สัมมาสมาธิ แตกต่างกับ สมาธิทั่วไปอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 6 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ตรงนี้ต้องแยกประเภทบุคคล
    ถ้าเป็นปุถุชนก็ต้องใช้ปฐมฌานที่เป็นโลกียะ
    ถ้าเป็นพระอริยะบุคคลก็ต้องใช้ปฐมฌานที่โลกุตระ
    เพราะโลกุตร มีฌานอยู่ด้วย คือฌานในโลกุตระ
    ในลำดับฌาน ๔ ทั้งปุถุชนและพระอริยะนั้นเหมือนกัน
     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ในลำดับฌาน ๔ ทำไม ปุถุชนและพระอริยะนั้นเหมือนกัน

    หากแยกประเภทบุคคลแล้ว ก็ต้องไม่เหมือนกันซิ ถูกไหม


    ปุถุชน สามารถรู้จักสัมมาสมาธิได้เพียงเล็กน้อย
    ก่อนจะเป็นระดับ สัมมาสมาธิที่เรียกว่าขณิกสมาธิ

    หากข้ามโครตไปแล้ว จึงจะมีสัมมาสมาธิเป็นอิสระ
    แต่ยังเป็น ในส่วน ขนิกสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ
    ยังต้องเจริญต่อไปอีก จน อุปจาระ- อัปปนา ของสัมมาสมาธิ

    (เข้าใจว่า อัปนาสมาธิ ของสัมมาสมาธิ มีแต่พระอรหันต์ที่เข้าถึง ด้วยความเป็นหนึ่งในท่ามกลางไฟ เรียกว่า อยู่ในไฟแต่ไฟทำอะไรไม่ได้ด้วยเชื้อแห่งไฟขาดโดยสิ้นเชิง)

    ซึ่งแตกต่างมากจาก ปุถุชน
    ที่ ทำ ได้ ขนิกสมาธิ อุปจาระสมาธิ อัปนาสมาธิ
    ที่เป็นส่วนโลกียะ

    สัมมาสมาธิเป็นสมาธิที่ไม่มีอามิส
    และเป็นไปเพื่อ ปัญญาฤทธิ์
    หากแม้ได้เริ่มประจัก สัมมาสมาธิเพียงนิดหน่อย
    แม้กุศลที่เห็นก็วางลงเอง ภพ ชาติ จึงสั้นลง
    ตัดทอน ภพ ไปเรื่อยๆ ในลำดับแห่งการเห็น


    และหากกล่าวว่า สัมมาสมาธิที่เป็นฌาน ๔
    เป็นบาทฐานของอภิญญา อภิญญาในส่วนนี้
    จึงเป็น ปัญญาฤทธิ์แต่เพียงถ่ายเดียว
    เป็นไปเพื่อ สละ ละ วาง ที่เป็นอัตโนมัติ

    แตกต่างกับ ฌาน ๔ ที่เป็นโลกียะอย่างสิ้นเชิง

    หากจะกล่าวว่า

    ในลำดับฌาน ๔ ทั้งปุถุชนและพระอริยะนั้นเหมือนกัน

    จะเป็นการเห็นที่ผิด หรือ ถูก
     
  3. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ฝ่ายลุงหมาน ท่านก็กล่าวแก้ได้ถูกนะ

    นี่อย่า ดับเบิ้ลสแตนดาส สิ

    หัดอนุโมทนาเขาด้วย หากผู้นั้นกล่าวถูก แม้ผู้กล่าวไม่ใช่คนที่เราถูกใจก้ตาม

    นี้แสดงถึงปัญญาแยกได้ สิ่งไหนธรรม สิ่งไหนประโยชน์
     
  4. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    สำหรับท่านผู้ได้มรรคผล มีนิพพานเป็นอารมณ์

    ที่เรียกว่าท่านเข้า "ผลสมาบัติ" นั่นกระมัง

    ฌานโลกียะ จึงแตกต่างจาก ฌานโลกุตตระ

    ที่ว่า ตติยฌาน เป็นเครื่องอยู่ของพระอริยเจ้า เสวยสุขด้วยนามกาย
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ลองดูนะ เครื่องอยู่กับเครื่องขัดเกลา

