สมาธิในบ้าน

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย อริยะบุญ, 21 กรกฎาคม 2011.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นานา2523

    นานา2523 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +9
    คุณพ่อ ไำม่ให้น้องตุ้ยไำปเยี่ยม ปู่อือลือ บ้างหรอคะ

    อยากรู้จัง
     
  2. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    ติดตามบทความคุณพ่อน้องตุ้ยและน้องตุ้ยเสมอนะค่ะ
     
  3. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
    หลวงปู่ขาว

    [​IMG]:cool:
     
  4. swanred

    swanred สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +12
    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ จะใช่หรือไม่ ผมอัพรูปไม่เป็นครับ
     
  5. อริยะบุญ

    อริยะบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +1,739
    วันนี้ตุ้ยไปฝึกกสิณดินมาแล้วครับ กับ
    หลวงปู่รัศมี บาจาพรหม พระอรหันต์ที่ทรงอภิญญา

    ไม่รู้ว่าท่านทั้งหลายเคยได้ยินชื่อนี้ไม๊ ก็ไม่แน่ใจว่าท่านอยู่ในยุคไหน

    เดี๋ยววันหลังจะมาเล่าให้ฟังครับ

     
  6. Zintellar

    Zintellar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +143
    อนุโมทนา สาธุ กับน้องตุ้ยด้วยครับ ผมไม่รู้จักพระซักเท่าไหร่นอกจากองค์ที่ดังกันจริงๆ
     
  7. อำไพพันธุ์

    อำไพพันธุ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +905
    และแล้วก็ได้อาจารย์ ที่ไม่ใช่มนุษย์ หลวงปู่รัศมี บาจาพรหม (ไม่รู้จักครับไม่รู้ยุคใหน)

    เท่าที่รู้จัก เก่าแก่สุด ก็หลวงปู่เทพ โลกอุดรครับ

    โมทนา กับน้องตุ้ยครับผม
     
  8. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ยินดีด้วย ที่น้องตุ้ยเจออาจารย์แล้ว รออ่านตอนต่อไปค่ะ
     
  9. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ดีใจจากใจนะนี่ น้องตุ้ยได้พระอาจารย์แล้ว โมทนาสาธุด้วยนะจ๊ะ
     
  10. Pawanrat-jin

    Pawanrat-jin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,052
    ค่าพลัง:
    +3,939
    ไม่รู้จักท่านเหมือนกันค่ะ

    แต่ก็ดีใจด้วยนะคะ

    ได้ครูบาอาจารย์แล้ว...
     
  11. คนไม่รุ้

    คนไม่รุ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +116
    :cool:เก่งมากเลย
     
  12. os45363

    os45363 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    จากพระสูตร

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>


    ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค


    ๒. สามัญญผลสูตร



    รูปฌาน ๔
    </PRE>

    [๑๒๗]เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน ย่อมเกิดปราโมทย์เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุขเมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น.
    </PRE>


    เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน <O:p></O:p>
    </PRE>

    มีวิตก มีวิจารมีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัวที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง
    </PRE>


    [๑๒๘]อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน<O:p></O:p>
    </PRE>

    มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตก วิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอทำกายนี้แหละ ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่าน ด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง.
    </PRE>


    [๑๒๙]อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่าผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอทำกายนี้ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยสุขอันปราศจากปีติไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัวที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง
    </PRE>


    [๑๓๐]อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง
    </PRE>

    วิชชา ๘
    </PRE>

    วิปัสสนาญาณ
    </PRE>

    [๑๓๑]ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสนะ<SUP>๑-</SUP>เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูปประกอบด้วยมหาภูต<SUP>๒-</SUP>๔ เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสดไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดาและวิญญาณของเรานี้ ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใสแวววาว<O:p></O:p>
    </PRE>

    สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลืองแดงขาวหรือนวลร้อยอยู่ในนั้น บุรุษมีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นั้นวางไว้ในมือแล้วพิจารณาเห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลืองแดงขาวหรือนวลร้อยอยู่ในแก้วไพฑูรย์นั้นฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสนะ เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แลมีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลาย<O:p></O:p>
    </PRE>

    กระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.
    </PRE>

    มโนมยิทธิญาณ
    </PRE>

    [๑๓๒]ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิต รูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่องดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่านี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง
    </PRE>

    อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก<O:p></O:p>
    </PRE>

    @๑. ญาณทัสสนะ เป็นชื่อของญาณชั้นสูง คือมรรคญาณ ผลญาณ สัพพัญญุตญาณ ปัจจ-
    </PRE>

    @ เวกขณญาณ และวิปัสสนาญาณ ฯ
    </PRE>

    @๒. ได้แก่ธาตุ ๔ คือ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม ฯ
    </PRE>

    ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่งก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.<O:p></O:p>
    </PRE>

    อิทธิวิธญาณ
    </PRE>

    [๑๓๓]ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนช่างหม้อหรือลูกมือของช่างหม้อผู้ฉลาด เมื่อนวดดินดีแล้ว ต้องการภาชนะชนิดใดๆ พึงทำภาชนะชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างงาหรือลูกมือของช่างงาผู้ฉลาด เมื่อแต่งงาดีแล้ว ต้องการเครื่องงาชนิดใดๆ พึงทำเครื่องงาชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างทองหรือลูกมือของช่างทองผู้ฉลาด เมื่อหลอมทอง
    </PRE>


    ดีแล้ว ต้องการทองรูปพรรณชนิดใดๆ พึงทำทองรูปพรรณชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไป
    </PRE>

    เพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดี
    </PRE>

    ยิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.<O:p></O:p>
    </PRE>

    ทิพยโสตญาณ
    </PRE>

    [๑๓๔]ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลส อ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทิพยโสตธาตุ เธอย่อมได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยทิพยโสตธาตุ อันบริสุทธิ์ล่วงโสตของมนุษย์ ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษเดินทางไกล เขาจะพึงได้ยินเสียงกลองบ้าง เสียงตะโพนบ้าง เสียงสังข์บ้าง เสียงบัณเฑาะว์บ้าง เสียงเปิงมางบ้าง เขาจะพึงเข้าใจว่าเสียงกลองดังนี้บ้าง เสียงตะโพนดังนี้บ้าง เสียงสังข์ดังนี้บ้าง เสียงบัณเฑาะว์ดังนี้บ้าง
    </PRE>

    เสียงเปิงมางดังนี้บ้าง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทิพยโสตธาตุ เธอย่อมได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยทิพยโสตธาตุอันบริสุทธิ์ล่วงโสตของมนุษย์ ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.
    </PRE>

    เจโตปริยญาณ
    </PRE>

    [๑๓๕]ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณเธอย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ คือจิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรรคต หรือจิตไม่เป็นมหรรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ
    </PRE>

    ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้นดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนหญิงสาวชายหนุ่มที่ชอบการแต่งตัว เมื่อส่องดูเงาหน้าของตนในกระจกอันบริสุทธิ์สะอาด หรือในภาชนะน้ำอันใส หน้ามีไฝ ก็จะพึงรู้ว่าหน้ามีไฝ หรือหน้าไม่มีไฝ ก็จะพึงรู้ว่าหน้าไม่มีไฝ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ เธอย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นด้วยใจ คือจิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะหรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่านจิตเป็นมหรรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรรคต หรือจิตไม่เป็นมหรรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นหรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.
    </PRE>


    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    </PRE>

    [๑๓๖]ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณเธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้างสี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด
    </PRE>

    อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมากพร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงจากบ้านตนไปบ้านอื่น แล้วจากบ้านนั้นไปยังบ้านอื่นอีก จากบ้านนั้นกลับมาสู่บ้านของตนตามเดิมเขาจะพึงระลึกได้อย่างนี้ว่า เราได้จากบ้านของเราไปบ้านโน้น ในบ้านนั้น เราได้ยืนอย่างนั้นได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น เราได้จากบ้านแม้นั้นไปยังบ้านโน้น แม้ในบ้านนั้นเราก็ได้ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น แล้วเรากลับจากบ้านนั้นมาสู่บ้านของตนตามเดิม ดังนี้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้างสามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้างตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมาก
    </PRE>

    บ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้นเสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้นแม้ในภพนั้นเราก็มีชื่อนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
    </PRE>

    ดูกรมหาบพิตรนี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ข้อก่อนๆ.
    </PRE>

