สมเด็จพระมหาเถระศรีศรัทธาฯ บูรพาจารย์ถ่ายทอดสรรพวิชชาด้วยพระองค์เอง

สมเด็จท่านสอนเรื่องความแตกแยก หรือเปลา วิธีของคุณทีสอดคล้องกับพระพุทธศานาในบริบท ใหนกัน

 

รัตนเมธี

เธอรู้นะว่าเธอคือใคร แต่ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
มีบางเรื่องที่เธอไม่รู้เกี่ยวกับตัวเธอเอง อีกเยอะ
ไม่ต้องโจมตีเธอหรอก เพราะวิบากกรรมของเธอ ก็มากโขอยู่แล้ว
รวมทั้งวิบากของ ส่วนที่โกหกไว้มากมาย ก็รับวิบากของตนอยู่แล้ว

ส่วนที่มาพูดในเวปนี้ เพราะชาวสุวรรณโคมคำ ที่เป็นสัมมาทิฎฐิยังมี
หากได้สติ ก็จะได้ตาสว่างนะ
เรียกว่า ได้ดาวพุธเข้าไปประกอบดาวอาทิตย์ไง

กลับตัวได้นะ

หากกระทู้โดนลบก็หาอ่านได้ที่ เวป พลังใจ หรือ เวปชมรม www.srisuwankhomkhum.com

 

กำลังบอกถึงสัจจะธรรมใฉนมองแง่ลบอย่างนี้ การโจมตีผู้อื่นเป็นเรื่องไม่ดีใครก็รู้แต่ผู้รู้แล้วทำเขาเรียกว่าอะไรล่ะ

 

=====================
หนึ่งในวิชชาของสุวรรณโคมคำ
=====================
คือกสิณกรรมฐานมหาภูตรูป ๔ ดินน้ำไฟลม
การเจริญกสิณกรรมฐานแม่ธาตุให้พัฒนา
จนถึงจุดสุดยอดของกสิณกรรมฐาน
ท่านที่มีจริตทางการปฏิบัติกรรมฐาน
ทางเจริญสมาธิ(เจโตวิมุตติ)
จะได้ฝึกฝนตนเอง พร้อมกับทำความเข้าใจธาตุ
ฝึกควบคุมธาตุสี่
ท่านจะได้ฝึกฝนตั้งแต่เริ่มต้น ท่ามกลาง และขั้นสูง
ตามเงื่อนไขของสุวรรณโคมคำ
=====================
...ได้อุคคหนิมิตแล้วไซร์ จงติดต่อมา
เพื่อให้ได้ปฏิภาคในเวลา ต่อเนื่อง
เราจัดให้ท่านเดินต่อไป ไม่ช้าอีกนา
สมกับเจตนาได้ สั่งสม กรรมดี...
=============================
ติดตามรายละเอียดได้ที่ หลักสูตรเรียนฟรี
=============================
ศิษย์ทั้งหลาย ช่วยกันแชร์ อีกแรง

 

หากท่านเป็นชาวสุวรรณโคมคำ โดยสมบูรณ์
ท่านจะได้เรียนวิชชา โดยสมบูรณ์
ทั้ง เรื่องธาตุ การจัดสมดุลย์ธาตุ
และ กสิณ ๓ ภาค ซึ่งเป็นสุดยอดของชาวสุวรรณโคมคำ

บัดนี้ ถึงเวลาประกาศให้ทราบว่า เราได้กสิณ ครบถ้วนทั้งมหาภูตรูป ๔
และยิ่งกว่านั้น

การสอนกสิณชั้นสูง จะต้องผ่านขั้นตอนการไหว้ครู และการเรียนวิชชาตามเงื่อนไขของชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ

โปรดติดตาม หลักสูตรเรียนฟรี ในโอกาสต่อ ๆ ไป

 

ทุกยุคสมัย

คัมภีร์สุวรรณโคมคำ จะส่งต่อกับผู้ได้รับการแต่งตั้งจากผู้สืบทอดพระคัมภีร์

การจะทรงวิชชาสุวรรณโคมคำ ผู้เรียนจะต้องฝึกกสิณจนเกิดฌาน
จึงจะสามารถใช้วิชชาได้อย่างแท้จริง

การสืบต่อกสิณกรรมฐาน จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะต้องอาศัยธาตุ เพื่อการเข้าใจ

