หลงทาง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. มีดสยาม

    มีดสยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +2,535
    รอรับฟังพี่ระมิงค์เล่าต่อครับ ผมก็แนวทาง สมาธิสำหรับคนบุญน้อย นี้เช่นกันครับ
     
  2. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สักวันนึง แก่ๆตัวไปก่อน ว่าจะบันทึกเรื่องราวชีวิตตัวเอง ถ่ายทอดเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังได้อ่าน...
    สำหรับคน คนหนึ่ง ที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ไม่มีอะไรเลย เรียนโรงเรียนวัด
    รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย ซวยเสมอ ดวงชะตาชีวิต ชนิดที่หมอดูยังเมิน เพราะมันธรรมดามาก
    บุญน้อย ด้อยวาสนา หน้าตาก็กวนๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ สติปัญญาก็ธรรมดาไม่ได้เรียนเก่งอะไร ภาษาไทย-ภาษาอังกฤษห่วยแตก เข้าหาครูบาอาจารย์ที่ไหนก็โดนด่า..

    ให้โลกได้รู้ไว้ว่า หากคุณพยายาม ยิ่งกว่าคำว่าพยายาม อดทนยิ่งกว่าคำว่าอดทน เมื่อนั้น คุณย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ กว่าชีวิตของเด็กห่วยแตกคนนึง มันทำอย่างไรถึงจบวิศวะ จุฬาฯ,จบ โทชนิดที่ไม่มีใครคิดว่าจะจบ จบแบบคนเดียวในรอบ20ปี ถึงกับ chair man จากเมกาต้องบินมาขอดูผลงาน กว่าจะมาเป็นเจ้าของกิจการ และเปิดกิจการในต่างประเทศด้วยตัวคนเดียว...เอาไว้แก่ๆก่อนจะค่อยบันทึกเล่าให้ฟัง ตอนนี้ยังไม่แก่ เล่าไม่ออก...

    อยากจะบอกให้คุณรู้ว่า ถ้าคนอย่างผมทำได้ พวกคุณทุกคนก็ทำได้...
    ถ้าพวกคุณรู้ว่า คุณมีเวลาวันละ 24 ชม.เท่ากัน เจ้ากรรมนายเวรหรือเทวดาหน้าไหนก็บังคับให้คุณมีน้อยกว่านั้นไม่ได้...

    ด้วยความเพียรพยายามของคุณ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายไม่อาจบังคับให้คุณพยายามน้อยลงไปได้....
    ด้วยความอดทนอย่างยิ่งของคุณแล้ว แม้เจ้ากรรมนายเวรหรือเทวดาหน้าไหน ก็บังคับเอาไปจากคุณไม่ได้...
    เวลา...ความเพียร...ความอดทนอย่างต่อเนื่องยาวนาน...สามสิ่งนี้ เจ้ากรรมนายเวรเบียดเบียนไปจากคุณไม่ได้...

    ว่าแต่ตอนนี้ เล่าเรื่องของนายเอียนให้ฟังก่อนดีกว่า...
    นายเอียนแกเป็นมะเร็ง โดนตัดเท้า...มันลาม...ตัดถึงเข่า...มันลามต่อ...ตัดขา...มันลามต่อ...ไม่ตัดแล้ว...หมอบอกว่าอีก 4 เดือนตาย อยากกินอะไรกิน...อยากทำอะไรทำ...
    แกท้ออยู่หลายวัน จนกระทั่งไปเห็นหลังรถสิบล้อเขียนไว้ว่า "ท้อไม่แท้ แท้ไม่ท้อ"
    แกลุกขึ้นออกเดินทางไปลองฝึกสมาธิกับนักบวชที่อินเดีย

    ด้วยความที่ไม่เคยรู้เรื่องสมาธิมาก่อน อย่ามาพูดเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ไอม่ายเข้าจาย...
    นักบวชอินเดียผู้นี้ฉลาดมาก เพราะรู้จักวิธีสอนคนโง่ ให้หายโง่ได้ แล้วยังทำให้มะเร็งระยะสุดท้าย หายไปด้วย จนในที่สุด นายเอียนได้ค้นพบวิธีการรักษามะเร็ง และถ่ายทอดวิธีการฝึกสมาธิแบบไม่ฝึกนี้ ออกไป...หลายคนหายป่วย หลายคนหายจากโรคมะเร็ง จนบางครั้งนายเอียนอดคิดขอบคุณมะเร็งของเขาเสียมิได้...เพราะหากไม่ใช่เป็นมะเร็ง เขาคงไม่มีทางได้ศึกษาและปฏิบัติจนได้รู้วิธีการทำสมาธิเช่นนี้เลย...

    วิธีการ...

    1. เริ่มต้นจากท่านั่งก่อน นั่งในท่าที่สบาย และผ่อนคลายที่สุด ผ่อนคลายอวัยวะทุกส่วน
    2.เริ่มทำความรู้สึกตั้งแต่ศีรษะ เรื่อยลงมา ใบหน้า ลำคอ อวัยวะส่วนไหนที่เครียดอยู่ เกร็งอยู่ ให้คลายมันออก จากนั้นไล่ลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงฝ่าเท้า
    3.ไล่ย้อนจากฝ่าเท้า กลับไปจนถึงศีรษะ แล้วยังคงผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน
    4.ทำความรู้สึกสดชื่น เมื่อสูดลมหายใจเข้า
    5.ทำความรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อผ่อนลมหายใจออก ค่อยๆผ่อนลม
    6.ทำความรู้สึกถึงอวัยวะภายในส่วนไหนที่ยังเกร็ง ยังแขม่ว ยังกด ยังข่มอยู่ ให้คลายออก

    สุดท้ายคือการผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายทั้งภายนอกภายใน คอยดูอยู่ว่าส่วนไหนที่ยังไม่ผ่อนคลายก็ผ่อนคลายออก...

