หัวใจของพระพุทธศาสนา.... ความแตกต่างกับศาสนาอื่น ๆ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย มหาหินทร์, 4 ธันวาคม 2005.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,702
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,016
    หากพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง “หัวใจพระพุทธศาสนา” กับ “อริยสัจ ๔” แล้วสามารถกล่าวได้ว่า “พระโอวาทปาฏิโมกข์” หรือ “พุทธโอวาท ๓” อันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ได้สรุปคำสอนทางพระพุทธศาสนาเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจของพุทธศาสนิกชน นั่นคือ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้เพียบพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา ที่ล้วนแต่เป็นทางไปสู่จุดหมายของพระพุทธศาสนา นั่นคือความไม่มีทุกข์และเมื่อพิจารณาต่อไปว่า “พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?” คำตอบคือ “อริยสัจ ๔” อันเป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนต้องไตร่ตรองดัวยปัญญา จึงจะค้นพบว่าจุดบรรจบกันระหว่าง “พุทธโอวาท ๓” กับ “อริยสัจ ๔” คือ ความไม่มีทุกข์ ซึ่งความไม่ทุกข์ก็คือความสุขนั่นเอง ดังนั้น หลักปฏิบัติในการดับทุกข์ตามแนวทางของ “มรรค ๘” จึงได้รวมเข้าเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อให้พุทธศาสนิกชนเข้าใจได้ง่ายขึ้น

    http://www.duangden.com/Buddhism/BuddhistSubstance.html
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,702
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,016
    อริยสัจที่ ๔ มรรค

    มรรค คือ วิธีปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ ศาสนาอื่นฝ่ายเทวนิยมมองเห็นเหตุแห่งทุกข์ไม่ออก ยกให้เป็นการลงโทษของสิ่งลึกลับ ของพระเจ้า ดังนั้นจึงหาวิธีพ้นทุกข์ผิดทาง ไปอ้อนวอนบวงสรวงให้พระเจ้าช่วย ถ้าจะเปรียบก็คล้ายกับว่า เราป่วยเป็นไข้มาเลเรีย แล้วมีคนมาบอกเราว่า ที่เราเป็นอย่างนี้เพราะมีผีมาจากป่าจากเขามาลงโทษเรา แล้วก็แนะให้เราเซ่นไหว้อ้อนวอนกับผีสางเหล่านั้น เพื่อให้เราหายโรค ซึ่งเสียแรงโง่เปล่า
    แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นเหมือนแพทย์ผู้ชำนาญเห็นเหตุที่ทำให้เกิดโรค เกิดทุกข์ชัดเจน แล้วก็ทรงสอนเราว่า ที่เราป่วยเราทุกข์ก็เพราะเจ้าตัณหา ซึ่งเปรียบเหมือนเชื้อโรคนี่เอง ถ้าต้องการหายจากโรคก็ต้องกำจัดเจ้าเชื้อโรคนั้นให้หมดไป โดยพระองค์ทรงมอบยาดีไว้ให้เราใข้กำจัดเชื้อโรคนั้นด้วย ซึ่งก็คือ มรรค ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ใจหยุดใจนิ่งปราบทุกข์ได้ รวม ๘ ประการ ได้แก่
    ๑.สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบ เบื้องต้นคือ ความเห็นถูกต่างๆ เช่นเห็นว่าพ่อแม่มีพระคุณต่อเราจริง ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วจริง โลกนี้โลกหน้ามีจริง ฯลฯ เบื้องสูงคือ เห็นทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์และวิธีปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ นั่นเอง
    ๒.สัมมาสังกัปปะ มีความคิดชอบ คือ คิดออกจากกาม คิดไม่ผูกพยาบาท คิดไม่เบียดเบียน ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
    ๓.สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียดให้เขาแตกแยกไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้ออวดอ้างความดีของตัว หรือทับถมคนอื่น
    ๔.สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ และประพฤติพรหมจรรย์ เว้นจากการเสพกาม
    ๕.สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ คือ เลิกการประกอบอาชีพเลี้ยงชีวิตในทางที่ผิด แล้วประกอบอาชีพในทางที่ถูก
    ๖.สัมมาวายามะ มีความเพียรชอบ คือ เพียรป้องกันบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป เพียรสร้างกุศลคุณความดีที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น และเพียรบำรุงกุศลคุณความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น
    ๗.สัมมาสติ มีความระลึกชอบ คือ ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน มีสติรู้ตัวระลึกได้ หมั่นพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อยู่เสมอ
    ๘.สัมมาสมาธิ มีใจตั้งมั่นชอบ คือ มีใจตั้งมั่นหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ผ่านกายในกาย ซึ่งก็คือฌานชั้นต่างๆ ไปตามลำดับจนเข้าถึงธรรมกาย ใจหยุดนิ่งตั้งมั่นอยู่ที่ศูนย์กลางธรรมกาย


