สมาธิในบ้านทุกท่านทำได้จริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บดินทร์จ้า, 17 มิถุนายน 2008.

  1. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ผลจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุให้เกิดครับ ลองตั้งสติพิจารณาดูให้ดีๆครับ
    อาหาร ๔ อย่าง
    อาหารคือคำข้าว หยาบและละเอียด๑
    ผัสสะ ๑
    ความคิดอ่าน(จงใจ)(เจตนา)๑
    วิญญาณ ( ความรู้แจ้งทางวิญญาณ ๖)๑ สิริรวมเป็น ๔
    ก่อนตื่นฝันไป .... แบบมัวๆ ไม่ชัดว่าคือใคร แต่เรื่องฝันนี้ ถ้าทำอะไรผิดศีลในฝันนี้ ถือว่า ผิดศีลหรือไม่ ถือว่าเป็นเจตนาหรือไม่
    อะไรที่เป็นอกุศลย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง ทุคติพึงหวังได้ครับ พยายามรักษาศีลให้ได้ทั้งหลับ(แม้กระทั่งความฝัน) และ ตื่นครับ
     
  2. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    อย่าสนใจกับร่างกายมากนัก จิตกำลังรวมไปที่จุดใดจุดหนึ่งในร่างกาย ปฏิบัติต่อไปแล้วจะทราบเองครับ
     
  3. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    อยากสอบถามคุณบดินทร์จ้าเรื่องอากาศแก้วค่ะ
    ว่ามีลักษณะเป็นยังไงคะ แล้วเกิดจากอะไร
    ทำไมถึงเห็น เราสังเกตุว่าเราเคยเห็นเหมือนเป็น
    โมเลกุลหรือละอองหรืออะไรเรียกไม่ถูกค่ะ วิ่งไปมา
    ในอากาศ ตอนมองขึ้นไปบนฟ้าจะเห็นชัดและต้อง
    มองแบบเบลอ ๆ ค่ะ เรากำลังคิดว่ามีปัญหาสายตา
    รึเปล่า แต่หาข้อมูลทางเน็ตก็ไม่พบ พออ่านเรื่อง
    ของคุณก็เลยอยากทราบขึ้นมาค่ะว่าคืออะไร แล้ว
    ทำไมถึงเห็น แล้วคนอื่นเห็นเหมือนกันรึเปล่า (อ้อ
    ไม่ใช่ฟองอากาศที่เห็นเนื่องจากวุ้นในตาเสื่อมนะคะ
    เพราะอันนั้นเราก็เห็น แต่ลักษณะไม่เหมือนกันค่ะ
    ขอบคุณและขออนุโมทนากับข้อมูลดีๆที่หาอ่านได้
    ยากนะคะ ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ คุณทำให้เราอยากกลับ
    ไปปฏิบัติอีก(เราเลิกมาประมาณ 3 เดือนแล้วหลัง
    จากปฏิบัติไปปีกว่า)[/QUOTE]

    สำหรับของคุณเป็นผลจากการเข้าอรูปฌาน ซึ่งเิกิดการเพิกกสินหรือรูิป เป็นการดึงสติมาที่อากาศแทน จึงเกิดเป็นโมเลกุล หากพิจารณาต่อไปอีกก็จะรวมตัวคล้ายๆวิญญาณ (ให้ดูการรวมตัวของก้อนเมฆ ลองพิจารณาดูครับ )
    ส่วนของผมเป็นผลมาจากการดึงสติมาที่ลูกตาดำ หรือทวารประตู ควบคุมจักขุทวาร เกิดการมองผ่านน้ำหล่อเลี้ยงในตา จึงใสดังแก้วครับ ซึ่งเป็นผลจากการเจริญวิปัสสนาควบคู่กันครับ แม้แต่กลางคืนก็สามารถเห็นได้เเม้มีแสงเล็กน้อย
     