    จุตูปปาตญาณ
    </PRE>

    [๑๓๗]ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วง จักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อม
    </PRE>

    เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริตวจีสุจริต มโนสุจริตไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ เปรียบเหมือนปราสาทตั้งอยู่ ณ ทาง ๓ แพร่งท่ามกลางพระนคร บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนปราสาทนั้น จะพึงเห็นหมู่ชน
    </PRE>

    กำลังเข้าไปสู่เรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลังสัญจรเป็นแถวอยู่ในถนนบ้าง นั่งอยู่ที่ทาง๓ แพร่งท่ามกลางพระนครบ้าง เขาจะพึงรู้ว่า คนเหล่านี้เข้าไปสู่เรือน เหล่านี้ออกจากเรือนเหล่านี้สัญจรเป็นแถวอยู่ในถนน เหล่านี้นั่งอยู่ที่ทาง ๓ แพร่งท่ามกลางพระนคร ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงานตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลายเธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยากด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้
    </PRE>


    อาสวักขยญาณ
    </PRE>

    [๑๓๘]ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว. รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี. ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนสระน้ำบนยอดเขาใสสะอาด ไม่ขุ่นมัวบุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนขอบสระนั้น จะพึงเห็นหอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและ
    </PRE>

    ก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง กำลังว่ายอยู่บ้าง หยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำ เขาจะพึงคิดอย่างนี้ว่าสระน้ำนี้ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว หอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้างฝูงปลาบ้าง เหล่านี้กำลังว่ายอยู่บ้าง กำลังหยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำนั้น ดังนี้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงานตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้ อาสวะ นี้อาสวสมุทัยนี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ
    </PRE>

    แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี <O:p></O:p>
    </PRE>

    </PRE>
    <O:p></O:p>
    </PRE>

    </PRE>

    </PRE>
    <O:p></O:p>
    </PRE>

    </PRE>

    </PRE>
     
  13. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    ผมตามอ่านกระทู้ของคุณมาสักพักหนึ่งละ และในวันนี้ผมสะดุดตรงประโยคที่คุณบอกว่า "วันนี้ คุณพ่อหมดไส้หมดพุงที่จะสอนแล้ว จึงเป็นเหตุให้ตุ้ยต้องแสวงหาครู อาจารย์ที่มีความสามารถ ซึ่งวันนี้ตุ้ยจะทำการสืบเสาะค้นหาเองว่าท่านผู้ใดที่เขาจะไปฝากตัวเป็น ศิษย์ได้"

    ซึ่งมันถึงวาระจิตของน้องตุ้ยแล้วครับ ผมจึงขอชี้แนะตามวาระกิจเช่นเดียวกันว่า

    1. อธิษฐานจิตต่อพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ว่า "ด้วย แรงอธิษฐานของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าขอเบิกบุญญาธิการและบุญกุศลเก่าตั้งแต่ต้นจิตต้นชาติต้นกัปป์ต้น กัลล์ทุกอณูวินาทีทุกภพทุกชาติจนถึงปัจจุบันชาติและขอบุญฤทธิ์สิทธิเฉียบขาด ของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จงเป็นอานิสงค์ทำให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพุทธะจิตหรือจิตแห่งพระพุทธองค์ทุกๆ พระองค์ และเข้าถึงสรรพวิชชาต่างๆ ในอดีตชาติโดยเร็ววันด้วยเทอญ สาธุ" อธิษฐานประมาณนี้นะครับ อธิษฐานครั้งเดียวพอครับ แต่ถ้าปฏิบัติต่อไปแล้วติดขัดก็อธิษฐานประมาณนี้อีกที แต่เจาะจงเรื่องที่จะขอไปครับ ขอได้แต่อย่าขาดความเพียรครับ

