หลวงพ่อปัญญามรณภาพแล้ว

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย Catt Bewer, 10 ตุลาคม 2007.

  1. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +638
    ปุ่มอนุโมทนาอยุ่ไหนครับ ผมไม่เห็นมีเลย

    ปล. เจอแล้วครับ สายตาไม่ค่อยดีแล้ว อิอิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled.JPG
      untitled.JPG
      ขนาดไฟล์:
      59.7 KB
      เปิดดู:
      65
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2007
  2. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +2,122
    พระแท้ ขอกราบนมัสการ . . .
     
  3. rux

    rux เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    308
    ค่าพลัง:
    +990
    กราบนมัสการ หลวงพ่อปัญญานันทะภิกขุ

    ด้วยปัญญาอันอนันต์ของหลวงพ่อ ลูกน้อยจะตั้งใจใฝ่หา...
     
  4. dragonn

    dragonn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    392
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อครับ พระดีๆต้องละสังขารไปอีกแล้ว
    เศร้าจริงๆ
    สาธุครับ
     
  5. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สาธุฯ...ขอกราบหลวงพ่อในฐานะของครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่ชี้ให้เห็นถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว แจ้งจริง

    ยายผีป่านับถือท่านว่าเป็นอาจารยของเรา ท่เป็ฯอาจารยที่ตายให้เราดู เราก็จงจดจำว่าความตายเรามีกันทุกคน

    และข้อคืด ข้อปฏิบัติใดๆ ที่ท่านสอน สิ่งที่ถูกที่ต้อง ที่ท่านฝากไว้ หากสิ่งนั้นท่านสอนแล้วใช่ตามที่พระพุทธเจ้าสอน เราควรสาธุ และน้อมนำมาใช้ให้เกิดสุขแก่ตนนะคะ

    ท่านมีที่ไปของท่าน เราอยู่เพื่อรอที่ไปของเราเช่นกัน

    สาธุ...สาธุ...สาธุ...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วฯ
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ศธ.เตรียมเสนอยูเนสโก เสนอชื่อ “หลวงพ่อปัญญาฯ”
    เป็นบุคคลดีเด่นโลก
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 ตุลาคม 2550 19:31 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=229 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=229>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> กระทรวงศึกษาฯ เตรียมเสนอชื่อ “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ” ต่อองค์การยูเนสโก เป็นบุคคลดีเด่นของโลก ขณะที่บรรยากาศที่โรงพยาบาลชลประทานฯยังคงมีศิษยานุศิษย์เดินทางมาร่วมลงนามไว้อาลัย รวมทั้ง “พญ.คุณหญิงพรทิพย์-แม่ชีศันสนีย์” ส่วนที่วัดชลประทานฯ ยังคงเร่งจัดสถานที่เตรียมพร้อมก่อนวันที่ 12 ตุลาคม แต่คาดว่า วันพรุ่งนี้ คลื่นมหาชนจะเดินทางมาจำนวนมาก

    ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงการประกาศยกย่องพระพรหมมังคลาจารย์ หรือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ต่อองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ว่า ศธ.เตรียมเสนอรายชื่อของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ให้ยูเนสโกประกาศเป็นบุคคลดีเด่นของโลก ซึ่งหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะเสนอได้ เพราะเป็นผู้ทำคุณูปการให้กับวงการศาสนาและการศึกษาด้วย

    แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ในฐานะศิษย์เดินทางมายังโรงพยาบาลชลประทานฯ เพื่อช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาสภาพศพให้คงเดิม จนถึงวันที่ 12 ตุลาคม จากที่ก่อนหน้านี้จะมีการเก็บไว้ในโลงแก้ว และใช้น้ำแข็งแห้งในการรักษาคุณภาพ แต่แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ แนะนำว่าให้ใช้โลงเย็น และจะมาดูแลที่โรงพยาบาลทุกวัน เพื่อดูสภาพร่างให้คงเดิม และเวลา 17.00 น.แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต จากเสถียรธรรมสถาน เดินทางมาร่วมไว้อาลัย และกล่าวว่า การมรณภาพ สะท้อนให้เห็นว่าการจากไปเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ซึ่งจะเป็นเครื่องช่วยเตือนให้คนทำความดี ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ให้มีชีวิตอย่างตายทั้งเป็น

    ส่วนบรรยากาศที่โรงพยาบาลในช่วงค่ำของวันแรกประชาชนทยอยมาลงนาม โดยทางโรงพยาบาลได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่พิเศษ เพื่อคอยต้อนรับศิษยานุศิษย์ และขอความร่วมมือประชาชนที่จะมาสักการะให้ไปที่วัดในวันที่ 12 ตุลาคม แต่ถ้าหากประสงค์จะมาจริงๆ จะให้อยู่เฉพาะที่ชั้น 1 ส่วนผู้ป่วยที่จะมาโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้ ทางโรงพยาบาลได้มีการยกเลิกระบบคิว แต่จะมีเจ้าหน้าที่พยาบาลคอยจัดคิวสำหรับผู้ป่วยที่มา

    พระเทพปริยัติเมธี รักษาการเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ กล่าวว่า ในวันพรุ่งนึ้ (11 ต.ค.) คาดว่า คลื่นมหาชนจากทั่วสารทิศจะทยอยเดินทางมาที่วัด โดยได้มอบให้สถานีตำรวจภูธรอำเภอปากเกร็ด เป็นผู้ดูแลอำนวยความสะดวกในเรื่องการจราจร และสถานที่จอดรถ ในส่วนของวัดนั้นจัดเตรียมเรื่องสถานที่บำเพ็ญกุศล ซึ่งวันพรุ่งนี้จะมีเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาร่วมกันดูความเรียบร้อยของสถานที่ก่อนถึงวันที่ 12 ตุลาคม ซึ่งจะมีการเคลื่อนศพจากโรงพยาบาลชลประทานฯ มายังศาลาขจรประศาสน์

