อานิสงส์แห่งวิหารทานร่วมสร้างศาลาปฏิบัติธรรม วัดป่าเกาะภูเชือก

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย tanakorn_ss, 15 มกราคม 2014.

  1. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    อัปเดทความคืบหน้า

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xrnTIuoKsD3sZyfL" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/g38/35U0x9.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xrnTKgi9SIRCVXaF" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/g49/zBDEXY.JPG" /></a>

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xrnTQhVKHnfHlFLi" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/599/lKduPx.JPG" /></a>
     
  2. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [​IMG]

    [​IMG]



    ทศชาติชาดก เรื่อง เนมิราชชาดก



    บำเพ็ญ อธิษฐานบารมี

    "สิ่งที่ได้มาเพราะผู้อื่นให้ เปรียบเหมือนยานพาหนะหรือเงินทองที่ยืมเขามา เราไม่ปรารถนาสิ่งของที่ผู้อื่นให้

    บุญที่เราทำด้วยตัวของเราเองย่อมเป็นทรัพยที่จะติดตามเราตลอดไป"

    เนมิราช เป็นชาดกที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าถึงเรื่องราวในอดีตชาติของพระองค์ เมื่อครั้งพระองค์เกิดเป็นพระเจ้าเนมิราช ครองราชสมบัติในกรุงมิถิลานคร ทรงมีปณิธานที่จะบำเพ็ญ "อธิษฐานบารมี" แม้เหล่าเทพทั้งหลายจะเชื้อเชิญพระองค์ในทิพยสมบัติก็ไม่ปรารถนา อธิษฐานใจที่จะทำบุญกุศลด้วยตนเอง


    [​IMG]

    ขณะตรัสเล่าเรื่องเนมิราชนั้น พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระราชอุทยานอัมพวันของพระเจ้ามฆเทวราช ทรงอาศัยกรุงมิถิลานครนั้นเองสำหรับบิณฑบาต

    ในเวลาเย็นวันหนึ่ง พระพุทธองค์พร้อมด้วยหมู่พระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมาก เสด็จจาริกผ่านไปในพระราชอุทยานอัมพวันนั้น พระพุทธองค์ทอดพระเนตรภูมิประเทศแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ร่มรื่นเย็นสบาย ทรงประสงค์จะตรัสเล่าเรื่องในอดีตชาติของพระองค์ให้หมู่พระภิกษุสงฆ์ฟัง จึงทรงแย้มพระโอฐ พระอานนทเถระทูลถามถึงเหตุที่ทรงแย้มพระโอฐ จึงตรัสว่า "อานนท์ ภูมิประเทศนี้เราเคยอาศัยเจริญฌาน เมื่อครั้งเกิดเป็นมฆเทวราชา" แล้วก็ทรงทอดพระสรุเสียงดุษณีภาพนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หมู่พระภิกษุสงฆ์กราบทูลวิงวอนให้พระองค์ตรัสเล่าเรื่องพระเจ้ามฆเทวราชให้ฟัง จึงประทับนั่งบนอาสนะสำหรับพระพุทธเจ้าที่พระภิกษุสงฆ์ปูเตรียมไว้ เริ่มตรัสเล่าเรื่องราวอดีตชาติของพระองค์ เมื่อครั้งเกิดเป็นพระเจ้ามฆเทวราช ดังต่อไปนี้

    ปฐมบรมราชวงศ์นักบวช

    ในอดีตชาติ มีพระมหากษัตริย์พระนามว่า "มฆเทวราช" ครองราชสมบัติในกรุงมิถิลานคร แคว้นวิเทหรัฐ พระองค์ทรงอยู่ในวัยเยาว์ เล่นสนุกสนานเพลิดเพลินอย่างพระราชกุมารอยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี หลังจากนั้นจึงได้รับการอภิเษกเป็นสมเด็จพระมหาอุปราช ๘๔,๐๐๐ ปี ครั้นพระบิดาสิ้นพระชนม์จึงได้ขึ้นครองราชย์ เสวยราชสมบัติเป็นเวลา ๘๔,๐๐๐ ปี ครั้นขึ้นครองราชย์ ทรงรับสั่งพนักงานภูษามาลาไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เห็นผมบนศีรษะของพระองค์หงอกให้บอกแก่พระองค์ พระเจ้ามฆเทวราช ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรมเสมอมา

    ครั้นกาลต่อมา เจ้าพนักงานภูษามาลาเห็นผมหงอกบนพระเศียรของพระองค์แล้ว จึงกราบทูลให้ทรงทราบ พระองค์รับสั่งให้ถอนด้วยแหนบทองคำ วางไว้ในพระหัตถ์ ทรงทอดพระเนตรเห็นผมหงอกแล้ว เหมือนเห็นความตายปรากฏอยู่ที่พระนลาฏ
    ทรงดำริว่าถึงเวลาที่จะต้องบวชแล้ว จึงพระราชทานบ้านส่วยให้เจ้าพนักงานภูษามาลา แล้วตรัสเรียกพระโอรสองค์โตมาตรัสมอบราชสมบัติว่า "ลูกจงรับราชสมบัติปกครองบ้านเมือง พ่อจะบวช" พระโอรสทูลถามถึงเหตุที่จะทรงผนวช พระองค์จึงตรัสว่า "ผมหงอกบนศีรษะของพ่อ เป็นเทวทูตมาปรากฏบ่งบอกให้รู้ว่าพ่อแก่แล้ว จึงเป็นเวลาที่พ่อจะต้องบวช"

    พระองค์ทรงอภิเษกพระโอรสไว้ในราชสมบัติ กล่าวสอนว่า "แม้ตัวลูกเอง เมื่อเห็นผมหงอกอย่างนี้แล้ว ก็ควรบวช" แล้วเสด็จออกจากพระนคร ทรงผนวชเป็นฤๅษี เจริญพรหมวิหาร ๔ ตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี ก็สิ้นพระชนม์ ไปเกิดในพรหมโลก แม้พระมหากษัตริย์ผู้เป็นราชโอรสของพระเจ้ามฆเทวราชองค์ต่อๆ มา ก็ปฏิบัติตามปฐมบรมมหากษัตริยาธิราชสืบต่อมายาวนานเกือบ ๘๔,๐๐๐ องค์ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ทอดพระเนตรเห็นเส้นผมบนพระเศียรหงอกแล้ว ก็ทรงผนวชในพระราชอุทยานอัมพวันแห่งนี้ เจริญพรหมวิหาร ๔ ครั้นสิ้นพระชนม์ก็ไปเกิดในพรหมโลก


    กำเนิดเนมิราช
    บรรดาพระมหากษัตริย์เกือบ ๘๔,๐๐๐ นั้น พระมหากษัตริย์พระนามว่า "มฆเทวราช" เป็นต้นราชวงศ์พระมหากษัตริย์นักบวช ได้ไปเกิดในพรหมโลกก่อนกษัตริย์ทุกพระองค์ ทรงทราบว่าราชวงศ์ของพระองค์สืบทอดการออกบวชมายาวนานถึง ๘๓,๙๙๘ องค์ ก็ยินดี ทรงพิจารณาต่อไปว่าจากนี้ไปราชวงศ์กษัตริย์นักบวชของพระองค์จะยังมีผู้สืบต่อหรือไม่ ก็ทรงทราบว่ากษัตริย์พระองค์นี้เป็นองค์สุดท้าย จะสิ้นสุดราชวงศ์นักบวชลงแต่เพียงเท่านี้ ทรงคิดว่าพระองค์นี่แหละควรจะสืบต่อราชวงศ์ของพระองค์ จึงจุติจากพรหมโลกลงมาถือปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหสีของพระราชาในกรุงมิถิลานคร เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๘๓,๙๙๙

    เมื่อพระกุมารประสูติ พระราชาตรัสเรียกพราหมณ์มาทำนายลักษณะ พวกพราหมณ์กราบทูลให้ทราบว่าพระราชกุมารผู้สืบราชวงศ์นักบวชมาประสูติแล้ว หลังจากพระกุมารนี้จะไม่มีพระมหากษัตริย์จากราชวงศ์นี้ออกบวชอีกต่อไป

    พระราชาทรงสดับดังนั้น ทรงดำริว่าพระโอรสพระองค์นี้เกิดมาเพื่อสืบต่อราชวงศ์ ดุจล้อรถนำรถให้เคลื่อนไป จึงขนานนามว่า "เนมิกุมาร" แปลว่า "พระกุมารผู้เกิดมาเพื่อสืบต่อราชวงศ์"

    พระเนมิกุมารมีอุปนิสัยน้อมไปในการบริจาคทาน รักษาศีลและอุโบสถกรรมตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ครั้นอยู่ต่อมา พระชนกทอดพระเนตรเห็นเส้นผมบนพระเศียรหงอก ก็พระราชทานบ้านส่วยแก่เจ้าพนักงานภูษามาลา มอบราชสมบัติแก่พระราชโอรส แล้วทรงผนวชในพระราชอุทยานอัมพวัน ตามโบราณราชประเพณี ครั้นสิ้นพระชนม์ได้ไปเกิดในพรหมโลก

    เมื่อพระเจ้าเนมิราชครองราชย์สมบัติในมิถิลานคร พระองค์โปรดให้สร้างโรงทาน ๕ แห่ง คือ ที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง พระราชทานทรัพย์ที่โรงทานแห่งละ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ รวมเป็นทรัพย์ที่บริจาคในแต่ละวันถึง ๕๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ทรงรักษาศีล ๕ เป็นประจำ สมาทานรักษาอุโบสถศีลทุกวันพระอุโบสถ ทรงนำอาณาประชาราษฎร์ให้ทาน แสดงธรรมสั่งสอนให้ทราบทางที่จะไปเกิดในสวรรค์ กระตุ้นเตือนให้กลัวนรก ประชาชนฟังพระบรมราโชวาทของพระองค์แล้วให้ทานเป็นต้น ครั้นสิ้นชีวิตก็ไปบังเกิดในเทวโลก ขณะนั้นเทวโลกเต็มไปด้วยเหล่าเทวดา ส่วนนรกเงียบเหงาเหมือนว่างเปล่า

    กาลนั้นหมู่เทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประชุมกันที่เทวสถาน ชื่อ "สุธรรมา" ต่างสรรเสริญพระมหาสัตว์ว่า "พระเจ้าเนมิราช เป็นพระอาจารย์ของพวกเรา เพราะอาศัยพระองค์แนะนำสั่งสอน พวกเราจึงได้เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์"

    แม้ในมนุษยโลกมหาชนก็สรรเสริญคุณของพระมหาสัตว์เช่นกัน เสียงเล่าขานสรรเสริญพระเนมิราชแผ่ไพศาลไป เหมือนน้ำมันที่เทราดลงกลางมหาสมุทรลอยฟ่องกระจายแผ่ไพศาลไปทั่วท้องน้ำ

    เมื่อพระเจ้าเนมิราชทรงบริจาคทานอยู่ พระองค์ก็เกิดความสงสัยในทานว่า ระหว่างการให้ทานกับการประพฤติพรหมจรรย์ อย่างไหนมีผลานิสงส์มากกว่ากัน

    พระเจ้าเนมิราชทรงสมาทานอุโบสถศีล ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ ทรงเปลื้องเครื่องทรงของพระราชาออกหมด บรรทมบนพระยี่ภู่มีสิริ หยั่งลงสู่นิทราตลอดสองยาม ตื่นบรรทมในยามสุดท้าย ทรงคู้บัลลังก์นั่งขัดสมาธิ ดำริว่าพระองค์ให้ทานเป็นจำนวนมากแก่มหาชนทั้งศีลก็รักษา การให้ทานหรือการประพฤติพรหมจรรย์มีผลมาก ทรงพิจารณาอยู่ก็ไม่สามารถตัดความสงสัยได้