    มรรคทั้ง ๘ ข้อนี้ ถ้าขยายออกไปแล้ว ก็จะได้แก่คำสอนในพุทธศาสนาทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าย่อเข้าก็จะได้แก่ไตรสิกขา หัวใจพระพุทธศาสนา ดังนี้

    ศีล แยกออกเป็น สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    สมาธิ แยกออกเป็น สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
    ปัญญา แยกออกเป็น สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ

    มรรคทั้งแปดข้อนี้ให้ปฏิบัติไปพร้อมๆกัน ซึ่งว่าเกิดได้ขณะใจหยุดนิ่งเป็นสมาธิ ทำให้เห็นอริยสัจได้อย่างชัดเจน และพ้นทุกข์ได้เป็นเรื่องของการฝึกจิตตามวีถีของเหตุผล ไม่ต้องไปวิงวอนพระเจ้าหรือใครๆ
     
  3. QuaOs

    QuaOs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +480
    จากการสรุปของผมนะครับ ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วย...

    1. พุทธศาสนา สอนถึงสัจธรรม นั่นคือกฎเกณฑ์และความจริงแท้ของธรรมชาติ ที่มันต้องเป็นไปของมันอย่างนั้นเอง ตั้งแต่ขั้นหยาบที่สุดไปจนถึงละเอียดซับซ้อนสูงสุด โดยเน้นไปที่เรื่องของทุกข์และการดับทุกข์
    2. โดยให้ผู้นับถือ ต้องเป็นผู้ก้าวออกเดินไปตามทางนั้นเอง ปฎิบัติและพิสูจน์ด้วยตัวเองให้เห็นจริงตามนั้น เมื่อพิสูจน์ได้จบแล้วจะไม่มีข้อสงสัยอีก


    นี่เป็นหลักสำคัญที่ทำให้พุทธศาสนามีความโดดเด่นออกมาจากศาสนาอื่นๆในโลก

    การที่หลายๆคน สรุปแก่นแท้ของพุทธศาสนาออกมาไม่เหมือนกัน ก็เพราะข้อคำสอนที่พวกเขาจับมาอธิบายก็รวมอยู่ในความจริงเหล่านั้นเอง และก็ถือว่าต่างก็ถูกด้วยกันทั้งนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2006
  4. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,241
    ค่าพลัง:
    +1,790
    " พุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวที่ปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์ได้"
    ลูกหนอนไม่ชอบเลยประโยคนี้
    ทำไมคนที่นับถือศาสนาอื่นเขาไม่สามารถพ้นทุกข์ได้หรือ
    แล้วอีกอย่างหนึ่งคนที่เขาไม่ได้รับศาสนาใดไว้กับตัวแน่นอนก็มีเยอะแยะ
    คนพวกนี้ก็แย่ซี
    แต่อันที่จริงลูกหนอนว่าคนทั่วๆไปทั่วโลกเขาก็มีความสุขกันเยอะแยะไปโดยที่ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องมานับถือศาสนาพุทธกันเลย
    ลูกหนอนลองมาศึกษาศาสนาทางเว็ปไซด์นี่
    ก็รู้สึกได้ทันทีเลยว่า ศาสนาพุทธทำให้คนคิดถึงแต่เรื่องกรรม เรื่องทุกข์ เรื่องทำบุญเพื่อนิพพาน คำว่านิพพานคือการพ้นทุกข์ที่แท้จริงใช่ไม๊
    ลูกหนอนว่าถ้าเราไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ ทำแต่ความดี มีความสุข
    ทุกข์ก็ไม่เห็นจะมีเลย
    เมื่อเราไม่มีทุกข์ ก็แสดงว่าเราไม่มีกรรม มีแต่ความดี ก็ไม่เห็นจะต้องพ้นทุกข์เลย

    นี่แสดงว่าคนที่ต้องนับถือศาสนาพุทธเพื่อพ้นทุกข์นี่มีกรรมมากๆใช่ไม๊
     
  5. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    คุณลูกหนอน นี่ มีจิตใจที่ซื่อ บริสุทธิ์จริง ....

