สงสัยเรื่อง อานาปานสติ ครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บัญชา_, 21 สิงหาคม 2012.

  1. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ธรรรมธาตุนี้ เป็นสิ้งที่ต้องอาศัยกันเกิดขึ้นนะ มีลมได้ ก็ต้องมีผู้เข้าใปรู้ลม จึงจะเกิดลมได้
    ไม่ใช่เราเป็นผู้ที่สามารถรู้ลมได้เอง สร้างลมให้เกิด ให้รู้สึกเอง เเต่เป็นการทำงานของธรรมชาติฝั่งสังขตธรรมคือโลกสมมุตินี้เอง กาเกิดอะไรต่างๆ มันปรากฏได้ด้วย จาก วิญญาณ/นามรุป เป็นการทำงานที่ทำให้เราหลงผิดกันมาเป็นเวลานาน ถ้าเกิดยังไม่ร้ว่า มันรู้ได้เพียงทีละธรรมชาติ ดวง1เกิดขึ้น ดวง1ดับไป มันก็จะเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ อย่างเช่น อายตนะ
    ซึ่งต้องอาศัยวิญญาณเป็นปัจจัยในการไปรู้เห็นทางทวารที่เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำให้เห็นรูปภายนอกได้ เเต่ถ้าไม่มีวิญญาณ เข้าไปรู้ สิ่งที่มันมีอยู่ ก็ไม่ปรากฏ มีอยู่ก็เหมือนกับไม่มี ไม่ปราฏก เหมือนกันลมหายใจจะมีได้ก็ต้อง อาศัย วิญญาณเข้าไปรู้ ซึ่งถ้าลมหายใจหายไป ก็เรียกว่ารูปดับ วิญญาณมันก็จะไปหลงที่ นาม เเทน วิญญาณไม่พ้นไปจาก นาม-รุปได้เลย เป้นสิ่งที่บังคับไม่ได้ จะเข้าใจต้องไปปฏิบัติเองไม่ใช่เชื่อตามๆกัน เเล้วผู้รู้มันไม่รู้อะไรไปพร้อมๆกันได้ ธรรมชาตินี้ต้องอาศัยซึ่งกันเกิดเท่านั้นเอง เรานั้นมีเพียง1เดียว โลกใบนี้มันล้วนมีเเต่อนัตตา เเละวิญญาณไม่สามารถรู้นิพานได้ เพราะมันรู้ได้เพียง รุป-นาม ซึ่งนิพพานไม่มี
    ที่ไหนไม่มีรูปนามพระองค์ตรัสที่นั้นไม่มีทุกข์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2012
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ............แล้ว อวิชชา ปัจจัยสังขารา สังขาราปัจจัย วิญญานัง ล่ะ อธิบายให้ผมฟังหน่อยครับ ขอบคุณ:cool:
     
  3. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    คำพวกนี้ ทวนสอบได้ครับ
    ในส่วนของการกล่าว ว่าบางพวกเล่นไปดูทีวีไป รู้ลมไปด้วย ขณะนั้นทำที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ แต่ๆ อาจจะได้ก็ได้หากว่า มีตัวกระทบพอเหมาะ เกิดสดับ เห็น แล้วปลงสังเวช ลงได้ ก็อาจจะครับ ธรรมไม่จำกัดกาลครับ หากไม่ประมาท สรุปว่าตนรู้ทั่วในธรรมเสียก่อน
     
  4. lkunl

    lkunl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +390
    ลองอ่านดูครับ หลวงพ่อฤาษี สอนพระกรรมฐานในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑
    อานาปานุสสติกรรมฐาน แบบละเอียดมากๆ 18 ตอน

    Bloggang.com :