บัดนี้ เราพร้อมที่จะให้ความรู้เรื่องกสิณกรรมฐาน
จนถึงระดับที่จะสืบต่อพระคัมภีร์สุวรรณโคมคำ

จึงได้เปิดคอร์ส กสิณขึ้นทั้งหมดเป็น ๓ คอร์สด้วยกัน
คอร์สแรก เป็น กสิณภาคประชาชนทั่วไป
สอนกันมา รุ่นนี้ เป็น รุ่นที่ ๑๖ รุ่น โสฬส

คอร์สที่สอง เป็นกสิณปฏิภาค
เปิดสอนครั้งแรก รุ่นที่ ๑ วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๖
ผู้เรียน ต้องผ่่านกสิณคอร์สที่ ๑ ก่อน และมีคุณสมบัติที่จะเข้าเรียนต่อเนื่อง

คอร์สที่สาม กสิณชั้นสูง
ยังไม่มีกำหนดเปิดสอน
ผู้เรียนจะต้องผ่านคอร์ส ของคัมภีร์สุวรรณโคมคำ สองคอร์สก่อน
และสอบผ่าน จึงได้เรียน
คอร์สนี้จะสอนให้เฉพาะศิษย์สุวรรณโคมคำเท่านั้น

ท่านหาข้อมูลการเรียนกสิณกรรมฐานได้ในเวปของชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำเท่านั้น

 

===============
ไม่นานเหล่าศิษย์จะได้เห็น
รูปบูรพาจารย์มาสื่อเป็นนัยยะสอน
ว่าท่านควรเข้าใจในขั้นตอน
ทุกบทกลอนเขียนนิมิตลิขิตเป็น

ถึงเวลาแล้วที่ทุกสิ่งจะบังเกิด
สิ่งเลอเลิศรักษาไว้ได้ยากยิ่ง
บารมีของขันติ อดทนจริง
ได้เห็นสิ่งรอนานช้าแก่สายตา

เรื่องราวจากนี้ล้วนอัศจรรย์
เหมือนสร้างสรรอมตะจากโลกหล้า
กลับมาเยือนมาย้ำคำสัญญา
พุทธเมตตาปรากฎใจเที่ยงธรรม

พลิกแผ่นดินทองแผ่นนี้ให้เป็นฟ้า
พลิกตำรามาพยากรณ์โลกทุกสิ่ง
พลิกธาตุสี่เจริญจิตองอาจจริง
พลิกทุกสิ่งหวลกลับประทับใจ

ไม่นานเกินรอ
==========
ศิษย์สุวรรณโคมคำ
02.03 23.12.2556

 

ผู้ถอดรหัสของสุวรรณโคมมีสามท่านคือ
๕๖๗

 

๑๒ พร้อม ๑๘

เมื่อ สิบสอง พร้อม สิบแปด
บนแผ่นดิน ที่รักษา
จากฐาน ดำเนินมา
ไขวิชชา พาเข้าใจ

พร้อมแล้วเวลานี้
ณ ฐานที่ กำหนดไว้
จากรหัส พระ ทรง ชัย
ธาตุที่ให้กำเนิดมา

ต่อเนื่องจากนี้ไป
คนทั่วไปในโลกหล้า
จะได้สรร สรรพวิชชา
สร้างปัญญาพามีชัย

จากนี้นับหมื่นปี
จะถึงที่ หวลกลับได้
๕๖๗ พากันไข
คัมภีร์มหาจักรพรรดิคุณ

๐๐.๑๑ ๒๘/๑๒/๒๕๕๖

 

๕๖๗ = ๑๘​

คัมภีร์มหาจักรพรรดิราช​

 

อยู่ต่างประเทศ จะหาแผ่นๆที่เป็นกสิณได้ที่ไหนครับ ใช้อะไรแทนได้

 

ซื้อมาที่ชมรมก็ได้นะ คุณจ่ายค่าส่งเยอะหน่อย ราคา แผ่น๒๐๐บาท

 

ต้นไม้ต้นนี้มีความสำคัญต่อชาวสุวรรณโคมคำ
ได้รับการดูแล โดยปู่ดาบส มาหลายยุคสมัย
จะได้เปิดเผยความสำคัญในลำดับต่อไป

 

