สติดีดออกจากสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย dangcarry, 18 สิงหาคม 2010.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. 00000

    00000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1,434
    กราบเรียนและกราบนมัสการทุกท่าน
    อันเกล้ากระผมผู้น้อยด้อยปัญญา เกล้าฯเป็นเพียงผู้ที่กำลังศึกษา คงจะแสดงความคิดเห็นอะไรมากไม่ได้ ที่ทำได้ก็ตามกำลังสติปัญญาที่มี บางครั้งเป็นการขายความโง่ของตนเองให้หลายท่านได้ชื่นชม หรือบางท่านอาจสงสารเวทนาในปัญญาที่ตัวผมมี แสดงธรรมให้ตัวผมได้อ่านพอให้หูตาสว่างบ้าง เท่านี้ก็เป็นบุญแล้ว การที่จะให้กระผม มาแสดงและแชร์ประสพการณ์ตรงนี้ เห็นที่คงไม่บังอาจ ดังนั้นก็ขอขอบคุณท่านที่ให้เกียรติ เป็นอย่างยิ่ง อีกอย่างที่ท่านพ่อแม่ครูบาอาจารยท่านเมตตาถ่ายทอดแสดงธรรมเอาไว้ก็สมบูรณ์อยู่แล้ว ดังนั้นเกล้ากระผมก็ขออัญเชิญธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาเพื่อให้ หลายท่านได้ศึกษา ถือว่าศึกษาร่วมกัน ส่วนท่านมหาปราชญ์มหาบัณฑิตท่านใดจะเมตตาขยายธรรมเพิ่มเติม เพื่อให้เกล้าฯได้เข้าใจเพิมเติม ก็กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

    โอวาทของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
    บันทึกโดย พระราชธรรมเจติยาจารย์(พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินธโร) เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล

    การปฏิบัติเป็นเครื่องยังพระสัทธรรมให้บริสุทธิ์
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าธรรมของพระตถาคต เมื่อเข้าไปประดิษฐานในสันดานของปุถุชนแล้ว ย่อมเป็นของปลอมทั้งสิ้น (สัทธรรมปฏิรูป) แต่ถ้าเข้าไปประดิษฐานในจิตสันดานของพระอริยเจ้าแล้วไซร้ ย่อมเป็นของบริสุทธิ์แท้จริง และเป็นของไม่ลบเลือนด้วยเพราะฉะนั้นเมื่อยังเพียรแต่เรียนพระปริยัติธรรมถ่ายเดียวจึงยังใช้การไม่ได้ดี คืออุปกิเลสนั่นแหละ จึงจะยังประโยชน์ให้สำเร็จเต็มที่ และทำให้พระสัทธรรมบริสุทธิ์ ไม่วิปลาสคลาดเคลื่อนจากหลักเดิมด้วย

    ฝึกตนดีแล้วจึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า
    ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ
    สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทรมานฝึกหัดพระองค์จนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็น “ พุทโธ ” ผู้รู้ก่อน แล้วจึงเป็น “ ภควา ” ผู้ทรงจำแนกแจกธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ สตฺถา จึงเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้ฝึกบุรุษผุ้มีอุปนิสัย บารมีควรแก่การทรมานในภายหลัง จึงทรงพระคุณปรากฏว่า กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต – ชื่อเสียงเกียรติศัพท์อันดีงามของพระองค์ย่อมฟุ้งเฟื่องไปในจาตุรทิศจนตราบเท่าทุกวันนี้ แม้พระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้วก็เช่นเดียวกัน ปรากฏว่าท่านฝึกทรมานตนได้ดีแล้ว จึงช่วยพระบรมศาสดาจำแนกแจกธรรมสั่งสอนประชุมชนในภายหลัง ท่านจึงมีเกียรติคุณปรากฏเช่นเดียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าบุคคลไม่ทรมานตนให้ดีก่อนแล้วและทำการจำแนกแจกธรรมสั่งสอนไซร้ ก็จักเป็นผู้มีโทษปรากฏว่า ปาปโก สทฺโท โหติ คือ เป็นผู้มีชื่อเสียงชั่วฟุ้งไปทั่วจาตุรทิศ เพราะโทษที่ไม่ทำตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกเจ้าในกาลก่อนทั้งหลาย

    มูลฐานสำหรับทำการปฏิบัติ
    นโม เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้คือ เอาสระอะจากตัว น มาใส่ตัว ม เอาสระโอจากตัว ม มาใส่ตัว น แล้วกลับตัว มะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่า ใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้ทั้งกายและใจเต็มตามสมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้มโนคือใจนี้เป็นดั้งเดิม เป็นมหาฐานใหญ่ จะทำอะไรจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมด ในพระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฎฐา มโนมยา – ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจากใจคือมหาฐานนี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนรู้จักมโนแจ่มแจ้งแล้ว มโนก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมบัติทั้งหลายในโลกจึงต้องออกไปจากมโนทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ถือเอาเป็นสมบัติบัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะ จนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลง หลงถือว่าตัวเป็นเรา เป็นของเราไปหมด

    พระอรหันต์ทุกประเภทบรรลุทั้งเจโตวิมุตติ ทั้งปัญญาวิมุตติ
    อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏเฐว ธมฺเม สยํ อภิญญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชช วิหรติ พระบาลีนี้แสดงว่า พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ว่าประเภทใด ย่อมบรรลุวิมุตติ ทั้งปัญญาวิมุตติที่ปราศจากอาสวะในปัจจุบัน หาได้แบ่งแยกไว้ว่า ประเภทนั้นบรรลุแต่เจโตวิมุตติ หรือปัญญาวิมุตติไม่ ที่เกจิอาจารย์แต่งอธิบายไว้ว่า เจโตวิมุตติเป็นของพระอรหันต์ผู้ได้สมาธิก่อน ส่วนปัญญาวิมุตติเป็นของพระอรหันต์สุกขวิปัสสกะ ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน ๆ นั้น ย่อมขัดแย้งต่อมรรค มรรคประกอบด้วยองค์ ๘ มีทั้งสัมมาทิฏฐิ ทั้งสัมมาสมาธิ ผู้จะบรรลุวิมุตติธรรม จำต้องบำเพ็ญมรรค ๘ บริบูรณ์ มิฉะนั้นก็บรรลุวิมุตติธรรมไม่ได้ ไตรสิกขาก็มีทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา อันผู้จะได้อาสวักขยญาณ จำต้องบำเพ็ญไตรสิกขาให้บริบูรณ์ทั้ง ๓ ส่วน ฉะนั้นจึงว่าพระอรหันต์ทุกประเภทต้องบรรลุทั้งเจโตวิมุตติ ทั้งปัญญาวิมุตติ ด้วยประการฉะนี้แลฯ
    ฯลฯ

    ขอให้ทุกท่านเจริญยิ่งในธรรม.....สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2010
  2. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    ขอขอบพระคุณทุกความคิดเห็นมาก ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ สาธุๆๆ
     
  3. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    ก้าวต่อไปของท่าน dangcarry (ต่อ)

    ขออนุณาตครับ
    ขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่ได้เมตตาแสดงความคิดเห็น

    เรามีเว็บบอร์ดไว้ตามหา ผู้ที่มีบุญวาสนาร่วมกัน เพื่อเผื่อแผ่ความรู้และประสบการณ์ต่อกัน เพียงแต่ว่า บางท่านไม่เข้าใจก็เลย เป็นออกมาอย่างที่เห็น
    ความจริงในเว็บบอร์ดนั้น มีไว้เพื่อจับคู่ บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่ศึกษาและปฏิบัติธรรม ที่ไปแนวทางเดียวกัน ที่มีประสบการณ์ใกล้เคียงกัน รู้ธรรม เห็นธรรม รู้ลงที่จิต คล้ายๆกัน จึงจะพอแนะนำกันได้ จับกลุ่มแยกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มใครกลุ่มมัน
    ผมก็ไม่ทราบว่าเพราะการคำนวณการให้คะแนนของทางเว็บบอร์ดหรืออย่างไร ก็เลยมีกลุ่มบุคคล วิ่งตอบกระทู้ให้มั่วไปหมด วิ่งตั้งกระทู้อีกต่างหาก อ่านไปก็ไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์อันใด หรือว่าจะได้คะแนนมากขึ้น บางบุคคล บางกลุ่ม บางท่านก็แสดงความรู้ให้ทั่วไปหมดแทบจะทุกกระทู้แทบจะทุกเรื่อง แถมยังคุยอีกต่างหากว่า วิธีปฏิบัติทั้งหลายนั้นลองมาหมดแล้ว
    บางท่านก็บอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อนี้ปฏิบัติอย่างนี้ แต่ก็อุตสาห์ขยันขวนขวายหาข้อมูลคำสอนของครูบาอาจารย์ที่คนเขานับถือทั้งบ้านทั้งเมืองทนอดตาหลับขับตานอนเขียนออกมาจนได้ ทั้งๆที่การปฏิบัติที่เขียนแนะนำคนอื่นนั้นตัวก็ไม่ได้ฝึกไม่ได้ปฏิบัติตามท่านซักหน่อย
    ก็รู้ทั้งรู้ว่าธรรมที่มีมากมายมหาศาลนั้น มันมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อ คัดออกมาใช้ ถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา ถูกจังหวะ เท่านั้น
    เจ้าของกระทู้ถึงได้ถามว่า เขาปฏิบัติมาอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ๆ ขอผู้รู้ช่วยอธิบายหน่อย มันคืออะไร แล้วต่อไปจะเจอปัญหาอะไร แล้วต้องแก้อย่างไร เขาต้องพิจารนาอะไรต่อไปถึงจะถูกทางเป็นต้น
    ตัวคนถามเขาปฏิบัติเอง รู้เอง เห็นเอง เขาย่อมรู้ตัวดีว่า เขารู้อะไร เขาเห็นอะไร ใครตอบถูก ใครตอบผิด เขาย่อมรู้ดีที่สุด
    ถ้าบอกเขาไม่ได้ ตอบไม่สอดคล้องกับที่เขาปฏิบัติมา เขาถามมา แล้วจะไปแนะนำเขา เขาจะเชื่อได้อย่างไร