    สำหรับประชาชนที่จะนำพวงหรีดมาร่วมไว้อาลัยนั้น อยากให้ร่วมสมทบเงินเพื่อตั้งเป็นกองทุนนำไปสืบสานปณิธานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อย่างไรก็ตาม ในส่วนโครงการสร้างอุโบสถกลางน้ำ ที่เป็นโครงการของหลวงพ่อ เพื่อสร้างเป็นอนุสรณ์ให้กับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) นั้น ขณะนี้แม้ว่าจะยังไม่แล้วเสร็จ แต่งบประมาณเพียงพอ

    ทั้งนี้ กำหนดการบำเพ็ญกุศล พระพรหมมังคลาจารย์ หรือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ วันที่ 12 ตุลาคม เวลา 08.30-09.00 น.จะมีการเคลื่อนศพจากโรงพยาบาลชลประทาน ไปยังศาลาขจรประศาสน์ วัดชลประทานรังสฤษฏ์ เวลา 09.00-16.45 น.พระเถรานุเถระ ข้าราชการ พุทธศาสนิกชน ศิษยานุศิษย์ กราบเคารพศพ สรงน้ำ และวางพวงหรีด เวลา 17.00 น.พระราชทานน้ำสรงศพ และเวลา 19.00 น.พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม ถวายเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา เสร็จพิธี
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. ดวงฤทัย

    ดวงฤทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +2,694
    กราบแทบเท้าหลวงพ่อค่ะ
     
  8. visitpol

    visitpol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +656
    กราบลาหลวงพ่อด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2007
  9. thank you

    thank you เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,747
    คำหลวงพ่อ


    ท่านปัญญานันทะ " เกิดมาชาติหนึ่งก็ไม่เสียใจเเล้วเพราะได้สร้างสิ่งมี
    ประโยชน์ชั่วกาลนาน "

    ท่านปัญญานันทะ " จะเทศน์ทุกวันพระจนกว่าจะตาย "


    ร่วมสมทบทุนสร้างอุโบสถกลางน้ำ เพื่อเป็นที่ศึกษาธรรมของพระสงฆ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย

    ที่ก่อตั้งโดย ท่านปัญญานันทะ (พระพรหมมังคลาจารย์)

    ได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย สาขาปากเกล็ด
    บัญชี ออมทรัพย์
    เลขที่ 1422157679
    ชื่อบัญชี วัดชลประทานรังสฤษฎ์


    ท่านได้พูดเอาไว้ว่าถ้าอุโบสถกลางน้ำ สร้างเสร็จท่านก็ตายตาหลับ
    ฝากสมาชิกทุกท่านช่วยเอา ธนาคารที่รับบริจาคนี้ไปลงที่อื่นๆด้วย เราจะได้ช่วยกันสารต่อเจตนาท่านให้สำเร็จโดยเร็ว.
     
  10. thank you

    thank you เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,747
    คำหลวงพ่อ


    ท่านปัญญานันทะ " เกิดมาชาติหนึ่งก็ไม่เสียใจเเล้วเพราะได้สร้างสิ่งมี
    ประโยชน์ชั่วกาลนาน "

    ท่านปัญญานันทะ " จะเทศน์ทุกวันพระจนกว่าจะตาย "


    ร่วมสมทบทุนสร้างอุโบสถกลางน้ำ เพื่อเป็นที่ศึกษาธรรมของพระสงฆ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย

    ที่ก่อตั้งโดย ท่านปัญญานันทะ (พระพรหมมังคลาจารย์)

    ได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย สาขาปากเกล็ด
    บัญชี ออมทรัพย์
    เลขที่ 1422157679
    ชื่อบัญชี วัดชลประทานรังสฤษฎ์


    ท่านได้พูดเอาไว้ว่าถ้าอุโบสถกลางน้ำ สร้างเสร็จท่านก็ตายตาหลับ
    ฝากสมาชิกทุกท่านช่วยเอา ธนาคารที่รับบริจาคนี้ไปลงที่อื่นๆด้วย เราจะได้ช่วยกันสารต่อเจตนาท่านให้สำเร็จโดยเร็ว.
     
  11. Master mind

    Master mind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2007
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +429
    กราบหลวงพ่อครับ...
     
  12. chotiwat

    chotiwat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +571
    ด้วยอำนาจบุญกุศลที่หลวงพ่อได้บำเพ็ญมาตลอดเพศบรรพชิต จงพละปัจจัยส่งเสริมให้ดวงวิญญาณของหลวงพ่อ ประสบสันติสุขในสัมปรายภพตลอดกาลเป็นนิจเทอญ เจ้าค่ะ สาธุ...(b-cry) (b-cry) (b-cry)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ตุลาคม 2007
  13. นายองค์

    นายองค์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +23
    อยู่ด้วยธรรม ไปด้วยธรรม
     
  14. xanadu

    xanadu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +1,637
    My highest respect and deepest sympathy to the loss of this venerabale monk.
     
  15. บุษบากาญจ์

    บุษบากาญจ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    9,476
    ค่าพลัง:
    +20,271
    กราบแทบเท้าลาหลวงพ่อ พระอริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ขออโหสิกรรม หากได้พลาดพลั้งไปด้วยกายกรรม มาโนกรรม และวจีกรรม (ถึงแม้นไม่ได้กระทำใดๆก็ตาม)
    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  16. Gaia River

    Gaia River Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2006
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +78
    กราบหลวงพ่อครับ
     
  17. afaps_new

    afaps_new เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +154
    มีการเกิดเป็นเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลางและสลายตุัวไปในที่สุด...
    ขอนมัสการต่อพระสัจธรรมขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า...สาธุ
     
  18. virot05

    virot05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,679
    ขอแสดงความอาลัยหลวงพ่ออย่างที่สุดขอรับ
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    "ความตาย" ของ "ปัญญานันทภิกขุ"

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ความตาย" ของ "ปัญญานันทภิกขุ"</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>11 ตุลาคม 2550 06:16 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>"ความตายเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุดของมนุษย์" ไม่มีใครปฏิเสธคำกล่าวนี้

    "กมฺมุนา วตฺตติ โลโก - โลกหมุนไป ตามกฏของกรรม" เรื่องของโลกเป็นเช่นใด เรื่องของชีวิตก็เป็นเช่นกัน


