หัวใจของพระพุทธศาสนา.... ความแตกต่างกับศาสนาอื่น ๆ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย มหาหินทร์, 4 ธันวาคม 2005.

  1. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ขอย้อนกลับ เล็กน้อย…. ขอมาแทรก จากโพส ที่ผ่านมา….

    ตรงโพสที่ 120 ที่ว่า….

    เมื่อเรา “เห็นทุกข์” แล้ว ตรงนี้ ก็จะ “เห็นธรรมะ” ได้ง่าย

    โดยมีวิธีการปฏิบัติ วางอารมณ์ ให้รู้เท่าทันทุกข์….
    เมื่อรู้เท่าทันทุกข์ วางอารมณ์ได้ ก็แสดงว่า “เห็นธรรมะ”

    ความสำคัญ มันอยู่ตรงนี้ นี่เอง ….

    หากเมื่อ เห็นทุกข์ แล้ว จะทำอย่างไรต่อไป จึงจะได้ชื่อว่า “เห็นธรรม”
    อะไรที่เป็นการปฏิบัติ ให้รู้เท่าทันทุกข์….

    นี่ซิครับความสำคัญของเรื่องราว.. จึงน่าที่จะอยู่ ตรงนี้เองครับ….

    จะทำอย่างไร….
    จึงจะได้ชื่อว่า “เห็นธรรมะ”

    จะปฏิบัติอย่างไร ให้รู้เท่าทันทุกข์ และวางอารมณ์จากทุกข์ ลงได้ ….

    “หัวใจ” ของการปฏิบัติตรงนี้ซิครับ คือ “หัวใจ ของพระพุทธศาสนา”

    แล้ว อะไร กันละ ที่เป็น “หัวใจ….”
     
  2. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ตามความคิด(หางอึ่ง) ของผมมีความเห็นว่า….

    (เป็นความความคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะถูกต้องเสมอไป….)


    หัวใจของพระพุทธศาสนา ก็คือ….

    อริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค….
    โดยมี มรรค มีองค์ 8 เป็นหนทางดับทุกข์

    ลดลงมาเหลือ 3 ข้อ คือ….
    1. ละความชั่ว 2. ทำความดี และ 3. ทำใจให้บริสุทธิ์….

    และลดลงมาเหลือ 1 หัวข้อ คือ ปัจฉิมโอวาส ที่ว่า….

    “พวกเธอทั้งหลาย จงดำรงชีพ ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

    เพราะว่า หากไม่ประมาท ก็จะครอบคลุมได้ทั้ง 3 หัวข้อ….

    อย่างนี้ จะเป็นหัวใจได้ไหมครับ….
     
  3. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    แต่ผมว่า โดยลึก ๆ ลงไปอีก หัวใจของพระพุทธศาสนา น่าจะอยู่กับคำที่ว่า….

    “ให้ยอมรับในกฎแห่งกรรม”

    ทำไมจึงกล่าว เช่นนั้น….

    เพราะว่า.. ถ้าหากเราเชื่อ เรายอมรับ ในกฎแห่งกรรมแล้ว ….
    การยอมรับ ในกฎแห่งกรรมได้ ก็แสดงว่า “มีปัญญา” ที่จะวางเฉยจากทุกข์ ทั้งปวง….

    เท่ากับว่าเราก้าวล่วงเข้าสู่หลักสูตร “โลกุตรธรรม” แล้ว….

    “พระนิพพาน” ก็เป็นที่มุ่งหมายได้ทันที….
     
  4. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    หลักสูตรของ “โลกุตรธรรม” เป็นอย่างไร….

    ก็มีไม่มาก หลักสูตรที่องค์หลวงพ่อฯ ได้แนะนำลูกหลาน ก็มีเพียงคำเดียว….

    “ช่างมัน” 2 พยางค์ ง่าย ๆ (แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนว่า ทำอารมณ์ได้ยากมาก)….

    อะไรจะเกิดขึ้น ก็ช่างมัน ….
    ใครจะทุกข์ จะสุข ก็ช่างมัน ช่างเขา….
    ทุกข์จะเกิดที่เรา ก็ช่างมัน ….
     
  5. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    และ เรามาลองมาเทียบเคียง หัวข้อใหญ่ ๆ ในพระศาสนา ที่เห็นได้ชัด ๆ

    ที่จะสามารถใช้เป็นข้อพิจารณาว่า….
    พระศาสนาสอนให้คนเข้าถึง ให้ยอมรับในกฎแห่งกรรม..
    (ความจริงมีตัวอย่างมากมาย จะยกหัวข้อใด ๆ มา ก็หนีไม่พ้นเรื่องกรรม….)

    เช่น....
     
  6. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเลิศด้วยอิทธิบาท 4

    ทำไม พระพุทธเจ้า ไม่ทรงอธิษฐานให้พระองค์มีอายุ 1 กัป หรือหลายหมื่นปี….
    กลับเป็นว่า พระองค์ต้องทรงพระชนมาชีพ เพียง 80 ปี….

    เรื่องนี้ เคยโพส ไว้แล้ว ที่หัวข้อ….

    เหตุที่ พระพุทธเจ้า มีพระชนมายุ 80 พระวสา….
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=22397
     
  7. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    พระพุทธองค์ ทรงเป็น สัพพัญญู ย่อมเลิศด้วย พุทธญาณ สิ่งใด ๆ ที่ไม่รู้ เป็นไม่มี…..

    ทำไม พระองค์ไม่สอนพระองคุลีมาลย์ ตั้งแต่ยังไม่ฆ่าใครเลย….

    ทำไมต้องรอ ให้คน 999 คน ต้องตายไปเสียก่อน….

    ทำไม ไม่สงสารคน 999 คน…. ทำไมไม่สงสารองคุลีมาลย์ ….