    จริงๆ สติปัฐาน4 บทแรกเนี่ยขึ้นต้นด้วยอานาปานสติเลยครับ
     
  5. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    ก็คือความไม่รู้ อริยสัจ4ไงครับ เพราะไม่รู้ ความเป็นรูป เหตุเกิดของรูป(มีได้เพราะวิญญาณ)ความดับของรูป(ก็คือวิญญาณไปรู้นาม รูปถึงดับ พอไปรู้รูปอยู่ นามถึงดับ)
    ปฏิปทา ก็คือมรรค8 อัสสาทะ ต้องรูปสภาวะของธรรมธาตุนี้ รู้ว่าเราอยู่ในสถานะอะไรเเน่ อทีนนาวะ โทษถ้าไม่รู้ก็จะตายไปตามรุป-นามได้ ก็จะเกิดสังขารขึ้นนิสรณะ คือไม่หลงคิดว่า วิญญาณ - นามรูป เป็นของเรา
    สรุปคือเพราะความไม่ร้การเกิดของสังขารย่อมมี เมื่อมีสังขาร ก็จะมีวิญญาณ พอมีวิญญาณมันก็จะปรุงเเต่งให้เป็นรูป ชาย ก็ตาม หญิงก็ตาม ก็จะมีอยู่ใน1สัตร

    ที่จริง เเล้วพระองค์จะเชื่อมพระสูตรหลักๆไว้อยู่คือ ปฏจสมุปบาท อรยสัจ4 เเละ ไตรลักษณ์
    ในสังขตธรรม ก็คือที่ๆ เราอยู่กันในเวลานี้ เป็นระบบของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    อนิจจังคือ....
    อัสสาทะ ของอนิจจังก็คือ มีการเกิดปราฏก
    อทีนนาวะ ของนิจจังก็คือ มีความไม่เที่ยงปราฏก
    ทุกขัง....
    อัสสาทะ ของทุกขังก็คื เป็นสภาวะที่ตั้งอยู่ได้
    อทีนนาวะ มีของทุกขังก็คือ มีความเสื่อม

    ไม่รู้เห็นอย่างนี้ก็เรียกว่าอวิชชา ซึ่งปุถุชนธรรมดา เห็นเเต่อัสสาทะของโลกใบนี้ว่ามันมีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เเละ ดับไป ไม่รู้เหตุของมันจริงๆ ก็คือสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของเรา เเต่เห็นเพียงภายนอก ก็ไปคนว่า อัตตาของเรา เกิด อัตตาของเราเเก่ อัตตาของเราตาย ถ้าไม่โอมปนยิโกเเล้ว ก็จะหลงไปว่าเรานั้นไม่มีวันดับ เห็นเเต่ภายนอกดับ เเต่จริงๆเเล้วเพราะองค์ให้เห็นภายในด้วยวาความดับมันก็มีอยู่ จึงต้องละเสีย

    เพราะงั้นพระองค์ถึงตรัสชาติ ไม่มีโดยประการทั่งปวง เพราะความดับเเห่งชาติ ชรา มรณะจะปราฏกให้เห็นไหม
    สาวกตอบ ไม่มีได้เลย

    เพราะชะงั้นถ้าโยนิโสดีๆ โลกใบนี้เมื่อมีการเกิด ก็ต้องมีความเเก่ เพราะความเกิดมันก็ไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงความเป็นทุกขัง ความเสื่อมจึงมี เพราะฉะนั้นพระองค์ถึงให้ดูตรง วิญญาณ นี้ด้วยละเกิด-ดับได้ด้วย เป็นของ ไม่ใช่ของเรา
    เพราะสิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุก(ความเสื่อม)