    แม้ว่า ความตายเป็นสิ่งสามัญที่ไม่อาจหลีกพ้นได้ เช่นเดียวกับหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือ พระพรหมมังคลาจารย์ ที่ดับขันธ์จากเราไปแล้ว ท่านมีทัศนะต่อความตายในการเทศนาธรรมตามวาระต่างๆหลายต่อหลายครั้ง "ผู้จัดการปริทรรศน์"นำมาถ่ายทอดเพื่อเป็นอนุสติและรำลึกต่อการจากไปของพระที่แท้ของแผ่นดิน

    ******

    ความตายมันเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะเกิดมีแก่ทุกชีวิต อันนี้คนเราไม่ค่อยได้คิด เรื่องความตายไม่ค่อยคิด เพราะคนเราไม่ค่อยคิด เพราะคนเรามีความต้องการที่จะอยู่มาก ทุกคนเหมือนต้องการที่จะอยู่ทั้งนั้น ไม่มีใครอยากตาย แต่ว่าก็ไม่ได้ว่าไม่ให้อยู่ อยู่ไปตามเรื่อง แต่เราจะต้องคิดไว้บ้างว่าเราจะอยู่ค้ำฟ้าไม่ได้ ชีวิต เป็นของไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งมันต้องถึงจุดจบเป็นธรรมดา อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะได้คิด

    ปกติคนเราไม่ค่อยจะได้คิดถึงเรื่องนี้ เพราะไม่ได้คิดถึงเรื่องความตายนี้แหละ จึงทำให้คนเกิดความประมาทมัวเมาในทรัพย์สมบัติ มัวเมาในความเป็นใหญ่ในอำนาจวาสนา ในเรื่องอะไรต่างๆ อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตทั้งนั้น แล้วเกิดความวุ่นวายขึ้นในภายหลัง เพราะไม่ได้นึกถึงเรื่องเกี่ยวกับความตายไว้บ้าง ถ้าหากว่าได้เอาความตาย ที่เราได้เป็นข่าวมาเป็นเครื่องเตือนใจเราว่า แกเองนี่แหละสุดท้ายชีวิตมันก็จบลงกันที่ตรงนี้ แม้จะมีอำนาจสักเท่าใด ยิ่งใหญ่สักเท่าใด ใครๆ เขาก็จะเคารพบูชาสักเท่าใด ก็ต้องถึงจุดจบคือถึงแก่ความตาย เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น เมื่อเราคิดอย่างนั้นเราก็ควรจะถามตัวเราเอง พิจรารณาถึงสังขารร่างกายของเราเอง ว่ามันก็จะต้องเป็นอย่างนั้น เป็นเรื่องธรรมดา

    เพราะว่าความตายกับความเกิดนั้น เป็นของคู่กัน มาด้วยกันไปด้วยกันอยู่ตลอดเวลา แล้ววันหนึ่งมันจะปรากฏแก่ตาของเราเอง ว่ามันเป็นอย่างนั้น การนึกคิดในเรื่องความตายนี้ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เรียกว่าอัปมงคลอะไร แต่เป็นเรื่องเป็นมงคล เป็นเหตุให้คนมีความก้าวหน้าในชีวิต ในการงานด้วยประการต่างๆ เพราะเราได้นึกถึงเรื่องความตายไว้บ้าง คนที่นึกถึงความตายนั้น จะเป็นคนที่ขยันขันแข็งเอางานเอาการ เพราะรู้ว่าชีวิตนี้มันน้อย มันสั้น เราควรจะรีบทำให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ถ้านึกถูกต้อง แต่บางคนมานึกถึงความตายไม่ถูกเป้าหมาย คือพอไปเห็นคนอื่นตาย หรือใครตายแล้วใจอ่อนไป กลัวต่อความตาย มืออ่อนตีนอ่อน แล้วก็นึกว่า จะทำไปทำไปทำไม ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ไปนึกอย่างนั้น อันนี้ไม่ถูกเรื่อง ไม่ตรงตามจุดหมายของพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าสอนให้คิดถึงความตายนั้น ก็เพื่อให้รู้ว่าเราจะต้องตาย เราหนีจากความตายไปไม่พ้น และเมื่อรู้ว่าเราจะต้องตาย หนีจากความตายไปไม่พ้นแล้ว เราควรจะได้ใช้ชีวิตเท่าที่เหลืออยู่นี้ ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการประกอบหน้าที่ที่เราจะต้องกระทำ

    ทุกคนมีหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น ใครมีหน้าที่อันใด จงทำหน้าที่อันนั้นให้สมบูรณ์ให้เรียบร้อย ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง อย่างนั้นจึงจะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตแก่ครอบครัว ตลอดถึงประเทศชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นการนึกถึงความตาย คือให้นึกว่าเราจะต้องตาย เมื่อนึกว่าจะตายแล้วเราก็ไม่ประมาท รีบเร่งกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต เช่นในเรื่องการงาน ในด้านวัตถุ ที่เราพูดในภาษาธรรมะว่า ในด้านคดีโลก คดีโลกหมายความว่าในด้านวัตถุ เช่นการแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ประกอบการงานไปตามหน้าที่ เราก็ทำไปตามเรื่องตามหน้าที่ที่เราจะกระทำได้ แล้วก็ทำด้วยความตั้งอกตั้งใจ ทำให้เรียบร้อยทำให้ดีที่สุด เพราะเรานึกว่าชีวิตไม่แน่ไม่เที่ยง เราอาจจะดับลงไปเมื่อใดก็ได้

    ******

    ไม่มีสิ่งใดที่จักเกิดขึ้นและเป็นอยู่โดยมิได้อาศัยกรรม ต้องมีกฏนี้เข้าไปแทรก แซงอยู่เสมอ และที่ทุกอย่างดำเนินไปได้เป็นปกติ ก็เพราะยังมีกรรมของมันอยู่ ถ้าหากหมดกรรมลงเมื่อใดแล้วก็แตกสลาย แต่การสลายตัวของสิ่งหนึ่ง ทำให้เกิดสิ่งอื่นต่อไปอีก เช่นต้นไม้ต้นหนึ่งตายก็กลายเป็นไม้ท่อน คนเราเอาไม้ท่อนไปทำรถ ทำเรือน ทำอะ ไรหลายอย่าง ถ้าวัตถุที่ถูกทำนั้นตายคือผุต่อไปอีกก็กลายเป็นปุ๋ยก่อให้เกิดเป็นอาหาร แก่หญ้าแก่ต้นไม้ต่อไป วัตถุทั้งปวงในโลกจึงมิได้หายไปจากโลก มันหมุนเวียนเป็นสัง สารวัฏฏ์วนไปมาอยู่เสมอ เป็นเรื่องไม่จบ แต่เป็นวงกลมที่ไม่มีการตั้งต้นและไม่มีที่สุด เป็นแต่อาศัยเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปๆ แล้วก็เกิดขึ้นอีก เป็นวงเวียนตลอดสายจึงเรียกว่า เป็นไปตามอำนาจของกรรม