    ทำไม ต้องรอให้ท่าน พาหิยะ ใกล้จะตาย แล้วจึงค่อยไปสอนสั่ง….

    ในเมื่อ พระองค์ท่านทรงรู้ว่า พระเทวทัตเมื่อบวชเป็นพระแล้ว จะคิดฆ่าพระองค์
    ทำไมพระองค์ จึงยอมให้บวช….

    เมื่อพระพุทธองค์ ทรงรู้ว่า พระเทวทัตจะกลิ้งหินลงมา เพื่อทำร้ายพระองค์
    แล้วทำไมพระองค์ ยังคงเสด็จไป….

    เมื่อสะเก็ดหินกระเด็นมา พระองค์ท่านก็ย่อมต้องรู้….
    แล้วทำไมพระองค์ไม่หลบเลี่ยง ทำให้เศษก้อนหินกระทบหน้าแข็ง
    เกิดเป็นห้อพระโลหิต….

    ทำไมพระองค์ไม่ทรงเลี่ยง ทำไมไม่สงสารพระเทวทัต....
    เพราะว่ามีผลให้พระเทวทัต ต้องด้วยอนันตริยกรรม มีอเวจี เป็นที่ไป….
     
  8. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ทำไม ๆ ๆ มากมาย ที่ยกตัวอย่างมานี้….

    พอสรุปได้ไหมว่า….
    พระพุทธศาสนา สอนให้เชื่อ ให้ยอมรับ ในกฎแห่งกรรม….

    แต่ทว่า เรื่อง การยอมรับในกฎแห่งกรรม ….
    พระศาสนา ก็ไม่ได้บอกว่า ให้มานั่งงอมืองอเท้า ไม่ต้องทำมาหากิน….
    ไม่ต้องปฏิบัติธรรม ไม่ต้องทำความดีอะไร…จะอย่างไรก็ช่างมัน….

    เพราะว่า ยังไง ๆ มันก็เป็นเรื่องของกรรม มันเป็นกฎแห่งกรรม อยู่แล้ว….
    หากคิดอย่างนี้ ก็ต้องอดตาย…. ตายแล้ว ก็ตกนรก….

    เพราะอะไร….
     
  9. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ตรองด้วยสติ และปัญญาอย่างง่าย ๆ ว่า….

    หากเราทำงานมีเงินเดือน สิ้นเดือนก็รับเงินเดือน….

    ก็เปรียบเสมือนกับว่า สร้างบุญสร้างกุศลทานไว้ในอดีตชาติที่ผ่านมา
    ชาตินี้ก็มีผลแห่งทานที่ทำไว้ดีแล้ว
    ชาตินี้ ก็มีกินมีใช้ มีงานทำ มีเงินเดือน มีรายได้อย่างต่อเนื่อง ไม่อดอยาก ไม่ยากจน….

    แต่ว่า.. หากพอสิ้นเดือนแล้ว รับเงินเดือนแล้ว แต่ไม่ได้ทำงานอีก ออกจากงานไป….
    อย่างนี้ สิ้นเดือนต่อไป ก็ไม่มีเงินเดือนให้ ไม่มีเงินใช้ ก็เดือดร้อน ขัดสน….

    ก็เปรียบเสมือนกับว่า สร้างบุญสร้างกุศลทานไว้ในอดีตชาติที่ผ่านมา
    ชาตินี้ก็มีผลแห่งทานที่ทำไว้ดีแล้ว ชาตินี้ ก็มีกินมีใช้….
    แต่ทว่า ไม่สร้างบุญ ไม่สร้างกุศลต่อไปอีก….

    อย่างนี้ ชาติต่อไป ก็ไม่มีเงินใช้ ต้องอดอยาก ยากจน ….

    ไม่มีจะกิน ก็ต้องไปขอทานคนอื่น เขาก็ไม่อยากจะอยากให้
    เพราะไม่มีอานิสงส์ของทานจากอดีตชาติ….

    เมื่ออดอยาก ยากจน ข้นแค้น อิจฉาริษยาคนที่เขามีอันจะกิน
    จิตก็เศร้าหมอง…. ตาย ก็ต้องลงนรก….

    การงอมืองอเท้า ขี้เกียจ ในการดำรงชีพ
    (คิดเพียงแค่นี้.. ในชาตินี้ ก็ไม่มีจะกินแล้ว.. ไม่ต้องรอชาติหน้า)….

    ไม่ขวนขวายในบุญ ไม่คิดสร้างบุญ ให้สืบเนื่องไป
    (แล้วชาติหน้า จะมีอะไรไปกิน ไปใช้ ได้อีก)….

    พระพุทธศาสนา สอนให้คนอยู่ในศีล ในธรรม ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
    ชีวิตก็มีความสุข….

    ก็ลองคิดดูว่า หากทุกคนรักษาศีล 5 กันทั้งหมด โลกจะมีความสุขไหม….

    แต่ทว่า มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า กรรมที่ทำให้คนที่มีบารมีแตกต่างกัน
    มาเกิดร่วมกัน….

    ตรงนี้ ก็เป็นไปตามบุญบารมี

    เรื่องการสร้างบารมี องค์หลวงพ่อฯ ท่านก็เคยบอกไว้ว่า....
    บารมี มันเร่งรัดกันได้….

    ไม่ใช่ ให้เป็นไปตามบุญตามกรรม ก็จะย่อหย่อนจนเกินไป
    ไม่ใช่ “ทางสายกลาง”….
     
  10. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ทำอย่างไร…. จะวางอารมณ์อย่างไร….
    จึงจะยอมรับ ในเรื่อง กฎแห่งกรรม….

    ที่กระผมกล่าวว่า….หัวใจของพระพุทธศาสนา น่าจะอยู่กับคำที่ว่า….
    “ให้ยอมรับในกฎแห่งกรรม” เพราะอะไร หรือ….