    แตกต่างกันไหม

    เครื่องอยู่ อาศัยเพียงพัก พอมีกำลังก็มาสู้ต่อ

    สมาธิหากแยกโดยชัดเจน

    การสั่งได้ เป็นการเข้า ด้วยเจตนา มีความชำนาญ มีวสี สั่งได้ดั่งใจ

    มิจฉาสมาธิ ที่เป็นกุศลนั้นมีอยู่เพราะ เรียกว่า สมาธิที่มีอามิส

    สมาธิที่มีอามิส เป็นไปตามเจตนาได้
    ต่างจากสมาธิที่ไม่มีอามิส เป็นสิ่งที่พ้นเจตนา สั่งให้เกิดไม่ได้
    เพราะตัวนี้เป็นผลของการสร้างเหตุไว้(มรรค) สำแดงตัวด้วยความเป็นอิสระ
     
  6. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    พี่ ว.12 ถ้าอย่างนั้น
    พอจะกล่าวได้ไหมว่า สมาธิในปุถุชน โดนมากเป็นมิจฉาสมาธิ
    เนื่องด้วยยังมีอามิสอยู่ คือยังอาศัยเจตนา ส่งเข้าอยู่
    หากสัมมาสมาธิย่อมเกิดได้กับปุถุชนผู้สร้างเหตุไว้ถูก
    ทีนี้ต้องถามต่อว่า สร้างเหตุไว้ถูก อย่างไรครับ
     
  7. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    :cool:

    สัลเลขสูตร ธรรมเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส

    [๑๐๒] ดูกรจุนทะ ก็ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้
    สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่
    วิเวกอยู่ ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ
    แต่ธรรมคือปฐมฌานนี้ เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลา ในวินัยของพระอริยะ เรากล่าวว่า
    เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ ในวินัยของพระอริยะ


    อนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ พึงบรรลุทุติยฌาน
    มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจาร
    สงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรม
    เครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ แต่ธรรมคือทุติยฌานนี้ เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลา
    ในวินัยของพระอริยะ เรากล่าวว่าเป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ ในวินัยของพระอริยะ


    อนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ พึงมีอุเบกขา มีสติ-
    *สัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญ
    ว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อม
    อยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ แต่ธรรมคือตติยฌานนี้เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรม
    เครื่องขัดเกลา ในวินัยของพระอริยะ เรากล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ ใน
    วินัยของพระอริยะ


    อนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ที่ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ พึงบรรลุจตุตถฌาน
    ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสในก่อนเสียได้ มีอุเบกขาเป็น
    เหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส
    ดูกรจุนทะ แต่ธรรมคือจตุตถฌานนี้เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลา ในวินัยของพระอริยะ
    เรากล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ ในวินัยของพระอริยะ
     
  8. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ก็ถูกแล้วไง

    สำหรับท่านผู้ได้มรรคผล ฌานจึงเป็นเครื่องอยู่ของท่านผู้ได้ฌาน

    และนั่นเพราะท่านมีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นนัยยะสำคัญ หรือที่เรียกว่าเป็น วิหารธรรม หรือ อริยวิหาร

    แต่ไม่เข้าใจตรงนี้ ที่วิษณุ12 โพสมา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2012
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    การขึ้นต้นสมาธิในคำกลางๆ ในการฝึกเพื่อนำออก
    เป็นมิจฉาสมาธิที่เป็นกุศล แต่ว่า
    ในการฝึก มันจะเขวไปได้ทั้ง มิจฉาสมาธิที่เป็นอกุศล
    ตรงนี้จึงต้องได้ฟังพระที่ท่านสอนตามพระพุทธเจ้าให้ได้บ่อยๆ