คัมภีร์มหาจักรพรรดิราช หรือ คัมภีร์สุวรรณโคมคำ​

คัมภีร์มหาจักรพรรดิราช ได้ถือกำเนิดมาแต่อดีตกาลสมัยพระพุทธเจ้าองค์แรก
ซึ่งได้บัญญัติหรือลิขิตความเป็นมาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของมนุษย์ด้วยศาสตร์แห่งดวงดาว
โดยแทนความหมายออกมาเป็นตัวเลข และยังมีการเพิ่มคำสอนในด้านธรรมประกอบทุกขั้นตอน
โดยภายหลังมีการลิขิตเพิ่มเติมตามประสบการณ์
ณ เวลานั้น ผู้ซึ่งลิขิตต่อมาส่วนมากเป็นเหล่าสาวกผู้ได้อภิญญาญาณและคัมภีร์ฯ
นี้ถูกเก็บรักษาที่ดินแดนสุวรรณโคมคำมาโดยตลอด จึงได้อีกนามหนึ่งว่า "คัมภีร์สุวรรณโคมคำ"

ตกทอดมาถึง ท่านอัญญาโกญฑัญญะพราหมณ์ และท่านได้ฝากคัมภีร์นี้ไว้ที่ดินแดนสุวรรณโคมคำ
โดยมอบให้ พญานาคาธิบดีศรีสุทโธ เป็นผู้ดูแลรักษาเพื่อส่งมอบต่อผู้มีบุญ
เพื่อศึกษาและสืบทอด ผู้สืบทอดคัมภีร์ฯ นี้ จะมาเผยแพร่สั่งสอนเหล่าพุทธบริษัทที่สนใจ
โดยแบ่งการสอนตามแนวทางของคัมภีร์ฯ ทุกประการ

ในการนี้จะมี "พระธรรมบาล" ผู้ซึ่งเป็นที่ปรึกษาและคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ผู้สืบทอดมีปัญหาขัดข้อง
ท่านไม่ใช่ผู้สอน แต่ท่านเป็นผู้คอยช่วยเหลือดูแลและแต่งตั้ง
ผู้สืบทอดคัมภีร์ฯ นี้ต้องเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์
ซึ่งส่วนมากจะเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
อีกทั้ง "พระธรรมบาล" ก็เป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์เช่นกัน

คัมภีร์สุวรรณโคมคำมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
ที่สืบทอดมาแต่อดีตกาลและแบ่งเป็น 3 ส่วนในการสอน ดังนี้

1. ส่วนพยากรณ์ อันเป็นการพยากรณ์บุคคลด้วยดวงดาว สามารถทำนายได้ทั้ง จุติ ปฏิสนธิ กุศล อกุศล
ของบุคคลที่ติดตัวมาแต่ภพชาติก่อน และยังสามารถทำนายได้ทุกยามทุกเวลา
สามารถปรับ "สมการสมดุลย์" ตามดวงดาวได้ ซึ่งหลักพยากรณ์ของคัมภีรฯ
นี้จะเกี่ยวข้องกับดวงดาวและธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม

2. ส่วนพลังจิต เป็นส่วนที่ให้ผู้ศึกษาฝึกสมาธิจิต ด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม
ด้วยหลัก "กสิณกรรมฐาน" เมื่อผู้ฝึกสามารถฝึกถึงขั้นสูง ของธาตุทังสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม
ก็จะเกิดสมาธิจิตมีพลังสูงสุด จนสามารถฝึกกสิณขั้นสูงขึ้น
หรือเรียกอีกนามหนึ่งว่า "กสิณสมดุลย์ธาตุ" ซึ่งจะสอดคล้องกับด้านพยากรณ์

3. ส่วนทางธรรม แน่นอน ผู้ฝึกคัมภีร์ฯ ต้องศึกษาหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อขัดเกล่ากิเลส มุ่งช่วยเหลือเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้เห็นบาป บุญ คุณ โทษ เพื่อความหลุดพ้น

