อยากกลับไปสู่ความสงบ ตอนนี้ทรมานเหลือเกิน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย coli, 7 กรกฎาคม 2010.

  1. คิดอยู่นาน

    คิดอยู่นาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +129
    คิดบวกก่อนครับ "พยาม"ทำให้มันเป็นเรื่องขำเรื่องตลกให้หมด
    และขอบคุณทุกประสบการณ์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้และจะไม่ทำผิดซ้ำอีก
    ถ้าเราคิดแต่อะไรที่เศร้าหมองมันก็ส่งผลถึงร่างกายและจิตใจ
    จิตใจห่อเหี่ยว ร่างกายอ่อนแอ ร่างกายอ่อนแอ ทำสมาธิได้ไม่ดี
    ส่งผลกันไปมา
     
  2. นามิกา

    นามิกา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +52
    มีเพลงมาฝาก..เพลงเพราะมากเลย
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=BjK1juDL728"]YouTube - ปล่อย อ้น ธวัชชัย ชูเหมือน[/ame]

    เพลงปล่อย
    อ้น ธวัชชัย ชูเหมือน


    </PRE>

    ใครจะชิงใครจะชังมันก็ช่างหัวเขา แค่ตัวเรารู้เราช่างเค้าประไร

    ใครจะชักใครจะแช่งใครจะแกล้งใครจะหยัน ก็ให้ช่างหัวมันก็ให้ปล่อยเค้าไป

    ใครจะชมใครจะเชิดว่าประเสริฐเลิศหรู ตัวเรารู้เราอยู่ปล่อยเค้าชมไป

    ใครจะรักใครจะเกลียดใครจะเสียด ใครจะสีก็เรารู้ตัวดีปล่อยเค้าทำไป..



    เกิดเป็นมนุษย์สิ้นสุดแค่ตาย เอาอะไรมากมายในความอนัตตา

    โลภไปทำไมช่วงชิงแข่งขัน สุดท้ายเหมือนกันต้องไปป่าช้า

    จะเอาอะไรแค่รักโลภโกรธหลง ไม่มีความมั่นคงบนกิเลสตัณหา

    เกิดแก่เจ็บตายใยจะไปยึดมั่น สรรพสังขารล้วนอนิจจา

    ปล่อยวางมันเสีย ทุกโขติณณา...



    ใครจะเมินใครจะมองใยจะต้องไหวหวั่น ใครจะใส่ร้ายกันใยจะต้องสนใจ

    ใครจะดีใครจะเลวมันก็เรื่องของเขา ใครจะนินทาเราใยจะต้องทุกข์ใจ

    ใครจะล้อใครจะด่าใยจะต้องว่าตอบ ใครไม่สนใครไม่ชอบใยจะต้องใส่ใจ

    ใครจะคิดใส่ความใยจะต้องวุ่นจิต หากตัวเราไม่ผิดจะไปคิดทำไม...



    เกิดเป็นมนุษย์สิ้นสุดแค่ตาย ประดุจดังต้นไม้ล้มทับโลกา

    หมดลมเมื่อไรหาประโยชน์ใดเล่า ล้วนต้องถูกเผาหามไปป่าช้า

    ชีวิตยังมีสร้างความดีไว้เถิด ได้ไม่เสียชาติเกิด ได้ไม่ต้องอายหมา

    อันว่าความตายคือสัจธรรมความเที่ยง สิ้นสรรพสำเนียงเน่าเหม็นขึ้นมา

    จะเอาอะไร...จะเอาอะไรกันนักหนา...


    </PRE>


    </PRE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2010
  3. peenangfa

    peenangfa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +228
    มันก็น่าเหนื่อยหน่ายกับทุกอย่างรอบๆตัวเราจริงๆครับ แต่ถ้าเรามัวแต่มองรอบๆมันก็เป็นแบบนั้นแหละครับ จะดับความวุ่นวายข้างนอกได้ ต้องมาดับความวุ่นวายในจิตเราคับ ถ้าจิตเราไม่วุ่นวาย ข้างนอกก็ไม่วุ่นวายครับ จะไม่มีอะไรมาทำให้จิตเราวุ่ยวายได้เลย หมั่นทำสมาธิและวิปัสนาครับ อย่าไปหวังครับว่าจะรู้สึกดีเหมือนเก่า ความอยากคือศัตรูเราเวลาปฏิบัติครับ ให้ทำไปครับ พยายามทำให้จิตจับอยู่ที่สมาธิคับ อย่าไปต้องการความสุขครับ เราไม่ต้องการทั้งความสุขและความทุกข์ครับ เราต้องการความสงบเท่านั้น