    ผมก็เน้นอยู่บ่อยๆ ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ใครมีอยู่เท่าไร ข้อคิดข้อเขียนของท่านมันก็ฟ้องโต้งๆอยู่แล้ว

    แค่คลิกไปดูว่าท่านเขียนอะไรไว้บ้าง ก็พอประเมินได้อยู่แล้ว น่าเสียดายที่ทางเว็บไม่มีระบบให้คะแนนคำตอบ ในแต่ละกระทู้ แล้วอย่าเอาเฉพาะสมาชิกละ เดี๋ยวพวกมากลากไปอีก ให้บุคคลทั่วไปเขาได้โหวตด้วยก็จะดี เผื่อจะได้ถูกทาง เผื่อจะได้รู้ว่า คำตอบไหนดีมีประโยชน์ จะได้ยกมาไว้แถวหน้า ส่วนพวกข้อมูลขยะ ก็คัดไปไว้หลังๆโน่นเลย ถ้าปนกันอยู่อย่างนี้ คนหาข้อมูลก็เสียเวลาแย่ พาลจะเบื่อหนีหายไปเลยก็ได้

    ตัวผมเองตอบไปแค่ไม่ถึงร้อย ยังต้องเลิกตามหาเผื่อมีใครถามมาบ้าง เห็นบางกระทู้คนถามเขาได้คำตอบที่เขาพอใจตั้งแต่หน้าแรก เขาก็หนีหายไป แต่กระทู้ที่ยืดยาวไปจนถึงหน้า ยี่สิบนั้น ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แค่อ่านก็ทั้งงง ทั้งมึน แล้วมันจะเป็นธรรมไปได้อย่างไร

    เขียนมาซะยืดยาว ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนเข้าใจหรือเปล่า เพราะถ้าไม่เขียนอย่างนี้ ปล่อยต่อไป คงเละเกินเยี่ยวยา ทางเว็บก็คงต้องภาวนา ให้เว็บล่ม ข้อมูลหายจะได้เริ่มใหม่ หรืออย่างไร

    ขออนุโมทนาบุญร่วมกับทุกๆท่านครับ
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

    สำหรับท่าน dangcarry เองท่านมีทางเลือก 4 ทาง
    1.การถอดจิต ตามแนวทางสายฤทธิ์ และ สายพระมหาโพธิสัตว์ก็สนับสนุนวิธีนี้
    ส่วนสายปัญญาของฝ่ายธรรมยุต ไม่เห็นด้วยเพระถือว่า ออกนอกแนวทางมากเกินไปและไม่ใช่แนวทางฆ่ากิเลส ยกตัวอย่างเช่น คุณแม่ชีแก้วแห่งบ้านห้วยทราย ที่ช่วงชีวิตของท่าน ตั้งแต่จากหลวงปู่มั่น ไปจนถึง องค์หลวงปู่มหาบัวไล่ลงจากเขา เป็นเวลานานหลายปีมากๆ ท่านปฏิบัติวิธีนี้ ฝ่ายธรรมยุติถือว่าไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย
    2.การปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึง ฐีติภูตัง ตามแนวทางสายปัญญาของฝ่ายธรรมยุติ
    ท่านอาจารย์หลวงปู่วิริยังค์ สรินทโร วัดธรรมมงคล ท่านได้อธิบายได้เข้าใจง่ายที่สุด ท่านอธิบายว่า
    “เมื่อจิตมองเห็นจิตแล้ว เปรียบเหมือน ตัวเรามองเห็นแสงสว่างของไฟฉายที่ส่องออกไป ขั้นต่อไป เราก็ทวนกระแส ย้อนจากปลายสุดของแสงไฟฉายนั้น ทวนเข้ามาตามลำแสง ก็จะเจอตัวไฟฉาย เมื่อเจอตัวไฟฉายแล้ว เราก็จะเห็น สวิทซ์ของไฟฉาย เมื่อเราเห็นสวิทซ์ของไฟฉาย เราก็จะสามารถ เปิด/ปิด สวิทซ์ได้ ตามใจนึก”
    3.การปฏิบัติเพื่อละกิเลสกองใหญ่ โดยการพิจารนา อสุภะกรรมฐาน ตามแนวทางสายปัญญาของสายธรรมยุติ
    คือการพิจารนา ร่างกายเป็นของปฏิกูลเน่าเปื่อย เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย, เพื่อให้เห็นพระไตรลักษณ์
    4.การพิจารนาความตาย ทั้งสายปัญญาของฝ่ายธรรมยุติ และ สายฤทธิ์ และ สายโพธิสัตว์ ต่างก็ใช้ร่วมกัน
    ท่านอาจารย์หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ได้สาธยายว่า “การพิจารนาความตาย อานิสงค์ไม่มีประมาณ”
    ท่านยังได้เมตตาอธิบายว่า เมื่อหายใจเข้าภาวนาว่า พุทธ แล้วให้ระลึกต่อว่า ไม่หายใจออกก็ตาย แล้ว เมื่อหายใจออก ภาวนาว่า โธ แล้วให้ระลึกต่อว่า ไม่หายใจเข้าก็ตาย ทำซ้ำต่อไปเรื่อยๆ
    ถ้าท่านยังปฏิบัติไปแบบเดิมๆ ท่านก็คงอยู่ประมาณที่เดิมนั่นละครับ และจะมีความรู้สึกไปเองว่าถอยหลัง เพราะถูมิรู้ ภูมิธรรมที่มีอยู่ จะหายไป ซึ่งนักปฏิบัติที่ปฏิบัติมาเองเมื่อถึงตรงนี้มักจะวนอยู่ที่เก่า เพราะไปต่อไม่เป็น หรือ มักคิดว่ามันจะไปของมันเองได้เหมือนที่ผ่านๆมา
    ก็ลองเลือกดูนะครับชอบแบบใหนจะเอาแบบใหนก็ต้องเลือกเอง

    สำหรับท่านที่พอจะมีบุญบารมีอยู่บ้างก็ขอเล่าเรื่อง บุญบารมีของพระมหาโพธิสัตว์
    1.รู้บุพกรรมของผู้คน รวมถึงของสัตว์ทั้งหลาย
    2. รู้กว้าง รู้ไกลสุดขอบจักรวาล
    3. รู้ว่าทำบุญอะไรให้ผลอะไร
    คำถาม 3 คำ สำหรับถามพระมหาโพธิสัตว์
    1. ท่านมีบุพกรรมหนักอะไร ต้องไปอธิฐาน แก้ที่ไหน แก้ด้วยวิธีอย่างไร จึงจะแก้ได้
    2. ท่านควรไปปฏิบัติธรรมที่ไหน เขตจังหวัดอะไร จึงจะให้ผลได้เร็วที่สุด(เหมาะสำหรับนักปฏิบัติ หรือ พระสงฆ์)
    3. ท่านมีบุพกรรมกับคณะทวยเทพเทวา หมู่ใหญ่ อยู่ที่จังหวัดไหน ที่ถ้าย้ายไปทำธุรกิจ ทำมาหากิน ในจังหวัดนั้นๆ จะเจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ได้ง่าย

    คำถามเหล่านี้ ท่านไปถามใครก็คงไม่มีใครตอบได้ เพราะบุพกรรมของผู้คนนั้น พระบรมครูบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ได้ทรงตรัสกับพระมหากัสปะพระเถระเจ้า ผู้ซึ่งถือว่าเป็น บรมครูของสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติ
    ว่า เป็น วิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แม้ไม่มีคำตรัสถึงพระมหาโพธิสัตว์ แต่ผู้มีบุญมีปัญญา ก็พอจะคิดออกว่า
    พระมหาโพธิสัตว์ที่ท่านได้บำเพ็ญเพียรมา หลายอสงไข กับอีกเศษเกือบจะครบแสนมหากัปนั้น ก็น่าจะมีบารมีด้านนี้ใกล้เคียงกับพระพุทธเจ้ามากที่สุด

    แม้ว่าพระสายปฏิบัติจะแยกออกเป็นสายฤทธิ์ และ สายปัญญา ก็เป็นบุญเป็นกุศลของชาวพุทธ ที่ได้มีครูบาอาจารย์รุ่นใหม่ๆ แม้ท่านจะอยู่สายปัญญาได้เวลาอันควรท่านก็ได้ฝึกสายฤทธิ์ไปด้วย เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลบางประการ ท่านรับลูกศิษย์น้อยมากๆ ก็ท่านบอกเล่าออกมาว่า รับเฉพาะผู้ที่มีความเกี่ยวพันธ์มาแล้วจากชาติก่อนๆเท่านั้น แล้วจะไม่น้อยได้อย่างไร