    ก็เพราะว่า ….การยอมรับในกฎแห่งกรรม เป็น “ปัญญา ในวิปัสสนาญาณ” ขั้นสูง

    เราบำเพ็ญ ทาน ศีล และภาวนา มานานนับเนื่องอสงไขย….
    เพียงเพื่อให้เกิดสมาธิ และเป็น “ปัญญา” ในที่สุด….

    การใช้ “ปัญญา” เพื่อให้รู้เท่าทันในกองกิเลส ทั้งปวง….
    เป็น วิธีการที่จะทำให้ผู้ที่ปฏิบัติเป็นวิปัสสนาญาณ ….

    ด้วยการเจริญ สักกายทิฐิ มรณานุสสติ กายคตานุสสติ….
    อันจะทำให้ทรงอารมณ์ ให้รู้เท่าทันทุกข์ เข้าถึง นิพพิทาญาณ….
    ก็จะวางเฉยเป็น อุเบกขารมย์ ได้อย่างครอบคลุม ครบถ้วน….
     
  11. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ลองมาดูข้อที่จะขอยกเป็นตัวอย่าง การยอมรับในกฎแห่งกรรม….

    เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริง….

    บังเอิญ ผมได้เห็นบันทึกของผู้หญิง ที่เป็นแม่ ลูก 4 ที่น่าสงสาร….
    แต่ก็น่าดีใจ ที่ว่า ท่านผู้นี้ เอ่ยปากเสมอ ๆ ว่า….
    “ไม่อยากเกิด อีกแล้ว เกิดมามันทุกข์จริง ๆ”

    บันทึกนั้น มีดังนี้….