    ขณะนั้น พิภพแห่งท้าวสักกเทวราชเกิดเร่าร้อน พระองค์ทรงพิจารณาก็ทราบว่าพระเจ้าเนมิราชกำลังเกิดความสงสัยในอานิสงส์ของการให้ทานและการประพฤติพรหมจรรย์ว่าอย่างไหนมีผลมากกว่ากัน ประสงค์จะทำให้พระองค์คลายความสงสัย จึงเสด็จมาตามลำพังเพียงพระองค์เดียว ทำให้พระราชนิเวศน์ส่องสว่างไปทั่ว แล้วเสด็จเข้าสู่ห้องบรรทมของพระเจ้าเนมิราช แผ่รัศมีสว่างรุ่งเรืองสถิตอยู่ในอากาศ พระเจ้าเนมิราชเห็นเช่นนั้นเกิดพระโลมชาติชูชันขนผองสยองเกล้า เพราะไม่เคยเห็นแสงสว่างเจิดจรัสเช่นนี้มาก่อน

    ท้าวสักกะปลอบพระเจ้าเนมิราชว่าอย่าทรงหวาดกลัว แล้วเชิญให้ถามปัญหาที่ต้องการทราบ พระเจ้าเนมิราชได้โอกาส จึงตรัสถามอานิสงส์ของทานและพรหมจรรย์ว่าอย่างไหนมีผลานิสงส์มากกว่ากัน

    ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่าการประพฤติพรหมจรรย์นั้นมีอานิสงส์มาก จึงตรัสบอกว่า "บุคคลเกิดในขัตติยราชสกุล เพราะประพฤติพรหมจรรย์อย่างต่ำ เกิดเป็นเทวดาเพราะประพฤติพรหมจรรย์อย่างกลาง บุคคลบริสุทธิ์เพราะประพฤติพรหมจรรย์อย่างสูงสุด ใครๆ จะเป็นพรหมด้วยการสวดอ้วนวอนก็หาไม่ ผู้สละเหย้าเรือนบำเพ็ญตบธรรม จึงจะได้ไปบังเกิดในพรหมโลก การประพฤติพรหมจรรย์มีผลมากกว่าการให้ทาน ร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า"

    ทรงยกตัวอย่างพระราชาในอดีต ที่ทรงบริจาคทานเป็นอันมาก แต่ก็ไม่สามารถก้าวล่วงสวรรค์ชั้นกามาพจรไปได้ว่า "ในกาลก่อน พระเจ้าทุทีปราช ครองราชย์ในกรุงพาราณสี ทรงบริจาคทานเป็นอันมาก ครั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นกามาพจรเท่านั้น

    ส่วนพระราชาเหล่านี้ คือ พระเจ้าสาครราช พระเจ้าเสลราช พระเจ้ามุจลินทราช พระเจ้าภคีรสราช พระเจ้าอุสินนราช พระเจ้าอัตถกราช พระเจ้าอัสสถราช พระเจ้าปุถุทธนราช และกษัตริย์เหล่าอื่นตลอดจนพราหมณ์เป็นจำนวนมากก็เหมือนกัน ได้บูชายัญมากมาย บริจาคทานกก็ไม่น้อย แต่ไม่สามารถล่วงพ้นจากสวรรค์ชั้นกามาวจรไปได้ เหล่าเทพชั้นกามาวจร เราเรียกว่า "เปรต" เพราะมีชีวิตสำเร็จได้โดยอาศัยผู้อื่น ผู้ที่อยู่คนเดียวไม่ได้ ย่อมไม่ได้ปีติที่เกิดจากความสงบ ถึงเขาจะมีทรัพย์สมบัติเทียบเท่าพระอินทร์ ก็ยังชื่อว่าเป็นคนเข็ญใจอยู่นั่นเอง เพราะได้ความสุขที่ต้องอาศัยผู้อื่น"


    ครั้นท้าวสักกเทวราชทรงสอนพระเจ้าเนมิราชว่า "การประพฤติพรหมจรรย์มีผลมากกว่าทานอย่างแน่นอน ถึงอย่างนั้น พระองค์ก็อย่าได้ประมาทในธรรมทั้งสอง จงทรงบริจาคทานและจงทรงรักษาศีลด้วย" ครั้นตรัสเช่นนี้แล้วก็เสด็จกลับวิมานของพระองค์

    ครั้งนั้น หมู่เทพยดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ทูลถามท้าวสักกะว่า "พระองค์หายไปไหนมา" ท้าวสักกะตรัสตอบว่า "พระเจ้าเนมิราช ราชาแห่งกรุงมิถิลานคร เกิดความสงสัยว่าระหว่างการให้ทานกับการประพฤติพรหมจรรย์สิ่งใดมีอานิสงส์มากกว่ากัน" แล้วท้าวสักกะก็ตรัสคุณของพระเจ้าเนมิราชอย่างมากมายให้หมู่เทวดาฟัง

    หมู่เทวดาได้ฟังท้าวท้าวสักกะตรัสดังนี้ ต้องการเห็นพระเจ้าเนมิราช จึงร้องขอให้ท้าวสักกะทูลเชิญพระเจ้าเนมิราชเสด็จมาสวรรค์ว่า "พระเจ้าเนมิราช เป็นพระอาจารย์ของพวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าได้ฟังโอวาทของพระองค์ อาศัยพระองค์จึงได้ทิพยสมบัตินี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องการเห็นราชาแห่งมิถิลานคร"

    ท้าวสักกะจึงมีบัญชาให้มาตลีเทพบุตร เทพสารถีเทียมรถเวชยันต์ไปกรุงมิถิลานคร เชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชขึ้นยานทิพย์นำเสด็จสู่สวรรค์

    ขณะที่ท้าวสักกะตรัสอยู่กับเทวดาทั้งหลาย แล้วตรัสเรียกมาตลีเทพบุตรมาตรัสสั่ง และมาตลีเทพสารถีกำลังเทียมเวชยันตราชรถอยู่นั้น เวลาในโลกมนุษย์ได้ผ่านไปหนึ่งเดือน

    วันนั้นเป็นวันเพ็ญอุโบสถ พระเจ้าเนมิราชทรงรักษาอุโบสถศีล ทรงเปิดสีหบัญชรด้านทิศตะวันออกประทับนั่งอยู่ในพระตำหนัก แวดล้อมหมู่อำมาตย์ ทรงพิจารณาศีลอยู่ เวชยันตราชรถปรากฏขึ้นเคียงคู่กับดวงจันทร์วันเพ็ญ ประชาชนที่กินอาหารเย็นเสร็จแล้วต่างก็นั่งพูดคุยสนทนากันอยู่ที่ประตูเรือนของตน ด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน ต่างชี้ชวนกันให้ชมดวงจันทร์ว่า "วันนี้พระจันทร์ขึ้นสองดวง"

    ครั้นแล้วดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งก็กลับกลายเป็นราชรถ ปรากฏแก่ประชาชนซึ่งกำลังนั่งสนทนาชี้ชวนกันอยู่ว่าไม่ใช่ดวงจันทร์แต่เป็นราชรถ ราชรถที่ปากฎนั้นเทียมด้วยม้าสินธพพันตัวมีมาตลีเทพบุตรเป็นสารถี ประชาชนจึงสงสัยว่ายานทิพย์นี้มารับใครต่างเห็นว่า "ราชรถนี้ไม่ได้มาเพื่อใครอื่น นอกจากพระราชาของพวกเรา พระองค์ทรงเป็นธรรมิกราชผู้ทรงธรรม ราชรถนี้เหมาะสมกับพระราชาของพวกเราแท้" ต่างก็เกิดความร่าเริงยินดี เกิดพิศวงขนพองสยองเกล้าไปตามกัน

    ขณะประชาชนกำลังกล่าวกันอย่างนี้ มาตลีเทพบุตรได้ขับรถเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว จอดรถที่สีหบัญชร จัดแจงเตรียมที่ประทับพร้อมกับเชิญพระเจ้าเนมิราชเสด็จขึ้นว่า "ขอเชิญเสด็จมาประทับบนราชรถนี้ เทพทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พร้อมด้วยพระอินทร์ปรารถนาที่จะเห็นพระองค์ จึงประชุมคอยเฝ้าอยู่ ณ เทวสภา ชื่อ สุธรรมา"

    พระเจ้าเนมิราชทรงทราบว่ามาตลีเทพบุตรจะนำพระองค์ไปดูเทวโลก จึงตรัสเรียกนางในและอาณาประชาราษฎร์มาบอกว่าพระองค์ไปไม่นานก็จะกลับ แล้วเสด็จขึ้นราชรถทิพย์


    ท่องแดนนรก

    [​IMG]

    เมื่อพระเจ้าเนมิราชเสด็จขึ้นประทับบนราชรถแล้ว แม้ท้าวสักกะมิได้สั่งไว้ว่าจะให้นำเสด็จไปทางไหน แต่เพราะความเป็นทูตพิเศษจากสวรรค์ มาตลีเทพสารถีจึงได้ทูลถามพระเจ้าเนมิราชว่า "จะโปรดให้นำเสด็จผ่านไปทางที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้ทำบาป หรือผ่านไปทางที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้ทำบุญก่อน"

    พระราชายังไม่เคยเห็นสถานที่ทั้งสองแห่ง ปรารถนาจะให้เทพสารถีของท้าวสักกะนำดูทั้งนรกและสวรรค์ มาตลีเทพบุตรทูลว่าไม่สามารถนำเสด็จผ่านเส้นทางทั้งสองแห่งในเวลาเดียวกันได้ จึงให้พระเจ้าเนมิราชเลือกทางใดทางหนึ่งก่อน

    พระราชาดำริว่าถึงอย่างไรพระองค์ก็จะไปเทวโลกอยู่แล้ว จึงควรดูนรกซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้ทำบาปก่อน จึงค่อยไปสวรรค์ทีหลัง


    นรกขุมที่ ๑ นรกแม่น้ำเวตรณีนที

    มาตลีเทพบุตรจึงขับราชรถนำพระเจ้าเนมิราชผ่านไปทางนรก ชี้ให้ดูแม่น้ำเวตรณีซึ่งข้ามได้แสนยาก เต็มไปด้วยน้ำแสบร้อนเดือดพล่าน เหมือนเปลวเพลิง ซึ่งปรากฏขึ้นตามฤดูด้วยผลแห่งกรรมของสัตว์นั้น นายนิรยบาลทั้งหลายในนรกนั้นถือศัตราวุธ มีดาบ มีด โตมร หอก และไม้ค้อน ซึ่งมีเปลวไฟลุกโชติช่วง ไล่แทงโบยตีสัตว์นรกให้ตกลงไปในแม่น้ำ สัตว์นรกเหล่านั้นถูกไล่ตีทนความเจ็บปวดไม่ได้ ก็วิ่งหนีพลัดตกลงไปในแม่น้ำเวตรณีทนทุกข์ทรมานอยู่ในแม่น้ำนั้น