    สำหรับท่านที่ว่าผมงมงายนั้น มันเป็นความเห็นของท่านเอง
    การที่ผมจะมีครูบาอาจารย์ สายเทพ สายพรหม สายธรรมยุติ สายมหานิกาย สายฤทธิ์ สายปัญญา สายปรมาจารย์ปู่ฤๅษี หรือแม้แต่องค์พระมหาโพธิสัตว์ จะขาดก็เพียงแต่ สายพรหมฤๅษีเท่านั้น ครูบาอาจารย์ ทุกๆท่าน มีขั้นมีตอน มีจังหวะเวลา มีความเป็นมาเป็นไป ผมผิดหรือ ผมโง่หรือ ผมงมงายหรือ
    แล้วท่านที่มีครูมีอาจารย์สายเดียวนั้น ท่านจะมีความรู้กว้างขวางมาจากไหนกัน หรือว่าแค่อ่านเอาในเว็บก็รู้ได้ ครูบาอาจารย์แต่ละท่านแต่ละสาย ก็มีจริต มีประเพณี มีขั้นตอนที่แตกต่างกัน การเข้าหา จังหวะเวลา ขั้นตอน วิธีการต่างๆ ก็ไม่เหมือนกัน รู้ไม่รู้ เห็นไม่เห็น ก็ถือว่าเป็นบุญวาสนาของใครของมันก็แล้วกันนะครับ
    ขออนุโมทนาบุญครับ
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
  4. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    ท่าน dangcarry นี้ เพียงแค่ผมนำคำสอนขององค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า มายืนยันว่าปฏิบัติได้ถูกต้อง ท่าน dangcarry ปฏฺิบัติได้ถึงขนาดนี้ก็สามารถไปได้เองแล้ว ผมถึงไม่ได้แนะนำอะไร ท่านมากใน PM

    ครั้นจะอธิบาย วิชชา และวิมุตติ ว่าเป็นอย่างไร เอาเป็นว่า ท่าน ยังไม่ต้องไปรู้ก่อนดีกว่า ท่านมีความฉลาดในใจแบบนี้ ท่านเข้าถึง วิมุตติ เมื่อไร ท่านจะทราบเอง และต่อไป ท่านจะสามารถใช้กำลังจิตท่านต้านโรคภัยไข้เจ็บได้ เป็นสิ่งที่ผู้เข้าถึงพุทธะ ทำได้ สุดท้ายขออธิบายเรื่องจิตให้ทราบว่า

    จิต ประกอบไปด้วย ธาตุ 4 อย่าง คือ เห็น จำ คิด รู้
    4 ธาตุ นี้ รวมกันเรียกว่า จิต


    ท่านไปพิจารณาดูว่า ท่านกำหนดที่ธาตุใดของจิต ธาตุใดที่บังคับได้ และธาตุใดที่บังคับไม่ได้ แต่เมื่อปฏิบัติจนถึงที่สุดแล้ว ท่านจะสามารถบังคับธาตุได้บ้าง

    การรู้เห็นได้เองเป็นเรื่องยากของการปฏิบัติ เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติพึ่งกระทำ ท่าน dangcarry ท่านทำได้ขนาดนี้จัดได้ว่าเป็นผู้มีบารมีมาก ย่อมไม่ใช่เรื่องยากมากสำหรับท่าน

    ขอบคุณครับ​
     
  5. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    เปรียบเทียบคำสอน

    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม พระอรหันต์ทรงคุณปฏิสัมภิทา จัดได้ว่าเป็นผู้แตกฉานในจิต
    "คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้ "

    ท่าน dangcarry
    " จิตคิดสติดับ "


    ประโยคที่ทั้ง 2 ท่านอธิบายนั้น ความหมายของประโยคนั้น เหมือนกัน การจะรู้เห็นธรรมนี้ได้เองเกิดได้จากการปฏิบัติจนจิตเข้าถึงเท่านั้น และประโยคด้านบนมิใช่ธรรมที่เป็นที่สุด แต่เป็นธรรมะปฏิบัติของผู้ปฏิบัติธรรมผ่านสภาวะนี้เท่านั้น

    ท่าน dangcarry จัดได้ว่าเป็นผู้ฉลาดในจิต ท่านมีบารมีมาก มีเมตตามาก ท่านปรารถนาจะสงเคราะห์สัตว์โลก ขอให้ท่านสมปรารถนาที่ท่านตังใจไว้ ท่าน dangcarry นี้ อนาคตอันใกล้จะสามารถช่วยเหลือพระศาสนาได้มาก

    ฌานสมาธิของพระอริยะเจ้า จัดเป็นฌานสมาธิประเภทเดียวที่ไม่มีเสื่อม ลองอ่านดูการปฏิบัติของท่าน dangcarry ด้านบน

    คำพูดที่ว่า ภูมิธรรมสูงกว่าย่อมรู้ ภูมิธรรมต่ำกว่าหรือเท่ากัน ที่เป็นเรื่องจิต ท่านที่เข้าถึงพูดเพียงแค่ประโยคเดียวก็รู้ได้ว่าเข้าถึง ส่วนผู้เข้าไม่ถึงแม้จะอธิบายซักเท่าไร ใจก็เข้าไม่ถึง ผู้อธิบายถึงได้รู้ว่าใครใช้พระอรหันต์ พระอริยเจ้าหรือไม่ ก็ด้วยเหตุนี้

    ท่านที่เข้าถึงธรรมแม้เบื้องต้น ยกมาอย่างไรก็ตรงธรรมะจึงยกธรรมะของ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม มาเทียบให้ท่านผู้อ่านดูว่าเป็นอย่างไร


    พอดีเห็นท่านลุงมหาออนไลน์ อยู่ ท่านจะอธิบายสิ่งใดเชิญเลยนะครับ ผมอาจอยู่อธิบายได้ไม่นาน เคยอ่านธรรมะที่ท่านยกมาอธิบายก็ชอบใจดี ท่านลุงมหาก็อธิบายธรรมะได้ดี วันนี้ผมอธิบายเท่านี้ก่อน ท่านลุงมหามีอะไรแนะนำได้เลยนะครับ


    ขอบคุณครับ​
     
  6. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโต สอนวิปัสสนากรรมฐาน

    ขออนุญาตครับ
    เมื่อครั้งผมได้รับใช้ ครูบาอาจารย์สายธรรมยุติท่านหนึ่ง ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับท่านอาจารย์ วันชัย หอมจันทร์ ที่ ตาคลี นครสวรรค์ 2 ครั้ง
    เป็นเวลา 1 สัปดาห์ และ 1 เดือน ท่านอาจารย์วันชัยได้บอกว่า อยู่ใกล้สกลนคร ให้ไปหา หลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโต
    ที่ อ.กุดบาก ก็ได้ ท่านก็เป็นศิษย์หลวงปู่ใหญ่เหมือนกัน จะได้ไม่ต้องลำบากเดินทางไกล เมื่อมีโอกาส จึงได้มีโอกาส
    ไปกราบท่าน ในวันรวมและวันงานกฐิน เมื่อปี 2551 และท่านยังได้เมตตาใชัตะปูจารย์กระหม่อมให้แก่กระผมด้วย
    เมื่ออ่านพบ เรื่องที่เขียนโดยท่าน ธัชกร จึงอดไม่ได้ที่จะ ขออนุญาต นำมาลงให้ทุกท่านได้พิจารนาอีกที
    ขออนุโมทนาบุญร่วมกับทุกๆท่าน
    ขอบพระคุณครับ
    ลุงมหา
    เขียนโดย คุณ ธัชกร (สมาชิก เว็บ พลังจิต)
    หลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโตสอนกรรมฐาน (วัดป่าคุณคําวิปัสสนา สกลนคร)

    ถ้อยคำที่หลวงปู่ได้สนทนาธรรมกับศิษย์

    หลวงปู่ขาว : พระพุทธศาสนานี้ถ้าเรียนถึงทำได้ แล้วลึกซึ้งที่สุด ดีเลิศไม่มีอะไรเทียบได้แม้แต่สิ่งเดียว

    ลูกศิษย์ : ฤทธิ์ การแสดงฤทธิ์ อิทธิ ปาฏิหาริย์ นี้ทำยากไหม ดูคนทั่วไปจะชอบกันนัก

    หลวงปู่ : มันเป็นของเล่นเท่านั้น พระที่ท่านทำถึงแล้วง่ายมาก แต่ที่สุดก็เบื่อหน่ายที่จะแสดงที่จะทำ และไร้สาระที่สุด
    ไม่เหมือนคนทั่วไปที่เป็นบ้าตื่นอยากรู้ อยากเห็น เหมือนเด็กๆ

    พระที่ท่านแสดงได้บางองค์ ท่านเลือกที่จะไปอยู่ป่า ตายในป่า อยู่เงียบๆของท่าน บางทีก็แกล้งบ้า ทำตัวไม่น่านับถือ จนบางครั้งคนที่อยู่ใกล้ชิดไม่รู้ว่าท่านเป็นอะไร ภูมิจิตระดับใด แม้ท่านจะสะอาดบริสุทธิ์ขนาดไหน ก็ไม่มีบุคคลใดรู้ ตายก็ตายอย่างพระหลวงตาท้ายวัดองค์หนึ่งตายเท่านั้น

    ท่านกล่าวต่อไปว่า ....