    ******

    ทีนี้มนุษย์ เรานี่มักจะฝืนธรรมชาติ ไม่คล้อยตามธรรมชาติในเรื่องธรรมชาติที่มันแน่นอนที่สุดที่จะต้องเป็น เราก็ไปคิดว่า ขอให้ท่านมีชีวิตอยู่โลกนานๆ แม้จะแก่ชราเท่าใดก็ไม่อยากให้ท่านจากไป ให้อยู่ได้เห็นหน้ากัน แล้วก็รู้สึกว่าอุ่นอกอุ่นใจ มีความสบายใจ นี่คือความคิดธรรมดาสามัญทั่วไปในมนุษย์เราทั้งหลายเราไม่เคยคิดในแง่ความจริงในสิ่งนั้น คือไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ที่ท่านจะไม่อยู่กับเราตลอดไป วันหนึ่งท่านก็จะจากเราไป เพราะสังขารร่างกายนี่มันเปลี่ยนแปลง ชรา ชำรุดทรุดโทรม ร่างกายของมนุษย์นี่เปลี่ยนแปลงทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็เปลี่ยนหายใจออกก็เปลี่ยน เปลี่ยนไปสู่ความแตกดับทั้งนั้น ไม่มีร่างกายของคนใดที่จะคงทนถาวร อยู่ได้ตลอดกาลนาน มีความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แล้วผลที่สุดแตกดับไป นั่นเป็นเรื่องของธรรมชาติ แม้ไม่มีโรคภัยเข้ามาเบียดเบียน มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องอย่างนั้นแล้วก็ต้องแตกดับไปตามเรื่องอย่างนั้น แต่ว่า มันไม่ได้เป็นเพียงเท่านั้นกฏธรรมชาติมันมีอยู่แล้วคือการไหลเวียน เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ว่ายังมีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียนร่างกายอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าว่า โรคนิทฺธํ ร่างกายนี้ เป็นเรือนโรค เป็นที่อาศัยของโรคนานาชนิด ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นมันเป็นตัวจุลินทรีย์ตัวเล็กๆ ลอยฟ่องอยู่ในอากาศ หายใจเข้าไปทางจมูกบ้าง ติดเข้าไปกับอาหารบ้าง มาเกาะที่ร่างกายของเราแล้วมันเจาะใชชอนเข้าไปในร่างกายไปยึดเอาร่างกายของเราเป็นที่อยู่อาศัย ร่างกายของมนุษย์นี่เป็นเรือนของโรคแท้ๆ

    ******

    ทำไม คนเราจึงเสียดายคนที่ตายไป ไม่ใช่เสียดายเรื่องคนตาย แต่ว่าเราเสียดาย ความงามความดีนั่นเอง เพราะว่าคนนั้นเป็นผู้มีความดี เรารักความดีเราเสียดายความดี เราอยากจะให้ความดีอยู่ต่อไป แต่ถ้าเรามานึกถึงว่าความดีนั้นไม่ได้ตาย ตายแต่คนที่ใช้ความดี เมื่อคนนั้นตายไปความดีก็ไม่ได้ตาย เราจะไปเสียใจอะไร เพราะร่างกายนี้เป็นของประสม เป็นของปรุงแต่ง ที่พระท่านเรียกว่า "สังขาร" เราสวดมนต์ตอนท้ายว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารคือร่างกายจิตใจ รูปธรรม นามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดา เราว่ากันบ่อยๆ อย่าเพียงแต่ว่าเฉยๆ ต้องเอามาคิดนึกตรึกเตือนจิตสะกิดใจไว้บ่อยๆ เพื่อให้เกิดปัญญา แล้วเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เราจะได้ปลงตกได้ว่า เรื่องธรรมดาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เราหนีจากสิ่งนี้ไปไม่พ้น จะไปนั่งกลุ้มอกกลุ้มใจเรื่องอะไร เศร้าโศรกเสียใจทำไม ควรจะคิดทำอะไรๆที่เป็นประโยชน์ต่อไป เช่นคุณพ่อคุณแม่เราถึงแก่กรรมไป เราก็คิดว่าควรจะทำอะไรเป็นเครื่องสนองบุญคุณของท่านทั้งสองนั้น อันจะเป็นประโยชน์เป็นความสุขต่อไป หรือว่าเราควรจะรับสิ่งใดของท่านไว้

    ******

    คนเราที่เกิดมาแล้วต้องจากกันทั้งนั้น ต้องตายทั้งนั้น เมื่อก่อนนี้เรามีพ่อแม่ มีคุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยาย เดี๋ยวนี้ปู่เราไปไหนแล้ว ทวดเราไปไหนแล้ว ย่าเราไปไหน ยายเราไปไหน ถ้าคิดดู อ้อ ท่านไปแล้ว ไปก่อนแล้ว ปู่ทวดไปก่อน แล้วปู่ตาไป ย่ายายไป พ่อแม่เราก็ไป สามีเราก็ไป ภรรยาเราก็ไปกันโดยลำดับ คนอื่นเขาไปกันแล้ว วันหนึ่งเราก็ต้องไป แต่เวลานี้ยังไม่ไป เพราะร่างกายมันยังมีปัจจัยเครื่องปรุงเครื่องแต่งอยู่ ยังพออยู่ในโลกมนุษย์ไปได้