    นี่คือการทำสมาธิแบบไม่ทำสมาธิ

    จากการลองฝึกดูในสมัยรุ่นๆ ผมมีความรู้สึกว่า สบายดี ไม่มีเรื่องกังวล ไม่ต้องไปบังคับกดข่ม ทั้งร่างกายและความรู้สึกนึกคิด ไม่ต้องกังวลเรื่องศีล เพราะระหว่างทำอยู่นี้ ศีล 5 ย่อมครบ...
    ไม่ต้องไปกังวลเรื่องนิวรณ์ 5 ประการ มาให้เป็นเครื่องระหวาดระแวง เพราะระหว่างที่ทำความรู้สึกในการผ่อนคลายนั้น กามฉันทะไม่เกิด พยาบาทไม่เกิด ความฟุ้งซ่านไม่เกิด เพราะสัมปชัญญะอยู่กับกาย ความง่วง ไม่เกิด ความลังเลสงสัยไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ถึงนายเอียนจะไม่รู้จัก ศีล 5 นิวรณ์ 5 ก็ไม่ได้ไปละเมิด...โดยปริยาย...

    นี่คุณจะเห็นว่า พวกเรียนมามากรู้มากยิ่งมีความกังวลมาก เครื่องพะรุงพะรังมันเยอะไปหมด เวลาจะก้าวจะเดินมันอีร้งค้งเค้งไปหมด เทียบกับนายเอียนแล้วแกมีเครื่องพะรุงพะรังน้อยมาก แถมเจอเข้าที่ตรงไหนแกทิ้งหมด...

    อย่าที่รู้กันมานานมากแล้วว่า มะเร็งมีสาเหตุมาจากความเครียดเป็นหลัก เมื่อความเครียดลดลง มะเร็งจะอยู่ได้อย่างไร...

    ผมใช้วิธีนี้ตอนทำวิทยานิพนธ์ในหัวข้อที่เป็นไปไม่ได้ เหลือผมเป็นคนสุดท้าย กำลังจะต้องรีไทน์ ถ้าผมรีไทน์ อาจารย์ต้องโดนตั้งกรรมการสอบเพราะนักศึกษา 26 คนรีไทน์หมด อาจารย์นั่นแหละเป็นคนผิด เวลานั้นประสาททั้งหมดมันตึงเครียดไปหมด เวลาดึกๆผมก็อาศัยวิธีนี้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและระบบประสาท เวลานั้นกล้ามเนื้อก็ลั่น เส้นประสาทก็ลั่น มันเหมือนคนดึงจนตึงมานานแล้วโดนปล่อยให้คลายตัวออก ผมต้องทำเช่นนี้ทุกวันทุกคืนในห้องแลป จนในที่สุดผมทำวิทยานิพนธ์สำเร็จ เหลือจบออกมาคนเดียว แม้ว่าเวลานั้นจะพูดจากับชาวบ้านไม่รู้เรื่องก็ตาม แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นบ้า เหมือนอย่างรุ่นพี่ และไม่ฆ่าตัวตายเหมือนอย่างเพื่อนกันซึ่งทนแรงกดดันไม่ไหว อาจจะเพี้ยนๆไปบ้าง นั่นก็เพราะเรื่องที่โดนบังคับให้ทำมันเกินความสามารถของผมไปเยอะเกิน
     
  3. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ผลต่อมาที่นายเอียนแกทำคือ แกกำหนดเป็นลูกกลมสีขาว ไปวางไว้ตรงช่องท้อง แล้วค่อยๆเคลื่อนลูกกลมขาวนี้ไปเรื่อยๆ แกทำความรู้สึกผ่อนคลายไปเรื่อยๆ เวลานั้นถ้าหากร่างกายส่วนไหนเจ็บป่วย แกจะเคลื่อนลูกบอลขาวนี้ไป ทับเอาไว้ สักพักอาการปวดก็หาย..
    ต่อมาไม่นานแกก็เริ่มมองเห็นอวัยวะภายในของแกได้ และหลายคนที่นายเอียนได้เปิดคอร์สสอนให้ทำนั้นก็สามารถทำได้ตามๆกันไป

    นี่เป็นตัวอย่างที่ผมเห็นว่า การทำสมาธิแบบไม่ทำสมาธินี่ก็เป็นอีกวิธีนึง ที่ผมหลงทางไปเจอมา แล้วก็ลอง ผมลองทำได้ไม่กลัวคนด่าว่าบ้า หรือดูถูกว่ากระจอก กรรมฐาน 40 วิปัสสนาญาณ 9 สติปัฏฐาน 4 นั้นดีกว่ามากมาย ทำไมไม่ทำ...
    ไม่ว่าจะวิชชา 3 อภิญญา 6 พวกนี้ดีกว่าเยอะ...
    อันนี้ผมไม่เถียงสักคำนะครับ..
    แต่ประสาคนที่ไม่เอาไหน ในโลกนี้มันยังมีอีกมาก ที่ภาวนาไม่ได้ สวดมนต์ก็ฟุ้ง จิตตก หดหู่ ห่อเหี่ยว ไม่ถึงกับท้อ แต่ทำไปแล้วตามครูบาอาจารย์สอน นับลมแล้ว จับลมก็แล้ว มันก็ไม่หือไม่รือ...
    ท่านที่มีวาสนาบารมี ความดีมากมาย มีบุญเก่า มีของเก่า กันมามากมายนั้น ท่านจะจับลมหายใจ 3 วันเข้าญาณ 4 ไม่กี่วัน เข้าสมาบัติ 8 ได้ ญาณ 16 ผ่านโครตภูญาณ นิพพิทาญาณ กันภายใน 7 วัน หรือจะสำเร็จอภิญญาใหญ่ ภายใน 3 เดือน อันนี้ก็ยกไว้ครับ เพราะเป็นบุญวาสนาของท่านเหล่านั้น...

    แต่ตามประสาคนบุญน้อย ด้อยค่า ปัญญาทราม ขอหลงทาง ซอกแซก เอาไอ้โน่นปะ ไอ้นี่โปะ พอจะเอาตัวรอดไปตามประสามนุษย์เดินดินกินข้าวแกง ไปก่อน...
    ใครจะดูถูก ดูแคลน ความจริงแล้วผมไม่สนใจเลย เพราะที่ดูมาก็ถูกจริงๆแหละ...เพียงแต่ว่าคนที่ดูถูกดูแคลนเรานี่ แท้จริงแล้วเขาไม่เคยช่วยอะไรเราเลย ดังนั้นจะไปแคร์เขาทำไม อะไรที่เราทำแล้ว มีประโยชน์ต่อตัวเราเอง รู้ได้ด้วยตัวเราเองแล้ว ทำไปเหอะ ใครจะพูดอะไรก็ปล่อยเขาไป....