ถึงแม้ปัจจุบันนี้คัมภีร์สุวรรณโคมคำตกทอดมาเก่าแก่มากเป็นเวลา สองพันกว่าปี
จนไม่สามารถจะเปิดอ่านหรือเรียนได้ แต่ผู้สืบทอดคัมภีร์สุวรรณโคมคำเพียงหนึ่งเดียวนี้ได้ศึกษา
และสั่งสอนอยู่แค่ส่วนหนึ่งที่ท่านได้ร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์
แต่ท่านได้ร่ำเรียนเพิ่มเติมจากบูรพาจารย์ในโลกทิพย์จนปัจจุบันนี้วิชชา
ได้เพิ่มพูนล้ำหน้ากว่าที่ท่านได้สั่งสอนในครั้งแรก
ซึ่งสิ่งที่ท่านได้ร่ำเรียนจากบูรพาจารย์ในโลกทิพย์ท่านไม่ได้ทำเป็นตำราออกมา
แต่มีการอบรมสั่งสอนกับศิษยานุศิษย์ที่ประพฤติดีอยู่ในพระธรรมคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่เบียดเบียน มีวิริยะ อุตสาหะ มุทิตาจิต อุเบกขาต่อสิ่งที่มากระทบจิต
ไม่ว่าทางด้านพยากรณ์ได้เพิ่มเติมขึ้นจนได้หลัก "สมการสมดุลย์"
และข้อปัญหาค้างคามาเนินนานจนสำเร็จอีกทั้งได้สั่งสอนศิษย์ผู้ซึ่งมีกตัญญูต่อครูบาอาจารย์
จนสำเร็จ "กสิณสมดุลย์ธาตุ"
ซึ่งบัดนี้ได้ใช้วิชชากสิณนี้ปรับสมดุลย์ธาตุให้เหล่าศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย
อีกทั้งรักษาคนเจ็บป่วยด้วยพลังกสิณ "กสิณสมดุลย์ธาตุ" ซึ่งมีพลังมากเกินกว่าอานุภาพกสิณทั่วไป

โดย จันทร์อรหัง

 

คอยพบกับประวัติศาสตร์บูรพาจารย์ แห่งสุวรรณภิงคาร
ที่จะทยอยออกมาเรื่อย ๆ

สรรพวิชชา ที่เป็นของสุวรรณโคมคำ
ความล้ำค่้าในพุทธศาสนา

จะได้รับการสื่อสาร การเปิดเผย จนครบถ้วน

 

เวลาดิฉันไปเมืองไทยจะไปฝึกกสิณกับสำนักสุวรรณโคมดำคะ

 

ตั้งจิตให้ดี ไม่เช่นนั้น เมื่อไปถึงเมืองไทยก็ไม่ได้เรียน
ไปที่อื่นซะงั้น
แสนสวาท

 

พระมหาศรีมงคลบรรพตมุนี ​

บูรพาจารย์อีกท่านหนึ่งที่ไม่ปรากฏนามแห่งดินแดนสุวรรณโคมคำ

ในสมัยละโว้ มีชายผู้หนึ่งรูปร่างสันทัดผิวคลำเนื่องจากเป็นทหารที่เก่งกล้า องอาจ กรำศึกมาอย่างโชกโชน
ต่อมาภายหลังเกิดการกบฏในวังและเหล่ากบฏได้ชักชวนท่านร่วมทำการด้วย
แต่ท่านเป็นคนจงรักภักดีต่อเหนือหัวจึงปฏิเสธและได้ลาออกจากราชการ
มุ่งหน้าสู่ร่มกาสาวพักตร์พร้อมทหารคู่ใจท่านหนึ่ง