    ความทุกข์ สร้างปัญญาให้แก่ข้าพเจ้าฯ
    1. สิ่งใด ๆ ในโลกล้วนเป็นของสมมุติ ….
    …. เมื่อเกิดมา ได้นามสมมุติ ว่า เด็กหญิงภูทองฯ (ขอสงวน นามสกุล)
    …. เมื่อเป็นเด็ก ก็ได้เป็น “อีหนู” ที่รักของพ่อ และแม่ เพราะว่า เป็นลูกคนแรก
    …. เมื่อเป็นสาว ข้าพเจ้ารัก และเคารพ พ่อ แม่ ปฏิบัติดูแลอย่างดี
    …. และได้แต่งงานกับ ชายชื่อสงัดฯ (ขอสงวน นามสกุล)
    …. ซึ่งนับว่าเป็นความโชคดี คุณสงัดเป็นสามีที่ดีมาก ข้าพเจ้าฯ ก็รักสามีเป็นอย่างยิ่ง
    …. แล้ว ก็ได้คนที่สมมุติว่าเป็นลูกหญิง-ชาย 4 คน ข้าพเจ้าก็รักปานดวงจิต ดวงใจ
    …. ลูก ๆ ทั้งหลายของข้าพเจ้าฯ ต่างก็มีครอบครัว มีลูกอันเป็นที่รักของ ทุกคนไป
    …. อารมณ์ และความรู้สึก ว่า “รักลูก” นี้ ข้าพเจ้าฯ ย่อมรู้ได้ดี
    …. ลูก ๆ ของข้าพเจ้าฯ ก็น่าที่จะเข้าใจในความรู้สึกของคำว่า “รักลูก” ได้ดี เหมือนกัน
    …. และ ลูก ๆ ของข้าพเจ้าฯ ก็คงเข้าใจคำว่า “แม่” ได้ดี เช่นกัน
    …. ปี 2527 แม่ อันเป็นคนที่รัก ที่เคารพ ก็ตายไป.. ก็เสียใจ
    …. ปี ถัดต่อมา พ่อ ก็ตายตามไปอีก…. ก็เสียใจ
    …. อีกไม่กี่ปี สามี อันเป็นที่รัก ก็ตายจากไป…. ก็เสียใจ
    …. สิ่งสมมุติทั้งสาม คือ พ่อ แม่ และสามี ก็สูญสลาย หายไป หมดแล้ว
    …. แต่ละครั้ง ที่ท่านทั้งสามต้องจากไป…. ก็ทุกข์ใจ เศร้าใจ และเสียใจ
    …. ปัจจุบัน พ.ศ.2548 ข้าพเจ้าฯ ก็แก่มากแล้ว อายุ 73 ปี เป็นไม้ใกล้ฝั่งเต็มทีแล้ว
    …. สังขารก็เสื่อมลง ทำให้เกิด “ทุกข์ทางกาย” เจ็บ ไข้ ได้ป่วย เดินก็ไม่ค่อยจะไหว
    …. ข้าพเจ้า ได้รับรู้ความทุกข์ จากกายของตัวเองแล้ว
    …. จิตใจของข้าพเจ้าฯ ก็ได้รับรู้ “ความทุกข์ใจ” เป็นอย่างมาก จากผู้คนรอบ ๆ ตัว
    …. ทุกวันนี้ ข้าพเจ้าก็เพียง นั่งรอ นอนรอ “ความตาย” ที่จะเข้ามาเยือน
    …. ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหนหนอ คืนไหนหนอ ที่ตัวเราจะต้องตายไปเสียที
    …. รอวันตายของตัวเอง ที่เป็นสิ่งสมมุติว่าเป็น “แม่” ของบรรดาลูก ๆ
    …. จากความทุกข์กาย และความทุกข์ใจ ทั้งหมดที่ได้รับมา
    …. สอนข้าพเจ้าฯให้เห็นว่า สิ่งใด ๆ ในโลกล้วนเป็นของสมมุติ
    …. ทุกคนเกิดมาก็สมมุติว่ากันมา เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นสามี เป็นพี่น้อง เป็นลูกเต้า
    …. แท้จริงแล้ว ต่างคน ต่างก็เกิดมา เพื่อมาบำเพ็ญบุญของใคร ของมัน
    …. เมื่อทุกคนทำบุญ ความดี ไว้ดีแล้ว ในที่สุด ทุก ๆ คน ก็ตายจากกันไป
    …. ไม่ว่า แม่รักจะลูก ลูกรักแม่ รักพ่อ ภรรยาจะรักสามี มากมายเพียงใดก็ตาม
    …. แต่เมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องตายจากไป จะมีใครมาตายแทนตัวเราได้ไหม
    …. เมื่อถึงเวลาที่ตัวเรา เจ็บไข้ ได้ป่วย จะมีใครมาเจ็บแทน ป่วยแทน กันได้ไหม
    …. มันจึงเป็นเพียงเรื่องที่สมมุติกันมา ก็เท่านั้นเอง
    …. ทุกคนเกิดมาเพื่อสร้างบุญบารมี บุญใคร ก็บุญมัน
    …. ใครทำบุญ บุญ ก็ตามติดวิญญาณของเขาไป ก็มีกำไรไปภพหน้า ชาติหน้า
    …. ใครทำบาป บาปก็ตามติดวิญญาณของเขาไปเอง ก็ขาดทุน ก็ย่อมมีนรกเป็นที่ไป
    …. ใครจะกตัญญู ใครจะเนรคุณ ก็เป็นเรื่องของเขา บาป บุญ ก็เป็นของใครของมัน
    …. ไม่มีใครจะช่วยใครได้เลย ต้องทำเอง ต้องปฏิบัติเอง
    …. แม้แต่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็บอกว่า ท่านเป็น ผู้สอน ผู้ชี้แนะ เท่านั้น
    …. พระองค์ ก็ไม่สามารถช่วยเหลือ คนที่ฟังแล้ว ไม่เชื่อถือ ไม่ปฏิบัติตามคำตรัสสอน
    …. ผู้รับฟังไปแล้ว ก็ต้องใช้ปัญญาของใครของมัน ต้องใคร่ครวญ นำไปปฏิบัติกันเอง
    …. ข้าพเจ้าเกิดมา ชาตินี้ ก็รู้ตัวดีว่า มีความรัก พ่อ แม่ สามี น้อง ๆ ลูก ๆ เป็นอย่างดี
    …. ทำตามหน้าที่ของลูกที่ดี ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี ทำหน้าที่ของพี่สาวคนโตที่ดี
    …. และทำหน้าที่เป็นแม่ที่ดีของลูก ๆ ไว้ครบถ้วน บริบูรณ์ ดีแล้ว
    …. หน้าที่ และคุณความดี ที่ตัวเราควรจะทำไว้ในชาตินี้ เราทำไว้หมดแล้ว
    …. สมกับคำที่ “พระพุทธองค์” ทรงตรัสไว้ว่า “นิมิตตัง สาธุ รูปานัง กตัญญูกตเวทิตา”
    …. ซึ่งแปลว่า “คนที่มีความกตัญญู รู้คุณ ตอบแทนคุณ เป็นเครื่องหมาย ของคนดี”
    …. และคำสอนที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ใดๆ ในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่อยู่ใต้กฎของไตรลักษณ์
    …. คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เที่ยง และก็มีทุกข์ แล้วทุกอย่างก็เสื่อมสลายไปสิ้น
    …. เกิดมาเท่าไร ก็เสื่อมไป ก็ต้องตายไป เท่าจำนวนนั้น ไม่เห็นใครอยู่รอดได้สักคน
    …. ปู่ ย่า ตา ยาย น้า อา และที่ใกล้ตัวมากที่สุดก็คือ พ่อ แม่ ต่างก็ตายให้เราเห็นแล้ว
    …. ใกล้เข้ามา คือตัวเรา อายุเราก็ 73 ปี แล้ว วันนี้ คืนนี้ เราก็อาจจะตายก็เป็นไปได้
    …. นอนหลับคืนนี้ พรุ่งนี้ก็อาจจะไม่ได้ลืมตามาอีกเลย ตายไปเลย ก็เป็นไปได้
    …. ตื่นมาในตอนเช้า.. คืนนี้ ก็อาจจะไม่ได้กลับมานอนอีก อาจจะตายวันนี้ไปเลย ก็ได้
    …. ความตาย มันแน่นอน คือต้องตายแน่ ๆ แต่ก็ไม่แน่นอน เพราะไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร
    …. เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็สมมุติขึ้นมา ตั้งอยู่ในห้วงเวลาหนึ่ง แล้วก็ดับไป ก็เท่านั้น
    …. ดังนั้น หากตัวเราจะตายจากไป ก็จะพยายามทำใจให้ไม่มีห่วง ไม่มีความกังวลใด ๆ
    …. ทุกสิ่ง ที่สมมุติขึ้นมาในชาตินี้ ก็จบสิ้นลงแล้ว พร้อมกับความตายของตัวเรา นี่เอง
    …. นอกจากบุญ คุณ ความดี อริยทรัพย์ ที่จะติดตามจิตของเราไป ….