    ใครจะตอบคุณลูกหนอนให้หน่อยก็ดี นะครับ....
    (ขอรวบรวมพลังก่อนครับ ตอนนี้เหนื่อยจริง แต่ก็สู้อยู่ ครับ)
    แล้วจึงค่อย มาขอตอบ และสรุป ในห้วงสัก 1 อาทิตย์ 2 อาทิตย์ ต่อ ๆ ไป ครับ....

    ผมเพิ่งกลับจากทางเหนือ พอกลับมา ก็ตอบเรื่องราว ตามงานบุญก็หลายโพส....
    พรุ่งนี้ 13 ม.ค. 49 ก็ต้องไปเหนืออีก มีงานบุญอีก 2 แห่ง คือ....

    3 IN 1 งานบุญพิเศษ อริยทรัพย์ รับปีใหม่ 2549
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=23130

    และ ....
    อานิสงฆ์ การทำบุญที่เนื่องด้วย "สมเด็จองค์ปฐม" ณ พุทธสถาน พระพุทธบาทเขากะลา
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=24375


    กลับมา ก็ตั้งใจจะนำภาพ และบรรยากาศของกุศลผลบุญ มาให้ได้ชมกัน
    ทั้ง 2 แห่ง เลยครับ....<!-- / message --><!-- sig -->
     
  6. เอโชวโปรธรรมะ

    เอโชวโปรธรรมะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    เหตุไฉน พุทธศาสนิกชน ชาวไทยที่ยังเป็นวัยรุ่น ถึงไม่เข้าใจในพระธรรม
    พระธรรมอันมีคุณค่า มากกว่า วัตถุนิยม ที่ต่างยืดถือกันอยู่ หากใครมาถามพุทธศาสนิกชน วัยรุ่น แล้วหละก็ คงจักตอบกันมิได้

    .....อันว่า ความดีทำไปไร้คนเห็น แต่จักทำเพื่อความภูมิใจในตนเอง
     
  7. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
    ทุกท่านตอบได้ดีจริงๆครับ ขออนุโมทนา ผมว่าเป็นกระทู้ที่ดีมากเลยนะครับ เผื่อว่ามีใครมาถามเรา เราจะได้ตอบได้แบบมั่นใจและภาคภูมิ ไม่ต้องมานั่งรวบรวมความคิดใหม่

    " ละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธ์ "

    จุดประสงค์หลักของพระพุทธเจ้า คือ การช่วยให้สัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นจากกองทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธองค์จึงชี้ทางพระนิพพานให้แก่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย

    ดังนั้น ผมจึงคิดว่า นอกจากที่เราจะ ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตใจให้บริสุทธ์ (ซึ่งเป็นปัจจัยเพื่อพระนิพพาน) แล้ว เราควรที่จะรักษาอารมณ์พระโสดาบัน ไว้ด้วยครับ เพราะ พระโสดาบันเป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ เป็นก้าวแรกที่พาเราเข้าสู่กระแสพระนิพพาน

    ผมว่า พวกเราที่เป็นชาวพุทธ อย่างน้อยก็ควรให้ถึงได้ในจุดนี้นะครับ

    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=17

    นี่เป็นคำสอนของหลวงพ่อครับ เรื่อง อารมณ์พระโสดาบัน

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมครับ :)
     
  8. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ผมยังคงค้างรูป การโพสอยู่หลาย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จริง ๆ
    ขึ้น-ลง ตลอด ตั้งใจจะพยายามให้เต็มที่เลยครับ....

    รวมถึง เรื่องที่ต้องมาคุยกันเรื่อง หัวใจของพระศาสนา นี้ด้วยครับ....
     
  9. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ครับผม....
    ยังคงค้างงานการโพสเพื่อสาธุการอยู่หลายโพสมาก ๆ ๆ

    รวมถึงเรื่องที่เนื่องด้วย หัวใจของพระพุทธศาสนา นี้ ด้วย....
    (ขอเวลาอีก กะนิดนะครับ..)
     
  10. L-Knight

    L-Knight Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +88
    เขาถามมา ตอบเขาไปง่ายๆ ให้ปฎิบัติแล้วเขาจะรู้เอง
    อนุโมทนา สาธุด้วยคนครับ
     
  11. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    ข้อดี? เอ๊ะ!
    หัวใจ-คำสอน?
     