ในช่วงแรกท่านได้เดินทางไปหัวเมืองทางเหนือและได้บวชเป็นสามเณร
และได้เดินธุดงค์ไปจนถึงลังกาเพื่อศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเวลา
สิบกว่าปี แล้วเดินทางกลับมายังเมืองสยาม
ได้เดินธุดงค์มายังพิษณุโลก มาที่วัดเล็ก ๆ เก่าแก่ที่หนึ่งก็ปรารถนาอยากจะบวชเป็นพระภิกษุ
ท่านจึงได้เดินทางไปพบเจ้าอาวาสวัดในขณะนั้นพร้อมกับขออุปสมบท
เจ้าอาวาสไม่สามารถจะทำการอุปสมบทให้ได้
จึงได้ทุลเชิญพระสังฆราชแห่งเมืองลังกามาเพื่อทำพิธีอุปสมบทให้
ด้วยที่ท่านได้เคยศึกษาพระธรรมที่ลังกามาสิบกว่าปี
และพระสังฆราชแห่งลังกาก็รู้จักท่านเป็นอย่างดี
จึงได้เสด็จมาและท่านก็ได้เอ่ยขออุปสมบทกับท่าน
ในขั้นต้น พระสังฆราชและเหล่าที่ประชุมสงฆ์ไม่อนุญาต
ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอบารมี
แล้วท่านก็เดินไปที่ต้นโพธิ์ใหญ่เดินทักษิณาวรรตสามรอบ
พลันเกิดปาฏิหารณ์ท้องฟ้าสว่างเป็นแสงทองมีพระสารีริกธาตุล่วงหล่นลงมาเป็นประกาย
และกิ่งโพธิ์ก็โน้มมาพร้อมพระสารีริกธาตุมากมาย ต่อหน้าพระสังฆราชและเหล่าสงฆ์
ณ ที่นั่น ทุกท่านก็ยกมือพนมกล่าว "สาธุ" โดยพร้อมเพรียงกัน
หลังจากนั้นพระสังฆราชและเหล่าภิกษุสงฆ์ ณ ที่นั้น เห็นบุญญาบารมีของท่าน
จึงได้ทำการอุปสมบทให้ในวันนั้น เมื่อท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุท่านก็ได้นำ
พระบรมสารีริกธาตุแจกจ่ายไปตามวัดต่าง ๆ และภายหลังท่านก็อยู่ประจำวัดนั้น
ในขณะที่ท่านเป็นพระภิกษุท่านได้ศึกษาจนแตกฉานและสืบทอด "คัมภีร์สุวรรณโคมคำ"

จนมาวันหนึ่งมีบุรุษร่างโปร่งมีสง่าอายุราวๆ ยี่สิบเศษมาขอศึกษาคัมภีร์ฯ ดังกล่าว
จนแตกฉาน ใน ๑๖ ส่วนของคัมภีร์ฯ ซึ่งท่านคือพระราชโอรสแห่งกรุงสุโขทัย
และได้ใช้วิชชาในคัมภีร์ฯที่ได้ศึกษามาทำศึกสงครามช่วยพระราชบิดา
ได้รับชัยชนะมาตลอด จนบ้านมืองสงบสุข
พระมหาศรีมงคลบรรพตมุนี เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่มีศีลบริสุทธิ์
ปฏิบัติตนสมถะ มีเมตตาต่อผู้คนทั้งหลาย ท่านไม่ชอบแสดงตน
ชอบสันโดษ ตลอดเวลาที่ท่านเป็นสงฆ์ ท่านมีความอดทน มีขันติบารมีสูง
ไม่สะทกสะท้านต่อคำติฉินนินทาหรือกล่าวร้ายท่านประการใด
ท่านมีแต่แผ่เมตตาและไม่ปรารถนาจะเปิดเผยตัว แม้แต่ลูกศิษย์องค์เดียวของท่าน
ท่านก็ไม่ให้เอ่ยหรือพูดถึงท่าน หรือยกย่องท่านอย่างเปิดเผย
ท่านทรงครองตัวเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ถือสันโดษจนจวบวันสุดท้าย
ผู้ที่มาปลงศพท่านคือศิษย์ของท่านและท่านมอบให้ศิษย์องค์เดียวของท่านนี้
เป็นผู้สืบทอดพระคัมภีร์สุวรรณโคมคำต่อไป ไม่มีใครทราบว่าสังขารท่านตอนนี้อยู่แห่งหนใด
ไม่มีแม้แต่พระนามท่านจารึก ณ ที่ใด

ด้วยความผูกพันในบรรพกาล ท่านได้ดลจิตให้คนที่จงรักภักดีต่อท่านรับใช้ท่าน
ที่ได้มาเกิดใหม่และเป็นศิษย์ในดินแดนสุวรรณโคมคำ
มีใจระลึกถึงท่านตั้งแต่เริ่มเดินทางไปยังพิษณุโลกครั้งแรก
จนบัดนี้ มีศิษย์ท่านหนึ่งได้ไปสัมผัสและได้รับการติดต่อทางสมาธิจนทราบว่าท่านคือ
"พระมหาศรีมงคลบรรพตมุนี" บูรพาจารย์ท่านหนึ่งแห่งสุวรรณโคมคำ
ซึ่งตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านได้เดินทางมายังวิหารดินแดนสุวรรณโคมคำ

ชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ
(ข้อความเหล่านี้เป็นลิขสิทธิ์ของชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ)
โดย สิเนรุ
๑๐.๐๑.๒๕๕๗ ๒๑.๓๕

 

กสิณมหาภูตรูป
ความครบถ้วนสมบูรณ์แห่งมหาภูตรูปสี่ กสิณดินน้ำไฟลม
กสิณภาคประชาชนทั่วไป
กสิณปฏิภาค
พร้อมที่ถ่ายทอดสู่ประชาชนทั่วไป
ผู้ปรารถนาธรรมชาติ กลมกลืนและเป็นหนึ่งเดียวกัน

 

สมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามณีลงกาทีปมหาสวามี
บูรพาจารย์องค์สำคัญแห่งสุวรรณโคมคำ​

ในสมัยสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหง ทรงครองราชสมบัติ พระองค์มีพระโอรสพระองค์หนึ่งนามว่า "ศรีศรัทธา"
ผู้ซึ่งคอยเคียงข้างการศึกสงคราม ทำการรบพุ่งและมีชัยต่อศัตรูผู้รุกรานตลอดมา

พระโอรส "ศรีศรัทธา" ทรงศึกษาคัมภีร์สุวรรณโคมคำกับพระอาจารย์ผู้ครองคัมภีร์ฯ ที่พิษณุโลก
คือ พระมหาศรีมงคลบรรพตมุนี ในวัยเพียงยี่สิบกว่าปี จนสำเร็จทุกแขนงในคัมภีร์ฯ ๑๖ ส่วน

และได้กลับพระราชวังช่วยพระบิดาทำศึกสงครามได้ชัยชนะมาตลอดด้วยศาสตร์คัมภีร์ฯ ที่ได้ร่ำเรียนมา
จนบ้านเมืองสู่ความสงบสุขร่มเย็น พระองค์เกิดความเบื่อหนายในเพศฆราวาส จึงได้สละราชสมบัติออกบวช
ในบวรพระพุทธศาสนา และได้ถือเพศสันโดษออกปฏิบัติธรรมด้วยการออกธุดงค์จนมาถึงลังกา
ทรงศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ลังกานี้เป็นเวลา ๑๐ ปีกว่า
จึงได้ธุดงค์กลับมายังสยามประเทศและได้ธุดงค์จนมาถึงพิษณุโลก
มากราบพระอาจารย์ที่สั่งสอนคัมภีร์สุวรรณโคมคำและได้ปรนนิบัติรับใช้ในช่วงปลายชีวิตของพระอาจารย์
ก่อนพระอาจารย์จะละสังขารลง ท่านได้มอบคัมภีร์สุวรรณโคมคำให้กับพระมหาเถระศรีศรัทธาฯ
เป็นผู้สืบทอดพระคัมภีร์ฯ พระองค์เป็นผู้จัดการสรีระของพระอาจารย์
โดยได้อัญเชิญสรีระพระอาจารย์ฝังไว้ในเขาลูกหนึ่งในดินแดนสุวรรณโคมคำ

พระองค์ได้ศึกษาและสอนเหล่าพุทธบริษัทในดินแดนสุวรรณโคมคำ
และต่อมาภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง "พระสังฆราชแห่งกรุงสุโขทัย"
ในการนี้พระองค์ได้สั่งสอนเหล่าชาวเมืองสุโขทัย
จนเวลาต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดจุฬามณี
ซึ่งพระองค์เป็นเจ้าอาวาสไม่นานจึงได้สละตำแหน่งเจ้าอาวาสด้วยความเบื่อหน่าย
จึงได้ออกธุดงค์ และเดินทางมาดินแดนสุวรรณโคมคำ
ซึ่ง ณ ดินแดนนี้ท่านได้สัมผัสว่าดินแดนนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเจริญรุ่งเรืองมาในอดีตกาล
พระองค์ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตช่วงสุดท้าย ณ ดินแดนนี้
ท่านจะพักอยู่ในวิหารเก่าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประทับและสั่งสอนชาวเมืองสุวรรณโคมคำ
และชาวพญานาคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าสาวกทั้งหลาย