    2. คาถาที่สำคัญ ช่างมัน…. ช่างมัน…. ช่างมัน….
    …. ในเมื่อทุกสิ่ง เป็นเรื่องเพียงสมมุติ ก็เปรียบเสมือนว่า ได้แสดงลิเก ให้ชมกัน
    …. สมมุตินามตามท้องเรื่อง ข้าพเจ้าฯ มีนามว่า ภูทองฯ……..
    …. ก็มีเจ้ากรรม นายเวร แต่ชาติปางก่อนโน้น มาบันดาลให้มีความสุข ความทุกข์
    …. คละเคล้า ปะปน กันไป ตามกฎแห่งกรรมดี และกรรมเลวของเราเอง จากอดีตชาติ
    …. เมื่อเราตายไป ก็เหมือนกับลิเกเลิก ความสนุกสนาน เฮฮา ประทับใจ ที่มีต่อผู้รับชม
    …. ก็อยู่ได้เพียงระยะหนึ่ง นานวันเข้า ก็เลอะเลือน ลืมกันไป
    …. ดังนั้น ไม่ว่าเนื้อเรื่องในลิเก ก็ดี ในชีวิตจริงของตัวเรา ก็ดี
    …. ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นมาแล้ว ทำให้ตัวของเรามีความทุกข์กาย มีความทุกข์ใจ
    …. มันก็เป็นเรื่องกรรมเก่าจากอดีตชาติ ที่เขากำกับ เพื่อให้แสดงไปตามบทที่กำหนด
    …. ทุกข์ อะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นกับตัวของเรา ก็ถือได้ว่า เราได้ “ใช้หนี้” เขาไปแล้ว
    …. หากเราเป็นหนี้ใคร ๆ อยู่ แล้วเราได้ใช้หนี้ อย่างนี้ ควรที่จะ “ดีใจ” ไม่ใช่หรือ
    …. เงินทอง ที่เราเป็นหนี้เขา หากเราสามารถหาเงินหาทองมาล้างหนี้ไปเสียได้ แล้ว
    …. ก็ควรที่จะดีใจ พึงพอใจ ไม่ใช่หรือ จะมานั่งเศร้า สร้างอารมณ์หมอง ไปทำไม
    …. พระท่านสอนว่า “เวร ย่อมระงับได้ ด้วยการ ไม่จองเวร”
    …. เรามีเวร มีกรรม มาแต่อดีต เราก็ได้มาใช้หนี้ ทำให้เราทุกข์กาย ทุกข์ใจ ในชาตินี้
    …. อย่างนี้ เราก็ถือว่า เราได้ใช้หนี้กรรมแล้ว.เมื่อเราใช้หนี้กรรมแล้ว เราก็ไม่กู้เขาอีก
    …. การกู้เขาอีก ก็คือสร้างกรรม จองเวร จองกรรมต่อไปอีก
    …. เราหยุดแล้ว เราพอแล้ว เราไม่กู้เวร กู้กรรม ต่อไปอีก..
    …. เราใช้หนี้กรรมได้แล้ว หมดหนี้กรรม กันเสียที.. อย่างนี้เราก็ควร ดีใจ ไม่ใช่หรือ
    …. จะมานั่งตีอก ชกลม โกรธา อะไรอีก.. อย่างนี้ น่าที่จะต้องดีใจ ใช่ไหม
    …. ส่วนที่ใครจะเลว ทำให้เราขัดเคืองใจ มันก็เป็นเรื่องของเขา ช่างมัน….ช่างมัน….
    …. เรื่องของเขา เขาสร้างเวรไว้ ก็เป็นเรื่องของเขา ที่ต้องไปใช้หนี้ ใช้กรรม ต่อไปอีก
    …. เขาต้องเวียนว่าย ตาย เกิด ใช้หนี้ ใช้กรรม ไม่สิ้นสุด มีทุกข์กาย ทุกข์ใจ อันยาวนาน
    …. ช่างมัน มันก็เป็นเรื่องของเขาเอง เราก็ต้องวางเฉย เพราะว่าเราเองก็ช่วยเขาไม่ได้
    …. เรารักเขามากเพียงใด หากเขาจะเจ็บ จะป่วย เราก็ไปเจ็บ ไปป่วยแทนเขา ก็ไม่ได้
    …. หากลูก-หลาน เขาจะตายขึ้นมา ตัวเราอยากจะตายแทนเขา ก็ทำไม่ได้
    …. เราอบรมเขา สนับสนุน ให้พวกเขามีความรุ่งเรืองในปัจจุบัน อย่างนี้เราได้ทำแล้ว
    …. หากเขามีคุณความดี ทำแต่กรรมดี ภพเบื้องหน้าของพวกเขาก็มีแต่ความรุ่งเรือง
    …. มีแต่ความสุข อย่างนี้ เราก็ได้แต่โมทนา มุทิตา ยินดีด้วย กับพวกเขาทั้งหลาย
    …. หากเขาไม่เชื่อถือ ไม่เคารพ ไม่กตเวทิตา มันก็เป็นเรื่องของเขา เราไปบังคับไม่ได้
    …. มีนรก เป็นที่ไป อย่างนี้ เราก็ต้องอุเบกขา วางเฉยให้ได้ เพราะกรรมใครก็กรรมมัน