    อย่างนั่นพระองค์ถึงหาความจริงว่ามันต้องมีสิ่งที่ เกิดเเต่เที่ยง ตั้งอยู่เเต่ไม่เสื่อม
    อย่างนั้นอสังขตธรรม จึงเเสดงไว้อยู่ สิ่งนี้จะตรงข้ามกับ โลกใบนี้กำลังอยู่ เพราะ
    อัสสาทะ ไม่มีการเกิดปราฏก
    อาทีนาวะ ไม่มีความเสื่อมปราฏก เมื่อตั้งอยู่ไม่มีภาวะอย่างอื่นปราฏก คิดดีๆนิพพานนั้นเคยเกิดขึ้น เเต่เที่ยง พอตั้งอยู่เลยไม่ม่ความเสื่อม ฉะนั้นนิพพานก็ยังถือว่าเที่ยงเเท้ เป็นระบบที่ตรงข้ามกับความทุกข์สิ้นเชิง มีเเต่สุขล้วนๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2012
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ....................ที่อธิบายมาทั้งหมด...นี่ คุณคิดว่า มีอะไรขาดตกบกพร่องบ้างใหมครับ?....มีอุเทส(การอธิบายแบบอื่น อีกมากมาย)หรือเปล่า?:cool:
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ................แล้ว สมุทัยแห่งทุกข์ละ...ทุกข์สมุทัย พวก นันทิ ราคะ ตัณหาล่ะ เข้าไปมีบทบาท ตรงใหน ตามความเห็นของคุณ:cool:
     
  8. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ^ กลับไปอ่านใหม่นะผมเเก้สะเยอะเชียว

    จะสรุปก็โลกใบนี้ มันจะมีความเเก่ซ่อนอยู่ในความเป็นหนุ่มสาวอยู่เเล้ว เเน่นอนเทียงเเท้

    เพราะ การเกิดในที่เเห่งนี้มันไม่เที่ยงอยู่เเล้ว เมื่อสิ้งใดไม่เที่ยงมันก็ต้องมีความเเก่

    มันเป็นระบบสังขตธรรม เข้าใจไหม รวมถึง จิต มโน วิญญาณ มันก็ไม่เที่ยง ดวง1เกิดขึ้นดวง1ดับไป
     
  9. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    นี้คุณเล่นให้ผมสรุปเรื่องเลยใช่ไหมเนี่ย ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะ - -

    อย่างมีพระสูตร1 ที่ภิกษุเข้าใจผิดว่า วิญญาณ(ผู้รู้) เวียนว่ายตายเกิด
    ก็โดนพระพุทธเจ้าตำหนิว่าเป็น โมฆบุรุษ เพราะวิญญาณมันไม่ได้เวียนว่ายตายเกิดจริงๆ เพราะมันเว้นจากรูป-นาม ไม่ได้การปราฏกของวิญญาณคือมันไปเกิดรว่มกับ นาม-รูป อยู่ต้องอาศัยซึ่งกันเเละกันเกิดขึ้น
    ความเกิดขึ้นเเห่งทุกข์(สมุทัย) ส่วน1มันก็คือการทำงานของวิญญาณเเละนามรุป เเต่จริงๆเเล้วมันมีผู้เข้ามายึดว่านี้เป็นของเราทั่ง วิญญาณเเละรูปนาม
    พระองค์เรียกว่าเป็นสัตว์ผ้มีอวิชชาเป็นเครื่องกลั้นมีตัณหาเป็นเครื่องผูก วิ่งไปท่องเทียวไป ย่อมไปสู่ภพอื่นจากโลกนี้ ย่อมมาสู่โลกนี้จากโลกอื่นบ้าง
    ก็คือความพอใจใน วิญญาณ นามรูป เนี่ยละคือสมุยทัย จะมีตรัสไว้ว่าความพอใจอันใด นันทิ อันใด ตัณหาอันใดมีอยู่ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั่งหลายเเละในวิญญาณ เพราะต้องเเล้วข้องเเล้วในสิ่งนั้นๆจึงเรียกว่าสัตว์
    พระองค์พูดถึงสัตวืที่มีอุปทาน เท่านั้น ไม่พูดถึงสัตว์ที่ไม่มีอุปทาน(สัตตานัง)
    เพราะขันธ์5เป็นที่ตั้งเเห่งความยึดก็จริง เเต่ความพอใจนี้เเละก็คือตัวเข้าไปยึดอีกในขันธ์เเละพระองคืก็บอกว่า ความพอใจนั้นมันก็มีอยู่ในขันธ์5นี้เเละไม่ได้มีอยู่ที่อื่น ฉะนั้น อีกสูตรจะมีสาวสก ที่ถามว่า ก็ใครเล่า ย่อมเสวยเวทนา ย่อมอยาก ย่อมยึด ย่อมมีอุปทาน พระองค์จะไม่เรียกว่าเป็นอะไร เเต่เป็นสภาวะของธรรมที่มันอาศัยกันเกิดขึ้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ของวิญญาณ กับ นามรุป