    วิธีที่นายเอียนไปศึกษามานี้ ผมอยากท้าให้ลองไปทำเล่นๆ ไม่ต้องทำจริงๆ ทำแบบบ้าๆบอๆ ทำเงียบๆคนเดียวไม่มีใครรู้หรอก ลองทำสัก 7-10 วัน แล้วกลับมาวัดกำลังใจของคุณกันอีกที ถ้ามันไม่ดี ก็ไม่ต้องทำต่อ ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้เสียเงินเสียทองนี่นา...
    ลองแล้วเป็นอย่างไร ค่อยมาเล่าสู่กันฟัง....
     
  4. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    เอ้อ ต้องกราบขอโทษเป็นอย่างสูง ที่กล่าวถึงท่านว่าท่านอาจารย์คุณป๋าทั้งที่ ท่านยังไม่แก่ แต่เพราะความยกย่องและนับถืออย่างจริงใจจร้า......และจะขออนุญาตกล่าวขานเช่นนี้ต่อไป..ค่ะ
     
  5. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ผลต่อมาที่นายเอียนแกทำคือ แกกำหนดเป็นลูกกลมสีขาว ไปวางไว้ตรงช่องท้อง แล้วค่อยๆเคลื่อนลูกกลมขาวนี้ไปเรื่อยๆ แกทำความรู้สึกผ่อนคลายไปเรื่อยๆ เวลานั้นถ้าหากร่างกายส่วนไหนเจ็บป่วย แกจะเคลื่อนลูกบอลขาวนี้ไป ทับเอาไว้ สักพักอาการปวดก็หาย..
    ต่อมาไม่นานแกก็เริ่มมองเห็นอวัยวะภายในของแกได้ และหลายคนที่นายเอียนได้เปิดคอร์สสอนให้ทำนั้นก็สามารถทำได้ตามๆกันไป

    กำหนดเป็นลูกกลมสีขาวนี่มันก็ต่อยอดเป็นกสิณได้แล้ว
    เริ่มกำหนดลูกกลมสีขาว วิ่งขึ้นลงจากตัว ตอนนี้ลฏแก้วขนาดประมาณกำปั้นมือถ้าจะพักลูกแก้วก็พักที่ลิ้นปี่ แล้วลากออกจากลิ้นปี่ออกที่หน้าผากบริเวณตาที่สาม ให้ลูกแก้วห่างจากหน้าผากประมาณปลายแขน ขยายลูกแก้วหรือบอลให้ใหญ่ซัก10นิ้ว ให้ลูกบอลวิ่งไปขวาสุด ซ้ายสุด บนสุด ล่างสุด ไกลสุด ใกล้สุด ใหญ่สุด เล็กสุด ทำซ้ำไปซ้ำมา สลับกันบ้าง ซ้ายขวา ล่างบน.....แล้วเอาเข้าร่างกายบ้าง ออกบ้าง คนที่ทำจนเป็นสมาธิและเห็นภายในร่างกายได้ เขาจะตรวจอวัยวะหรือตรวจอาการป่วยตัวเองได้ เหมือนคนมีทิพจักษุแต่เขาอาจใช้กำลังแค่อุปจารสมาธิได้ ถ้าจิตเขาเปิดแล้ว ถ้าเป็นฌานแล้วก็ยิ่งเห็นภายในชัด
    นายเอียนแกกำหนดเป็นลูกกลมสีขาวจึงเบาเทาเจ็บปวดหรือรักษาบางโรคบางคนได้ถ้าไม่เกินกรรม เป็นการเพ่งกายเหมือนกายานุปัสนา กำหนดปวดหนอ ฯ ถ้าเมื่อมีสติสมาธิแล้ว ก็สามารถตัดกระแสนั้นอาการปวดก็ดับ
     
  6. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    อิอิ...แบบว่าแก่แต่ยังมีไฟ ใจยังสู้ ก็เลยไม่ยอมบอกว่าแก่ซะทีนิ...
    ถ้าใจยังสู้อยู่ก็จะยังไม่ยอมแก่
    แล้วถ้าจะไม่สู้เมื่อไรก็เมื่อเลิกหายใจ จะเลิกสู้
    การต่อสู้ที่ยากลำบากที่สุด เท่าที่เจอมาในชีวิต คือต่อสู้กับกิเลส ตัณหา ในใจเรานี่เอง มันบีบคั้น ซับซ้อนยอกย้อนเหลือคณา ....
     
  7. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    นายเอียนนี่แกเป็นบุคคลตัวอย่างที่ดีคนนึง
    แกไม่สงสัย บอกให้ทำอะไรแกก็ทำ ไม่ต้องอ่านมาก วิเคราะห์ วิตก วิจาร วิจัย
    ครูบอกอะไรมาแค่ไหนแกทำแค่นั้น
    ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เกิดขึ้นเมื่อไร อย่างไร แกไม่สนใจ
    เหมือนครูบอกให้ตักใส่ปากเคี้ยวๆแล้วก็กลืน แกก็ทำไปอย่างนั้นเอง
    ทีนี้เคี้ยวๆกลืนๆเข้าไปเรื่อยๆสุดท้ายมันอิ่ม
    พอมันอิ่มมันก็รู้ของมันเองว่าอิ่ม มันก็พอ เท่านั้นเอง

    ผมเองสมัยรุ่นๆอ่านมามาก กับพี่ชายนี่วิเคราะห์วิจารณ์กันมาก พออายุ 19 ต้องทิ้งทั้งหมด ครูบาอาจารย์สั่งทิ้งให้หมด ฝึกอย่างโง่ๆ ทำไป ไม่ต้องสงสัย นี่พวกรู้มาก จะยากนาน...เขาเรียกว่า ฉลาดจนโง่ สุดท้ายมันโง่ที่สุด เพราะมันโง่กว่าคนโง่ๆทั่วๆไป ที่เขาฝึกกันไปไม่ถาม ไม่รู้อะไรเลย สุดท้ายเขารู้หมด แต่อย่างพวกผมนี่รู้มากมาก่อน เวลาฝึกก็เที่ยวสงสัยไปซะหมด ดีไม่ดีเถียงครูบาอาจารย์ด้วยนะ เพราะเราอ่านมาเยอะกว่า เราไอคิวเหนือกว่า นี่มันจะไปซะขนาดนั้น ...