    3. ความทุกข์ ก็เหมือนขยะในจิต ในใจ
    …. ขยะในจิตใจ ก็คือ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และสิ่งที่เราร้อนรุ่มใจ
    …. ขยะ ย่อมจะเหม็น แล้วเราลากมันเอาเข้ามาในจิตใจ ของเรา จะเอาไปไว้ทำอะไร
    …. ขยะเก่า ในจิต ในใจ ก็มีมากอยู่แล้ว เราก็ควรเพียรพยายาม ละทิ้งไป
    …. ขยะใหม่ ที่จะเพิ่มเข้ามา เราก็รู้ตัวว่า ต่อไปมันจะเหม็น เราก็ไม่ควรจะเก็บเอาไว้
    …. เราจึงควร เพียร พยายาม ละทิ้งขยะ ด้วยคาถา ช่างมัน…. ช่างมัน…. ช่างมัน….
    …. หากขยะหมดสิ้นไปจากจิต จากใจ เราก็ไม่ทุกข์กาย ไม่ทุกข์ใจ และไม่ร้อนรุ่มใจ
    …. ใครจะเป็นอย่างไร จะทำอะไร มันก็เป็นเรื่องของเขา ช่างมัน…. ช่างมัน…. ช่างมัน….
    …. ใครจะเลว จะร้าย อย่างไร มันก็เป็นเรื่องของเขา ช่างมัน…. ช่างมัน…. ช่างมัน….
    …. ใครจะมาทำให้เราขัดเคืองจิตใจ มันก็เป็นเรื่องของเขา ช่างมัน….ช่างมัน…ช่างมัน….
    …. เขาทำให้เราทุกข์กาย ทุกข์ใจ เราก็รู้ตัวว่า เราได้ใช้หนี้แล้ว ช่างมัน…. ช่างมัน….
    …. ในส่วนที่เขาสร้างเวรต่อเรา ก็ช่างเขา มันเป็นเรื่องของเขา
    …. เวร และกรรม ของเราได้ใช้หนี้ไปแล้ว เรายอมรับได้ มันก็จบสิ้นที่เรา
    …. เมื่อเราหยุดได้ที่ตัวเรา และอภัยให้แก่เขาได้ว่า ช่างมัน…. ช่างมัน…. ช่างมัน….
    …. หมดหนี้ หมดเวร หมดกรรม เสียที
    …. เราก็ไม่อยากสร้างหนี้ สร้างเวร สร้างกรรม ต่อไปอีกแล้ว พอเสียที จบกันเสียที
    …. ก็เท่ากับว่าเรา ได้สิ้นเวร ได้ใช้หนี้เวรไปแล้ว “เวร ระงับได้ ด้วยการไม่จองเวร”
    …. โอ้ เวรกรรม ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ช่างมากเสียจริง เราเบื่อเหลือเกินแล้ว
    …. ขอคุณพระ โปรดจงดล บันดาล ให้มีแต่ความสุขสงบ ในจิต ในใจ ของเราด้วยเถิด

    4. ข้าพเจ้าฯ เบื่อการเกิดเหลือเกินแล้ว
    …. ข้าพเจ้า นางภูทองฯ……….ได้รับรู้ ได้สัมผัส กับความทุกข์อย่างยิ่งแล้ว
    …. ข้าพเจ้าฯ เบื่อในความทุกข์ เบื่อในเวรกรรม ที่ต้องมานั่งนอนรอรับผลกรรม
    …. ข้าพเจ้าฯ มีความเวทนาในจิต ในใจ ของตนเอง เป็นอย่างมากจริง ๆ
    …. ข้าพเจ้าฯ เบื่อการเกิดเหลือเกินแล้ว
    …. ข้าพเจ้าฯ ไม่อยากมีร่างกาย อันเป็นที่รองรับแห่งความทุกข์ อย่างนี้อีกแล้ว
    …. หากเกิดมา มีร่างกายอย่างนี้อีก ก็ทุกข์อีก ทุกข์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
    …. หากเราไม่เกิดแล้ว ก็ไม่ต้องมารับทุกขเวทนา ไม่ต้องมานั่ง ให้ร้อนรุ่มใจกันอีก
    …. และก็ไม่ต้องมา “แก่”อีก แล้วก็ไม่ต้อง “ตาย” อีกต่อไปแล้ว

    คำอธิษฐาน
    ด้วยบุญบารมี ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญไว้แล้ว นับตั้งแต่ต้น ในอดีตชาติ จวบจนถึงปัจจุบันนี้

    ขอผลบุญทั้งหลาย จงรวมกันเป็นพลัง เป็นปัจจัย ส่งผลให้ข้าพเจ้าฯ ได้เข้าถึง วิมานแก้ว มีกายแก้ว ดวงจิตแก้ว

    และได้เข้าถึงซึ่งเมืองพระนิพพาน คือ เมืองแก้ว ในชาติปัจจุบันนี้ ด้วยเถิด.

    เมื่ออ่านจบ ผมก็อดที่จะกราบโมทนาไม่ได้….
    ขอคุณพระไตรรัตน์ฯ โปรดได้อำนวยพร ให้ท่านสมปรารถนา ด้วยเทอญ.
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  12. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    การวางอารมณ์ ยอมรับตามความเป็นจริง ของกฎไตรลักษณ์

    อนิจจัง.. ทุกอย่างเกิดมา แล้วก็ไม่เที่ยงแท้ เป็นไปตามกรรม
    ทุกขัง .. เมื่อเกิดมาแล้ว ก็มีแต่ทุกข์ หาสุขที่เที่ยงแท้ไม่ได้ ไม่มี
    อนัตตา.. แล้วทุกสิ่ง ก็สูญสลาย หายไปทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเหลือเลย
    เกิดเท่าไร ก็ตาย และเสื่อมสลายไป เท่าจำนวนนั้น ไม่เห็นใครอยู่รอดได้เลย

    ตน ของตนเอง ก็ยังไม่มี ทรัพย์ หรือ บุตร จะมีแต่ไหน….

    อย่าไปยึดว่า จะมีอะไรเป็นเรา เป็นของเราต่อไป ….
    แม้แต่ร่างกายเรายังพัง ในเมื่อร่างกายเรายังพังแล้ว จะมีอะไรทรงอยู่ ….

    ถึงจะมีอะไรที่มันทรงอยู่ ก็ตาม แต่ถ้าหากว่าร่างกายเราพังแล้ว….
    เราก็ไม่มีสิทธิ์ ที่จะมายึดว่า สิ่งนั้นมันเป็นเราเป็นของเรา .

     
  13. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    สำหรับทุกข์ต่าง ๆ ที่ปรากฏ ทำอย่างไรจะวางความทุกข์ ลงไปได้….

    ทุกอย่าง ก็ต้องใช้ “ปัญญา” เป็นเครื่องมือยอมรับ ในกฎแห่งกรรม….