  4. รักในหลวงครับ

    รักในหลวงครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +101
    ผมเองก็กำลังสนใจเรื่องอานาปานุสสติกรรมฐานพอดี
    ตอนนี้ฝึกมาได้รวมกันจนถึงวันนี้ก็1เดือนเต็มๆเเต่ผมปฎิบัติมาถูกไหมก็ไม่ทราบจึงอยากได้คนเเนะนำผมหน่อยถ้าให้ดีผมขอเมล์เจ้าของกระทู้ได้ไหมครับเผื่อผมมีปัญหาจะได้ถามเป็นการส่วนตัวรับ
     
  5. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    เสียงเป็นปฏิปักษ์ต่อ ปฐมฌาน



    แก้ไขอย่างไรดีค่ะ ..สงสัยตัวเองหูจะดีเกินไปแล้วค่ะ
    วันนี้ ตอนกลางวัน กำลังจะนั่งสมาธิ กำลังผ่อนลมหายใจ แต่ยังไม่ได้เข้าสมาธิ
    วันนี้นั่งในห้องลูก เพราะมืดดี ในห้องลูกมี นาริกา 2 อันตั้งอยู่บนโต๊ะ เป็นแบบดิจิตอล กับ นาริกาข้อมือ กำลังผ่อนลมหายใจจะทำสมาธิ ก็ได้ยินเสียง ติ๊กๆๆๆ ชัดเจน โอเค นาริกาแหงๆ ก็ เดินไปหยิบนาริกาดิจิตอลไปวางไว้ไกลๆ หน่อย ก็มานั่งต่อที่เดิม ยังไม่ทันได้ตั้งท่าใดๆ ติ๊กๆ ๆๆ โอ้วววว นาริกาข้อมืออันเล็กๆ ได้ยินชัดเจนมาก ระยะห่างจากที่เรานั่งกับนาริกา ประมาณ 1 เมตร เป็นติ๊กแบบ สองแบบ เพราะนาริกา 1 เครื่อง มี 2 ตัวเรือนบอกเวลาประเทศไทย และ เวลาที่นี่ ........
    โอ้วว แล้วที่นี่ จะหาความสงบได้จากไหนค่ะ คุณบดินทร์ช่วยด้วย ทำไงดีให้หูดับได้แบบไม่ต้องการได้ยินอะไร เพราะปัจจัยภายนอก มันกำหนดไม่ได้จริงๆ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2010
  6. มือไหม

    มือไหม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +11
    กระทู้ดี ๆ ต้องช่วยกันรักษาไว้ให้กับผู้ที่พึ่งเข้ามาใหม่ครับ

    กระผมก็ได้ความรู้จากกระทู้นี้ไปไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

    สาธุ สาธุ....
     
  7. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    สวัสดี ปีใหม่ครับพี่
    พี่ครับ พอจะแนะนำผมเกี่ยวกับ อารมณ์ใจในตอนที่เพ่งพระอาทิตย์ได้มั้ยครับ.. เพราะตอนนี้ผมฝึกกสิณไฟ ผมเรียกอุคหนิมิตได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไม่ทรงตัวครับ.. พี่พอจะมีเทคนิควิธีการแนะนำมั้ยครับ
    ขอบคุณครับ
     
  8. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    เคยมีประสบการณ์นั่งทำงานแบบเพลินๆใหมครับ ประเภทไม่ได้ยินเสียงภายนอกมารบกวนเลย จนกระทั่งต้องมีใครมาตะโกนดังๆใกล้ๆ ถึงจะหือ ได้
    อาการแบบนี้วิธีแก้ก็เช่นกัน หางานให้จิตทำ ยกวิตก วิจารณ์ ขึ้นมาแทน
    เช่น ตามรู้ลมหายใจ พร้อมกับภาวนาว่า "ได้ยินหน่อ ๆ ๆ" ตั้งสติไว้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ครับ
    อีกวิธีหนึ่งคือ กำเนิดรู้โดยยกอาการมาพิจารณาเป็น ปัญญา