  12. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ครับ.... ตกลงงานโพสนี้ คงเป็นห้วง 1-2 อาทิตย์ แหละครับ....
    ก็มีหลายงานบุญ ตั้งแต่ ส่งท้ายปีเก่า จนสิ้นเดือน มกราคม 2549

    ก็เป็นบุญรายเดือนไป โดยปริยาย....

    ห้วงเวลา 2-3 วันที่ผ่านมาจึงพยายามนั่งพิมพ์ เรียบเรียงข้อความเกี่ยวกับหัวข้อนี้....
    ผมเองก็พิมพ์ได้ช้ามาก พิมพ์ก็ผิดมาก แก้ไขไป แก้ไขมา ....

    พิมพ์วัน ๆ หนึ่ง ก็เกิน5-6 ชั่วโมง

    ก็พยายามอย่างที่สุดแหละครับ ....
    เพียงมุ่งหวังว่า อาจจะเป็นประโยชน์ ได้บ้างครับ....
     
  13. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    มาพูดถึงเรื่อง "หัวใจ ของพระพุทธศาสนา".... ต่อไป นะครับ...

    ตามภาษิต ของพระอรหันต์เจ้า พระวัปปะมหาเถระ ในสมัยพุทธกาล ที่ท่านกล่าวแสดงไว้ว่า….

    ผู้เห็นธรรม ย่อมเห็น ทั้งผู้เห็นธรรม และผู้ที่ไม่เห็นธรรม
    ผู้ไม่เห็นธรรม ย่อมไม่เห็น ทั้งผู้ไม่เห็นธรรม และผู้ที่เห็นธรรม

    เนื่องด้วยสารบัญของเวป ในหัวข้อนี้ คือ พลังจิต-พุทธศาสนา สำหรับผู้เริ่มต้น
    สำหรับคนรุ่นใหม่ เด็ก-วัยรุ่นและ ผู้เพิ่งเริ่มเรียนรู้ เรื่องพลังจิต, เรื่องลึกลับและพุทธศาสนาทั่วไปแบบง่ายๆ

    ซึ่งกระผมเอง ก็เป็นเพียงผู้เริ่มต้นบุญ กำลังเพียรสร้างบารมีอยู่ เช่นกัน….

    ดังนั้น เมื่อผมพูดออกไปแล้ว บังเอิญไม่ถูกต้อง ตามที่ท่านผู้ทรงธรรมขั้นสูง มองเห็น….
    โปรดได้ให้อภัยทานแก่ผม ด้วยการแนะนำในสิ่งที่ควร ที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริงด้วยเถิด….

    อันจะก่อให้เกิด เป็นบุญ เป็นกุศล แก่ผู้เพิ่งเริ่มเรียนรู้ และสาธารณะชน คนหมู่มากต่อ ๆ ไป….
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2006
  14. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ก่อนจะพูดเรื่อง “หัวใจของพระพุทธศาสนา” เรามาทำความเข้าใจพื้นฐาน กันก่อน นะครับ….

    องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า….

    สัพพะทานัง ธรรมะทานัง ชินาติ…. การให้ธรรมะ เป็นทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง….

    แสดงว่า "การให้ทานด้วยธรรมะ" ย่อมเลิศ ประเสริฐ ด้วยอานิสงส์ เป็นอย่างยิ่ง….

    แต่ทว่า ธรรมที่กล่าวแสดงมา นั้น ต้องเป็นธรรมอันบริสุทธิ์ ไม่คัดค้านคำตรัสสอนของพระพุทธองค์….

    จึงจะมีอานิสงส์ที่สูงส่ง….

    หากเป็นการพูดที่ไม่เป็นธรรมะ หรือคัดค้าน คำตรัสสอนของพระพุทธองค์….
    อย่างนี้…. ก็ตรงกันข้าม คือ มีอานิสงส์ ต่ำสุด ร้อนที่สุด คือ “อเวจี มหานรก”

    ดังนั้น จึงขอฝากมายังผู้ที่กล่าวแสดงธรรม ด้วยความความรัก(เมตตา) ด้วยบริสุทธิ์ใจยิ่ง….

    พึงที่จะต้องระมัดระวังไว้ให้ดีว่า ข้อความที่เรากล่าวแสดงเป็นธรรมอันบริสุทธิ์จริง….
    หากไม่แน่ใจ แล้วลงทุนพูดแสดงไป ก็อาจที่จะขาดทุนเอาได้….
    เราก็พึงเฉยไว้ก่อน จะดีกว่า อย่าให้ขาดทุนเลย เพราะว่าจะเสียเวลาไปมากมาย ยาวนาน อย่างยิ่ง….
     