    “ชาติปิ ทุกขา” ความเกิดเป็นทุกข์ ….
    ก็เพียรคำนึงว่า เราเกิดมาใช้หนี้ ใช้กรรม และบำเพ็ญบารมี ให้สูงยิ่งขึ้นไป
    เรารู้แล้วว่า เมื่อเกิดอีก ก็ทุกข์อีก อย่ากระนั้นเลย เราอย่าได้คิดอยากเกิดอีกเลย
    ตายชาตินี้ ขอไปพระนิพพาน….

    “ชราปิ ทุกขา” ความแก่เป็นทุกข์
    เมื่อเราเกิดขึ้นมา หากไม่ตายไปเสียก่อน อย่างไรเราก็ต้องแก่ เมื่อแก่ก็เป็นทุกข์ งก ๆ เงิน ๆ คิดจะทำอะไร ก็ไม่ได้ดังใจ วิ่งก็ไม่ได้ เดินก็ยังไม่สะดวก หูตา ฝ้าฟาง มองก็ไม่ค่อยเห็น....

    ความแก่ มันดีไหม…. ความแก่ ก็มาจากการเกิด เมื่อเกิดอีก ก็ทุกข์อีก….
    อย่ากระนั้นเลย เราอย่าได้คิดอยากเกิดอีกเลย
    ตายชาตินี้ ขอไปพระนิพพาน….

    “มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
    แก่แล้ว.. หง่อมแย่แล้ว.. วันหนึ่ง ความตาย ก็ต้องมาเยือนเรา….
    เราก็ต้องจากลูก หลาน สิ่งที่ ตัวเองรักใคร่ไป อย่างนี้ เป็นทุกข์ ใช่ไหม….
    ความตายก็มาจากการเกิด เมื่อเกิดอีก ก็ทุกข์อีก….

    อย่ากระนั้นเลย เราอย่าได้คิดอยากเกิดอีกเลย
    ตายชาตินี้ ขอไปพระนิพพาน….

    “โสกปริเทวทุกขโทมนัส” ความเศร้าโศก เสียใจ เป็นทุกข์
    ความพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ เป็นทุกข์
    มีอารมณ์ขัดข้อง หรือความปรารถนาไม่สมหวัง เป็นทุกข์
    ทุกข์ ทั้งหมดนี้ ก็เนื่องจากเรามีชีวิต เรากลับมาเกิด นั่นเอง….
    เมื่อเกิดอีก ก็ทุกข์อีก….

    อย่ากระนั้นเลย เราอย่าได้คิดอยากเกิดอีกเลย….
    ตายชาตินี้ ขอไปพระนิพพาน….
     
  14. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    โลกธรรม 8 ประการ(ทั้ง 4 คู่) ก็สร้างความทุกข์ให้แก่เรา คือ ….

    1. ลาภ มีลาภ ย่อมดีใจ 2. เมื่อลาภหายไป หมดไป ก็เสียใจ
    3. มียศ ก็ดีใจ 4. เมื่อยศสลายไป ก็เสียใจ
    5. มีความสุขในกามรมณ์ ก็ดีใจ 6. เมื่อสุขเสื่อมไป ทุกข์เข้ามา ก็เสียใจ
    7. ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ก็ชื่นใจ ดีใจ 8. ถูกด่า ถูกติเตียน ถูกนินทา ก็เสียใจ

    เราจะวางอารมณ์อย่างไร….
    เราก็มาดูว่า..ทุกข์ ทั้งหมดนี้ ก็เนื่องจากเรามีชีวิต คือ เรากลับมาเกิด นั่นเอง….
    เมื่อเกิดอีก ก็ทุกข์อีก ทั้ง 8 ประการ….

    อย่ากระนั้นเลย เราอย่าได้คิดอยากเกิดอีกเลย….
    หากเราไม่เกิด เราก็ไม่ต้องทุกข์.. ตายชาตินี้ ขอไปพระนิพพาน….

     
  15. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ทุกข์ จากทางร่างกาย ที่ปรากฏทุกขเวทนา อยู่ทุกวัน….

    ทุกขเวทนามีอะไรบ้าง ก็นั่งนึกตามความเป็นจริง ตามข้างบนนี้….

    แล้วก็สรุปว่า.. ทุกข์ ทั้งหมดนี้ ก็เนื่องจากเรามีชีวิต คือ เรากลับมาเกิด นั่นเอง….
    หากเราไม่เกิด เราก็ไม่ต้องทุกข์.. ตายชาตินี้ ขอไปพระนิพพาน….

    เมื่อไม่เกิด เสียอย่างเดียว ทุกข์ทั้งหมด ก็ไม่ต้องมี….

    ไม่ต้องตื่น ไม่ต้องหิว ไม่ต้องอุจจาระ ไม่ต้องปัสสาวะ ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย กันต่อไป
    การงานใด ๆ ความปรารถนาใด ๆ ก็ไม่มี ไม่ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ….

    โลภ โกรธ และ หลง ใด ๆ ก็ไม่มีอีกแล้ว เพราะว่าไม่มีร่างกาย….
    และ ความตาย มันก็ไม่มี อีกต่อไป

    ก็สิ้นความทุกข์ มีแต่ความสุขอย่างถาวร….

    มี “พระนิพพาน” เป็นที่หวัง….
     
  16. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ความทุกข์ คือ ความสุข

    คนที่ชนะใจตัวเอง “มีปัญญาแท้” จะเห็นว่า “ความทุกข์” เป็นที่มาของ “ความสุข”….

    จากคำตรัสสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ว่า….

    “ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”….

