เพลิดเพลิน ภาษิตของผู้มีพระภาค.

    ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของพระปัญจวัคคีย์พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

    ที่มา:http://www.nkgen.com/33.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2014
  10. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    วันนี้ที่วัดมีการทอดผ้าเพื่อหาปัจจัยสมทบทุนสร้างศาลา ผมได้ร่วมทำบุญเป็นวิหารทานน้อมถวายพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา
    เป็นจำนวนเงิน1000 บาทครับ ขอให้ทุกท่านได้บุญนี้ร่วมกันเยอะนะครับ สาธุ
     
  11. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xHkhVq32j9OxME8F" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/ecb/1BuGCF.jpg" /></a>
    ภาพ: ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าเกาะภูเชือกได้ทำการจ่ายค่าอุปกรณ์ที่ค้างชำระให้แก่ร้านวัสดุภัณฑ์
    สืบเนื่องจากได้ประชาสัมพันธ์บอกบุญไปเพื่อหาเจ้าภาพปิดยอดมุงหลังโดยใช้งบประมาณ 150,000 บาท นั้น บัดนี้ได้ปัจจัยมาครบแล้วซึ่งส่วนหนึ่งได้มาจากผ้าป่าสามัคคี จำนวน 60,000 บาท และได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์สุวิช เจ้าอาวาสวัดป่าพลาญจิก จ.ศรีสะเกษได้เมตตาอุปถัมย์ โอกาสนี้ขอร่วมอนุโมทนาบุญในความเมตตาของท่านเป็นอย่างสูงนะครับ ก็คงได้เห็นศาลาปฏิบัติธรรมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างและจะได้ทำการเทปูน เทพื้นโอกาสต่อไป ครับ
     
  12. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ปกิณณกธรรม​



    [​IMG]


    พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงเรื่อง...การเกิดของมนุษย์นั้นเป็นของยาก...


    ภิกษุทั้งหลาย

    ถ้าสมมติว่า มหาปฐพีอันใหญ่หลวงนี้ มีน้ำท่วมถึงเป็นอันเดียวกันทั้งหมด บุรุษคนหนึ่ง ทิ้งแอก ซึ่งมีรูเจาะได้เพียงรูเดียวลงไปในน้ำนั้น ,
    ลมตะวันออกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันตก,ลมตะวันตกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันออก, ลมทิศเหนือพัดให้ลอยไปทางทิศใต้,

    ลมทิศใต้พัดให้ลอยไปทางทิศเหนือ, อยู่ดังนี้ ในน้ำนั้น มีเต่าตัวหนึ่ง ตาบอด ล่วงไปร้อย ๆ ปี มันจะผุดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ๆ

    ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร,

    จะเป็นไปได้ไหม ที่เต่าตาบอด ร้อยปีจึงจะผุดขึ้นสักครั้งหนึ่ง จะพึงยื่นคอ

    เข้าไปในรู ซึ่งมีอยู่เพียงรูเดียวในแอกนั้น?"ข้อนี้ยากที่จะเป็นไปได้ พระเจ้าข้า.

    ที่เต่าตาบอดนั้น ร้อยปีผุดขึ้นเพียงครั้งเดียว

    จะพึงยื่นคอเข้าไปในรู ซึ่งมีอยู่เพียงรูเดียวในแอกนั้น"

    ภิกษุทั้งหลาย ยากที่จะเป็นไปได้ ฉันเดียวกัน ที่ใคร ๆ จะพึงได้ความเป็นมนุษย์, ยากที่จะเป็นไปได้

    ฉันเดียวกันที่ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะจะเกิดขึ้นในโลก,

    ยากที่จะเป็นไปได้ ฉันเดียวกัน ที่ธรรมวินัย อันตถาคตประกาศแล้ว จะรุ่งเรืองไปทั่วโลก.

    ภิกษุทั้งหลาย แต่ว่า บัดนี้ ความเป็นมนุษย์ก็ได้แล้ว , ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะก็บังเกิดขึ้นในโลกแล้ว,
    และธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ก็รุ่งเรืองไปทั่วโลกแล้ว.


    ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึงกระทำโยคกรรม เพื่อให้รู้ว่า
    "นี้ ทุกข์,นี้ เหตุให้เกิดทุกข์,นี้ ความดับแห่งทุกข์, นี้ หนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์" ดังนี้ เถิด.

    ............................................................................
    มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๔.


    [​IMG]


    พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงเรื่องการเกิดของมนุษย์นั้นเป็นของยาก คือต้องมีบุญบารมีมากพอจึงจะเกิดได้หากจะเปรียบเทียบเป็นเชิงอุปมาก็คือ เหมือนมี “เต่าตาบอดตัวหนึ่ง” ดำน้ำอยู่ในทะเล แล้วทุก ๆ 100 ปีเจ้าเต่าตาบอดตัวนี้จะโผล่หัวขึ้นมาจากทะเลครั้งหนึ่ง ในทะเลก็จะมีห่วงเล็ก ๆขนาดใหญ่กว่าหัวเต่าอยู่หน่อยหนึ่งลอยขึ้นมาอยู่หนึ่งห่วง โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมาแล้วหัวสวมเข้ากับห่วงพอดียากเพียงใด นั้นคงแทบจะบรรยายความยากกันไม่หมดว่ายากเพียงใด แต่โอกาสที่ยากเย็นถึงเพียงนั้น ก็ยังได้ชื่อว่า “มีมากกว่า” การที่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจะมีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์เสียอีก ทำไมเราจึงไม่เกิดเป็นมด เป็นแมลง เป็นนกหรือสุนัข ก็เพราะเราได้ทำบุญมาดีแล้วมีบุญบารมีสะสมมามากพอสมควรแล้วจึงเกิดมาเป็น มนุษย์ที่มีจิตใจสูงกว่าและมีโอกาสที่ดีกว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่ามี อะไรอีกมากมายหลายประการที่สัตว์เดรัจฉานและสัตว์เลื้อยคลานไม่อาจจะมีหรือ เป็นได้เลย

    [​IMG]

    เราจึงควรเห็นคุณค่าของการที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ว่าเมื่อการเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยากก็ต้องอย่าให้เสียโอกาสหรือเสียเวลาโดย เปล่าประโยชน์ ต้องหมั่นเอาใจใส่รักษาความเป็นมนุษย์คือประกอบด้วยศีลและคุณงามความดีนี้ ไว้ให้ได้อย่างมั่นคงเพื่อไม่ให้จิตตกต่ำและกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ ภูมิที่ไม่มีความสุขอย่าง ภูมิของสัตว์เดรัจฉานหรือสัตว์นรกผู้มีความทุกข์อีก เราไม่ควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องที่ว่า “ชาติที่แล้วนั้นเราจะมีอดีตชาติเป็นอย่างไรมากนัก” ผู้มีปัญญาย่อมมองแต่พฤติกรรมในปัจจุบันนี้เท่านั้น เราจึงไม่ต้องให้ความสนใจว่าใครจะชั่วร้ายหรือแสนดีมาแต่ชาติก่อนอย่างไร ควรจะมองต่อไปว่าในปัจจุบันนี้ตัวตนของเราเองในชาตินี้เป็นเช่นใดอย่างไร