  15. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    รายละเอียดเรื่อง “ธรรมทาน” ผมเคยได้กล่าวแสดงไว้ในโพส ที่ 16 ของกระทู้….

    ว่าด้วยเรื่อง "สังฆทาน" สำหรับชาวพุทธที่ยังไม่เข้าใจกับคำๆนี้....
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=19554

    ข้อความมีดังนี้….

    แต่ก็ขอพูด ที่เกี่ยวข้องกับ ธรรมทาน สักนิดหนึ่งว่า....

    การให้ธรรมะเป็นทาน อานิสงส์สูง อานิสงส์มากจริง ก็ตาม....
    ธรรมะ ที่ให้เป็นทาน นั้น ต้องบริสุทธิ์ ถูกต้อง ไม่ค้านคำตรัสสอน เท่านั้น

    ข้อธรรม ที่เผยแพร่ให้ผู้อื่นทราบ หากไม่เป็นจริง ก็เท่ากับสอนผิด....
    หากคำสอน นั้น ไม่เป็นจริง คัดค้านคำตรัสสอน....
    สอนให้ผู้อื่น เข้าใจผิด แนะนำผิด ก็เท่ากับ ค้านพระศาสนา....

    อย่างนี้ คือ ข้อที่ 5 ของอนันตริยกรรม ต้องมี อเวจี เป็นที่ไป เท่านั้น

    ดังนั้น หากอยากจะได้อานิสงส์ของ ธรรมทาน....
    ก็ต้อง ยื่นทาน แนะนำทาน ที่บริสุทธิ์ เท่านั้น....

    หากวันนี้ ผมพลาดไป....
    แนะนำทุกท่านไป แบบผิด ๆ
    ท่านผู้ทรงวิชชา ทรงฌาน ทรงอภิญญา และผู้เชี่ยวชาญในญาน ทั้งหลาย ก็ย่อมจะแลเห็น แล้วว่า....

    ตัวผมเอง นั้น ไป อเวจี แน่นอน ....
    (แต่ผมก็เบื่อแล้วละครับ ไปมาแล้ว ไม่รู้กี่รอบ ต่อกี่รอบ เฮ้ออออ....เบื่อ)
     
  16. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    การที่คนเรา ใคร่ที่จะรับฟังธรรมะ อยากศึกษาธรรมะ นี่….

    ก็เป็นไปตามห้วงแห่ง “กุศลกรรม” หากกุศลกรรมเข้าถึงจึงจะรับได้….
    หากเป็นห้วงของ “อกุศลกรรม” อย่างไร ก็ไม่มีทางมองเห็นธรรมะได้….

    ทำไม ผมจึงกล้ากล่าว เช่นนี้ …. ก็เพราะว่า….

    (หากเรื่องยาวเกินไป ก็ขอกราบอภัย…. เพราะว่า จะให้อธิบายสั้น ๆ แม้แต่ผมเอง
    ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไร ถึงจะเข้าใจ….)

    ใครอ่านได้จนจบ ก็ขอนับถือในวิริยะบารมี ครับ....
     
  17. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ก็เพราะว่า....

    ก่อนที่กระผมจะได้รับความเมตตาจากองค์หลวงพ่อฯ พอที่จะเห็นธรรมได้บ้าง….
    อายุก็เข้าเลข 3 นำหน้า เข้าไปแล้ว….

    สมัยเป็นนักเรียน เกี่ยวกับความรู้ ความเชื่อ ในพระพุทธศาสนา อย่างมากก็แค่ได้ตามไปทำบุญกับพ่อ กับแม่ ที่วัดประจำหมู่บ้าน หรือมีงานบุญที่บ้าน บ้าง ความรู้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา นับว่ายังเข้าใจผิดไปอย่างมาก
    (เพราะความจริงไม่ได้ศึกษา ก็ไม่รู้เรื่อง จึงไม่มีความเข้าใจ)

    เกี่ยวกับศีลห้าข้อ เมื่อตอนที่ยังเด็กอยู่นั้น อย่างมากอาจจะผิดศีลอยู่บ้างในข้อ ปาณาติบาตฯ แต่พอโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น ความกล้า ความอยาก มันพอกพูน ขึ้นมามาก