    ส่วน การส้รางเหตุไว้ถูก ก็คือ

    สร้างเหตุ ที่เป็นไปเพื่อ สติ สัมปชัญญะ เป็นอันดับแรก

    ซึ่ง มันทำได้หลายทาง หากไม่นับ อานาปานสติ

    เช่น
    ทำสมาธิที่มีอามิส เพื่อให้จิตสงบลงมาก่อน
    แล้วฝึกสร้างปัญญาด้วยการน้อมเข้า กายคตาสติ
    จนกว่าจะเริ่มเห็น สิ่งที่เป็นอัตโนมัติ

    และนำสิ่งที่เป็นอัตโนมัติ นั้นมาฝึกระลึกเข้าไปอีก
    มันจะซ้อนกันไปอย่างนี้ ตามความละเอียด อันนี้ก็ทางนึง

    การฝึกเอาริริยาบท กายในภายนอกมาฝึกระลึก ของสติ
    อันนี้ก็อีกทางนึง

    การฝึกเอา เวทนามาเป็นระลึกของสติ อันนี้ก็อีกทางนึง

    การฝึกเอาอารมณ์ สิ่งที่กระทบทางอายตนะ มาฝึกเป็นเครื่องระลึก อันนี้ก้อีกทางนึง

    การฝึกเอา นิวรณ์ธรรมมาฝึกเป็นเครื่องระลึก อันนี้อีกทางนึง
    แต่ จิตต้องมีพื้น ไม่หยาบกระด้าง จึงจะสมควรแก่เหตุอันนี้
    ส่วนใหญ่แล้ว ตรงนี้ ผู้เคยเจริญวิปัสนามาแต่อดีตชาติ
    จะสามารถเข้าได้ต่อตรงนี้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2012
  10. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ก็ถูกแล้ว ขยายไง
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    จะสร้างเหตุให้ถูก ให้ไม่เหมือน คุณฐานัฏฐ์ หลงเข้ามา ก็ง่านนิดเดียว

    แทนที่จะเรียกว่า มิจฉาสมาธิ ตวามสัจจ ที่กล่าวแล้ว ประโยชน์น้อย
    ก็กล่าวเสียใหม่ว่า เป็นเครื่องอยู่สุข แต่ไม่ใช่เครื่อง ขัดเกลา เป็น
    เพียงวิหารธรรมที่ช่วยงานขัดเกลาให้มีประสิทธิผล

    พอกล่าวแบบนี้ปั๊ป จะผิดกันเลย คือ เราจะหมั่นประกอบ ซึ่งจะต่าง
    จาก ฐานัฏฐ์ หลงเข้ามา ที่จะปฏิเสธการทำไปเลย เพราะว่า เผลอ
    เอาปัญญาแล่นไป พอไม่ทำ ก็เลยแสดง วาจาแบบ พลัดวันประกันพรุ่ง
    ฟังแล้วดูยิ่งใหญ่มาก คือ กล่าวต่อเพื่อนๆว่า เมื่อไหร่ ว่างก็จะหายหัว
    ไปทำ

    ซึ่ง เราจะทราบทันทีเลยว่า การพลัดวันประกันพรุ่ง มันต่างจาก การ
    มีวิหารธรรม ต่างอย่างไร ต่างกันตรงที่ เราจะรู้ของเราว่า ขณะนี้
    เวลานี้ เราได้ประกอบ ฌาณจิตเนืองๆ เอาไว้แล้ว ซึ่งจะต่างจากพวก
    ที่ใช้ ทิฏฐิ แล่นไป ซึ่งจะตกข้างตายแล้วสูญ คือ ณ เวลานี้ ยังไม่
    รู้สึก หรือ รับรู้เลยว่า จิตตัวเองมีกำลังฌาณหล่อเลี้ยงหรือไม่