    กว่าจะรู้ว่าไม่รู้ นี่ก็สิ้นเวลาไปหลายปี เมื่อรู้ว่าเรายังไม่รู้อะไรเลย จึงได้เริ่มต้นฝึกเพื่อการรู้ คือ สติ

    แล้วก็เชื่อผมเถอะครับ ว่าฝึกไป เรื่อยๆ ผลของการปฏิบัติจะสอนเราเอง ให้เราพิจารณาเอง วางเอง และสืบเนื่อง ต่อไปได้เอง ไม่ต้องพึ่งตำรา มันเป็นไปของมันเอง ไปตามสภาวะจิตที่จะดำเนินไป ไม่ต้องไปเสียเวลาอ่านมากนักครับ ยิ่งอ่านมาก ยิ่งหลงทาง...

    เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ ไม่หยุดแล้ว ทั้งสติก็ดี สมาธิก็ดี จะเจริญไปพร้อมๆกัน ปัญญาจะเกิดเองได้ เรื่องทิพยจักขุญาณ ก็ดี อภิญญาก็ดี จะเกิดตามมาได้เอง ต่อเมื่อเห็นธรรมในธรรมแล้ว เมื่อนั้น ไม่ว่าทิพยจักขุญาณหรืออภิญญาที่เคยอยากได้พอมันได้แล้วมันก็ไม่เอาแล้ว ก็ในเมื่อธรรมนั้นประเสริฐกว่ามาก ยังวางลงแล้ว เรื่องความเป็นทิพย์ทั้งหลายจะเอาไปทำอะไรกัน...แต่ก็อีกนั่นแหละ พอไม่เอาพวกนี้แล้ว กลับจะยังบังเกิดขึ้นและทรงตัวได้ดีกว่าในเวลาที่อยากได้ทิพยจักขุญาณ หรือฝึกเพื่ออยากได้อภิญญาเสียอีก นี่แหละมันจะได้ตอนมันไม่เอา...ฝึกไปเถอะครับ จะหลงทาง มันก็ยังดี ที่มันยังได้ก้าวเดิน
    ถึงหลงทางมันก็ยังได้เจอหนทางใหม่ๆ
    ถึงหลงทางสักวันนึงมันก็จะเจอทาง ดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ มันจะเกิดเปล่าตายเปล่า ไม่ได้อะไร มีแต่พ่นๆไปวันๆให้น้ำลายแตกฟอง กลายเป็นขรัวใบลานเปล่า...
     
  8. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    ขออนุญาต นำวิธีการทำสมาธิ บอกแก่คนรอบข้างด้วยจร้า.....โมทนาสาธุ
    เมื่อคืนลองทำดู พยายามผ่อนคลายทุกส่วนในร่างกาย มีที่เท้า ที่ยังรู้สึกปวด หนึบๆ เบาๆ ก่อนหน้าไม่รู้สึกเลยค่ะ....รายงาน
     
  9. jirarad

    jirarad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +487
    ขอทำสมาธิ เพื่อผ่อนคลายด้วยค่ะ
     
  10. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เวลาอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ ท่านจะไม่ค่อยเล่าผลการปฏิบัติให้ฟัง และไม่ค่อยจะเล่าเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้ฟัง ท่านย่อมรู้อยู่ว่า ลูกศิษย์ส่วนมากชอบฟังเรื่องเหนือธรรมชาติ
    ซึ่งเรื่องเหล่านี้สามารถดึงดูดลูกศิษย์ลูกหาเข้ามาได้มาก ...

    หลวงพ่อท่านแสดงความเห็นเรื่องนี้ว่า...

    ผลการปฏิบัติจะเป็นอย่างไรนั้น หากเล่าไป มันก็ไม่เกิดประโยชน์กับนักปฏิบัติ มีแต่จะเอาไปคิดฟุ้งว่า เมื่อไรเราจะได้อย่างนั้นบ้าง ขณะนี้อารมณ์ของจิตเราเป็นเช่นนั้นแล้วหรือยัง ทำให้เกิดนิวรณ์เปล่าๆ แต่บางคนก็จะนำเอาคำพูดหรือผลของการปฏิบัติของเรานี้ ไปใช้พูดเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นบ้าง เพื่อใช้ข่มผู้อื่นบ้าง ....

    สำหรับเรื่องอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ นั้น ไม่ได้เป็นสาระสำคัญในพระธรรมที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอน ....

    ในมุมมองของหลวงพ่อ เหมือนสิ่งที่เป็นอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ คือการที่ได้เห็นทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง มีชัยเหนือ กิเลศ ตัณหาในใจตน จึงเป็นอิทธิฤทธิ์ที่ชนะพญามารได้ แม้ยังไม่ได้เด็ดขาด ก็ให้สามารถข่มเอาไว้ได้เสียก่อน ส่วนปาฏิหาริย์นั้น คือการอยู่กับทุกข์ โดยไม่ทุกข์ อยู่กับโลก โดยไม่หลงโลก ยามเมื่อคนที่เรารักตายจากไปเดี๋ยวนั้น ปาฏิหาริย์ที่เกิดกับผู้ปฏิบัติธรรมคือความไม่ทุกข์ ด้วยความโศรกเศร้า รำพึงรำพัน เมื่อโลกธรรมทั้ง 8 เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่หวั่นไหว นี้ดูจะเป็นปาฏิหาริย์ ในความหมายของหลวงพ่อ...