    ลองนั่งคิดย้อนกลับไปพิจารณาดูแล้ว ศีลทั้งห้า ไม่มีข้อไหนเลยที่ไม่เคยได้ทำ

    กระผมเองได้เคยอยู่วัด ๓ ปี ในขณะที่เรียนระดับประถม อย่าไปพูดถึงเลยว่าวัดไหน เพราะจะเป็นที่เสื่อมชื่อเสียงแก่วัด เพราะว่า..วัดเป็นสถานที่ ที่มีพระคุณที่ได้อยู่อาศัยในวัด เพื่อเล่าเรียน

    หากจะมีส่วนเสีย ก็อยู่ที่ตัว “พระ” ที่อาศัยอยู่ในวัด(มารู้ภายหลังว่า ผู้ที่ได้บวชเข้ามาในศาสนานั้น ยังไม่เรียกว่า “พระ” แต่เป็นเพียง “สมมติสงฆ์” เท่านั้น ต่อเมื่อสมมติสงฆ์นั้น มั่นคงในศีล ภาวนา เพื่อให้เกิดปัญญา จึงจะนับเป็น “พระ” เพราะว่า “พระ” แปลว่า “ผู้ประเสริฐ”)

    ส่วนผู้ที่บวชแล้ว ไม่ปฏิบัติในศีล ใช้แต่ความที่เป็นผู้ที่โกนหัว ห่มผ้าเหลือง เพียงเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตน นั้น ไม่ใช่ “พระ” ไม่ใช่ “สมมติสงฆ์” แต่เป็น “โจรปล้นพระศาสนา” มีแต่จะสร้างแต่ความเสื่อมเสียให้พระศาสนา เท่านั้น

    ที่กล่าวถึงเพราะว่า กระผมเองได้พบ “โจรปล้นพระศาสนา” ที่นี่เอง....

    กินเหล้า เล่นกล้าม จีบสาว ๆ ฆ่าสัตว์ พอฝนตกก็เปิดหน้าต่าง เปิดไฟ เอาถาดน้ำ รองใต้หลอดไฟที่เปิดสว่าง เพื่อจับแมลงเม่า ทำอาหารกินในเวลากลางคืน....

    ยังมีอีก คือ กระผมสามารถเล่นไพ่ “รัมมี่”ได้เก่งพอสมควรทีเดียว เพราะผมได้ “พระอาจารย์โจร”ที่นี่แหละ ซึ่งเวลานั้น ผมมีอายุเพียง ๑๑–๑๒ ปี เท่านั้น จึงไม่ค่อยคิดอะไรมาก แต่ก็เป็นสิ่งฝังใจจำ

    เมื่อโตขึ้น ทำให้ผม "ดื้อ" พอสมควรทีเดียว เมื่อได้พบ “พระ”รูปใด ก็ตาม ก็จะเกิด “ศรัทธา”ได้ยาก

    เมื่อวัยย่างเข้าสู่วัยรุ่น จำได้ว่า เคยมีบรรดารุ่นพี่ ที่หวังดี มองเห็นบาปที่กระผมได้ทำทารุณกรรมต่อสัตว์ เช่น ยิงนก ตกปลา(ตกปลานี่เคยนั่งเฝ้าอยู่ทั้งคืนก็ยังเคย เห็นเขาจับปลากัน ถึงไม่ได้ลงไปจับ ได้ดูก็ยังดี)

    เขามีความหวังดีต่อตัวกระผม ได้ว่ากล่าวตักเตือนว่า ไม่กลัวบาปหรือ ระวังจะโดนกฎแห่งกรรม ที่ต้องมาเป็นนก เป็นปลา ให้เขาฆ่าใช้กรรมเอาบ้าง ฆ่าปลา ฆ่านก ๑ ตัว ต้องเกิดมาเป็นปลา เป็นนก ให้เขาฆ่าบ้าง ตัวละ ๕๐๐ ชาติ เชียวนะ….

    กระผมก็สุดจะฉลาด(โง่สุดๆ) ย้อนกลับถามเขาว่า “บาป”เป็นอย่างไร พี่เคยเห็นหรือเปล่า แถมตอกคำถามที่คิดว่าชาญฉลาดอย่างยิ่ง(บรมโง่ อวดฉลาด) ว่า...