    ในแม่น้ำเวตรณีนั้นเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้เลื้อยที่มีหนามแหลมคมเท่าใบหอกห้อยย้อยระโยงระยางไปทั่ว มีเปลวไฟร้อนแรงโชติช่วงติดอยู่ที่ปลายหนามแหลม สัตว์นรกเหล่านั้นต้องทนทุกข์อยู่ในแม่น้ำเวตรณีนั้นหลาย ๑,๐๐๐ ปี ถูกเถาวัลย์มีหนามแหลมคมกริบเลื้อยรัดขาดเป็นท่อนๆ มีหลาวเหล็กประมาณเท่าลำตาลเปลวไฟลุกโชนปรากฏขึ้นใต้เถาวัลย์นั้น สัตว์นรกถูกทรมานอยู่เป็นเวลายาวนาน ครั้นพลัดจากเถาวัลย์ก็ตกไปเสียบอยู่ที่ปลายหลาว ร่างกายถูกหลาวแทงไหม้อยู่ที่หลาวนั้น เหมือนปลาที่ถูกเสียบย่างไฟ เมื่อหลาวเหล็กลุกเป็นไฟ สัตว์นรกทั้งหลายก็ลุกเป็นไฟด้วย ใต้หลาวเหล็กยังมีใบบัวเหล็กแหลมคมดุจมีดโกนลุกเป็นไฟอยู่ใต้น้ำ เมื่อสัตว์นรกเหล่านั้นพลัดจากหลาวก็ตกลงไปในใบบัวเหล็ก ประสบทุกขเวทนายาวนาน ครั้นตกในน้ำ แม้น้ำก็ลุกเป็นไฟ แผดเผาสัตว์นรกทั้งหลายให้ลุกเป็นไฟ ภายใต้พื้นน้ำนั้นเต็มไปด้วยเครื่องประหารอันคมกริบ สัตว์นรกเหล่านั้นได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน จึงดิ้นรนทุรนทุรายมุดหนีลงไปในน้ำ ก็กลับถูกเครื่องประหารอันคมกริบนั้นตัดขาดเป็นท่อนๆ เมื่อไม่สามารถอดกลั้นความทุกข์ทรมานนั้นได้ ก็ร้องไห้โอดครวญโหยหวนน่าสยดสยองด้วยความเจ็บปวดน่าหวาดกลัวลอยไปลอยมาตามกระแสน้ำ

    ส่วนนายนิรยบาลที่ยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำก็ซัดลูกศร มีด โตมร หอก แทงสัตว์นรกเหล่านั้นเหมือนแทงปลา สัตว์นรกเหล่านั้นก็ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา

    ครั้นแล้ว นายนิรยบาลก็เอาเบ็ดเหล็กลุกโชนด้วยเปลวไฟเกี่ยวสัตว์นรกเหล่านั้นลากขึ้นมาให้นอนหงายบนแผ่นดินเหล็กร้อน เอาน้ำทองแดงที่เดือดพล่านกลอกปาก

    พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นเหล่าสัตว์ถูกทรมานในแม่น้ำเวตรณี ก็สะดุ้งกลัวตรัสถามมาตลีเทพบุตรว่าสัตว์เหล่านี้ได้ทำกรรมอะไรไว้ จึงถูกทรมานเช่นนี้ มาตลีเทพสารถีกราบทูลถึงวิบากกรรมของสัตว์นรกทั้งหลายว่า "เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์เหล่านี้เป็นผู้มีอำนาจ ใช้อำนาจในทางมิชอบเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความลำบากทุกข์ทรมาน ได้ทำกรรมหยาบช้าเช่นนี้ จึงตกลงในนรกเวตรณีนที"


    นรกขุมที่ ๒ นรกสุนัข

    มาตลีเทพสารถีขับรถไปข้างหน้า ชี้ให้พระเจ้าเนมิราชดูฝูงสุนัข มีฝูงสุนัขแดง ฝูงสุนัขดำ ฝูงสุนัขเหลืองตัวโตเท่าช้าง ฝูงแร้ง และฝูงกาเป็นต้นกำลังยื้อแย่งฉีกกินสัตว์นรกอยู่ พระราชาตรัสถามว่าสัตว์เหล่านี้ได้ทำกรรมอะไรไว้ จึงถูกฝูงสัตว์ดุร้ายรุมฉีกกินเนื้อเช่นนี้

    มาตลีเทพสารถี ได้กราบทูลว่า "สัตว์เหล่านี้เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์มีความตระหนี่ถี่เหนียว คอยห้ามผู้อื่นบริจาคทานทำบาปกรรมมาก ชอบด่าว่าสมณพราหมณ์ สัตว์เหล่านั้นทำกรรมหยาบช้า จึงถูกฝูงการุมจิกกิน สุนัขเหล่านั้นตัวโตเท่าช้าง วิ่งไล่สัตว์นรกเหมือนไล่เนื้อ กัดเนื้อแหว่งเป็นชิ้น ครั้นสัตว์นรกล้มลงบนแผ่นดินเหล็กที่มีเปลวเพลิงลุกไหม้ สุนัขนั้นเอาขาหน้าทั้งสองเหยียบอกไว้ ฉีกกินเนื้อสัตว์นรกซึ่งร้องลั่นตะเกียกตะกายหนีให้เหลือแต่กระดูก ส่วนฝูงแร้งมีจะงอยปากเป็นเหล็กตัวใหญ่เท่าเกวียนบรรทุกสินค้า แรงเหล่านั้นจิกกระดูกด้วยจะงอยปากอันคมเหมือนปลายทวน เจาะกินเยื่อในกระดูก ฝูงกามีจะงอยปากเป็นเหล็ก น่ากลัวยิ่ง ก็รุมจิกกินสัตว์นรกที่มันเห็นเช่นกัน"


    นรกขุมที่ ๓ นรกแผ่นดินเหล็กร้อนแรง

    จากนั้นมาตลีเทพบุตร ขับรถต่อไปข้างหน้า ชี้ให้พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรดูสัตว์นรกที่กำลังเดินเหยียบแผ่นดินเหล็กร้อนแรง ถูกเปลวไฟแผดเผา และนายนิรยบาลตีด้วยท่อนเหล็กเท่าลำตาลล้มลงนอนร้องโหยหวนครวญครางอยู่ จากนั้นนายนริยบาลก็ทุบด้วยท่อนเหล็กจนร่างกายแหลกละเอียด พระเจ้าเนมิราชถามถึงกรรมของสัตว์นรกเหล่นั้น มาตลีเทพบุตรกราบทูลให้ทราบว่า "สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ได้เบียดเบียนทำร้ายชายหญิงผู้มีธรรม จึงต้องเสวยทุกขเวทนาเช่นนี้"


    นรกขุมที่ ๔ นรกหลุมถ่านเพลิง

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไปข้างหน้า ชี้ให้พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรดูนายนิรยบาลกำลังแทงสัตว์นรกด้วยอาวุธที่มีเปลวไฟลุกโชนร้อนแรง ไล้ต้อนให้สัตว์นรกเหล่านั้นตกลงไปในหลุมถ่านเพลิง เมื่อสัตว์นรกเหล่านั้นจมอยู่ในหลุมถ่านเพลิงเพียงเอว นายนิรยบาลก็เอาตะแกรงเหล็กตักถ่านเพลิงโปรยลงบนศีรษะ สัตว์นรกเหล่านั้นถูกถ่านเพลิงแผดเผาก็ร้องไห้ดิ้นรนครวญครางอย่างทุกข์ทรมาน

    พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสถามถึงสาเหตุว่าทำไมสัตว์พวกนี้จึงถูกนายนิรยบาลต้อนล้อมแทงไล่ให้ตกลงในหลุมถ่านเพลิง และนายนิรยบาลถือตะแกรงเหล็กใหญ่ตักถ่านเพลิงโปรยลงบนร่างกายสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นถูกถ่านเผาไหม้ จึงร้องไห้คร่ำครวญดิ้นรนทุรนทุรายอยู่ ด้วยกำลังแห่งกรรม ดูไปก็เหมือนคนต้อนโคที่ไม่เข้าคอก

    มาตลีเทพบุตร ได้กราบทูลผลกรรมของสัตว์นรกเหล่านั้นว่า "สัตว์นรกเหล่านี้สร้างหนี้สินไว้ ทั้งยังสร้างพยานเท็จขึ้นมาคดโกงทรัพย์สินของชาติของประชาชน ทั้งสร้างหนี้สินโดยรวมให้แก่ประชาชนอีกด้วย เพราะกรรมหยาบช้านั้น จึงต้องมาทนทุกข์ทรมานร้องไห้ดิ้นรนอยู่ในหลุมถ่านเพลิงนี้"


    นรกขุมที่ ๕ นรกกระทะทองแดง

    มาตลีเทพบุตรขับรถต่อไปข้างหน้า เหล่าสัตว์นรกถูกนายนิรยบาลหน้าตาดุร้ายน่ากลัว จับเท้าโยนไปในหม้อกระทะทองแดงที่กำลังเดือดพล่าน พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสถามว่าสัตว์นรกเหล่านี้ทำกรรมอะไรไว้จึงตกในโลหกุมภีนี้ มาตลีเทพสารถีกราบทูลถึงวิบากกรรมของสัตว์เหล่านี้ว่า "เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์พวกเขาเบียดเบียนด่าทอกระทบสมณะหรือพราหมณ์ผู้มีศีล จึงตกในโลหกุมภีนรกนี้"



    นรกขุมที่ ๖ นรกโซ่ทองแดง

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไปข้างหน้า พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นนายนิรยบาลเอาโซ่ทองแดงที่มีเปลวไฟลุกไหม้ผูกคอสัตว์นรกผลักให้คว่ำหน้าลง แล้วตัดคอและอวัยวะต่างๆ โยนทิ้งลงไปในน้ำร้อนที่กำลังดือดพล่าน จึงตรัสถามว่า สัตว์เหล่านั้นได้กระทำกรรมอะไรไว้

    มาตลีเทพบุตรกราบทูลวิบากกรรมที่สัตว์นรกทั้งหลายทำไว้ว่า "เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์เหล่านี้ก่อกรรมทำเข็ญด้วยการวาง แร้ววางบ่วงดักจับนกมาฆ่า เพราะบาปกรรมหยาบช้าที่สัตว์นรกนั้นกระทำไว้จึงถูกตัดศีรษะทิ้งให้นอนอยู่เช่นนี้"


    นรกขุมที่ ๗ นรกแม่น้ำกลายเป็นแกลบ

    มาตลีเทพบุตรขับรถต่อไป ผ่านสถานที่ร่มรื่นสวยงาม พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำสายใหญ่ใสเย็นน่าดื่มกินไหลเอื่อยเรื่อยรินอยู่ตามปกติ ณ ดินแดนแห่งนี้ สัตว์นรกถูกความร้อนเพราะไฟนรกแผดเผาไม่อาจทนความหิวกระหายได้ จึงเดินย่ำแผ่นเหล็กร้อนแรงมีเปลวไฟลุกไหม้โชติช่วงลงแม่น้ำ ด้วยหวังจะดื่มกินดับความหิวกระหาย เมื่อถึงฝั่งแม่น้ำทันใดนั้น ฝั่งแม่น้ำที่ดูมีน้ำใสเย็นก็กลับกลายเป็นเปลวไฟลุกไหม้ น้ำใสเย็นที่น่าดื่มกินก็กลายเป็นแกลบ ใบไม้เกิดเปลวไฟลุกไหม้ไปทั่ว สัตว์นรกทนความกระหายไม่ได้ จึงเคี้ยวกินแกลบและใบไม้ที่มีเปลวไฟลุกไหม้แทนการดื่มน้ำ แกลบและใบไม้นั้นก็แผดเผาลำใส้ไหลออกทางทวาร สัตว์นรกไม่สามารถทนทุกข์ทรมานได้ก็ประคองแขนทั้งสองยืนร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน พระเจ้าเนมิราชตรัสถามว่า "แม่น้ำนี้มีน้ำมาก มีตลิ่งราบเรียบ มีท่าน้ำใสสะอาดไหลเอื่อยเรื่อยรินตลอดเวลา สัตว์นรกเหล่านั้นเร่าร้อนเพราะไฟนรก ครั้นจะดื่มน้ำในแม่น้ำนั้น น้ำก็กลายเป็นแกลบไป สัตว์นรกเหล่านั้นได้ทำบาปอะไรไว้ จึงถูกทรมานด้วยกระหายเช่นนี้"