    2. ด้วยแรงอธิษฐานนี้ เมื่ออธิษฐานเสร็จ นับถอยหลังเป็น นาที,ชั่วโมง เป็นวัน ไม่เกินกว่านี้แน่นอน อย่างช้าสุดไม่เกิน 2-3 วัน แต่อย่างน้องตุ้ยเร็วกว่านี้แน่นอน บุญญาธิการบุญกุศลเก่าของน้อยตุ้ยและของพระพุทธองค์ท่านจะดลใจน้องเค้าให้ เข้าสู่วิถีแห่งจิตด้วยธรรมกายเองครับ เมื่อเข้าถึงพุทธะจิตแล้ว ครูที่สอนน้องเขาก็คือพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์หรือพุทธะจิตครับ ซึ่งจิตแห่งพุทธะนี้เป็นจิตหนึ่งเดียวกับพระพุทธองค์ทุกๆ พระองค์ครับ พุทธะจิตนี้จะเป็นเหมือนพี่เลี้ยงคอยสั่งสอนและฝึกฝนจิตกายสังขารของน้อง ตุ้ย อันดับแรก คือ จะสอนให้ละกิเลสทั้งปวงให้เบาบางลง รวมถึงเวทนาต่างๆ เพื่อทำจิตให้ใสบริสุทธิ์เท่าเทียมหรือมากกว่าจิตญาณเดิมในอดีตชาติชาติที่ น้องตุ้ยเคยปฏิบัิติธรรมได้สูงสุดและเคยได้สรรพวิิชชาต่างๆ และอภิญญาต่างๆ อันสูงสุดมาแล้ว

    เมื่อน้องตุ้ยเข้าถึงภาวะจิตทั้ง 2 อย่างนี้แล้ว คือ

    1. เมื่อจิตบริสุทธิ์เท่าเทียมหรือมากกว่าจิตญาณเดิมในอดีตแล้ว ณ กาลนี้น้องตุ้ยยังเด็กอยู่ ฉะนั้น กิเลสยังเบาบางอยู่ แต่เมื่อเติบใหญ่ กิเลสจะเยอะขึ้นตามสิ่งเร้าต่างๆ ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมของเขา ฉะนั้น กาลนี้จึงเหมาะควรและง่ายต่อการเข้าถึงจิตอันบริสุทธิ์ที่เท่าเทียมกับจิต ญาณเดิมในอดีต และพุทธะจิตจะคอยขัดเกลาจิตกายสังขารของน้องตุ้ยตลอดเวลาเองครับ

    2. เมื่อทรงณานได้แก่กล้าแล้ว สามารถทรงณานได้เกือบตลอด 24 ชั่วโมงในทุกอิริยาบทติดต่อกันเป็นเวลานานหลายวันหลายเดือนและจิตมันจะทรง ณานได้อย่างอัตโนมัติเป็นธรรมชาติตลอดเวลาเองครับ เพื่อรองรับสภาวะธรรมหรือสรรพวิชชาต่างๆ ที่จะถูกถ่ายทอดหรือก๊อปปี้จากจิตญาณเดิมในอดีตสู่จิตปัจจุบัน แต่การถ่ายทอดจิตสู่จิตนี้ จะค่อยๆ มา แต่ใช้เวลาไม่นานเท่าไร แล้วแต่บุญญาธิการและความเพียรของแต่ละคนครับ คุณประโยชน์ของวิชชาธรรมกายนี้จึงเป็นวิชชาเก่าแก่โบราณของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่สำคัญที่ใช้ในการตรัสรู้และใช้ในการถ่ายทอดสรรพวิชชาต่างๆ และสภาวะธรรมต่างๆ ต่อเนื่องกันมาในทุกๆ ชาติ และนำมาต่อยอดการบำเพ็ญเพียรในชาติต่อๆ ไป หรือที่มนุษย์เรียกว่า "การตรัสรู้โดยฉับพลัน"

    ขอให้เจริญในธรรม
    ธรรมภูมิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2011
  14. อริยะบุญ

    อริยะบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +1,739
    เสาะแสวงหาครูอาจารย์

