สงสัยเรื่องสัมผัส หู ตา จมูก ลิ้น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย tins007, 21 มิถุนายน 2012.

  1. jintanakarn

    jintanakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +236
    การที่หูได้ยินเสียงก็เป็นธรรมะนั้นก็คือการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เพราะนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ การที่หูได้ยินเสียงก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั่นเอง เมื่อมีสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้นๆมันก็คือธรรมะ เพราะธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือความจริง ความจริงคือสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะปรากฏทางใดทางหนึ่งของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วแต่จิตไปรับรู้ทางใดก่อนใน6ทาง เพราะว่าในขณะจิตหนึ่งจิตรับรู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉนั้น ตาเห็นรูปคือธรรมะ หูได้ยินเสียงคือธรรมะ จมูกได้กลิ่นคือธรรมะ ลิ้นรู้รสคือธรรมะ ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจนึกขึ้นได้เมื่อใดคือธรรมะถูกต้องแล้ว ขออนุโมทนา
     
  2. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +1,817
    หลวงพ่อท่านใช้หลักสติปัฏฐานสี่มาเป็นหลักในการแสดงธรรมเท่านั้นแหละคุณ เพราะหลักสติปัฏฐานสี่ เป็นหลักการใช้สติในการพิจารณา
    ไม่ว่าจะตามองเห็นรูป ก็ให้รู้ว่าตามองเห็นรูป นั่นแหละคือธรรมะ
    หูได้ยินเสียง ก็ให้รู้ว่าหูได้ยินเสียง นั่นแหละคือธรรมะ
    จมูกได้กลิ่น ก็ให้รู้ว่าจมูกได้กลิ่น นั่นแหละคือธรรมะ
    ลิ้นได้รส ก็ให้รู้ว่าลิ้นได้รับรส นั่นแหละคือธรรมะ
    ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ ก็ให้รู้ว่าเป็นธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ นั่นแหละคือธรรมะ
    ถ้ายังสงสัย ก็ให้ไปศึกษาหลัก สติปัฏฐานสี่ ในเวบพลังจิตนี้ก็มีขอรับ
     
  3. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    คือ กายานุปัสสนา คือ เวทนานุปัสสนา คือ จิตตานุปัสสนา คือ ธรรมานุปัสสนา

    ทุกอย่างที่จิตเรารับรู้ ล้วนมองเป็นทางไหนก็ได้ในสี่หมวดนี้ และ ทุกอย่างเช่นเดียวกัน ก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    เมื่อมีสติคอยดู สติจะเห็นทุกอย่าง ผ่านมา... แล้วก็ผ่านไป... ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะคงตั้งอยู่ได้ เมื่อเหตุปัจจัยของมันดับลงไป ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเหตุปัจจัยเปลี่ยนไป และ เมื่อเห็นปรมัตถ์ธรรมแล้ว ไม่มีสิ่งใดเลย ที่เป็นตัวตน เป็นเขา เป็นเรา
     
  4. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,500
    ขออนุโมทนาแด่ท่าน จขกท บุคลใดเห็นทุกข์ ย่อมเห็นธรรม

    ผมอยากเข้าใจแบบง่าย ๆ อ่านแล้ว หูได้ยินเสียงก็เป็นธรรมะ คือ ยังไงครับ
    สมมุติตอนนี้ รถขับผ่านบ้านผมเสียงดังมาก มันเป็นธรรมะยังไงครับ
    ผมอาจมองภาพไม่ออกทุกอย่างบางอย่างก็มองออก

    มองเห็นเป็นไตรลักษณ์ คือความไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พิจารณาให้เท่าทันอยู่เนือง ๆ เช่น เสียงรถที่ขับผ่านนั้น มันแค่ตั้งอยู่ชั่วคราว สักพักเสียงนั้นค่อย ๆหายและดับไป เมื่อท่านมีอารมณ์ โทสะในเสียงนั้น ให้นำสติพิจารณาในอารมณ์ตนเอง ดูการเกิด ดับ ในสภาวะนั้น ๆเมื่อพิจารณาไปเรื่อย ๆ จนรู้เท่าทัน ว่านี่ ราคะ โทสะ โมหะ เกิดแล้วกุศลใดที่จะต้องทำ อกุศลใดที่จะต้องละ ก็จะเกิดขึ้นตามมาเช่นกัน

    เมื่อมีสติรู้แล้วว่ามันทุกข์ แต่มันก็ไม่ถึงกับมีความสุข
    เหมือนว่ามันเฉยๆ แบบนี้มันเฉยชาไร้วิญญาณรึป่าวครับเช่น โทรหาแฟนหลายๆครั้งแล้วไม่รับเริ่มหงุดหงิด เริ่มโมโหแล้วระลึกสติได้ว่าเริ่มมีความโกรธเข้ามาเราต้องหยุดพอละรึกได้เราก็ปล่อยวางทำแบบนี้กับหลายๆสิ่ง มันจะเย็นชาไปรึป่าวครับ