    มาตลีเทพสารถีกราบทูลวิบากกรรมของสัตว์นรกทั้งหลาย ว่า "เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์สัตว์เหล่านี้ประกอบอาชีพค้าขายไม่สุจริต ขายข้าวเปลือกผสมข้าวลีบและแกลบให้ลูกค้า บางครั้งก็เอาใบไม้บ้าง แกลบบ้าง ทรายและดินเป็นต้นผสมกัน เวลาเสนอขายสินค้าก็บอกว่าจะให้ข้าวเปลือกที่มีคุณภาพดี ครั้นรับเงินจากผู้ซื้อแล้วกลับให้ข้าวเปลือกที่ไม่ดีตามที่ตกลงกันไว้ ครั้นตกนรก ด้วยผลแห่งกรรมจึงทำให้น้ำกลายเป็นแกลบไป"


    นรกขุมที่ ๘ นรกหลาวเหล็ก

    มาตลีเทพบุตรขับรถต่อไป พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นนายนิรยบาลไล่ต้อนสัตว์นรกแล้วล้อมไว้ เหมือนนายพรานไล่ต้อนล้อมฝูงกวางในป่า แล้วแทงสัตว์นรกเหล่านั้นด้วยอาวุธชนิดต่างๆ เป็นแผลเหวอะหวะเหมือนคนเอาเหล็กแหลมแทงใบไม้แห้ง จึงตรัสถามมาตลีเทพบุตรว่า "นายนิรยบาลเอาลูกศร หอก โตมร แทงสัตว์นรกผู้ร้องไห้อยู่ เพราะทำบาปกรรมอะไรไว้ จึงถูกฆ่าด้วยหอกนอนเกลื่อนกลาดอยู่เช่นนี้"

    มาตลีเทพบุตรกราบทูลว่า "เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์นรกเหล่านี้ไม่ประกอบอาชีพอะไร เป็นคนจรจัดเลี้ยงชีวิตด้วยการลักขโมยของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นธัญพืช ทรัพย์สิน เงิน ทอง แพะ แกะ กระบือ และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ เป็นต้น มาเลี้ยงชีวิตตน ได้ทำบาปกรรมชั่วช้า จึงถูกฆ่าด้วยหอกนอนดิ้นรนทรมานอยู่"


    นรกขุมที่ ๙ นรกทุบตี

    มาตลีเทพบุตรขับรถต่อไป พระเจ้าเนมิราชเห็นนายนิรยบาลผูกคอสัตว์นรกพวกหนึ่งไว้ด้วยเชือกเหล็กร้อนลุกเป็นไฟ แล้วลากถูอีกพวกหนึ่งมากระชากให้ล้มลงบนแผ่นดินที่มีเปลวไฟลุกไหม้ ตามทุบตีด้วยอาวุธต่างๆ จึงตรัสถามว่า "เหล่าสัตว์นรกถูกนายนิรยบาลผูกคอด้วยเชือกเหล็กที่มีเปลวไฟร้อนแรง ลากตัวมากระชากให้ล้มลงบนแผ่นดินที่มีเปลวไฟลุกไหม้ ทุบตีด้วยอาวุธต่างๆ สัตว์นรกเหล่านี้ถูกนายนิรยบาลผูกคอไว้เพราะเหตุอะไร อีกพวกหนึ่งถูกนายนิรยบาลเฉือนให้ขาดเป็นชิ้นๆ นอนอยู่ สัตว์นรกเหล่านี้ทำบาปอะไรไว้ จึงถูกเฉือนให้นอนดิ้นรนทรมานอยู่"

    มาตลีเทพบุตรกราบทูลว่า "สัตว์นรกเหล่านี้เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์เคยเป็นเจ้าของโรงฆ่าสัตว์ ได้ฆ่าแกะ ฆ่าสุกร ฆ่าปลา ฆ่าสัตว์เลี้ยง กระบือ แพะ และแกะ แล้ววางขายตามท้องตลาด จึงถูกตัดเป็นท่อนๆ นอนดิ้นรนทรมานอยู่"


    นรกขุมที่ ๑๐ นรกอุจจาระปัสสาวะ

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป ห้วงน้ำเบื้องหน้าเป็นห้วงน้ำอุจจาระปัสสาวะเหล็ก เน่าเหม็นกลิ่นฟุ้งกระจาย พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกกินอุจจาระและปัสสาวะของตน จึงตรัสถามมาตลีเทพบุตรว่า "สัตว์นรกเหล่านี้หิวโหย ไม่อาจอดกลั้นความหิวได้ จึงเคี้ยวกินอุจจาระปัสสาวะซึ่งเดือดพล่าน ควันฟุ้งอบอวลด้วยเปลวไฟร้อนแรงโหมไหม้ สัตว์นรกเหล่านี้ทำกรรมอะไรไว้ จึงกินอุจจาระและปัสสาวะของตนเป็นอาหาร"

    มาตลีเทพบุตรทูลว่า "เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์สัตว์นรกเหล่านี้เป็นอันธพาลเกเรสร้างความเดือดร้อนให้แก่สังคม เบียดเบียนเพื่อนบ้านมิตรสหายให้ได้รับความลำบากตลอดเวลา จึงต้องกินอุจจาระและปัสสาวะของตน"


    นรกขุมที่ ๑๑ นรกน้ำเลือดน้ำหนอง

    มาตลีเทพบุตรขับรถผ่านไปทางนรกอื่นอีก ห้วงน้ำใหญ่เบื้องหน้าเต็มไปด้วยน้ำเลือดและหนอง เน่าเหม็นขื่นคาวกลิ่นฟุ้งกระจาย พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกเหล่านี้ถูกความหิวแผดเผา ไม่สามารถอดกลั้นความหิวได้จึงดื่มกินเลือดและหนอง อันเจือด้วยน้ำเหลืองสกปรก จึงตรัสถามว่า "สายน้ำนี้เต็มไปด้วยเลือดและหนอง มีกลิ่นเหม็นไม่สะอาด เน่าฟุ้ง สัตว์นรกถูกไฟนรกแผดเผาแล้วเร่าร้อนหิวกระหาย จึงดื่มกินเลือดและหนอง สัตว์นรกเหล่านี้ได้ทำบาปอะไรไว้จึงมีเลือดและหนองเป็นอาหาร"

    มาตลีเทพสารถีกราบทูลว่า "เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์นรกเหล่านี้ทำกรรมหยาบช้าได้ฆ่ามารดาบิดาและพระอรหันต์ ชื่อว่าต้องปาราชิกในชีวิตคฤหัสถ์ จึงมีเลือดและหนองเป็นอาหาร"



    [​IMG]
    นรกขุมที่ ๑๒ นรกเบ็ด

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป พระเจ้าเนมิราชเห็นนายนิรยบาล เอาเบ็ดเหล็กโตเท่าลำตาลมีเปลวไฟลุกไหม้เกี่ยวลิ้นสัตว์นรกลากมา กระชากสัตว์นรกเหล่านั้นให้ล้มลงบนแผ่นเหล็กร้อนมีเปลวไฟลุกไหม้ จับให้นอนหงายแล้วเอาตะขอเหล็กสับหนังเหมือนสับหนังโค สัตว์นรกเหล่านั้นดิ้นรนกระเสือกกระสนหนีเหมือนปลาดิ้นอยู่บนบก ไม่อาจทนทุกข์ทรมาน จึงร้องไห้คร่ำครวญโอดโอยน้ำลายไหล พระเจ้าเนมิราชตรัสถามมาตลีเทพบุตรว่า "ดูลิ้นของสัตว์นรกที่ถูกเบ็ดเกี่ยว และถูกแล่หนังแผ่ออก ดิ้นรนกระเสือกกระสนร้องไห้น้ำลายไหลเหมือนปลาที่ถูกโยนขึ้นไปบนบกดิ้นรนอยู่ สัตว์นรกเหล่านี้ทำบาปกรรมอะไรไว้ จึงกลืนกินเบ็ดนอนดิ้นรนอยู่"

    มาตลีเทพบุตรทูลว่า "เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ เขาอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจในการตีราคาประกวดการประมูลงาน ได้ตีค่าสิ่งของให้น้อยกว่าราคาที่เป็นจริง ทำกรรมด้วยการโก่งราคาสินค้า เพราะถูกล่อด้วยความโลภในเหยื่อคือทรัพย์ เหมือนคนเอาเหยื่อเกี่ยวเบ็ดล่อปลาให้ติดเบ็ด ไม่มีใครสามารถช่วยป้องกันสัตว์นรกจากกรรมที่คดโกงผู้อื่นไว้ได้"


    นรกขุมที่ ๑๓ นรกภูเขาบด

    มาตลีเทพบุตรขับรถต่อไป พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นหญิงนรกซึ่งยืนอยู่ในหลุมถ่านเพลิงใหญ่ที่มีเปลวไฟลุกโหมโชติช่วง ถูกนายนิรยบาลแทงด้วยอาวุธต่างๆ เหมือนคนเลี้ยงโคแทงฝูงโคที่ไม่เข้าคอก นายนิรยบาลจับขาหญิงนรกเหล่านั้นโยนลงไปในหลุมถ่านเพลิง ด้วยพละกำลังมหาศาล พระเจ้าเนมิราชตรัสถามว่า "หญิงนรกเหล่านี้มีร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล น่าเกลียดน่ากลัว มีแมลงวันตอม เปรอะเปื้อนด้วยเลือดและหนอง บางตัวไม่มีหัว ยืนประคองแขนร้องไห้ บางตัวจมอยู่ในพื้นถึงเอว ภูเขาไฟกลิ้งมาจากสี่ทิศบดทับหญิงนรกเหล่านั้นแหลกละเอียด ภูเขากลิ้งทับหญิงเหล่านั้น ในขณะจมอยู่ในแผ่นดินถึงเอวอย่างนี้ ภูเขาเหล็กลุกโพลงตั้งขึ้นทางทิศตะวันออก กลิ้งมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหวคำรามดุจสายฟ้าบดร่างกายให้แหลกละเอียด เมื่อภูเขาลูกนั้นกลิ้งไปหยุดอยู่ทางข้างทิศตะวันตก ร่างของหญิงเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นอีก แล้วภูเขาไฟก็เคลื่อนเข้ามาบดทับอีก หญิงเหล่านั้นไม่สามารถทนทุกข์ทรมานนั้นได้ จึงประคองแขนทั้งสองร้องไห้ ภูเขาสองลูกปรากฏขึ้นบดร่างของหญิงเหล่านั้นเลือดหลั่งไหลเหมือนหีบอ้อย บางครั้งภูเขาปรากฏสามลูก บางครั้งสี่ลูกบดขยี้ร่างของหญิงเหล่านั้น หญิงนรกเหล่านั้นทำบาปกรรมอะไรไว้ จึงต้องมาจมอยู่ในภูเขาไฟนี้ "