    จิตอยู่ตรงไหน ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า ตรึกให้ตรงตามแบบจนไม่รู้ว่า จิตอยู่
    ตรงไหนคือใช่ ซึ่งมันจะต่างกับพวกมีวิหารธรรมเนืองๆ คือ จิตไม่มี
    ที่อยู่ก็รู้ จิตมีที่อยู่ก็รู้ จิตมันแสดงที่อยู่ไม่ได้บ้าง แสดงที่อยู่ได้บ้างก็รู้
    สามารถเล็งเห็นความไม่เที่ยงของจิตได้ตามความเป็นจริง และ การที่
    จิตมีธรรมอยู่แแต่ก็สละออก ไม่ยึดแม้ในอุบายวิธีที่สอน หรือ ฝึก เรา
    ก็จะทราบชัดว่า เราไม่ยึดอยู่แม้ในคำสอนของเรา หรือ อุบายการฝึก
    ของเรา ตรงนี้ก็จะเป็น ธรรมในธรรม ไม่ยึดติด นำออกแต่ส่วนเดียว

    ซึ่งจะต่างกันมากกับ พวกที่ใช้ทิฏฐิก๊อปปี้สูตรการปฏิบัติ เพราะ อะไร
    ข้ามกันอย่างไร ก็หมดปัญญา รู้แต่ว่า ไม่มีอะไรเหลือ แล้วสำคัญว่า
    นั่นคือธรรม

    สุดท้าย คนที่ขโมยธรรมแบบก๊อปปี้สูตรให้ตรงตำราเข้าไว้ ก็ถือว่า
    เป็น พวกลักขโมย ซึ่งมี นรกกาฬสุตตมหานรก รอรับ

    อนึ่ง อายุสัตว์ลำพังในนรกดังกล่าว นั้นยาวนาน แต่เวลาพ้นนั้น ก็
    ไม่ได้พ้นขึ้นมาเป็นมนุษย์หรือเทวดาได้ทันที จะต้องเลื่อนชั้นมาที่นรก
    ลำดับรองๆลงมาเสียก่อน หลังจากนนั้นก็ไปเป็น สัตว์เดรัจฉาน พอ
    จะกลับมาเป็นมนุษย์ กรรมที่เคยเอาหู เอาตา เอาอยาตนะออกแบบ
    ผิดๆ ก็จะทำให้แรกๆ กลายเป็นมนุษย์ทุพภาพ หูหนวก ตาบอด ไป
    อีกสักระยะ จนกว่าจะสมบูรณ์ จนกว่าจะเก็บโอากาสพบพระพุทธศาสนา
    จะกว่าจะฟังธรรมใหม่ จนกว่าจะเลิกขโมยธรรม ............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2012
  12. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ถาม พี่ ว.12
    ตัวอย่าง มิจฉาสมาธิที่เป็นอกุศล เป็นอย่างไร แก้ไขอย่างไร
    มิจฉาสมาธิที่เป็นกุศล พิจารณาได้อย่างไร
    ตรงนี้จะกล่าวว่า จำเป็นต้องโยนิโสมนสิการ คุณและโทษ ในสมาธิด้วยหรือไม่ อย่างไร(เบื้องต้น) จนกว่าจะเห็นสิ่งที่เป็นอัตโนมัติ(ขยายสิ่งที่เป็นอัตโนมัติด้วยครับ)
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    แบบนี้สิ ถึงเรียกว่า ศิษย์พระพุทธองค์ รู้จักเตือนมิตรที่กำลังจะไปนรก
     
  14. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ....หายใจไว้ๆ :cool:
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สังเกตนะ คุณฐานัฏฐ์ก็ดี อาแปะแปะก็ดี หรือ แม้แต่ ต้นปลายก็ดี

    จะออกอาการคาบลุกคาบดอกเหมือนกันหมด

    ความมั่นใจว่า ขณะนี้ ตัวเองมี ฌาณจิต "ครุกรรมฝ่ายกุศล" ที่จะให้
    ผลก่อน การให้ผลกรรมชนิดอื่น เขาจะปรารภไม่ถูก จะไม่รู้ว่า ตัวเอง
    มีอะไรเป็นที่พึ่งที่อาศัยอยู่สุขได้บ้าง