    แล้วรู้ได้อย่างไรว่า พวกนก พวกปลา เหล่านั้น ไม่เคยฆ่าผมมาก่อน ตอนนี้เขาใช้หนี้กรรมให้ผมมาฆ่าพวกเขาบ้าง จึงนับได้ว่าเป็นการหายกันไป…. นี่ คือ ตัวอย่างปัญญา ของคนทรามปัญญา(ผมเอง)

    อันที่จริง ท่านผู้นั้นได้หวังดีอย่างยิ่ง ที่อุตส่าห์ แนะนำให้ เพื่อจะได้ไม่ต้องรับผลของกรรมชั่ว แต่กระผมไม่เคยเห็นคุณค่า แถม(เสือก)ย้อนไปสั่งสอนเขา เข้าให้อีก
    (ยอดโง่.. ตาบอด สอนคนตาดีให้เดิน ให้ตรงทาง..ยอดไปเลย)
     
  18. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    พอโตเริ่มเป็นหนุ่มขึ้น....

    กรรมก็เริ่มก่อตัว หน้าที่การงาน ชีวิตที่หวังจะเป็นครอบครัวกับใครสักคน ความหวัง ความตั้งใจใด ๆ ล้วนไม่สมหวัง นับว่าได้บีบรัด บีบคั้นจิตใจ สุขภาพก็เลวร้าย บางคืนนอนไอจนดึกค่อนคืน มีแต่ทุกข์นานา เข้ามารุมเร้า

    จนกระทั่งเมื่ออายุก้าวล่วงวัยเลข 3 นำหน้า นับว่าเป็นปีที่โชคดีที่สุดในชีวิต ที่กฎแห่งกรรมเลวยังให้ผลไม่เต็มที่

    ได้เข้ากราบพบพระเดชพระคุณองค์หลวงพ่อฯ ผู้มีพระคุณประดุจบิดา เหนือเกล้า ที่ได้รับคำแนะนำสั่งสอน ที่ถูกต้องเป็นจริง ด้วยคำสอนของพระเดชพระคุณท่าน ที่สอนสิ่งที่ตัวกระผมเองไม่เข้าใจ สิ่งที่คิดว่ายาก กลับเป็นสิ่งที่ง่าย ๆ

    ทำให้สามารถทำความเข้าใจ คำว่า “พระใส” ที่แท้จริง

    ส่งผลให้กระผมสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต ที่เคยทำแต่กรรมเลว(การผิดศีลไม่ว่าในข้อใดก็ตาม ตัวเองพบว่ามันคือความชั่วอย่างยิ่ง) มาเป็นพอมองเห็น “ธรรมะ” ได้บ้าง
     
  19. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    มีเรื่องหนึ่ง ที่องค์หลวงพ่อฯ เมตตา โดยตรง….

    จากความฝังใจในวัยเด็ก เรื่อง “โจรปล้นพระศาสนา” ทำให้เมื่อโตขึ้นมาแล้ว การรู้จัก หรือได้พบกับ “พระ”รูปใด ก็ตาม ก็จะเกิด “ศรัทธา”ได้ยาก

    แม้กระทั่ง องค์หลวงพ่อฯ ผมก็ไม่ละเว้น(ก็มันยังโง่อยู่) เคยได้ยินชื่อเสียงขององค์หลวงพ่อฯ ว่า เป็น “พระผู้ปฏิบัติดี” จากการแนะนำเพื่อให้ไปกราบพบท่าน….

    อารมณ์ขณะนั้น ก็ไม่ศรัทธา ไม่เลื่อมใส คิดในใจว่า พระอะไร ทำไมจึงมีชื่อเป็นแบบนั้น….หลวงพ่อฤาษีลิงดำ…. (กราบขอขมาองค์หลวงพ่อ ด้วยเศียร ด้วยเกล้า) ก็ไม่ไปหาท่าน

    8 ปีต่อมา.. เมื่ออายุก้าวล่วงวัยเลข 3 นำหน้า เมื่อมีทุกข์หนัก ๆ บีบรัด ถึงได้คิด ดิ้นรนหาองค์หลวงพ่อฯ

    เลยพลอยได้รับอานิสงส์ สามารถเรียนรู้ธรรมะได้บ้างพอควรแก่ตน….

    แต่ก็นั่นแหละครับ คนเรา(ผมเอง)มันเคยเลว ระยำ บัดซบ ห้าร้อย มาก่อน….

    ที่นี้ เมื่อพอได้มองเห็นธรรมะเล็ก ๆ น้อย ๆ ….

    แต่ทว่า มองเห็นโทษอันใหญ่หลวงของตนเอง….
    โอ้โฮ…. ที่ผ่านๆ มา ก่อนได้พบองค์หลวงพ่อฯ นี้ มันชัดเจน แจ่มใสมาก แจ่มใสในนรก ชัดเจนมาก….