    “ตุ้ยครับ นี่อีกไม่กี่วันตุ้ยก็จะอายุแปดปีแล้วนะลูก คุณพ่อว่านะ สมาธิที่ตุ้ยทำอยู่ทุกวันนี้ พ่อว่าตุ้ยน่าจะพัฒนาไปอีกนะ”<o></o>
    “พัฒนายังไงพ่อ”<o></o>
    “จริงแล้วมันยังมีขั้นสูงกว่านี้ไปอีกนะลูก แต่คุณพ่อไม่รู้จะแนะนำอะไรตุ้ยได้แล้ว คือเกินความสามารถคุณพ่อครับ”<o></o>
    <o></o>
    คุณพ่อคุยกับตุ้ยขณะที่กำลังจุดเทียนอยู่ที่โต๊ะหมู่บูชา ขณะที่มีเจ้าตุ้ยนั่งถือธูปอยู่ข้างๆ<o></o>
    <o></o>
    “พ่อก็แนะนำตุ้ยดีแล้วนี่ครับ ตุ้ยยังทำว่างๆไม่คล่องเลย”<o></o>
    “เดี๋ยวนะ วันนี้พ่อจะอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่ตุ้ยทำสมาธิทุกวันและภาพที่ตุ้ยเห็นนี่มันคืออะไร”<o></o>
    “ยังไงพ่อ”<o></o>
    <o></o>
    ตุ้ยถามด้วยความสงสัย พร้อมๆกับถอยหลังกลับมาที่เบาะรองนั่งเพื่อเตรียมตัวสวดมนต์<o></o>
    <o></o>
    “คืองี้นะลูก สิ่งที่ตุ้ยบอกคุณพ่อว่า เวลานับลมหายใจแล้วบอกว่ามันเหมือนดวงอาทิตย์สีส้มๆนี่คือ สมาธิแบบกสิณนะลูก”<o></o>
    “ยังไงพ่อไม่เข้าใจ”<o></o>
    “คือมันเป็นนิมิตที่เกิดขึ้นสำหรับคนที่ฝึกสมาธิแบบกสิณครับ ซึ่งการฝึกสมาธิแบบกสิณมีด้วยกัน ๑๐ แบบฝึกนะครับ”<o></o>
    “โห ตั้งสิบแบบเลยหรือพ่อ แล้วอะไรบ้าง”<o></o>
    “ก็มีเพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ สีขาว สีแดง สีเหลือง สีเขียว อากาศ แล้วก็แสงสว่างครับ คือเขาจะเพ่งสิ่งเหล่านี้เพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่งครับ แล้วตอนนี้คุณพ่อเชื่อว่าตุ้ยได้กองหนึ่งแล้วนั่นคือ กสิณแสงสว่างครับ ที่ตุ้ยบอกว่าเป็นดวงอาทิตย์สีส้มๆนั่นแหละ”<o></o>
    “ทำไมพ่อไม่สอนตุ้ยเลยละ”<o></o>
    “พ่อไม่มีความรู้ขนาดนั้นครับ คุณพ่อเลยอยากให้ตุ้ยไปถามดวงแก้วดูว่า ใครคืออาจารย์ที่ตุ้ยจะพอไปฝึกด้วยได้”<o></o>
    “ครับ”<o></o>
     
  15. อริยะบุญ

    อริยะบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +1,739
    ตุ้ยตอบรับ พร้อมกับก้มกราบพระไปด้วย และคุณพ่อก็ก้มกราบพระเช่นกัน แต่ก่อนที่จะสวดมนต์คุณพ่อเลยบอกสำทับไปอีกว่า <o>
    </o>
    <o></o>
    “วันนี้วันพระเป็นโอกาสอันดีที่จะเสาะแสวงหาอาจารย์นะ ลองเข้าไปถามดวงแก้วดูนะ”<o></o>
    “ครับ”<o></o>
    <o></o>
    ตุ้ยตอบรับพร้อมผงกศีรษะรับ จากนั้นตุ้ยกับคุณพ่อก็สวดมนต์ต่อไป เมื่อตุ้ยสวดมนต์เสร็จเขาก็เปลี่ยนท่านั่งและเข้าสมาธิตามเดิม คุณพ่อก็สวดมนต์ต่อไป<o>
    </o>
    <o></o>
    คุณพ่อก้มกราบพระหลังจากที่สวดมนต์เสร็จ แล้วก็หันไปมองตุ้ยที่กำลังนั่งหลับตาอยู่ ไม่นานเขาก็ลืมตาขึ้น<o></o>
    <o></o>
    “เจอไม๊ลูก”<o></o>
    “ตุ้ยเห็นท่านในดวงแก้วครับ ดวงแก้วแสดงให้ดู ท่านเป็นพระแก่ๆนะพ่อ หน้าสี่เหลี่ยม มีไฝบนหน้าผาก ตัวผอมๆท่านเป็นพระอรหันต์นะพ่อ เกิดตั้งนานแล้ว”<o></o>
    “ตุ้ยรู้จักชื่อไม๊”<o></o>
    “ไม่ครับ ตุ้ยไม่ได้ถาม”<o></o>
    <o></o>
    อืม...แล้วท่านไหนละทีนี้ พระอริยะในประเทศไทยมีเป็นร้อย เป็นพัน แต่ทรงอภิญญาพอมีอยู่ แต่ลักษณะแบบนี้ไม่คุ้นเลยลูก <o></o><o>
    </o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2011
  16. อริยะบุญ

    อริยะบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +1,739
    ฝึกกสิณดินกับหลวงปู่รัศมี บาจาพรหม

    [FONT=&quot]“พ่อ ตุ้ยไปฝึกกสิณดินมา”[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] นั่นไง งานเข้า.... ลูกตูถอดกายทิพย์ไปฝึกกสิณ ฮ่าๆๆๆ.... เอิ้ก <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ตุ้ยพูดขึ้น หลังจากที่ถอนออกจากสมาธิ ซึ่งวันนี้ก็ดังเช่นทุกวันนั่นคือคุณพ่อต้องนั่งรอหลังจากสวดมนต์เสร็จ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“อ้าว...หรือครับแล้วไปฝึกอะไรยังไงเล่าให้คุณพ่อฟังหน่อย”[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]“ตุ้ยก็ไปหาอาจารย์ ท่านเป็นพระน่ะพ่อ เป็นพระอรหันต์ท่านสอนตุ้ย”[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]“ท่านชื่ออะไรรู้ไม๊ลูก”[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]“พ่อท่านชื่อ หลวงปู่รัศมี บาจาพรหม ครับ คือชื่อเดิมคือรัศมี บาจาพรหม ชื่อเล่นหลวงปู่รัศมี”[FONT=&quot]<o>
    </o>[/FONT]
    [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] เอ...ใครละหว่าชื่อไม่ยักเคยได้ยิน ชื่อ หลวงปู่รัศมี บาจาพรหม อาจารย์คนใหม่ของตุ้ย<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“ท่านเป็นใคร อะไรยังไงลูก”[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]“พ่อหลวงปู่ท่านมรณภาพนานแล้วนะ หน้าตาก็เหมือนที่ตุ้ยเล่าให้พ่อฟังนั่นแหละครับ หลวงปู่ใจดีนะพ่อ พอตุ้ยไปท่านเหมือนอยู่ที่วัดนะพ่อ ปราสาทแก้วหลังใหญ่มาก ท่านลงมารอตุ้ยอยู่ก่อนแล้ว”<o></o>[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“แล้วท่านสอนอะไรตุ้ยครับ”[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]“พอตุ้ยขึ้นไป ตุ้ยก็เข้าไปกราบแล้วก็บอกว่า หลวงปู่ครับ สอนกสิณให้ผมด้วยครับ”[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]“นี่ตุ้ยเข้าไปขอให้ท่านสอนให้ด้วยหรือครับ”[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]“ใช่พ่อ พอท่านเห็นตุ้ย ท่านก็พูดขึ้นว่า อ้อ..ไอ้เด็กคนนี้นี่เอง ข้าเห็นเองในลูกแก้ว พ่อท่านก็เห็นตุ้ยเหมือนกันกับที่ตุ้ยเห็นท่าน”[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] เรื่องกสิณ ๑๐ คุณพ่อได้เคยบอกกับตุ้ยว่า ตอนนี้ที่ตุ้ยเห็นเป็นดวงอาทิตย์สีส้มๆแล้วเพ่งเข้าไปเป็นดวงแก้วใสระยิบระยับนั้นคือ กสิณแสงสว่าง และคุณพ่อก็บอกว่ายังเหลืออีก ๙ อย่างที่เขายังไม่ได้ <o>
    </o>
    [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ในคืนนั้นคุณพ่อก็บอกกับตุ้ยว่า ที่ตุ้ยยังไม่ได้คือ กสิณดิน กสิณน้ำ กสิณลม กสิณไฟ กสิณสีขาว กสิณสีแดง กสิณสีเหลือง กสิณสีเขียว และกสิณอากาศ ซึ่งคุณพ่อเองก็บอกแต่เพียงชื่อว่าเป็นกสิณอะไรบ้างเท่านั้น แต่ในส่วนรายละเอียดคุณพ่อไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง เพียงแต่บอกว่าไปเรียน ไปฝึกเอาเอง จึงเป็นที่มาของการค้นหาอาจารย์ที่จะมาฝึกกสิณให้เขา<o></o>[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2011
  17. อริยะบุญ

    อริยะบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +1,739
    “แล้วไงต่อลูก”<o></o>
    “จากนั้นท่านก็พาตุ้ยไปในป่า ป่าสะอาดนะพ่อไม่รกรุงรังครับ แล้วหลวงปู่ก็เอาดินใส่ขันมาให้ตุ้ยเพ่ง ให้เต็มตา แล้วก็ให้ตุ้ยภาวนาไปด้วยว่า ดินๆๆๆ ไม่นานดินจากที่อยู่ในขันใช่ไม๊พ่อ ดินสีออกน้ำตาลนะ ก็ลอยขึ้นมารวมกันที่ตรงหน้าตุ้ยเป็นก้อนกลมๆ แล้วก็เปลี่ยนเป็นสีแก้วใสระยิบระยับ”<o></o>
    “ตุ้ยเพ่งนานไม๊ลูก” <o></o>
    “ไม่นานพ่อ พอตุ้ยจ้องดูแล้วภาวนาไปแป๊ปเดียวก็เป็นแก้ว”<o></o>
    <o></o>
    โอ้... กสิณสมาธิขั้นเทพ ..ยิ่งเล่าคุณพ่อยิ่งงึดอีหลีเด้อ…<o>
    </o>
    <o></o>
    “ก็แสดงว่าได้แล้วใช่ไม๊”<o></o>
    “ครับ จากนั้นหลวงปู่ก็ให้ตุ้ยแยกร่าง หลวงปู่ก็แยกร่างนะพ่อคือหลวงปู่ทำให้ดู ตุ้ยเลยแยกร่างออก และก็แยกออกไปเรื่อยๆไม่หยุด เป็นร้อยเลยนะพ่อ”<o></o>
    “เป็นร้อยหรือครับ”<o></o>
    “ครับ แล้วตุ้ยก็โดนหลวงปู่เขกหัวเอา พร้อมกับบอกว่าตุ้ยด้วย นี่อย่าทำเป็นเล่น โดนเขกไปโป๊กนึงเลย มีตุ้ยเป็นร้อยแต่หลวงปู่รู้ว่าตัวจริงตุ้ยอยู่ที่ไหน”<o>
    </o>
    <o></o>
    เอ้า...กำ.เห้ย.. แยกร่างจากกสิณดิน ตุ้ยไปรู้มา งำๆๆๆ ตูไม่เคยสอนอะไรเลย อุ๊ย...ขนลุกเลย<o>
    </o>
    <o></o>
    “อืม..แยกร่างหมายถึงกายทิพย์แยกร่างออกไปใช่ไม๊ครับ”<o></o>
    “ครับ แยกออกไปได้เยอะเลยพ่อ จะแยกไปเท่าไหร่ก็ได้ พอตุ้ยทำได้แล้ว หลวงปู่ก็บอกว่า ข้าไปละวันหลังค่อยมาฝึกใหม่ หลวงปู่เดินไวมากนะพ่อ เดินแค่ก้าว สองก้าว ไปไกลเลย”<o>
    </o>
    <o></o>
    โอ้ละหนอ....อึ้งกิมกี่เลยตู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2011
  18. อริยะบุญ

    อริยะบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +1,739
    ส่งเสียงหน่อยนะครับ.. เงียบๆกันเดี๋ยวคนเขียนหมดกำลังใจเขียนก่อนเด้อ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2011
  19. tawan13

    tawan13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,263
    ค่าพลัง:
    +4,303
    อนุโมทนาครับ
    มองเส้นทางแล้วตัวเองยังเห็นแต่ทาง แต่จุดหมายยังไม่มีวี่แววแม้แต่ภาพ
     
  20. noolegza

    noolegza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +3,844
    ยังคอยติดตามเเละเป็นกำลังใจให้ครับ . .สักวัันจะพัฒนาให้ถึงแบบน้องตุ้ยบ้าง อิอิ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...