    มาตลีเทพสารถีกราบทูลว่า "เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ หญิงนรกเหล่านั้น เป็นกุลธิดาไม่ประกอบหน้าที่การงาน ได้ประพฤติไม่ดี เป็นหญิงนักเลง นอกใจสามี มีจิตยินดีในชายอื่น คบหาชายอื่นเพราะราคะ จึงถูกภูเขาไฟอันลุกโพลงกลิ้งมาจากทิศทั้งสี่บดขยี้ให้แหลกละเอียด"


    นรกขุมที่ ๑๔ นรกหลุมเพลิง

    มาตลีเทพบุตรขับรถต่อไป พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็น สัตว์นรกนั้นยืนร้องโอดครวญอยู่ในบ่อใหญ่เต็มไปด้วยถ่านเพลิงโหมไหม้ สัตว์นรกเหล่านั้นถูกนายนิรยบาลไล่ต้อนแทงด้วยอาวุธต่างๆ ให้ตกลงไปในหลุมถ่านเพลิงเหมือนนายโคบาลต้อนแทงฝูงโคที่ไม่เข้าคอก ต่อจากนั้น นายนิรยบาลจับขาสัตว์นรกเหล่านั้นโยนลงไปในหลุมเพลิงใหญ่ จึงตรัสถามถึงสาเหตุนายนิรยบาลทั้งหลายจับสัตว์นรกเหล่านี้โยนลงไปในนรก

    มาตลีเทพสารถีกราบทูลพระราชาว่า "เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์เขาได้ทำกรรมชั่ว เป็นชู้กับภรรยาของชายอื่น จึงมาตกนรก รับทุกขเวทนาในนรกยาวนาน ไม่มีใครสามารถป้องกันกรรมของเขาได้"


    นรกขุมที่ ๑๕ นรกหมกไหม้

    ครั้นมาตลีเทพบุตรทูลอย่างนี้แล้วได้ขับรถต่อไปข้างหน้า พระเจ้าเนมิราชได้ทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกที่หมกไหม้ในหลุมถ่านเพลิงขนาดใหญ่ สัตว์นรกเหล่านั้นมีรูปร่างหน้าตาพิลึกแตกต่างกันไป พระเจ้าเนมิราชตรัสถามถึงสัตว์นรกที่มีรูปร่างพิลึกต่างๆ เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสอย่างยิ่งเช่นนี้

    มาตลีเทพบุตรกราบทูลให้ทราบว่า "เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์นรกเหล่านี้เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นเป็นบาป หลงทำกรรมด้วยคงามหลงผิดจนเคยชิน และชักชวนผู้อื่นให้เห็นผิดเช่นนั้นด้วย เพราะสัตว์นรกเหล่านั้นเป็นผู้มีทิฏฐิผิด จึงต้องเสวยทุกข์เวทนาอันกล้าแข็งเผ็ดร้อนประมาณยิ่งอยู่อย่างนี้"

    ขณะที่มาตลีเทพสารถีกำลังกราบทูลถึงนรกที่หมกไหม้พวกที่มีความเห็นผิด เป็นเวลาเดียวกันกับที่หมู่เทวดาในเทวโลกนั่งประชุมกันในเทวสภาชื่อ "สุธรรมา" คอยการเสด็จมาของพระเจ้าเนมิราช

    ท้าวสักกเทวราชทรงใคร่ครวญดูว่าทำไมมาตลีเทพบุตรจึงได้ชักช้านัก ก็ทราบว่ามาตลีเทพบุตรกำลังนำพระเจ้าเนมิราชเที่ยวชมนรก เพื่อแสดงความเป็นทูตพิเศษของตน ท้าวสักกะทรงหวั่นเกรงว่าอายุของพระเจ้าเนมิราชมีอยู่น้อยนิดมากหากเทียบกับเวลาในสวรรค์ จะหมดสิ้นไปก่อนที่มาตลีเทพบุตรจะนำพระเจ้าเนมิราชชมนรกได้คบทุกแห่ง[1] ครั้นทรงดำริดังนี้แล้ว จึงส่งเทพบุตรองค์หนึ่งซึ่งมีความเร็วมากไปแจ้งให้มาตลีเทพบุตรรีบเชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชมาโดยเร็ว มาตลีเทพบุตรทราบแล้ว จึงแสดงนรกทั้งหมดให้ปรากฏพร้อมกันทั้ง ๔ ทิศทีเดียว


    ท่องแดนสวรรค์

    [​IMG]

    เมื่อมาตลีเทพบุตรได้นำเสด็จพระเจ้าเนมิราชชมนรกทั้งหมดครั้นแล้ว จึงรีบนำเสด็จขึ้นไปวิมานของท้าวสักกเทวราช ตามคำเร่งเร้าของเทพบุตรองค์นั้น


    วิมานแก้วมณี ๕ ยอด

    มาตลีเทพบุตรขับราชรถมุ่งตรงไปยังเทวโลกอย่างรีบเร่ง พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานของเทพธิดานามว่า "วรุณี" มียอด ๕ ยอด ล้วนทำด้วยแก้วมณี มีขาดใหญ่ถึง ๑๒ โยชน์ ประดับตกแต่งอย่างงดงาม มีอุทยานและสระโบกขรณีน่ารื่นรมย์ มีต้นกัลปพฤกษ์ล้อมรอบ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเทพธิดานั่งอยู่ภายในปราสาท แวดล้อมด้วยหมู่เทพอัปสร ๑,๐๐๐ นาง เปิดหน้าต่างแก้วมณีมองดูภายนอก จึงตรัสถามมาตลีเทพบุตรว่า เทพธิดานั้นทำบุญอะไรไว้ จึงได้มาเกิดในสวรรค์ เพลิดเพลินอยู่ในวิมาน

    มาตลีเทพบุตรกราบทูลพระราชาว่า "เทพธิดาที่พระองค์ทรงหมายถึงนั้น ชื่อ "วรุณี" เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ เป็นนางทาสในเรือนของพราหมณ์คนหนึ่ง นางรู้ว่าผู้ที่มาเป็นแขกในเรือนของนายคือพระภิกษุ จึงนิมนต์ให้นั่ง มีความยินดีที่ได้เห็นภิกษุนั้น เหมือนมารดาเห็นบุตรผู้จากไปนานได้มีโอกาสกลับบ้าน นางดูแลภิกษุนั้นด้วยความเคารพ บางครั้งได้ถวายสิ่งของของตนแม้เล็กน้อย เป็นผู้สำรวมระวังคอยจัดแจงทาน จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน

    คราวนั้น เป็นยุคสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ พราหมณ์ผู้เป็นนายต้องการถวายสลากภัตแด่พระสงฆ์ จึงสั่งภรรยาให้ช่วยจัดเตรียมสลากภัต ๘ ที่ แต่ละที่ให้มีราคาหนึ่งกหาปณะสำหรับภิกษุรูปหนึ่งๆ แต่พราหมณีตลอดจนบุตรธิดาต่างก็ปฏิเสธไม่ยอมทำ พราหมณ์จึงถามนางทาสว่าทำได้ไหม นางทาสรับว่าทำได้ แล้วจัดแจงข้าวต้มของขบเคี้ยวและภัตตาหารเป็นต้นด้วยความเคารพได้ทันเวลาที่พระสงฆ์มาถึง นิมนต์ให้นั่งบนอาสนะที่ปูเตรียมไว้ เอาดอกไม้สดมาประดับตกแต่งไว้หน้าบ้าน นางทาสนั้นเพลิดเพลินยินดีตลอดเวลาที่ได้จัดเตรียมของถวาย ดูแลพระสงฆ์ด้วยความเคารพ ได้ถวายอะไรๆ ซึ่งเป็นของของตน ด้วยผลบุญนั้นจึงได้มาเกิดบนสวรรค์"


    วิมานทองทั้ง ๗

    ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีได้ขับรถผ่านไปทางวิมานทอง ๗ ของเทพบุตรชื่อ "โสณทินนะ" พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานและสิริสมบัติของโสณทินนเทพบุตรนั้น จึงตรัสถามถึงบุญกุศลที่เทพบุตรนั้นได้ทำไว้ว่า "วิมานทั้ง ๗ รุ่งเรืองส่องสว่างดั่งดวงอาทิตย์อ่อนๆ ถูกเนรมิตขึ้นด้วยบุญญานุภาพ เทพบุตรในวิมานนั้นมีฤทธิ์มาก ประดับด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง แวดล้อมด้วยหมู่เทพธิดาผลัดเปลี่ยนวนเวียนอยู่โดยรอบ เทพบุตรนี้ทำกุศลกรรมอะไรไว้ จึงได้เกิดในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน"

    มาตลีเทพสารถีกราบทูลว่า "เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีชื่อโสณทินนะ เป็นทานบดี บริจาคทรัพย์สร้างวิหาร ๗ หลังถวายบรรพชิต ได้ปฏิบัติบำรุงพระภิกษุผู้อยู่ในวิหารทั้ง ๗ หลังนั้นด้วยความเคารพ ทั้งบริจาคผ้านุ่ง ผ้าห่ม ภัตตาหาร เสนาสนะ และเครื่องประทีปด้วยความเลื่อมใส รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์และปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สำรวมในศีลตลอดเวลา เป็นผู้สำรวมระวังและยินดีในการให้ทาน จึงมาเกิดในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน"


    วิมานแก้วผลึก

    ครั้นกล่าวถึงกุศลกรรมของโสณทินนเทพบุตรอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพบุตรก็ขับรถผ่านไปทางวิมานแก้วผลึก วิมานแก้วผลึกนั้นสูง ๒๕โยชน์ ประกอบด้วยเสาซึ่งทำด้วยแก้ว ๗ ประการหลายร้อยต้น ประดับด้วยยอดหลายร้อยยอด ห้อยกระดิ่งเป็นแถวรอบ มีธงทองและเงินปักปลิวไสว มีอุทยานและหมู่ไม้ดารดาษด้วยบุปผชาตินานาชนิด ประกอบด้วยสระโบกขรณีน่ายินดี มีป่าที่น่ารื่นรมย์ เกลื่อนไปด้วยเทพอัปสรผู้ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้องและประโคมดนตรี พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานแก้วผลึกนั้น มีพระหฤทัยยินดี ตรัสถามถึงกุศลกรรมแห่งเทพอัปสรเหล่านั้นว่า"วิมานอันบุญญานุภาพตกแต่งดีแล้วนี้ เกลื่อนไปด้วยหมู่อัปสรผู้ประเสริฐ รุ่งเรืองด้วยยอดบริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ งดงามด้วยการฟ้อนรำขับร้อง มีแสงสว่างส่องออกมาจากแก้วผลึก ความปลื้มใจย่อมปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปนี้ เทพอัปสรเหล่านี้ได้ทำกรรมดีอะไรไว้ จึงได้มาเกิดในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน"

    มาตลีเทพบุตรกราบทูลว่า "เทพอัปสรเหล่านั้นเมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์เป็นอุบาสิกาผู้มีศีล ยินดีในทาน มีจิตเลื่อมใส เป็นคนสัจจะ ไม่ประมาทในการรักษาอุโบสถ เป็นผู้สำรวมระวังและยินดีในการจัดแจงทาน จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน"