    ก็อย่างว่านี้แหละ พวกตาบอด พวกใกล้เกลือกินด่าง เสียดายแทนวะ พวกนี้เจอไม้งามเมื่อขวานบิ่น พวกเสียชาติเกิด ไม่รู้ของดี ของเน่า ช่างหัวมัน

    ลูกศิษย์ : แล้วจะทำอย่างไรหลวงปู่

    หลวงปู่ : ไม่ต้องทำอะไร ถือว่าวาสนามีแค่นั้น เพื่อนของเราองค์หนึ่งนั่งอาบน้ำกลางแม่น้ำ โยมอุปัฏฐากทำอาหารถวายท่าน ไม่มีมะนาว ท่านเดินเข้าข้างในกุฏิ ครู่เดียว หิ้วมะนาวออกมาเต็มถัง ถามว่า เอามาจากไหน กูไปเอามาจากตลาดกรุงเทพฯ
    โยมเขาก็หัวเราะ
    คิดว่าท่านพูดล้อเล่น สุดท้ายท่านก็ตายอย่างพระธรรมดาองค์หนึ่งเท่านั้น ท่านมีโยมอุปัฏฐากสองสามคนเท่านั้น

    ไม่เห็นท่านสนใจจะให้ใครนับถือหรือต้องการมีชื่อเสียงสาระอะไร มันเป็นของเน่าธรรมดาสำหรับท่าน แต่คนธรรมดามันบ้า

    ศิษย์ : แล้วหลวงปู่ทำได้ไหมนี่

    หลวงปู่ : ไม่รู้มีตาก็ดูเอา

    มีนักปฏิบัติธรรมบอกว่า นั่งสมาธิเห็นนางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม กูนั่งแทบตายไม่เห็นบ้าอะไรเลย
    ไอ้พวกประมาท พวกนี้ไม่นานก็เป็นบ้า เป็นโรคประสาทกันหมด

    พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนเรื่องนี้
    ท่านสอนให้ดูใจตัวเอง ให้ปฏิบัติศีล ปฏิบัติจิตภาวนา ให้จิตสงบ แล้วก็พิจารณาทุกข์ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕
    ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนต่างหาก เพื่อละ เพื่อถอนกิเลส โลภ โกรธ หลง ที่อยู่ในจิตใจตนเอง


    เรื่องฤทธิ์ ญาณรู้ จะมีหรือไม่มี ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร

    ท้ายสุดพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงยกย่องให้ความสำคัญเกินสติปัญญาเลย

    คนที่จะมาสนทนาธรรมะกับพระ บางคนก็ปฏิบัติแบบผิดๆ บางคนก็หลงยึดบางอย่างจนยากจะแก้ไข
    บางครั้งดูไปก็น่าสงสาร เขาไม่รู้หลัก เขาไม่มีครูบาฯที่รู้จริงๆ และเป็นที่พึ่งได้
    ไอ้เราก็รู้พองูๆปลาๆ

    หลวงปู่ขาวกล่าวต่อไปว่า ....

    กรรมฐานปัจจุบันไม่เหมือนเก่า ทำง่ายแต่ช้านาน
    ไม่เหมือนกรรมฐานเก่าๆดั้งเดิม ครูบาฯรุ่นใหญ่ที่ท่านล่วงไปแล้ว
    นั้น
    สิ่งแรกท่านเอาฐานก่อน คือฐานต้องมั่นคงจริงๆ (สมาธิ )
    เน้นหนักองค์กรรมฐาน ปฏิบัติยาก ทำยาก แต่เมื่อทำได้แล้ว ง่าย ก้าวหน้าเร็ว


    กรรมฐานปัจจุบันชอบอะไรเร็วๆไวๆ ขึ้นต้นไม้ไม่ยอมขึ้นแต่โคนต้น ชอบอุตริกระโดดขึ้นยอดไม้เลย สุดท้ายก็เสียเวลา บางทีก็เป็นบ้า เป็นโรคประมาทฆ่าตัวตาย
    ก็มีมิจฉาทิฐิ ปฏิบัติไม่ตรง สุ่มๆเดาๆ อาจารย์พระกรรมฐานที่สอนไม่ได้รู้อะไรจริง เรียนหนังสือตำรา พอท่องๆได้ก็ตั้งตัวเป็นอาจารย์แล้ว นั่งสมาธิ จิตรวมเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แล้วนับประสาอะไร ญาณพิเศษรู้อะไรต่างๆ ยิ่งห่างไกลยังกะฟ้ากับดิน

    และที่ได้อภิญญา สมาบัติ โถ .... พระระดับนี้ ปัจจุบันจะมีกี่องค์ หาแทบไม่เจอ ยิ่งพระอริยะ พระอรหันต์ ท่านที่เป็นจริงๆ ท่านไม่ให้ใครรู้หรอก ไม่พูด ไม่ชอบแสดงตัว มันก็มีแต่ประเภทที่ไม่รู้ทั้งนั้น ชอบแสดง ชอบอวด รู้จริงมันอวดกันได้ที่ไหน มันเป็นกรรม ถ้าไม่ถึงวาระ ไม่ถึงกรรมต้องทำแล้ว แสดงออกมาไม่ได้เลย แต่ก็เอาเถอะ กรรมใคร กรรมมัน

    ลูกศิษย์ : แล้วกรรมฐานรุ่นเก่าทำอย่างไร

    หลวงปู่ : กรรมฐานรุ่นเก่านั้น ต้องทำจิตให้เป็นหนึ่งให้ได้ทุก อิริยาบถ ก่อน

    จากนั้นจึงเข้ากราบครูบาฯ ขอคำแนะนำอุบายวิธีปฏิบัติต่อไป


    ถ้าทำพื้นฐานไม่ได้แล้ว ท่านไม่สอนอะไรต่อเลย

    และห้ามถามเรื่องภาวนาอีก


    คือ ถ้าทำไม่ได้อย่าพูด อย่าถามและโกหกการภาวนากับครูบาฯไม่ได้ด้วย

    คือท่านรู้จริงๆ เพราะท่านดูจิตของลูกศิษย์ออกหมดว่า ปฏิบัติก้าวหน้าหรือเท่าเดิม ทำได้น้อยหรือมากนี่คือครูบาฯรุ่นเก่าที่ท่านเป็นพระปฏิบัติแท้ๆ เป็นครูจริงๆ รู้จริงและพิสูจน์ได้เสมอ หากลูกศิษย์สงสัยในคุณธรรมของอาจารย์

    มันจึงเป็นกรรมฐานแท้ๆ

    ส่วนเรื่องญาณรู้พิเศษต่างๆเหล่านั้น หลวงปู่ขาวท่านมักจะพูดว่า มันเป็นเรื่องที่เหนือคำพูด การประมาณ การคาดเดาที่คนทั่วไปชอบทำกันจนเป็นนิสัยสำหรับวิทยาศาสตร์ วัตถุ วิวัฒนาการต่างๆของมนุษย์ จนเจริญก้าวหน้าอีกกี่พันกี่หมื่นปีก็ยังตามหลังพุทธศาสนาอยู่ดี
    วิทยาศาสตร์ชอบเอาเครื่องมือทดลอง พิสูจน์ตามทฤษฎีที่ตั้งขึ้นคือ เอานอกดูนอก เช่นใช้กล้องส่องดูเชื้อโรค แต่ทางพุทธ

    ศาสนานั้น เอาในดูนอกคือ ใช้สิ่งที่ไม่มีตัวตน ( จิต ) ดูสิ่งภายนอก มันจึงรู้ได้เกินรู้ได้มากอย่างไม่มีขีดจำกัด
    แต่วิทยาศาสตร์รู้มีขีดจำกัด

    ทฤษฎีต่างๆทั่วโลกและในอนาคตอีกไม่มีประมาณจะมากแค่ไหน
    ก็ถูกทฤษฎีของพระพุทธเจ้าครอบคลุมไว้หมด


    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ ( ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน )

    คือเมื่อมีขึ้นแล้วก็เสื่อมได้ สลายไปไม่มีตัวตนในที่สุด ไม่มีอะไรอยู่ค้ำฟ้าได้หรอก สิ่งต่างๆมีอายุการใช้งานเหมือนกับอายุของสัตว์นี่แหละ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลือค้างโลก สร้างอีกก็เสื่อมสลายอีก จะว่าอะไรแม้แต่ผู้ประดิษฐ์คิดค้นเอง สุดท้ายมันก็ต้องตายเป็นเถ้าเหมือนกัน

    ส่วนแนวปฏิบัติกรรมฐานนั้น หลวงปู่ขาวจะชอบพูดว่า พุทโธ ตัวเดียวอย่างเดียว อย่าทิ้งองค์กรรมฐาน เพราจิตจะตกลงสู่ภวังค์
    ( อารมณ์ต่างๆ ) เมื่อเราบริกรรม พุทโธ จะเปรียบเหมือนกับเราทำให้อารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นช้าลงหรือห่างออกจากเดิม ที่เกิดขึ้นเร็วจนบางครั้งตามแทบไม่ทัน ถึงแม้เราจะไม่สามารถทำจิตให้อยู่ในอารมณ์เดียวได้ ( เป็นหนึ่งอยู่คำบริกรรม )
    และแม้ผู้นั้นจะเรียนรู้ธรรมะจากรู้อุบายภาวนามาก ศึกษาจากครูบาฯมามาก