แต่บัดนี้วิหารเก่านี้ยังเหลือสภาพความเป็นวิหารอยู่ มีซากปรักหักพังอันเกิดจากสงคราม
แต่ยังคงเหลือร่องรอยวิหารอยู่พอสมควร พระองค์ได้พำนัก ณ ดินแดนสุวรรณโคมคำ
และเริ่มเขียนคัมภีร์เพิ่มเติมตามประสบการณ์ที่ได้ท่านพบได้เห็นว่าตลอดเวลาที่ได้ร่ำเรียนวิชชาในคัมภีร์ฯ นี้
ตั้งแต่ยังหนุ่มจนบัดนั้น

ในชั้นต้น พระองค์ได้เขียนคัมภีร์ฯ เสริมขึ้นมาสองฉบับ ซึ่งเป็นคัมภีร์ฯ
เสริมในด้านการพยากรณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่พระองค์ได้พยากรณ์มาแล้วไม่ว่าเป็นเรื่องสงครามทำศึก
การพยากรณ์ให้กับศิษย์ และเสริมในสิ่งที่เป็นประสพการณ์พบมา
ซึ่งตลอดเวลาที่พำนัก ณ ดินแดนสุวรรณโคมคำ ได้พบองค์พญานาคราช "นาคาธิบดีศรีสุทโธ"
ผู้ซึ่งมาคอยช่วยเหลือและให้คำปรึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ต่อมาใกล้ถึงวันที่พระองค์จะละสังขาร
พระองค์ได้ขึ้นบนเขาลูกหนึ่งเข้าไปในถ้ำและได้พบกับ "ท่านฤษีดาบส"
พร้อมชาวเมืองบังบด ผู้ซึ่งคอยช่วยเหลือดูแล

ณ ถ้ำแห่งนี้พระองค์ได้เขียนคัมภีร์ฯ อีกสองเล่ม เล่มหนึ่งนั้นท่าน
ได้ลิชิตเรื่องราวเกี่ยวกับการพยากรณ์อย่างพิศดารของชาวเมืองบังบด
ส่วนอีกเล่มเป็นประวัติชีวิตของพระอาจารย์ พระมหาศรีมงคลบรรพตมุนี กับประวัติของพระองค์ท่าน

ต่อมาพระมหาเถระศรีศรัทธาฯ ได้ละสังขารภายในถ้ำนั้นเอง อาสนะและเครื่องใช้ต่าง ๆ
ยังได้ถูกเก็บรักษาอยู่ในถ้ำนี้และต่อมาองค์สมเด็จพระนเรศวรได้มาถึง
ได้เก็บสมบัติต่าง ๆ ของพระองค์ไว้ ณ ถ้ำนี้ด้วย
สังขารของพระมหาเถระศรีศรัทธาฯ ได้รับการฝังในถ้ำนี้อย่างเรียบง่ายโดย "ท่านฤาษีดาบส"
และคัมภีร์เล่มหนึ่งซึ่งเขียนเรื่องการพยากรณ์อย่างพิศดารได้ถูกเก็บในถ้ำนี้

ส่วนคัมภีร์เกี่ยวกับประวัติพระอาจารย์และพระมหาเถระศรีศรัทธาฯ "ท่านปู่พยัคเมฆา"
ได้เอาไปเก็บรักษาไว้ ถ้ำนั้นได้ถูกปิดตาย ไม่มีผู้ได้สามารถเห็นได้
เนื่องจากชาวเมืองบังบดได้ปิดดินแดนไว้ ซึ่งบุคคลทั้วไปขึ้นไปยังเขานี้ก็จะไม่พบเห็นถ้ำประการใด

มีประสบการณ์ครั้งหนึ่งมีคนขึ้นไปบนเขาเพื่อตัดไม้ทำลายป่า
ไปพบหญิงแต่งตัวชุดโบราณมาปรากฏจนปัจจุบันนี้ไม่มีใครกล้าขึ้นไปตัดไม้้ทำลายป่า ณ เขาลูกนี้ได้อีก

เรื่องราวนี้ได้เพิ่มเติมจากนิมิตศิษย์ท่านหนึ่งนำพาตำนานจาก "ปู่ดาบส"
เป็นผู้นำพาเยี่ยมชมสถานที่เป็นตำนานของสุวรรณโคมคำในกาลปัจจุบัน

ชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ
(ข้อความเหล่านี้เป็นลิขสิทธิ์ของชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ)
โดย สิเนรุ