    เนื่องจากกาลเวลาชาติภพอันยาวนานที่ผ่านมาเราไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้ เพราะเพียงแค่เวลาในชาติปัจจุบันชีวิตของเราก็มีความทุกข์และความยากลำบาก มากอยู่แล้ว หมายความว่า โดยธรรมชาติเราก็ไม่สามารถที่จะปล่อยวางสิ่งต่าง ๆได้อยู่แล้ว หากไปพัวพันกับเวลาของอดีตอนาคตให้จบยากลงอีก การรู้อดีตชาติจึงเป็นเพียงการรู้อดีตก็เพียงเพื่อรู้แล้วจะนำกลับมาเป็น พื้นฐานเพื่อแก้ไขชีวิตในปัจจุบันให้พัฒนาสูง ๆขึ้นไป เพราะร่างกายและจิตใจที่ดำรงอยู่ในชาติปัจจุบันมีผลอยู่จริงต้องอาศัย อยู่จริง สามารถเรียนรู้ความจริงได้ด้วยรูปและนามปัจจุบันนี้ ว่าแท้แล้วมีสภาพอย่างไร ต่างจากอดีตที่จบไปแล้วและอนาคตที่ยังมาไม่ถึง มีแต่ขณะนี้และเดี๋ยวนี้เท่านั้นที่เราจะต้องตั้งสติให้ดีเพื่อให้เราได้ สร้างกรรมใหม่ที่ขึ้นเพื่อให้กลายเป็นพื้นฐานในชีวิตที่ดีในอนาคตต่อไป

    [​IMG]

    เรื่อง ยากอีกประการหนึ่งนอกจากการมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือการได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เพราะกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมาตรัสรู้นั้น ต้องบำเพ็ญบารมีให้เต็มเปี่ยมเสียก่อน ไม่ใช่จะเป็นกันได้ง่าย ๆ พระโพธิสัตว์ท่านต้องบำเพ็ญบารมีเป็นเวลายาวนานอย่างน้อย ๒๐ อสงไขย กับแสนกัป บางพระองค์ต้องบำเพ็ญบารมีนานถึง ๘๐ อสงไขย จึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (กัป เป็นหน่วยวัดเวลาที่ยาวนานมาก สมมติว่ามีขุนเขากว้างใหญ่สูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์)
    (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร) ทุกเวลา ๑๐๐ ปี มีเทวดาเอาผ้าทิพย์เนื้อละเอียดมาลูบขุนเขานั้น ๑ ครั้ง ทำเช่นนี้
    ทุก ๑๐๐ ปี จนขุนเขานั้นสึกลงราบเสมอพื้นดิน ถือว่าเป็นเวลา ๑ กัป/อสงไขย เท่ากับ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ ยกกำลัง ๒๐)

    [​IMG]

    ในเมื่อ เราอุตส่าห์สร้างบุญกุศล รักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ จนกระทั่งได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ควรจะใช้โอกาสอันดีที่เกิดขึ้นได้ ยากนี้ให้คุ้มค่า ด้วยการแสวงหาสิ่งที่มีค่ามากที่สุดมาเพิ่มเติมให้ชีวิตของเรา การเกิดมาครั้งนี้จะได้ไม่ สูญเปล่าหรือขาดทุน สิ่งที่มีค่าสูงสุดของทุกชีวิตในสังสารวัฏ ก็คือ "บุญ" เพราะบุญคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง ความสุขความสำเร็จทั้งปวง ไม่ว่ามนุษย์หรือผู้ที่ ละโลกไปแล้ว จะมีความสุขความเจริญได้ล้วนต้องใช้บุญทั้งสิ้น


    [​IMG]


    บุคคลบางคนที่เกิดการบ่นว่าไม่อยากเกิดอีกนั้น เป็นเพราะว่าชีวิตกำลังมีความทุกข์ ประสบกับความเดือดร้อนใจ ความคับแค้นใจประการต่างๆ ซึ่งเป็นเพราะกำลังของกิเลสที่ได้สะสมมา และยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่เข้าใจผิดว่า การเกิด คือ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์เช่นนี้อีกทุกครั้งเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้ว การเกิดอีกนั้น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะการได้เกิดมาเป็นมนุษย์เท่านั้น เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ก็ได้ เกิดเป็นพรหมบุคคลในพรหมโลกก็ได้ หรือ เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิก็ได้ ขึ้นอยู่กับกรรมเป็นสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตราบใดที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้ อย่างเด็ดขาดถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องเกิดอีกในภพภูมิต่างๆ อย่างแน่นอน ยังไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์ไปได้ แม้บุคคลที่ได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว ท่านก็ยังต้องเกิดอีก แต่เกิดไม่เกิน ๗ ชาติและเกิดเฉพาะในสุคติภูมิเท่านั้น เพราะเหตุว่าพระอริยบุคคลจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ แต่ปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยกิเลส มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น กิเลสเหล่านี้ยังดับไม่ได้และยังไม่ได้เบาบางลงไปเลย ถึงอย่างไรก็ต้องได้เกิดอีก (ถึงแม้ว่าจะบอกว่าไม่อยากเกิดอีกก็ตาม) ยังต้องเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์ทั้งในสุคติภูมิและอบายภูมิอีกอย่างนับ ชาติไม่ถ้วน

    เป็นเรื่องที่ยากจริง ๆ กับการที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ดังข้อความในพระไตรปิฎกที่ยกมา ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมทุกประการ ชาติหน้าอาจจะไปเกิดในอบายภูมิก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น ซึ่งจะประมาทในชีวิตไม่ได้เลย เพราะถ้าหากอาศัยความประมาทเพียงนิดเดียว อาจจะนำพาเราไปสู่อบายภูมิ ซึ่งเป็นภูมิที่ปราศจากความเจริญในกุศลธรรม หมดโอกาสที่จะได้เจริญกุศลยิ่งขึ้น ก็เป็นได้

    เพราะฉะนั้น ด้วยเวลาเท่าที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ จึงควรเป็นไปเพื่อการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ และไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ ต่อไป.