    อาศัยมีหู + อาศัยมีแหล่งกำเนิดเสียง+ เกิดการกระทบ(โสตวิญญาณ) รวมทั้ง ๓ ว่า โสตผัสสะ เิกิดการเสวยเวทนาอันเกิดจากหู หากเสียงดีเป็นที่พอใจย่อมได้รับความเพลิดเพลินพูดถึงติดใจ จึงมีความกำหนัด เกิดเป็นที่ตั้งแห่งราคานุสัย หากเสียงนั้นไม่เป็นที่ชอบใจ จึงเกิดความขัดเคืองขึ้น จึงเกิดมีปฏิฆานุสัย นอนเนื่องอยู่ หากไม่เสวยสุขและทุกข์ เกิดเป็นอวิชชาขึ้น คือไม่รู้ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

    ส่วนรูป กลิ่น เสียง รส กายสัมผัสก็เช่นกันลองพิจารณาดูนะครับ
    การฝึกในแบบที่ควบคู่กันไประหว่างสมาธิและปัญญา ตามแบบของผม ขอให้เจริญธรรมครับ
     
  9. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    สวัสดีปีใหม่เช่นกันครับ ฝึกอยู่ดีๆ กำลังก้าวหน้าหงัยกับมาตั้งหลักใหม่เสียแล้ว แล้วที่ถอดกาย เข้าๆออกๆ นั่นไม่ได้ตั้งสติตามรู้เลยหรือครับ อย่าไปกลัวมันสิครับ จะเอาแ่ก่นไม้ ไม่ตัดกริ่ง ไม่ตัดใบไม้ ไม่ถางเปลือก ถางกระพี้ แล้วจะได้แก่นหรือครับ น้อง

    ในขณะที่หลายๆคนกลัว ตัณหา อุปาทาน แต่สำหรับผมวิ่งเข้าใส่เลย ไม่งั้นจะรู้ได้อย่างไร ว่าตัณหาที่ส่งผลต่อ ภพ ๓ เป็นเช่นไร ตั้งสติไว้แค่รู้ ไม่ยึดติดก็ก้าวหน้าแล้วครับ อุปมา ดังสายตำรวจ จะสร้างผลงานใหญ่ๆได้ ก็ต้องแฝงตัวเป็นสมุนโจรเสียก่อน

    แค่นี้นะครับ ไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาเท่าไร ยังงัยก็ทิ้งคำถามไว้แล้วกัน ว่างๆจะเข้ามาตอบให้ครับ
     
  10. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749

    สอบถามพี่ๆข้างนอกได้นะครับ มีผู้ชี้แนะได้หลายท่านครับ
     
  11. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    (..............ตั้งสติไว้แค่รู้ ไม่ยึดติดก็ก้าวหน้าแล้ว.................) กำ อารมณ์ เดียวกัน..
    ขอบคุณครับพี่...
     