    ******

    คนเราเวลาเกิดไม่ได้เอาอะไรมา เวลาไปก็ไม่ได้เอาอะไรไป สิ่งทั้งหลายที่เราได้ใช้ได้กินอยู่ในชีวิตประจำวันนี้ ถือว่าเป็นของยืมมาทั้งนั้น ยืมมาชั่วคราว ยืมแล้วต้องส่งคืนเอาไปไม่ได้ พอเราจะไปก็ส่งคืนเขา ทรัพย์สมบัติก็ส่งคืนธรรมชาติ ร่างกายก็ส่งคืนธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นเนื้อแท้ เรานึกอย่างนั้น ใจก็ไม่ยึดมากเกินไป มีทรัพย์สมบัติก็ใช้ไปตามหน้าที่ บำรุงศาสนา บำรุงสาธารณกุศล อะไรพอจะช่วยได้ก็ช่วยไปตามเรื่อง ใช้สมบัติให้เป็นประโยชน์แก่ตัวแก่ท่านตามสมควรแก่ฐานะ พอถึงบทที่เราจะจากไป เราก็อย่าไปอาลัยอาวรณ์ ว่าเออ เสียดายสิ่งนั้น เสียดายสิ่งนี้ ไม่เข้าเรื่องเป็นทุกข์เปล่าๆ

    ความพลัดพรากจากของชอบใจเป็นทุกข์ เพราะว่าเราไม่ได้พิจารณา แต่ถ้าเราได้พิจารณาแก้ไขไว้ ความทุกข์ในเรื่องนั้นก็จะไม่เกิดมีขึ้น อันนี้เป็นการปฏิบัติชอบอันหนึ่ง

    ******

    การตายในขณะเป็นอยู่ เป็นการตายที่ร้ายแรงกว่า การตายของคนตายจริงๆ เพราะคนตายจริงๆ ไม่ให้โทษแก่ใคร แต่คนตายยังเป็นอยู่ เพราะขาดคุณความดีนั้น เป็นภัยต่อสังคมมาก จึงเป็นตายที่น่ากลัวโดยแท้ ชีวิตที่ต้อง การอยู่อย่างคนเป็นจึงต้องมีธรรมะประจำใจ

    ******

    ความตายทางกายไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ว่าความตายทางใจเป็นเรื่องสำคัญ คนที่มีความตายทางกายมันก็จบฉากกันไปตอนหนึ่ง แล้วก็เอาไปเผาที่ป่าช้า ส่วนคนที่ตายทางจิตนั้น มันไม่อย่างนั้น แต่ยังมีชีวิตอยู่เดินได้พูดได้ ยังก่อกรรมทำเข็ญให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน แก่บุคคลได้อยู่ เพราะฉะนั้น คนที่ตายทางจิต จึงเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงแก่มนุษย์ทั่วๆไป เราจึงควรกลัวสิ่งที่เรียกว่าทำให้เราตายใน ทางจิตใจ

    ไม่ต้องกลัวสิ่งที่ทำให้เราตายในทางร่างกาย ความกลัวในสิ่งที่ทำให้เราตายทางจิตใจนั้น ก็ไม่ใช่กลัวอะไรอื่นไกล แต่กลัวความคิดชั่ว ที่มันเกิดขึ้นในจิตใจของเราเอง มันทำลายตัวเรา มันส่งเราไปสู่ที่ทุกข์ที่ยาก ทำให้เกิดปัญหาแก่ชีวิตด้วยประการต่างๆ จึงควรจะสนใจในการที่จะไม่ให้จิตใจของคนตายไปจากคุณงามความดี แต่ควรจะได้ส่ง เสริมสนับสนุนให้จิตใจของตน ให้มีคุณธรรมประจำจิตใจอยู่ตลอดเวลา อันคนเราที่จะมีหลักธรรมประจำจิตใจอยู่เสมอนั้น ก็ต้องมีความภักดีต่อสิ่งที่เป็นหลักทางใจ จึงเป็นหัวใจสำคัญ ในการปฏิบัติธรรมะในทางพระศาสนา

    ******

    คนเราเวลาตายไปก็หมดเรื่องตอนหนึ่งของชีวิต ตายไปแล้วอะไรๆ ก็ทิ้งไว้ในโลกต่อไป เพราะเราทำเพื่อให้แผ่นดินนี้ไม่ใช่เพื่อจะเอาไป ทรัพย์สินเงินทองไม่มีใครเอาไปได้ รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ที่อยู่ข้างหลังก็ได้ประโยชน์แก่คนข้างหลังต่อไป ไม่ใช่ทำเพื่อเรา ถ้าทำเพื่อเราก็คิดผิด แต่เราทำเพื่อส่วนรวมเพื่อชาติบ้านเมือง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. s_thit