    ต่างจาก ผู้ที่ฝึกมีฌาณจิตเนืองๆ ความที่เรามีอย่างเนืองๆ คือ เรามีอย่าง
    ไม่ยึดติด ฝึกการไม่ยึดติด ดังนั้น มีก็เหมือนไม่มี พร้อมจะไม่มีแม้ในยาม
    วาระจิตสุดท้ายมันจะให้ผล

    เราจะมีความภาคภูมิใจเต็มที่ว่า เราได้ประกอบกรรม คุรุกรรมฝ่ายกุศลไว้
    มากน้อยเพียงไหน ในขณะที่อีก ฝั่ง ฝากเอาไว้กับเรื่อง คราวตาย หรือ
    อาการ พลัดวันประกันพรุ่ง ตบแต่ง อาการพลัดวันประกันพรุ่งนั้นตบตา
    แก่เพื่อนๆด้วยการกล่าวแบบ เชิง "ปณิธานที่แน่วแน่"

    นรกเท่านั้นแหละ ที่เป็นที่ไป
     
  16. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    สองวันมานี้ที่ได้ฟังหลวงพ่อพุธ ท่านกล่าวถึงการกำหนดรู้ที่จิต บ่อยๆก่อนทำสมาธิ ทีนี้ ทำให้ เริ่มค้นหา ว่า แล้วจิต มันอยู่ตรงไหน
    พอคำตอบมาว่า เคยฟังหลวงพ่อชาท่านกล่าวว่า ตรงที่รู้สึกนั่นล่ะ จิตอยู่ตรงนั้น
    ทีนี้ก็น้อมไปได้บ้างไม่ได้บ้าง
    จึงถามว่า จำเป็นไหมที่จะต้องระลึกถึงจิตให้เจอทุกครั้ง หรือปล่อยตามธรรมชาติ คือรู้ได้บ้างไม่ได้บ้าง แค่ตามดู รู้ทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ก็ให้ระลึกได้บ่อยๆ
     
  17. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80

    ความมีสติ สัมปชัญญะ และความเพียร

    พวกนี้ ก็มีความตั้งมั่นอยู่แล้ว

    แล้วความตั้งมั่นนี้ต้องไป ประกอบพิธีรีตรองอะไรไหม

    มันก็เป็นเรื่องของธรรมล้วนๆ


    ไปทำความเข้าใจเรื่องความตั้งมั่น กับ นั่งหลับซะใหม่
     
  18. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ผมฟังหลวงพ่อพุธท่านกล่าวว่า หากทำสมาธิแล้วเกิดอาการง่วงขึ้นมา ก็ให้หลับซะ
    ตรงนี้ ก็น่าจะพิจารณานะครับ ทำไมพระท่านจึงแนะนำว่า หลับซะ
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    จริงๆคำถามนี้ ให้วก ดูสงสัยก่อน

    ถ้าดูไม่ทัน ค่อยดู รู้ทันบ้าง รู้ไม่ทันบ้าง

    ดูทำไม ก็มันคือ สภาวะธรรมที่หลุดออกจากฐาน ทั้งหมดนั่นแหละ

    แล้วจะได้อะไร มาถึงตรงนี้เขาไม่ถามแล้ว มันมาจ่อที่ วิญญาณาหารแล้ว
    หากเคลื่อนอีก ก็เสร็จมันสิ

    ทีนี้ ก็ต้องซ้อมบ้าง เพราะเมื่อจิตสงบดี แจ่มใส่ดี มันจะ ยกจิต เอา
    มาพิจารณาได้ หากทำไว้เนืองๆ จะเป็นการฝึก จิตให้เป็นฌาณสมาธิ
    อีกชนิดหนึ่ง ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น ฝึกเล่นๆ ดีกว่าไม่ใช้งาน
     
  20. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    โอยยยยยย

    กว่าจะรู้ว่า จิตเดี๋ยวอยู่ เดี๋ยวไม่อยู่ นั้นง่ายกว่า รู้ว่าจิตมีที่อยู่ ดูกี่ทีก็รู้ว่ามันอยู่เที่ยงดีเยอะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...