    เหตุทั้งหลายมีปัจจัยที่ทำให้เกิดผลนั้น ๆ จะบังคับให้มันเป็นไปย่อมหาได้ไม่
    มองเหรียญให้เป็นสองด้านเสมอ ๆ แม้กระทั้งความทุกข์ สุข ย่อมคู่กัน
    การวางอุเบกขาเป็นสิ่งที่ดี ถ้ามาจากการมองที่เป็นกลาง
    ใช้อายตนะที่มีให้เกิดประโยชน์ ธรรมจะเกิดขึ้นได้จากตอนนั้น


    ทุกสิ่งที่มันเกิดมันมาเล่นงานเราโดยจิตไม่ทันระลึก
    แต่ถ้าระลึกได้มันจะรู้ทัน ถ้ารู้ทันแล้ว ผมเข้าใจว่าถ้ารู้ทันแล้วเราจะปล่อยวางเฉยผมอยากให้ยกตัวอย่างเหตุการณ์สัก ตัวอย่างได้ไหมครับว่าจะทำอย่างไร
    เช่น ถ้าคุณเห็นคนโดนรถชนตายซึ่งคนนั้นคุณอาจรู้จักจะทำอย่างไรหรอครับ
    เราต้องระลึกแล้วปล่อยวางหรืออย่างไรครับผมจะได้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน

    ความเปลี่ยนแปลงนั้นมาจากเหตุปัจจัยทั้งภายในและนอก
    การทำใจ ยอมรับ พิจารณาถึงความไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา
    การปล่อยวาง คือการที่เราไม่สักแต่ว่า "มองไปทางอื่น" ด้วยความคิดปล่อยวางแต่เป็นการ "มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า" ด้วยสติที่ลึกซึ้งถึงคำว่า วาง จริง ๆ


    ที่ผมได้มาศึกษาธรรมะก็เพราะความ โมโห โกรธของผมวันนึงผมเกิดสงสัยว่าปัญหา และ สิ่งที่ไม่พอใจที่เกิดกับเรามาจากอะไรผมก็นั้งคิดพิจาณา คำตอบคือมันเป็นอารมณ์ร้อน โมโห โกรธ หลง ความต้องการ ผมจึงคิดว่าผมจะต้องเป็นคนไม่โกรธ แต่มันก็ทำได้ยากหากขาดธรรมะมาช่วยผมจึงได้ศึกษาก็พยายามนั่งสมาธิ กำหนัดจิตเป็นปัจจุบันเรื่อย ๆแต่ทำไปเรื่อยๆบางทีก็ ปวดหัว แล้วก็ยังมีความคิดมาก ผมคงต้องหัดไปเรื่อยๆ

    เราอยู่กับธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งจากธรรมชาติ
    ควรเรียนรู้ความเป็นจริงจากธรรมชาติ และนำธรรมชาตินั้นเป็นบทเรียนให้แก่ตน
    อนุโมทนาแด่ท่านที่ปฏิบัติ จงเดินทางสู่มรรคโดยชอบ และจักได้รู้แจ้งในธรรม
     
  5. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    สิ่งที่หลวงพ่อ ชา ท่านกล่าวว่า..ทุก ๆ อยาตนะทั้ง 6 ทางนั้น .เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะ เป็นธรรรมมะ เพราะว่า เมื่อ มีการกระทบเกิด ภายนอก เท่ากับเกิด วิญญาณ..เกิดขึ้น ทั้ง 6 ทาง

    การเกิดขึ้นของวิญญาณนั้น เท่ากับ จิต มีการ เคลื่อนไป แสดงตัว
    และเมื่อเกิด มันจะมีความดับ ตามมา..
    ใครก็ตามที่มองเห็น การเกิด ของวิญญาณ และ หาก เห้นความ ดับ ตามมาด้วย..นั่นเท่ากับว่า ธรรมมะ เกิด แล้ว...

    เพราะ นักปฏิบัติ ย่อมเห็น ธรรมเกิด และ ดับ ได้ จะเป็น คุณ อนันต์มหาศาล ตามที่ พระพุทธองค์ กล่าว ยกย่องไว้ว่า ใครเห็นเกิดดับ แม้ มี ชัวิตวันเดียว ยังดี กว่า คน มีอายุ ร้อย ปี แต่ไม่เคยเห็น เกิด ดับ
     
  6. tins007

    tins007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณมากครับผมที่ชี้แนะครับ ทุกสิ่งที่อยู่กับตัวเราที่ธรรมชาติให้มามันคงเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ๆ แต่พอเราต้านมันเลยเป็นทุกข์ ดังนั้นเราเลยต้องนำสัมผัสต่างๆที่ธรรมชาติให้มานำมาอยู่กับธรรมชาติ และเข้าใจหลักการของธรรมชาติ ทั้งกฎต่างๆที่มันมีคู่กับธรรมชาติ ใช่ไหมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...