    แต่ถ้าผู้นั้นไม่สามารถหาอุบายวิธีที่จะทำให้จิตของตนเองสงบจากอารมณ์ต่างๆได้แล้ว ธรรมะที่รู้มาก็ไม่มีประโยชน์

    ปัญญาที่แท้จริงไม่มีวันรู้ได้ เพราะอารมณ์ต่างๆมันจะปรุงแต่งให้จิตฟุ้งซ่าน เลื่อนลอย ไม่มีวันหยุดสงบลงได้

    เรียกว่า สติปัญญายังอ่อนอยู่

    อันมีสาเหตุเนื่องมาจาก
    ๑. วาสนา บารมี กระทำบำเพ็ญในอดีตยังน้อย ( พละหรืออินทรีย์ ๕ ยังอ่อน )
    ๒.ความเพียรพยายามในปัจจุบันไม่มีกำลัง คือไม่ค่อยทำหรือทำไม่ต่อเนื่อง
    ๓.ลังเลสงสัยในองค์กรรมฐาน ( คำภาวนา ) ที่ตนเองใช้
    ๔.ไม่เชื่อมั่นศรัทธา ไม่มั่นคงในตัวครูบาฯที่ตนเองศึกษาอยู่
    ๕.ปฏิบัติผิดทางหรือปฏิบัติอยู่กับอาจารย์กรรมฐานที่ไม่รู้จริง ( ไม่มีภูมิรู้ )
    ๖.รู้เกินครูบาฯอันเนื่องจากเรียนมามาก ศึกษาหลายอาจารย์จนสับสนแนวปฏิบัติ
    และชอบอวดรู้ มีทิฐิมานะ การถือตนสูงไม่ยอมรับคำสอนของผู้อื่น

    นี่คืออุปสรรคเกี่ยวกับการปฏิบัติที่หลวงปู่ขาวสอนเสมอ

    ท่านว่า คนที่ว่าตนเองรู้ ตนเองฉลาดแล้ว คนนั้นคือ คนโง่ที่สุด

    คนที่มีนิสัยถ่อมตน ไม่ถือตัว ไม่อวดความรู้ที่ตนเองมี คนนั้นคือ นักปราชญ์ผู้รู้จริง
    และผู้นั้นจะมีความรู้จากบุคคลต่างๆ สิ่งต่างๆอีกมาก

    การภาวนานั้นให้เอาปัจจุบัน พากเพียรเอาปัจจุบันเป็นหลัก อีกทั้งต้องเชื่อในกรรมว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    ที่สำคัญต้องหาครูบาฯที่รู้จริงในแนวทางปฏิบัติ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องภายใน และยิ่งปฏิบัติชั้นสูงขึ้นแล้ว ยิ่งต้องได้ครูบาฯที่รู้จริงอย่างถ่องแท้


    เพราะไม่อย่างนั้นอาจนำไปสู่การปฏิบัติที่ผิดและหลงยึดในสิ่งที่ไม่ควรยึด

    ครุบาฯที่ท่านมีภูมิจิตที่แท้นั้น ท่านจะผ่านการปฏิบัติอุบายต่างๆมามาก และรู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรปล่อย สิ่งใดควรปฏิบัติและถูกไม่ถูก

    และพื้นฐานการปฏิบัตินั้นที่ขาดไม่ได้คือศีล ๕ ขั้นต่ำเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติภาวนาที่สำคัญ และขาดไม่ได้ เมื่อมีโอกาสควรสร้างทาน สร้างบารมีอย่างสม่ำเสมอ จนทำให้ติดเป็นนิสัย

    ผู้ที่ปฏิบัติเพื่อต้องการพ้นทุกข์จากวัฏสงสารนั้นกำลังหรือบารมี ทานบารมี ศีลบารมี เป็นต้น ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้
    ความก้าวหน้าหรือการยกระดับจิตขึ้นเหนือกิเลสต่างๆคือ โลภ โกรธ หลง นั้นยาก

    ปกติคนเราชอบหลงตัวเองว่า ตนเองดี ตนเองเด่นกว่าคนอื่นตลอดเวลา จนสุดท้ายก็ไม่สามารถแก้ไขทิฐิมานะได้

    และไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะบอกกล่าวด้วยความหวังดี แม้ผู้นั้นจะเป็นอาวุโสกว่าตนเอง มีความรู้และมีประสบการณ์มากกว่าตนเองก็ตาม จะไม่ฟังและไม่ให้ความเคารพ จนสุดท้ายตนเองก็เดินทางเข้าสู่ความหายนะในที่สุด

    ดังนั้นการบำเพ็ญบารมีหนักเบาต่างกัน ระยะเวลาไม่เท่ากัน รู้มาก รู้น้อย ไม่เท่ากัน แม้ญาณทิพย์ ญาณในฤทธิ์ต่างๆก็ยังไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน รู้มาก รู้น้อย ไม่เท่ากัน

    แต่การตัดกิเลสให้จิตบริสุทธิจากความโลภ โกรธ หลง นั้นเป็นเหมือนกันทุกประการ

    การปฏิบัติขั้นพื้นฐานนั้น หลวงปู่ขาวท่านจะเน้นหนักที่สุดคือองค์บริกรรม หากลูกศิษย์ผู้ใดสนใจทางด้านการปฏิบัติภาวนาแล้ว ท่านจะเตือนสติเสมอๆ และเป็นคำพูดที่ได้ยินเสมอๆจากท่านคือ

    อย่าทิ้งองค์บริกรรมภาวนา อย่าให้จิตตกสู่อารมณ์ต่างๆ ต้องพยายามใช้ปัญญาแยกจิตออกจากกายให้ได้มากที่สุดเท่าที่สติปัญญาของตนจะพึงมี จนถึงแยกกายกับจิตออกจากกันได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด

    ขั้นบริกรรมภาวนานั้น ( สมถะกรรมฐาน ) ต้องฝึกบริกรรมมีสติกำกับรู้ติดต่อกันให้ได้ทุกอริยาบท พูดคุย ทำงาน สวดมนต์ต่างๆ จิตจะต้องบริกรรมไว้ไม่ขาด

    หมายถึงจะต้องฝึกจนจิตภาวนาเองโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องบังคับ
    ( ไม่คำนึงถึงระยะเวลาการปฏิบัติว่าดี แต่ให้คำนึงถึงการฝึกปฏิบัติจิตภาวนาเท่านั้น )

    ทำให้จิตว่างจากอารมณ์ไว้อย่างมั่นคง แม้แต่นอนก็ให้บริกรรมภาวนาองค์กรรมฐานเรื่อยๆจนกว่าจะหลับไปในที่สุด
    พยายามพากเพียรอย่างไม่ท้อถอย ทำทุกวันแม้แต่การปฏิบัติใหม่จะทำได้ในเวลาสั้นๆ แต่ให้ทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีขอบเขตของระยะเวลา

    ส่วนการนั่งสมาธิกรรมฐานนั้นจะต้องพยายามบริกรรมองค์ภาวนากรรมฐาน จนกว่าจิตจะนิ่งเป็นหนึ่ง เพ่งไปเรื่อยๆจนกว่าจะเหนื่อยหรือจนกว่าจิตจะรวมลงเป็นหนึ่ง
    ( คำภาวนาจะหายไปเอง ) เป็นอัปปะนาสมาธิที่สุดแห่งสมาธิ
    และเมื่อชำนาญแล้ว ให้กราบเรียนขออุบายกรรมฐานจากครูบาฯต่อไป
    เนื่องจากนิสัยบารมีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน


    นิมิต ตามแนวปฏิบัติของหลวงปู่นั้นท่านว่า ....
    จะเกิดขึ้นในขั้นบริกรรมภาวนาเท่านั้น แต่จะไม่เกิดในอัปปะนาสมาธิ เนื่องจากขั้นนี้จิตไม่มีอารมณ์ นิมิตเกิดไม่ได้

    เมื่อคิดภาวนาประสบนิมิตให้วางเฉยต่อนิมิตนั้นทุกประเภท แม้ว่านิมิตนั้นจะพิษดารแค่ไหนก็ตาม เมื่อวางเฉยแล้วนิมิตจะหายไปเอง

    และให้กำหนดจิตอยู่ในองค์บริกรรมภาวนาต่อไป จนกว่าจิตจะแน่วแน่ และรวมตัวลงเป็นอัปปะนาสมาธิในที่สุด และจิตจะถอนขึ้นมาเองสู่อารมณ์ปกติทั่วไป

    นิมิตบางอย่างก็มีประโยชน์แต่ให้ถามครูบาฯเพื่อศึกษาวิธีปฏิบัติต่อนิมิตนั้นโดยตรงเช่น นิมิต อสุภ เป็นต้น
    นิมิตภาวนาบางคนก็มี บางคนก็ไม่มี แล้วแต่จริตนิสัยของแต่ละคน

    การพิจารณานั้น หลักใหญ่ถ้านักปฏิบัติไม่สามารถจะดำรงจิต ทำให้จิตสงบจากอารมณ์ต่างๆได้แล้ว ก็ยากจะพิจารณาให้รู้จริงและเกิดปัญญาในเรื่องนั้นๆได้ เพราะจิตถูกปรุงแต่งจากอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยไม่มีที่สิ้นสุด