  12. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    [FONT=&quot]พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค - หน้าที่ 32[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] อุจเฉททิฏฐิ ๗ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] [๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าขาดสูญ ย่อมบัญญัติความ <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิดของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ ๗ ประการ ก็สมณพราหมณ์ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า ขาดสูญย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ ๗ ประการ[/FONT][FONT=&quot]? <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ๕๑. (๑) ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ มีวาทะอย่างนี้ <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้มีรูป สำเร็จด้วยมหาภูตรูป ๔ มีมารดาบิดาเป็น [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แดนเกิด เพราะกายแตก ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเลิกเกิดฉะนั้น [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]อัตตานี้จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด พวกหนึ่งย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่อย่างนี้. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ๕๒. (๒) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้นอย่างนี้ว่า <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้นข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช่จะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ท่านผู้เจริญ ยังมีอัตตาอย่างอื่นที่เป็นทิพย์ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]มีรูป เป็นกามาพจร บริโภคกวฬิงการาหาร ท่านยังไม่รู้ ท่านยังไม่เห็นอัตตาใด ข้าพเจ้ารู้[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ข้าพเจ้าเห็นอัตตานั้นท่านผู้เจริญ เพราะกายแตก อัตตานั้นแลย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องหน้า [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ตาย ย่อมเลิกเกิด [/FONT][FONT=&quot]อัตตานี้จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด พวกหนึ่งย่อมบัญญัติความขาดสูญ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค - หน้าที่ [/FONT][FONT=&quot]33<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ๕๓. (๓) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช่จะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ท่านผู้เจริญ ยังมีอัตตาอย่างอื่นอีกที่เป็น [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ทิพย์ มีรูป สำเร็จด้วยใจ มีอวัยวะใหญ่น้อยครบครัน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ท่านยังไม่รู้ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านยังไม่เห็นอัตตาใด ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็นอัตตานั้น ท่านผู้เจริญ เพราะกายแตก อัตตานี้ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด [/FONT][FONT=&quot]พวกหนึ่งย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิด [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่อย่างนี้. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ๕๔. (๔) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช่จะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ท่านผู้เจริญ ยังมีอัตตาอย่างอื่นที่เข้าถึง [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ชั้นอากาสานัญจายตนะ มีอารมณ์ว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจในนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง [/FONT][FONT=&quot]ท่านยังไม่รู้ ท่านยังไม่เห็นอัตตาใด ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็นอัตตานั้น ท่านผู้เจริญ เพราะกายแตก อัตตานั้นแล ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเลิกเกิด อัตตานี้ จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด พวกหนึ่งย่อมบัญญัติ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ๕๕. (๕) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช่จะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ท่านผู้เจริญ ยังมีอัตตาอย่างอื่นที่เข้าถึงชั้น[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]วิญญาณัญจายตนะ มีอารมณ์ว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะได้โดยประการ [/FONT][FONT=&quot]ทั้งปวง ท่านยังไม่รู้ ท่านยังไม่เห็นอัตตาใด ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็นอัตตานั้น ท่านผู้เจริญ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะกายแตก อัตตานั้นแล ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเลิกเกิด [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]อัตตานี้ จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด พวกหนึ่งย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค - หน้าที่ [/FONT][FONT=&quot]34<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ๕๖. (๖) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช่จะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ท่านผู้เจริญ ยังมีอัตตาอย่างอื่นที่เข้าถึง [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ชั้นอากิญจัญญายตนะ มีอารมณ์ ว่าไม่มีอะไร เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะได้โดยประการทั้งปวง[/FONT][FONT=&quot] ท่านยังไม่รู้ ท่านยังไม่เห็นอัตตาใด ข้าพเจ้ารู้ข้าพเจ้าเห็นอัตตานั้น ท่านผู้เจริญ เพราะกายแตกอัตตานั้นแล ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเลิกเกิด อัตตานี้ จึงเป็น [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]อันขาดสูญอย่างเด็ดขาด พวกหนึ่ง ย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิด [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ๕๗. (๗) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช่จะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ท่านผู้เจริญ ยังมีอัตตาอย่างอื่นที่เข้าถึง [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ชั้นนวสัญญานาสัญญายตนะ (มีอารมณ์ว่า นั่นละเอียด นั่นประณีต ) เพราะล่วงอากิญ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]จัญญายตนะได้โดยประการทั้งปวง ท่านยังไม่รู้ ท่านยังไม่เห็นอัตตาใด ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็น [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]อัตตานั้น[/FONT][FONT=&quot] ท่านผู้เจริญ เพราะกายแตก อัตตานั้นแล ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องหน้า [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ตาย ย่อมเลิกเกิด อัตตานี้ จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด พวกหนึ่งย่อมบัญญัติความขาดสูญ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่อย่างนี้. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่า ขาดสูญย่อมบัญญัติความ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ ๗ ประการนี้แล ดูกรภิกษุ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งมีทิฏฐิว่าขาดสูญ ย่อมบัญญัติความขาดสูญ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ด้วยเหตุ ๗ ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี[/FONT][FONT=&quot]? <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้น [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้ว ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดขึ้น ความดับไป [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค - หน้าที่ [/FONT][FONT=&quot]35<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]คุณและโทษของเวทนาทั้งหลายกับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ๕[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] [๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน <o></o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ ๕ ประการ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่านิพพานในปัจจุบันบัญญัติว่านิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ ๕ ประการ[/FONT][FONT=&quot]? <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ๕๘. (๑) ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ มีวาทะอย่างนี้ <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้ เอิบอิ่ม พรั่งพร้อม เพลิดเพลินอยู่ด้วยกามคุณห้า [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง. พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพาน [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ๕๙. (๒) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้. ข้อนั้นเพราะเหตุ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]อะไร เพราะเหตุว่า กามทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]กามทั้งหลายแปรปรวนเป็นอย่างอื่น จึงเกิดความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ โทมนัส และ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ความคับใจ ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบัน อันเป็น [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ธรรมอย่างยิ่ง พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]อย่างนี้. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค - หน้าที่ [/FONT][FONT=&quot]36<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ๖๐. (๓) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่าปฐมฌานนั้น ท่านกล่าวว่าหยาบ ด้วยยังมีวิตกและวิจารอยู่ ท่านผู้เจริญ เพราะ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]อัตตานี้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้นเพราะวิตก [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]วิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพาน [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ๖๑. (๔) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไรเพราะเหตุว่า ทุติยฌานนั้น ท่านกล่าวว่าหยาบ ด้วยยังมีปีติเป็นเหตุให้จิตกระเหิมอยู่ เพราะ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]อัตตานี้มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติเสวยสุขอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอัน [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]บรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบัน เป็นธรรม [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]อย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ๖๒. (๕) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะเหตุว่า ตติยฌานนั้น ท่านกล่าวว่าหยาบ ด้วยจิตยังคำนึงถึงสุขอยู่ เพราะอัตตานี้บรรลุ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์ เพราะละสุข ละทุกข์ และ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่านิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ ๕ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ๕ ประการนี้เท่านั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี. [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
     