    เหตุจริงๆก็คือมีความพอใจมีฉันทะ ในวิญญาณกับนามรูปนั้นเเละ เหตุเกิดของทุกข์


    เเละนันทิ ตัณหาอะไรนั่นก็คือเหตุ การปราฏกของความพอใจนั้นก็คือ อุปทานเหมือนกัน
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ.......พืชของภพ พระวจนะ"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวอยู่ ว่า ภพ ภพ ดังนี้ ภพย่อมมีได้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรพระเจ้าข้า...อานนท์ ถ้ากรรมมี กามธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้ กามภพ จะพึงปรากฎได้แลหรือ? ..หามิได้พระเจ้าข้า................อานนท์ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา วิญญานเป็นเมล็ดพืช ตัณหาเป็นยางของพืช วิญญานของสัตว์ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุขั้นทราม การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้............อานนท์ ถ้ากรรมมีรูปธาตเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้ รูปภพ จะพึงปรากฎได้แลหรือ?........หามิได้พระเจ้าข้า................อานนท์ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา วิญญานเป็นเมล็ดพืช ตัณหาเป็นยางของพืช วิญญาน ของสัตว์ทั้งหลาย มี อวิชชาเป้นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นกลาง การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้....อานนท์ ถ้ากรรม มีอรูปธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้ อรูปภพ จะพึงปรากฎได้แลหรือ?...หามิได้พระเจ้าข้า...................อานนท์ด้วยเหตุนี้แล กรรมจึงเป็นเนื้อนา วิญญานเป็นเมล็ดพืช ตัณหาเป็นยางของพืช วิญญานของสัตว์ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุอันปราณีต(อรูปธาตุ) การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้.....อานนทื ภพย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้แล............(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...........ครับ ก็ ขอให้อธิบายไปเรื่อยเรื่อยนะครับ...ละเอียด ละเอียด ค่อย ค่อย ครับ:cool:
     
  12. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ^
    หมายถึงอะไรหรอครับ

    ก็มีพระสูตรที่ตรัสว่า ฉันทะอันใด ราคะอันใด นันทิอันใด ตัณหาอัน มีอยู่ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร เเละในวิญญาณ เพราะติดเเล้วข้างเเล้วในสิ่งนั้นๆฉะนั้นจึงเรียกว่าสัตว์


    ก็คือความที่เข้ามามีความพอใจทั่ง วิญญาณ ทั่ง นาม-รุป นี้ถุกเรียกว่าเป็นสัตว์อยู่เเล้วละครับ เป็นสัตว์ที่มีอุปทานาย

    อีกความหมาย1ถ้าสัตว์ที่ไม่มีอุปทาน เเล้วละ ขันธ์5ได้ ทำวิชชาวิมุตติให้เกิดได้เเล้วความเป็นเราก็จะปราฏกขึ้น จะไม่ถูกเรียกว่าสัตว์อีกต่อไปครับ
     
  13. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ก็ตรัสไว้กับ มิคชาละ ไงครับ ถึงเเม้ภิกษุจะส้องเสพเสนาสนะอันเป็นป่า ป่าชัฏ ซึ่งเงียบสงัด มีเสียงรบกวนน้อยมีเสียงกึกก้องครึกโครมน้อย ปราศจากผิวกายคน เป็นที่ทำการลับของมนุษยื เป็นที่สมควรเเก่การหลีกเร้นเช่นนี้เเล้วก็ตาม ถึงกระนั้นเราก็ยังคงเรียกภิกษุว่ามีการอยู่อย่างเพื่อนสอง