    ชีวิตนี้ สั้นนัก ชีวิตนี้สำคัญ



    มนุษย์เราเอ๋ย .......... เกิดมาทำไม
    นิพพานมีสุข .......... หมดทุกข์มิไป
    ตัณหาหน่วงหนัก .......... คอยชักหน่วงไว้
    ฉันไปไม่ได้ .......... ตัณหาผูกพัน
    ห่วงนั้นพันผูก .......... ห่วงลูกห่วงหลาน
    ห่วงทรัพย์สินศฤงคาร .......... สละมันเถิด
    ชีวิตประเสริฐ .......... หยุดเกิดนิพพาน
    ข้ามพ้นสังขาร .......... ละสังขารไป

    ยามเมื่อหนุ่มสาว .......... รูปเจ้าก็งาม
    แก่ลงงุ่มง่าม .......... ไม่งามตรงไหน
    เอ็นใหญ่เก้าร้อย .......... เอ็นน้อยเก้าพัน
    ช่วยยึดสังขาร .......... ของท่านเอาไว้
    หนาวมากร้อนมาก .......... ก็อยากจะตาย
    ต้องกินต้องถ่าย .......... วุ่นวายทั้งวัน
    ขนคิ้วก็ขาว .......... ตาเจ้าก็มัว
    เส้นผมบนหัว .......... หงอกทั่วถึงกัน

    จะลุกก็โอย .......... จะนั่งก็โอย
    เหมือนดอกไม้โรย .......... โอดโอยสังขาร
    พึงเร่งภาวนา .......... อย่าช้าเร็วพลัน
    ให้เห็นสังขาร .......... เราท่านเกิดมา
    เป็นอนิจจัง .......... ทุกขังอนัตตา
    สร้างแต่ปัญหา .......... พาให้ทุกข์ทน

    ชีวิตร่างกาย .......... ต้องตายเป็นผี
    ลูกผัวที่มี .......... เขาหนีสับสน
    เปื่อยเน่าพุพอง .......... พี่น้องทุกคน
    เขาช่วยกันขน .......... ร่างตนเอาไป
    พวกญาติพี่น้อง .......... หามล่องสู่เมรุ
    ลำบากยากเข็ญ .......... ร่างเหม็นหนอนไช
    ต้องถูกไฟไหม้ .......... ย่างบนกองฟอน
    เป็นที่แน่นอน .......... เมื่อตอนเจ้าตาย
    โลภโมโหสัน .......... ของฉันของแก
    สิ่งใดไหนแน่ .......... เที่ยงแท้ไฉน

    ทรัพย์สินเงินทอง .......... เป็นของนอกกาย
    เอาไปไม่ได้ .......... ทิ้งไว้ทุกคน
    สมบัติทั้งมวล .......... เรือกสวนไร่นา
    ที่เจ้าอุตส่าห์ .......... ทำมาแต่ต้น
    ใช่เป็นของเจ้า .......... จะเอาติดตน
    มันไม่มีผล .......... ให้คนอื่นไป
    เงินบาทหนึ่งนั้น .......... ลูกหลานใส่ปาก
    สัปเหร่อยังควัก .......... ไม่อยากให้ใช้
    เงินในธนาคาร .......... ลูกหลานเอาไป
    ต่างแย่งแบ่งใช้ .......... หมดไปไม่นาน

    มนุษย์เราเอ๋ย .......... อย่าหลงนักเลย
    เป็นกรรมก่อเกย สังเวยสังขาร
    จงรีบทำบุญ .......... คำจุนศีลทาน
    มุ่งสู่นิพพาน .......... ด้วยกันทุกคน​

    do it NOW: บทปลงสังขาร

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2014
  13. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xMFR3H7kxrdYFEAM" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/55d/8BIhXo.JPG" /></a>




    ความรักของแม่ ที่มีต่อลูก​


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=028cMa6bFIw]เบบี้มายด์ สัญชาตญาณความเป็นแม่ - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=XlKqVLgqFaE]โฆษณาซึ้งๆที่อยากให้ดู - YouTube[/ame]
    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xLPHRa5mwnCYCu6D" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/35a/xCFnS9.jpg" /></a>



    เพียงตั้งครรภ์ยังไม่ทันเห็นหน้าเจ้า
    ในจิตเฝ้าผูกพันรักมั่นหนอ
    เป็นเลือดก้อนในอุทรท่านพะนอ
    สายเลือดหล่อเลี้ยงปลื้มลูกดื่มกิน

    มนุษย์เรามากมายหลายพันล้าน
    ที่แผ่ซ่านในพิภพจนจบสิ้น
    ผ่านบัณฑิตรวยจนบนแผ่นดิน
    ทุกคนสิ้นสืบกำเนิดเกิดจากครรภ์

    สตรีใดให้กำเนิดเกิดมนุษย์
    โลกสมมุตินามนิยมไว้คมสันต์
    เรียกว่าแม่มาแต่แรกที่แบกครรภ์
    เพราะแม่นั้นครอบครองป้องโลกไว้

    ถึงยากจนก็อดทนเพราะรักลูก
    จิตพันผูกรักยิ่งเกินสิ่งไหน
    ยามคลอดบุตรสุดสวาทแทบขาดใจ
    คลอดพ้นภัยเห็นหน้าเจ้าเฝ้าปรีดา

    เมื่อยามลูกอยู่ในครรภ์พรั่นใจนัก
    กลัวลูกรักจะเป็นทุกข์ไม่สุขา
    จะลุกนั่งเวียนระวังกินข้าวปลา
    คอยรักษาของเผ็ดร้อนก็ผ่อนคลาย

    พร่ำสวดมนต์ภาวนาฟ้าพิทักษ์
    ให้ลูกรักเลิศล้นคนทั้งหลาย
    แม้นเป็นชายก็ประเสริฐเลิศเกินชาย
    เป็นหญิงหมายยอดหญิงยิ่งกว่าใคร

    เมื่อลูกคลอดจากครรภ์แม่หรรษา
    มีเมตตายิ่งนักสุดรักใคร่
    พะนอเลี้ยงเพียงแก้วตายอดยาใจ
    ทั้งมดไรยุงริ้นมิไต่ตอม

    เฝ้าฟูมฟักรักเลี้ยงเพียงชีวิต
    แม่ตั้งจิตโลมเร้าเฝ้าถนอม
    ลูกหลายคนแม่ก็ทนเฝ้าอดออม
    คอยถนอมขวัญลูกผูกดวงมาลย์

    น้ำใจแม่เกื้อกูลการุณย์บุตร
    บริสุทธิ์สูงส่งพรหมวิหาร
    เป็นแม่พระป้องกันภัยอันธพาล
    คุณโอฬารใครไม่เกินกว่ามารดา