    วิมานแก้วมณี

    จากนั้น มาตลีเทพบุตรขับรถต่อไป แสดงวิมานแก้วมณีแด่พระเจ้าเนมิราช วิมานแก้วมณีประดิษฐานอยู่ในสถานที่ราบเรียบเปล่งรัศมีดุจภูเขาแก้วมณี กึกก้องบันลือลั่นด้วยการฟ้อนรำขับร้องและประโคมดนตรี เกลื่อนไปด้วยเทพบุตรเป็นอันมาก พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นจึงตรัสถามถึงกุศลกรรมของเทพบุตรเหล่านั้นว่า "วิมานอันบุญญานุภาพตกแต่งแล้วนี้ ประกอบด้วยภูมิภาคน่ารื่นรมย์ จัดสรรไว้เป็นส่วนๆ มีแสงสว่างส่องออกมาจากแก้วไพฑูรย์ เสียงทิพย์ ประกอบด้วยเสียงเปิงมาง เสียงตะโพน การฟ้อนรำขับร้อง และเสียงประโคมดนตรี ย่อมเปล่งออก น่าฟัง เป็นที่รื่นรมย์ใจ เราไม่รู้สึกว่าได้เห็นหรือได้ฟังเสียงอันไพเราะอย่างนี้มาก่อนเลย เรารู้สึกปลาบปลื้มใจเพราะได้เห็นความเป็นไปนั้น เทพบุตรเหล่านี้ได้ทำกุศลกรรมอะไรไว้จึงมาเกิดในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน"

    มาตลีเทพสารถีกราบทูลว่า "เทพบุตรเหล่านี้ เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ เป็นอุบาสกผู้มีศีล ได้ก่อสร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นด้วยความเคารพ ได้ถวายจีวรบิณฑบาต ยารักษาโรค และเสนาสนะ แด่ท่านผู้ซื่อตรง ด้วยใจเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์และปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สำรวมในศีลตลอดเวลา เป็นผู้สำรวมระวังและยินดีในการให้ทาน จึงมาเกิดในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน"


    วิมานแก้วผลึกประดับยอด

    มาตลีเทพบุตรกราบทูลดังนี้แล้วขับรถผ่านไปทางวิมานแก้วผลึกอีกวิมานหนึ่ง วิมานแก้วผลึกนั้นประดับด้วยยอดมิใช่น้อย ประดับด้วยวนอุทยานปกคลุมไปด้วยบุปผชาตินานาพันธุ์ แวดล้อมไปด้วยแม่น้ำใสสะอาด เจื้อยแจ้วไปด้วยฝูงวิหคส่งเสียงร้อง มีหมู่เทพอัปสรแวดล้อม เป็นสถานที่อยู่ของเทพบุตรผู้มีบุญองค์หนึ่ง พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานนั้น มีพระหฤทัยยินดี จึงตรัสถามถึงกุศลกรรมของเทพบุตรนั้นว่า "วิมานอันบุญญานุภาพเนรมิตไว้อย่างดีนี้ เต็มไปด้วยหมู่เทพอัปสรผู้งดงาม รุ่งเรืองด้วยเรือนยอดบริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ งดงามด้วยการฟ้อนรำขับร้อง มีแสงสว่างสิ่งออกมาจากแก้วผลึก มีแม่น้ำ มีไม้ดอกต่างๆ ล้อมรอบ เทพบุตรนี้ได้ทำกุศลกรรมอะไรไว้ จึงมาเกิดในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน"

    มาตลีเทพสารถีกราบทูลว่า "เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในกรุงมิถิลานคร เป็นทานบดี ได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และ สะพาน ได้ปฏิบัติบำรุงพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยธรรม ได้ถวายจีวร บิณฑบาต ยารักษาโรค และเสนาสนะ แด่ท่านผู้ซื่อตรงด้วยใจเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และปาฏิหาริยปักษ์ มีความสำรวมในศีลตลอดเวลา เป็นผู้สำรวมระวังและยินดีในการให้ทาน จึงมาเกิดในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน"



    [​IMG]

    วิมานแก้วผลึก

    ครั้นแล้วมาตลีเทพบุตรถีก็ขับรถต่อไป แสดงวิมานแก้วผลึกอีกแห่งหนึ่ง วิมานนั้นประกอบด้วยวนอุทยานปกคลุมไปด้วยไม้ดอกไม้ผลนานาชนิดยิ่งกว่าวิมานที่ผ่านมา พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานนั้น จึงตรัสถามกุศลกรรมของเทพบุตรผู้ประกอบด้วยสมบัตินั้น ว่า "วิมานอันบุญญานุภาพตกเนรมิตดีแล้วนี้ เต็มไปด้วยเทพอัปสรผู้ประเสริฐ รุ่งเรืองด้วยยอดบริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ งดงามด้วยการฟ้อนรำขับร้อง มีแสงสว่างส่องออกจากแก้วผลึก มีแม่น้ำซึ่งเต็มไปด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์ ล้อมรอบ และมีไม้เกด ไม้มะขวิด ไม้มะม่วง ไม้สาละ ไม้ชมพู่ ไม้มะพลับ ไม้มะหาดเป็นจำนวนมาก มีผลเป็นนิตย์ เราเกิดความปลาบปลื้มใจ เพราะได้เห็นความเป็นไปนั้น เทพบุตรนี้ทำกรรมดีอะไรไว้ จึงมาเกิดในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน"

    มาตลีเทพบุตรว่า "เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีในกรุงมิถิลานคร เป็นทานบดี ได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติบำรุงพระอรหันต์ทั้งหลายผู้เยือกเย็นด้วยความเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต คิลานปัจจัย และเสนาสนะแด่ท่านผู้ซื่อตรงด้วยใจเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถลศีล ประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สำรวมในศีลทุกเมื่อ เป็นผู้สำรวมระวังและยินดีการให้ทาน จึงมาบังเกิดในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน"


    วิมานแก้วไพฑูรย์

    มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป แสดงวิมานแก้วไพฑูรย์อีกแห่งหนึ่ง คล้ายกับวิมานที่ผ่านมา พระเจ้าเนมิราชตรัสถามถึงบุญที่เทพบุตรกระทำ ว่า "วิมานอันบุญญานุภาพตกแต่งแล้วนี้ ประกอบด้วยภูมิภาคน่ารื่นรมย์ จัดสรรไว้เป็นส่วน ๆ มีแสงสว่างส่องออกมาจากแก้วไพฑูรย์ ดนตรีทิพย์เหล่านี้ คือ เสียงเปิงมาง เสียงตะโพน การฟ้อนรำขับร้อง และเสียงประโคมดนตรี ย่อมเปล่งออก น่าฟัง เป็นที่รื่นรมย์ใจ เราไม่เคยได้ฟังเสียงดนตรีอันไพเราะอย่างนี้มาก่อนเลย เรารู้สึกปลาบปลื้มใจเพราะได้เห็นความเป็นไปนั้น เทพบุตรเหล่านี้ได้ทำกรรมดีอะไรไว้ จึงได้มาเกิดในในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน"

    มาตลีเทพสารถีกราบทูลว่า "เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีในกรุงพาราณสี เป็นทานบดี ได้ก่อสร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติบำรุงพระอรหันต์ทั้งหลายผู้เยือกเย็นด้วยความเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต คิลานปัจจัย และเสนาสนะ แด่ท่านผู้ซื่อตรง ด้วยใจเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สำรวมในศีลตลอดเวลา เป็นผู้สำรวมระวังและยินดีในการให้ทานจึงมาบังเกิดในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน"

    [​IMG]

    วิมานทอง

    ครั้นมาตลีเทพบุตรทูลบอกกุศลกรรมแด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้แล้วขับรถต่อไป ผ่านวิมานทองซึ่งมีรัศมีเหมือนดวงอาทิตย์อ่อนๆ ส่องสว่างเรืองรอง พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสมบัติของเทพบุตรผู้อยู่ในวิมานทองนั้น ทรงมีพระหฤทัยยินดี จึงตรัสถามถึงกุศลกรรมที่เทพบุตรนั้นกระทำว่า "วิมานทองอันบุญญานุภาพเนรมิตไว้นี้ รุ่งเรืองสุกใสดุจดวงอาทิตย์แรกอุทัย ดวงใหญ่สีแดง เรารู้สึกปลาบปลื้มใจ เพราะได้เห็นวิมานทองนี้ เทพบุตรนี้ได้ทำกรรมดีอะไรไว้ จึงมาเกิดในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน"

    มาตลีเทพบุตรกราบทูลว่า "เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี เป็นทานบดี ได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำและสะพาน ได้ปฏิบัติบำรุงพระอรหันต์ทั้งหลายผู้เยือกเย็นด้วยความเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต ยารักษาโรค ปัจจัย และเสนาสนะ แด่ท่านผู้ซื่อตรงด้วยใจเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีล ประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สำรวมในศีลตลอดเวลา เป็นผู้สำรวมระวังและมีความยินดีในการจัดเตรียมของให้ทาน จึงบันเทิงอยู่ในวิมาน"

    วิมานสาวกพระกัสสปพุทธเจ้า

    ในขณะที่มาตลีเทพสารถีนำพระเจ้าเนมิราชชมวิมานบนสวรรค์อยู่นั้น ท้าวสักกเทวราชดำริว่ามาตลีเทพบุตรชักช้าเกินไป จึงส่งเทพบุตรผู้ว่องไวไปเตือนให้ทราบอีก มาตลีเทพบุตรคิดว่าคงชักช้าไม่ได้แล้ว จึงแสดงวิมานเป็นอันมากโดยรวม พระเจ้าเนมิราชตรัสถามถึงกรรมของเหล่าเทพบุตรผู้เสวยทิพยสมบัติในวิมานนั้นๆ

    มาตลีเทพบุตรกราบทูลให้ทราบว่า "ในกาลก่อน เทพบุตรทั้งหมดเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีศรัทธาตั้งมั่นในพระสัทธรรม ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระศาสดา ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรสถานที่สถิตของเทพบุตรเหล่านั้นเถิด เทพบุตรเหล่านั้นบวชในพระศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้าซึ่งเป็นนิยยานิกธรรม เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ บำเพ็ญสมณธรรมจนโสดาปัตติผล แต่ไม่สามารถบรรลุพระอรหัต ครั้นสิ้นชีวิตแล้วได้มาเกิดในวิมานทองเหล่านี้ สถานที่เหล่านั้นเป็นที่สถิตของสาวกพระกัสสปพุทธเจ้า ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรเถิด"


    ภูเขาสัตตบริภัณฑ์ วิมานท้าวจตุโลกบาล

    ครั้นมาตลีเทพบุตรนำพระเจ้าเนมิราชชมวิมานที่ลอยอยู่ในอากาศอย่างนี้แล้ว จึงเสด็จตรงไปยังที่อยู่ของท้าวสักกเทวราช ชี้ให้ดูภูเขาสัตตปริภัณฑ์ ซึ่งทอดเทือกโอบล้อมภูเขาสิเนรุ พระเจ้าเนมิราชประทับอยู่บนยานทิพย์เทียมด้วยม้าสินธพหนึ่งพันเสด็จไปทอดพระเนตรเห็นหมู่ภูเขาในระหว่างนทีสีทันดร ได้ตรัสถามเทพทูตมาตลีว่า "ภูเขาเหล่านี้ชื่ออะไร"