    ผมพิจารณาใคร่ครวญมานานในเรื่องผลของการปฏิบัตินี้ จึงเห็นด้วยกับหลวงพ่อว่า ไม่น่าจะเล่าไปมากนัก เว้นแต่ว่าจะอาศัยยืนยันผลของการปฏิบัติของนักปฏิบัตินั้นๆ หากจะกล่าวไปถึง ควรกล่าวเพียง วิธีการปฏิบัติ เพราะหลายๆครั้งที่ประสบมา จะเห็นว่าคนโดยมากจะจดจำเอาผลการปฏิบัติไปเพื่อพูดข่มกันเท่านั้น เพื่อเอาชนะด้วยฑิฐิชั่ว ตรงนี้จึงเป็นโทษมากกว่าจะเป็นประโยชน์

    พอมานึกถึงวิธีการปฏิบัตินั้น ก็เห็นว่า หลวงพ่อฤษี หลวงพ่อพุธ หลวงปู่เทศน์ ฯลฯ ท่านกล่าวไว้ดีแล้ว มากมายแล้ว เกินพอสำหรับการศึกษาแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเอามาเล่าเองได้ หรือจะมาแนะนำต่อนักปฏิบัติท่านใดได้

    เห็นจะมีอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีในเวปนี้คือ การปฏิบัติผิดวิธี ผิดครู นอกคอก หลงทาง จะด้วยอับอายในความโง่เขลาของตนเองก็จริงอยู่ แต่ในมุมมองของก้อนหินในอีกแง่มุมนึงนั้น ก็มีประโยชน์อยู่ เพราะสามารถช่วยคนที่หลงทาง ให้ออกจากทางที่หลงได้ การปฏิบัติผิดวิธีนี้ ก็ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์เสียเลยทีเดียว เพราะถ้าไม่ปฏิบัติ มันย่อมไม่ผิด แต่เมื่อปฏิบัติแล้วผิด ก็ตรงที่ผิดนี่แหละคือต้นทางของการปฏิบัติที่ถูก ผิดตรงไหนเมื่อแก้ผิดที่ตรงนั้นได้ มันก็จะเป็นถูกอยู่ที่นั้นนั่นเอง...

    หากมีโอกาส นึกขึ้นมาได้เรื่อยๆ ก็จะนำมาบันทึกเอาไว้ว่า ฝึกผิดๆนั้น เป็นอย่างไร แก้อย่างไร แต่ก็มีข้อระวังว่า จะไปกระทบกระเทือนบางท่านที่ยังหลงทางในทางนั้นอยู่ ท่านที่กำลังเมามันเพลิดเพลินอยู่นั้นจะด่าว่าเอาได้ แม้ผู้เล่าจะกล่าวเพียงข้อผิดพลาดของตนเองอยู่ก็ตาม ดังนั้นหลายๆเรื่องก็ต้องชั่งใจและระงับไว้ขอไม่เล่า ส่วนเรื่องที่เล่าไปแล้วนั้น ท่านที่อ่านไปก็ขออย่าได้พึ่งเชื่อหรือไม่เชื่อ การพิสูจน์ยังสามารถทำได้อยู่เสมอ แต่ขอให้พิสูจน์ให้ถูกวิธี หากพิสูจน์ไม่ถูกวิธี แม้สิ่งนั้นเป็นของจริง ผลการพิสูจน์ย่อมไม่จริงด้วยเพราะวิธีพิสูจน์ไม่ถูกต้องนั่นเอง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2013
  11. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    มาเป็นเจ๊ดันกระทู้ท่านพี่ระมิงค์ค่ะ
    กระทู้ดีๆมีคุณค่านี้ อยากให้ประชาชีมาอ่านมากๆ:cool:
     
  12. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    หลงทาง...เสียเวลา...
    หลงทาง...พบหนทางใหม่...
    หลงทาง...เพื่อรู้และเข้าใจ...
    หลงทาง...สร้างกำลังใจ ให้ใครบางคน...


    วันนี้ก็อยากจะเล่าถึง บุคคลท่านหนึ่งที่ผมเคารพท่านมากถึงมากที่สุด
    ตอนที่ท่านผู้นี้กำลังหลงทางอยู่นั้น ท่านเป็นผู้มีบารมีเต็มพิกัดแล้ว
    ท่านผู้นี้สำเร็จฌาณ 4 และอรูปฌาณ 4 แล้ว
    ด้วยกำลังสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ ท่านผู้นี้แล้ว ผมเห็นว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลที่หาได้ยาก

    ท่านผู้ที่ผมเคารพนี้ ท่านอดข้าว อดน้ำ กลั้นลมหายใจ แขม่วท้อง เกร็งตัว กำหมัดแน่น
    ท่านทำอยู่ ถึง 6 ปีเต็มทีเดียว ทรมานจนขนตามตัวร่วงหมด หนังหน้าท้องกดลงไปแตะไปถึงแผ่นหลังได้ ทรมานแบบนี้ แต่ก็ไม่บรรลุธรรม...

    อันนี้จะเรียกว่าหลงทางได้ไหม...
    หลงทางแบบนี้แล้วนี่หลงหนักกว่าพวกเราอีกหลายๆคน...
    หลงคิดว่าการทรมานร่างกายแบบนี้แล้วจะบรรลุธรรมได้...

    แต่ที่ผมกราบท่านผู้นี้และเคารพท่านอย่างสูงนี่เป็นเพราะว่า ท่านที่จะทรมานร่างกายถึงเพียงนี้ เป็นเวลา 6 ปีเต็ม เพื่อต้องการพ้นทุกข์ให้ได้นั้น ทำขนาดนี้ได้ ท่านผู้นี้ต้องมีกำลังใจที่มุ่งมั่น แน่วแน่ เด็ดเดี่ยว เด็ดขาด อาจหาญ แกล้วกล้า...ยิ่งกว่าคำพูดที่เราๆท่านๆจะบรรยายได้...

    นี่คือก่อนที่พระองค์ท่านจะทรงสำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อตรัสรู้มาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านหลงทางมาก่อน แต่กำลังใจที่พระองค์ท่านมี ผมอยากขอเรียนให้ท่านทั้งหลายดูเป็นเยี่ยงอย่าง...
    กำลังใจที่สู้ และทน ได้ขนาดนี้นั้น ไม่ใช่เรื่องธรรมดา และไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะทนได้ แม้จะกล่าวว่าเป็นบุพกรรมเก่าที่ท่านเคยปรามาสพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้เมื่อครั้งกาลก่อนก็ตาม...