    ที่มา:คิดถึงแม่



    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xLPQt24rz9nrcilO" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/6f3/FoJreY.jpg" /></a>

    แม้จิตลูกอยู่ที่ใดในใต้หล้า
    ยังรักแม่เสมอมาแม้อยู่ไหน
    ขอให้แม่นั้นมีสุขพ้นทุกข์ภัย
    ลูกห่วงใยรักแม่มิเสื่อมคลาย

    ผ่านบทกลอนขอให้แม่สุขสมอารมณ์หมาย
    ขออย่าได้มีทุกข์ผิดพลาดหวัง
    เกิดชาติไหนให้ลูกเดินตามทาง
    จิตสว่างตามแม่บอกนั้นเถิดเอย

    สิบนิ้วลูกขอพนมก้มกราบ
    ขอปวงเทพเทวาคุ้มครองแม้ให้สุขขี
    ขออธิษฐานให้แม่พบสิ่งดีๆ
    ให้แม่นี้มีแต่ความสุขตลอดไป



    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xMFR2Z9XYf9a6Gc6" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/70e/dM0iE5.JPG" /></a>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2014
  14. sereenon

    sereenon เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +7,931
    ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างศาลาปฏิบัติธรรม วัดป่าเกาะภูเชือก 15 บาทและขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ

    pig_balletpig_balletpig_ballet​
     
  15. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วยนะครับ ขอให้ท่านได้บุญได้อานิสงส์นี้มากๆนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2014
  16. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ปกิณณกธรรม​


    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/wOIjoUIzzKjH9MVu" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/a35/OxKNk9.jpg" /></a>

    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xMbiyGP6m0AYiMfp" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/1c3/wuInVN.jpg" /></a>

    หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล




    ผู้รู้คือจิต จิตกับวิญญาณคือตัวเดี่ยวกันหรือไม่อย่างไร และผู้รู้ กับผู้ที่ถูกรู้นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ต้วตัวตนเรา สิ่งเข้าไปยึดว่าเป็นตัวเราคืออัตตา จิต คือ ผู้รู้

    มีผู้ถามว่า การที่จิตวิ่งออกมาไปจับตัวที่ถูกรู้ อาการเช่นนี้ ปฏิบัติได้หรือไม่?

    ในการปฏิบัตินั้น หากจิตมีการเคลื่อนออกมา นั้นคือ จิตวิ่งออกมาจากฐานมาเสวยอารมณ์อันเนื่องมาจากเผลอ สติไม่ทัน
    แบบนี้ละที่สายดูจิตอื่นพลาดไป เพราะไปตามอารมณ์แล้ว คิดว่านั้นคือการดูจิต
    แต่ที่ถูกต้องแล้วหลวงพ่อ ท่านมีปกติสอนเสมอๆว่า จิตที่จะข้ามภพข้ามชาติได้นั้นจะต้องเป็นจิตหนึ่ง กล่าวคือ มีตัวรู้อยู่เป็นหนึ่งในอารมณ์เดียว ไม่เป็นสอง

    ปกติของปุถุชน มักจิตส่งออกนอก โดยไม่เคยรู้เนื้อรู้ตัวเลย
    แต่ผู้ที่ปฏิบัติมาบ้าง มักเผลอสติ ส่งจิตออกนอกโดยไม่ตั้งใจ เนื่องมาจากความไม่รู้นั่นเอง
    แท้จริงแล้ว สิ่งที่ถูกรู้นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเผลอสติ ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ
    นักปฏิบัติโดยมากมักขาดสติ จึงนิยมไปตามสิ่งที่ถูกรู้ จนลืมตัวผู้รู้

    แต่ในทางการปฏิบัตินั้น หลวงพ่อเยื้อนท่านสอนลงรายละเอียดมากยิ่งกว่านั้น กล่าวคือ
    ทั้งตัวรู้ และถูกรู้ ก็ไม่หมายเอาทั้งคู่

    เพราะ ทั้งสองสิ่งนี้ ขนสัตว์โลก พาเวียนเกิดเวียนตายมาแล้ว นับภพนับชาติไม่ได้


    “ธรรมข้อนี้ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เคยสอนแบบพิสดารว่า

    ท่านเห็นกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
    ท่านเห็นตัวที่อยู่ในกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
    หลวงปู้ดูลย์ สรุปความเลยว่า ทั้งตัวที่เห็น และตัวที่ถูกเห็นในกระจกนี่ละตัวเกิด
    นิพพานอยู่ตรงกลางระหว่างตัวรู้กับตัวถูกรู้ นั่นละ”


    ดังนั้น สิ่งที่ผู้สนใจปฏิบัติพึงมี คือ ควรพยายามทำจิตให้เป็นหนึ่งก่อนอันดับแรก เพื่อไม่หลงไหลไปตามสิ่งที่ถูกรู้ ปฏิบัติให้รู้จนมีสติเกิดขึ้นกับตัวรู้จนเด่นชัดด้วยอำนาจของสติ

    กล่าวสรุปคือ

    “หากผู้รู้อยู่ไหน ก็ให้มีสติตามไปที่นั้น”


    เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติจะพบทางว่า การเรียนรู้จากตัวจิต คือการเรียนรู้จากผู้รู้นี่เอง เป็นการเรียนลงไปในสิ่งที่เป็นสัจจะ คือของจริงที่มีประจำโลก ไม่เคยหายไปไหน ทั้งพระพุทธเจ้า และหมู่สัตว์ก็มีของจริง คือ จิตดวงนี้เสมอเหมือนกันทุกนาม
    การเรียนจากของจริงเช่นว่านั้น ไม่ใช่เรียนจากสิ่งจิตปรุงหลอก หรือที่บางท่านเรียกว่า เงาของจิตนั่นเอง

    เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ท่านผู้ปฏิบัติจะค้นพบสัจธรรมอันเป็นความจริงได้เองว่า

    ผู้รู้ก็คือ จิต นั่นเอง
    ผู้รู้อยู่ที่ใด นั่นก็เรียกได้ว่า จิตก็อยู่ที่นั้นละ


    หากเมื่อผุ้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงจิตหนึ่งได้แล้ว
    ในขั้นนี้ จิตผู้รู้จะเริ่มทวนเข้าหาจิตเอง เนื่องจากอารมณ์ สังขาร สัญญาภายนอกออกแล้ว จิตจะสามารถแยกขันธ์ ออกได้เองว่า
    สิ่งใดเป็นจิต สิ่งใดเป็นสิ่งที่จิตปรุงขึ้น

    แต่ขั้นนี้ เราอาจจะวางไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะจิตยังคงไม่มีกำลังในการพิจารณา และวางสิ่งเหล่านั้นลง
    แต่จิตจะเริ่มทวนกระแสเข้าไปรับรู้สิ่งต่างๆ โดยสักแต่ว่ารู้ เห็น แล้ววาง