  13. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ด้วยเหตุผลที่อยู่ด้านบนนี้ครับ ถึงบอกให้ตั้งสติไว้แค่รู้ ไม่ยึดติด หากยึดติดก็เป็นการก้าวสู่ภพเป็นผล เสียดายเวลาและโอกาศครับ

    พระอาทิตย์ใกล้บ่ายโมงแล้ว ก็จะเคลื่อนไปสู่ความมืดจนตะวันตกดิน เป็นธรรมชาติที่ทุกท่านรู้จักดี พระธรรมที่พระองค์ตรัสสอนก็เช่นกัน ก็เคลื่อนลงสู่ความมืดลงไปเรื่อยๆ เพราะอกุศลมากกว่ากุศล หากไปเกิดในช่วงที่อกุศลธรรมมากมายแล้วโอกาศเข้าสู่อบายมีสูงมากจริงๆ น่าเสียดายโอกาศ ... หากไปไม่ถึงจริงๆก็ตั้งจิตไว้ให้อยู่ในศาสนาของยุคพระศรีอริยเมตไตร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2010
  14. วริษฐ์

    วริษฐ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +75
    เพิ่งมาเจอกระทู้นี้ครับ ติดตามอ่านมาได้ถึงหน้าที่เจ็ดแล้ว...
    ศัพท์ทางพระพุทธศาสนา ไม่เคยได้ยินมาก่อน ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรครับ ..
    แต่ต่อไปอ่านเรื่อยๆ เดี๋ยวคงเข้าใจมากขึ้นครับ.. เป็นประโยชน์มากเลยครับ...

    จะติดตามต่อไปนะครับ... ขออนุโมทนา สาธุด้วยนะครับ... สาธุๆๆ



    ขอคุณครับ
     
  15. ตถาตา.

