หาธรรมะอ่านเอง ก็เหมือนหายากินเอง ไม่ผ่านแพทย์ตรวจสั่ง จึงหลงธรรมะ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 27 มีนาคม 2012.

  1. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    ท่านผู้เป็นบัณฑิตผู้เจริญในธรรมทั้งหลาย ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของข้าพเจ้า เล็งเห็นแล้วว่า"ในสมัยพุทธกาลนั้น จักไม่มีสิ่งใดใดที่ล่วงพ้นการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปได้เลย พระองค์ทรงรู้ทรงเห็นทรงทราบยิ่ง ก็เหตุใดเล่าจึงเกิดปริศนาธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ก็เพราะเป็นไปด้วยเหตุ ไม่ว่าจะเกิดจากกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ไม่ว่าสร้างขึ้นจะใหม่หรือเก่าก็ตาม ที่ทำให้เกิดเหตุและผลดังนั้น ก็ล้วนแต่เป็นพลวปัจจัย ให้เกิดขึ้นซึ่งปริศนาธรรมทั้งหลายเหล่านี้ หากท่านทั้งหลาย ยกปริศนาธรรมอื่นๆมาเสวนากันอีก ท่านว่าปริศนาธรรมนั้นๆ จะปุจฉาและวิสัชนากันต่อไป อย่างไม่รู้จบเช่นไร ท่านผู้เจริญหากท่านเป็นผู้คงแก่เรียน ท่านเองก็คงทราบว่า ยังมีอีกมากมายนักที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบ แต่ไม่ทรงนำมาเปิดเผย ด้วยไม่เป็นไปด้วยการสำเร็จมรรคผลนิพพานโดยตรง ท่านจึงทรงชี้ทางให้ หากท่านมีความปราถนา และหวังจะไปให้ถึง ก็จงออกเดินทางเถิด อย่ามัวแวะขุดเจาะค้นหาเส้นทางอื่นอีกเลย หรือท่านคิดว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงทศพลปานนั้น จะมองไม่เห็นสิ่งที่เป็นอยู่ในกาลปัจจุบันนี้ ว่าจะเกิดโกลาหล สับสน มากเพียงไร ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากท่านบัณฑิตทั้งหลาย หากได้เกิดในครั้งพุทธกาล ได้มีโอกาสเข้าเฝ้า ก็คงไม่ใช่บัวน้อยจมโคลนอย่างแน่นอน ส่วนข้าพเจ้าเองเล็งเห็นว่ามีทางเดินอยู่ ครั้นเมื่อข้าพเจ้ารู้แล้วว่าทางนี้สะดวก ทางนี้ควร ก็พิจารณาตนเองว่าจะมีเรี่ยวแรงกำลังก้าวเดินไปอย่างไรอยู่ ขออนุโมทนาบุญฯ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  2. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    เรารู้ดีโดยธรรมด้วยตนเอง ว่าผู้ที่ทราบว่าอะไรผิดอะไรถูกก็คือ ผู้ที่อยู่มานานแล้ว ในพรหมโลกก็ดี ในสวรรค์โลกก็ดี ในมารโลกก็ดี แม้แต่ในบาดาลนรกภูมิ พวกเขาเหล่านั้น บ้างก็เคยเข้าเฝ้าพระพุทธองค์มาแล้ว บ้างก็ได้รับพรพุทธทำนายมาแล้ว ได้รับฟังคำสั่งสอนมาบ้างแล้ว อย่างมากมายท่วมท้น ชนเหล่านั้น สามารถที่จะชี้แจง บอกข้อมูลในเมื่อครั้งอดีตกาล สมัยพุทธกาลแก่เราได้อย่างชัดเจน และไม่ผิดเพี้ยน หากเขาเหล่านั้นประสงค์จะให้ทราบ ด้วยบุญเก่าก็ดี เหมือนกับที่เคยมาถวายพระปริตรแก่เรา เราก็ย่อมจักสำเร็จ การนั้นเป็นแน่แท้
    ท่านทั้งหลาย ในอรรถาธิบาย ในปัจจุบันมีการดัดแปลงแก้ไขเป็นอันมาก จนทำให้เราสามารถเข้าใจผิดและหลงทางได้ แม้แต่ในความเข้าใจ ในเนื้อความจะมีมากก็ตาม รู้มากในอรรถในประโยคมากก็ตาม แต่จะยังไม่สามารถเข้าถึงเส้นทางที่แท้จริงได้ หากไปนำมาปฎิบัติ เสมือนมีแผนที่ทางเดินที่สร้างมาผิดแบบ มีความสลับซับซ้อน ย่อมเข้าใจผิดเป็นอันมาก และแม้มีแผ่นที่่ทีสามารถชี้บอกทางได้ถูกต้อง แต่ไปถามคนผิดก็ย่อมบอกทางผิดไปเรื่อยๆ ตามความคิดของตนเอง ความเข้าใจของตนเอง ตามจริตของตนเอง หรือมีจริตประสงค์ให้ งุนงง สงสัยไข่วเขว ไม่กระจ่าง อุปมาเสมือนคนตาบอดสนิท ที่มีความปราถนาคบไฟเพื่อต้องการแสงสว่างนำทาง จักจะเป็นประโยช์นอันใด ขอให้ท่านเฝ้าพิจารณาให้ดีๆ และปฎิบัติให้ถึง ความวิเวก หวังว่ากุศลผลบุญของท่าน ที่ได้เคยทำไว้แต่ชาติปางก่อนจะชี้นำทางที่ถูกต้อง ความรู้เหล่านี้ จักเป็นประโยชน์ต่อไป ในภายภาคหน้า แก่พระพุทธศาสนา ซึ่งจะมีการถกเถียง กันในเรื่องราวต่างๆ ใครมีบุญมากๆ ที่เหลือก็ค่อยถาม เอากับชาวทิพย์เอานะครับ เพราะเขาอยู่มานาน รู้เห็นอะไรที่เป็นจริงมากกว่าเราหลายอย่าง เอาที่มีธรรมสูงๆล่ะครับ เพราะส่วนหนึ่งก็ตกอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ เพราะถูกกับดักของมารครอบ เอาไว้เหมือนกัน ขออนุโมทนาบุญฯ<!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายอัญเดียรถีย์และปริพาชกเหล่านั้น เป็นคนมืดบอดไม่มีตา จึงไม่รู้ว่าอะไรคือประโยชน์ อะไรคือมิใช่ประโยชน์ อะไรคือความชอบธรรม อะไรคือความไม่ชอบธรรม เมื่อไม่รู้ก็ทะเลาะวิวาทกันทิ่มแทงกันด้วยหอกคือปาก ยึดมั่นว่า (ความเห็นของกู) เท่านั้นถูกอย่างอื่นผิดหมด

    ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้วในอดีตพระราชาพระองค์หนึ่งเรียกราชบุรุษคนหนึ่งให้หาช้างมาให้คนตาบอดแต่กำเนิดเก้าคนดู คนตาบอดทั้งเก้านั้น ต่างก็ใช้มือลูบคลำส่วนต่างๆ ของช้าง แล้วก็กำหนดว่า ช้างเป็นเช่นนี้ๆ

    เมื่อถูกพระราชาตรัสถามว่า ช้างเหมือนอะไร

    (1) คนที่คลำศีรษะช้างกราบทูลว่า "เหมือนหม้อน้ำ"

    (2) คนที่คลำหูก็กราบทูลว่า "เหมือนกระด้ง"

    (3) คนคลำงาก็ว่า "เหมือนเสาอินทขีล (หลักเมือง)"

    (4) คนที่คลำงวงก็ว่า "เหมือนงอนไถ"

    (5) คนที่คลำร่างกายก็ว่า "เหมือนฉางข้าว"

    (6) คนที่คลำเท้าก็ว่า "เหมือนเสาเรือน"

    (7) คนคลำหลังก็ว่า "เหมือนครกตำข้าว"

    (8) คนคลำหางก็ว่า "เหมือนสาก"

    (9) คนที่คลำปลายหางก็ว่า "เหมือนไม้กวาด"

    แต่ละคนก็ว่า ตนเท่านั้นถูกต้อง คนอื่นผิดหมด "ช้างมันเป็นเช่นนี้โว้ย ไม่ใช่อย่างที่เอ็งว่า" ว่าแล้วก็ลงไม้ลงมือตลุมบอนกันอุตลุด

    พระราชาทรงพระสรวลก้ากๆ ด้วยความสำราญพระราชหฤทัยเต็มที่

    ในทำนองเดียวกันภิกษุทั้งหลาย พวกอัญเดียรถีย์และปริพาชกที่มืดบอด ไร้จักษุไม่รู้ว่าอะไรคือประโยชน์ อะไรมิใช่ประโยชน์ อะไรคือความชอบธรรม อะไรมิใช่ความชอบธรรม จึงทะเลาะวิวาทกันทุ่มเถียงกัน ทิ่มแทงกันด้วยหอกคือปาก "นี้เท่านั้นโว้ยถูกต้อง อย่างอื่นผิดหมด"

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล่าอดีตนิทานนี้จบแล้ว ทรงสรุปด้วยพุทธวจนะเป็นคาถาประพันธ์ว่า

    อิเมสุ กิร สชฺชนฺติ อเก สมณพฺราหฺมณา
    วิคฺคยฺห นํ วิวทนฺติ ชนา เอกงฺคทสฺสิโน

    สมณะบางพวกดังกล่าวนี้
    ต่างยึดมั่นทฤษฎีที่ตนเห็น
    มองแง่มุมไม่จบครบประเด็น
    จึงทุ่มเถียงคอเป็นเอ็นไม่ฟังใคร

    {เราจะต่างจากพวกนี้ไหม?นะขอรับ}
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...