    จิตนั้นจะเริ่มเป็นปัจจุบัน เพราะ จะวางสิ่งที่พะรุงพะรัง ไม่กลับหวนนึกถึงอดีต และไม่มีความกังวลกับอนาคต
    แต่จิตจะดิ่งไปสู่ปัจจุบัน เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น โดยไม่ยึดถือ

    จิตจะวางเอง เพราะเห็นสิ่งที่เป็นจริงแล้ว สิ่งใดที่เป็นเงาของจิต เป็นอารมณ์ เป็นสัญญา เป็นสังขาร ที่รกรุงรัง จิตจะไม่ให้ความสนใจอีก
    ดังนั้น ที่ว่าดูจิตๆ บางครั้งนักภาวนามักหลงเข้าไปไปดูอาการของจิต เช่น รู้ว้าโกรธ รู้ว่าฟุ้งซ่าน รู้ว่าดีใจ เสียใจ สิ่งเหล่านี้คือไปรู้สิ่งที่ถูกรู้ เป็นอาการของจิตทั้งสิ้น ไม่ใช่จิต
    เหตุที่เราไปหลงดูเงาในกระจกแบบนี้ ก็เพราะขาดสตินั้นเอง

    หากจะกล่าวโดยธรรมดา ก็อาจจะกล่าวได้ว่า จิตเกิดสามารถเกิดนอกฐานที่ตั้งจิตก็ได้ จะไปตั้งที่ไหนก็ได้ แต่เราไม่พึงปฏิบัติเช่นนั้น เพราะจิตเป็นนามธรรม จิตที่สามารถจรไปจรมา นั่นคือ จิตที่วุ่นวาย เร่ร่อน ไม่เป็นหลักเเหล่ง จิตแบบนี้เองที่ไม่มีกำลัง ไม่สามารถสงบเป็นสมาธิได้ เมื่อไม่มีสมาธิเป็นฐานปัญญาก็ไม่เคยเกิด

    เหตุที่ต้องสมมติฐานที่ตั้งของจิต ขึ้นมา ก็เพื่อให้ทราบตำแหน่งที่แน่นอนของจิตนั่นเอง
    แต่เหตุที่เราต้องสร้างฐานให้จิตอยู่ทีเดิม ก็เหมือนกับสร้างบ้านให้จิตอยู่ ก็เป็นเสมือนฐานที่ตั้งให้จิตมั่นคง เป็นการสร้างฐานกำลังของจิตที่เรียกว่าสมาธิ

    เมื่อเรามีบ้านอยู่หลักแหล่งแล้ว เราจึงสามารถเรียกให้ยาม คือ สติสัมปชัญญะ มาเฝ้ารักษาบ้านเราได้
    เมื่อจิตไม่เร่ร่อน จนมีความมั่นใจในความปลอดภัย

    เมื่อนั่น จิตจะตั้งใจมั่นเอง โดยไม่ต้องกำหนดใจให้เป็นสมาธิ นี่คือ สมาธิที่แท้จริง

    สมาธิที่ต้องเข้าๆออกๆ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ

    สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่เกิดโดยธรรมชาติ ปราศจากความตั้งใจ
    แต่เป็นภาวะของจิตที่ตั้งมั่น มั่นคงด้วยสติ สติสัมปชัญญะ เป็นสมาธิโดยธรรมชาติ


    เหตุผลง่ายๆของการระลึกฐานที่ตั้งของจิต ก็เพื่อ สมมติให้จิตมีที่อยู่ มีที่ตั้งแน่นอน และเป็นเครื่องหมายของการกำหนดสติของเราเท่านั้นเอง

    เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว จิตที่ตั้งมั่นอยุ่ในฐานที่ตั้งมั่นของจิต จิตจะมีสติกำหนดจิตอยู่ในฐานที่ตั้งดังกล่าว
    หากผู้รับฟังสัมผัสทางหู หูก็จะรับหน้าที่รับเสียงไป แต่จิตอยู่ในฐานไม่ออกมารับ
    หากตาเห็นรูป ตาก็มีหน้าที่รับภาพไป แต่จิตไม่ส่งออกมารับ

    ผู้ปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว จะค้นพบว่า จิตมันเหมือนมีชีวิต อีกชีวิตหนึ่งที่ไม่ข้องกับร่างกาย
    ร่ายกายทำไรๆทำไป แต่ใจก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่สนใจ
    เมื่อถึงตอนนี้ เราจะแยกออกได้แล้วว่า จิตนั้นมีหน้าที่รับรู้
    ส่วนของสังขารเค้าก็มีหน้าที่ปรุงแต่ง ส่วนของสัญญาก็มีหน้าที่จำได้หมายรู้ทุกอย่างทำงานปกติ
    แต่ไม่เกี่ยวข้องกับจิต ต่างแยกหน้าที่กันทำ อยู่ด้วยกันแต่ไม่กระทบกัน

    ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากจะกล่าวการเริ่มต้น ก็คงไม่พ้นการกินน้ำเย็นตามแบบฉบับของหลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
    เพื่อให้นักปฏิบัติสามารถกำหนดฐานที่ตั้งของจิตให้ได้ แน่นหนามั่นคง จนกลายเป็นจิตหนึ่งนั่นเอง
    ส่วนที่เป็นรายละเอียดต่างๆ นั่น คือ ผลมาจากการที่ผู้รู้สอนเรานั่นเอง

    อัศจรรย์ของจิต ที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งท้าทายว่า ท่านจงลองมาดูเถิด นับเป็นเวลากว่า 2556 แล้ว
    บัดนี้ ยังคงทรงพุทธานุภาพไม่เสื่อมสลายไปตามกาล
    ธรรมย่อมประจักษ์แจ้งแก่ผู้ลงมือปฏิบัติตตามมรรคผลเสมอ ไม่เสื่อมคลาย


    https://www.facebook.com/notes/ลูกศ...ินทร์/ตอนที่-9-จิต-คือ-ผู้รู้/354489031326090
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2014
  17. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    อัปเดทความคืบหน้า​


    เมื่อวันอาทิตยที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเดินทางไป วัดป่าเกาะภูเชือก มาก็เลยถือโอกาสถ่ายรูปมาอัปเดทความคืบหน้าของการสร้าง ปัจจุบันนี้กำลังอยู่ในช่วงของการถมที่ดินเข้าไปในตัวศาลาเพื่อปรับสถาพพื้นที่ ซึ่งยังไม่ได้มุงศาลา เพราะต้องรอช่างและคนที่ศรัทธามาช่วยในช่วงว่างจากธุระ อาชีพการงานของแต่ละคนมาช่วยกัน