    s_thit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    785
    ค่าพลัง:
    +3,027
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780 border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 30px">หลวงพ่อปัญญา มรณภาพ สิ้นนักรบธรรม [11 ต.ค. 50 - 04:37]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=15 width=780 border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=15 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]พุทธศาสนิกชนสุดเศร้าสลด เมื่อวงการสงฆ์ไทย ต้องสูญเสียพระอริยสงฆ์ที่นับเป็นการสูญเสียเสาหลักของพระพุทธศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อพระพรหมมังคลาจารย์ หรือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ แห่งวัดชลประทานรังสฤษฏ์อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ได้ละสังขารอย่างสงบเมื่อเช้าวันที่ 10 ต.ค.
    ทั้งนี้ เมื่อเวลา 09.00 น. ที่หออภิบาลอายุรศาสตร์ ห้องซีซียู ชั้น 3 ตึกอัษฎางค์ รพ.ศิริราช พระพรหมมังคลาจารย์ หรือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ได้มรณภาพลงอย่างสงบ ด้วยโรคปอดอักเสบ และไตวายเฉียบพลัน สิริรวมอายุ 96 ปี 5 เดือน 76 พรรษา โดยทันทีที่ศิษยานุศิษย์ทราบข่าว ต่างร่ำไห้ และมารอกราบสรีระสังขารของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ที่ด้านหน้าห้องซีซียูกันจำนวนมาก แต่โรงพยาบาลไม่สามารถให้เข้าไปในห้องไอซียูได้ ให้แต่ญาติสนิทและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปรับสรีระสังขารเท่านั้น จากนั้น เวลา 10.45 น. โรงพยาบาลได้เคลื่อนสรีระสังขารหลวงพ่อปัญญาฯไปฉีดฟอร์มาลิน ก่อนเคลื่อนไปไว้ที่ศาลาพิธีศพ ตึกอดุลยเดชวิกรม รอรถพยาบาลจากโรงพยาบาลชลประทาน จ.นนทบุรี มารับไปยังโรงพยาบาลชลประทาน ในเวลา 12.10 น.
    นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา ผอ.โรงพยาบาลศิริราช แถลงถึงสาเหตุการมรณภาพของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ว่า หลวงพ่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่ วันที่ 1 ต.ค. ด้วยอาการหน้ามืด วูบ และแน่นหน้าอก ก่อนหน้านี้หลวงพ่อปัญญาฯเคยมีอาการหลอดเลือดหัวใจตีบมาก่อน และเคยรับการถ่างขยายหลอดเลือดด้วยวิธีบอลลูนมาแล้ว เมื่อมาถึงโรงพยาบาลศิริราช ทีมแพทย์ได้วินิจฉัยอาการพบว่ามีอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เนื่องมาจากหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ต่อมาในวันที่ 6 ต.ค. หลวงพ่อปัญญาฯมีอาการไอ มีเสมหะ และมีการติดเชื้อในปอด การทำงานของไตเริ่มแย่ลง ทำให้การให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาอาการปอดติดเชื้อขาดประสิทธิภาพ เมื่อไตทำงานแย่ลง ประกอบกับหลวงพ่อปัญญาฯมีอายุมาก จึงทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน ส่งผลให้เกิดหัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งครั้ง เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 9 ต.ค. ทีมแพทย์ได้ทำการช่วยชีวิตไว้ได้ แต่ต่อมาช่วงเช้าวันที่ 10 ต.ค. อาการยังไม่ดีขึ้น ส่งผลให้การเต้นของหัวใจหยุดลงอีก กระทั่งมรณภาพในเวลา 09.00 น. ของวันที่ 10 ต.ค.
    พระครูพิมลสรกิจ พระเลขานุการของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ กล่าวว่า จะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ ในวันที่ 12 ต.ค. เวลา 17.00 น. ที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์ เนื่องจากในวันที่ 11 ต.ค. เป็นวันพระ พระผู้ใหญ่ ของวัดต้องปฏิบัติศาสนกิจ ทั้งนี้ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เริ่มมีอาการตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. โดยมีอาการแน่นหน้าอก และสำลักขณะฉันเพล จึงนำส่งโรงพยาบาลศิริราช ในช่วงเช้าของวันที่ 9 ต.ค. หลวงพ่อยังคุยได้ตามปกติ แต่พอช่วงบ่ายมีอาการซึมจนมรณภาพในที่สุด หลวงพ่อท่านมีความเป็นห่วงเรื่องการสร้างอุโบสถกลางน้ำให้กับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตวังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา มาก ท่านบอกว่าจะทำงานชิ้นนี้เป็นชิ้นสุดท้าย ถึงขนาดที่ท่านบอกเลยว่า จะอยู่ถึง 100 ปี และจะไม่ยอมตายหากยังสร้างไม่เสร็จ ขณะนี้การดำเนินการคืบหน้าไปมากแล้ว การมรณภาพของท่าน ลูกศิษย์ทุกคนตกใจมาก
    ต่อมาเวลา 12.45 น. รถตู้โตโยต้า หมายเลขทะเบียน กบ 5567 ซึ่งเป็นรถพยาบาลของหน่วยกู้ชีพ รพ.ชลประทาน นำสรีระสังขารหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ มาถึงอาคาร 80 ปี ปัญญานันทะ รพ.ชลประทาน มีคณะแพทย์ พยาบาลและประชาชน ยืนเข้าแถวรอเคารพศพจำนวนมาก โดยสภาพหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ มีลักษณะคล้ายคนนอนหลับ เจ้าหน้าที่ได้นำสรีระสังขารของหลวงพ่อขึ้นไปยังห้อง 401 ชั้น 4 อาคาร 80 ปี ปัญญานันทะ ซึ่งเป็นห้องพิเศษเฉพาะสำหรับหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ มาเข้าพัก ในช่วงที่เข้ารับการรักษาพยาบาลที่ รพ.ชลประทาน มีบรรดาญาติและศิษยานุศิษย์ใกล้ชิด เข้ากราบศพของหลวงพ่อฯ รวมทั้ง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่เดินทางมาช่วยดูแลเรื่องการเก็บสรีระสังขารของหลวงพ่อ โดยทางโรงพยาบาลได้จัดสถานที่ลงนามไว้อาลัยหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ที่บริเวณห้องโถงชั้นล่างของอาคาร 80 ปี ปัญญานันทะ ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึง 20.00 น. ของวันที่ 11 ต.ค.นี้ โดยอนุญาตเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดเท่านั้น ที่ จะสามารถขึ้นไปยังห้องเก็บสรีระสังขารของหลวงพ่อได้