    ทุกสิ่งทุกอย่างล้วน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา << ไม่ใช่แค่รู้ว่ามันไม่เที่ยง ต้องพิจารณาให้จิตรู้อย่างถ่องแท้ด้วยคับ
     
  4. mukamon

    mukamon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +596
    อนุโมทนาสาธุในกุศลธรรมจิตนะคะ

    จิตที่คิดดีคือ จิตที่ได้ฝึกสมาธิ สติปัญญา อาจได้รับการฝึกจากการฟัง
    ( สุตมยปัญญา ) จากธรรมเทศนา จากการสนทนาสาระธรรม จากการซักถามพูดคุยอยู่เนืองๆ จนเกิดปัญญา ความรู้ และอาจได้รับการฝึกฝนด้วยตนเองพิจารณาไตร่ตรอง ( จินตมยปัญญา ) มีความเห็นชอบ มีสัมมาทิฏฐิ มีดำริชอบ เป็นปัญญาเห็นแจ้งในโลกุตรธรรม เจริญองค์มรรค 8 และสามารถครองตัวครองตนอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุข การได้รับการฝึกฝนที่เกิดมรรผลระดับสูงสุด คือ การเจริญภาวนา ( ภาวนามยปัญญา ) เป็นการฝึกจิตให้สงบระงับ ดับทุกข์ทางกาย วาจา และทางใจ ด้วยการเห็นด้วยปัญญา เห็นความเกิดดับของรูปนาม ของทุกข์และสุข และสภาวะกลางที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่น รู้จักลดละปล่อยวาง ความทุกข์ก็จะคลาย ความเบาสบายก็จะเกิด
    จิตที่คิดไม่ดีคือ จิตที่ไม่ได้รับการฝึกพิจารณา ไตร่ตรองถึงสภาวะความจริงที่ถ่องแท้ จิตรับแต่เรื่องทางโลก รับแต่เรื่องทุกข์ ร้อน ความดิ้นรนล้วนแต่เป็นกิเลสเผาผลาญ ซึ่งเกิดจากจิตเราทั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากที่อื่นที่ไกลหรือจากใคร

    เมื่อจิตคิดดีย่อมนำพาสู่การประพฤติปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ความสงบเกิดยั่งยืน
    เมื่อจิตคิดไม่ดีย่อมนำพาสู่การประพฤติปฏิบัติไม่ตรงทาง ตรงธรรม ความรุ่มร้อนจึงเกิดอยู่เนืองๆ

    จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว อยู่ที่ใด สภาวะแวดล้อมใดก็ฝึกจิตทำใจของเราได้
    เอาความเพียรเพ่งเผา ชำระกิเลสทั้งหลายให้เบาบางลงได้ สำรวมอินทรีย์และยึดปฏิบัติด้วยความเพียร 4 ประการ คือ
    1. สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในจิตใจ
    2. ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
    3. วิปากสัทธา เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในจิตใจ
    4. อนุรักขณาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วมิให้เสื่อม

    ผู้ที่คิดดีเป็นบาทเป็นฐานอยู่แล้ว เมื่อได้ฝึกฝนด้วยความเพียรก็จะได้ผลคุ้มค่า เพราะเป็นการที่ทำให้เกิดปัญญา ทำให้แก้ปัญหาดับความทุกข์ได้ แม้จะยังทำไม่ได้สมบูรณ์ ก็ยังจะพอเป็นเครื่องช่วยให้เกิดความสมดุล และได้มีทางออกในยามที่ถูกความคิดตามสภาวะภายนอก,ตามสังคม ชักนำไปสู่ความอับจน ความทุกข์ และปัญหาบีบคั้นต่างๆ ให้มีโยนิโสมนสิการระดับจริยธรรม พิจารณาอย่างแยบคายเป็นการเสริมสร้างคุณภาพจิต ปลุกเร้าให้เกิดคุณธรรมหรือกุศลธรรมต่างๆ เน้นที่การสะกัดหรือตัดข่มกิเลส ตัณหา เป็นเครื่องนำไปสู่โลกีย์สัมมาทิฎฐิ

    ขออนุโมทนากับผู้รู้แจ้งทุกท่าน ธรรมที่แสดงล้วนเป็นพลวัตรปัจจัยให้ดับทุกข์ได้...สาธุ
     
  5. mukamon

    mukamon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +596
    ขอบคุณคะ เพลงนี้ชอบมาก อนุโมทนาสาธุคะ
     
  6. mukamon

    mukamon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +596
    อนุโมทนาสาธุ...ธรรมที่บรรยายลึกซึ้งเหลือเกิน เพลงก็ดีด้วย
     
  7. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    มีตัวเลือกให้อีก ทางกาย..............พิจารณาว่าตัวเองเป็นใคร แล้วจงใช้กายนี้ ทำหน้าที่ไปจนกว่าจะจบภารกิจในโลก

    ขณะทำภารกิจ อย่าลืมหน้าที่ ทางใจ ด้วย ..........