    ดังนั้นจึงอยากจะบอกทุกท่านที่ยังหลงทางอยู่ ให้ท่านดูน้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อครั้งบำเพ็ญบารมีเพื่อการบรรลุมรรคผลนี้ ว่ามีความเข้มแข็ง ห้าวหาญ อดทน อย่างต่อเนื่องยาวนานเพียงใด....
    ผลของการณ์นี้จึงยังเป็นพละ ปัจจัย ให้ทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณในที่สุด

    ท่านที่ยังหลงทางอยู่ก็อย่าพึ่งย่อท้อ อ่อนไหว ไปกับสิ่งใดๆรอบๆข้าง ขึ้นชื่อว่าการปฏิบัติธรรมแล้วไม่มีประโยชน์เป็นไม่มี...ขอให้ท่านทั้งหลายพากันสะสมกำลังใจไว้ ในระหว่างทาง เมื่อถึงวันเวลาอันควร ได้พบครูบาอาจารย์ที่ท่านจะแนะนำได้ กำลังใจนี้เองจะเป็นเครื่องเสริมส่งให้ท่านทั้งหลาย ประสบพบเห็นพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสรู้ไว้แล้วนั้น...ก็ขอให้ทุกท่านที่ทำความเพียรไว้ดีแล้วนั้น จงก้าวเดินต่อไป ไปด้วยกำลังใจสู้...

    ผมไม่เห็นพรใดสำหรับนักปฏิบัติธรรม ประเสริฐไปกว่า การขอให้เป็นผู้มีกำลังใจสู้ อยู่เสมอในทุกการณ์ทุกสมัย...

    ผมเองก็ขอพรนี้ให้กับตัวเองอยู่เสมอๆเช่นกัน...
    และก็ขอให้พรนี้จงมีแก่ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ทุกคนทุกท่านด้วยกัน...
    สวัสดี..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2013
  13. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ท่าน raming คะ มีเรื่องอยากถามค่ะ จริงๆว่าจะถามหลังไมค์ แต่ก็เอาไว้เผื่อคนอื่นๆด้วย แต่ถ้าใครเห็นว่าหาสาระไม่ได้ หรือไม่มีประสปการณ์เดียวกัน ก็ขอให้ คิดว่าดิฉันเล่านิทานนะคะ

    เรื่องของกรรมนั้นดิฉันเชื่อค่ะ อย่างไม่ต้องเถียงด้วย รู้ว่าตรงตัวให้ผลได้ไม่ผิดคน ที่ถามนี่ก็คล้ายๆกันค่ะ เวลาที่เคราะห์กรรมส่งผลนั้น บางคนก็มีเซ้นต์ หรือมีเหตุการณ์บอกล่วงหน้า เช่น จะมีเคราะห์ร้ายต่างๆเกิดแก่ตนก็มีเป็นความฝันบ้าง ตาเขม้นบ้าง นกหนูร้องบ้าง แมวดำตัดหน้าบ้าง ฯลฯ ให้ใจเสีย และก็เป็นแบบนั้นจริงๆทุกๆครั้งเลย หลายๆคนคงเคยเป็น ถามว่าการบอกเหตุล่วงหน้าแบบนี้นี่แสดงว่า เป็นการเตือนที่หลีกเลี่ยงการเกิดเหตุนั้นได้ หรือ ไม่ได้คะ ...
    ถ้าทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมแล้ว ถ้าหลีกไม่ได้ แล้วจะมีการเตือนไปทำไม ...

    หรือเป็นการเตือนที่ช่วยได้ แต่ว่าเราไม่เข้าใจและประมาทเองจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ...


    อันนี้ใครไม่เข้าใจขอให้ผ่านนะคะ เพราะมันก็อิงนิทานที่รู้ได้ด้วยตัวเอง ...


    จะตอบในกระทู้ก้อนหินเดี๋ยวก็จะผิดเป้าประสงค์...
    จะตอบในกระทู้นิทาน ก็รอท่าน Toplus เล่านิทานให้จบก่อน...
    จึงมาขอตอบในกระทู้นี้ก่อนนะครับ...

    เรื่องกฎของกรรมที่เข้ามาสนองนี้ ผมไม่เคยคัดค้านคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า และคำสอนหลวงพ่อฤษี ซึ่งหลวงพ่อเองเวลาสอนก็สอนตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เช่นเดียวกัน...

    ตามประสาคนที่ขี้สงสัยนั้น ผมมักจะเข้าไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องกฎของกรรม ด้วยคำถามว่า ทำไม? ทำไม? และ ทำไม?...
    ซึ่งการจะไปเที่ยวถามครูบาอาจารย์ร่ำไปนั้น เห็นจะโดนด่าไม่ใช่น้อย มันต้องฝึกไป เรียนรู้ไป หัดสังเกตไปด้วย คนจะปฏิบัติธรรมได้นี่ต้องไม่โง่มากนักนะครับ ถ้าจ๊าดง่าว หรือว่า ง่าวอวดร๊วก นี่ ต้องไปทางอื่น ...
    คนโง่จริงๆมันไม่คิดเรื่องทางพ้นทุกข์หรอกนะครับ...
    แต่ระหว่างทางพ้นทุกข์นี้มันต้องมีหลงทางกันได้ทุกคนแหละครับ...
    พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านก็เคยหลงทางกันมาก่อนทั้งนั้นเหมือนกัน...
    ท่านจึงนำเรื่องราวประสบการณ์อันหลากหลายมาสอนสู่พวกเรากันได้...

    คนเรามักจะกังวลเรื่องเจ้ากรรมนายเวรมากเกินไป ...
    บ่อยครั้งที่ผมเห็นว่าการเกิดขึ้นของเหตุการณ์นั้นๆ เป็นไปตามกฎของกรรม โดยไม่มีเจ้ากรรมนายเวรเข้ามาเกี่ยวข้อง...บางครั้งเจ้ากรรมนายเวรท่านอโหสิให้แล้ว แต่มันเป็นกฎของกรรม ที่เรายังต้องรับ เพราะเราทำไว้เอง อันนี้ก็มี...เพียงแต่ว่าอาการบีบคั้นมันจะแตกต่างกันมากกว่าที่เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่อโหสิกรรมให้ ซึ่งอย่างนี้เขาจะมากำกับเอาไว้อีกทีนึง...

    และคนเราเวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็มักคิดโทษแต่ว่ากรรมชั่วที่ตัวเองทำไว้บ้าง เจ้ากรรมนายเวรทำเอาเข้าบ้าง...
    แต่ทำไมไม่คิดว่ากรรมดีเราก็ทำเอาไว้ด้วยเหมือนกัน กรรมนี้ไม่ได้หมายว่าชั่วเพียงอย่างเดียว...
    ในเมื่อกรรมดีมีทำเอาไว้บ้าง เมื่อผลของกรรมชั่วเข้ามาสนองบ้าง ในเวลานั้นหากยังมีบุญอยู่ เคยได้ทำบุญอุทิศให้กับเทพยดาที่ปกปักรักษาตนเองมา ครูบาอาจารย์ท่านยังสงเคราะห์ได้คุ้มครองได้ พอจะมีบุญเกื้อกูลเอาไว้ จากผลของกรรมดี...ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ก็จะเกิดลางสังหรณ์บ้าง มีการอาการมาคอยเตือนบ้าง การเตือนจะแสดงออกตามแต่ภูมิจิตภูมิธรรมที่แต่ละคนจะพึงมี...