    ก็คือเมื่อการพอใจในอะไรเกิดขึ้น สิ้งนั้นเป็นอารมเพื่อการตั้งอยู่ของวิญญาณนะครับ ถึงจะไปนั่งที่เงียบๆ ถ้าไม่ตั้งใจจริง ก็ยังโดยเรียกว่าอยู่2คน
    ยิ่งดูทีวีไปด้วยยิ่งไปกันใหญ่
     
  14. ขอมจำแลง

    ขอมจำแลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +1,273
    จากประสบการณ์ และ คำสั่งสอนครูบาอาจารย์ ต่อปัญหาเรื่องนี้ เรารวบรวมประมวลได้คร่าว ๆ นะ ... ถ้าตั้งใจจริง ก็พอเลย ดังนี้

    อานาปานุสสติ เป็นกรรมฐานระงับความฟุ้งซ่าน เป็นกรรมฐานหลักของกรรมฐานแทบทุกกอง พระพุทธเจ้า พระสาวกก็ได้อาศัยกรรมฐานกองนี้ เพื่อเป็นบาทฐานแห่งสมาธิ ในการปฏิบัติจนบรรลุมรรคผลกันมาโดยตลอด ทำไมคิดว่า เราทำแล้วจะเนิ่นช้า ... สงสัยคิดแบบนี้มากกว่าที่จะเนิ่นช้า นิ

    ทำทุกวัน ด้วยระดับความตั้งใจมาก คือ นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง ก่อนนอนและตื่นนอน(แรก ๆ 30 นาทีพอ) ส่วนเวลาปกติของวัน ลดระดับลงเป็น พยายามรู้ลมไว้ เวลาฟุ้งซ่านมาก ก็ภาวนาด้วยรู้ลมด้วย จะช่วยได้มากขึ้น ภาวนาถี่ ๆ ไม่ต้องพุทโธ ประกอบลมเข้า-ออก ก็ได้ เวลาฟุ้งซ่านมาก ๆ พอดีแล้ว ก็ภาวนาปกติ หากวันไหนต้องการสงบมาก ๆ ก็รู้ลมอย่างเดียวไปเลย ไม่ต้องภาวนาพุทโธก็ได้ ... ทำใหม่ ๆ การคุยมาก ๆ กรรมฐานกองนี้ไปได้ยาก บางท่านจับภาพพระแทนเวลาคุย ครับ

    ทำเหอะ อย่าคิดเยอะ พิจารณาแบบนี้ถอยหลังเยอะไปแล้ว จะคิดให้ก้าวหน้าไม่มี อ่านมาก ไม่เคยเจอหรือ ว่าพระป่าสายอีสานท่านอานาปาฯกันทั้งนั้น มหาสาวกใช่หรือไม่ ไม่ทราบ แต่ทำกันไปได้ถึงอัปปนาสมาธิ หรือฌานก็พอ ใช้ได้แน่ ๆ แล้ว จริงไหมครับ

    แต่มันมีหลักอยู่อย่าง ว่า ให้พิจารณาไตรลักษณ์ หรือ อริยสัจ พิจารณาโทษของกามด้วย ช่วยให้กรรมฐานมั่นคงดีมาก เมื่อพิจารณาแบบนี้จิตจะเข้าสมาธิได้เร็วขึ้น และทรงตัวได้นานขึ้น เพราะศีล สมาธิ ปัญญา เป็นของเกื้อหนุนกันให้เจริญขึ้นทั้ง ๓ ส่วนเหมือนขาเรามี ๓ ขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา(การพิจารณาไตรลักษณ์) ต้องเดินทั้ง ๓ ขา ถึงก้าวไปข้างหน้าได้ ฉันนั้น ... และ เมื่อเราเจริญกรรมฐานไปเรื่อย ๆ อะไร ดีขึ้น เรารู้ได้อย่างไรว่าดีขึ้น เราหลงเข้าใจผิดไหม ก็ให้ดู ๓ ส่วนนี้ หากศีลเราบกพร่องลง สมาธิดี แบบไหน ก็เรียกว่าดีขึ้นไม่ได้ มีหลักแบบนี้ เพื่อไม่ให้หลงทาง ... จุดสำคัญที่สติ รู้ลมเข้า-ออก และ พุทโธ ปฏิบัติถึงขั้นไหน ๆ ก็ต้องทำอยู่ร่ำไป แม้แต่เป็นพระอริยเจ้าแล้ว .... ก็ ภาวนาพุทโธเสมอ ๆ มีสติกับพุทโธ