    มาตลีเทพบุตรกราบทูลว่า "ภูเขาเหล่านี้ตั้งเรียงรายเป็นปราการธรรมชาติ ๗ ชั้น คือ ภูเขา "สุทัสสน์" อยู่นอกสุด ถัดจากภูเขาสุทัสสน์นั้นไป คือภูเขา "กรวีก" ภูเขากรวีกนั้นสูงกว่าภูเขาสุทัสสน์ มีทะเลนทีสีทันดร[2]อยู่ในระหว่างภูเขาทั้ง ๒ ลูกนี้ ถัดจากภูเขากรวีกเข้ามา คือภูเขา "อิสินธร" ภูเขาอิสินธรนั้นสูงกว่าภูเขากรวีก มีทะเลนทีสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขานั้น ถัดจากภูเขาอิสินธร คือภูเขา "ยุคันธร" ภูเขายุคันธรนั้นสูงกว่าภูเขาอิสินธร มีทะเลนทีสีทันดรอยู่ในระหว่างภูเขา ๒ นั้น ถัดภูเขายุคันธร คือภูเขา "เนมินธร" ภูเขาเนมินธรนั้นสูงกว่าภูเขายุคันธร มีทะเลสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขานั้น ถัดภูเขาเนมินธร ชื่อภูเขา "วินตกะ" ภูเขาวินตกะนั้นสูงกว่าภูเขาเนมินธร ทะเลชื่อนทีสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขานั้น ถัดภูเขาวินตกะ คือภูเขา "อัลสกัณณะ" ภูเขาอัสสกัณณะนั้นสูงกว่าภูเขาวินตกะ มีทะเลนทีสีทันดรอยู่ในระหว่าง ๒ ภูเขานั้นเช่นกัน ภูเขาทั้ง ๗ เหล่านั้นสูงขึ้นไปโดยลำดับ มีทะเลสีทันดรขั้นอยู่ในระหว่างภูเขาแต่ละลูก ดุจคั่นบันได ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรภูเขาเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของท้าวจาตุมหาราช เทวดาผู้รักษาโลกประจำทิศทั้ง ๔ บางครั้งเรียกว่า "ท้าวจตุโลกบาล" ได้แก่ ท้าวธตรฐประจำทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหก ประจำทิศใต้ ท้าววิรูปักษ์ประจำทิศตะวันตก ท้าวกุเวรประจำทิศเหนือ"



    จิตตกูฏ ประตูสู่แดนดาวดึงส์

    มาตลีเทพบุตรแสดงเทวโลกชั้นจาตุมหาราชแด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้แล้วได้ขับราชรถต่อไป ชี้ให้ดูรูปเหมือนพระอินทร์[3] ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่ซุ้มประตูจิตตกูฏ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นแล้วตรัสว่าประตูนี้ชื่ออะไร

    มาตลีเทพสารถีกราบทูลว่า "ประตูนี้เขาเรียกว่า "จิตตกูฏ" เป็นทางเสด็จเข้าออกของท้าวสักกเทวราช เป็นประตูเทพนคร ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสิเนรุราชอันงดงาม สลักเสลาด้วยรูปจิตรกรรมต่างๆ รุ่งเรือง วิจิตรบรรจงด้วยรูปเหมือนท้าวสักกเทวราช คอยรักษาเทพนคร ประหนึ่งเสือโคร่งรักษาป่า"

    ครั้นทูลอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีได้เชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชเสด็จเข้าสู่นครเทพ


    สู่เทวสมาคม

    พระเจ้าเนมิราชประทับอยู่บนยานทิพย์ ทอดพระเนตรเทวสภาชื่อ "สุธรรมา" ตรัสถามมาตลีเทพสารถีว่าสถานที่พระองค์ประทับอยู่นี้ชื่อไร มาตลีเทพสารถีกราบทูลว่า "วิมานนี้เป็นเทวสภา ชื่อว่า สุธรรมา รุ่งเรืองด้วยแก้วไพฑูรย์งามวิจิตร ถูกเนรมิตขึ้นด้วยบุญญานุภาพ มีเสา ๘ เหลี่ยมทำด้วยแก้วไพฑูรย์ทุกต้น เป็นสถานที่เหล่าเทพชั้นดาวดึงส์ทั้งหมดมีพระอินทร์เป็นประมุขมาประชุมกันคิดประโยชน์ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย"

    ฝ่ายเทวดาทั้งหลายนั่งคอยการเสด็จมาของพระเจ้าเนมิราช ครั้นทราบว่าพระเจ้าเนมิราชเสด็จมาแล้ว ต่างก็ถือของหอมธูปเทียนเครื่องอบและดอกไม้ทิพย์ ไปคอยอยู่ที่ทางจะเสด็จเข้ามา ตั้งแต่ซุ้มประตูจิตตกูฏ บูชาพระมหาสัตว์ด้วยของหอมและบุปผชาตินานาพันธุ์ ห้อมล้อมนำเสด็จเข้าสู่สุธรรมาเทวสภา พระเจ้าเนมิราชเสด็จลงจากราชรถเข้าสู่เทวสภา เทวดาทั้งหลายในที่นั้นเชิญเสด็จให้ประทับนั่งบนทิพยอาสน์

    เทวดาทั้งหลายเห็นพระเจ้าเนมิราชเสด็จมาถึงก็พากันยินดีกล่าวต้อนรับว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว เสด็จมาไกลก็เหมือนใกล้ พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ขอเชิญประทับนั่งใกล้กับท้าวสักกเทวราช ณ บัดนี้เถิด"

    ส่วนท้าวสักกเทวราช ก็ทรงยินดีกล่าวสรรเสริญ พระเจ้าเนมิราชแล้วเชิญประทับอยู่ในหมู่เทวดาผู้สำเร็จด้วยทิพยกามทั้งมวล และเชิญให้เสวยทิพยกามารมณ์ในหมู่เทพดาวดึงส์


    พระเจ้าเนมิราชตรัสห้ามว่า "สิ่งที่ได้มาเพราะผู้อื่นให้ เปรียบเหมือนยานพาหนะหรือเงินทองที่ยืมเขามา เราไม่ปรารถนาสิ่งของที่ผู้อื่นให้ บุญทั้งหลายที่เราทำเองย่อมเป็นทรัพย์ที่จะติดตามเราตลอดไป เราจะกลับไปทำกุศลให้มากในโลกมนุษย์ ด้วยการบริจาคทาน การประพฤติสม่ำเสมอ ความสำรวมระวัง และการฝึกอินทรีย์ ซึ่งทำไว้แล้วจะมีความสุข และไม่เดือดร้อนในภายหลัง"
    พระมหาสัตว์ประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ๗ วัน ตามการนับในโลกมนุษย์ ทรงแสดงธรรมด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะแก่เทวดาทั้งหลาย ทำให้หมู่เทพต่างเกิดความยินดีปรีดา

    ครั้นแล้วทรงสรรเสริญมาตลีเทพสารถีว่า "มาตลีเทพบุตร มีอุปการะแก่เรามาก ได้นำชมสถานที่อยู่ของผู้มีธรรมและของผู้มีกรรมหยาบช้า"

    พระเจ้าเนมิราชปรารถนาจะกลับไปโลกมนุษย์ ท้าวสักกเทวราชจึงรับสั่งมาตลีเทพบุตรนำพระเจ้าเนมิราชเสด็จกลับสู่กรุงมิถิลานคร มาตลีเทพสารถีได้จัดเตรียมรถรอรับเสด็จกลับ แล้วขับไปถึงกรุงมิถิลานครทางทิศใต้

    มหาชนเห็นยานทิพยก็ยินดีว่า พระราชาเสด็จกลับมาแล้ว มาตลีเทพสารถีทำประทักษิณกรุงมิถิลานครแล้วนำพระมหาสัตว์ให้เสด็จลงที่สีหบัญชรเหมือนเดิม แล้วทูลลากลับวิมาน

    ฝ่ายมหาชนได้แวดล้อมพระราชาทูลถามถึงเทวโลกว่าเป็นเช่นไร พระเจ้าเนมิราชทรงตรัสเล่าถึงสมบัติของเหล่าเทวดาและของท้าวสักกเทวราชให้ประชาชนฟัง แล้วทรงแสดงธรรมแก่มหาชนว่า "แม้พวกท่านทั้งหลายจงทำบุญก็จะบังเกิดในเทวโลกนั้นเหมือนกัน"

    ครั้นกาลต่อมา เมื่อนายภูษามาลากราบทูลให้ทราบว่ามีพระเกศาหงอกแล้ว จึงทรงให้ถอนพระเกสาหงอกด้วยแหนบทองคำวางในพระหัตถ์ ทอดพระเนตรเห็นพระเกสาหงอกนั้นแล้ว ทรงสลดพระหฤทัย ได้พระราชทานบ้านส่วยแก่นายภูษามาลา มีพระราชประสงค์จะทรงผนวช จึงมอบราชสมบัติแก่พระราชโอรส

    พระราชโอรสทูลถามว่า พระองค์จะทรงผนวชเพราะเหตุไร พระเจ้าเนมิราชจึงตรัสบอกเหตุผลเหมือนพระราชาองค์ก่อนๆ ทรงผนวชแล้วประทับอยู่ ณ อัมพวันนั้นนั่นเอง เจริญพรหมวิหาร ๔ จนได้บรรลุฌาน มีฌานไม่เสื่อมได้ไปบังเกิดในพรหมโลก



    สรุปเรื่องเนมิราช

    ครั้นพระพุทธองค์ตรัสเล่าเรื่องในอดีตชาติของพระองค์ให้ภิกษุทั้งหลายฟังแล้ว ได้ตรัสสรุปว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตออกมหาภิเนษกรมณ์ แม้ในอดีตชาติ ตถาคตก็ออกมหาภิเนษกรมณ์เหมือนกัน ครั้นตรัสดังนี้แล้ว ทรงแสดงอริยสัจ ๔ ประชุมสรุปชาดกว่า ท้าวสักกเทวราช ในครั้งนั้นกลับชาติมาเกิดเป็น ภิกษุชื่อ "อนุรุทธะ"ในชาตินี้ มาตลีเทพสารถีกลับชาติมาเกิดเป็นภิกษุชื่อ "อานนท์" กษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ เป็นพุทธบริษัท ส่วนพระเจ้าเนมิราช คือ เราผู้สัมมาสัมพุทธะนี่เอง


    คติธรรม : บำเพ็ญอธิษฐานบารมี

    "การหมั่นรักษาความดีประพฤติชอบโดยตั้งใจ โดยมุ่งมั่น หากทำความดีแล้วย่อมได้ดี ประพฤติชั่วย่อมได้ผลชั่วตอบแทน นี้เป็นเรื่องที่สมควรยึดมั่นโดยแท้"



    (เตมียชาดกปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ขุททนิกาย ชาดก มหานิบาต และอรรถกถา ขุททกนิกายชาดก มหานิบาต)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2014
  3. Lek2010

    Lek2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    8,925
    ค่าพลัง:
    +42,467
    Lek2010และเพื่อนๆร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพสร้างศาลาปฏิบัติธรรมณ.วัดป่าเกาะภูเชือก ต.ดงรัก อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ

    จำนวน 58 บาท

    ผลการโอนเงินไปยังบัญชีบุคคลอื่น : รายการโอนเงินของท่านสำเร็จแล้ว
    สถานะการโอน สำเร็จ
    วัน/เวลาการทำรายการ 18-03-2014 12:52:35
    เลขที่อ้างอิงการทำรายการ 25315206242014318
    บัญชีผู้โอน
    บัญชีผู้รับโอน 326-0-05285-2
    จำนวนเงิน 58.00 บาท