    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xMGuogSLauQNkaqk" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/771/FktvcO.JPG" /></a>
    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xMGugPkrdtmKel2y" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/1df/P5lbBv.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xMGuf3r1NuFke9cT" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/72c/z2TIKn.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xMGuiffalRP6SRkW" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/40b/d2R33Q.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xMGulr3iTSidcVin" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/239/0QPHoF.JPG" /></a>


    นอกจากนั้นโชดดีมากๆ ที่ได้มีโอกาสพบ คณะศรัทธาผู้ใจบุญ อย่างที่ตั้งใจไว้ซึ่งท่านได้เสียสละเวลาอันมีค่าของท่านเดินทางมาไกลมาก มาร่วมบุญ มาร่วมให้กำลังใจในการจัดสร้าง และท่านได้ถวายปัจจัยและเครื่องสังฆทานส่วนหนึ่งแก่พระสงฆ์ด้วย

    ทั้งนี้ทั้งคณะสงฆ์และก็ทายก พร้อมทั้งผู้ศรัทธาต่างก็รู้สึกยินดี ดีใจ ปลื้มปิติ อย่างยิ่งในกุศลเจตนา และความศรัทธาของท่านเป็นอย่างมาก โดยที่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน แม้กระทั้งตัวผมเองและพี่น้อย ต่างก็รู้สึกเหมือนกัน บ้างก็มีอาการขนลุกตลอดช่วงที่ท่านและคณะกรวดน้ำ ก็แปลกดี

    รู้สึกซาบซึ้ง ในน้ำจิต น้ำใจของท่าน ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ขอให้อำนาจบารมีคุณพระรัตนตรัย คุณศิล คุณธรรม บุญรักษา เทวดาคุ้มครองทุกท่านทั้งครอบครัวและผู้ที่เกี่ยวเนื่องนะครับ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2014
  18. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    อัปเดทความคืบหน้า​



    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xNKYb0bfM6fEYP79" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/g8a/ReHcRE.jpg" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xNKYc47iCUrxIRTW" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/g40/CHJ1a0.jpg" /></a>


    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xNKY9AgwDSmqwvhD" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/2a4/I3Geco.jpg" /></a>​
     
  19. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ปกิณกธรรม


    ขทิรังคารชาดก มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ว่าด้วยความเป็นผู้มีจิตใจมั่นคง​






    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xOwRPp5rdJn7Eeem" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/f77/gtkBKM.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xOwLWgYZ9w6zYNgs" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/f3d/FptrRG.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xOwLXGTIhFrgb7PU" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/643/xV48jT.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xOwLYoR4QRdhOkpW" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/f79/hVoBYf.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xOwLZsN7HI4xjD7b" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/561/mBa5A9.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xOwM0wJayyspCzd0" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/e5b/ikS0Xx.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xOwM1WDTGJtp7BpT" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/242/itf5ab.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xOwM30zWxrMUABDa" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/e8f/8ZIhdT.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xOwM44vZo6VuYV9Q" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/g2e/bb9x2n.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xOwM6co55F7eLssO" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/690/X337tn.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xOwM7gk7WwviVtw3" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/4e2/BMwKlh.JPG" /></a>




    ขทิรังคารชาดก

    :: สาเหตุที่ตรัสชาดก ::


    .....หลังจากท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างเชตวันมหาวิหารถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังคงเอาใจใส่บำรุงพระภิกษุสงฆ์อย่างสม่ำเสมอ ทานทั้งหลายที่ท่านบริจาคนั้นมากมายจนมิอาจประมาณค่าได้ ณ ซุ้มประตูที่ ๔ ของเรือนท่าน มีเทวดามิจฉาทิฎฐิองค์หนึ่งเข้าไปอาศัยอยู่ ทุกครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพุทธสาวกเสด็จผ่านเข้าไปในเรือน เทวดาไม่พอใจเพราะต้องอุ้มลูกลงไปอยู่ที่พื้นดิน เนื่องจากมีคุณธรรมต่ำกว่า แต่เทวดาไม่กล้าจะไปบอกกับท่านเศรษฐีเอง

    .....คืนหนึ่งจึงได้แผ่รัศมีปรากฏกายให้บุตรชายของท่านเศรษฐีเห็นพร้อมกับกล่าวว่า ให้เลิกทำทานเสียเถิดเพราะสมบัติอาจหมดไปได้ บุตรชายเศรษฐีโกรธที่เทวดาดูหมิ่นพระรัตนตรัยและไล่เทวดาให้ออกไป ท่านเศรษฐียังคงเลื่อมใสในคุณของพระรัตนตรัยและให้ทานอยู่เป็นนิตย์ จนกระทั่งช่วงหนึ่งท่านถึงความยากจนลงโดยลำดับ เทวดาผู้มีมิจฉาทิฎฐิจึงเข้าไปในห้องเศรษฐี แล้วยุยงให้เลิกทำทาน แต่ถูกท่านเศรษฐีไล่ให้ออกจากบ้านของตน เทวดาจึงได้คิดและสำนึกผิด ไปหาท้าวสักกเทวราชขอร้องให้ท่านพูดกับท่านเศรษฐีให้ แต่ท้าวสักกเทวราชตอบว่าไม่อาจทำได้ เพราะท่านได้กล่าวถ้อยคำอันไม่สมควร แต่แนะให้ไปตามทรัพย์สมบัติของท่านเศรษฐีที่สูญหายไปกลับคืนมายังคลังให้หมด เป็นการทำคุณไถ่โทษ ท่านอาจยกโทษให้ เทวดามิจฉาทิฏฐิรับเทวโองการแล้ว ไปตามสมบัติจนเรียบร้อยแล้วจึงไปขอให้ท่านยกโทษให้ ท่านเศรษฐีกล่าวว่า ต้องให้พระบรมศาสดาอดโทษให้

    ..... รุ่งขึ้นจึงพาเทวดานั้นไปยังเชตวันมหาวิหาร กราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ เมื่อพระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ ดูก่อนคฤหบดี บุคคลผู้กระทำกรรมลามกในโลกนี้ เมื่อกรรมอันเป็นบาปนั้น ยังไม่ให้ผล บุคคลผู้นั้นยังได้รับความสุข ความเจริญอยู่ ต่อเมื่อใด กรรมอันเป็นบาปนั้นให้ผล ตนจึงได้รับผลแห่งบาปนั้น ” เมื่อจบพระคาถา เทวดานั้นได้บรรลุโสดาปัตติผล

    .....จากนั้นพระบรมศาสดาได้ตรัสยกย่องท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่าเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย และมีความเห็นอันบริสุทธิ์ แล้วจึงตรัสเรื่อง ขทิรังคารชาดก