    ตถาตา. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +30
    ขออนุโมทนาด้วยครับ

    ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ฝึกนั่งกรรมฐานเองมาร่วมปี ๆแต่ก็ไม่ได้นั่งทุกวันหรอกครับ นั่งครั้งหนึ่งก็ประมาณ หนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ โดยศึกษาจากตำราแต่ก็ไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดสักทีพึ่งจะเข้าใจก็วันนี้แหล่ะครับ จากประสพการณ์ส่วนตัวคิดว่าไม่ไปถึงไหนเลยพยายามรักษาศีล5 และนั่งสมาธิ นั่งมาถึงตรงคำภาวนา พุธโธ หายไปและลมหายใจแทบจะหมดไปเลย การได้ยินลดลงเรื่อย ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งมีความรู้สึกเหมือนตัวความรู้สึกอยู่ตรงกลางที่ว่างเปล่าเหมือนไม่มีตัวตนคิดอะไรไม่ออกนั่งอยู่อย่างนั้นๆ มันสงบอยู่พัก พอนึกขึ้นได้ว่าคำบริกรรมหายไปแล้ว จึงวกกลับมาบริกรรมพุธโธต่อจึงมีสตินึกต่าง ๆได้ แล้วก็พิจารณาสังขารว่ามันไม่เที่ยงต่าง ๆ ทำแบบนี้ซ้ำ ๆมาหลายครั้งแล้ว ความส่วางไม่เคยเกิดก็ปล่อยวางไปไม่สนใจไม่คิดอยากจะเห็นเพราะคิดว่าถ้าเกิดความอยาก(ตัณหา)มันก็จะไม่ก้าวหน้า ภาพนิมิตต่าง ๆไม่เคยเกิดก็ช่างมันปล่อยมันไป พอมาได้อ่านกระทู้นี้จึงเข้าใจ แล้วไปเปิดดูเรื่องเกี่ยวกับฌาณในเวปไซด์ก็พึ่งจะได้รับความกระจ่างขึ้นมาหน่อย ว่าไม่ต้องไปนึกถึงคำบริกรรมถ้ามันหายไปเพราะมันดึงไม่ให้ไปถึงไหนเอง เอาล่ะต่อไปนี้พอรู้แล้วก็คงปฏิบัติต่อไปครับ หลงทางเสียนาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2010
  16. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    สวัสดีค่ะ มารายงานความคืบหน้าค่ะ

    เมื่อ สามวันก่อน ตอนหัวค่ำแอบงีบกับลูกชายไปแล้ว ตื่นขึ้นมา สามทุ่มครึ่ง เอ๊ะสงสัยจะไม่หลับละ สวดมนต์แล้วก็นอนทำสมาธิ ดูเวลา 4 ทุ่มห้านาที ก็ นอนท่าตะแครงซ้ายนอนนับไป พุทโท 2 รอบครึ่ง เอ๊ะ ก็ยังเฉย ปกติ ถ้านอนทำสมาธิ ท่องพุทโท สัก รอบครึ่งก็จะหลับไป แต่เอ๊ะคราวนี้ เอ๊ะยังไง เปลี่ยนเป็น นะมะพะธะ ก็ยังรับรู้ถึงองค์ภาวนา สักพักรู้สึกดิ่ง เหมือนเรานั่งชิงช้าเลย วูบไป วูบมา วูบก็วูบ สนุกดี ทันใดนั้นเห็นแสงเป็นประกายแฉกมา คิดไปเอง หลวงพ่อบอก ถ้าเห็นแสงให้ตั้งจิตพุ่งไปเลย เอ้า พุ่งก็พุ่ง พอคิดเท่านั้น เหมือนอยู่ในรูอะไรสักอย่าง เหมือนคลื่นโทรทัศน์ที่ภาพมันล้มๆ มีเสียงไรไม่รู้จับใจความอะไรไม่ได้ หมุนติ้วเลย
    ลักษณะเหมือนเล่นเครื่องเล่น หัวหมุนแบบนั้นแหละ แล้วเหมือนลอยไปโผล่ ค้างเติ่งในที่โล่งกว้าง มองขึ้นไป เอ๊ะ เหมือนดวงดาวดวงเล็กๆ เลยๆ มองดีๆ อุ๊ย เหมือนกลุ่มดาวตุ๊กแกเลย พอถึงตอนนั้น ได้ยินเสียง เหมือนเพลงลอยมา จับใจความได้ว่า "มีเพียงหนึ่งเดียว"
    อ้าว พอถึงตอนนี้ ต๊กใจ เราอยู่ไหนหว่า ต๊กใจเท่านั้นอยากกลับทันที แต่พอกลับมาจะลืมตา จะกระดุกนิ้ว อ้าว ลืมตาไม่ขึ้น ใช้เวลานานเหมือนกัน ..ออกจากสมาธิ แล้ว งง เราไปไหนมาหว่า หรือ แค่ อุปทาน