    “ผู้ใดเห็นทุกข์” นี่เห็นทุกข์เฉย ๆ แต่ยังวางไม่เป็น
    ก็ยังเป็นทุกข์.. ก็ยังได้ชื่อว่ายังมอง “ไม่เห็นธรรม”

    ผู้ใด ที่ “เห็นทุกข์” แล้ว.. สามารถสร้าง “ความสุข” จากทุกข์ที่มี ที่ได้รับ

    อย่างนี้ จึงจะเป็นผู้ “เห็นธรรม”

    เครื่องมือสร้าง “ความสุข” จากความทุกข์ ก็คือ….
    “ปัญญา ในวิปัสสนาญาณ” ให้ยอมรับในกฎแห่งกรรม
    เมื่อยอมรับในกฎแห่งกรรมได้ “ความสุข” ก็จะเกิด

    ลองคิดดูง่าย ๆ ว่า….
    หากเราไม่เป็น “ลูกหนี้” แก่ใคร….
    แล้วจะมี “เจ้าหนี้” มาแต่ไหน….

    หากเขามา “ทวงหนี้” เรา.. ให้เกิดความทุกข์กาย ทุกข์ใจ….
    ก็แสดงว่า.. เขาเป็น “เจ้าหนี้” ของเรา นั่นเอง ใช่ไหม….

    เมื่อเรา เป็น “ลูกหนี้”.. สามารถได้ “ใช้หนี้” พ้นภาวะการ “เป็นหนี้” ไปแล้ว….
    อย่างนี้.. ก็ควรที่จะดีใจ .. มีความสุขใจ.. ไม่ใช่หรือ…

    จะมานั่งทุกข์กาย ทุกข์ใจ ไปทำไมกัน….

    นี่ ก็ต้องเกิด “ปัญญาโดยแท้” เท่านั้น จิตของเราจึงจะยอมรับได้….
    ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก ที่จะทำจิต ทำใจ ให้ยอมรับในกฎแห่งกรรม….

    ก็เป็นไปตามวาระ บุญบารมี ที่พึงจะเข้าถึง….

    เอาละครับ….
    พวกเรารู้แล้วใช่ไหมครับว่า….
    “ความสุข” มันก็ผสม ปนเป อยู่ใน “ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ” ของเรานี่เอง….
    พวกเรา ต่างก็มองเห็น “ความสุข” ของตัวเราเอง กันแล้ว ใช่ไหมครับ….
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2006
  17. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    หากจะให้สรุป เรื่อง “หัวใจของพระพุทธศาสนา”

    ก็อยากจะสรุปลง ตรงที่ว่า….

    จากกรรมทั้งปวงที่มากระทบจิต กระทบกาย ก่อให้เกิดทุกข์
    “ปัญญา” เท่านั้น ที่จะสามารถทำให้ “จิตสงบ” และ “ยอมรับได้”
    “ปัญญา” สามารถค้นพบ “ความสุข” ออกมาจาก “กองทุกข์ทั้งปวง” ได้
    “ปัญญา” ที่สามารถ วางอารมณ์ให้ “วางเฉย” จาก “หนี้กรรมใด ๆ” ได้

    จึงจะนับได้ว่า สามารถเข้าถึง “หัวใจ” ได้จริง ๆ

     
  18. dongtan

    dongtan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +100
    ต้องขออนุโมทนากับคุณพี่มหาหินด้วยครับ พี่เป็นกัลยาณมิตรผู้จุดประกายไฟให้ผมเริ่มมีความเห็นที่ถูกทางเป็นผู้ชี้ทาง ผมขอบอกว่าจากวันแรกๆที่พี่ได้ตั้งกระทู้แล้วผมก็เข้ามาตอบแบบคนที่รู้แบบได้เคยๆอ่านๆแบบรู้จากการอ่าน แต่ไม่เห็นจริงไม่เข้าถึง ผมจึงเริ่มศึกษา อย่างจริงจัง และเริ่มปฏิบัติ ตอนนี้ก็กำลังเริ่มเดินตามแนวทางที่พระศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกาศคำพระธรรมคำสั่งสอน โปรดสัตว์โลกซึ่งยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ผู้ปราถนาเดินตามแนวทางของพระองค์ เพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่าย ตายเกิด ไม่รู้จักจบสิ้น อย่างน้อย หากไม่หลุดพ้นการเวียนว่ายในวัฏสงสารนี้ ก็ยังมีความหวังว่าจะไปสู่ภพภูมิที่ดี อยู่ใกล้พระศาสนาพุทธ มีโอกาสได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องต่อไป ขอบคุณพี่มหาหินมากครับจากใจจริงด้วยความเคารพ
     
  19. dongtan

    dongtan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +100
    อืม ผมรู้คำตอบแล้วครับสำหรับชาวต่างชาติ เข้าไปที่นี่เลยครับ
    http://www.watpahnanachat.org/
    555 ล้อเล่น แต่ก็ลองเข้าไปดูนะครับ
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  20. khochpaak

    khochpaak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +1,727
    ขอตอบครับ

    ศาสนาทุกศาสนาล้วนแล้วแต่สอนให้คนเป็นคนดีทั้งนั้น ไม่ได้สอนให้ฆ่ากัน แต่ถ้าถามว่าแล้วพุทธศาสนามีดีที่ต่างจากความดีของศาสนาอื่นตรงไหน ก็ต้องขอยกคำตอบที่หลวงพ่อได้ตอบไว้มากล่าวว่า " พุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่นก็ตรงที่ อริยสัจ" ศาสนาอื่นไม่ได้สอนตรงนี้ เพราะอริยสัจ คือหนทางแห่งการหยุดเกิด เมื่อหยุดเกิด ก็หยุดทุกข์ ศาสนาอื่นสอนให้คนไปสวรรค์ พุทธก็สอนเช่นนั้น แต่สอนเลยไปกว่านั้นอีกเพราะสวรรค์ใช่ว่าหมดทุกข์ มันหมดแค่ชั่วคราว ตราบใดที่ยังไม่ถึงซึ่งนิพพานแล้ว ความทุกข์ย่อมยังมีอยู่
     

แชร์หน้านี้

Loading...