    เพียงเท่านี้เมื่อเราสามารถทรงฌานได้ การนำเข้ามาพิจารณากับสติปัฏฐาน ๔ หมวดไหน ก็ลองเข้าหาครูบาอาจรย์ท่านดู // สมัยนี้ คนหยาบลง จะเจริญได้ในหมวดกาย และเวทนา เยอะที่สุด อนุโมทนา กับคำถามครับ ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2012
  15. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณขอรับ อานาปานสติ ใช้ได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ปุถุชน ฆราวาส หรือ นักบวช ไม่มีใครเจริญอานาปานสติแล้วผิดดอกขอรับ อย่าไปเชื่อสิ่งที่คุณไปพบมา นั่นมันเป็นความเขลา คือ ความไม่รู้ของผู้ที่แสดงความคิดเห็น อานาปานสติ เป็น ๑.ในอนุสติ ๑๐ อย่าง อันมีความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก ความว่า
    อนุสติ หมายถึง
    " ความระลึกถึง, อารมณ์ที่ควรระลึกถึงเนืองๆ มี ๑๐ อย่าง คือ
    ๑) พุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
    ๒) ธัมมานุสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรม
    ๓) สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์
    ๔) สีลานุสติ ระลึกถึงศีลที่ตนรักษา
    ๕) จาคานุสติ ระลึกถึงทานที่ตนบริจาคแล้ว
    ๖) เทวตานุสติ ระลึกถึงคุณที่ทำคนให้เป็นเทวดา
    ๗) มรณัสสติ ระลึกถึงความตายที่จะต้องมีเป็นธรรม
    ๘) กายคตาสติ ระลึกทั่วไปในกายให้เห็นว่าไม่งาม
    ๙) อานาปานสติ ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออก
    ๑๐) อุปสมานุสติ ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบระงับกิเลสและความทุกข์ คือ นิพพาน
    เพื่อจักได้มีความสบายใจ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่คิดในทางอกุศล ขอรับ "
     
  16. หมูน้ำยืน

    หมูน้ำยืน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +38
    เข้าอ่านด้วยคนครับ อ่านกระทู้นี้แล้วเข้าใจมากกว่าเดิมเยอะมากเลยครับ

    ขอบคุณทุก ๆ คนเลยนะครับ
     
  17. บัญชา_

    บัญชา_ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบคุณมากเลยนะครับ ผมได้ฟังคำจากท่านแล้ว สบายใจเลยครับ
     
  18. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ตอนนี้เริ่มปฏิบัติแล้วยังคะ :cool::cool:
     
  19. บัญชา_

    บัญชา_ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +29
    เริมแล้วครับ ขอบคุณนะครับ ตอนแรกผมไปหาข้อมูลแล้วผมเจอร์ ลิงค์นี้อานาปานสติ คืออะไร ทำอย่างไร ได้ประโยชน์อย่างไร ทำให้ผมกังวลเลยมาตั้งกระทู้ถามครับ
     
  20. Enjjoy

    Enjjoy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +184
    อยากรู้จักเจ้าของกระทู้จังครับ ผมก็เพิ่งเริ่มหัดอานาปานสติ อยากได้เพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมไม่รู้ว่าเขาใช้คำว่า..สหธรรมิก..หรือป่าว คนอื่นเขาไปไกลกันแล้วอยากเกาะกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มหัด อาจจะมีอุปสรรคคล้ายๆกัน PM มาได้นะครับคำศัพท์เกี่ยวกับธรรมะบางคำยังไม่รู้จักเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...