    นักปฏิบัติต้องเพ่งอยู่ในองค์บริกรรมภาวนา จนกว่าจะนิ่งมั่นคงเป็นหนึ่งดีแล้ว
    จึงยกเรื่องต่างๆขึ้นเพื่อพิจารณา อาทิ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ทุกข์ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น
    เพื่อหาเหตุและความจริงตามสภาวธรรมต่างๆ และคลายความยึดถือไปในที่สุด


    จากหนังสือ อ่านก่อนตาย ก่อนจะเสียดายที่ไม่ได้อ่าน เล่ม ๔
    ขอแถมอีกนิดครับ
    จาก
    ลุงมหา

    ขอเชิญร่วมงานทอดกฐินสามัคคี
    ณ วัดป่าคูณคำวิปัสสนา
    บ้านกลาง ต.กุดไห อ.กุดบาก จ.สกลนคร
    วันที่ 13-14 พฤษจิกายน 2553
    ติดต่อสอบถามโทร 0๘๕-๔๕๑-๙0๖0​



    แผนที่ทางอากาศ สถานที่ตั้ง วัดป่าคูณคำวิปัสสนา
    บ้านกลาง ต.กุดให อ.กุดบาก จ.สกลนคร

    17ํํัััํํํํํํํํํํ ํ07' 12.65" N
    103 ํ48' 00.84" E
     
  7. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขออนุญาตเล่าเรื่อง อ.ทิพากร รินไทสง ให้ทราบนะครับ
    ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของประสบการณ์ที่ตัวเองเคยได้มีโอกาสไปพบไปสัมผัสท่านผู้นี้มา
    ไม่ได้ยกย่องหรือคัดค้านแต่อย่างใด แต่สิ่งใดที่ท่านทำดีทำเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน
    สิ่งนั้นผมขออนุโมทนาไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    สมัยก่อนนั้น ผมยังมีความซ่าอยู่มาก แต่ไม่ได้ชอบไปลองของใครนะ เพียงแต่ไปดูไปศึกษาเรื่องที่แปลกและมหัศจรรย์ ไปเพื่อพิสูจน์ความจริงเท่านั้นเอง อาศัยว่า sensing เราไวหน่อยก็แค่นั้น ประมาณปี 2550 ผมได้มีโอกาสไปพบ อ.ท่านนี้ที่หนองคาย ได้มีโอกาสไปสัมผัสใกล้ ๆ พอ อ.แกชูมือขึ้นไปบนฟ้าแล้ววาดมือลงมาที่ผมและเพื่อนที่ไปด้วยกัน (ดูเหมือนทำเล่น ๆ) เป็นเรื่องน่าแปลกมาก เพราะจิตผมตอนนั้นก็รู้สึกสบาย โล่งโปร่งขึ้นมาทันที ตัวเราเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอปรากฏการณ์แบบนี้ จึงรู้ว่ามันมีพลังงานบางอย่างอยู่จริง ซึ่งเป็นพลังงานที่ดี ต่อมาผมได้ถามอาจารย์ว่า เป็นเพราะอะไร อาจารย์ท่านบอกว่า เป็นพลังบุญของตัวเราเองที่ทำไว้ในอดีตชาติที่ผ่านมา เบิกบุญมาใช้ได้ สบายใจอย่างนั้นอยู่ถึง 3 วัน แต่รู้ว่าเป็นพลังงานจากภายนอก ไม่ใช่เกิดจากภายใน ผมก็เก็บเป็นความรู้เป็นประสบการณ์ไว้

    เรื่องพลังบุญนี้มีจริง จากที่เคยประสบมาด้วยตนเอง จากทีวีรายการตีสิบ ถ้าใครจำได้ ผู้หญิงคนหนึ่งตายแล้วฟื้น ช่วงที่จิตออกจากร่างไปเฝ้าพระยายม (ประมาณนั้น) มีคนทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วเธอได้รับ เกิดความสบายใจอย่างบอกไม่ถูก อันนั้นก็คือ พลังบุญ หรือที่หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ท่านเคยเล่าเรื่องที่คนนึกว่าลูกชายตาย เพราะหายสาบสูญไป เลยทำบุญจัดพิธีการงานศพอุทิศส่วนกุศลไปให้ ภายหลังลูกชายกลับมา บอกว่า ช่วงที่ไปติดเกาะหรือไรผมจำไม่ได้แล้ว ช่วงนั้นเขารู้สึกสบายใจมากผิดปกติ นี่แหละพลังบุญ เวลาผมสวดอุทิศบุญกุศล สวดอิมินา แผ่เมตตาให้เหล่าเทพเทวาอารักษ์ที่คุ้มครองผม คุ้มครองสถานที่่ที่อยู่อาศัยให้ ผมก็จะได้รับพลังงานแห่งความสบายใจนั้น เป็นนัยว่าเขาเหล่านั้นได้รับรู้และโมทนาให้ คนโพสต์ด่าโพสต์โมทนาในเว็บ ล้วนมีพลังงานทั้งนั้น ถ้าเป็นพลังบุญกระแสความสบายใจ ความอิ่มเอมจะปรากฏ ถ้าถูกด่าถูกไม่พอใจ โกรธก็เป็นไปอีกแบบหนึ่ง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเราไปขัดใจเขา มันก็เป็นกรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน

    จะว่าดีว่าชั่วมันก็เป็นกรรม คือทำให้เขาไม่สบายใจ หงุดหงิดขัดใจ ก็ต้องสู้กับทิฏฐิของคน นี่แหละครูบาอาจารย์ท่านถึงว่าเหนื่อย ท่านถึงชอบอยู่องค์เดียว เว้นแต่คนมีวาสนาร่วมกันมาก็จะได้พบได้เจอได้อบรมสั่งสอนกัน ครูบาอาจารย์ผมบอกว่า มันเป็นทิฏฐิของคนเรานั่นเอง ที่โต้กลับมาเป็นพลังงาน สอนเขาเราก็โดน ถ้าเราไม่เข้มแข็งพอ เราก็โดน ถ้าเราเข้มแข็งพอ มันก็กลายเป็นแบบฝึกหัดชั้นดีให้เราได้ฝึกเป็นอย่างดี ก็แล้วแต่จะไหวหรือไม่ไหว ได้ฝึกกันตอนนั้น คนไหนยังไม่รู้จริงก็อย่าเพิ่งใจร้อนไปสอนเลย เอาแค่แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันก็พอแล้ว สอนผิดมันบาปมาก กรรมนั้นมีจริง อดีตผมเคยปรามาสครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ทำให้พลาดไปเป็นสิบ ๆ ปี จนได้พบผู้ชี้ทางให้ แก้ไขกันจึงเอาตัวรอดมาได้ ขอให้อย่าพากันประมาท จะแนะนำอะไรให้แนะนำด้วยจิตที่เป็นกลางจริง ถ้าโกรธอยู่ จิตเกิดอยู่ (ดูออกกันรึป่าว) ก็อย่าเพิ่งไปแนะนำ ดับเสียก่อน สบายใจแล้วค่อยมาดู การตอบจะเปลี่ยนไป ลองสังเกตที่ตนเองโพสต์ไว้เก่า ๆ ก็ได้ จะรู้ว่าเราออกฤทธิ์ออกเดชไว้มากเพียงใด เทคโนโลยีมันก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ


    ตอนนั้นก็ลืมถามไปว่า ถ้าเบิกมาใช้แล้วจะหมดมั้ย แต่ไม่เป็นไร เราก็สร้างบุญของเราไปเรื่อย ๆ ละกิเลส ละอกุศลในใจ หมั่นศึกษาวิเคราะห์ทำความเข้าใจ จิตเกิดได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุ ลึกลงไปอะไรคือต้นตอที่แท้จริง เราศึกษาให้ถ่องแท้อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็เป็นบุญเป็นกุศลอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว สมมุติว่า แม้จะไม่รู้ว่าที่ทำอยู่นี้มันเป็นบุญ แต่ถ้าตั้งใจทำจริง ๆ แล้ว มันก็เป็นบุญอยู่วันยังค่ำนั่นเอง บุญอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการชำระสะสางกิเลสคงไม่มี


    ก็ขอฝากข้อคิด ฝากประสบการณ์ไว้ให้ได้พิจารณากัน ไม่ต้องเชื่อก็ได้ เป็นข้่อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2010
  8. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    เรียนท่านลุงมหาด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่งและเพื่อนๆท่านอื่นที่ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้อ่านข้อความของท่านลุงมหาแล้วต้องกราบขอบพระคุณท่านมากที่ได้ให้ความรู้เพราะจิตตอนนี้ก็พิจารณาเรื่องความตายมากในหลายวันที่ผ่านมาจิตมันวนเวียนอยู่ที่ เกิด แก่ เจ็บตาย เข้าใจว่าปัญญายังน้อยจึงยังคงวนเวียนอยู่ตรงนี้ไม่ทะลุสักที แต่ไม่ไปเร่งอะไร กลัวจะเหมือนรู้เพราะความนึกคิด ก็เลยทำไปอย่างสมำเสมอพยายามทำให้ได้ทุกอิริยาบถ ตอนนี้ไม่ค่อยอยากอธิบายมากเพราะเห็นด้วยกับข้อความท่านลุงมหาด้านบนเรื่องการตอบกระทู้บางท่านก็ตอบแบบเหมือนตัวเองมีภูมิธรรมมากรู็มาก แต่พอเอาเข้าจริงกลับแสดงความคิดเห็นเหมือนไม่มีภูมิธรรม งง มากเหมือนบางข้อความอาจเข้าใจว่าข้าพเจ้า ท่านลุงมหา ท่านทดสอบหนึ่งมีความรู้จักกันมาเป็นอย่างดี พร้อมทั้งยกยอกันเอง กลายเป็นไปลากท่านอื่นเข้ามาให้ยุ่งยาก แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเว็ปบอร์ดสาธารณะ แต่อ่านของบางท่านแล้วก็ยังมีความไม่สบายใจอยู่ เนื่องจากบางท่านใช้อารมณ์เป็นปัจจัย ก็เลยปฏิบัติมองที่จิตตัวเองดีกว่า แต่วันนี้ได้เห็นข้อความท่านลุงมหาเลยตั้งใจมาตอบแสดงความคิดเห็นเพื่อจะได้รับความรู้จากท่านลุงมหา เพื่อความก้าวหน้าต่อไปในธรรมเพราะความตั้งใจจริงแล้วตั้งใจจะสละที่ดินแปลงหนึ่งเพื่อสร้างสำนักสงฆ์และเพื่อว่าตัวเองมีโอกาสได้แนะนำท่านอื่นได้บ้างเท่าที่ปัญญามี เพราะทุกวันนี้มองไม่เห็นว่าสิ่งใดจะมี นอกจากกุศลผลและบุญ ส่วนเรื่องการทอดกฐินข้าพเจ้าขอร่วมบุญกับท่านลุงมหาด้วยปัจจัยจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นการดำรงไว้เพื่อพระพุทธศาสนา ขอให้ท่านลุงมหาช่วย pm เบอร์บัญชีมาให้ด้วยจะได้ร่วมบุญกับท่าน เพราะปีนี้ได้เป็นเจ้าภาพกฐินไว้3 วัดแล้ว ขอท่านลุงมหาโมทนาบุญกับการสร้างโบสถ์ ที่ข้าพเจ้าได้เป็นเจ้าภาพไว้และจะเสร็จสิ้นในกฐินปีนี้ สุดท้ายบุญใดที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมมาดีแล้วตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติขอท่านลุงมหาและครอบครัวจงมีส่วนในบุญนั้นกับข้าพเจ้าเทอญ
     
  9. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2010
  10. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    เรียนท่านลุงมหา วันนี้ขอรบกวนท่านลุงมหาเนื่องจากขณะที่นั่งสมาธิจิตรวมแล้วขณะที่ลมหายใจละเอียดมากสติทำหน้าที่สำรวจเข้าด้านในกายสักพักปรากฏว่าจากท้ายคอลงมาเกือบ1ฝ่ามือพอหายใจเข้า มันดึงหลังยุบลงไปเหมือนเป็นหลุมใหญ่ดูดดึงช่วงหลังลงไปพอหายใจออกมันขยายออกกลับมาเหมือนเดิมเป็นตลอดที่เจริญสมาธิจับดูตลอด มันเป็นอาการของอะไรค่ะท่านลุงมหา ตอนแรกที่จับลงไปได้มีความประหลาดใจ เพราะมันชัดเจนมาก แต่สติตามรู้จับตลอด พอออกจากสมาธิก็ปกติ พอลองนั่งอีกอาการนี้ไม่ปรากฏอีก ทั้งที่พยายามจับตรงจุดเดิมที่เกิดขึ้น รบกวนท่านลุงมหาช่วยแน่ะนำด้วย ค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างสูง
     
  11. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    ท่าน dangcarry นำจิตไปพิจารณาไปคิด เกิด แก่ เจ็บตาย ผิดที่ผิดเวลาเสียแล้ว

    การจะพิจารณา พระไตรลักษณ์ ต้องรู้สภาวะจิตผู้พิจารณาว่าเป็นอย่างไร ถ้าไม่รู้สภาวะจิตไปพิจารณาก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นที่พิจารณากันอยู่นี้ จะไม่ได้ประโยชน์อะไรมากเลย บ้างครั้งอาจมีโทษก็เป็นไปได้อีก จิตอาจเศร้าหมอง เบื่อหน่าย

    ความเศร้าหมอง ความเบื่อหน่ายไม่ใช่อารมณ์ของพระอริยะเจ้าจำไว้ให้ดี

    ผู้ที่แตกฉานเรื่องจิตย่อมต้องรู้สภาวะจิต ผู้ถูกสอนว่าเป็นอย่างไร

    ท่าน dangcarry ปฏิบัติตามสิ่งที่แนะนำให้ ท่านจะเข้าถึงเร็ว

    ยังมีเรื่องที่ท่านเข้าใจผมผิดอีก ไว้จะอธิบายอีกครั้ง ขออธิบายธรรมะที่ผิดก่อนสำคัญกว่า

    ขอบคุณครับ
     
  12. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    เรียนท่านทดสอบ1ค่ะ ก่อนอื่นกราบขอบพระคุณท่านมากที่บอกสภาวะจิตให้ทราบถึงการดำเนินจิต แต่ที่ข้าพเจ้าได้เรียนตอบนั้นเพราะสภาวะที่เกิดตามจิตเรื่องของการพิจารณาการเกิด แก่ เจ็บ ตาบ มันมีเข้ามาแทรกแทรง ก็ดูมันไปตามสภาวะแต่ก็จริงของท่านเพราะจิตก็ไปจดจ่อเอาซะงั้น แต่ยังไม่มีอาการเบื่อหน่าย จิตมันรู้ว่าที่พิจารณาอยู่มันเป็นสภาวะจริงที่ต้องพบเจอไม่สิ้นสุด แต่ก็ต้องขอถามท่านด้วยว่าคำว่าสภาวะจิต ควรดำเนินอย่างไรต่อไป เพราะตอนนี้ก็ปฏิบัติไปตามจิตดำเนินแต่มีสติเป็นผู้รู้ เพราะที่ผ่านมาก็ดำเนินมาตามทางนี้ล้มบ้างลุกบ้างเหมือนตามทางมีอะไรก็ต้องรู้ แต่ใจก็สู้ไม่คิดว่าเป็นเรื่องเสียเวลาถ้าวันหนึ่งข้าพเจ้ามีสภาวะที่ธรรมที่แน่นอนเหมือนท่านอาจจะช่วยผู้อื่นได้บ้าง ท่านทดสอบ1 ในอดีตท่านเจอสภาวะแบบข้าพเจ้าบ้างหรือเปล่าค่ะตอนท่านเริ่มปฏิบัติ ขอท่านเมตตาชี้ทางให้ข้าพเจ้าเพื่อเป็นธรรมทานด้วย ตอนนี้ข้าพเจ้าฟังธรรมของท่านโชดก ที่ท่านสอนวิปัสนาการตอบคำถามของข้าพเจ้าส่วนมากก็ตอบได้ถูก แต่ก็มีหลายประโยคที่ท่านกล่าวเหมือนท่านทดสอบ1 และท่านลุงมหา ข้าพเจ้าโดยส่วนตัวมีความซาบซึ้งที่ท่านทั้ง2มีเมตตากับข้าพเจ้ามาโดยตลอด ขอให้ท่านช่วยแนะนำด้วยว่าควรดำเนินต่อไปอย่างไร ถ้าปัญญาของข้าพเจ้าพึงมีข้าพเจ้าคงจะได้ประโยชน์ในครั้งนี้อย่างมหาศาล ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องบางประการซึ่งอาจจะนอกเรื่องนิดหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าเดินทางการปฏิบัติของข้าพเจ้ามา ในทุก1ปีจะมีพระภิกษุท่านหนึ่งมาสอนการปฏิบัติให้ข้าพเจ้าในนิมิต แต่ท่านไม่เคยให้ข้าพเจ้าได้เห็นหน้าท่านแม้ข้าพเจ้าจะพยายามเงยมองหน้าท่านก็แงนไม่ขึ้นมองได้สูงสุดแค่ช่วงอกท่านเท่านั้น ท่านพาข้าพเจ้าไปหลายที่พร้อมทั้งสอนเรื่องการปฏิบัติบางอย่างให้ และก็มีครูบาทางภาคเหนือท่านหนึ่งที่ท่านเป็นนิตยโพธิสัตว์เมตตาให้ธรรมข้าพเจ้าบ้าง แล้วก็มาพบคำแนะนำของท่านลุงมหา และท่านทดสอบ1ที่เป็นกำลังใจให้ สิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิบัติและถูกจริตกับข้าพเจ้าเป็นการพิจารณาเรื่องจิต กับธรรม
     