    นพ.อุทัย สุภาพ ผอ.รพ.ชลประทาน กล่าวว่า ห้องที่เก็บสรีระสังขารของหลวงพ่อ เป็นห้องเฉพาะที่จัดไว้ สำหรับเวลาที่หลวงพ่อมารักษาตัวโดยเฉพาะ ไม่เปิดให้ผู้ป่วยอื่นเข้าพัก เพราะท่านเมตตากับโรงพยาบาลมาก อุปถัมภ์มาโดยตลอด ในช่วงหลังไตของท่านไม่ค่อยดีผลตรวจเลือดก็ค่อนข้างจะมีหลายระบบที่เป็นปัญหา เพราะท่านอายุมากแล้ว ท่านจะถามเสมอว่า รพ.ขาดอะไรหรือไม่ รพ.ก็ไม่อยากรบกวน อย่างหมอที่ รพ.นี้ ท่านจะให้ทุนไปเรียนต่างประเทศ เพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมตลอด ทั้งนี้ รพ.จะเคลื่อนสรีระสังขารของหลวงพ่อไปยังศาลาขจรประศาสน์ วัดชลประทานฯ ในช่วงเช้า วันที่ 12 ต.ค. เพื่อให้ลูกศิษย์และประชาชนทั่วไปเข้าเคารพศพ โดยในช่วงนี้ ประชาชนสามารถโทรศัพท์สอบถามรายละเอียดการเคารพศพของหลวงพ่อได้ที่ โทร. 0-2583-8845 และ 0-2583-6457
    นายสังสรณ์ เสน่ห์เจริญ อายุ 76 ปี หลานปู่ของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ และติดตามหลวงพ่อมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ประมาณ 3 วัน ได้ไปเยี่ยม หลวงปู่ที่ รพ.ศิริราช หลวงปู่รู้สึกตัวดีไม่มีอาการเลื่อนลอย ยังพูดติดตลกว่า มียมบาลมาหาและยมบาลบอกว่า พระรุ่นเดียวกับท่านไม่มีใครอยู่แล้ว เหลือท่านอยู่องค์เดียว
    พระเทพปริยัติเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ กล่าวว่า ได้เตรียมการจัดพิธีศพของหลวงพ่อ โดยประสานกับสำนักพระราชวังและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จะต้องดูเรื่องของการอำนวยความสะดวก เรื่องการจราจรและที่จอดรถ การมรณภาพของหลวงพ่อเป็นเรื่องที่กะทันหัน เพราะท่านเพิ่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งนี้จะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ ในวันที่ 12 ต.ค. เวลา 17.00 น. โดยในช่วงเช้าจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าเคารพศพของหลวงพ่อ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เพราะหลวงพ่อไม่ใช่เป็นพระวัดชลประทานฯเท่านั้น แต่ท่านเป็นพระของประชาชนด้วย ส่วนพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมศพ หลังจากครบกำหนดการสวดพระอภิธรรมในพระบรมราชานุเคราะห์ 7 วันแล้ว คงจะเป็นการจัดพิธีที่ยึดหลักคำสอนของหลวงพ่อ คือ ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์ ซึ่งคงจะเป็นการจัดพิธีศพตามรูปแบบของวัดชลประทานฯ คือ เริ่มพิธีเวลา 19.00 น. ทุกวัน มีเทศน์ 1 ธรรมาสน์ จากนั้นเป็นการสวดพิธีธรรมศพ 1 จบ เป็นอันเสร็จพิธี โดยงานพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมศพหลวงพ่อ คงจะมีต่อเนื่องกว่า 100 วัน และถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ขอให้งดพวงหรีด โดยเฉพาะพวงหรีดที่เป็นโฟม แต่จะทำบุญหรือบริจาคอะไรนั้นเป็นศรัทธาของญาติโยม
    ผู้สื่อข่าวถามว่า หลวงพ่อปัญญาฯ ได้ทิ้งพินัยกรรมอะไรไว้หรือไม่ พระเทพปริยัติเมธีกล่าวว่า ไม่มีพินัยกรรมอะไรทั้งนั้น เพราะหลวงพ่อไม่สะสมอะไร ท่านไม่มีบัญชีเงินฝากส่วนตัว ไม่มีเงินส่วนตัวแม้แต่บาทเดียว ปัจจัยที่ญาติโยมถวายมาท่านจะนำเข้าวัดทั้งหมด ไม่เคยนำเข้าย่ามเลยแม้แต่แดงเดียว แต่ถ้าถามถึงมรดกทางธรรมที่ท่านทิ้งไว้ คงเป็นปรัชญาชีวิตของหลวงพ่อ 5 ประการ นั่นก็คือ คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี และไปในสถานที่ที่ดี และว่าขณะนี้วัดเตรียมจัดทำซีดีเทศนาธรรม ซึ่งหลวงพ่อมีมากกว่า 5,000 กัณฑ์ รวมถึงเอกสารงานพิมพ์งานเขียนต่างๆด้วย หลวงพ่อท่านตายด้วยและไม่ตายด้วย ตาย คือ ท่านละสังขาร ซึ่งก็เป็นธรรมดาของการเกิดดับ แต่ที่ไม่ตาย คือ คำสอนของท่านที่จะอยู่ไปอีกเป็นร้อยเป็นพันปี นั่นคือ หลวงพ่อยังอยู่ ยังไม่ตาย
    ขณะที่นางจุฬารัตน์ บุณยากร ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวถึงการมรณภาพของหลวงพ่อปัญญาฯ ว่า ถือเป็นการสูญเสียพระผู้ใหญ่ในวงการพระสงฆ์ ซึ่งเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้จะอายุมาก แต่โดยสติปัญญายังให้หลักธรรมได้ตลอดเวลาและคำสอนยังเป็นหลักดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี ส่วนนายสด แดงเอียด อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า หลวงพ่อเป็นปูชนียบุคคลของประเทศ เป็นพระนักเทศน์ นักปฏิบัติ เป็นดวงประทีปทางปัญญาของชาวพุทธดวงหนึ่งที่มีแสงสว่างมานานมาก จากประวัติท่านอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนามาแต่เยาว์วัย และมุ่งมั่นเป็นทายาทของพระพุทธองค์มาโดยตลอด เป็นครูพระที่เทศน์ไม่หยุด แม้จะเจ็บป่วยก็ไม่หวั่นไหว
    ขณะที่นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ประสานขอพระราชทานน้ำหลวงสรงศพหลวงพ่อปัญญาฯ จากสำนักพระราชวังแล้ว โดยจะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงสรงศพในวันที่ 12 ต.ค.นี้ เวลา 17.00 น. ที่วัดชลประทานฯ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศ 8 เหลี่ยม พร้อมเครื่องประกอบพิธีศพ สมแก่ฐานานุรูปของหลวงพ่อปัญญาฯ ซึ่งเป็นพระชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะ
    นายวิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงคงต้องหารือกับทางคณะสงฆ์และวัดชลประทานฯ ก่อน ส่วนจะมีการเสนอต่อยูเนสโก ให้ประกาศยกย่องหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เป็นบุคคลสำคัญของโลก เหมือนท่านพุทธทาสภิกขุหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ เพราะหลวงพ่อปัญญาฯเป็นพระรูปหนึ่ง ที่อยู่ในฐานะที่น่าจะได้รับการพิจารณาจากยูเนสโก แต่การเสนอชื่อคงไม่ใช่ในตอนนี้ คงต้องให้งานพระราชทานเพลิงศพผ่านพ้นไปก่อน
    ส่วนการก่อสร้างพระอุโบสถกลางน้ำ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ซึ่งหลวงพ่อปัญญานันทะ รับเป็นประธานการก่อสร้างนั้น ผศ.ดร. ชาติชาย พิทักษ์ธนาคม รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป กล่าวว่า ขณะนี้การก่อสร้างดำเนินการไปเกินกว่า 50% แล้ว คาดว่าทุกอย่างจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย.2551 ปัญหาไม่ใช่เรื่องของปัจจัย เพราะหลวงพ่อได้เตรียมปัจจัยไว้หมดแล้ว ประมาณ 150 ล้านบาท แต่เป็นเรื่องของขั้นตอนรายละเอียดการก่อสร้าง
    [​IMG]สำหรับประวัติพระพรหมมังคลาจารย์ หรือ “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ” มีนามเดิมว่า ปั่น เสน่ห์เจริญ เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2454 ที่ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง มีชื่อเล่นว่า ขาว เป็นบุตรนายวัน-นางคล้าย เสน่ห์เจริญ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 5 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 4 มีพี่สาว 2 คน พี่ชาย 1 คน น้องสาว 1 คน ชีวิตในวัยเด็กเข้าศึกษาชั้น ป. 1 ที่โรงเรียนประจำอำเภอเมือง จ.พัทลุง เมื่อปี พ.ศ.2462 เรียนจบชั้น ป. 3 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดในการศึกษาสมัยนั้น แล้วย้ายไปศึกษาต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัดพัทลุง ขณะเรียน ม. 4 ต่อได้ครึ่งปี บิดาป่วยทำให้ต้องลาออกมาช่วยเหลือครอบครัว
    ขณะมีอายุ 18 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดอุปนันทาราม อ.เมือง จ.ระนอง และเรียนนักธรรมไปพร้อมกัน โดยสอบนักธรรมตรีได้ที่ 1 เมื่ออายุ 20 ปี อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดนางลาด อ.เมือง จ.พัทลุง ได้รับฉายาว่า ปญฺญานนฺโท ระหว่างปี 2475-2476 หลวงพ่อเดินทางไปเผยแผ่พุทธศาสนาในต่างประเทศหลายประเทศ จนได้ชื่อว่าเป็นพระสงฆ์รูปแรกของไทย ที่เดินทางไปประกาศธรรมในภาคพื้นยุโรป พ.ศ. 2480 ท่านไปจำพรรษาที่สวนโมกขพลาราม อ.ไชย จ.สุราษฎร์ธานี ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับท่านพุทธทาสและพระราชญาณกวี อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร วัดขันเงิน เป็นสามสหายธรรมร่วมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาและหลักธรรมที่แท้จริงตามหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนได้รับการขนานนามว่าเป็น “นักรบธรรม”
    ในปี พ.ศ.2492 หลวงพ่อปัญญาฯ ได้รับการนิมนต์ ให้ไปจำพรรษาที่วัดอุโมงค์ จ.เชียงใหม่ และเริ่มแสดงธรรมทุกวันอาทิตย์ วันพระออกเทศน์ตามหมู่บ้านโดยรถยนต์ติดเครื่องขยายเสียงและเขียนเรื่องลงหนังสือพิมพ์ ชาวเหนือ จนมีชื่อเสียงขึ้นที่เชียงใหม่ ท่านจำพรรษาที่วัดอุโมงค์ นานถึง 11 ปี และยังเป็นประธานก่อตั้งพุทธนิคม จ.เชียงใหม่ ประธานมูลนิธิ “ชาวพุทธมูลนิธิ” วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ในยุคนี้เองที่หลวงพ่อได้ก่อตั้งมูลนิธิเมตตาศึกษา ที่วัด เจดีย์หลวง ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และบำเพ็ญศีล กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอีกมากมาย
    ปี พ.ศ.2502 ม.ล.ชูชาติ กำภู อธิบดีกรมชลประทาน ในสมัยนั้น มีความประทับใจในลีลาการสอนธรรมะแนวใหม่ของหลวงพ่อ ระหว่างไปเยือนเชียงใหม่ จึงเกิดความ ศรัทธา ขณะนั้นกรมชลประทานได้สร้างวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ที่ ต. บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จึงอาราธนาหลวงพ่อไปเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ. 2503 จนถึงปัจจุบัน หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่กล้าในการปฏิรูปพิธีกรรมทางศาสนา ของชาวไทยที่ประกอบพิธีกรรมหรูหรา ฟุ่มเฟือย โดยเปลี่ยนเป็นประหยัด มีประโยชน์และเรียบง่าย จนได้รับการขนานนามว่าเป็นพระผู้ปฏิรูปพิธีกรรมของชาวพุทธไทย ทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มการแสดงปาฐกถาธรรมวันอาทิตย์ ณ วัดชลประทานรังสฤษฏ์ อีกด้วย นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยท่านได้ปฏิวัติรูปแบบการเทศนาแบบดั้งเดิม ที่นั่งเทศนาบนธรรมาสน์ถือใบลาน มาเป็นการยืนพูดปาฐกถาธรรมแบบปากเปล่าต่อสาธารณชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุผลร่วมสมัย ทันต่อเหตุการณ์ เป็นการดึงดูดประชาชนให้หันเข้าหาธรรมะได้เป็นอย่างมาก
    หลวงพ่อเป็นพระมหาเถระผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทย ได้สร้างงานไว้มากมายทั้งด้านศาสนา สังคมสงเคราะห์ ตลอดจนงานด้านวิชาการ จึงได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ได้รับรางวัลเกียรติคุณมากมาย และเป็นประธานในการดำเนินกิจกรรม ทั้งที่เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและสังคม แม้ว่าคำสอนของหลวงพ่อจะเป็นคำสอนที่ฟังง่ายต่อการเข้าใจ แต่ลึกซึ้งด้วยหลักธรรมและอุดมการณ์อันหนักแน่นในพระรัตนตรัย
    ......................................................................
    ที่มา//ไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=64174

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...