    ประเภทการโอนเงิน ทันที
     
  4. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ขออนุโมทนาบุญนะครับ

    ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยและบุญกุศลที่เกี่ยวเนื่องในครั้งนี้ จงคุ้มครองรักษาท่านและครอบครัวประสบแต่ความร่มเย็นกาย ร่มเย็นใจ มีความสุขความเจริญในทุกๆด้าน ทั้งยังเป็นผู้หาโรคมิได้ เป็นผู้หาภัยมิได้ พึงเจริญในบวรพระพุทธศาสนายิ่งๆขึ้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน นะครับ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ




    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%93-%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99.320743/
     
  5. รัชนีพร

    รัชนีพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +1,038
    ร่วมสร้างศาลาปฏิบัติธรรม 280.- บาท โอน 28-3-57 เวลา 18-59 น.
    ดต.สมบรูณ์ พลพงษ์ 100.-บาท
    น.ส.วันเพ็ญ พุ่มสวัสดิ์ 100.-บาท
    ดร.สุเมตต์ คุณรัชนีวรรณ ปุจฉการ 80.-
     
  6. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ให้ท่านได้บุญนี้มากๆ ไม่รู้จบสิ้น

    กราบขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วสากลพิภพตลอดจนบุญกุศลคุณความดีทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้โปรดช่วยอภิบาล ดลบันดาล ให้ท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุข ความเจริญยิ่งๆขึ้นไป เป็นผู้ตกน้่ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นผู้หาโรคมิได้ เป็นผู้หาภัยมิได้ มีอายุมั่นขวัญยืน เป็นผู้เจริญในทาน ศิล ภาวนา ยิ่งขึ้นไปตรบจนเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2014
  7. twentynine

    twentynine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +992
    ร่วมสร้างศาลาปฏิบัติธรรม วัดป่าเกาะภูเชือก 100 บาท
    ขออนุโมทนากับทุกท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2015
  8. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ..
    ..ขออนุโมทนาสาธุๆๆ กับทุกๆท่านนะครับ
    ..เดี๋ยวโอนแล้วจะแจ้งอีกที..ครับ..
    .ขอบคุณครับ
     
  9. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ให้ท่านได้บุญนี้มากๆ ไม่รู้จบสิ้นนะครับ

    โอกาสนี้ กราบขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วสากลพิภพตลอดจนภพภูมิต่างๆ สายบุญต่างๆ และบุญกุศลคุณความดีทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องในสถานที่แห่งนี้ทั้งอดีตและปัจจุบันได้โปรดอนุโมทนา อภิบาล ดลบันดาล ให้ท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุข
    เจริญมั่นคงในอาชีพการงานยิ่งๆขึ้นไป เป็นผู้ตกน้่ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นผู้หาโรคมิได้ เป็นผู้หาภัยมิได้มีอายุมั่นขวัญยืน และเป็นผู้เจริญในทาน ศิล ภาวนา ยิ่งๆขึ้นไปตรบจนเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2014
  10. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุ ขออนุโมทนาในกุศลเจตนา ของท่านด้วยนะครับ





    ........
    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญ...บัติธรรม-วัดป่าเกาะภูเชือก-จ-ศรีสะเกษ.522548/

    http://palungjit.org/threads/อานิสง...ดขึ้นนมัสการรอยพระพุทธบาท-วัดลำจังหัน.320743/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2014
  11. Wheeler990

    Wheeler990 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2010
    โพสต์:
    973
    ค่าพลัง:
    +6,012
    กระผม-ครอบครัว พร้อมญาติมิตร และเพื่อนมิตร ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพสร้างศาลาปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าเกาะภูเชือก ฯ

    โอนปัจจัยทำบุญเรียบร้อยแล้ว เข้าธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี 326-0-052852 ชื่อบัญชี พระสุบน เขมนันโก วันที่ 08/04/14 เวลา 11.32 น. ยอดเงิน 75 บาท

    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ สาธุๆ^^
     
  12. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    วันก่อนโอนเงิน ไม่ผ่าน เลยมาเช็คดูรายละเอียดอีกที.
    ..มีโอกาสคงได้ไปปฏิบัติบ้างนะครับ ใกล้ๆบ้านเกิด เขื่อนห้วยศาลา
    ..ขอบคุณครับ เดี๋ยวเย็นนี้ลองโอนใหม่
     
  13. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747

    สาธุครับ ขออนุโมทนาบุญ ขอให้ท่านได้บุญนี้มากๆ ไม่รู้จบสิ้นนะครับ

    โอกาสนี้ กราบขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วสากลพิภพตลอดจนภพภูมิต่างๆ สายบุญต่างๆ และบุญกุศลคุณความดีทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องในสถานที่แห่งนี้ทั้งอดีตและ ปัจจุบันได้โปรดร่วมอนุโมทนา อภิบาล ดลบันดาล ให้ท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุข
    เจริญมั่นคงในอาชีพการงานยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นผู้ตกน้่ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นผู้หาโรคมิได้ เป็นผู้หาภัยมิได้มีอายุมั่นขวัญยืน และเป็นผู้เจริญในทาน ศิล ภาวนา ยิ่งๆขึ้นไปตรบจนเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  14. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ถ้ามีโอกาสก็ลองแวะเข้าไปได้เลยครับ ถ้ามองจากเขื่อนห้วยศาลา ศาลาก็จะอยู่บริเวณบนยอดเขานั้นหล่ะ วิวสวยดี
     
  15. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [​IMG]

    (รูปถ่ายพระอาจารย์ ซึ่งเป็นสถานที่ ประดิษฐานพระประธานในอนาคต)

    ในโอกาสอันเป็นมงคลที่กำลังจะมาถึงนี้ หากศาลาปฏิบัติธรรมนี้สร้างเสร็จแล้ว กระผมมีโอกาสได้สนทนาและซักถามควาบคืบหน้าโครงการ ยังสร้างต่อไปจนกว่าจะเสร็จมีปัจจัยทำบุญจากการโอนทำบุญบ้าง ทางวัดบ้าง ซึ่งก็ยังใช้เวลาสักระยะหนึ่งกว่าจะเสร็จ ศาลาปฏิบัติธรรมใหม่บนยอดเขาแห่งนี้ท่านอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมบุญกันตามศรัทธา

    และเห็นว่าหากสร้างศาลาเสร็จก็คงต้องมีพระประธาน ได้เรียนขออนุญาตท่านพระอาจารย์ว่าขอเป็นสะพานบุญไปบอกบุญให้ทุกคนร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระประธานร่วมกัน

    ซึ่งพระประธานที่จะสร้างนี้ท่านเคยเห็นผมพาผู้ใจบุญร่วมกันสร้างประธานเป็นหินมาแล้ว เห็นว่างดงามดี น่าจะเหมาะ โดยขนาดหน้าตักอยู่ที่ประมาณ 2.5 เมตร และสูงประมาณ 4 เมตร แกะจากหินทรายแผ่นเดียวเศียรสามารถถอดบรรจุพระบรมสาริกธาตุได้ ใต้ฐานบรรจุวัตถุมงคลได้

    [​IMG]

    พระพุทธรัตนมหามงคลศรีมิ่งเมือง

    (ตัวอย่างต้นแบบพระประธานแกะสลักหินทรายขาว ที่จะทำการสร้างในอนาคตอันไกล้นี้เมื่อศาลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว)

    ในโอกาสอันไกล้นี้จะได้มาประชาสัมพันธ์ บอกบุญกันอีกครั้ง

    ซึ่งในปัจจุบันมาช่วยกันเป็นกำลังใจสร้างศาลาปฏิบัติธรรมให้สำเร็จกันนะครับเพื่อประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2014
  16. Jintasak

    Jintasak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    533
    ค่าพลัง:
    +1,920
    ผมและครอบครัวโอนเงิน 300 บาท ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างศาลาปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าเกาะภูเชือก จ.ศรีสะเกษ เพื่อเป็นวิหารทานในพระพุทธศาสนา และขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ

    สถานะการทำรายการ ธนาคารได้ทำรายการของท่านเรียบร้อยแล้ว
    หมายเลขอ้างอิง KBKR140412834371254
    รายละเอียดการทำรายการ
    วิธีโอนเงิน ออนไลน์ (ตลอด 24 ชั่วโมง)
    จากบัญชี xxx-x-48696-3 จิรโรจน์ สุรัตน์เลขะทรรศ
    ธนาคารเจ้าของบัญชี ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
    เพื่อเข้าบัญชี 326-0-05285-2 พระสุบน เขมนันโก
    ชื่อเจ้าของบัญชีในฐานข้อมูล พระสุบน เขมนน๒โก
    จำนวนเงิน (บาท) 300.00
    ค่าธรรมเนียม (บาท) 25.00
    วันที่โอนเงิน 12/04/2014 [23:57:12]
    บันทึกช่วยจำ ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างศาลาปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าเกาะภูเชือก จ.ศรีสะเกษ
     
  17. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    เมื่อวันที่ 10 ได้โอนเงินกับเพื่อนไปแล้วนะครับ
    คนละ 50 บาท รวม 100.- ลืม
    ขออนุโมทนาสาธุๆๆ กับผู้ใจบุญทุกๆท่านนะครับ
    สาธูๆๆ
    .
    .และขออนุโมทนาสาธุๆกับเจ้าของกระทู้ ที่นำมาบอกบุญด้วยครับ..
    ..
     
  18. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ..
    ..พระพุทธรูปงามมากๆเลยครับ ขออนุโมทนาสาธุๆๆด้วยนะครับ สาธุๆๆ
     
  19. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ขอให้ท่านได้บุญนี้มากๆ ให้เป็นดั่งร่มโพธิ์ ร่มไทร ติดตามท่านไม่รู้จบ

    โอกาสนี้กระผมกราบขออาราธนาอำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วสากล พิภพตลอดจนภพภูมิต่างๆ สายบุญต่างๆ และบุญกุศลคุณความดีทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องในสถานที่แห่งนี้ทั้งอดีตและ ปัจจุบันได้โปรดร่วมอนุโมทนา อภิบาล ดลบันดาล ให้ท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุข
    เจริญมั่นคงในอาชีพการงานยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นผู้ตกน้่ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นผู้หาโรคมิได้ เป็นผู้หาภัยมิได้มีอายุมั่นขวัญยืน และเป็นผู้เจริญในทาน ศิล ภาวนา ยิ่งๆขึ้นไปตรบจนเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2014
  20. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุครับ ขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วยเช่นกันนะครับ
    ขอให้ท่านและผู้ที่เกี่ยวเนื่อง ได้บุญนี้มากๆ ไม่รู้จบสิ้นนะครับ ให้
    เป็นดั่งร่มโพธิ์ ร่มไทร ติดตามท่านไม่รู้จบ

    โอกาสนี้กระผมกราบขออาราธนาอำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วสากล พิภพตลอดจนภพภูมิต่างๆ สายบุญต่างๆ และบุญกุศลคุณความดีทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องในสถานที่แห่งนี้ทั้งอดีตและ ปัจจุบันได้โปรดร่วมอนุโมทนา อภิบาล ดลบันดาล ให้ท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุข
    เจริญมั่นคงในอาชีพการงานยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นผู้ตกน้่ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นผู้หาโรคมิได้ เป็นผู้หาภัยมิได้มีอายุมั่นขวัญยืน และเป็นผู้เจริญในทาน ศิล ภาวนา ยิ่งๆขึ้นไปตรบจนเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...