    :: ข้อคิดจากชาดก ::

    ..... ๑ . มิจฉาทิฏฐิมีทั้งในเทวดาและมนุษย์ ดังนั้น สมาชิกในครอบครัวเดียวกันควรต่างเอาใจใส่ เป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน

    ..... ๒ . การพักอาศัยอยู่กับผู้อื่นในฐานะใดก็ตาม อย่าได้นิ่งดูดาย ควรทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อเจ้าบ้าน แม้ช่วยได้เพียงเล็กน้อยก็ควรทำ

    ..... ๓. ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

    ...... ๔. มหาเศรษฐีนั้นเป็นผู้คิดจริง ทำจริง ทำบุญด้วยใจที่บริสุทธิ์ ไม่ทำไปเพราะความเกรงใจ ไม่คิดเล็ก ไม่คิดน้อย ไม่คิดมาก ไม่ยึดติดในทานที่ตนบริจาคหรือทำไป หากใจศรัทธาแล้ว มีประโยชน์ และเกื้อกูลต่อผู้อื่นแล้ว ทำแล้วมีความสุข สบายใจ และศรัทธาในขณะนั้น จงรีบทำทันที เพราะทำบุญก็ต้องได้บุญ ทำดีได้ดี ทำชั่วก็ย่อมได้รับผลกรรมของตนในสักวัน

    ...... ๕. การทำบุญนั้นจะต้องไ่ม่ทำให้บุคคลอื่น มีความทุกข์ มีความกังวล หรือเดือดร้อน จากการคิด การกระทำ การตัดสินใจของตนเอง ทำแล้วต้องให้เกียรติ ไม่ดูถูกผู้อื่นและผู้รับทาน และดูถูกว่าทานของตนหรือของผู้อื่นที่ทำไปว่ามาก ว่าน้อย มีความเคารพ ความเกรงใจ ในผู้ทรงศิลที่สูงกว่าตน จิตใจมีความสุข ความปิติ เกิดประโยชน์ทั้งผู้ให้และผู้รับ

    ..... ๖. ในการทำความดี เมื่อตุั้งเจตนาไว้แล้ว ควรมีจิตตั้งมั่น หากพร้อมแล้ว สะดวกแล้ว ไม่รีรอ พลัดวันประกันพรุ่ง อนาคตเป็นอนิจจัง อาจไม่มีโอกาสได้ทำก็ได้ ให้รีบทำทันที ลงมือทำด้วยตนเอง ทำให้สำเร็จ สำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่สำเร็จแล้วด้วยใจที่เจตนา แม้จะมีอุปสรรคอันใดก็ตาม ไม่หวั่นไหว เพราะบุญทีทำก็ย่อมเป็นบุญของตน ย่อมเป็นรับผลของบุญนั้น เป็นที่พึ่งติดตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ


    อ้างอิงจาก:นิทานชาดก : มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ขทิรังคารชาดก ว่าด้วยความเป็นผู้มีจิตใจมั่นคง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2014
  20. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    อัปเดทความคืบหน้า​


    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xPZB94iaekXVPKY9" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/669/z5jPUY.jpg" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xPZB9qgQvLwZI0FX" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/24c/z3UPSv.jpg" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xPZBaQbzE0jbxcee" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/g10/LLTuiE.jpg" /></a>

    ขณะนี้ ยังเปิดรับศรัทธาอยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะเสร็จนะครับ โมทนา



    คติธรรมข้อควรพิจารณา
    นันทิยะ มนุษย์ผู้มีบ้านบนสวรรค์​

    (ข้อมูลจาก :พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓)​


    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในป่าอิสิปตนะ ทรงปรารภนายนันทิยะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "จิรปฺปวาสึ" เป็นต้น.

    นันทิยะเป็นอนุชาตบุตร
    ได้ยินว่า ในกรุงพาราณสี ได้มีบุตรแห่งตระกูลซึ่งถึงพร้อมด้วยศรัทธาคนหนึ่ง ชื่อนันทิยะ เขาได้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธาบำรุงสงฆ์แท้ อนุรูปแก่มารดาบิดาเทียว.
    ครั้นในเวลาที่เขาเจริญวัย มารดาบิดาได้มีความจำนงจะนำธิดาของลุง ชื่อว่าเรวดี มาจากเรือนอันตรงกันข้าม. แต่นางเป็นคนไม่มีศรัทธา ไม่มีการให้ปั่นเป็นปกติ นายนันทิยะจึงไม่ปรารถนานาง.
    ลำดับนั้น มารดาของเขากล่าวกะนางเรวดีว่า "แม่ เจ้าจงฉาบทาสถานที่นั่นของภิกษุสงฆ์ แล้วปูลาดอาสนะไว้ในเรือนนี้ จงตั้งเชิงบาตรไว้. ในเวลาภิกษุทั้งหลายมาแล้ว จงรับบาตร นิมนต์ให้นั่ง เอาธมกรกกรองน้ำฉันถวาย แล้วล้างบาตรในเวลาฉันเสร็จ; เมื่อเจ้าทำได้อย่างนี้ ก็จักเป็นที่พึงใจแก่บุตรของเรา."
    นางได้ทำอย่างนั้นแล้ว.
    ต่อมา มารดาบิดาเล่าถึงความประพฤติของนางนั้นแก่บุตร ว่า "นางเป็นผู้อดทนต่อโอวาท" เมื่อเขารับว่า "ดีละ" จึงกำหนดวันแล้ว ทำอาวาหมงคล.
    ลำดับนั้น นายนันทิยะกล่าวกะนางว่า "ถ้าเธอจักบำรุงภิกษุสงฆ์และมารดาของฉัน, เป็นเช่นนี้ เธอก็จักได้พัสดุในเรือนนี้ จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด."
    นางรับว่า "ดีละ" แล้วทำทีเป็นผู้มีศรัทธาบำรุงอยู่ ๒-๓ วัน จนคลอดบุตร ๒ คน.
    มารดาบิดาแม้ของนายนันทิยะ ได้ทำกาละแล้ว.
    ความเป็นใหญ่ทั้งหมดในเรือน ก็ตกอยู่แก่นางเรวดีนั้นคนเดียว.