    บ้างจะรู้สึกอึดอัดใจ ไม่สบายใจที่จะต้องเดินทาง หรือจะต้องรับงาน เตือนแบบนี้ก็มี...
    บ้างเป็นผีเสื้อกลางคืน บินมาหา...อันนี้วิญญาณแม่ผมชอบมาแบบนี้ ก็มี
    บ้างจะมาให้เห็นในฝัน ในนิมิต ...อย่างคุณกาลีนะ ก็มี

    ถามว่าถ้าเป็นกรรมชั่วทำไมต้องมาเตือนให้หลบหลีก...นี่ก็เพราะกรรมดีมันยังมีอยู่และพอจะให้ผลได้ ในขณะนั้น พระก็ดี เทวดาก็ดี ท่านมีเมตตาจึงมาเตือน เพื่อให้หลบ ให้เลี่ยง เพื่อผ่อนหนักเป็นเบาได้...แต่ถ้าไม่ได้ทำบุญ ไม่ได้ทำกรรมดีมาเลย ท่านไม่เตือน เพราะเตือนไม่ได้ ถึงเตือนได้มันก็ไม่ทำตาม เพราะจิตมันไม่เคยนึกถึงผลบุญ กุศลเลย เตือนไปมันก็คิดไม่ออกว่าจะต้องหนีอย่างไร...โดนเต็มๆอยู่ดี...แต่ถ้าผลบุญ ผลแห่งกรรมดีมีเพียงพอ ท่านมาเตือน ก็จะรู้สึกตัวได้ หลบเลี่ยงได้ ผ่อนจากหนักเป็นเบาได้ หรือยืดเวลาที่จะโดนผลของกรรมชั่วออกไปได้...
    ดังนั้นการทำบุญ สร้างกุศลนั้น พึงกระทำอย่างยิ่ง ทำอยู่เนืองๆ เพื่อให้มีโอกาสที่เวลาผลกรรมชั่วเข้าสนองแล้ว ยังพอได้อาศัยผลบุญนี้ คอยคุ้มครองปกปักรักษาเอาไว้ได้...ที่ต้องปกปักรักษาเอาไว้ก็เพื่อยังสังขารนี้ไว้ให้ประกอบความดีต่อไป ยิ่งๆขึ้นไปนั่นเอง ให้พึงระลึกไว้อย่างนี้ มิได้ให้ประมาทว่าฉันนี้แน่แล้วเก่งแล้ว มีญาณวิเศษอันพาตัวออกไปให้พ้นภัยพิบัติต่างๆได้ คิดอย่างนี้ไม่นานจะบรรลัย...

    และให้หมั่นรู้สึกสำเหนียกตัวเองอยู่เสมอว่า การทำกรรมชั่วนั้นแม้จะเล็กน้อย ก็เล็กน้อยเปรียบดังหยดน้ำหมึก เมื่อหยดลงแก้วน้ำดื่มที่ใสสะอาดอันเปรียบเหมือนกรรมดีที่ทำไว้แล้วนั้น ย่อมทำให้น้ำทั้งแก้วเป็นสีหมึก จะดื่มจะใช้ก็ไม่ได้ เมื่อเปรียบเทียบปริมาณแล้วจะเห็นว่า การทำกรรมดีแม้จะคิดเอาว่ามากมายแล้ว แต่เมื่อกระทำกรรมชั่วเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำกรรมดีมากมายที่ผ่านมาแล้วให้ฉิบหายใช้การไม่ได้ ต่อเมื่อจะทำให้กรรมชั่วเบาบางลงไปนั้น อาจต้องใช้น้ำ(คือกรรมดี)ทั้งตุ่ม เพื่อเจือจางน้ำหมึก(คือกรรมชั่ว)เพียงแค่หยดเดียว...เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ย่อมสำเหนียกได้ว่า กรรมชั่ว แม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่ควรทำ เมื่อกระทำลงไปแล้ว ย่อมทำกรรมดีให้ฉิบหายได้มาก และยาวนาน...

    ก็ขอจบความเห็นเล็กๆน้อยๆนี้...หวังว่าจะพอเป็นแง่คิดมุมมองสำหรับท่านที่ยังข้องใจอยู่ในเรื่องของกรรมและเจ้ากรรมนายเวร กับลางสังหรณ์ที่จะให้หลีกเลี่ยง ผ่อนหนักเป็นเบานี้ได้...เรื่องกรรมนี้ยังมีหลายแง่หลายมุม แต่ที่ยังไม่เล่าก็เพราะยังไม่มีใครสงสัย และเมื่อไม่มีใครสงสัยก็แสดงว่าท่านยังไม่ได้ประสบ เมื่อท่านยังไม่ได้ประสบมันก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะเล่า เมื่อไม่ถึงเวลาจะเล่า เล่าไปมันก็เผือเปล่าๆ ไม่ได้ประโยชน์อย่างใด...สวัสดี..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2013
  14. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ถือว่าดิฉันเกาได้ถูกที่แล้วค่ะ

    นี้ถือว่าเป็นความโง่ของดิฉันเองค่ะ ที่ท่านว่านั้นไม่ไกลเลยค่ะ ง๊าว...ว ง่าว ขนาด ไม่ได้ถือว่าพิเศษใดๆเลยค่ะ บางทีมันรำคาญจนไปถึงทุกข์ใจ (นี่ความง่าว) ยังไม่ทันเกิดเหตุใจก็ไปเสียแล้ว เคยสวดยันทุนทิ้ง แต่ไม่หาย (นี่ก็ง่าวขนาด) คือเรื่องสวดยันทุนทิ้งนี่เพื่อนเขาบอกมาค่ะ ลองแล้วค่ะ แต่ก็มีอยู่ เป็นมาตั้งแต่จำความได้ เตือนตลอดแต่ก็ไม่พ้นหรือเบาลงได้เลย (นี้ สรรหาคำด่าใดๆให้ตัวเองอีกไม่มีแล้ว)