    ไม่รอดแน่แล้วเรา ชาตินี้ จะไปที่ไหนได้ หนีไม่พ้น…. นรก.. แหงแก๋….

    ก็กลัดกลุ้มในใจ(จิตหมอง) และมีความเสียใจอยู่ตลอดเวลาว่า….

    ทำไม หนอออออ….. 8 ปี ที่แล้ว ทำไม ไม่เข้าไปกราบพบท่าน….

    อย่างน้อย ๆ เมื่อไปกราบพบท่าน ก็น่าที่จะรอดจากความเลวระยำ
    ลดความเลว ได้ตั้ง 8 ปี(ที่ทำมาแล้ว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2006
  20. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    มีวันหนึ่ง ที่องค์หลวงพ่อฯ มาโปรดลูก-หลาน ที่บ้านสายลม สะพานควาย…
    .

    ก็เป็นปกติของผม ที่จะต้องไปกราบท่าน และขวนขวาย ช่วยเหลือการงาน เช่น ช่วยจัดถังสังฆทาน


    วันนั้น พอไปถึงที่บ้านสายลม องค์หลวงพ่อฯ ท่านได้นั่งรับแขกอยู่ก่อนแล้ว…. ผมก็กราบท่านที่สุดท้ายปลายทางเดิน(พรมแดง) ห่างจากท่านประมาณ 20 เมตร….

    แต่เชื่อหรือไม่ว่า …. เพียงแค่ผมกราบครั้งแรก ยังไม่ทันได้เงยหน้า….
    ท่านก็พูด(ออกไมค์) เหมือนกับว่า กำลังพูดคุย กับลูก-หลาน ทั่ว ๆ ไป….
    แต่ทว่า มันแปร๊บบบบ เข้าไปในจิต ในใจ ของผมเลยครับ….
    (กราบขอมาองค์หลวงพ่อฯ ที่จำไม่ได้ทุกคำพูด)


    เอ่อ…. มันก็เป็นเช่นนี้ แหละ ลูกเอ้ย….
    ….คนเรา เมื่ออกุศลกรรมยังบังอยู่ ก็เปรียบเสมือนกับว่า ใส่แว่นที่เปื้อนโคลน(ผมเองก็สวมแว่น)….เมื่อมองไปในทิศทางใด ก็จะไม่สามารถมองเห็น สิ่งใดได้ชัดเจน ….


    ….ต่อเมื่อ กุศลกรรมเข้ามาถึง…. ก็เหมือนกับ ฝนฟ้าได้ตกลงมา ทำให้ล้างโคลนที่เปื้อนแว่นออกไปได้….จึงจะสามารถมองเห็นภาพ ตามความเป็นจริงได้…..


    โอ้โฮ…. จิตสว่างวาบ เกิดความเข้าใจทันที ความกังวลที่ในจิต ในใจ คลายออกไปได้….

    ความกังวล ความเสียใจ เรื่อง 8 ปี ที่ไม่เข้าไปกราบพบท่านฯ
    อันตรทานหายไปทันที.... เข้าใจในบัดดลนั้นเอง ว่า....

    มันเป็นช่วงอกุศลกรรมของเรา .. บุญเข้าไม่ถึง....
    เหมือนยืนอยู่หลังกำแพงสูง ที่ร้อนอบอ้าว....
    ร้องตะโกนให้เพื่อนที่อยู่นอกกำแพง ให้สาดน้ำให้ด้วย....
    สาดเท่าไร ก็ไม่ถึง ไม่โดนน้ำ เพราะกำแพงอกุศลกรรม....

    บังเอิญ มีคน(บุญ)มาช่วยทุบกำแพงให้พังลงไป....
    เมื่อสาดน้ำ ราดน้ำ ก็เย็นชุ่มชื่นใจ(กุศลกรรมเข้าถึง)....

    แต่ทว่า แผลผุพอง ในห้วงอกุศลกรรม(ผลของกรรมชั่ว)ก็ต้องรับไว้เช่นกัน...

    นี่เอง ที่ผมกล่าวไว้ว่า…. ก็เป็นไปตามห้วงแห่ง “กุศลกรรม” หาก กุศลกรรมเข้าถึงจึงจะรับได้….


    หากเป็นห้วงของ “อกุศลกรรม” อย่างไร ก็ไม่มีทางมองเห็นธรรมะได้….


    ก็ไม่ต้องดูตัวอย่างให้ไกลตัว ดูตัวผมเองเป็นตัวอย่าง การสอนตัวเอง….


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2006

แชร์หน้านี้

Loading...