    นันทิยะดำรงตำแหน่งทานบดี

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xPZJI6rN0iOMZTE3" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/6e9/MqnPB2.jpg" /></a>

    จำเดิมแต่มารดาบิดาทำกาละ แม้นายนันทิยะก็เป็นมหาทานบดี เตรียมตั้งทานสำหรับภิกษุสงฆ์. และเริ่มตั้งค่าอาหารแม้สำหรับคนกำพร้าและคนเดินทางเป็นต้น ไว้ที่ประตูเรือน.
    ในกาลต่อมา เขาฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา กำหนดอานิสงส์ในการถวายอาวาสได้แล้ว ให้ทำศาลา ๔ มุข ประดับด้วยห้อง ๔ ห้อง ในมหาวิหารในป่าอิสิปตนะแล้ว ให้ลาดเตียงและตั่งเป็นต้น

    เมื่อจะมอบถวายอาวาสนั้น ได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วถวายน้ำทักขิโณทก แด่พระตถาคต. ปราสาททิพย์สำเร็จโดยรัตนะ ๗ ประการ สมบูรณ์ด้วยหมู่นารี มีประมาณ ๑๒ โยชน์ในทิศทั้งปวง เบื้องบนสูงประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ผุดขึ้นในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ พร้อมด้วยการตั้งน้ำทักขิโณทกในพระหัตถ์ของพระศาสดาทีเดียว.

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xpidRInaCi7JsVY9" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/2e2/9XmRfv.png" /></a>


    พระมหาโมคคัลลานะไปเยี่ยมสวรรค์

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xpidqq0EMkPT5Mw0" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/c16/nCRi2a.png" /></a>

    ภายหลังวันหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานเถระไปสู่ที่จาริกในเทวโลก ยืนอยู่แล้วในที่ไม่ไกลจากปราสาทนั้น ถามเทวบุตรทั้งหลายซึ่งมาสู่สำนักของตนว่า "ปราสาททิพย์เต็มด้วยหมู่นางอัปสรนั่น เกิดแล้วเพื่อใคร."
    ลำดับนั้น พวกเทวบุตรนั้น เมื่อจะบอกเจ้าของวิมานแก่พระเถระนั้น จึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ วิมานนั่นเกิดแล้วเพื่อประโยชน์แก่บุตรคฤหบดี ชื่อนันทิยะ ผู้สร้างวิหารถวายพระศาสดา ในป่าอิสิปตนะ."

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xpiiVNxpQQiAx1pH" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/g10/QyJLAf.png" /></a>

    ฝ่ายหมู่นางอัปสรเห็นพระเถระนั้นแล้ว ลงจากปราสาทกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ พวกดิฉันเกิดในที่นี้ ด้วยหวังว่า ‘จักเป็นนางบำเรอของนายนันทิยะ’ แต่เมื่อไม่พบเห็นนายนันทิยะนั้น เป็นผู้ระอาเหลือเกิน ด้วยว่าการละมนุษยสมบัติ แล้วถือเอาทิพยสมบัติ ก็เช่นกับการทำลายถาดดินแล้วถือเอาถาดทองคำฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าพึงบอกเขา เพื่อประโยชน์แก่การมา ณ ที่นี้."



    ทิพยสมบัติเกิดรอผู้ทำบุญ

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xPZJJSlcql9jtq8j" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/4d8/u8TZkv.jpg" /></a>

    พระเถระกลับมาจากเทวโลกนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลถามว่า "พระเจ้าข้า ทิพยสมบัติย่อมเกิดแก่บุคคลผู้ทำความดีที่ยังอยู่มนุษย์โลกนี่เอง หรือหนอแล?"
    พระศาสดา. โมคคัลลานะ ทิพยสมบัติที่เกิดแล้วแก่นายนันทิยะในเทวโลก อันเธอเห็นแล้วเองมิใช่หรือ? ไฉนจึงถามเราเล่า?
    โมคคัลลานะ. ทิพยสมบัติเกิดได้อย่างนั้นหรือ? พระเจ้าข้า.
    ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพระเถระนั้นว่า
    "โมคคัลลานะ เธอพูดอะไรนั่น? เหมือนอย่างว่า ใครๆ ยืนอยู่ที่ประตูเรือน เห็นบุตรพี่น้องผู้ไปอยู่ต่างถิ่นมานาน (กลับ) มาแต่ถิ่นที่จากไปอยู่ พึงมาสู่เรือนโดยเร็ว บอกว่า ‘คนชื่อโน้น มาแล้ว’ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกญาติของเขาก็ยินดีร่าเริงแล้ว ออกมาโดยขมีขมัน พึงยินดียิ่งกะผู้นั้นว่า ‘พ่อ มาแล้ว พ่อ มาแล้ว’ ฉันใด;
    เหล่าเทวดา (ต่าง) ถือเอาเครื่องบรรณาการอันเป็นทิพย์ ๑๐ อย่างต้อนรับด้วยคิดว่า ‘เราก่อน เราก่อน’ แล้วย่อมยินดียิ่งกะสตรีหรือบุรุษผู้ทำความดีไว้ในโลกนี้ ซึ่งละโลกนี้แล้วไปสู่โลกหน้าฉันนั้นเหมือนกัน ดังนี้แล้ว"


    ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
    จิรปฺปวาสึ ปุริสํ ทูรโต โสตฺถิมาคตํ
    ญาตี มิตฺตา สุหชฺชา จ อภินนฺมนฺติ อาคตํ
    ตเถว กตปุญฺญมฺปิ อสฺมา โลกา ปรํ คตํ
    ปุญฺญานิ ปฏิคณฺหนฺติ ปิยํ ญาตีว อาคตํ.
    ญาติ มิตร และคนมีใจดีทั้งหลาย เห็นบุรุษ
    ผู้ไปอยู่ต่างถิ่นมานาน มาแล้วแต่ที่ไกลโดยสวัสดี
    ย่อมยินดียิ่งว่า ‘มาแล้ว’ ฉันใด, บุญทั้งหลายก็ย่อม
    ต้อนรับแม้บุคคลผู้กระทำบุญไว้ ซึ่งไปจากโลกนี้สู่
    โลกหน้า ดุจพวกญาติเห็นญาติที่รักมาแล้ว ต้อนรับ
    อยู่ ฉันนั้นแล.


    :: ข้อคิดจากพระสูตร ::
    : ผู้มีบุญมีจิตเป็นกุศล ย่อมเป็นผู้แสวงหาบุญ กุศลสม่ำเสมอ
    : เมื่อเป็นผู้ที่มีโอกาส มีความฉลาดในการเป็นผู้ไม่ประมาท ไม่ละทิ้งในโอกาสของตน
    : การสั่งสมบุญย่อมนำสุขมาให้ ยิ่งเป็นผู้ให้ ก็ยิ่งเป็นผู้ได้รับ และเป็นเหตุปัจจัยให้เข้าถึงความพ้นทุกข์
    : ทำดีย่อมได้ดี หว่านพืชฉันใด ย่อมได้ผลในฉันนั้นสักวัน อยู่ที่เหตุและปัจจัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...