    เรื่องที่ดิฉันได้มาอีกอย่างคือเรื่องผีเสื้อ จะไปถามใครก็ไม่ได้ เก็บไว้เรื่อยมา จะไปตั้งกระทู้ถามว่าผีเสื้อนี่ใช่วิญญาณหรือภพภูมิเขามาอะไรหรือเปล่า ก็กลัวคนเขาหาว่าโง่ว่าบ้า เรื่องนี้ดิฉันเจอแปลกๆบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้มั่นใจเราเพราะกลัวอุปปาทานไปเอง

    มันคงใกล้ถึงเวลาของดิฉันแล้วค่ะ เล่นมามากแล้ว มะเหรกเกเรมานานแล้ว ไม่เอาถ่านกับเขาเสียที
    เข้าใจเสียที ถ้าสิ่งใดติดขัดหรือสงสัย คราวหน้าจะเข้ามาถามใหม่ค่ะ ขอบคุณมาก

    อนุโมทนาค่ะ สาธุ
     
  15. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เรื่องเจ้ากรรมนายเวรที่หลายคนกังวลนั้น...บางครั้งผู้ที่ลงมือกระทำให้เป็นไป ก็ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรก็มี อย่างที่ผมเจอนี่ท่านเป็นเทวดาบ้าง พรหมบ้าง บางครั้งพระท่านสั่งลงมาเองบ้าง...

    ปี 2540 ผมเปิดกิจการด้วยเงินเริ่มต้น 13,000 บาท เปิดบริษัทฯได้เงินก็หมดแล้วนะครับ ไม่มีใครคิดว่าผมทำได้ และคิดว่าผมบ้า สักประเดี๋ยวก็คงเลิก...
    ผ่านมา 5 ปี ผมมีรายได้เข้าบริษัทฯ ปีละ 300 ล้านบาท มีพนักงานไม่ถึง 10 คน...
    แต่เชื่อไหมครับว่า ผมยากจน...โดยส่วนตัวผมจนจริงๆ...ผมยังต้องนอนทาวเฮ้าส์ นอนบนพื้นไม่มีที่นอน...ผ้านวมที่ปูนอนพร้อมกับห่มไปด้วยนี่ ผมได้มาจากที่ Supplier เอามาแจกให้วันปีใหม่...พัดลมก็เช่นกัน และของอื่นๆก็เป็นของสมนาคุณจาก ผู้ที่เราซื้อของด้วยแทบทั้งนั้น...
    ที่ต้องไปกินอาหารนอกบ้านกับท่านผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายนั้น จำใจต้องไปกิน เพราะมันเป็นอาหารที่ผมไม่ชอบ มื้อหนึ่ง มีตั้งแต่ 25,000-100,000 บาท...
    แต่ผมอยู่บ้าน ผมกินน้ำพริกกะปิ กับต้มจับฉ่าย...กินได้ไม่เบื่อ อ้อ...ไข่เจียว กับผัดกระเพราก็ได้...
    เงินติดตัวแทบไม่มี เงินเดือนแทบไม่ได้ใช้ คือวันไหนเอาเงินใส่กระเป๋า 1 แสน ตอนเช้า ตอนบ่ายต้องจ่าย 9หมื่นกว่า เหลือเงินติดตัววันละไม่ถึงพันบาท บางวันมีเงินติดตัว 20 บาท...
    นึกสงสัยว่าทำไมตัวเองมันจนได้ขนาดนี้นะ ทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง...
    กำไรก็มีไม่ใช่น้อย..แต่ว่าเรานี่ยังจนกว่าพนักงานส่งเอกสารของบริษัทฯเราเองเสียอีก..

    เรื่องแบบนี้ใครจะนึกว่าเป็นเวรเป็นกรรม หรือเจ้ากรรมนายเวร อันนี้แค่นึก ท่านผู้มีพระคุณก็มาบอกให้รู้ สั้นๆว่า
    "ให้มีเงินใช้มากไม่ได้ มีใช้มากเมื่อไรมันจะเลว"
    สั้นๆตรงๆ แต่เจ็บลึก...
    ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม เช่นเดียวกับ มดแดงกับพวงมะม่วง...
    ยังยิ้มได้...ยิ้มได้เสมอ...ยิ้มระรื่น หน้าชื่นอกตรม....
     
  16. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    5555 ท่านอาจารย์คุณป๋า...เข้าใจแล้วค่ะ...ไม่มีเงินก็ไม่ต้อง อยาก ขาดกิเลส
     
  17. จริงจังนะ

    จริงจังนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +11,536
    อ่านตอนนี้ของป๊ะป๋าแล้วขำอ่ะค่ะ
    เหมือนกันเลยค่ะ เป็นเจ้าของกิจการ มีเงินผ่านมือเยอะ แต่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป อิิิอิ เหลือถึงคนดำเนินการแค่นิดเดียว แต่ก็ยังยิ้มได้ หัวเราะได้ มีความสุขกับงานที่ทำค่ะ ยิ่งตอนสิ้นเดือน ลูกน้องยิ้มรับเงินเดือน แต่เจ้าของกิจการหน้าแห้งค่ะ อิอิ
     
  18. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    เราเป็นลูกน้องหน้ามัน แต่เงินผ่านมือแล้วก็ผ่านไปเหมือนกันนะ อิอิ
     
  19. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ครับจะรีบเล่าเรื่องเร็วๆนี้เลย

    ไม่ไหวช้านิดเดียว โดนคุณดาบหักเขาตั้งกระทู้ที ดึงกระทู้แต่ละทีเป็นสิบๆกว่ากระทู้
    มาไล่ทับ ไล่บดอัดชาวบ้านคนอื่นตกขอบหายเกลี้ยง เหนื่อยหลายเด้อ


    ....คนก็ขยันตั้งกระทู้คักหลายโพด
    ... อย่างกะให้อ่านแต่ของตัวคนเดียวหรืออย่างไรมิทราบ?


    มาหลังก็ต้องทำใจหน่อยล่ะกัน พื้นที่เดิมเขาเจ้าของบอร์ด
     
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    แม่นอีหลี...
     

แชร์หน้านี้

Loading...