    1.มหาสติปัฏฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม
    2.มีความเพียรเผากิเลส
    3.มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
    4.มีสติ
    5.กำจัดอภิฌชาและโทมนัสในโลก
    (พาหิยะ สูตร)

    คงไม่ต้องอธิบายละเอียดนะครับ.........เดี๋ยวมันก็หมดตัวตนไปเอง มีแต่หน้าที่ หน้าที่ และหน้าที่ ..............มีตัวตนเมื่อไร????????..........มันก็ทุกข์อีก.
     
  8. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ขอแทรกหน่อยครับ หากอารมณ์ตอนนั้น เป็นเหมือนผม เช่นนั้นเปรียบเทียบกับนักปฏิบัติ ก่อนปฏิบัติเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วไม่รู้ตัวไม่รู้ทันจะตกใจร้องอุทานต่างๆ แต่เมื่อปฏิบัติแล้วมีเหตุการณ์เกิดขึ้น รู้ทันและได้แก้ไขไปตามสมควรจนพ้นเหตุแล้วย่อมเห็นว่า ที่ไม่รู้ทันจนอุทานโวยวายต่างๆเป็นการกระทำที่ไม่จำเป็น เกินกว่าที่ต้องกระทำ กระทำโดยไม่ได้ประโยชน์อันใด(เหมือนคนบ้าที่ทำอะไรไม่รู้ตัวไม่ได้ประโยชน์อันใด)
    กลับมาที่การฟังเพลงนั้นเมื่อปฏิบัติแล้วฟังเพลงแล้วรู้ทันไม่ถูกแทรกด้วยความไม่รู้เป็นส่วนมากแล้ว จะเข้าใจเนื้อเพลงเข้าใจเจตนาของผู้แต่ง เข้าใจทำนอง เข้าใจการออกเสียง เข้าใจอารมณ์ของผู้ร้องและผู้แต่ง หรือก็คือเข้าใจถึงความไพเราะของเพลงนั้นแทบทั้งหมดแล้วโดยไม่ต้องปรุงแต่ง(ทำอินไปกับเพลง ร้องตาม หรือเต้น)แต่อย่างใดเพิ่ม เพื่อให้เข้าถึงประโยชน์แห่งเพลงนั้นอีก เปรียบ เหมือน อาจารย์บรรยาย หากนักเรียนคนใดเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งจากการบรรยายนั้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องจดบรรทึก หรือหาข้อมูลแต่อย่างใดประกอบอีก ก็สอบผ่านได้
    อีกประการหนึ่งเวลาที่อยู่ในอารมณ์เช่นนั้นแล้ว ความสุขที่เกิดขึ้นอย่างธรรมดาย่อมเพียงพออยู่แล้ว ถึงไม่มีการปรุงแต่งเพิ่ม ก็เป็นสุขได้ด้วยตัวเอง เปรียบเหมือน อาจารย์บรรยาย นักเรียนคนใดเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฟังบรรยายเลย ก็สอบผ่านได้
    ผมพิสูจน์ได้จากตัวเอง(ขอโม้หน่อย)ขณะที่ผมมีความเห็นดังนั้นอยู่ ผมสามรถฟังเพลงแล้วรู้ว่าเพลงจะประสบความสำเร็จหรือไม่โดยบอกกับเพื่อนไว้ก่อน ผมแนะนำการออกเสียงร้องให้รุ่นน้องได้ ผมฟังดนตรีแล้วรู้ว่าเพลงแดนซ์เพลงไหนจะดัง เพลงใดจะโดน ปีนี้เพลงวงใดจะได้รางวัล เสมอทั้งที่ไม่ได้อินหรือต้องแสดงอาการต่อเพลงนั้นอย่างไร
    บางคราวผมก็ไปตามสถานบรรเทิงผมก็ฟังเพลงได้เพราะ ร้องตามได้หรือจะให้เต้นแร้งเต้นกาก็ยังได้ แต่ถ้าเทียบกับความสุขที่เกิดขึ้นตามธรรมดานั้น การกระทำเหล่านั้นก็เกินความจำเป็นอยู่ดี
    หวังว่าเมื่อมีผู้อ่านแล้วจะได้ประโยชน์ครับ สาธุ
     
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918

แชร์หน้านี้

Loading...