    วันต่อมา นอนทำสมาธิ มีอาการแบบ ขนที่แผ่นหลังลุก ซู่ๆ เป็นสัก สามสี่ครั้งก็ หลับไปจ๊ะ

    ยังงงอยู่ อันนี้เป็นแค่นิมิตรหรือท่าน ไม่ต้องไปสนใจมันใช่ไหม
     
  17. ตถาตา.

    ตถาตา. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +30
    คิดมากไปมั้ง
     
  18. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    อ้าว พอถึงตอนนี้ ต๊กใจ เราอยู่ไหนหว่า ต๊กใจเท่านั้นอยากกลับทันที แต่พอกลับมาจะลืมตา จะกระดุกนิ้ว อ้าว ลืมตาไม่ขึ้น ใช้เวลานานเหมือนกัน ..ออกจากสมาธิ แล้ว งง เราไปไหนมาหว่า หรือ แค่ อุปทาน
    ก่อนกลับให้หลับตา รวบรวมสมาธิอธิฐานจิตขอกลับเข้าร่าง เมื่อเข้าร่างแล้วให้ตั้งสติไปที่ลมหายใจก่อนนะครับ แล้วค่อยๆหายใจเข้าพุธ-โธ ซัก 4-5 ครั้ง ครับ
    วันต่อมา นอนทำสมาธิ มีอาการแบบ ขนที่แผ่นหลังลุก ซู่ๆ เป็นสัก สามสี่ครั้งก็ หลับไปจ๊ะ
    ลมหายใจเริ่มละเอียดมากขึ้น สมาธิเริ่มเลื่อนขั้นเป็นอาการปิติ ขนลุก ซู่ๆ
    ยังงงอยู่ อันนี้เป็นแค่นิมิตรหรือท่าน ไม่ต้องไปสนใจมันใช่ไหม
    เป็นเพียงบันไดขั้นหนึ่งเท่านั้นครับ ยังมีดีกว่านี้อีกมากครับ

    ส่วนอาการตกใจ ในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ยืนยันว่ายังมีการยึดติดขันธ์ ๕ อยู่ ให้พิจารณาตัดอุปาทานขันธ์ ๕ เป็น อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ไปด้วยนะครับ ในเว็บนี้มีมากมายลองหาศึกษาดูนะครับ
     
  19. leia17

    leia17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +1,368
    นั่งดูจิตไปเรื่อยๆ แล้วจิตมันสงบ ก็รู้อยู่ที่จิตอย่างนั้น อย่างนี้ทำอรูปเปล่าคะ
     
  20. raphiphan

    raphiphan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    511
    ค่าพลัง:
    +425
    โมทนา สาธุ กับทุกท่านที่ได้เล่าประสบการณ์ให้ทราบด้วยครับ

    ได้อ่านแล้วทำให้มีกำลังใจขึ้นเยอะเลยครับ แนวทางก็มีอีกตะหาก

    ตอนนี้กระต้วมกระเตี๊ยมอยู่ แต่สักวันคงตามๆ พี่ๆ ได้เป็นแน่
     

แชร์หน้านี้

Loading...