  13. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    เรียนท่านทดสอบ1 เป็นการด่วน ประโยคที่ท่านได้กล่าวว่าข้าพเจ้ายังมีเรื่องที่เข้าใจท่านผิดอีก ข้าพเจ้าไม่เคยสงสัยในการปฏิบัติของท่าน ไม่เคยคิดปรามาสท่านด้วยความสัตย์จริงเหตุที่ถามท่านไปนั้นมิใช่ว่าจะเป็นเหตุปรามาสท่านเลย แต่ไม่อยากให้ท่านอื่นคิดปรามาสท่านข้าพเจ้าเข้าใจว่าถ้าท่านอื่นที่เข้ามาอ่านได้พบข้อความท่านที่ได้กล่าวไว้ ข้าพเจ้าทราบว่าจิตของท่านนั้นสะอาดแล้ว ท่านไม่สนในการติเตียนของท่านอื่นก็ตาม แต่ข้าพเจ้ามิปราถนาให้ท่านอื่นต้องมีบาป ข้าพเจ้าขอให้ท่านเข้าใจในศัทธาที่มีต่อท่าน ข้าพเจ้ามิได้ศัทธาผู้ใดด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สิ่งที่ข้าพเจ้าศัทธาท่านคือธรรมของท่าน ความเมตาที่ท่านมีต่อสาธุชน ความสุขหรือการเดินทาง ทางโลกนั้นข้าพเจ้ามีครบแล้ว สิ่งที่ข้าพเจ้าปราถนาคือขอสืบทอดพระพุทธศาสนาจนกว่าข้าพเจ้าจะสิ้นอายุไขเท่านั้น จริงๆ แต่หากข้าพเจ้าได้กล่าววาจาใดๆที่เป็นการล่วงเกินท่านโดยไม่มีเจตนาขอท่านเมตตาอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วย
     
  14. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    พวกคุณทั้งหมดทั้งสามท่านเลยนะครับ ทั้งท่านทดสอบ1 ลุงมหา และก็คุณdangcarry ผมขอแนะนำว่า นำความรู้ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม ที่คุณขันธ์เขาโพสต์ไว้มาใช้ให้เกิดประโยชน์จะดีเสียกว่าครับ ไม่ว่าใครจะได้จริงหรือไม่จริงอย่างไร ส่วนตัวผมพิจารณาว่าทุกคำพูดของเขามีประโยชน์มากกว่า ส่วนเรื่องการกระทำนั้นมันเป็นเรื่องของความละเอียดอ่อนในจิตที่สั่งสมมา เพราะมีแต่ความเพ้อฝันเท่านั้นเองที่คุณๆทำกันอยู่ครับ
    สาธุครับ
     
  15. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    ต้องขอบคุณที่ท่านแสดงความคิดเห็นว่าจะให้ข้าพเจ้าปฏิบัติตามท่านผู้ใด ข้าพเจ้าถึงจะปฏิบัติได้ไม่นาน แต่ศัทธาที่ข้าะเจ้านั้นมีต่อภูมิท่านของท่านผู้ใด ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่จะเลือกเอง ท่านขันธ์ท่านเองท่านก็มีภูมิธรรมของท่านข้าพเจ้ามิได้ปฏิเสธ แต่อาจจะเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ถูกวิสัย คำว่าประโยชน์ของเขามีมากกว่าแต่ข้าพเจ้ามองว่ามันไม่ตรงกับข้าพเจ้า ที่สำคัญข้าพเจ้านั้นมองว่าท่านทดสอบ1 กับท่านลุงมหาท่านให้ธรรมที่ตรง ขอให้ท่านลองดูที่จิตของท่านว่าขณะที่ท่านตอบแสดงความคิดเห็นจิตของท่านตั้งอยู่ที่อะไร ธรรมที่ท่านได้รู้มาช่วยอะไรท่านได้บ้าง ท่านมองที่สิ่งใดเป็นเกรณ์ ผู้ที่ฝึกจิตมาดีแล้วย่อมมิก้าวล่วงธรรมของผู้ใดหรือเปล่า ลองพิจารณาดู ขอให้ท่านเจริญในธรรม
     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ธรรมทั้งหลายนั้นหากเป็นธรรมของพระศาสดานั้นเป็นอันเดียวกัน ไม่ยอกย้อนไม่คลอนแคลน ไม่เพ้อฝัน ไม่หวั่นไหว การกล่าวแนะนำไม่ใด้เป็นการก้าวล่วง เพราะความเพ้อฝันมักจะนำพาให้ไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น มันจึงสำคัญมาก เพราะความเพ้อฝัน จึงยังให้เกิด จิตคิดสติดับ จิตนั้นไม่ใช่ตัวคิด ท่านทั้งสามนั้นควรพิจารณาให้ดีๆว่า ผมนั้นก้าวล่วงหรือว่าผมกำลังแนะนำในสิ่งที่ควรกระทำกันแน่ครับ ที่สำคัญเลย เรื่องนี้เพราะว่าผมเป็นห่วงท่านทั้งสามขึ้นมาก็เท่านั้นเอง และผมเองก็ไม่มีเหตุผลจำเป็นจะต้องไปจับมาโยงใยให้วุ่นวายอีกเลย หรือจะโยงไปสู่ธรรมารมณ์ อย่างที่บางท่านกำลังทำอยู่ เพราะว่าจิตไม่ได้มีพฤติกรรมหรือลักษณะเช่นนั้น โดยความเป็นจริง
    อนุโมทนาเช่นกันครับ หากพิจารณาด้วยดีย่อมได้สิ่งดีๆอย่างแน่นอน
     
  17. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    การที่ท่านกล่าวว่าจิตนั้นไม่ใช่ตัวคิด ท่านลองพิจารณาดูว่ารูป1 นาม4 ประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ท่านยังมีรูปมีนาม ท่านจะกล่าวว่าจิตนั้นไม่ใช่ตัวคิด ท่านลองพิจารณาดูน่ะ การฝึกสตินั้นเพื่อรู้และดับ เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของธรรม ส่วนเรื่องว่าข้าพเจ้าเพ้อฝันหรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องถือว่าข้าพเจ้าได้พบแต่กุศลของความตั้งใจเท่านั้น ไม่สามารถพบแสงสว่างได้ ก็ต้องเพียรกันต่อไป อย่างข้อคิดที่ท่านแนะนำข้าพเจ้าก็ต้องขอขอบคุณท่านมาก ที่ปราถนาดีในธรรม ค่ะ
     
  18. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ก็ลองดูเอาครับว่าจิตกับตัวคิดมันอันเดียวกันไหม รูปกับนาม มันไปยุ่งย่ามอะไรรูปนามก็คือรูปนามครับ แต่ความปรุงแต่งที่เกิดกับรูปนามนั้นมันคือความคิดก็ได้ กิเลสก็ได้ ความคิดของกิเลสก็ได้ แล้วมันจะไปเกี่ยวข้องกันเพราะอะไรครับ ถ้าไม่ใช่เพราะความปรุงแต่งไป ยิ่งถ้าเราไม่เอาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณและรูป มาเป็นอารมณ์ ความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นจนเป็นความคิดจะมีได้ยังไง ผมแนะนำนั้นแนะนำในแง่การฝึกสมาธิจิต เพราะอะไรก็ใคร่ครวญเอาเองเช่นกันครับ ภาพลวงตาในโลกนี้มันมีมากนัก มันลวงทั้งตานอกและมันลวงทั้งตาใน ผมก็อนุโมทนาผมเองก็ไม่ได้จะคิดอกุศลหรือหักหาญน้ำใจแต่อย่างใด ก็คงอธิบายไปตามความเข้าใจของตนเองเช่นกันครับ ที่ผ่านมาผมเห็นเพียงว่า ผู้ยังสตินทรีย์อ่อนนั้น ไม่อาจก้าวข้ามพ้นความหลงผิดไปได้ครับ และสตินทรีย์ได้จากอะไร ก็คงอาศัยบุญกุศลที่ท่านว่านั่นแหละครับเป็น เหตุปัจจัยของท่านเอง
    อนุโมทนาเช่นกันครับ
     
  19. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ความคิด...ไม่ใช่จิต คุณdangcarry..และท่าน 2 อริยะ !ท่าน kengkenny..เขาแนะนำถูกแล้วครับ อย่าหลงไปใหญ่เลยตื่นเถอะค่อยๆซักถามมาท่านในนี้มีมากมาย เป้นผู้รู้จริง..การเข้าใจผิดไม่ใช่เรื่องที่น่าอายครับ ค่อยๆคุยแลกเปลี่ยนกันนะครับ
     
  20. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    (พระราชสังวรญาณ)
    วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

    [​IMG]

    "ใครจะบริกรรมภาวนากรรมฐานบทไหนอย่างไร
    เมื่อสภาวะจิตสงบสู่ความเป็นสมาธิ ย่อมมีลักษณะเดียวกันหมด
    เพราะฉะนั้น เราอย่าเอาตำรามาค้านกัน
    ให้เอาสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติมาเปรียบเทียบกัน
    จึงจะลงเอยกันได้"

    "การปฏิบัติสำคัญที่การรวมจิตเป็นใหญ่
    เพราะพื้นฐานแห่งความดีความชั่ว ย่อมเกิดที่จิต
    ถ้าจิตตัวนี้ปราศจากสติเป็นเครื่องคุ้มครอง หรือประคับประคองเมื่อใด
    เมื่อนั้น จิตดวงนี้ก็ต้องมีความเผลอ ไปนึกสร้างบาปกรรมใส่ตัว
    เพราะฉะนั้น การอบรมจิตให้มีสติจึงเป็นสิ่งจำเป็น
    ความทุกข์ทั้งหลายเกิดจากกิเลส โลภะ ราคะบ้าง โมหะบ้าง
    ถ้าต้องการมีความสุข ต้องกำจัดกิเลสของตน
    กิเลสในใจตน ไม่ใช่ไปตั้งหน้ากำจัดกิเลสคนอื่น"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2010
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...